26
ลมหายใจของภาสกรเป่ารดลงบนแก้มของนที หากหนุ่มน้อยเป็นน้ำแข็ง ป่านนี้คงถูกลมหายใจอุ่นๆของภาสกรละลายไม่ต้องเป็นน้ำแต่ระเหิดกลายเป็นไอไปทีเดียวแล้ว หัวใจของภาสกรเต้นแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก หากเข้าแนบจมูกของตนลงแก้มนทีแล้ว ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าหนุ่มน้อยจะลืมตาตื่นขึ้นมาหรือเปล่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะทำหน้าอย่างไร เมื่อนทีพบว่าคุณชายหนุ่มลอบหอมแก้มเขาขณะหลับอย่างนั้น
แต่เป็นใครจะอดใจไหวเมื่อมีหนุ่มน้อยน่ารักมานอนหลับตาพริ้มอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ริมฝีปากสีชมพูใสเหยียดออกคล้ายอมยิ้มทำให้นทีแลดูเหมือนอะไรอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเจ้าหญิงนิทราในความคิดของภาสกร แต่หากเขาจุมพิตเจ้าหญิงของเขาตอนนี้ เจ้าหญิงคงลืมตาขึ้นมาเป็นเจ้าชายอีกองค์หนึ่ง แล้วเจ้าชายสององค์จะอยู่เคียงคู่กันได้อย่างไรเล่า
สูดกลิ่นสบู่หอมจากแก้มเนียนใสของนทีได้ไม่นาน ภาสกรก็ได้สติ เหยียดตัวขึ้นยืนตรงลังเลอยู่ในหัวใจ สับสนจนทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวว่าหากขยับไปเพียงนิ้วเดียวตนก็จะได้สมหวังในสิ่งที่ต้องการอยู่ลึกๆข้างใน แต่หากทำตามอารมณ์แล้วเขารู้ดีว่าผลเสียคงมีมากกว่าผลดีนักก็เลยตัดสินใจถอยออกมา นั่งลงขอบเตียงทำอย่างไรก็ไม่อาจถอนตาออกจากหนุ่มน้อยได้ก็เลยตัดสินใจเดินออกจากบ้านพักไปที่โต๊ะยาวด้านหลัง ทิ้งให้นทีนอนใจสั่นอยู่คนเดียว
มีเพียงดาริกาเท่านั้นที่นั่งมองน้ำใสหลังบ้านอยู่
“ปุยฝ้ายไปไหนเสียล่ะครับ” ภาสกรเอ่ยขึ้น ดาริกาจึงหันมา บัดนี้หล่อนแกะผมของตนออกจากมวยแล้วปล่อยให้ตกลงมาล้อมกรอบหน้าดูเผินๆจะเหมือนนทีแทบแยกไม่ได้ แต่พอเพ่งดีๆ ความงามของดาริกาต่างหากที่เรียกได้เต็มปากว่า “งาม” นทีเป็นชาย จะบอกว่างามก็คงพูดได้ไม่ชัดนัก หญิงสาวในเสื้อนอนตัวใหญ่ยิ้มแล้วตอบว่า
“คุณฝ้ายนอนแล้วค่ะ หญิงยังนอนไม่หลับก็เลยออกมานั่งชมวิวเล่น” หล่อนหญิงอย่างเป็นกันเอง กระเถิบตัวห่างออกไปอย่างรู้จักไว้ตัวเมื่อภาสกรนั่งลงข้างๆหล่อน “เดาว่าคุณชายคงเป็นเหมือนกันมังคะ”
“ครับ” เขาตอบ นึกอยากยิ้มแต่ก็รู้ตัวว่าคงยิ้มแหยๆแทนที่จะยิ้มอย่างสดชื่นเหมือนหญิงสาวตรงหน้าก็เลยไม่ยิ้มเสียเลย
“คุณชายมีอะไรในใจก็เล่าให้หญิงฟังเถอะค่ะ” หล่อนบอกอย่างรู้ทัน “ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วค่ะว่าคุณชายคงไม่สบายใจเท่าไหร่”
“ครับ” เขายอมรับแต่ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร จึงหยุดคิดสักครู่แล้วแทนที่จะตอบดาริกา เขากลับตั้งคำถามให้หล่อนแทน “คุณหญิงอย่าหาว่าผมละลาบละล้วงนะครับ ถ้าผมอยากถามอะไรคุณหญิงสักหน่อย”
หญิงสาวยิ้มกว้าง
“ถามมาซีคะ ถ้าตอบได้หญิงก็เต็มใจตอบค่ะ”
“คุณหญิงเคยชอบใครทั้งที่รู้ตัวดีว่าไม่ควรชอบไหมครับ” ภาสกรถามออกไปในที่สุด ก้มหน้านิ่งเมื่อรู้ตัวว่าถามเรื่องอย่างนี้ออกไปคุณหญิงต้องเดาได้แน่ว่าเขาเองก็คงกำลังรักใครหรือชอบใครอยู่แต่ไม่กล้าบอก
“แหม คุณชายคะ” หล่อนยิ้มให้ทั้งที่รู้ตัวว่าคนตรงหน้าคงไม่ค่อยอยากให้หล่อนยิ้มเท่าไรนักในเวลานี้ “เคยซีคะ บ่อยด้วย ความรักความชอบมันห้ามกันไม่ได้หรอกค่ะคุณชาย มันอยากเกิดขึ้นตอนไหนกับใครก็ได้ทั้งนั้นให้ใครมาบอกเราไม่ได้หรอกค่ะว่าควรหรือไม่ควร”
“คุณหญิงคงเข้าใจผมดีว่า คนอย่างเรา... ผมหมายถึงเรื่องทางสังคมทางชาติตระกูล ...ใครๆก็จับตามอง ใครๆก็ต้องการให้เราดีเลิศ เป็นตัวอย่างให้สังคมในทุกๆด้านถ้ามีเรื่องด่างพร้อยขึ้นมาเมื่อไหร่จะถูกมองว่าไม่ดีก็ได้ง่ายๆจริงไหมครับ เรื่องคู่ครองผมว่าก็ต้องเป็นเรื่องของผู้ใหญ่อีกนั่นละที่จะมองแทนเราว่าควรหรือไม่ควร คุณหญิงเห็นด้วยไหมครับ”
“ค่ะเห็นด้วย” หล่อนว่า “คุณชายเขื่อไหมคะ ว่าท่านแม่ประสงค์ให้หญิงไปเข้าพิธีดูตัวกับคนโน้นคนนี้ ไม่ใช่ลูกรัฐมนตรี ก็ลูกทูต ไม่งั้นก็พวกคุณชายหลายๆตระกูล ท่านแม่รับสั่งว่ารักก็เรื่องหนึ่ง ความถูกต้องก็เรื่องหนึ่งถ้าแต่งไปแล้วก็รักกันเอง เพราะเราไม่ได้เลือกคนมารักเพื่อสนองความต้องการของเราคนเดียว เราต้องเลือกคนที่ถูกต้องเหมาะสมมารักษาไว้ซึ่งตระกูลของเราด้วย จะให้มาด่างพร้อย บกพร่องเพราะอารมณ์อย่างเดียวไม่ได้”
ดาริกาเงียบไปพักหนึ่งเปิดโอกาสให้ภาสกรถามต่อไปเขาจึงพูดว่า
“แล้วคุณหญิงทำอย่างไรครับ ขอโทษด้วยถ้าผมต้องพูดว่าผมไม่เห็นว่าคุณหญิงมีทีท่าจะแต่งงาน ถ้าต้องไปดูตัวใครต่อใครก็น่าจะมีข่าวแต่งได้แล้ว”
“หญิงก็ไม่เลือกไงคะ” หล่อนตอบเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ “หญิงก็ทูลท่านแม่ว่ายังอยากเรียน ยังอยากรับใช้ท่านแม่ไปเรื่อยๆ อ้อนเข้าก็ใจอ่อนค่ะ”
ภาสกรตัดสินใจเข้าประเด็นทันที
“ผมคงทำอย่างคุณหญิงไม่ได้ ผมเป็นผู้ชายแล้วก็เป็นลูกคนเดียว ท่านพ่อ หม่อมแม่คงจะหวังกับผมอยู่มาก”
“คุณชายถูกบังคับแต่งงานหรือคะ”
“ยังครับ แต่หม่อมแม่เปรยๆหลายรอบแล้ว ผมเห็นว่าถ้าเสร็จงานกับคุณหญิงคราวนี้หม่อมแม่ต้องรบเร้าผมหนักแน่ ปีนี้ผมจะสามสิบแล้วผมผลัดหม่อมแม่มาหลายปี คราวนี้ถ้าท่านพ่อทรงร่วมรับสั่งด้วยอีกผมก็คงปฏิเสธไม่ได้”
“หญิงเข้าใจค่ะ แต่หญิงเห็นว่าถ้าคุณชายยังไม่มีคนรัก จะแต่งกับใครไปก่อนก็คงไม่เสียหายสักวันคงรักกันเองอย่างเจ้าอย่างนายคู่อื่นๆจริงไหมคะ” คุณหญิงมองภาสกรอย่างรู้ทัน ยิ้มที่มุมปากใจกระหวัดไปถึงหนุ่มน้อยที่นอนอยู่ในห้องใกล้ๆนี้จนภาสกรรู้สึกร้อนๆหนาวๆ “เว้นแต่คุณชายจะรักใครแล้วแหละค่ะ”
ภาสกรไม่ตอบหล่อนเลยรุกหนักเข้า
“พึงใครไว้แล้วหรือคะคุณชาย ถ้าเป็นอย่างนั้นหญิงว่านั่นล่ะค่ะถึงจะเริ่มก่อปัญหา” หล่อนลดรอยยิ้มกลายเป็นวางหน้าเฉยแทน
“ก็” ภาสกรอ้ำอึ้ง “ผมก็ยังไม่แน่ใจ”
“ระวังนะคะคุณชาย” หล่อนยิ้มกว้าง “โอกาสดีๆมีวันหมดอายุเหมือนกันนะคะ ถึงเวลาเขาไม่อยู่ข้างเราแล้วกว่าเราจะแน่ใจก็สายไปแล้วนะคะ”
“ผมอยากปรึกษาคุณหญิง แต่ผมก็ยังไม่กล้าบอก ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่ารักได้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าคนคนนี้จะเป็นคนที่ผม... อยากได้เป็นคู่รักหรือยัง” ภาสกรเงียบไปนาน ดาริกาจึงตัดสินใจเอื้อมมือมากุมมือภาสกรเอาไว้ บีบเบาๆอย่างให้กำลังใจก่อนจะถามว่า
“ไหน คุณชายลองบอกหญิงซีคะที่บอกว่าไม่แน่ใจน่ะ รู้สึกอย่างไรกับคนคนนั้นกันแน่” หล่อนพยายามยิ้มให้กำลังใจเขา แอบเห็นแววไม่แน่ใจในดวงตาของภาสกร ราวกับว่าจะกระหวัดไปหาหนุ่มน้อยที่อยู่ในห้องนอนข้างๆนี้แล้วภาสกรจึงเอ่ยกับหล่อน
“ผม... อยากอยู่ใกล้เขาตลอดเวลา อยากรู้ว่าเขามีความสุขหรือเปล่า ถ้าไม่ ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข ผมอยากดูแล อยากปรนนิบัติเอาใจ ชอบเวลาเขายิ้มให้ผมเหมือนว่าผมเป็นคนสำคัญของเขา ชอบเวลาอยู่ข้างๆเขาเพราะผมรู้ว่าเขารู้สึกสงบ สบายใจ และอบอุ่นเวลาอยู่ใกล้ผม เพราะผมก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน พอไม่เจอกันผมก็คิดถึงอยากไปหา อยากเจอหน้า อยากได้ยินเสียงเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ก็ไม่รู้ว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะผมเหงา หรืออะไรกันแน่ รู้แต่ว่าผมพยายามลืมเขาแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ลืมได้ไม่ถึงห้านาที มองไปทางไหนก็คิดถึงแต่เขา... จนคิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้ว
ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนก็เลยไม่แน่ใจว่าผมรู้สึกไปเอง หรือว่าสิ่งที่ผมรู้สึกนี้มันเรียกว่ารักได้หรือยัง”
“คุณชายคะ” ดาริกายิ้ม “ถ้ามีกระจกหญิงจะยกให้คุณชายเห็นหน้าตัวเองชัดๆค่ะ ว่าเวลาคุณชายพูดถึงคนๆนี้สีหน้า แววตา น้ำเสียงของคุณชายมีความสุขแค่ไหน”
ภาสกรประหลาดใจเพราะเขาไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไรเวลาพูดถึงนที เขาเงียบรอให้ดาริกาถามอะไร หรือพูดอะไรก่อนเพราะถ้าให้เขาเป็นฝ่ายพูดเขาอาจจะพูดมากไปจนดาริการู้ความในใจก็ได้
“อย่างนี้ไม่เรียกว่าคู่รักหรอกค่ะคุณชาย... แต่เป็นคู่ชีวิต หญิงว่าความรู้สึกของคุณชายมันเกินความรักไปแล้วมังคะ กลายเป็นความผูกพัน กลายเป็นความเคยชินว่าในชีวิตต้องมีคนคนนี้อยู่ด้วยเท่านั้น คุณชายจึงจะมีความสุข”
ดาริกาควรไปเป็นจิตแพทย์ ภาสกรคิดในใจแทบจะทันทีที่ได้ยินหล่อน
“ผมควรทำอย่างไร”
“ทำให้เขารู้ซีคะ บอกเขาอย่างที่บอกกับหญิงเมื่อครู่ หญิงแน่ใจนะคะว่าไม่ว่าใครมาได้ยินคุณชายพูดถึงตัวเองอย่างนั้นก็ยอมให้คุณชายได้ทุกอย่างล่ะค่ะ ทั้งร่างกาย ความรัก และชีวิต”
“คุณหญิงครับ ปัญหามันอยู่ที่...”
“อยู่ที่คุณชายคิดไปเองแหละค่ะ” หล่อนว่า “ถ้าปัญหายังไม่เกิดจะไปคิดถึงมันเผื่อไว้ก่อนทำไมล่ะคะ”
“ผมกลัวว่ามันจะไม่ถูกต้อง” ใช่ ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง ถ้าดาริการู้ว่าคนที่เขาพูดถึงคือนที อยากรู้เหลือเกินว่าหล่อนจะทำหน้าอย่างไรเทียว
“จริงอยู่ค่ะว่าความรักมันต้องอยู่ในกรอบของความถูกต้องด้วย แต่คุณชายอย่าลืมนะคะว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน คนอื่นเป็นปัจจัยรองลงมา อย่างน้อยๆ ให้เขารู้ว่าเรารักเขาก่อนเท่านั้นก็น่าจะดีนะคะ”
ภาสกรนิ่งไปพักหนึ่งก็ถามอีก
“ผมขออนุญาตคุณหญิงพูดถึงคุณชายนรัตถพล คุณหญิงจะถือว่าผมล่วงเกินหรือเปล่าครับ”
“พูดมาเถอะค่ะ หญิงยินดีตอบถ้าหญิงทำได้”
“คุณชายรัตแต่งงานหรือเปล่าครับ”
“ไม่แต่งค่ะ” หล่อนตอบ “พี่ชายรัตไม่แต่งงาน”
“เอ้าแล้วคุณชายทำอย่างไรครับ”
ดาริการู้ทัน แทบไม่ต้องให้ภาสกรบอกความคิดทั้งหมดของเขาออกมาด้วยซ้ำ ก็พี่ชายหล่อนเป็นเกย์แสดงออกชัดขนาดนั้นภาสกรถามถึงพี่หล่อนก็เหมือนจะถามว่า ถ้าผมเป็นเกย์ผมจะทำอย่างไรอย่างนั้นแหละ
“ท่านแม่จะทรงบังคับอย่างไรก็ไม่แต่ง เขาบอกอยู่เสมอว่าว่าถึงเขาจะเป็นคุณชายเป็นโอรสของท่านแม่ก็จริง แต่เขาก็เป็นเขาเองครึ่งหนึ่งด้วย เขาเป็นอะไร รักใครชอบใครก็ไม่ใช่เรื่องผิด นี่มันปี 2011 แล้วนะคะ ถ้าโลกจะแตกปี 2012 จริงๆก็แทบไม่เหลือโอกาสทำอะไรตามใจตัวเองแล้ว”
ดาริกาลุกขึ้นในที่สุด บอกภาสกรเบาๆว่า
“คุณชายมาเที่ยว มาพักผ่อนก็ทำตัวให้สนุกเถอะค่ะอย่าคิดมากเลย กลับจากนครนายกแล้วเรานัดเจอกันก็ได้ค่ะถ้าคุณชายยังไม่สบายใจ หญิงจะชวนพี่ชายรัตมาคุยด้วย” หล่อนแตะหลังมือภาสกรสองสามทีแล้วบอกว่า “พี่ชายรัตบอกดาเสมอค่ะว่า ชีวิตของเรามันสั้นเกินกว่าจะเป็นคนอื่นเอาเวลาไม่กี่ปีที่มีโอกาสอยู่บนโลกมาเป็นตัวของตัวเองเถอะค่ะ ตราบใดที่เราทำความดี ทำประโยชน์ให้คนอื่นได้ ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รักใครชอบใคร ก็ไม่น่าจะต้องกลัวนี่คะคุณชาย”
ภาสกรถามตัวเองทันทีที่หล่อนพูดจบว่า ทำไมเขาไม่รักดาริกานะ แน่นอนว่าหม่อมแม่คงจะยิ่งกว่าพอใจถ้าเขาจะไปขอดาริกาแต่งงาน แต่พอมานอนจ้องหน้าหนุ่มน้อยในความมืด มีแสงสว่างจากไฟนอกบ้านส่องมากระทบดวงหน้าให้เห็นรางๆในความมืด และคิดถึงเหตุการณ์ระหว่างเขากับนทีที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วเขาก็กลับมาถามตัวเองใหม่ว่า...
ทำไมเขาถึงจะไม่รักนทีเล่า เพียงเพราะหนุ่มน้อยเป็นผู้ชายเท่านั้นเองหรือ
ภาสกรอยู่ในช่วงสับสนจนหัวแทบจะระเบิด ไม่มีสติ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับนทีมันเรียกว่ารักได้หรือเปล่า ในเมื่อเขาไม่เคยชอบผู้ชาย เขาจะรักนทีซึ่งเป็นผู้ชายได้อย่างไร แต่ภาสกรก็นั่งเครียดอยู่ได้ไม่นานเท่านั้นแหละ ระหว่างทานอาหารเช้าในรีสอร์ต จู่ๆหนุ่มน้อยก็เดินเข้ามาถามหน้าซื่อๆว่า
“คุณชายเป็นอะไรหรือเปล่า ผมทำอะไรให้คุณชายไม่พอใจหรือครับ เช้านี้ไม่เห็นคุณชายคุยกับผมเลย” นทีถามทั้งที่ใจเต้นเร็วอย่างอึดอัด เมื่อคืนคุณชายทำอะไรทำไมเขาจะไม่รู้ คุณชายจะจูบเขา! ทำไมทั้งที่รู้อย่างนี้ นทีไม่ยักรู้สึกดีใจ กลับหนักใจด้วยซ้ำ... มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะรักหรือเปล่า หรือหวั่นไหวไปชั่ววูบ... ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ใบหน้าที่รู้สึกผิดทั้งที่ไม่รู้ว่าผิดอะไร ใบหน้าที่ไม่มีความสุขของนทีเตือนให้ภาสกรคิดถึงคำพูดของตัวเองเมื่อคืน... คำพูดที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกจริงๆของตัวเองว่า
อยากรู้ว่าเขามีความสุขหรือเปล่า
ถ้าไม่ ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข แต่เขากำลังทำสิ่งกลับกัน เขากำลังทำให้นทีเป็นทุกข์... เพราะเขา เขาทำให้นทีต้องบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลจนแทบจะหมดซึ่งความสุขใดๆไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาจะไม่ทำร้ายนทีอีก เขาจะไม่ทำให้หนุ่มน้อยเป็นทุกข์อีกเด็ดขาด เขาเอื้อมมือไปลูบผมยุ่งๆของนทีสองสามที แล้วก็บอกว่า
“คุณจะทำให้ผมไม่พอใจได้ยังไงเล่า คุณยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ทานข้าวเถอะนะผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง สัญญาครับว่าผมจะไม่ทำหน้าเครียดแล้ว โอเค้” หนุ่มน้อยส่งยิ้มมาให้เขา ฉับพลันความกังวลใดๆก็ถูกผลักออกไปจากใจของเขาจนหมดสิ้น
นทีเหมือนน้ำตามชื่อของเขา เมื่อใดที่ใจของภาสกรขุ่นมัวน้ำก็จะชำระความขุ่นมัวนั้นให้สิ้น เมื่อใดที่เขาร้อนรุ่มน้ำก็จะเข้าลูบไล้ให้เขาเย็นสบาย ในขณะที่เมื่อไรก็ตามที่เขาเหงาใจและแห้งแล้งน้ำก็จะพรมลงเรียกชีวิตชีวาของเขากลับมา
ดาริกาและปุยฝ้ายเดินเข้ามายังห้องอาหาร เห็นภาพนั้นพอดีก็หยุดลงไม่กล้าเดินเข้าไปทำลายบรรยากาศ ดาริกาเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ปุยฝ้ายฟังในฐานะที่ปุยฝ้ายเป็นเพื่อนสนิทของคนที่ถูกพาดพิงในบทสนทนา และหล่อนก็มั่นใจว่าปุยฝ้ายเป็นคนที่คุยด้วยได้และสมควรรับรู้เรื่องนี้ด้วยที่สุด อีกอย่างปุยฝ้ายก็คงไม่เอาเรื่องนี้ไปเที่ยวโพนทะนานบอกคนอื่นอยู่แล้วสองหัวดีกว่าหัวเดียว ได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้สองคนนี้ได้รู้ความในใจของกันและกันสักที
“น้องฝ้ายคะ พี่ดาว่าคนที่คุณชายพูดถึงเมื่อคืนคงเป็นใครไม่ได้นอกจากน้องน้ำหรอกค่ะ” หล่อนว่าเสียงเรียบเหมือนคุยกันเรื่องอื่นขณะที่ค่อยๆเดินมาหาภาสกรและนที
“น้องก็ว่างั้นค่ะ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้... เฮ้อทำไมคุณชายต้องเป็นคุณชายด้วยนะ ถ้าเป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งฝ้ายจะไม่หนักใจเท่านี้เลย”
ภาสกรตั้งใจแล้วว่าจะไม่รีบบอกความในใจให้นทีรู้ในเมื่อยังไม่แน่ใจอยู่อย่างนี้ ปล่อยให้อะไรๆเป็นไปตามที่มันควรเป็นอย่างนั้นแหละไม่รีบร้อนอะไรเป็นอยู่อย่างนี้เขาก็พอใจแล้ว ได้เห็นหน้าหนุ่มน้อยทุกวัน ได้คุย ได้ใกล้ชิดแบบนี้ไปเรื่อยๆเขาก็ไม่คิดอะไรเป็นอื่นอีก
จะมากังวลให้นทีเห็นทำให้หนุ่มน้อยต้องทุกข์ใจไปด้วยอีกคนละก็ไม่เอาอีกแล้ว ในเมื่อความรู้สึกของหนุ่มน้อยนั้นมีค่าแก่เขากว่าสิ่งใดๆ เขาก็จะไม่ยอมเอาสิ่งนี้มาทำลายเด็ดขาด ...ต่อจากนั้น Come what may เขาจะรับมือกับมันเอง