4
[/B]
หล่อนคิดมาตลอด ตั้งแต่งานศพของ แม่ของนทีแล้วว่าเพื่อนของหล่อนคงจะมีเรื่องอะไรไม่พอใจพ่อเลี้ยงของตัวเองเป็นแน่
ตลอดงานสวด และงานเผา นทีจะนั่งตาแดงและไม่พูดจากับใคร ถ้าไม่จำเป็น จะมีแอบไปร้องไห้บ้างไหม หล่อนก็ไม่รู้ แต่เดาว่าก็คงต้องมีบ้าง เพื่อนหนุ่มของหล่อนรักแม่อย่างกับอะไรดี แต่เขากลับไม่ยอมแสดงออกซึ่งความเสียใจหรืออาลัยอาวรณ์ออกมาเลยแม้แต่นิด เมื่อมีพ่อเลี้ยงอยู่ด้วย เวลามางานหรือกลับจากงาน เพื่อนหนุ่มจะนั่งหน้างอ มองออกนอก หน้าต่างรถ ไม่สนใจคำพูดใดของพ่อเลี้ยง ไม่แม้แต่จะตอบคำถามของเขา นอกจากพยักหน้าตอบว่าใช่ หรือ ส่ายหน้าว่าไม่เท่านั้น
ตอนแรก ปุยฝ้ายคิดว่า คงเป็นเรื่องธรรมดาที่ นทีจะรักพ่อมากถึงขนาดไม่ยอมให้ใครมาแทนที่พ่อของเขา แต่ตอนที่พ่อของนทีเสีย แล้วมีคุณอดิสรณ์มาเป็นพ่อเลี้ยงนั้น ชายหนุ่มยังพูดจาดีกับฝ่ายนั้นอยู่เลยไม่ทำท่าทางปั้นปึ่งใส่คุณอดิสรณ์แบบนี้ อาจเพราะตอนนั้น แม่ของนทียังอยู่ก็ได้ แต่พอเสียแม่ไปเท่านั้น จะเป็นเพราะคิดถึงพ่อและแม่ มากหรืออย่างไร นทีก็ไม่เคยพูดจาด้วยดีกับพ่อเลี้ยงของเขาอีกเลย เขากลายมาเป็นชายหนุ่มที่ พูดเท่าที่จำเป็น ทั้งๆที่เคยเป็นคนพูดมากที่สุดของกลุ่มด้วยซ้ำ
พอมานึกถึงเรื่องนี้ดีๆ ในตอนนี้ มันทำให้ปุยฝ้ายเริ่มคิดว่า
“หรือว่าอดิสรณ์จะมีส่วนในการตายของคุณ นัยนา แม่ของแก”
หญิงสาว กัดริมฝีปากอย่างกลุ้มใจ อย่างนี้หรือเปล่าชายหนุ่มถึงหนีออกจากบ้าน ที่ทนอยู่กับพ่อเลี้ยงมา อาจเพราะสงสัย และยังไม่แน่ใจ หรือว่าเขาจะพบความจริงเข้าเมื่อไม่นานมานี้ จนทำให้อยู่บ้านเดียวกันไม่ได้แล้วหนีมาแบบนี้ แล้วชายหนุ่มจะย้ำทำไมว่า
“แกอย่า พูดถึงเขาอีกนะ” ปุยฝ้ายจะบอกอดิสรณ์ก็ได้ว่า นทีถูกรถชน เพื่อที่ว่ารายนั้นจะได้มารับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล จะได้ไม่ต้องพึ่งคุณชายแบบนี้ ยิ่งคุณชาย ภาสกร หายไป สองวันแล้วแบบนี้ ปุยฝ้ายยิ่งกังวล หรือเพราะข่าวที่หล่อนให้สัมภาษณ์กับทางหนังสือพิมพ์จะทำให้ คุณชายภาสกรเดือดร้อน จนไม่ย้อนกลับมาช่วยหล่อนและเพื่อนอีก
หล่อนคงบอกอดิสรณ์ไปตั้งแต่ก่อนวางสายแล้วว่าอะไรเป็นอะไร หากไม่นึกถึงคำพูดของเพื่อนหนุ่มที่โทรมาหาในคืนที่เขาถูกรถชนเข้าว่า
“... มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ ถ้าพ่อเลี้ยงฉันโทรมาอีก อย่าบอกเขานะว่าฉันอยู่ไหน แต่ตอนนี้แกบอกฉันมาซิว่าจะไปแฟลตแกยังไง”
“แล้วแกจะมาทำไมแฟลตฉัน กลับบ้านไปหาพ่อเลี้ยงโน่น”
“ฝ้าย! ขอร้องอย่าพูดถึงเขา” เรื่องนิดหน่อยนี้ คือเรื่องอะไร หากมันเป็นเรื่องนิดหน่อยแค่ทะเลาะกันตามประสา พ่อเลี้ยง ลูกเลี้ยงละก็ ปุยฝ้ายจะไม่ลังเลเลย แต่ยิ่งหล่อนมีความคิดที่ว่าคุณอดิสรณ์มีส่วนในการตายของคุณน้านัยนา แม่ของนทีแล้ว หล่อนก็ยิ่งมั่นใจว่าจะไม่บอกอดิสรณ์ว่านทีอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกับเขาเป็นอันขาด
ถ้าพ่อเลี้ยงฉันโทรมาอีก อย่าบอกเขานะว่าฉันอยู่ไหน หากไม่ใช่เรื่อง คอขาดบาดตาย เพื่อนหนุ่มของหล่อนคงไม่พูดประโยคนี้ออกมาแน่ๆ ถ้าหล่อนโทรบอกพ่อเลี้ยงของนที ก็เท่ากับว่า หล่อนส่งนทีกลับไปหาคนที่เขาไม่อยากอยู่ด้วย
ถึงหล่อนจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ตอนนี้ เอาแบบนี้ไปก่อนดีกว่า
“ไอ้น้ำเอ๊ย ไม่น่าเป็นแกเลยจริงๆนะ”
หญิงสาว เพิ่มเสียงในโทรทัศน์ให้กลับมาเป็นปกติ หลังจากต้องเบาเสียงไปตอนที่อดิสรณ์โทรเข้ามา หล่อนฝืนกินข้าวต้มจืดๆนั้นลงคอแม้มันจะไม่ ได้อร่อยอะไร ก็ดีกว่าที่หล่อนจะลงไปซื้อเอง ปุยฝ้ายไม่อาจละสายตาจากเพื่อนหนุ่มไปได้สักนาที หากว่านทีเกิดมีอาการแทรกซ้อนอะไรขึ้นมา หล่อนจะได้สังเกตไว้ได้ตลอด เวลามีอะไรเกิดขึ้นจะได้แจ้งแพทย์ได้ทัน
ด้วยเหตุนี้ ปุยฝ้ายจึงยังไม่ได้ไปไหนเลยตั้งแต่วันที่นทีเข้าโรงพยาบาลวันแรก เสื้อผ้าที่หล่อนใส่เป็นเสื้อของโรงพยาบาล เพราะไม่มีโอกาสได้ออกไปเอาเสื้อผ้ามาจากบ้าน หล่อนหวังเพียงอย่างเดียวว่า หม่อมราชวงศ์ ภาสกร จะแวะเข้ามาเยี่ยมเยียนเพื่อนของหล่อนบ้าง เพราะที่เพื่อนของหล่อนเป็นอย่างนี้ ...หล่อนไม่อยากจะย้ำ... แต่ก็เป็นเพราะภาสกรเอง
จากวันแรกนั้น ภาสกรก็ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมนทีอีกเลย จนวันนี้เป็นวันที่สามแล้ว ปุยฝ้ายก้มมองนาฬิกา ที่บอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงกว่าๆแล้ว หล่อนสงสัยว่าป่านนี้พวกคนรวยจะต้องตื่นกันหรือยังนะ ในเมื่อนอนกันบนกองเงินกองทองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขยัน รีบตื่นเช้ามาทำมาหากินเพื่อให้ได้เงินมาอีก
ปุยฝ้าย รับโทรศัพท์ครั้งที่สองจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย หล่อนไม่โผล่ไปเรียนพร้อมๆกับนทีมา 3 วันแล้ว ทั้งๆที่ช่วงนี้ก็ใกล้ช่วงสอบเต็มที ปุยฝ้ายบอกอาจารย์ว่านทีเข้าโรงพยาบาลแต่ก็ไม่อยากทำให้อะไรๆมันใหญ่โตมากนัก หล่อนไม่อยากให้มีใครมาเยี่ยมถ้าเผื่อ คุณชายอยู่ในห้องด้วย เรื่องราวมันจะไปกันใหญ่มากกว่าที่มันเป็นอยู่
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตอนใกล้ๆเที่ยง
ปุยฝ้ายคิดว่าจะต้องเป็นนางพยาบาลที่นำอาหารของญาติมาเสิร์ฟตามเวลา เป็นแน่ จึงเปิดประตูให้เข้ามาโดยไม่ได้มองลอดช่องตาแมวก่อน พอเห็นว่าเป็นคนที่หล่อนอยากให้มาก็ตกใจ เผลอร้องออกมา
“คุณชาย”
ภาสกร ยิ้มให้กับหญิงสาวอย่างเป็นมิตร
ปุยฝ้ายไม่ได้คาดหวังที่จะเห็นคุณชายอยู่ในสภาพแบบนี้เท่าไรนัก กางเกงขาสั้นเผยให้เห็นน่องเรียวขาวสะอาด หากปกคลุมไปด้วยขนเส้นหนาดูสมชาย เสื้อยืดคอวีสีขาวบางแต่ดูสะอาดตา รับกันกับหุ่นที่แข็งแรงบ่งบอกว่าชายหนุ่มคนนี้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีมาตลอด รองเท้าผ้าใบสีขาว และหมวกยี่ห้อแพง ทำให้คุณชายดูเป็น “ผู้ชาย” ธรรมดา ไม่ใช่ “คุณชาย”ที่หยาดฟ้ามาดินอย่างที่หล่อนคิดว่าเขาเป็น
คุณชายที่มักจะอยู่ในชุดสูท หรือ อย่างแย่หน่อยก็เสื้อเชิ้ตสีสุภาพราคาหลายพัน กางเกงแสลค และ รองเท้าหนัง ว่าดูดีแล้ว พอมาอยู่ในชุดลำลองแบบสบายๆอย่างนี้บ้างก็ดูดีไปอีกแบบ
ภาสกรถือกระเช้าผลไม้ และของบำรุงในมือขวามาวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ เตียงคนไข้ พลางพิศมองเด็กหนุ่มที่นอนหลับตาพริ้มอย่างไร้ความรู้สึกบนเตียงด้วยความเอ็นดู
ใบหน้าที่ไม่โชกเลือดของนที ดูดีกว่าที่เขาคิดไว้ เด็กหนุ่มดูใสสะอาดราวกับเด็กน้อย หากพิจารณาเพียงดวงหน้าอย่างเดียวแล้ว ภาสกร คงเผลอเชื่อไปแน่ๆว่าคนที่นอนอยู่ตรงหน้าเป็นเด็กสาว ไม่ใช่ชายหนุ่มอย่างที่ร่างกายของเขาเป็น หน้ารูปไข่เป็นสีขาวนวลราวกับงาช้าง คิ้วเข้มที่ไม่เป็นรูปร่างนักช่วยทำให้ใบหน้าของนทีดูเป็นผู้ชายขึ้นมาได้บ้าง ดวงตากลมเล็กหลับพริ้มอยู่ใต้คิ้วเข้มนั้น เห็นขนตายาวงอนเป็นแผงจมูกโด่งยาวแม้ไม่เป็นสันแบบฝรั่งแต่ก็ดูสวยรับกันกับริมฝีปากบางได้รูปเหนือคางเรียวเล็ก
ภาสกรอดนึกไม่ได้ว่า หากเด็กหนุ่มคนนี้ยิ้มให้กับเขาแทนที่จะนอนนิ่งราวกับรูปสลักแบบนี้ นายนที คงดูมีเสน่ห์กว่านี้มากนัก คุณชายวางถุงกับข้าวในมือซ้ายลงบนโต๊ะรับแขกแล้วหันมาพูดกับปุยฝ้ายที่เผลอมองเพื่อนหนุ่มด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา
“ผมคิดว่าคุณฝ้ายคงยังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน พอดีผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งก่อนถึงโรงพยาบาล จำได้ว่ามีคนบอกว่าอร่อย ก็เลยซื้อมาฝากครับ” คุณชายหนุ่มดึงถ้วยพลาสติกที่แวะซื้อมาด้วยลงบนโต๊ะก่อนจะลงมือแกะก๋วยเตี๋ยวไก่ให้หญิงสาว
“ว้าย คุณชาย มาค่ะฝ้ายทำเอง ฝ้ายเกรงใจ”
“ไม่ได้ซีครับ ผมเป็นผู้ชาย แล้วก็ซื้อมาฝากคุณฝ้ายด้วย ถ้าคุณฝ้ายไม่ให้ผมแกะให้ ผมไม่ให้ทานจริงๆนะ” ภาสกรหยอกแบบทีเล่นทีจริง ทำให้หญิงสาวไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้เพียงนั่งมองชายหนุ่มเทก๋วยเตี๋ยวลงชาม แล้วยื่นให้หล่อนพร้อมกับตะเกียบ และช้อนให้อย่างเป็นกันเอง
“อาการคุณนทีเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกจนย้ายจากไอซียูมาอยู่ห้องนี้ตามคำสั่งของคุณชายนั่นแหละค่ะ ยังนิ่งยังเงียบ ไม่ขยับ แล้วก็ยังไม่ฟื้นเลยด้วย”
ชายหนุ่มฝากนายแพทย์มิ่งเมืองสหายของท่านชายเรืองเดชไว้ว่า ถ้าย้ายนทีออกจากไอซียูแล้วให้มาพักที่ห้องเดอลุกซ์เท่านั้น เมื่อรับรู้ว่าได้รับการปฏิบัติไปตามที่เขาขอไว้ทั้งหมด ก็พยักหน้าอย่างพอใจ
“ต้องขอโทษคุณฝ้ายด้วยนะครับที่ไม่ได้มาเยี่ยมคุณนทีเลย คุณฝ้ายต้องอยู่คนเดียว เหงาแย่”
“อุ๊ย ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะคุณชาย แค่นี้ ก็กรุณาฝ้าย และไอ้น้ำมามากแล้วล่ะค่ะ”
“พอดีสองวันมานี้ที่ตำหนักมีแขกของหม่อมแม่น่ะครับ ก็เลยต้องดูแลเสียหน่อยไม่ให้น่าเกลียด” แขกที่ว่าคือทิฆัมพร ที่นอกจากจะหลอกให้เขาพาไปทานกลางวันแพงๆ ดูหนัง และ ซื้อของจนเบื่อไปวันหนึ่งแล้ว ก็หาเรื่องชวนหม่อมแม่ และลากภาสกร ไปดูเพชรในงานที่เมืองทองธานีอีกวันหนึ่งด้วย หากวันนี้ภาสกรไม่รีบหนีออกมาจากวังเสียแต่เช้าแบบนี้ มีหวังต้องถูกทิฆัมพร ลากไปโน่นไปนี่อีกจนได้
“อ้อ ฝ้ายต้องขอโทษคุณชายเรื่องข่าวในหนังสือพิมพ์ด้วยนะคะ”
ภาสกร พยายามรักษาสีหน้าไว้ไม่ให้เปลี่ยน เพราะเขาก็นึกเคืองหญิงสาวอยู่ไม่น้อยที่ให้ข่าวไปอย่างนั้น
“ฝ้ายต้องทำอย่างนั้น เพราะมีนักข่าวเข้ามาที่ โรงพยาบาล หลังจากที่คุณชายออกไปได้นิดเดียว ฝ้ายว่าคนในโรงพยาบาลนี่แหละค่ะโทรไปบอก เพราะนักข่าวรู้ว่า ไอ้น้ำ อยู่ที่ห้องฉุกเฉิน แล้วยังรู้เรื่องที่คุณชายบริจาคเลือดให้ไอ้น้ำด้วย ฝ้ายเห็นนางพยาบาลคนหนึ่ง กำลังจะเดินไปให้ข่าวแล้วก็กลัวว่าเขาจะพูดอะไรให้เข้าใจผิดกันก็เลยต้องรีบแย่งซีนพูดเสียก่อน กลัวคุณชายจะเสีย ถ้าคุณชายต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ฝ้ายต้องขอโทษด้วยนะคะ”
ภาสกรยิ้มเบาๆ
“ผมว่าคุณฝ้ายไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษผมหรอกครับ เพราะแทนที่ผมจะถูกตำหนิกลับมีแต่คนโทรศัพท์มาชมให้หม่อมแม่ฟัง ท่านก็เลยไม่ได้ว่าอะไรนัก”
“ไม่มีใครตำหนิคุณชายหรอกค่ะ ที่คุณชายทำเนี่ย มันเป็นสิ่งที่คนควรจะชื่นชมอยู่แล้วละค่ะ คุณชายอย่าลืมนะคะว่า คนเราทำผิดกันได้ทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับความผิด แล้วพยายามแก้ไขให้มันถูกอย่างคุณชายนี่คะ จริงไหมคะ” หญิงสาวอยากเอื้อมมือไปแต่มือคุณชายเบาๆ เพื่อปลอบให้สบายใจ แต่ก็ไม่สามารถบังอาจได้ขนาดนั้น
ภาสกร ยังคงเงียบไปพักใหญ่ๆ สายตายังจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงข้างๆ
“คุณหมอบอกไว้บ้างไหมครับว่า คุณนทีจะฟื้นเมื่อไหร่”
ปุยฝ้ายกลืนก๋วยเตี๋ยวในปากลงคอ ก่อนจะตอบอย่างเศร้าๆ
“คุณหมอประเมินไว้ว่าอีกสองสามวันค่ะ แต่นี่เดี๋ยวบ่ายๆ คุณหมอก็จะเข้ามาตรวจอาการของวันนี้แล้วล่ะค่ะ”
“เรื่องนี้ผมทราบแล้วครับ จริงๆ ก็กะว่าจะมาเพราะเรื่องนี้ด้วย ถ้าหากรักษาที่พัทยาไม่ไหว ผมก็จะขอให้ย้ายไปรักษาต่อในกรุงเทพ เพราะคุณหมอมิ่งเมืองที่ผมขอร้องให้ช่วยรักษาคุณนที ก็เป็นสหายของท่านพ่อ ต้องไปมาหาสู่เป็นที่ปรึกษา โรงพยาบาลโน้น โรงพยาบาลนี้ที่กรุงเทพอยู่แล้วไปรักษากันต่อที่อื่นก็ได้ อย่างวันนี้ก็ต้องไปวินิจฉัยอาการของท่านพ่อ หลังจากตรวจอาการคุณนทีเสร็จ ถ้าย้ายไปรักษาที่กรุงเทพบางทีอาจจะเป็นผลดีต่อคุณนทีมากกว่านะครับ”
หลังจากที่ปุยฝ้ายกินก๋วยเตี๋ยวที่คุณชายซื้อมาฝากเสร็จเรียบร้อยแล้ว หล่อนก็ยกชามก๋วยเตี๋ยวไปไว้ในอ่างล้างจานที่บาร์ก่อนจะจะย้ายมานั่งที่โซฟารับแขกชุดเดิม
ภาสกรพยายามสร้างบรรยากาศให้อบอุ่นเป็นกันเองโดยขอให้ปุยฝ้ายเล่าเรื่องของหล่อนเพื่อให้ได้รู้จักหญิงสาวมากขึ้นกว่านี้ ปุยฝ้ายซึ่งเป็นคนอัธยาศัยดีและช่างพูดอยู่แล้วก็ทำให้บรรยากาศของห้องพักผู้ป่วยในห้องนี้ มีแต่เสียงเจื้อยแจ้วของหล่อน และเสียงหัวเราะของภาสกรเป็นระยะๆ
จากการพูดคุยกันนั้นได้ความว่า นางสาวปุยฝ้ายเป็นคนพัทยาโดยกำเนิด เรียนโรงเรียนในตัวพัทยามาตลอดกระทั่งสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยบูรพา จึงทำให้ต้องไปๆมาๆ ระหว่างมหาวิทยาลัยที่อยู่แถวบางแสน และเมืองพัทยาที่เป็นบ้านเกิดของหล่อนตลอด ไม่นานหล่อนก็ตัดสินใจออกจากบ้านมาอยู่แฟลตเล็กๆ ใกล้กับทางไปมหาวิทยาลัย ปุยฝ้ายเรียนสายภาษามาแต่เด็กเพราะไม่ชำนาญด้านการคำนวณ หล่อนเป็นคนพูดเก่ง และมักจะหาเรื่องมาพูดได้ตลอดเวลา จึงตัดสินใจเรียน ภาควิชานิเทศศาสตร์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ หล่อนพบกับนทีที่นั่นเป็นครั้งแรก
หล่อนกับเขานั่งเลกเชอร์ติดกันในวิชาภาษาอังกฤษ ที่เป็นวิชาบังคับของคณะในปีที่หนึ่ง ด้วยความที่หล่อนเป็นคนเก่งภาษาอังกฤษ เพราะสนใจและพยายามฝึกพูดกับชาวต่างชาติในพัทยาบ่อยๆ จึงกลายเป็นคนที่ช่วยติวให้กับนที และทั้งคู่ก็บังเอิญพบกันบนรถระหว่างการเดินทางจากพัทยามามหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง จึงยิ่งทำให้ทั้งคู่สนิทกันเร็วมากขึ้น
มาถึงตอนนี้ ปุยฝ้ายก็เริ่มพูดเรื่องนที
นาย นที เป็นที่รู้จักของใครหลายๆคนด้วยความที่น่าตาดี และ มนุษยสัมพันธ์ดีสามารถคุยได้กับทุกคน ทั้งอาจารย์ เพื่อนร่วมคณะ เพื่อนต่างคณะ หรือแม้แต่ป้าแม่บ้าน มีผู้หญิงมาจีบนทีอยู่มากมาย แต่เขาก็ไม่มีทีท่าสนใจใครมากเป็นพิเศษ ปุยฝ้ายเกือบจะพูดอะไรออกมา แต่ก็หยุดไว้แค่นั้น แล้วเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องที่นที เรียนสาขาวารสารศาตร์ ส่วนหล่อนเรียนสาขาการประชาสัมพันธ์ ทั้งคู่จึงพบกันเฉพาะเวลาเรียนวิชาบังคับและจะเจอกันอีกทีก็ช่วงที่ว่างตรงกันไม่ก็หลังเลิกเรียนเวลากลับพัทยาด้วยกันเท่านั้น
นทีไม่อยู่หอใกล้ๆมหาวิทยาลัยเพราะติดแม่ แม่ของนทีไม่ทำงาน เพราะเป็นคนขี้โรคสามวันดีสี่วันไข้ ป่วยกระเสาะกระแสะตลอด ส่วนพ่อของนที ก็ทำงานเป็นไกด์พาชาวต่างชาติเที่ยวพัทยาไม่ค่อยได้อยู่บ้านดูแลภรรยานัก นทีจึงไม่สามารถแยกตัวออกจากแม่มาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องเดียวเกี่ยวกับครอบครัวของนทีที่หล่อนรู้เพราะชายหนุ่มไม่เคยเปิดปากบอกอะไรมากกว่านั้น ปุยฝ้ายเองด้วยความที่อยู่พัทยามาจนชิน จึงไม่อยากย้ายไปไหน แม้ต้องเดินทางไปกลับนานๆ หล่อนก็ไม่ใส่ใจ ตราบใดที่มีนทีนั่งไปข้างๆ
**********************************************************************
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ สำหรับใครที่รอว่าเมื่อไหร่นทีจะฟื้น แหะๆ ต้องแจ้งว่าคงเป็นอาทิตย์หน้าครับผม มีเรื่องเกี่ยวกับ ภาสกร และปุยฝ้ายที่ต้องเปิดเผยอีก ในฐานะที่ทั้งสองคนนี้ก็เป็นตัวละครสำคัญฉะนั้นผมจึงต้องเสียเวลาปูเรื่องเกี่ยวกับสองคนนี้ก่อน
อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคร้าบบบ
ปล. ผมฝากทางสามสายด้วยนะคับ