[คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50  (อ่าน 240222 ครั้ง)

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
«ตอบ #90 เมื่อ01-03-2011 12:26:07 »

น่าติดตามมากค่ะ เรื่องนี้
แบบตัวเอกมีปม แล้วต้องค่อยๆแก้ไปทีละเรื่อง เป็นพล็อตแบบที่ชอบเลยค่ะ

แถมคุณชายท่านก็น่ารักเหลือเกิน อิอิ

เชียร์คู่ใหม่ นที-คุณชาย

รอนะคะ

nuewanda

  • บุคคลทั่วไป
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
«ตอบ #91 เมื่อ01-03-2011 22:56:32 »

อยากให้ถึงอาทิตย์หน้าไวๆ
นทีจะได้ฟื้น
ฮ่าๆๆๆๆ

ออฟไลน์ pp_song

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
«ตอบ #92 เมื่อ02-03-2011 14:58:12 »

รอๆๆ วันที่น้ำจะฟื้น

 :call:

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
«ตอบ #93 เมื่อ03-03-2011 21:24:14 »

5


     “นทีเป็นคนพูดเก่ง แล้วก็คุยสนุก เราคุยกันได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องหนัง ละคร หรือนิยาย นทีชอบเรื่องแบบนี้มาก เขาอยากทำงานนิตยสาร อยากเขียนเรื่องส่งตามสำนักพิมพ์ต่างๆ ฝ้ายยังมีเรื่องสั้นที่นทีเขียนอยู่ที่แฟลตเลยค่ะ” หล่อนว่าเสียงใสไปเรื่อยๆ ภาสกร ไม่เบื่อแม้นิดเดียวเวลาฟังหล่อนเล่าเรื่องอะไรต่างๆ “ส่วนฝ้ายชอบวรรณคดีอังกฤษ ถึงฝ้ายจะไม่เก่งอังกฤษมากก็อาศัยอ่านตรงไหนไม่ออกก็ถามฝรั่งแถวบ้าน ฝ้ายเคยมีแฟนเป็นฝรั่งด้วยนะคะ”
    นางสาวปุยฝ้ายชอบเรื่องของเชคสเปียร์ หล่อนชอบภาษาเก่าๆที่เขาใช้ และมักจะเอามาเล่าให้นทีฟังเสมอ ทั้งเรื่อง โรมิโอ กับจูเลียต แฮมเล็ต แมคเบธ  หล่อนพยายามบังคับให้นทีอ่านเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เพราะความที่อีกฝ่ายไม่ถนัดภาษาอังกฤษเลย
    “ถึงจะไม่ค่อยเก่ง แต่รายนั้นความจำแม่นค่ะ ฝ้ายเล่าอะไรเป็นจำได้หมด แถมออกเสียงคล้ายฝรั่งทีเดียว นทีชอบโรมิโอกับจูเลียต และเขามักจะจำ ข้อความต่างๆได้เช่น เวลาที่พวกเพื่อนๆเรียกชื่อเขา เป็น นะ บ้าง ที บ้าง น้ำ บ้าง เขาก็จะยักไหล่แล้วก็จะบอกว่า เรียกอะไรก็ช่างเถอะ What's in a name? That which we call a rose by any other name would smell as sweet”
    ภาสกรยิ้ม
     “นามนั้นสำคัญไฉน? ที่เราเรียกกุหลาบนั้น
     แม้เรียกว่าอย่างอื่นก็หอมรื่นอยู่เหมือนกัน...”
    “คุณชายชอบเรื่องพวกนี้ด้วยหรือคะ”
    “ผมเคยเรียนงานของเชคสเปียร์ ที่อังกฤษครับ อ่านจนไม่อยากจะอ่านอีก ทั้งต้นฉบับเดิม ทั้งบทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6” เขายิ้มให้กับปุยฝ้าย “แต่ก็ชอบอยู่หลายเรื่องครับ ที่ชอบมากคือ โคลง ซอนเน็ต มันให้ข้อคิดเรื่องความรัก ความตาย ชีวิต อะไรพวกนี้ดีครับ”
    ภาสกรไม่รู้ว่าหญิงสาวผิวคล้ำตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่หล่อนหันไปมองเพื่อนหนุ่มด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความคิดถึง ห่วงใย และ อาวรณ์
    “ฝ้ายไม่อยากให้นทีเป็นอะไร มันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฝ้าย อยากให้มันฟื้นเร็วๆ อยากให้มันลุกขึ้นมาคุยมาหัวเราะ มายิ้มให้ฝ้ายเหมือนเดิม”
    “ผมขอโทษครับ” ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งด้วยรู้ดีว่าทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นความผิดของเขาเอง ด้วยความประมาทเพียงเล็กน้อยเขาทำให้คนอื่นมากมายต้องเดือดร้อนไปด้วย
   แล้วความเงียบก็กลับมาปกคลุมบรรยากาศของห้องอีกครั้ง

    ประมาณบ่ายโมงเศษๆ นายแพทย์มิ่งเมืองก็เข้ามาในห้อง เพื่อตรวจอาการของชายหนุ่ม
    นายแพทย์มิ่งเมืองผู้นี้อายุ ห้าสิบกว่าแล้ว หากยังดูไม่แก่เท่าความเป็นจริงเท่าไร เนื่องจากเป็นคนที่เข้มงวดเรื่องของสุขภาพมาก และดูแลสุขภาพของตนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทำให้นายแพทย์หนุ่มใหญ่ดูสูงโปร่ง ร่างกายที่เคยกำยำแม้เปลี่ยนสภาพไปมากแล้ว ก็ยังทิ้งโครงร่างที่ดูแข็งแรงไว้ให้เห็น มิ่งเมืองเป็นรุ่นน้องของท่านชายเรืองเดชกว่าห้าปี กระนั้นก็เป็นคนที่ท่านชายทรงสนิทชิดเชื้อและวางหทัยให้รักษาคนในบ้านทุกคนรวมถึงท่านชายเองด้วย
    เสื้อกาวน์สีขาว สวมทับเชื้อเชิ้ตสีฟ้า และกางเกงแสลคสีเข้มที่ตัดมาอย่างประณีต ใบหน้าที่สูงวัยแต่ร่าเริงและกระฉับกระเฉงก้มลง รับไหว้ภาสกรแต่ก็ยื่นมือมาเชคแฮนด์แบบฝรั่งอีกทีหลังจากนั้น
    “คุณชายมานานหรือยังครับ”
    “เพิ่งมาไม่ถึงชั่วโมงครับ อาหมอ” เขาเรียกมิ่งเมืองแบบนี้มาตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกอยู่ แม้จะเคยลองเปลี่ยนไปเรียกว่า คุณหมอมิ่งเมืองบ้าง แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมเพราะ
    “ยังไงคุณชาย ก็คือคุณชายที่ผมจับฉีดยา ร้องไห้มาแล้วหลายครั้งอยู่ดี”
    “อามีเคสผ่าตัดเข้ามากระทันหัน ไม่อย่างนั้นคงมาดูแลอาการของเด็กคนนี้ตั้งแต่เที่ยงแล้ว หวังว่าคุณชายจะไม่ว่าอะไรนะครับ”
    “ว่าไม่ได้ครับอา ผมรู้ว่าอางานยุ่ง เท่านี้ก็เป็นภาระมากพอแล้วครับ”
    “งานให้ชีวิตคนน่ะ เรียกว่าภาระไม่ได้หรอก” เขาขยิบตาขวาให้ ท่านี้เป็นท่าประจำของนายแพทย์มิ่งเมือง เวลาพูดอะไรเด็ดๆ ออกมา
    “สวัสดีค่ะ คุณหมอ”
    “สวัสดีครับ” นายแพทย์รับไหว้ปุยฝ้าย แล้วซักถามอย่างที่คาดหวังว่าหล่อนได้เฝ้าอาการของเด็กหนุ่มไว้ได้ดีพอสมควร “คนไข้มีอาการเพ้อ หรือกระตุก บ้างไหมครับ”
    “เท่าที่หนูดูอยู่ก็ไม่มีเลยค่ะ ยังคงหลับสนิทแบบนี้มาทั้งวันละค่ะ นอกจากตอนกลางคืนที่หนูหลับเท่านั้นเอง ที่ไม่ทราบว่ามีอาการอะไรหรือเปล่า”
    นายแพทย์พยักหน้า พลางหยิบหูฟังขึ้นมาฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ วัดชีพจร และดูการทำงานของกล้ามเนื้อเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ ก็หันมาบอก ภาสกร และ ปุยฝ้าย รวมไปถึงนางพยาบาลที่จดอาการตามที่หล่อนได้ยิน
    “ชีพจรคงที่ ไม่มีอะไรผิดปกติ การทำงานของคลื่นสมองปกติ เท่าที่ยังหลับอยู่นี้คงเพราะฤทธิ์ยาสลบที่คนไข้ยังไม่ชิน รวมไปถึงอาการเหนื่อยอ่อนจากบาดแผล และการเสียเลือดเท่านั้น หมอคาดว่าอีกสองถึงสามวันน่าจะฟื้นแล้ว ถึงตอนนั้นเราค่อยทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาและแสกนสมองอีกครั้งว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่อีกที” เขายิ้ม “คุณชายและคุณฝ้ายวางใจได้ครับ คุณนทีเพื่อนของคุณจะต้องกลับมาเป็นปกติเร็วๆนี้ละครับ”
    ปุยฝ้าย ยิ้มให้ภาสกรอย่างโล่งอก
    “ถ้าอย่างนั้น หมอขอตัวนะครับ คุณชายภาส หมอมีนัดกับ หม่อมเจ้าเรืองเดช” มิ่งเมืองว่า พลางขยิบตาอีกครั้ง
    “เดี๋ยวผมไปส่งครับ” ภาสกรวิ่งตามนายแพทย์ไป “ผมกะจะกลับบ้านอยู่แล้วครับ ถ้าอาหมอจะกลับมาที่นี่อีกก็ให้ผมไปส่งแล้วกลับมาด้วยกันเถอะครับ”
    มิ่งเมืองรู้ทันว่าชายหนุ่มมีเรื่องจะคุณกับเขาระหว่างทางกลับบ้านเท่านั้น
    “ได้ซี อาแก่แล้วขับรถทีไรปวดเมื่อยไปหมด คุณชายไปส่งอาก็ดี”
   “ถ้าอย่างนั้นผมขอลาคุณฝ้ายแล้วจะตามไปนะครับ”
    “อาจะรอที่ร้านกาแฟ หน้าตึกก็แล้วกัน” นายแพทย์วัยห้าสิบเศษ เดินไปขึ้นลิฟต์ ส่วนภาสกรก็กลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็ลาหญิงสาว
    “ผมขอกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้ามาอยู่เฝ้าคุณนทีนะครับ ผลัดกัน คุณฝ้ายจะได้ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ จะได้ไปเรียนด้วย ตอนกลางวันให้ผมอยู่เฝ้าแทนน่าจะดีกว่า” ภาสกรไม่รอให้หญิงสาวโต้แย้ง “ผมไปก่อนนะครับ”
    ภาสกรยิ้ม แล้วปิดประตูห้องลงลิฟต์ตาม “อาหมอ” ของเขาไป

    ภาสกรขับรถออกมาจากโรงพยาบาลได้พักหนึ่ง ก็ตัดสินใจพูดขึ้นกับนายแพทย์มิ่งเมือง
    “อาหมอครับ”
    “ว่าอย่างไร คุณชาย”
    “ผมขอร้องอาหมอเรื่องหนึ่งได้ไหมครับ” ภาสกรมองหน้าอาหมอของเขาขณะที่รถยังคงติดไฟแดงอยู่ พอเห็นว่ามิ่งเมืองทำหน้าประหลาดใจ และไม่เข้าใจคำพูดของเขา ภาสกรก็พูดต่อไป “หม่อมแม่ไม่เห็นด้วยที่ผมดูแลรับผิดชอบเด็กคนนั้นครับ ท่านจะต้องไม่พอใจมากที่ผมมาเยี่ยมเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ผมหนีหม่อมแม่ และ คุณทิฆัมพรมาตั้งแต่เช้า”
    “ทิฆัมพร ลูกคุณสุชาดา ที่หม่อมแม่ของคุณชายหมายมั่นจะให้แต่งงานด้วยนั่นน่ะหรือ”
    “ครับ ทิฆัมพรพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ผม ยุ่งอยู่ทั้งวันให้ได้ ผมเลยไม่ได้มาเยี่ยมนทีตั้งแต่เมื่อสองวันมาแล้วน่ะครับ”
    “แล้วยังไง คุณชายจะไม่ให้อาบอกหม่อมวิไลวรรณ และ ท่านชายใช่ไหม” นายแพทย์พุ่งเข้าสู่ประเด็นอย่างที่ภาสกรไม่ทันตั้งตัว
    “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านพ่อนะครับอาหมอห้ามบอกท่านพ่อเด็ดขาดเลยนะครับ” นทีว่า พลางขับรถออกจากโรงพยาบาลห่างออกมาเรื่อยๆ
    “เอาเป็นว่า อาจะพยายามเลี่ยงก็แล้วกัน”
    “ถ้าหม่อมแม่ถาม อาหมอช่วยบอกว่านัดผมมาเจอเพราะคิดถึง หรืออะไรทำนองนี้ได้ไหมครับ”
    นายแพทย์มิ่งเมืองยิ้ม
    “คุณชายก็รู้ ว่าหม่อมวิไลวรรณคงไม่เชื่อหรอกว่าอาจะคิดถึงคุณชายแล้วเรียกมาคุย เอาเป็นว่า อาจะบอกว่าคุณชายมาทำธุระ พอดีอาเจอในเมือง ก็เลยนัดมาจิบกาแฟ พูดคุย ทำนองนี้ฟังขึ้นกว่านะ”
    ภาสกรพยักหน้า
    “แต่อาไม่แก้ตัวให้ฟรีๆหรอกนะ คุณชาย” นายแพทย์มิ่งเมืองวางสีหน้าตึงเครียด แบบที่มักจะเป็นเวลารู้ว่าภาสกรไม่ดูแลตัวเองแล้วปล่อยให้เป็นไข้ อย่างเมื่อตอนเด็กๆ “คุณชายต้องบอกอา ว่าคุณชายรู้จักเด็กคนนี้ได้อย่างไรแล้วพาเขามารักษาตัวแถมจ่ายให้ทุกขั้นตอนอย่างนี้เพราะอะไร”
    ชายหนุ่มลังเล ยังไม่ตอบในทันทีพอเลี้ยวเข้าถนนสุขุมวิท บริเวณที่เขาขับชน นที ภาสกรก็ตัดสินใจตอบ
    “ผมขับรถชนเขาครับอา” ทีนี้ เป็นฝ่ายมิ่งเมืองบ้างที่นั่งเงียบไปเสียเฉยๆ “ผมเลยตั้งใจจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
    “อย่างนั้นก็ดีละ” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด “อาถือว่า คุณชายทำถูกที่ตั้งใจรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ถ้าเด็กคนนี้หายดีก็ว่าไป หากเขาเป็นอะไรขึ้นมาคุณชายคิดว่าจะรับมืออย่างไร หืม คุณชายจะบอกพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเขาไหม”
    “ผม… ผมจะบอกแต่ทีแรกแล้วครับ แต่นายนทีเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใคร มีแต่ปุยฝ้ายที่เป็นเพื่อนสนิทเท่านั้นที่นับว่าเป็นญาติได้ครับคุณอา ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ...ผมเลยตัดสินใจรับผิดชอบเรื่องนี้เอง”
    มิ่งเมืองนั่งเงียบไปสักพัก
    “อย่างนี้แหละคุณชาย ชีวิตคนเราต้องมีขึ้นมีลง คุณชายสบายมาทั้งชีวิต ได้ลองลำบากดูบ้างจะได้ไม่เสียเปรียบคนที่เขารู้จักทั้งทุกข์และสุข”
    ภาสกรยิ้ม ความลำบากฝากเนื้อฝากตัวอยู่กับเขาตั้งแต่วินาทีที่เข้าก้มลง พิมพ์ตอบเพื่อนในโทรศัพท์แบล็กเบอร์รี่แค่คำว่า
    “จะกลับกรุงเทพแล้ว เจอกันนะโว้ย”
    เท่านั้นเอง ที่ทำให้เด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยต้องมารับเคราะห์ขนาดนี้ เท่าที่ทำอยู่นี้ภาสกรคิดว่าเขายังรับผิดชอบได้ไม่เต็มที่เลยด้วยซ้ำ
     ทั้งคู่มาถึงวังผกากรองในไม่ถึงสองชั่วโมงถัดมา เวลานั้นเย็นมากแล้ว แต่ท้องฟ้ายังไม่เปลี่ยนสีไปเท่าใดนัก ภาสกรจอดรถที่หน้าตำหนัก แล้วอ้อมมาเปิดประตูให้กับนายแพทย์มิ่งเมือง คนขับรถที่ชื่อตาหนูวิ่งมารับรถไปจอดให้ ส่วนนมอุ่น และบรรดาสาวใช้ที่ยืนรอรับอยู่ ก็เดินเข้ามาทักทาย
    “สวัสดีค่ะคุณชาย คุณมิ่งเมือง คุณท่านรออยู่ห้องอังกฤษแล้วค่ะ อุ่นขออนุญาตให้แม่เผื่อนนำทางไปนะคะ อุ่นจะไปยกสำรับมาต้อนรับค่ะ” นมอุ่นยิ้มให้กับนายแพทย์ที่ตามแม่เผื่อน คนใช้ร่างใหญ่ไปยังห้องรับแขกที่ชื่อห้องอังกฤษ
    “คุณชายระวังตัวนะคะ หม่อมยังโกรธทีเดียวค่ะที่คุณชายหายหน้าไปไม่บอกกล่าว” หญิงชราส่งสายตาเห็นใจ แกมตำหนิมาให้
    ภาสกรยิ้มรับ ขอบใจแม่นมของตน แล้วออกเดินตาม อาหมอ ของเขาไปยังห้องอังกฤษ ซึ่งตกแต่งสไตล์วิคตอเรียนไว้สวยหรูเพื่อรับแขกที่สนิทชิดเชื้อกันโดยเฉพาะ พอชายหนุ่มเข้าไปในห้อง นายแพทย์มิ่งเมืองก็นั่งอยู่ที่ชุดรับแขกเรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะมีชากุหลาบอย่างดีส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่ว วางเคียงคู่กับคุกกี้รสต่างๆที่หม่อมวิไลวรรณมักลงมือทำเองเพื่อมาต้อนรับแขก ภาสกรนั่งลงข้างๆ หม่อมแม่ ขณะที่จ้องมองท่านชายเรืองเดช ที่อยู่บนโซฟาตัวยาวสุดปลายอีกด้านเป็นนายแพทย์มิ่งเมืองที่ยังพูดอยู่ไม่จบประโยค
    “...กระหม่อมจึงชวนแกไปจิบกาแฟคุยกันตามประสาคนคุ้นเคยกระหม่อม.. อ้าวมาพอดี”
    ภาสกรยกมือไหว้บิดา มารดา ก่อนจะพิจารณาพักตร์ของ หม่อมเจ้าเรืองเดช ที่วรกายซูบผอมไปมาก เกศาสีดอกเลาขึ้นแซมสีดำที่ขึ้นบางอยู่แล้วเกือบทั่วเศียรทำให้ดูชราภาพมากกว่าที่ภาสกรเคยสังเกต ถ้าให้เลือกแล้ว ชายหนุ่มจะหลีกเลี่ยงท่านพ่อของเขาให้มากเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่เพราะเขาโกรธหรือเกลียดพ่อบังเกิดเกล้า แต่หากเพราะฐานันดรศักดิ์ของท่านชาย ทำให้เขาดูห่างเหินกับสมาชิกในครอบครัวมากเกินความจำเป็น ไหนจะความเข้มงวด ไหนจะราชาศัพท์อีก ภาสกรไม่เคยนึกอยากเจอพ่อของตนด้วยความรัก ความผูกพันเลย โดยมากจะเป็นไปตามหน้าที่หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเท่านั้น
    “ชายภาส มาก็ดี ระยะนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าลูก เป็นอย่างไรบ้างหน้าที่การงานเป็นอย่างไร” น้ำเสียงที่รับสั่งนั้นไม่เหมือนกับที่พ่อคนอื่นใช้คุยกับลูก ท่านชายเรืองเดชมักทรงใช้เสียงที่มีอำนาจ เป็นการเป็นงาน เด็ดขาดและหนักแน่นกับทุกคนไม่เว้นแม้แต่ โอรส หรือ หม่อมของท่าน
    “ลูกสบายดีกระหม่อม หน้าที่การงานก็อยู่ในเกณฑ์ดีกระหม่อม ทางบังกลาเทศ มาเจรจาเรื่องพลอยแขกให้ขึ้นเรือนแบบฝรั่งอีกตามเคย ลูกเห็นว่าจะได้เงินมากอย่างแน่นอน ท่านพ่อมิต้องวิตกกังวลเลย กระหม่อม”
    “ดีแล้ว เห็นหม่อมแม่เราว่าช่วงนี้ยุ่ง คงเรื่องการงานใช่ไหม”
    “กระหม่อม”
    “ดีแล้ว เราเป็นถึงเจ้าถึงนายอย่าให้มีเรื่องไม่ดีอะไรเกิดขึ้นล่ะ”
    “กระหม่อม”
    “เอ้อ มิ่งเมือง” หม่อมเจ้าเรืองเดช หันไปรับสั่งกับนายแพทย์ ที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกข้างๆ “ตรวจอาการฉันเถิด จะได้ไปกินข้าวกินปลากันเสียที เดินทางมาไกลคงจะหิวแล้ว”
    “กระหม่อม” นายแพทย์มิ่งเมืองลุกขึ้นไปใกล้ แล้วลงมือวินิจฉัยอาการของท่านชายเรืองเดช ไม่นานก็กล่าวกับท่านชายไปตามความเป็นจริง
    “ด้วยเรื่องที่ประชวรเป็นโรคหทัยนั้น ขณะนี้อัตราการเต้นของหทัยยังเป็นไปตามปกติกระหม่อม แต่สาเหตุที่ประชวรหนักอยู่ในขณะนี้เกิดจากอาการเหนื่อยจากการทรงงานหนักเท่านั้น กระหม่อมทราบมาว่า ฝ่าบาททรงงานหนักมากเรื่องเทศกาลอัญมณีที่ผ่านมา”
    “ฉันออกแบบเรือนแหวนทั้งหมด กะไว้ว่าคงเป็นงานสุดท้าย ก็อยากให้ออกมาดี ฉันเองก็แก่มากแล้ว คงทำงานหนักๆอย่างก่อนไม่ได้อีกเท่าที่ทำได้ตอนนี้ ก็ให้ชายภาสกรทำงานแทนไป”
    “ทำได้ดีเทียวกระหม่อม”
    “ฉันดีใจที่พอจะวางใจได้ ดลนภา ที่ช่วยทำอยู่ก็เก่งเพียงเรื่องธุรกิจ ไม่มีหัวด้านนี้เหมือนชาย คงได้แต่ฝากผีฝากไข้ใว้กับลูกคนนี้แล้ว” หม่อมเจ้าเรืองเดช แย้มโอษฐ์ให้กับเพื่อนรุ่นน้อง แล้วทอดเนตรเลยมาทางโอรสของท่าน “งานกับบังคลาเทศคราวนี้ พ่อยกให้ชายจัดการเต็มตัว จะไปอยู่ที่วังพัทยาก็ไป จะได้ไม่ต้องเดินทางไปกลับกรุงเทพ พัทยาทุกวัน”
   บริษัท รชตานันต์ อัญมณี ของท่านชายและหม่อมวิไลวรรณ มีสองสาขา สาขาหนึ่งอยู่ที่สุขุมวิท อีกสาขาอยู่ที่พัทยาเนื่องจากทางพัทยามีลูกค้าต่างชาติมากกว่า แถมท่านชายยังมีวังตากอากาศอยู่ที่พัทยาดังนั้นจึงไม่แปลกที่ภาสกรจะหาเรื่องบอกว่าไปอยู่วังที่พัทยา แล้วแอบไปเฝ้านทีได้ทุกวันทีนี้จะได้ไม่ต้องหาเรื่องมาอ้างหนีหม่อมแม่ และทิฆัมพรอีกทุกๆเช้า
    “ลูกว่า จะทูลขออนุญาตจากท่านพ่อพอดี กระหม่อม เนื่องจากลูกต้องทำทั้งงานออกแบบ และรับรองแขกแถมจะจัดแฟชั่นโชว์ร่วมกับคุณหญิง ดาริกา ที่พัทยาใต้ให้ทันซัมเมอร์นี้อีก ลูกเห็นว่าจะสมควรกว่าหากท่านพ่อประทานอนุญาตให้ลูกไปอยู่วังที่พัทยาจนกว่างานทางนั้นจะเสร็จกระหม่อม”
   “ไปเถิดพ่ออนุญาต” ท่านชายเรืองเดชรับสั่งตอบ แต่มิ่งเมืองที่นั่งอยู่ข้างๆรีบส่งสายตารู้ทันมาทางคุณชายเพียงแวบหนึ่ง แล้วทำท่าจะหันไปทูลเรื่องอาการประชวรของท่านชายต่อ ก็พอดีท่านชายรับสั่งขึ้นมาอีก “คุณหญิงคนนี้นี่ใครกัน นะพ่อลืมเสียแล้ว”
   “คุณหญิงดาริกา เป็นธิดาของ ท่านหญิงทิพวรรณ สุวรรณฉายกระหม่อม” ท่านหญิงคนนี้ หม่อมเจ้าเรืองเดชรู้จักดี จึงพยักพักตร์รับ มิได้รับสั่งถามอะไรอีก คุณชายจึงพูดต่อไป “ท่านหญิงทิพวรรณ ทรงเปิดห้องเสื้อ “ท่านหญิง” อยู่ที่พัทยาเหนือกระหม่อม ทีนี้พอคุณหญิง ดาริกาที่เป็นรุ่นลูกมารับช่วงต่อก็จะเปิดห้องเสื้อทำเป็นไลน์ใหม่สำหรับวัยที่เด็กกว่าห้องท่านหญิง ให้เป็นแบรนด์ “คุณหญิง” กระหม่อม พอดีเดือน เมษาฯนี้  คุณหญิงจะจัดแฟชั่นโชว์ ซัมเมอร์คอลเลกชั่น 2011 โดยจะใช้เครื่องประดับของเรากระหม่อม ลูกเห็นสมควรที่จะทำเครื่องประดับสำหรับวัยที่เด็กกว่ามานานแล้ว มางานนี้เห็นเป็นจังหวะเหมาะที่จะขยายตลาดจากหญิงวัยกลางคนไปสู่วัยรุ่น และวัยทำงานจึงรับปากไว้ก่อน มิได้ทูลขอประทานอนุญาต จากท่านพ่อกระหม่อม”
   “เอาเถิด พ่อไม่ขัดหรอก สายตาของคนรุ่นใหม่มันกว้างไกลกว่าสายตาคนแก่อย่างพ่ออยู่แล้ว ถือว่าดีแล้วที่เจ้ามองการณ์ไกลแบบนี้” ท่านชายรับสั่ง
    “เรื่องนี้ หนูฟ้ารู้หรือยังลูก ถ้าได้ไปเป็นนางแบบงานนี้ แม่ว่าหนูฟ้าคงจะดีใจแน่ๆ” หม่อมวิไลวรรณแทรกขึ้นมา
    “ยังครับ เรื่องนางแบบเป็นเรื่องทางคุณหญิงเขาจัดการชายมีหน้าที่ทำเครื่องประดับเท่านั้น” ภาสกรเห็นหม่อมแม่ของตนนั่งคิดอะไรอยู่ก็กลัวว่าหล่อนจะพูดอะไรออกมาอีกจึงรีบแทรกขึ้นเปลี่ยนเรื่องไปได้ทันพอดี “อาหมอ ว่าค้างไว้เรื่องอาการท่านพ่อ ว่าอย่างไรนะครับ”
     “อย่างที่ทูลไปแล้วกระหม่อม อาการโรคหทัยยังไม่น่าเป็นห่วง แต่ถ้าเป็นไปได้ กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาท ประทับอยู่ที่วังผกากรองเฉยๆ อย่าเพิ่งไปทรงงานด้วย พระชนม์มากแล้ว จะประชวรง่ายกระหม่อม”
   ท่านชายพยักพักตร์อย่างเข้าใจ
    “ฝ่าบาทเสวยยาที่กระหม่อมถวายหมดแล้วหรือยังกระหม่อม”
    “ยัง พอทานต่อไปอีกสักสองสามสัปดาห์”
   “ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทเสวยยาที่มีอยู่ให้หมดเสียก่อนเถิดกระหม่อม หากหมดแล้วกระหม่อมจะสั่งยาถวายอีก ระหว่างนี้ขอให้ฝ่าบาทพักผ่อนอยู่แต่ที่วัง อย่าให้มีเรื่องรบกวนหทัย หรือต้องตึงเครียดเท่านั้น เป็นพอแล้วกระหม่อม” ประโยคสุดท้าย นายแพทย์ไม่ลืมที่จะส่งสายตาเตือนไปยัง ชายภาสกรผู้เป็นโอรส ทำนองว่า อย่าให้ท่านชายต้องมีเรื่องกวนหทัยเลย

***********************************************************************
เมื่อวานนี้เหมือนเว็บจะล่มหรือเปล่าครับ? เข้าไม่ได้เลยไม่ได้มาต่อ วันนี้ต่อให้แล้วอย่าเพิ่งทิ้งกันนะคร้าบบบ

ปล. พรุ่งนี้อัพ “ทางสามสาย” เพิ่มอย่าลืมตามไปให้กำลังใจอีกเรื่องนะค้าบบบบบบบบบบบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2011 21:30:20 โดย Purple_Sky »

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #94 เมื่อ03-03-2011 21:55:11 »

 o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2011 22:20:51 โดย Little Devil »

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #95 เมื่อ03-03-2011 22:26:51 »

เฮ่อ กลุ้มใจกับขวากหนามข้างหน้าที่รอนทีอยู๋ >.<

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #96 เมื่อ03-03-2011 22:34:09 »

ยังไม่เหนแสงสว่างเลยแฮะ ^ ^"

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #97 เมื่อ03-03-2011 22:41:08 »

สงสัยต้องรอคณซายมาจมพิตหละมั้งเนี้ยน้ำภงึจะตื่นอ่ะ อิอิ

ออฟไลน์ i-love-you

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 716
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-3
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #98 เมื่อ04-03-2011 00:01:41 »

คำราชาศัพท์? นี้ชั่ง อ่านยากเหลือนี่ กะไร   555+ คนแต่งเก่งอ่ะ  o13

ออฟไลน์ DarKLasT

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 595
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #99 เมื่อ04-03-2011 01:43:28 »

เหมือนงานจะยุ่งนะครับแบบนี้

ทั้งแม่ทั้งสาวแถมคนใกล้ตัวไกลตัวอีก

ลุ้นกันต่อไปครับว่าน้องจะฟื้นเมื่อไหร่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
« ตอบ #99 เมื่อ: 04-03-2011 01:43:28 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ naja-kitase

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #100 เมื่อ04-03-2011 01:56:33 »

เตรียมถ้วยใบใหญ่ๆไว้ใส่มาม่า 55
น้ำยังไม่ฟื้นเลย อุปสรรคตั้งท่ารอไว้ซะเยอะเชียว

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #101 เมื่อ04-03-2011 05:03:28 »


๑๗๑ + ๑ = ๑๗๒
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky


lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #102 เมื่อ04-03-2011 16:32:12 »

เมื่อไหร่นทีจะฟื้นซะทีล่ะคะ อยากให้นทีเจอกับคุณชายเร็วๆ ใจร้อน 555

ออฟไลน์ lomekung

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1762
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #103 เมื่อ04-03-2011 17:25:33 »



มาลุ้นด้วยคน

 :call: :call:

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #104 เมื่อ04-03-2011 17:54:46 »

คุณชายก็มีแอบเจ้าเล่ห์

พอดีเลยได้หาเรื่องหนีหม่อมแม่กะคู่หมั้น เหอๆ

รอนทีฟื้น อยากรู้ว่าเจอหน้ากันจะทำไง แล้วอดีตของนทีเป็นไงกันแน่

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 726
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #105 เมื่อ04-03-2011 18:41:53 »

ท่านชายฉลาดนะ

แต่รู้สึกว่าเนื้อเรื่องจะช้านะคับ

เร็วกว่านี้ก็ดีนะ

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 726
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #106 เมื่อ04-03-2011 18:42:12 »

ท่านชายฉลาดนะ

แต่รู้สึกว่าเนื้อเรื่องจะช้านะคับ

เร็วกว่านี้ก็ดีนะ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #107 เมื่อ05-03-2011 09:15:29 »

อ่านไปเกร็งไป  เหมือนได้เข้าเฝ้าด้วยตัวเอง

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #108 เมื่อ06-03-2011 01:00:46 »

ยอดเยี่ยมอีกเช่นเคยค่ะคุณฟ้าม่วง

คนละเเนวกับปรางบรรพ์ เเต่ภาษายังสวยเหมือนกัน

กำลังตามอ่านทางสามสายด้วย

ก็มาคนละเเนวอีก

คุณเก่งจริงๆค่ะ o13

ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆๆนะ  :pig4:

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #109 เมื่อ06-03-2011 11:23:18 »

ท่านชายเริ่มโกหกแล้วน่ะ แต่ก้อดีมีความรับผิดชอบดีว่าม่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
« ตอบ #109 เมื่อ: 06-03-2011 11:23:18 »





nuewanda

  • บุคคลทั่วไป
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #110 เมื่อ06-03-2011 20:54:42 »

โห้..........ปัจจัยความรักแต่ละอย่าง
ท่านชายพ่อเอย หม่อมแม่เอย นางร้ายเอย
ช่างเป็นเส้นทางรักที่โรยด้วย "หนาม"กุหลาบ ซะจริงๆ ฮ่าๆๆๆ

เริ่มไม่อยากให้น้ำฟื้นแล้วซิ ........ ฮ่าๆๆ ล้อเล่น

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #111 เมื่อ07-03-2011 22:32:23 »

6

    “ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันว่า ท่านพี่เสด็จเสวยกระยาหารเย็นก่อนดีกว่าไหมเพคะ” หม่อมวิไลวรรณกล่าว
   “ดีเหมือนกัน พี่ก็หิวแล้ว มิ่งเมือง อยู่ทานอาหารด้วยกันก่อนนะ”
   “กระหม่อม”
    “ถ้าอย่างนั้นลูกขออนุญาต ขึ้นไปจัดกระเป๋าก่อนนะกระหม่อม” ชายภาสกรว่า ทั้งหม่อมแม่ และ ท่านชายเรืองเดชไม่ได้ว่าอะไร ภาสกรจึงขึ้นไปจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปอยู่พัทยาเป็นเวลา เกือบเดือน อยู่ที่ “โรงพยาบาล” ก่อนจนกว่านทีจะฟื้น จากนั้นค่อยไปอยู่ที่ “วังพัทยา”จนกว่าจะเสร็จงาน ของคุณหญิง ซัมเมอร์คอลเลกชั่น 2011
    ที่ภาสกรดีใจที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นจะเป็นที่เขาไม่ต้องเจอกับทิฆัมพรอีกตลอดเดือนนั้นแหละ
    ถ้าพระเจ้าเข้าข้างเขาละก็

    ภาสกร ลงมารับประทานอาหารเย็นอย่างเอร็ดอร่อย อาหารวันนี้นมอุ่นเตรียมไว้เป็น อาหารไทยต้นตำรับแท้ๆ โดยเลียนแบบอาหารเย็นของคนโบราณที่ต้องมี น้ำพริก ผักลวก ผัดผัก แกงใส และ แกงกะทิ ให้ครบตามแบบแผน โดยมีทั้งน้ำพริกปลาทูผักเคียงต่างๆ ผัดบรอคโคลี่ใส่กุ้งแม่น้ำ แกงจืดฟักที่แกะสลักไว้อย่างดี และแกงเผ็ดเป็ดย่างที่หากินได้ยากอีกด้วย
    คุณชายทานอะไรเสร็จแล้ว นายแพทย์มิ่งเมืองก็ทูลขออนุญาตท่านเรืองเดช ลาจากวังผกากรองกลับพัทยา โดยมีภาสกรขับรถไปส่งที่โรงพยาบาล ขณะนั้น เกือบหกโมงเย็นแล้ว กว่าทั้งสองจะกลับไปถึงก็เกือบๆสองทุ่ม ภาสกรเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่งขนาดพอดี ไว้อยู่เฝ้านที ที่โรงพยาบาล เพราะที่วังพัทยา มีเสื้อผ้าของเขาเก็บไว้บ้างแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากเพียงแต่มีของใช้ส่วนตัวอย่างผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน อะไรพวกนี้เท่านั้น
    ปุยฝ้ายกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนชุดโซฟารับแขกตอนที่ภาสกรเข้าไป ชายหนุ่มไม่อยากปลุก แต่ด้วยความที่ทำอะไรเสียงดัง หญิงสาวจึงตื่นอย่างช่วยไม่ได้ คุณชายหนุ่ม อาสาไปส่งหญิงสาวผิวคล้ำที่แฟลตของหล่อนที่พัทยาเหนือ แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมให้เพื่อนหนุ่มคลาดสายตา คุณชายจึงต้องยอมอยู่เฝ้านที แล้วให้หล่อนกลับแฟลตไปคนเดียว เพื่ออาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่และบังคับให้ไปเรียนในตอนเช้าด้วย ให้มาที่โรงพยาบาลได้ในตอนเย็นเท่านั้น หญิงสาวจึงตัดสินใจ หอบชุดนักศึกษามาไว้ที่นี่เสียเลย ตอนกลางวันภาสกรอยู่เฝ้าไป ตอนกลางคืนหลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัย หล่อนก็มารับช่วงต่อ ภาสกรจึงไม่จำเป็นต้องอยู่กับนทีในตอนกลางคืน นอกจากคืนแรกเท่านั้น
    วันรุ่งขึ้นภาสกรจึงไม่มีอะไรทำ นอกจากนอนอ่านหนังสือที่ปุยฝ้ายทิ้งเอาไว้ เป็นวรรณกรรมอังกฤษที่เขาไม่เคยอ่าน ภาสกรได้แต่อ่านฆ่าเวลาไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง พอตอนกลางคืนปุยฝ้ายมาเยี่ยมนที ชายหนุ่มจึงออกไปที่ทำงาน ไปเอาแบบเครื่องประดับที่ต้องส่งให้บังคลาเทศดูภายในอาทิตย์หน้ามาทำให้เสร็จ
    “พลอยแขก ที่ขึ้นเรือนแบบฝรั่ง” เหมือนคำบรรยายที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เคยอธิบายนิทานเวตาลฉบับที่ชาวอังกฤษนำไปแปลไว้ อยู่ตรงหน้าภาสกร เขาจำเป็นต้องตีโจทย์นี้ให้แตกให้ได้ สร้างความลงตัวระหว่าง ตะวันออก และตะวันตกให้เป็นที่พอใจของเจ้าของพลอย และ ถูกใจผู้ซื้อชาวตะวันตกด้วย
    เคยมีคนบอกเขาไว้เมื่อนานมาแล้วที่อังกฤษว่า ภาสกรนั้นเหมือนกับ ทับทิมสยามที่ถูกเจียระไนโดยช่างชาวอังกฤษฝีมือดี เพราะรูปลักษณ์ของชาวตะวันออกมีปรากฏอยู่ที่ใบหน้าเท่านั้น แต่ร่างกายที่สูงใหญ่ราวสุภาพบุรุษชาวอังกฤษ และกิริยา มารยาทที่ถูกหล่อหลอมโดยสังคมเมืองผู้ดีนั้น ทำให้เขาเป็น “ทับทิมสยาม ที่ถูกเจียระไนโดยช่างชาวอังกฤษ” ที่สวยงามถูกใจทั้งคนไทย และ ชาวตะวันตก
    แล้วชายหนุ่มตรงหน้าเล่า
    ภาสกรเหลือบมองเขาหลายครั้ง นทีไม่ต่างอะไรจากมุกที่เกิดเองตามธรรมชาติ มันไม่กลมสวยเป็นเม็ดงามเหมือนมุกที่คนสร้างขึ้น อย่างไรก็ตามมุกธรรมชาติย่อมมีรูปร่างที่แตกต่างเป็นที่สนใจมากกว่ามุกสังเคราะห์ที่อาจมีคนมองว่าเป็นของปลอมได้ ภาสกรเดินตรงไปที่เตียงของชายหนุ่ม เขาสัมผัสผิวกายที่เนียนนุ่มราวไข่มุกที่แขนของชายหนุ่มคนนั้น
    “เมื่อไหร่คุณจะฟื้น” ภาสกรกระซิบถามชายหนุ่มตรงหน้าเบาๆ
    ในคืนที่สาม ภาสกรหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ คืนนี้ปุยฝ้ายไม่ได้เข้ามานอนเฝ้าชายหนุ่มเพราะปุยฝ้ายติดทำโปรเจคต์ปลายภาคส่งอาจารย์เขาจึงเป็นฝ่ายต้องนอนที่โซฟาปรับนอนสำหรับญาติตัวนั้นแทน
    ภาสกรพบว่าเขากำลังเดินอยู่บนชายหาด ที่หาดทรายที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ทรายเป็นสีขาวเม็ดละเอียดราวกับผลึกแก้ว แต่กลับนุ่มเท้าเป็นอย่างยิ่งราวกับว่าเขาเดินอยู่บนพรมขนแกะก็ไม่ปาน ใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้น คนที่เขาคุ้นตาเหลือเกิน นั่งอยู่บนบริเวณที่คลื่นสาดเข้าถึงกระทบตัวชายหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขากลับไม่ได้รำคาญอะไรยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีวี่แววที่จะลุก
    “คุณอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือครับ” ภาสกรได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป
    “ประมาณ 6 วันแล้วครับ” เสียงนุ่มๆ ตอบอย่างเป็นกันเอง มันเป็นเสียงที่ไพเราะ ดุจเสียงของไซเรน สัตว์ในตำนานกรีกที่หลอกล่อให้เขาเข้าไปใกล้ ภาสกรขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่มคนนั้นอีกนิด
     “แล้วทำไมไม่กลับเข้าฝั่งล่ะ”
     “มันน่ากลัวออกครับ แล้วก็อันตรายด้วย” เขาว่า “อยู่ตรงนี้ สบายดีออก ทั้งนุ่ม ทั้งเย็น ผมไม่อยากกลับไปหรอกครับ ผมไม่อยากไปเจอความวุ่นวาย ความยุ่งยากและตึงเครียดทั้งหลายแหล่บนฝั่งนั้นหรอกครับ”
    ภาสกรยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น
   “มันไม่แย่ขนาดนั้นนี่ คุณยังมีพ่อ มีแม่ มีเพื่อนๆ ที่จะคอยฝ่าฟัน ต่อสู้สิ่งต่างๆไปได้นะครับ”
    “ก็ผมไม่มีนี่ครับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหน้าภาสกรด้วยหยาดน้ำตาที่เกาะอยู่ตรงหางตาคู่สวยนั้น ภาสกรมองดวงหน้านั้นแล้วรู้สึกแปลกใจว่า เหตุใดเขาจึงอยากกอด อยากโอบชายหนุ่มคนนี้ไว้นัก อยากปกป้อง อยากดูแล ทำไมกันนะเพียงเพราะแววตาที่น่าสงสารนี่หรือ “ไม่มีใครแล้วทั้งนั้น ทั้งพ่อ แม่ ทั้งเพื่อน ที่จะสู้ไปพร้อมกับผมน่ะครับ โลกนี้มันโหดร้ายนะครับ ถ้าเราต้องอยู่คนเดียว”
    ภาสกรมองไปที่ทะเล คลื่นน้อย และกำลังไหลลงไปในมหาสมุทร ราวกับในอีกไม่กี่นาที คลื่นใหญ่ยักษ์ท่วมหัวจะโผล่มา แล้วลากชายหนุ่มคนนี้กลับลงทะเลไป
    “ถ้าคุณไม่ไปตอนนี้ คุณอาจจะไม่มีโอกาสกลับไปอีกนะครับ” ภาสกรว่า เขามองคลื่นทะเลที่ยกตัวขึ้นสูงพอๆกับความสูงของเขาค่อยๆ ม้วนตัวรอบเขา และ ชายหนุ่มอีกคน มีเพียงช่องว่าง ด้านหลังเท่านั้นที่จะวิ่งหนีไปได้ ก่อนที่คลื่นนี้ จะม้วนตัวเข้ามาปิดล้อมเขาสองคน และกลืนทั้งคู่ลงไปในทะเล “มาเถอะครับ เร็วเข้าก่อนที่มันจะสายเกินไป”
    ชายหนุ่มลังเล ก่อนที่หยาดน้ำตานั้นจะไหลลงมาที่แก้ม เขามองทะเลที่อยู่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตาว่ามีแต่ความกว้าง และเงียบสงบไม่เหมือนกับที่ภาสกรเห็น ส่วนข้างหลังที่เป็นฝั่งนั้นมีแต่ตึกรามบ้านช่องสูงเสียดฟ้า มีเมฆหมอกและควันขมุกขมัว ราวกับว่าหากเขาเดินกลับไปที่ฝั่งแล้วหมอกควันพวกนี้ จะกลืนกินเขาหายไปหมดทั้งตัวได้
    “เร็วเข้า” ภาสกรยื่นมือออกมาที่ชายหนุ่ม พร้อมกับยิ้มให้อย่างอบอุ่น
    ฉับพลัน บนท้องฟ้าเบื้องหลังที่เคยขมุกขมัว สับสน และ เต็มไปด้วยความน่ากลัวนั้น กลับมีแสงสว่างปรากฏขึ้น เป็นลูกไฟขนาดยักษ์สาดแสงลงมา ขจัดเมฆหมอกและฝุ่นควันเหล่านั้นออกไป จนเหลือแต่ความสว่างสดใสเท่านั้น ชายหนุ่มมองไปยังทะเลเบื้องหน้าจึงรู้สึกว่าเขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว ไม่อยากรอให้ทะเลที่เงียบสงบและสดใสน่ามองนั้นกลืนเขาไปอีกแล้ว
    “มาเถอะครับ ผมจะช่วยคุณเอง”
    แล้วภาสกรก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น แม้ปากของชายหนุ่มตรงหน้าจะไม่ขยับแต่เขาก็ยินมันชัดเจนเสียงนุ่มๆนั้นถามเขาเบาๆว่า
    “สัญญาได้ไหมล่ะ”
    “เอ๊ะ” เขาร้องขึ้นอย่างงุนงง
    “สัญญาได้ไหม ว่าถ้าผมกลับไปที่ฝั่งคุณจะคอยช่วยเหลือ นำทางผมฝ่าฟันหมอกควันพวกนั้นไปได้ สัญญานะว่าคุณจะคอยดูแลผม ปกป้องผม ไม่ให้เจอกับอันตรายใดๆ”
    ภาสกรยิ้มอย่างอบอุ่นอีกครั้ง มือที่ยื่นอยู่ตรงหน้า ไม่สั่น ไม่กลัว หากแต่หนักแน่นและมั่นคง
    “ผมชื่อภาสกร แปลว่า ผู้ให้แสงสว่าง ผมจะคอยนำทางให้คุณเองครับ”
    “สัญญานะ”
    “สัญญา” ภาสกรยิ้มกว้างและแล้วชายหนุ่มคนนั้นก็จับมือเขา ภาสกรดึงให้เขาลุกขึ้นจากคลื่นที่กำลังจะฉุดเขาลงทะเลไป จากนั้นทั้งคู่ก็ออกวิ่ง วิ่งไปสู่แสงสว่าง หนุ่มน้อยคนนั้นหันกลับมามองทะเล บัดนี้มันไม่สดใส สวยงามอีกแล้ว มันกลายเป็นความปั่นป่วน พายุพัดอย่างน่ากลัว ส่งเสียงคำรามร้องก้อง ราวกับเสียงของพญามัจจุราช ที่โกรธแค้น เพราะไม่สามารถเอาดวงวิญญาณของหนุ่มน้อยดวงนี้ไปอยู่ด้วยได้
    ทั้งคู่วิ่งไปในความอบอุ่น ในทางที่มีแต่แสงสว่าง มีภาสกรเป็นคนจูงมือนำชายหนุ่มคนนั้นไป ไปสู่จุดกำเนิดของความสุขนั้น ไปสู่ลูกไฟลูกใหญ่บนฟ้า
    “คุณสัญญาแล้วนะ”

    ภาสกรลืมตาขึ้นพร้อมๆกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ทันทีที่คุณชายลุกขึ้นจากโซฟาแล้วหันไปยังร่างที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียงก็พบว่า บัดนี้ชายคนนั้นไม่ได้นอนหลับตาอยู่บนเตียงอีกแล้ว ตาทั้งสองคู่ประสานกันพร้อมๆกับแสงสว่างแรกของวัน ที่ส่องลอดผ่านม่านที่ปิดไว้ไม่สนิทเข้ามา
   “คุณเป็นใคร ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่” เสียงที่ปกติจะนุ่มน่าฟัง ของหนุ่มน้อยคนนั้น แหบพร่าเพราะไม่ได้พูดมาเป็นเวลานาน หากแต่ภาสกรก็มั่นใจว่าเสียงนี้ เป็นเสียงที่อยู่ในความฝันของภาสกรแน่แล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2011 09:27:25 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
«ตอบ #112 เมื่อ07-03-2011 22:37:13 »

7

    เวลาที่เราดูหนัง ละคร หรือแม้แต่อ่านนิยาย หากเป็นฉากที่ตัวละครสักตัวหลับไป หรือ สลบไป หรือ หมดสติ อะไรก็แล้วแต่ แล้วสามารถฟื้นขึ้นมาได้ในภายหลัง ประโยคแรกที่ตัวละคร ตัวนั้นจะพูดคือ “ที่นี่ ที่ไหน” หรือไม่ก็ “เกิดอะไรขึ้นกับผม” แล้วเรา ผู้ชม หรือ ผู้อ่านมักจะเกิดความคิดขึ้นในใจว่า
    “ปัญญาอ่อนหรือไง แค่มองก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ โรงพยาบาล จะถามทำไมอีก แล้วถ้าสบายดี จะไปอยู่ที่โรงพยาบาลไหมเล่า”
    แม้แต่นทีก็ยังเคยคิดอย่างนั้น พอมาเจอเข้ากับตัวเอง เขาถึงเข้าใจว่าเหตุใดตัวละครเหล่านั้นถึงถามคำถามงี่เง่าแบบนี้กันทุกคน

    ไม่แปลกที่คำถามที่ว่า เขาอยู่ไหน แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่จึงหลุดผ่านปากเขาออกมา เพราะ เขาจำอะไรไม่ได้เลยในนาทีแรก จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา และเขาอยู่ที่ไหนจริงๆ สิ่งล่าสุดที่จำได้คือเขาเดินข้ามถนน แล้วแสงสว่างจ้าก็สาดเข้ากระทบตาเขา พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลเสียแล้ว แถมยังมีชายคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาตลอดชีวิตมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาอีก นที จับต้นชนปลายไม่ถูก จะถามซ้ำอีกก็ไม่มีแรงแล้ว ความเจ็บปวด ที่แขน ที่ขา และศีรษะ มากเกินกว่าที่เขาจะมีแรงพูดอะไรออกมาอีก
    นางพยาบาลสองคนเดินเข้ามาในห้องอย่างร้อนใจ นาทีต่อจากนั้นเขาแทบจะไม่รู้สึกตัวอีกว่าเกิดอะไรขึ้น นทีหลับไปอีกครั้ง ไม่ลึกเท่าครั้งแรก ทำให้เขาพอจะสัมผัสอาการเคลื่อนไหว และเสียงรอบๆตัวเขาได้ เขารู้เพียงหมอ และพยาบาลเข้ามารุมตรวจร่างกายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่นานหลังจากนั้น ความสงบก็กลับมาแทนที่
    ครั้งต่อมาที่เขาตื่นขึ้น ก็พบตัวเองในห้องเดิม ต่างไปเพียงแต่ชายหนุ่มแปลกหน้าคนที่จ้องหน้าเขาอยู่ในตอนแรกนั้นกลับไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว เพราะเจ้าตัวกำลังนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกที่ห่างออกไป มือประสานกันไว้บนตัก แล้วก้มหน้านิ่งอยู่อย่างสงบ เปลี่ยนจากชุดนอนมาเป็นเสื้อเชิ้ตสีครีม และกางเกงแสลคสีเข้มเข้ากัน ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขากลับเป็น
    “ฝ้าย”
    “อ๊าย นที แกฟื้นแล้ว” เพื่อนสาวแตะแขนขวาของเขาเบาๆ เนื่องจากไม่สามารถโผเข้ากอดอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำได้ เพราะตอนนี้ชายหนุ่มที่นอนอยู่ตรงหน้าเจ็บไปทั่วทั้งตัวจนหล่อนไม่สามารถทำอะไรได้ กลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บมากขึ้นไปอีก
    นทีสำรวจห้องที่เขานอนอยู่อย่างเงียบๆ ห้องเดี่ยว แอร์เย็นฉ่ำแถมมีทีวีเครื่องแพงขนาดนี้ ปุยฝ้ายไม่มีปัญญาจ่ายให้แน่ๆ หรือว่า พ่อเลี้ยงของเขามาพบเข้าแล้วนำเขามารักษาที่นี้... อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเขาต้องนอนรอให้ฝ่ายนั้นมารับตัวกลับไปอยู่ในนรกอีกอย่างนั้นหรือ
    “พ่อเลี้ยงฉัน...” ชายหนุ่มถามขึ้น “เขาพาฉันมาที่นี่ใช่ไหม”
    “เปล่า” ปุยฝ้ายเอ่ยขึ้น พอดีกับที่ชายหนุ่มอีกคนหายไปจากโซฟารับแขก มายืนอยู่ข้างๆหญิงสาวเสียแล้ว ดูจากการแต่งตัว นทีไม่ต้องเสียเวลาเดาเลยว่าต้องเป็นคนรวย อย่างแน่นอน ทั้งสร้อยสีเงิน และ นาฬิการวมไปถึงแหวนที่ประดับอยู่บนร่างกาย ร่วมกับเสื้อผ้าราคาแพงอีก ชายหนุ่มที่ไม่ธรรมดาคนนี้ เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขานึกไม่ออกจริงๆ
    “เพื่อนคุณอดิสรณ์หรือ”
    “เปล่าหรอกคนนี้คือ คุณ ช..”
    “ผมชื่อ ภาสกร ครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้กับผู้ป่วยที่นอนอยู่ตรงนั้น
    “คุณช..” ปุยฝ้ายเห็นสีหน้าของชายหนุ่มที่หล่อนกำลังพูดถึง ก็รีบเปลี่ยนชื่อเรียกของเขามาเป็นเพียงชื่อเฉยๆแม้หล่อนจะไม่เข้าใจเหตุผลก็ตาม “คุณ ภาสกร เขา.. เอ่อ เป็นคนพบแก น่ะสิ แก ถูกรถชนก่อนที่จะมาหาฉันที่แฟลตไง คนขับชนแล้วหนีไป ผู้ชายคนนี้ก็เลยช่วยแกไว้ ”
    นทีจะยกมือขึ้นไหว้ เพราะเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะต้องอายุมากกว่าเขาแน่ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วแขนซ้ายของเขา แม้จะกระดิกก็ยังไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามใจได้เลย
    “ขอบคุณครับ” นทีทำได้เพียงเท่านั้น เพราะเพียงพูดก็เจ็บไปหมดแล้ว ภาสกรรับคำขอบคุณไว้ด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น
    เดี๋ยวก่อนนะ รอยยิ้มแบบนี้ เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
    “ผมเคยรู้จักคุณมาก่อนไหมครับ” เด็กหนุ่มรวบรวมแรงทั้งหมด ถามขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ต้องตอบนั้น กำลังลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
    ภาสกรลังเล เขามั่นใจว่านทีคงเห็นเห็นเขาตามข่าวสังคม หรือ นิตยสารปาปารัสซี่ทั้งหลาย เวลาไปไหนมาไหนกับทิฆัมพร แต่ด้วยเห็นผลบางประการ ภาสกรจึงตัดสินใจปิดมันเอาไว้ก่อน เขาไม่อยากให้ นทีรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาคิดว่าอะไรหลายๆอย่างมันคงง่ายกว่า ระหว่างที่เขาต้องอยู่เฝ้านายนทีคนนี้ ถ้าเขาเป็นเพียง คุณ ภาสกร ไม่ใช่ หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์  ชายหนุ่มคงไว้ใจเขาและไม่ต้องรู้สึกประดักประเดิด เวลาที่ต้องคุยกับเขา ชายหนุ่มพบมามากแล้ว คนที่เขาอยากพูดคุย อยากผูกมิตรด้วยแต่อีกฝ่ายกลับเคอะเขิน เพราะเกรงใจในฐานันดรศักดิ์ของเขา
    และมีอีกหลายคนที่ไม่กล้าพูดกับเขา เพียงเพราะไม่แน่ใจว่าต้องใช้ราชาศัพท์กับหม่อมราชวงศ์หนุ่มหรือไม่
    ดังนั้น เป็นคุณภาสกรเฉยๆ คงจะดีกว่า
    “ไม่ทราบซีครับ ผมก็เพิ่งรู้จักคุณ” แม้จะตอบไปอย่างนี้ แต่ภาสกรก็รู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มอย่างประหลาด พอๆกับคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในขณะนี้ รอยยิ้มแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ท่าทีแบบนี้ เขาเคยเห็นมาจากที่ไหนแน่ๆ และมันช่างคุ้นเคยมากเสียจนเขาอดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพื่อนคนหนึ่งของพ่อเลี้ยงของเขาหรือเปล่า... เพื่อนคนหนึ่งของพ่อเลี้ยงที่ทำลายเขาหรือเปล่า
    “ฝ้าย... แล้ว คุณอดิสรณ์ล่ะ เล่าให้ฉันฟังซี ว่าตั้งแต่ฉันหลับไป มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ” ภาสกรสะดุดชื่ออดิสรณ์อย่างประหลาดใจ ชื่อนี้เขาเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน และไม่ใช่จากปุยฝ้ายหรือนทีด้วย
   ท่าทีของปุยฝ้ายทำท่าอึกอัก ไม่รู้จะตอบคำถามเพื่อนได้อย่างไร ในเมื่อภาสกรก็ยังอยู่ตรงนั้นด้วยทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้น นี่เขาควรมายืนอยู่ตรงนี้หรือ
    ก่อนที่เขาจะทันหาข้ออ้างหลบออกไปให้เพื่อนทั้งสองคุยกันโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นพอดี ตอนแรก เขาคิดว่า เป็นหม่อมแม่ของเขา หรือแม้กระทั่งทิฆัมพร จึงพร้อมที่จะกดตัดสายตอนนั้น แล้วค่อยไปแก้ตัวทีหลังว่าติดประชุม แต่แล้วกลับไม่ใช่ มันเป็นชื่อของ ดลนภา เลขานุการสาว ของเขานั่นเอง
    “ผมขอตัวรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ” ภาสกรยิ้มให้กับทั้งคู่ โดยมีเพียงหญิงสาวผิวเข้มที่เริ่มคุ้นเคยกับเขาแล้ว ยิ้มตอบกลับมา หากนที ที่เพิ่งคุยด้วยเป็นครั้งแรกกลับไม่ได้ยิ้มตอบ แม้ตามมารยาทก็ตาม ชายหนุ่มปักใจเชื่อว่า ผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นคนที่ พ่อเลี้ยงของเขา ส่งมาเฝ้า และเมื่อเขาหายดีแล้ว คงต้องส่งกลับไปให้อดิสรณ์เป็นแน่
    แต่นที ไม่มีวันกลับไปอีกแล้ว
    ทันทีที่ชายหนุ่มออกไป นทีก็หลับตาแล้วถอนหายใจยาว
    “ฉันคิดว่า ฉันตายไปแล้วเสียอีก”
    “บ้า พูดอะไรอย่างนั้น” หญิงสาวตวาดแหวขึ้น “ฉันตกใจแทบแย่เลยตอนที่แกโทรมาหาฉันคืนนั้นน่ะ ฉันว่าแกแปลกๆ มีอะไรที่ฉันไม่รู้เกี่ยวกับแกและพ่อเลี้ยงหรือเปล่า แล้วโทรมาว่าจะมาหาดันหายไปเสียอย่างนั้น พอคุณชายโทรมาหาฉันก็แทบเต้นแน่ะ”
    นทีนิ่ง “คุณชาย” หรือ?
    ปุยฝ้ายแทบหยิกตัวเองเมื่อรู้ว่าโพล่งอะไรออกไป แต่ก็เฉไฉทำเป็นพูดต่อไม่ให้มีพิรุธ
    “เอาล่ะ แกเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างคุณอดิสรณ์ กับแก”
    ชายหนุ่มลังเล เขามองหน้าเพื่อนสาวที่รบเร้า แล้วก็หลบตา เรื่องแบบนี้ เขาจะบอกหล่อนดีไหมนะ แต่เท่าที่ผ่านมาปุยฝ้ายก็เป็นคนที่เขาไว้ใจได้ และสนิทด้วยมากที่สุด ถ้าจะบอกใคร ก็ต้องบอกหล่อนคนนี้ ไม่อย่างนั้นก็ปล่อยให้ความลับนี้ คับอกไปจนตายอยู่คนเดียว
    แต่จนแล้วจนรอด ชายหนุ่มก็พูดไม่ออก
    “ไอ้น้ำ ฉันถามแกนะยะ..”
    “คือ... มันพูดยากนะฝ้าย ฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง” ชายหนุ่มไม่กล้ามองหน้าเพื่อนสาวอีก ใจจริงแม้อยากจะระบาย แต่เรื่องแบบนี้เขาก็ไม่เคยคิดได้แต่ไหนแต่ไรแล้ว ว่าถ้าจะบอกใครสักคน เขาจะบอกมันออกไปได้อย่างไร
    เพื่อนสาวรบเร้าอีกเป็นครั้งที่สอง
    “เอาน่า สูดหายใจเข้า ตั้งสติ แล้วก็ตอบฉันมา เอาพอให้ได้ใจความ ที่ถามก็เพราะเป็นห่วงไม่อยากให้แบกอะไรไว้คนเดียว”
    ชายหนุ่มลังเล
    “เอ้า ว่าไงล่ะ”
    “คือ แกห้ามบอกใครเด็ดขาดนะ...” ประโยคที่ตามมาเป็นเพียงเสียงกระซิบไม่จำเป็นต้องพูดยาว ไม่จำเป็นต้องบรรยาย เพียงคำแค่ สามสี่คำ มาร้อยกันเป็นหนึ่งประโยคแบบง่ายๆเท่านั้น ปุยฝ้ายก็ตาลุกโพลง มือปิดปากด้วยความช็อก แล้วทรุดตัวลงนั่งบนโซฟารับแขกตัวนั้น
    “ไอ้น้ำ นานหรือยัง”
    “นานแล้ว... แล้วก็เป็นแบบนั้นมาตลอด”
    “เป็นมาตลอด” ปุยฝ้ายเผลอขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว พอเห็นหน้าที่ตื่นตกใจของเพื่อนหนุ่ม หญิงสาวก็ลดเสียงเป็นเสียงกระซิบ “แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน”
    เขาเงียบ
    “ฉันถามว่าทำไมไม่บอกฉัน เรื่องนี้มันใหญ่มากนะ เล่ารายละเอียดมาซิ แล้วฉันจะไปแจ้งตำรวจวันนี้ เดี๋ยวนี้เลย”
    “เดี๋ยวก่อนซี” เพื่อนหนุ่มกระซิบย้ำ “ฉันเพิ่งบอกอยู่ว่าห้ามบอกใคร ตำรวจก็ไม่ได้”
    “แล้วแกจะยอมเขาอย่างนี้ ตลอดไปหรือไง”
    “ฉันไม่ยอมแล้วไงฝ้าย ฉันถึงตั้งใจเด็ดขาดแล้วว่าจะหนี”
    “แกแค่หนีหรือ” หญิงสาวลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วเดินกลับไปที่เตียง “แล้วถ้าเขาตามแกพบ แล้วถ้าเขาลากแกกลับไป แกไม่ต้องตกนรกทั้งเป็นหรือ แกต้องแจ้งตำรวจ ต้องทำให้มันถูกต้อง เรื่องนี้ฉันขอไม่ตามใจแกสักเรื่องนะ นที”
    “ไม่ได้ซี ฝ้าย เราไม่มีหลักฐาน พูดลอยๆขึ้นมาเฉยๆ เดี๋ยวเขาก็หาว่าแจ้งความเท็จเรียกค่าเสียหายหรอก คุณอดิสรณ์เขาระดับบิ๊ก มีแต่คนนับหน้าถือตา ฉันไปแจ้งความ มีหวังโดนเก็บเสียอีก”
    ปุยฝ้ายหน้าซีด คล้ายจะเป็นลมเข้าไปทุกที
    “ฉันตัดสินใจแล้วล่ะฝ้าย ถ้าฉันหายไปเฉยๆเขาก็คงตามไม่เจอหรอก ฉันกะจะไปหาแก เรียนจบให้ครบเทอม ค่อยลาออก แล้วอาจจะเข้ากรุงเทพ หางานทำ อะไรพวกนี้” เสียงของเขาดูเศร้าแต่ก็มั่นใจในความคิดและการตัดสินใจของตัวเอง “แต่ก็ดันต้องมาเป็นแบบนี้... ซวยจริงๆว่ะ”
    ปุยฝ้ายเอื้อมมือมาแตะแขนขวาของเพื่อนหนุ่มเบาๆ
    “แกอย่าคิดอย่างนั้นสิ คิดเสียว่าแกได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตต่อไป ต่างจากหลายๆคนนะ ที่เขาใกล้จะตาย แต่ก็ไขว่คว้าหาโอกาสที่จะได้อยู่ แกโชคดีแล้วนะที่ได้คนอย่างคุณ ช... คุณภาสกรเขา คอยดูแล”
    “เออ นั่นสิ” หญิงสาวยิ้มเพราะคิดว่าเพื่อนหนุ่มคงเริ่มจะคล้อยตามตน “พูดขึ้นมาก็นึกออก คุณภาสกร อะไรนี่เขาเป็นใคร ทำไมฉันคุ้นๆหน้า เขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของคุณอดิสรณ์ หรือเปล่า”
    “เอ๊ะ” สาวผิวเข้มหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง หล่อนไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้มาก่อน คุณอดิสรณ์อยู่ในระดับ แนวหน้าของธุรกิจไทย ส่วนคุณชายก็ต้องเป็นคนแรกที่นึกถึงหากพูดถึงแวดวงไฮโซ จะเป็นไปได้ไหมว่า สองคนนี้จะแอบรู้จักกันโดยบังเอิญ
    จะบ้าหรือ ถ้าอย่างนั้นโลกคงจะกลม และแคบเกินไปแล้วกระมัง
    แล้วอย่าลืมด้วยว่า คุณชาย เป็นคนขับรถชน นทีเองเสียด้วยไม่ใช่มาสวมรอยเอาตอนหลังอย่างที่ นทีคิด
    “ฉันว่า คิดๆ ไปมันก็ไม่น่าใช่นะ เพราะคุณ ภาสกรเขาอยู่กันคนละแวววงกับนายอดิสรณ์ เขาจะบังเอิญรู้จักกันได้ยังไงเล่ายะ”
       
    ภาสกรเปิดประตูห้องเข้ามา ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มส่งยิ้มให้กับทั้งสองคนในห้อง อย่างเป็นกันเอง กระนั้น ก็ยังไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยที่ยังนอนอยู่บนเตียงนั้นรู้สึกอุ่นใจได้ เขายังมีใบหน้ากังวลปรากฏให้เห็นชัดเจน ภาสกรไม่โทษเขาหรอก เพราะตนก็พอจะเข้าใจว่า การเจ็บป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล แล้วยังต้องตื่นมาพบกับคนแปลกหน้า มันควรจะเป็นอย่างไร
    “ขอโทษ ด้วยครับ เผอิญ คุยเรื่องงานเพลินไปหน่อย” คุณชายพูดพลางยิ้มให้กับคนในห้อง “พอดี บ่ายนี้ พอมีประชุมที่ บริษัท น่ะครับ ผมลืมไปพี่ที่บริษัทก็เลยโทรมาเตือน”
    ไม่มีใครในห้องว่าอะไร ภาสกรจึงเดินไปเก็บแบบ เครื่องประดับ บนโต๊ะทานอาหาร ใส่กระเป๋าเอกสารของเขาตามเดิม
     “ผมขอตัวไปบริษัทก่อนนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้อีกครั้ง “ขากลับผมจะแวะซื้ออาหารเย็นมาให้ คุณนที ชอบทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ จะได้ซื้อมาฝากถูก”
    นที ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นการฝืนยิ้มตามธรรมชาติก็ตาม แต่ภาสกรก็อดคิดไม่ได้ว่า รอยยิ้มของเด็กหนุ่มคนนี้ ช่างมีเสน่ห์เสียเหลือเกิน สมแล้วที่ปุยฝ้ายเล่าให้เขาฝังว่า พ่อคนนี้ใครเห็นใครก็รัก
    “ไม่ต้องซื้อมาฝากหรอกครับ ผมเกรงใจ”
    “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ คิดเสียว่าคุณเป็นน้องชายผมก็แล้วกัน อะไรที่ทำให้ได้ผมก็เต็มใจครับ” ภาสกรยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นจากเก้าอี้ตรงโต๊ะทานข้าว
    “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ” นทีตอบอย่างหนักแน่น
    เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว คุณชายก็ตัดสินใจลา
    “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวนะครับ”
    ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไปพอแน่ใจว่าเดินไปไกลพอที่จะไม่ได้ยินแล้ว นทีก็พูดขึ้นอย่างใช้ความคิด
    “แกไม่คิดว่ามันแปลกหรือวะ ทำไมเขาต้องมาดูแลฉันขนาดนี้ ญาติก็ไม่ใช่” หนุ่มน้อยบ่นเบาๆ
    หญิงสาวขมวดคิ้ว หล่อนไม่อาจบอกออกไปตรงๆได้ว่า หม่อมราชวงศ์ ภาสกร เป็นคนขับรถชนเขาเอง ในเมื่อหล่อนก็ตัดสินใจแล้วว่า จะช่วยปกปิดความจริงให้เขา ดังนั้นสาวผิวเข้มจึงต้องนึกหาเหตุผลที่ฟังขึ้นมาตอบคำถามของเพื่อนสนิท
    “แหมก็เขาเจอแก นอนจมกองเลือดอยู่บนถนนอย่างนั้น เขาก็ต้องรู้สึกติดตาบ้าง ไม่มีใครอยากให้ใครตายไปต่อหน้าอย่างนั้นหรอก”
    “ฉันเข้าใจ แต่ทำไมเขาไม่เพียงแค่โทรเรียกรถพยาบาล แล้วก็กลับบ้านไปเสียล่ะ ทำไมยังต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลทุกอย่าง แถมยังมาเลี้ยงดูฉันอย่างนี้อีก รู้จักกันรึก็เปล่า” ชายหนุ่มยังคงพูดต่อไป มีคิ้วที่ขมวดแน่นอยู่บนหน้าผาก เป็นตัวบ่งบอกว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
    ปุยฝ้ายรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า บางทีความขี้สงสัย ก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่ถูกสงสัย มีความจำเป็นบางอย่างที่ทำให้เปิดเผยความจริงไม่ได้ แล้ว บุคคลที่สามอย่างหล่อนก็ต้องทั้งไขข้อสงสัยให้คนหนึ่ง ทั้งยังต้องปกปิดความผิดให้อีกคนด้วยอย่างนี้ ยิ่งเดือดร้อน ต้องเฟ้นสมองคิดเข้าไปใหญ่
    “ก็เขามีเงินนี่นา ให้เขาใช้เงินรักษาคน ดีกว่าเอาไปเข้าบ่อนหรือซื้อของผิดกฎหมายไม่ใช้หรือ”
    “นั่นแหละ” เขายังคงดื้อต่อไป “ทำไมไม่เอาเงินไปใช้กับอย่างอื่นนะ”
    “ไอ้น้ำเอ๊ย” ปุยฝ้ายเริ่มเสียงแหลมขึ้นเรื่อยๆ “แกก็ถามเขาซียะ ถามฉัน ฉันจะรู้ไหมล่ะ แกรอดมาได้ ไม่ตาย เพราะเขาก็พอแล้วน่า”
    “นั่นแหละ” นั่นแหละของใครจะหมายถึงเห็นด้วยอย่างไร นั่นแหละของนที ไม่เคยหมายความว่าเห็นด้วยสักครั้ง “แปลว่าฉันต้องเป็นหนี้บุญคุณคนไม่รู้จักงั้นหรือ”
     คราวนี้ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมบรรยากาศของห้องอีกครั้ง ก่อนที่นางพยาบาลจะเข้ามาแจ้งให้ปุยฝ้ายทราบว่า กว่า นายแพทย์มิ่งเมือง จะเข้ามาตรวจอาการของนทีอีกครั้งก็เกือบสี่โมงเย็น เพราะมีตรวจคนไข้รายพิเศษก่อนเข้ามาเป็นกรณีฉุกเฉิน ทั้งสองคนจึงต้องดูหนังฆ่าเวลาไปก่อนเท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2011 09:26:32 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
«ตอบ #113 เมื่อ07-03-2011 22:52:30 »

:z13: :z13: :z13:จ้า

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
«ตอบ #114 เมื่อ07-03-2011 22:53:50 »



ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky


Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
«ตอบ #115 เมื่อ07-03-2011 23:22:04 »

น่าสงสาร

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
«ตอบ #116 เมื่อ08-03-2011 00:07:59 »

แล้วน้องน้ำจะทำยังงัยต่อไปอีกเนีัย คุณชายจะรับผิดชอบน้องน้ำอีกเปล่าใกล้จะหายแล้วด้วย

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
«ตอบ #117 เมื่อ08-03-2011 05:54:09 »

 :monkeysad:ในที่สุดน้ำก็ฟื้นแล้ว

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
«ตอบ #118 เมื่อ08-03-2011 07:03:01 »

โว้ววววว >.<

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
«ตอบ #119 เมื่อ08-03-2011 07:52:13 »

ขอบคุณที่มาต่อจ้า

ชอบคุณชายจัง ดูสุภาพ สุดๆ งะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด