5
“นทีเป็นคนพูดเก่ง แล้วก็คุยสนุก เราคุยกันได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องหนัง ละคร หรือนิยาย นทีชอบเรื่องแบบนี้มาก เขาอยากทำงานนิตยสาร อยากเขียนเรื่องส่งตามสำนักพิมพ์ต่างๆ ฝ้ายยังมีเรื่องสั้นที่นทีเขียนอยู่ที่แฟลตเลยค่ะ” หล่อนว่าเสียงใสไปเรื่อยๆ ภาสกร ไม่เบื่อแม้นิดเดียวเวลาฟังหล่อนเล่าเรื่องอะไรต่างๆ “ส่วนฝ้ายชอบวรรณคดีอังกฤษ ถึงฝ้ายจะไม่เก่งอังกฤษมากก็อาศัยอ่านตรงไหนไม่ออกก็ถามฝรั่งแถวบ้าน ฝ้ายเคยมีแฟนเป็นฝรั่งด้วยนะคะ”
นางสาวปุยฝ้ายชอบเรื่องของเชคสเปียร์ หล่อนชอบภาษาเก่าๆที่เขาใช้ และมักจะเอามาเล่าให้นทีฟังเสมอ ทั้งเรื่อง โรมิโอ กับจูเลียต แฮมเล็ต แมคเบธ หล่อนพยายามบังคับให้นทีอ่านเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เพราะความที่อีกฝ่ายไม่ถนัดภาษาอังกฤษเลย
“ถึงจะไม่ค่อยเก่ง แต่รายนั้นความจำแม่นค่ะ ฝ้ายเล่าอะไรเป็นจำได้หมด แถมออกเสียงคล้ายฝรั่งทีเดียว นทีชอบโรมิโอกับจูเลียต และเขามักจะจำ ข้อความต่างๆได้เช่น เวลาที่พวกเพื่อนๆเรียกชื่อเขา เป็น นะ บ้าง ที บ้าง น้ำ บ้าง เขาก็จะยักไหล่แล้วก็จะบอกว่า เรียกอะไรก็ช่างเถอะ What's in a name? That which we call a rose by any other name would smell as sweet”
ภาสกรยิ้ม
“นามนั้นสำคัญไฉน? ที่เราเรียกกุหลาบนั้น
แม้เรียกว่าอย่างอื่นก็หอมรื่นอยู่เหมือนกัน...”
“คุณชายชอบเรื่องพวกนี้ด้วยหรือคะ”
“ผมเคยเรียนงานของเชคสเปียร์ ที่อังกฤษครับ อ่านจนไม่อยากจะอ่านอีก ทั้งต้นฉบับเดิม ทั้งบทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6” เขายิ้มให้กับปุยฝ้าย “แต่ก็ชอบอยู่หลายเรื่องครับ ที่ชอบมากคือ โคลง ซอนเน็ต มันให้ข้อคิดเรื่องความรัก ความตาย ชีวิต อะไรพวกนี้ดีครับ”
ภาสกรไม่รู้ว่าหญิงสาวผิวคล้ำตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่หล่อนหันไปมองเพื่อนหนุ่มด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความคิดถึง ห่วงใย และ อาวรณ์
“ฝ้ายไม่อยากให้นทีเป็นอะไร มันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฝ้าย อยากให้มันฟื้นเร็วๆ อยากให้มันลุกขึ้นมาคุยมาหัวเราะ มายิ้มให้ฝ้ายเหมือนเดิม”
“ผมขอโทษครับ” ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งด้วยรู้ดีว่าทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นความผิดของเขาเอง ด้วยความประมาทเพียงเล็กน้อยเขาทำให้คนอื่นมากมายต้องเดือดร้อนไปด้วย
แล้วความเงียบก็กลับมาปกคลุมบรรยากาศของห้องอีกครั้ง
ประมาณบ่ายโมงเศษๆ นายแพทย์มิ่งเมืองก็เข้ามาในห้อง เพื่อตรวจอาการของชายหนุ่ม
นายแพทย์มิ่งเมืองผู้นี้อายุ ห้าสิบกว่าแล้ว หากยังดูไม่แก่เท่าความเป็นจริงเท่าไร เนื่องจากเป็นคนที่เข้มงวดเรื่องของสุขภาพมาก และดูแลสุขภาพของตนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทำให้นายแพทย์หนุ่มใหญ่ดูสูงโปร่ง ร่างกายที่เคยกำยำแม้เปลี่ยนสภาพไปมากแล้ว ก็ยังทิ้งโครงร่างที่ดูแข็งแรงไว้ให้เห็น มิ่งเมืองเป็นรุ่นน้องของท่านชายเรืองเดชกว่าห้าปี กระนั้นก็เป็นคนที่ท่านชายทรงสนิทชิดเชื้อและวางหทัยให้รักษาคนในบ้านทุกคนรวมถึงท่านชายเองด้วย
เสื้อกาวน์สีขาว สวมทับเชื้อเชิ้ตสีฟ้า และกางเกงแสลคสีเข้มที่ตัดมาอย่างประณีต ใบหน้าที่สูงวัยแต่ร่าเริงและกระฉับกระเฉงก้มลง รับไหว้ภาสกรแต่ก็ยื่นมือมาเชคแฮนด์แบบฝรั่งอีกทีหลังจากนั้น
“คุณชายมานานหรือยังครับ”
“เพิ่งมาไม่ถึงชั่วโมงครับ อาหมอ” เขาเรียกมิ่งเมืองแบบนี้มาตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกอยู่ แม้จะเคยลองเปลี่ยนไปเรียกว่า คุณหมอมิ่งเมืองบ้าง แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมเพราะ
“ยังไงคุณชาย ก็คือคุณชายที่ผมจับฉีดยา ร้องไห้มาแล้วหลายครั้งอยู่ดี”
“อามีเคสผ่าตัดเข้ามากระทันหัน ไม่อย่างนั้นคงมาดูแลอาการของเด็กคนนี้ตั้งแต่เที่ยงแล้ว หวังว่าคุณชายจะไม่ว่าอะไรนะครับ”
“ว่าไม่ได้ครับอา ผมรู้ว่าอางานยุ่ง เท่านี้ก็เป็นภาระมากพอแล้วครับ”
“งานให้ชีวิตคนน่ะ เรียกว่าภาระไม่ได้หรอก” เขาขยิบตาขวาให้ ท่านี้เป็นท่าประจำของนายแพทย์มิ่งเมือง เวลาพูดอะไรเด็ดๆ ออกมา
“สวัสดีค่ะ คุณหมอ”
“สวัสดีครับ” นายแพทย์รับไหว้ปุยฝ้าย แล้วซักถามอย่างที่คาดหวังว่าหล่อนได้เฝ้าอาการของเด็กหนุ่มไว้ได้ดีพอสมควร “คนไข้มีอาการเพ้อ หรือกระตุก บ้างไหมครับ”
“เท่าที่หนูดูอยู่ก็ไม่มีเลยค่ะ ยังคงหลับสนิทแบบนี้มาทั้งวันละค่ะ นอกจากตอนกลางคืนที่หนูหลับเท่านั้นเอง ที่ไม่ทราบว่ามีอาการอะไรหรือเปล่า”
นายแพทย์พยักหน้า พลางหยิบหูฟังขึ้นมาฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ วัดชีพจร และดูการทำงานของกล้ามเนื้อเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ ก็หันมาบอก ภาสกร และ ปุยฝ้าย รวมไปถึงนางพยาบาลที่จดอาการตามที่หล่อนได้ยิน
“ชีพจรคงที่ ไม่มีอะไรผิดปกติ การทำงานของคลื่นสมองปกติ เท่าที่ยังหลับอยู่นี้คงเพราะฤทธิ์ยาสลบที่คนไข้ยังไม่ชิน รวมไปถึงอาการเหนื่อยอ่อนจากบาดแผล และการเสียเลือดเท่านั้น หมอคาดว่าอีกสองถึงสามวันน่าจะฟื้นแล้ว ถึงตอนนั้นเราค่อยทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาและแสกนสมองอีกครั้งว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่อีกที” เขายิ้ม “คุณชายและคุณฝ้ายวางใจได้ครับ คุณนทีเพื่อนของคุณจะต้องกลับมาเป็นปกติเร็วๆนี้ละครับ”
ปุยฝ้าย ยิ้มให้ภาสกรอย่างโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้น หมอขอตัวนะครับ คุณชายภาส หมอมีนัดกับ หม่อมเจ้าเรืองเดช” มิ่งเมืองว่า พลางขยิบตาอีกครั้ง
“เดี๋ยวผมไปส่งครับ” ภาสกรวิ่งตามนายแพทย์ไป “ผมกะจะกลับบ้านอยู่แล้วครับ ถ้าอาหมอจะกลับมาที่นี่อีกก็ให้ผมไปส่งแล้วกลับมาด้วยกันเถอะครับ”
มิ่งเมืองรู้ทันว่าชายหนุ่มมีเรื่องจะคุณกับเขาระหว่างทางกลับบ้านเท่านั้น
“ได้ซี อาแก่แล้วขับรถทีไรปวดเมื่อยไปหมด คุณชายไปส่งอาก็ดี”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอลาคุณฝ้ายแล้วจะตามไปนะครับ”
“อาจะรอที่ร้านกาแฟ หน้าตึกก็แล้วกัน” นายแพทย์วัยห้าสิบเศษ เดินไปขึ้นลิฟต์ ส่วนภาสกรก็กลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็ลาหญิงสาว
“ผมขอกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้ามาอยู่เฝ้าคุณนทีนะครับ ผลัดกัน คุณฝ้ายจะได้ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ จะได้ไปเรียนด้วย ตอนกลางวันให้ผมอยู่เฝ้าแทนน่าจะดีกว่า” ภาสกรไม่รอให้หญิงสาวโต้แย้ง “ผมไปก่อนนะครับ”
ภาสกรยิ้ม แล้วปิดประตูห้องลงลิฟต์ตาม “อาหมอ” ของเขาไป
ภาสกรขับรถออกมาจากโรงพยาบาลได้พักหนึ่ง ก็ตัดสินใจพูดขึ้นกับนายแพทย์มิ่งเมือง
“อาหมอครับ”
“ว่าอย่างไร คุณชาย”
“ผมขอร้องอาหมอเรื่องหนึ่งได้ไหมครับ” ภาสกรมองหน้าอาหมอของเขาขณะที่รถยังคงติดไฟแดงอยู่ พอเห็นว่ามิ่งเมืองทำหน้าประหลาดใจ และไม่เข้าใจคำพูดของเขา ภาสกรก็พูดต่อไป “หม่อมแม่ไม่เห็นด้วยที่ผมดูแลรับผิดชอบเด็กคนนั้นครับ ท่านจะต้องไม่พอใจมากที่ผมมาเยี่ยมเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ผมหนีหม่อมแม่ และ คุณทิฆัมพรมาตั้งแต่เช้า”
“ทิฆัมพร ลูกคุณสุชาดา ที่หม่อมแม่ของคุณชายหมายมั่นจะให้แต่งงานด้วยนั่นน่ะหรือ”
“ครับ ทิฆัมพรพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ผม ยุ่งอยู่ทั้งวันให้ได้ ผมเลยไม่ได้มาเยี่ยมนทีตั้งแต่เมื่อสองวันมาแล้วน่ะครับ”
“แล้วยังไง คุณชายจะไม่ให้อาบอกหม่อมวิไลวรรณ และ ท่านชายใช่ไหม” นายแพทย์พุ่งเข้าสู่ประเด็นอย่างที่ภาสกรไม่ทันตั้งตัว
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านพ่อนะครับอาหมอห้ามบอกท่านพ่อเด็ดขาดเลยนะครับ” นทีว่า พลางขับรถออกจากโรงพยาบาลห่างออกมาเรื่อยๆ
“เอาเป็นว่า อาจะพยายามเลี่ยงก็แล้วกัน”
“ถ้าหม่อมแม่ถาม อาหมอช่วยบอกว่านัดผมมาเจอเพราะคิดถึง หรืออะไรทำนองนี้ได้ไหมครับ”
นายแพทย์มิ่งเมืองยิ้ม
“คุณชายก็รู้ ว่าหม่อมวิไลวรรณคงไม่เชื่อหรอกว่าอาจะคิดถึงคุณชายแล้วเรียกมาคุย เอาเป็นว่า อาจะบอกว่าคุณชายมาทำธุระ พอดีอาเจอในเมือง ก็เลยนัดมาจิบกาแฟ พูดคุย ทำนองนี้ฟังขึ้นกว่านะ”
ภาสกรพยักหน้า
“แต่อาไม่แก้ตัวให้ฟรีๆหรอกนะ คุณชาย” นายแพทย์มิ่งเมืองวางสีหน้าตึงเครียด แบบที่มักจะเป็นเวลารู้ว่าภาสกรไม่ดูแลตัวเองแล้วปล่อยให้เป็นไข้ อย่างเมื่อตอนเด็กๆ “คุณชายต้องบอกอา ว่าคุณชายรู้จักเด็กคนนี้ได้อย่างไรแล้วพาเขามารักษาตัวแถมจ่ายให้ทุกขั้นตอนอย่างนี้เพราะอะไร”
ชายหนุ่มลังเล ยังไม่ตอบในทันทีพอเลี้ยวเข้าถนนสุขุมวิท บริเวณที่เขาขับชน นที ภาสกรก็ตัดสินใจตอบ
“ผมขับรถชนเขาครับอา” ทีนี้ เป็นฝ่ายมิ่งเมืองบ้างที่นั่งเงียบไปเสียเฉยๆ “ผมเลยตั้งใจจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
“อย่างนั้นก็ดีละ” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด “อาถือว่า คุณชายทำถูกที่ตั้งใจรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ถ้าเด็กคนนี้หายดีก็ว่าไป หากเขาเป็นอะไรขึ้นมาคุณชายคิดว่าจะรับมืออย่างไร หืม คุณชายจะบอกพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเขาไหม”
“ผม… ผมจะบอกแต่ทีแรกแล้วครับ แต่นายนทีเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใคร มีแต่ปุยฝ้ายที่เป็นเพื่อนสนิทเท่านั้นที่นับว่าเป็นญาติได้ครับคุณอา ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ...ผมเลยตัดสินใจรับผิดชอบเรื่องนี้เอง”
มิ่งเมืองนั่งเงียบไปสักพัก
“อย่างนี้แหละคุณชาย ชีวิตคนเราต้องมีขึ้นมีลง คุณชายสบายมาทั้งชีวิต ได้ลองลำบากดูบ้างจะได้ไม่เสียเปรียบคนที่เขารู้จักทั้งทุกข์และสุข”
ภาสกรยิ้ม ความลำบากฝากเนื้อฝากตัวอยู่กับเขาตั้งแต่วินาทีที่เข้าก้มลง พิมพ์ตอบเพื่อนในโทรศัพท์แบล็กเบอร์รี่แค่คำว่า
“จะกลับกรุงเทพแล้ว เจอกันนะโว้ย”
เท่านั้นเอง ที่ทำให้เด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยต้องมารับเคราะห์ขนาดนี้ เท่าที่ทำอยู่นี้ภาสกรคิดว่าเขายังรับผิดชอบได้ไม่เต็มที่เลยด้วยซ้ำ
ทั้งคู่มาถึงวังผกากรองในไม่ถึงสองชั่วโมงถัดมา เวลานั้นเย็นมากแล้ว แต่ท้องฟ้ายังไม่เปลี่ยนสีไปเท่าใดนัก ภาสกรจอดรถที่หน้าตำหนัก แล้วอ้อมมาเปิดประตูให้กับนายแพทย์มิ่งเมือง คนขับรถที่ชื่อตาหนูวิ่งมารับรถไปจอดให้ ส่วนนมอุ่น และบรรดาสาวใช้ที่ยืนรอรับอยู่ ก็เดินเข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณชาย คุณมิ่งเมือง คุณท่านรออยู่ห้องอังกฤษแล้วค่ะ อุ่นขออนุญาตให้แม่เผื่อนนำทางไปนะคะ อุ่นจะไปยกสำรับมาต้อนรับค่ะ” นมอุ่นยิ้มให้กับนายแพทย์ที่ตามแม่เผื่อน คนใช้ร่างใหญ่ไปยังห้องรับแขกที่ชื่อห้องอังกฤษ
“คุณชายระวังตัวนะคะ หม่อมยังโกรธทีเดียวค่ะที่คุณชายหายหน้าไปไม่บอกกล่าว” หญิงชราส่งสายตาเห็นใจ แกมตำหนิมาให้
ภาสกรยิ้มรับ ขอบใจแม่นมของตน แล้วออกเดินตาม อาหมอ ของเขาไปยังห้องอังกฤษ ซึ่งตกแต่งสไตล์วิคตอเรียนไว้สวยหรูเพื่อรับแขกที่สนิทชิดเชื้อกันโดยเฉพาะ พอชายหนุ่มเข้าไปในห้อง นายแพทย์มิ่งเมืองก็นั่งอยู่ที่ชุดรับแขกเรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะมีชากุหลาบอย่างดีส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่ว วางเคียงคู่กับคุกกี้รสต่างๆที่หม่อมวิไลวรรณมักลงมือทำเองเพื่อมาต้อนรับแขก ภาสกรนั่งลงข้างๆ หม่อมแม่ ขณะที่จ้องมองท่านชายเรืองเดช ที่อยู่บนโซฟาตัวยาวสุดปลายอีกด้านเป็นนายแพทย์มิ่งเมืองที่ยังพูดอยู่ไม่จบประโยค
“...กระหม่อมจึงชวนแกไปจิบกาแฟคุยกันตามประสาคนคุ้นเคยกระหม่อม.. อ้าวมาพอดี”
ภาสกรยกมือไหว้บิดา มารดา ก่อนจะพิจารณาพักตร์ของ หม่อมเจ้าเรืองเดช ที่วรกายซูบผอมไปมาก เกศาสีดอกเลาขึ้นแซมสีดำที่ขึ้นบางอยู่แล้วเกือบทั่วเศียรทำให้ดูชราภาพมากกว่าที่ภาสกรเคยสังเกต ถ้าให้เลือกแล้ว ชายหนุ่มจะหลีกเลี่ยงท่านพ่อของเขาให้มากเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่เพราะเขาโกรธหรือเกลียดพ่อบังเกิดเกล้า แต่หากเพราะฐานันดรศักดิ์ของท่านชาย ทำให้เขาดูห่างเหินกับสมาชิกในครอบครัวมากเกินความจำเป็น ไหนจะความเข้มงวด ไหนจะราชาศัพท์อีก ภาสกรไม่เคยนึกอยากเจอพ่อของตนด้วยความรัก ความผูกพันเลย โดยมากจะเป็นไปตามหน้าที่หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเท่านั้น
“ชายภาส มาก็ดี ระยะนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าลูก เป็นอย่างไรบ้างหน้าที่การงานเป็นอย่างไร” น้ำเสียงที่รับสั่งนั้นไม่เหมือนกับที่พ่อคนอื่นใช้คุยกับลูก ท่านชายเรืองเดชมักทรงใช้เสียงที่มีอำนาจ เป็นการเป็นงาน เด็ดขาดและหนักแน่นกับทุกคนไม่เว้นแม้แต่ โอรส หรือ หม่อมของท่าน
“ลูกสบายดีกระหม่อม หน้าที่การงานก็อยู่ในเกณฑ์ดีกระหม่อม ทางบังกลาเทศ มาเจรจาเรื่องพลอยแขกให้ขึ้นเรือนแบบฝรั่งอีกตามเคย ลูกเห็นว่าจะได้เงินมากอย่างแน่นอน ท่านพ่อมิต้องวิตกกังวลเลย กระหม่อม”
“ดีแล้ว เห็นหม่อมแม่เราว่าช่วงนี้ยุ่ง คงเรื่องการงานใช่ไหม”
“กระหม่อม”
“ดีแล้ว เราเป็นถึงเจ้าถึงนายอย่าให้มีเรื่องไม่ดีอะไรเกิดขึ้นล่ะ”
“กระหม่อม”
“เอ้อ มิ่งเมือง” หม่อมเจ้าเรืองเดช หันไปรับสั่งกับนายแพทย์ ที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกข้างๆ “ตรวจอาการฉันเถิด จะได้ไปกินข้าวกินปลากันเสียที เดินทางมาไกลคงจะหิวแล้ว”
“กระหม่อม” นายแพทย์มิ่งเมืองลุกขึ้นไปใกล้ แล้วลงมือวินิจฉัยอาการของท่านชายเรืองเดช ไม่นานก็กล่าวกับท่านชายไปตามความเป็นจริง
“ด้วยเรื่องที่ประชวรเป็นโรคหทัยนั้น ขณะนี้อัตราการเต้นของหทัยยังเป็นไปตามปกติกระหม่อม แต่สาเหตุที่ประชวรหนักอยู่ในขณะนี้เกิดจากอาการเหนื่อยจากการทรงงานหนักเท่านั้น กระหม่อมทราบมาว่า ฝ่าบาททรงงานหนักมากเรื่องเทศกาลอัญมณีที่ผ่านมา”
“ฉันออกแบบเรือนแหวนทั้งหมด กะไว้ว่าคงเป็นงานสุดท้าย ก็อยากให้ออกมาดี ฉันเองก็แก่มากแล้ว คงทำงานหนักๆอย่างก่อนไม่ได้อีกเท่าที่ทำได้ตอนนี้ ก็ให้ชายภาสกรทำงานแทนไป”
“ทำได้ดีเทียวกระหม่อม”
“ฉันดีใจที่พอจะวางใจได้ ดลนภา ที่ช่วยทำอยู่ก็เก่งเพียงเรื่องธุรกิจ ไม่มีหัวด้านนี้เหมือนชาย คงได้แต่ฝากผีฝากไข้ใว้กับลูกคนนี้แล้ว” หม่อมเจ้าเรืองเดช แย้มโอษฐ์ให้กับเพื่อนรุ่นน้อง แล้วทอดเนตรเลยมาทางโอรสของท่าน “งานกับบังคลาเทศคราวนี้ พ่อยกให้ชายจัดการเต็มตัว จะไปอยู่ที่วังพัทยาก็ไป จะได้ไม่ต้องเดินทางไปกลับกรุงเทพ พัทยาทุกวัน”
บริษัท รชตานันต์ อัญมณี ของท่านชายและหม่อมวิไลวรรณ มีสองสาขา สาขาหนึ่งอยู่ที่สุขุมวิท อีกสาขาอยู่ที่พัทยาเนื่องจากทางพัทยามีลูกค้าต่างชาติมากกว่า แถมท่านชายยังมีวังตากอากาศอยู่ที่พัทยาดังนั้นจึงไม่แปลกที่ภาสกรจะหาเรื่องบอกว่าไปอยู่วังที่พัทยา แล้วแอบไปเฝ้านทีได้ทุกวันทีนี้จะได้ไม่ต้องหาเรื่องมาอ้างหนีหม่อมแม่ และทิฆัมพรอีกทุกๆเช้า
“ลูกว่า จะทูลขออนุญาตจากท่านพ่อพอดี กระหม่อม เนื่องจากลูกต้องทำทั้งงานออกแบบ และรับรองแขกแถมจะจัดแฟชั่นโชว์ร่วมกับคุณหญิง ดาริกา ที่พัทยาใต้ให้ทันซัมเมอร์นี้อีก ลูกเห็นว่าจะสมควรกว่าหากท่านพ่อประทานอนุญาตให้ลูกไปอยู่วังที่พัทยาจนกว่างานทางนั้นจะเสร็จกระหม่อม”
“ไปเถิดพ่ออนุญาต” ท่านชายเรืองเดชรับสั่งตอบ แต่มิ่งเมืองที่นั่งอยู่ข้างๆรีบส่งสายตารู้ทันมาทางคุณชายเพียงแวบหนึ่ง แล้วทำท่าจะหันไปทูลเรื่องอาการประชวรของท่านชายต่อ ก็พอดีท่านชายรับสั่งขึ้นมาอีก “คุณหญิงคนนี้นี่ใครกัน นะพ่อลืมเสียแล้ว”
“คุณหญิงดาริกา เป็นธิดาของ ท่านหญิงทิพวรรณ สุวรรณฉายกระหม่อม” ท่านหญิงคนนี้ หม่อมเจ้าเรืองเดชรู้จักดี จึงพยักพักตร์รับ มิได้รับสั่งถามอะไรอีก คุณชายจึงพูดต่อไป “ท่านหญิงทิพวรรณ ทรงเปิดห้องเสื้อ “ท่านหญิง” อยู่ที่พัทยาเหนือกระหม่อม ทีนี้พอคุณหญิง ดาริกาที่เป็นรุ่นลูกมารับช่วงต่อก็จะเปิดห้องเสื้อทำเป็นไลน์ใหม่สำหรับวัยที่เด็กกว่าห้องท่านหญิง ให้เป็นแบรนด์ “คุณหญิง” กระหม่อม พอดีเดือน เมษาฯนี้ คุณหญิงจะจัดแฟชั่นโชว์ ซัมเมอร์คอลเลกชั่น 2011 โดยจะใช้เครื่องประดับของเรากระหม่อม ลูกเห็นสมควรที่จะทำเครื่องประดับสำหรับวัยที่เด็กกว่ามานานแล้ว มางานนี้เห็นเป็นจังหวะเหมาะที่จะขยายตลาดจากหญิงวัยกลางคนไปสู่วัยรุ่น และวัยทำงานจึงรับปากไว้ก่อน มิได้ทูลขอประทานอนุญาต จากท่านพ่อกระหม่อม”
“เอาเถิด พ่อไม่ขัดหรอก สายตาของคนรุ่นใหม่มันกว้างไกลกว่าสายตาคนแก่อย่างพ่ออยู่แล้ว ถือว่าดีแล้วที่เจ้ามองการณ์ไกลแบบนี้” ท่านชายรับสั่ง
“เรื่องนี้ หนูฟ้ารู้หรือยังลูก ถ้าได้ไปเป็นนางแบบงานนี้ แม่ว่าหนูฟ้าคงจะดีใจแน่ๆ” หม่อมวิไลวรรณแทรกขึ้นมา
“ยังครับ เรื่องนางแบบเป็นเรื่องทางคุณหญิงเขาจัดการชายมีหน้าที่ทำเครื่องประดับเท่านั้น” ภาสกรเห็นหม่อมแม่ของตนนั่งคิดอะไรอยู่ก็กลัวว่าหล่อนจะพูดอะไรออกมาอีกจึงรีบแทรกขึ้นเปลี่ยนเรื่องไปได้ทันพอดี “อาหมอ ว่าค้างไว้เรื่องอาการท่านพ่อ ว่าอย่างไรนะครับ”
“อย่างที่ทูลไปแล้วกระหม่อม อาการโรคหทัยยังไม่น่าเป็นห่วง แต่ถ้าเป็นไปได้ กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาท ประทับอยู่ที่วังผกากรองเฉยๆ อย่าเพิ่งไปทรงงานด้วย พระชนม์มากแล้ว จะประชวรง่ายกระหม่อม”
ท่านชายพยักพักตร์อย่างเข้าใจ
“ฝ่าบาทเสวยยาที่กระหม่อมถวายหมดแล้วหรือยังกระหม่อม”
“ยัง พอทานต่อไปอีกสักสองสามสัปดาห์”
“ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทเสวยยาที่มีอยู่ให้หมดเสียก่อนเถิดกระหม่อม หากหมดแล้วกระหม่อมจะสั่งยาถวายอีก ระหว่างนี้ขอให้ฝ่าบาทพักผ่อนอยู่แต่ที่วัง อย่าให้มีเรื่องรบกวนหทัย หรือต้องตึงเครียดเท่านั้น เป็นพอแล้วกระหม่อม” ประโยคสุดท้าย นายแพทย์ไม่ลืมที่จะส่งสายตาเตือนไปยัง ชายภาสกรผู้เป็นโอรส ทำนองว่า อย่าให้ท่านชายต้องมีเรื่องกวนหทัยเลย
***********************************************************************
เมื่อวานนี้เหมือนเว็บจะล่มหรือเปล่าครับ? เข้าไม่ได้เลยไม่ได้มาต่อ วันนี้ต่อให้แล้วอย่าเพิ่งทิ้งกันนะคร้าบบบ
ปล. พรุ่งนี้อัพ “ทางสามสาย” เพิ่มอย่าลืมตามไปให้กำลังใจอีกเรื่องนะค้าบบบบบบบบบบบบ