บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]  (อ่าน 245704 ครั้ง)

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
«ตอบ #360 เมื่อ02-04-2011 23:18:08 »

ไม่เป็นไรค่ะ รอได้ (แต่อย่านานนักนะคะ)

ติดตามต่อไป ขอให้คอมใช้ได้เร็วๆ
 :call:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
«ตอบ #361 เมื่อ02-04-2011 23:23:27 »

เฮือก...การ์ดจอเจ๊ง !!!  (อีกแล้ว  :sad4:)
ง่า...เค้าคิดถึงเรื่องนี้มาก ๆ  คิดถึงคุณ ZIar จะแย่แล้ว แล้วเค้าจะต้องเฝ้ารออีกนานเท่าไรเนี่ย?
ฝากบอกช่างหน่อยสิคะ ว่าให้เคลมไว ๆ เพราะ มีคนรอการ์ดจออันนี้อีกหลายชีวิตเลย (เพื่ออ่านนิยาย )

ออฟไลน์ £.Ma|e¥

  • ชั้นคือผู้หญิงโรคจิต!! โฮะๆๆ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
«ตอบ #362 เมื่อ03-04-2011 15:57:53 »

ไอ้ช่างบ้า อยากจะไปปาไข่เน่าใส่หัวจริงๆ  :m31:
ทำให้คนอื่นอดอ่านนิยายนี่มันบาปนะ -_-^
ขอให้คุณเซียร์ได้การ์ดจอที่มันแข็งแรงอดทนได้นานเหมือนแมลงสาบที่เถ๊ออออ
อยากอ่านแว้วววว คิดถึงอาเฟยยยยย

ออฟไลน์ วิหคท่องนภา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
«ตอบ #363 เมื่อ04-04-2011 00:48:22 »

เฮือก....อ่านทันซะที ฮ่าๆๆ

ลึกล้ำมาก...... คิดตามจนปวดหัวเลย


ตาฉู่นี่สำคัญแฮะ......ดูมีอำนาจยังไงไม่รู้     เคยแอบสงสัยว่าเป็นทายาทไป๋   หรืออาจจะเป็นไป๋....

รออ่านต่อดีกว่า ฮี่ๆ


ปล.ชอบคู่อาซิงมากกว่าอ่ะ  น่าร้ากกกก

ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
«ตอบ #364 เมื่อ04-04-2011 20:11:57 »

 :z3:  กรี้ดดดด  เรื่องนี้โดนใจมากค่ะพี่เซียร์  อ่านแล้วได้บรรยากาศมาเฟียฮ่องกงจิงๆ o13
ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ยังไม่รุ้เลยว่าตาฉู่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่  :เฮ้อ: :serius2:
มาต่อเร็วๆนะค่ะ :pig4: :L1: :L1:

ออฟไลน์ beautyless

  • PP Kintai Love
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
«ตอบ #365 เมื่อ05-04-2011 19:11:26 »

เข้ามาดัน

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #366 เมื่อ08-04-2011 00:14:20 »

-29-


วันและเวลายังคงเดินไปอย่างเที่ยงตรงแม้จะเกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้นแล้ว โลกยังคงหมุนไปอย่างเรียบง่ายไม่เร่งหรือลดความเร็วไปกว่าปกติ อย่างไรเสีย 1 วันก็ยังคงมี 24 ชั่วโมงไม่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงเพื่อใครบางคนหรือบางกลุ่ม ถึงอย่างนั้น คนบางคนก็อยากให้เวลาเดินช้าลงและคนบางคน...ก็อยากให้เวลาเดินเร็วขึ้นอีกหลายเท่า เช่นผู้ชายคนนี้ เซินหยู่

หากนับแต่เซินเฟยหายตัวไป เวลาก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ จนเกือบจะครบกำหนด 3 เดือนแล้ว มีบางกระแสข่าวที่บ่งว่าเซินเฟยปรากฏตัวในสถานที่ต่าง ๆ ทว่าเมื่อเขาส่งคนลงไปตรวจสอบกลับพบว่าเป็นข่าวเท็จเท่านั้น แต่เพื่อความไม่ประมาท เขายังคงสั่งให้คนของเขาคอยตรวจตราชายฝั่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่ามีใครหรืออะไรขึ้นมาจากทะเลจะต้องส่งหลักฐานให้เขาตรวจสอบทันที และอะไรก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเซินเฟยก็จะมีคำสั่งให้กำจัดทิ้งอย่างเร่งด่วนและเงียบเชียบ

ถึงอย่างนั้นแล้วตำแหน่งของเขาก็ยังไม่มั่นคง เพราะนอกจากเขาแล้วก็ยังมีคนอีกหลายคนที่เล็งตำแหน่งนี้ไว้เช่นกัน อีกทั้งมติทางกลุ่มได้ออกมาแล้วว่า เนื่องจากกรณีนี้เป็นกรณีพิเศษจึงต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม เนื่องจากเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่จูเชว่ไม่มีทายาทสายตรงอีกทั้งยังไม่ทิ้งพินัยกรรมใด ๆ เอาไว้ ด้วยเหตุนี้ ในการคัดเลือกผู้นำคนต่อไป ทางกลุ่มจะใช้การประชุมเพื่อเฟ้นหาคนที่เหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ ใครก็ตามที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มได้มากที่สุดและไม่ทำให้รากฐานสั่นคลอน

เซินหยู่ได้รับรู้ในตอนที่มีคนนำเรื่องนี้มาแจ้งว่าจะทำตัวกร่างอยู่อย่างเดิมไม่ได้อีกต่อไป เขาปรับเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมืออย่างทันที

เริ่มจากการหันมาทำดีกับหวางซิงมากขึ้น ไม่เอาแต่กลั้นแกล้งดังที่แคยทำในตอนแรก เขายกโต๊ะคืนให้แก่ชายหนุ่มอีกทั้งยังให้เข้ามานั่งในห้องประธานได้ มีสิทธิเข้าออกได้ตามต้องการ และไม่บีบคั้นอีกฝ่ายอีกต่อไป ทั้งนี้เพราะหวางซิงเป็นหัวแรงใหญ่ที่จะยืนยันความเหมาะสมของเขากับที่ประชุมเนื่องจากเป็นคนใกล้ชิดที่เซินเฟยทิ้งเอาไว้ให้เขา คนอื่น ๆ ที่ไม่มีหวางซิงก็ต้องลงแรงมากหน่อย ส่วนเขาแค่เอาใจหวางซิงให้มาก รอให้อีกฝ่ายยอมโอนอ่อนให้ก็เพียงพอที่จะเข้าตากรรมการบ้างแล้ว

ด้วยเหตุนั้น ตลอดระยะเวลาเดือนเศษนับแต่ได้รับเงื่อนไขจากกลุ่ม หวางซิงจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่ตนเองถูกปฏิบัติต่างจากเดิม คนของเซินหยู่ทุกคนนอบน้อมต่อเขาราวกับเป็นเจ้านายอีกคน เขาสามารถยื่นมือเข้าไปจัดการกับทุกแผนกได้โดยไม่มีใครขัดขวาง อีกทั้งเซินหยู่ก็ไม่แสดงอารมณ์โมโหร้ายกับเขาทั้งที่ถูกแขวะไปเสียมาก

นอกจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้ เซินหยู่ยังมักอาศัยเวลาว่างในบริษัทไปกับการเยี่ยมเยียนหัวหน้ากลุ่มต่าง ๆ ในเขต แน่นอนว่าหวางซิงไม่ได้ติดตามไปด้วยเพราะเซินหยู่ให้เหตุผลว่าเป็นการพูดคุยอย่างลับ ๆ ในเวลาอย่างนี้ถึงหวางซิงจะไม่ต้องเดินทางไปฟังด้วยตัวเองก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นการเสนอผลประโยชน์เพื่อแลกกับเสียงสนับสนุนอย่างแน่นอน เพราะนอกจากหัวหน้ากลุ่มในเขตพื้นที่แล้ว เซินหยู่ยังเดินทางไปดูความเป็นอยู่ของญาติ ๆ ในสายรองของตระกูลเซิน ในสายตาคนอื่น ๆ อาจมองว่าเซินหยู่พยายามปรับปรุงตัว แต่สำหรับหวางซิงกลับมองว่าเซินหยู่กำลังทำตัวเหมือนนักการเมืองที่กำลังออกหาเสียงเสียมากกว่า ลองอีกฝ่ายได้ขึ้นเป็นใหญ่เมื่อไหร่ อย่าว่ากระทั่งเขาเลย ทุกคนที่อีกฝ่ายทำดีด้วยจะต้องถูกรีดผลประโยชน์คืนอย่างสาสมแน่นอน

แต่สถานการณ์ที่พลิกผันอย่างนี้ก็ใช่ว่าหวางซิงจะไม่ได้ประโยชน์ เพราะเขาได้รับอนุญาตที่จะออกไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แม้จะไม่สามารถติดต่อกับใครเป็นการส่วนตัวได้ก็ตามที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกหัวหน้ากลุ่มและผู้บริหาร เมื่อใดก็ตามที่หวางซิงมีทีท่าจะติดต่อกับคนเหล่านี้ เซินหยู่จะต้องส่งคนมาจับตาดูเสียทุกทีไป กระนั้น เขาก็สามารถติดต่อกับคนนอกได้โดยไม่มีใครรบกวน และมู่อี้จิงคือคนที่หวางซิงให้ความไว้ใจในการติดต่อด้วยมากที่สุด แน่นอนว่าเขาจะไม่ได้รับข่าวใด ๆ กลับมาเนื่องจากมู่อี้จิงต้องการความแน่ใจว่าจะไม่มีคนของเซินหยู่รู้เรื่องที่เซินเฟยกำลังดำเนินการ กระนั้นแค่เพียงมีคนให้ปรึกษา แม้จะอึดอัดใจที่ไม่ได้รับรู้ความคืบหน้าของแผนการแต่ก็ไม่อัดอั้นกับเรื่องรอบตัวของตัวเองมากนัก อีกทั้งยังอาจเป็นข่าวสารที่มีประโยชน์ต่อเซินเฟยด้วย

ตลอดระยะเวลาเดือนกว่ามานี้ หวางซิงไม่ได้พบหน้าเซินเฟยหรือกระทั่งได้ยินเสียงเลยสักครั้งเดียว ทั้งที่คิดว่าเมื่อเซินเฟยกลับมาแล้วจะได้กลับไปอยู่เคียงข้างเช่นเดิม ทว่าหลังจากห่างร้างกันไปหนึ่งเดือนโดยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร พอได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ถูกสั่งห้ามพบอีกครั้ง ตอนนี้ระยะเวลาก็ผ่านไปนานแล้ว หวางซิงรู้ว่าตนเองต้องอดทนแต่ก็ยังอดน้อยใจไม่ได้

“เหลือเวลาอีกอาทิตย์เดียวเท่านั้น.....” หวางซิงเปรยขึ้นมาเหมือนไม่มีความหมายอะไร แต่มู่อี้จิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายความถึงช่วงกำหนดสามเดือนที่จะมีการแต่งตั้งจูเชว่คนใหม่

“งานที่บริษัทยุ่งหรือครับ?” มู่อี้จิงถามกลับเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจ

“ถ้าเป็นตอนนี้คนยุ่งคงมีแต่ผมนี่แหละครับ คุณเซินหยู่ออกไปข้างนอกทุกวันไม่ค่อยเข้าบริษัทเท่าไหร่ งานภายในผมเลยต้องจัดการเองแทบทั้งหมด”

มู่อี้จิงทำความเข้าใจความกลัดกลุ้มของหวางซิงได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเซินเฟยกลับมาแล้วฐานะของหวางซิงจึงเปลี่ยนไป จากปกติเขาอาจแกล้งปล่อยปละละเลยงานให้เซินหยู่กลับมาสะสางเองได้ แต่เมื่อรู้แน่ว่าเซินเฟยจะกลับมา หวางซิงจึงต้องพยายามทำงานแทนให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เซินเฟยต้องรับภาระที่พ่อตนเองทิ้งเอาไว้

แต่ช่วงนี้เองเซินเฟยก็ใช่จะสบาย เพราะต้องดำเนินแผนการตามที่เขาได้ข้อมูลมาอย่างลับ ๆ การ์ด 4 คน ฉู่เหวินจือที่เพิ่งถอดเฝือกไป ตัวเขาเอง และเซินเฟยต่างก็หัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้น ทั้งยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากสายตาของเซินหยู่อีกจึงเหนื่อยเป็นเท่าตัว จบงานนี้เขาต้องคิดค่าตอบแทนหนัก ๆ หน่อยเสียแล้ว เล่นใช้งานกันจนเทียบได้กับปริมาณงานในฐานะสายสืบของกรมตำรวจรวมกัน 4 เดือนแบบนี้

“ดูเหมือนว่าจะเป็นไปด้วยดีนะครับ” หวางซิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง มู่อี้จิงจึงพยักหน้า

“คุณเริ่มสังเกตเห็นแล้วหรือ?”

“ครับ.....แต่คุณเซินหยู่ยังไม่รู้” ประโยคหลังหวางซิงลดเสียงลงเล็กน้อย “ผมเองก็พยายามปกปิดอยู่”

มู่อี้จิงพยักหน้า เรื่องนี้เซินเฟยคงจะพอใจที่จะได้ฟังอยู่ ซึ่งก็นับว่าพวกเขาทำงานได้ไม่เสียเปล่า เหลือก็แต่ช่วงเวลาที่เซินเฟยจะลงมือเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นภายในวันหรือสองวันนี้ เพราะเวลากำลังงวดลงเรื่อย ๆ ถึงการดำเนินการจะดูเชื่องช้าแต่ความจริงแล้วเซินเฟยเองก็กำลังร้อนใจอยู่มากเหมือนกัน

ตัวเซินหยู่ นอกจากจะหันมาทำดีกับคนในแล้ว ยังทำดีกับภรรยา หลี่จวี๋เหม่ย มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะสภาพอารมณ์ที่เป็นไปในทางบวกนั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้ความเป็นจริงอย่างที่ฝันไว้ และคนในก็เริ่มยอมรับเขามากขึ้นแล้ว ทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองจะได้ดำรงตำแหน่งต่อไปอย่างแน่นอน

“กลับมาแล้วหรือคะ?” หลี่จวี๋เหม่ยรีบออกไปต้อนรับสามี เธอดูซูบผอมและอมทุกข์มากกว่าเก่าหลังจากที่ได้ข่าวการหายตัวไปของเซินเฟย กระนั้นเธอก็ไม่อาจแสดงความตรมเศร้าออกมาให้สามีเห็นได้ ด้วยรู้ดีว่าเซินหยู่ไม่ต้องการจะรู้สึกถึงตัวตนของเซินเฟยไปมากกว่านี้ เวลานี้เซินหยู่เองก็ประพฤติตัวดีขึ้น เธอจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียขึ้นมาอีก ด้วยเหตุนั้นจึงทำได้เพียงเก็บความทุกข์ในฐานะแม่ไว้ในใจเพียงผู้เดียวโดยไม่อาจพูดให้ใครรับฟังได้

“กลับมาแล้ว” เซินหยู่ว่าแล้วเดินเข้าไปสวมกอดภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก “วันนี้มีอะไรกินบ้าง? บ้านที่ฉันไปหาวันนี้ภรรยาเขาทำอาหารรสชาติย่ำแย่จริง ๆ เธอเก่งกว่าเยอะเลยล่ะ”

“งั้นหรือคะ?” หลี่จวี๋เหม่ยหัวเราะแกน ๆ เธอไม่ค่อยชินกับพฤติกรรมแบบใหม่ของสามีสักเท่าไหร่ “วันนี้ฉันเตรียมของไว้เยอะเพราะเห็นคุณบ่นเหนื่อยมาหลายวัน แล้วก็ยังมีของหวานที่คุณชอบด้วย”

“งั้นก็ดีน่ะสิ ไปกินข้าวกินปลากันเถอะ เธอซูบผอมไปขนาดนี้กอดไม่เต็มโอบเอาเสียเลย” เซินหยู่บ่นพลางหัวเราะก่อนจะพยุงภรรยาของตนเข้าไปในห้องอาหารซึ่งหลี่จวี๋เหม่ยจัดโต๊ะรอเอาไว้อย่างพรักพร้อมตามหน้าที่ของเธอที่กระทำมาหลายปี แม้ว่าจะมีแต่ปีหลัง ๆ นี้ที่เซินหยู่กินข้าวที่บ้านบ่อยครั้งขึ้นกว่าเดิมจากที่ปกติจะออกไปกินกับเพื่อนหรือลูกค้าที่ร้านอาหารอยู่เสมอ

เซินหยู่นั่งลงแล้วตักอาหารเช้าปากพลางเอ่ยชมรสชาติที่หลี่จวี๋เหม่ยบรรจงปรุงแต่งอย่างที่อีกฝ่ายชื่นชอบ

“ที่บริษัทเป็นยังไงบ้างคะ?”

“ตอนนี้กำลังไปได้สวยเลยล่ะ นี่จวี๋เหม่ย เธอรู้ไหมว่าพวกผู้บริหารให้ความเชื่อถือฉันมากขึ้นแล้วนะ แถมพวกหัวหน้ากลุ่มก็ดูจะสนับสนุนฉันอยู่หลายคน ยังไงตำแหน่งจูเชว่ก็ไม่พ้นฉันอย่างแน่นอน” เซินหยู่พูดอย่างมั่นอกมั่นใจ กระนั้นหลี่จวี๋เหม่ยกลับรู้สึกใจคอไม่ดีอย่างไรชอบกล เพราะอะไร ๆ ก็ดูลงตัวไปเสียหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะเข้าหาใครก็ยากลำบากไปหมดแท้ ๆ

“อีกเดี๋ยวเธอจะได้เป็นนายหญิงใหญ่แล้ว หัดทำหน้าทำตาให้มันสดชื่นหน่อยสิ แต่งหน้าแต่งตาเสียบ้าง แล้วก็เดี๋ยวฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ดีไหม เธอไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่ก็เลยไม่มีชุดสวย ๆ เลยนี่นะ”

ฟังคำสามีแล้ว หลี่จวี๋เหม่ยก็แย้มรอยยิ้มฝืน ๆ

นับแค่แต่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ อย่างว่าแต่เสื้อผ้าเลย กระทั่งเครื่องสำอางค์ก็ยังไม่มีโอกาสได้ซื้อได้ใช้เสียด้วยซ้ำ เธอถูกบังคับให้อยู่แต่ในบ้าน การสมาคมกับคนข้างบ้านก็ไม่มี ตอนไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนของเซินเฟยก็ได้แค่ใช้เครื่องสำอางค์เก่าที่ซื้อมาตอนก่อนจะแต่งงานตบแค่ผาด ๆ เท่านั้น ในสายตาของคนทั่วไปเธอจึงเป็นผู้หญิงที่ดูมืดมนไร้ชีวิตชีวาและไม่มีใครอยากจะคบค้าด้วยมากนัก

“ฉันคงไม่เหมาะกับของสวยงามแบบนั้นหรอกค่ะ” เธอว่าพลางกินข้าวต่อไปเงียบ ๆ

“พูดแบบนี้อีกแล้ว! ต่อไปเธอจะเป็นนายหญิงของตระกูลนะ ต้องมีหน้ามีตาในสังคม จะทำตัวโทรม ๆ อยู่บ้านได้ยังไงกัน ดูอย่างนายหญิงคนก่อนสิ เฮอะ! แต่งตัวจัดขนาดนั้น” เซินหยู่พาดพิงไปถึงซากุระซึ่งตอนนี้ได้ข่าวว่ากลายเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จระดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น ได้ออกข่าวเป็นระยะ ๆ นับแต่กลับไปรับมรดกก้อนโตจากพ่อที่สิ้นบุญไป “ช่างเถอะ เดี๋ยวพอฉันได้เป็นจูเชว่เธอก็จะสุขสบาย ถึงตอนนั้นคงรู้จักแต่งตัวให้ดูดีขึ้นเองนั่นแหละนะ” เขาตัดบทเช่นนั้นเพราะไม่อยากขุ่นใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

หลี่จวี๋เหม่ยได้แต่ทอดถอดใจในอก ไม่รู้ว่าควรจะบอกความกังวลใจให้สามีรู้ดีหรือไม่ แต่ในที่สุดแล้วเธอก็ทำได้เพียงเก็บเอาไว้อย่างเงียบ ๆ เช่นทุกเรื่องที่ผ่านมาและผ่านไป

เมื่อเสร็จสิ้นมื้ออาหาร เซินหยู่ก็จะเดินไปเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลาหรือไม่ก็จะอ่านหนังสือพิมพ์ หลี่จวี๋เหม่ยก็จะทำหน้าที่เก็บล้างภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้แล้ว ส่วนอาหารที่ยังไม่หมดก็จะเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้อุ่นกินตอนกลางวันที่สามีออกไปทำงาน แต่พอเปิดตู้เย็น เธอก็พบกับของหวานหลายอย่างซึ่งใส่ไว้จนแทบจะเต็มตู้ เธอมองของเหล่านั้นด้วยสายตาโศกเศร้า นึกถึงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เธอวาดหวังว่าเธอกับลูกชายจะได้กลับมาเป็นครอบครัวอย่างปกติอีกครั้ง ทว่าความหวังนั้นกลับแตกสลายไม่มีชิ้นดี ถึงอย่างนั้น เธอก็เหมือนว่ายังทำใจไม่ได้จึงยังคงทำขนมหวานทุกอาทิตย์ทั้งที่ไม่มีคนที่จะมอบให้

ชุดนี้เองก็คงจะต้องเก็บทิ้งแล้ว....

หญิงสาวมอบของหวานเหล่านั้นแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ไม่รู้ว่าขนมกี่ชิ้น เค้กกี่ก้อนที่เธอทำได้เพียงทิ้งไปอย่างเปล่า ๆ

หลี่จวี๋เหม่ยหยิบขนมจานหนึ่งออกมาจากตู้เย็น กลิ่นของมันชักไม่ดีแล้วเธอจึงเขี่ยลงถังขยะแล้วทิ้งจานลงในอ่างเตรียมล้างและทำเช่นนั้นกับอีกสองสามจานเพื่อเคลียร์ตู้เย็นให้โล่งพอจะใส่อาหารเย็นมื้อนี้ลงไปได้ ทุกการกระทำเป็นไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงช้อนสแตนเลสและจานกระเบื้องกระทบกันเท่านั้นที่ดังอยู่ในห้องครัว

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลี่จวี๋เหม่ยจึงหันมาจัดของหวานที่เตรียมให้สามีและนำออกไปให้เจ้าตัว เธอนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองสามีกินของหวานแล้วก็อดจะนึกถึงเซินเฟยไม่ได้ เซินหยู่กรอกหูเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเซินเฟยตายไปแล้ว ถึงอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ยากจะทำใจรับอยู่ดี

“ฉันขอตัวขึ้นนอนก่อนนะคะ” หลี่จวี๋เหม่ยปลีกตัวจากไป ทิ้งให้เซินหยู่นั่งเล่นต่อไปเพียงลำพัง เขาตักขนมหวานเข้าปากพลางกระหยิ่มในใจเมื่อนับวันเวลาแล้วพบว่าอีกเพียงไม่ถึงสิบวัน สิ่งที่เขาต้องการก็จะวิ่งเข้ามาอยู่ในกำมือ และเมื่อถึงตอนนั้น เขาจะชี้นกก็เป็นนก ไม้ก็เป็นไม้

------------------->

สามวันต่อมา เซินหยู่ก็ยังคงเดินทางมาทำงานที่บริษัทตามปกติทว่าเขากลับรู้สึกถึงสายตาอันผิดแปลกจากบุคคลรอบข้าง อีกทั้งยังรู้สึกว่าคนคุ้นหน้าคุ้นตาหายไปหลายคน เขาคิดว่าคงจะคิดไปเองจึงรีบขึ้นไปยังห้องประธานเพื่อวางแผนว่าวันนี้จะไปนัดพบกับใคร ในช่วงโค้งสุดท้ายอย่างนี้เขาควรจะสนิทสนมกับคนที่มีผลต่อคะแนนเสียงให้มากไว้ โดยเฉพาะพวกผู้อาวุโสที่ไม่พอใจการดำรงตำแหน่งของเซินเฟยแต่เดิม

ทว่าเมื่อเขาเข้าไปถึงห้องประธาน คนสนิททั้งสองกลับทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อีกทั้งยังถือกระดาษปึกหนาไว้ในมือ

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว

“พวกผมรู้สึกแปลกมาหลายวันแล้วครับ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าคนของเราหายหน้าหายตาไป ก็เลย....ไปขอรายชื่อจากฝ่ายบุคลากรมาตรวจสอบ....”

“แล้วยังไง?”

“ภายใน 2 สัปดาห์....คนของเราที่วางไว้ในแต่ละแผนกก็ถูกโยกย้ายออกไปจนเกือบหมดเลยครับ”

เซินหยู่ก้าวฉับ ๆ เข้าไปคว้าเอกสารรายชื่อพนักงานในบริษัทมาตรวจสอบ และพบว่าจริงดังว่า ตำแหน่งที่เขาเอาคนของตนเองวางลงไปกลับมีชื่ออื่นเข้ามาแทนที่แทบทุกแผนก เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังมีชื่ออยู่ตามเดิม นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? อำนาจการโยกย้ายตำแหน่งควรจะอยู่ที่เขาไม่ใช่หรือ? การพิจารณาว่าจะจ้างหรือปลดพนักงานรวมถึงการเลื่อนหรือลดขั้นจะต้องรายงานผ่านประธานก่อนเพื่อพิจารณาเหตุผลที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกหนักงานระดับสูง ๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว

“แน่ใจนะว่านี่เป็นข้อมูลล่าสุด?” เขาถามเพื่อความแน่ใจ

“ครับ ผมให้แผนกบุคลากรปรินท์ให้เมื่อเช้านี้เองครับ” คนสนิทคนหนึ่งตอบทันที เพราะเขารู้สึกว่าเริ่มมีกลิ่นไม่ชอบมาพากลจึงไปบังคับให้เจ้าหน้าที่เอารายชื่อออกมาดูอย่างเร่งด่วน แล้วเขาก็พบว่ามีเรื่องผิดแปลกเกิดขึ้นจริง ๆ ซ้ำยังดูเหมือนจะเกิดมานานแล้วแต่ไม่มีใครรู้ตัว

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เซินหยู่รู้สึกหนาวเยือกในอก การกระทำเช่นนี้หรือว่าจะเป็นฝีมือพวกผู้บริหารที่คิดหักหลังเขา? หรือว่าจะเป็นมือมืดจากที่ไหนในองค์กร? หรือว่า.....

“หวางซิงอยู่ไหน?”

“ผมอยู่นี่ครับ” ทันทีที่เอ่ยชื่อ หวางซิงก็เดินเข้ามาในห้องเหมือนไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้น เซินหยู่แทบจะเต้นเมื่อเห็นท่าทางวางตัวเย็นใจเช่นนั้น เขากระชากปึกกระดาษจากมือคนของตนแล้วยื่นไปข้างหน้าหวางซิง

“นี่ฝีมือแกใช่ไหม!?”

หวางซิงมองกระดาษปึกนั้นพลางมุ่นคิ้ว

“ผมทำอะไรหรือครับ?”

“อย่ามาทำไก๋ไม่เข้าเรื่อง! แกสินะที่เป็นคนเซ็นอนุมัติการโยกย้ายพวกนี้น่ะ!” เซินหยู่ตะคอกใส่เลขาคนสนิทของลูกชายโดยไม่สนใจความดีงามที่ตนเองอุตส่าห์อดทนพยายามกระทำต่ออีกฝ่ายเพื่อคะแนนเสียงที่ดีอีกต่อไป อย่างไรเสียเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากคนในหลายคนแล้ว กับแค่เลขาคนเดียวถ้ามันแว้งกัดเขา เขาก็ไม่คิดจะเอาไว้อีกต่อไป เพราะหวางซิงก็ขวางหูขวางตาเขามานานจนเกินจะทนแล้ว

“คุณเซินหยู่ เลขาอย่างผมไม่มีอำนาจการเซ็นอนุมัติโยกย้ายตำแหน่งพนักงานครับ ทำได้แค่ให้คำแนะนำเท่านั้น” หวางซิงเน้นย้ำขอบเขตที่ตนเองมีให้อีกฝ่ายรับทราบด้วยสีหน้าจริงจัง “คนที่สามารถเซ็นผ่านได้มีแต่ประธานเท่านั้น คุณเองก็ทราบไม่ใช่หรือครับ?”

“แต่แกได้รับอำนาจจากอาเฟยให้กระทำการแทนได้!”

“เฉพาะองค์กรใต้ดินเท่านั้นครับ เรื่องในบริษัท หากต้องใช้อำนาจของประธานผมก็ต้องยื่นเรื่องให้คนที่ได้เป็นตัวแทนอย่างคุณไม่ใช่หรือครับ?” หวางซิงว่าพลางขยับแว่น

“แต่ว่าฉันไม่ได้ทำอะไร....”

“ใช่ครับ คุณพ่อไม่ได้ทำอะไร เพราะที่ทำไม่ใช่พ่อแต่เป็นผม” เสียงที่แทรกเข้าในโสตประสาทเรียกให้เซินหยู่หันไปทางประตูที่เปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นตาเกินกว่าจะหลงลืมไปได้ ดวงตาเยียบเย็นของเด็กหนุ่มยังคงคมกริบราวกับดาบ เมื่อจ้องมองยิ่งรู้สึกราวกับถูกทะลวงเข้าไปถึงสันหลัง แววตาแบบนั้นคือแววตาที่เด็กหนุ่มมักจะใช้มองคนอื่นอยู่เสมอ และเป็นสายตาที่เขาเกลียดชังที่สุด

“แก.....อาเฟย......” เซินหยู่เบิกตากว้าง

“คุณเซิน!” หวางซิงขานเรียกอีกฝ่ายด้วยความดีใจ ไม่นึกว่าเซินเฟยจะยอมปรากฏตัวออกมาในช่วงเวลาอย่างนี้ราวกับวางแผนเอาไว้แล้ว ไม่สิ...หากพูดว่าเป็นไปตามแผนน่าจะถูกเสียกว่า เพราะทั้งหมดนี้น่าจะเกิดขึ้นจากแผนการที่เซินเฟยวางเอาไว้ก่อนหน้านี้

“ไม่จริง....แกตายไปแล้วนี่!” เซินหยู่ปฏิเสธความจริงที่ตนเห็น

“ถ้าพูดตามจริง ตามกฏหมายถือว่าผมเป็นบุคคลหายสาบสูญ ไม่ใช่บุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว” เซินเฟยเดินเข้ามาในห้อง “และเมื่อผมกลับมา ทุกสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผมย่อมกลับคืนมาหาผมตามกฎหมาย นั่นรวมถึง.....เก้าอี้ที่พ่อจับจองเอาไว้มาเกือบสามเดือนนั่นด้วย”

“เหอะ.....แกกลับมาแล้วจะได้อะไร! ยังไงอำนาจในบริษัทนี้ฉันก็กุมไว้หมดแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะมีการแต่งตั้งจูเชว่คนใหม่ อย่างแกน่ะฉันแค่พูดว่าเป็นตัวปลอมถูกส่งมาก็ยืดเวลาออกไปได้ กว่าจะมีใครรู้ว่าแกเป็นตัวจริง ฉันก็ได้เป็นจูเชว่แล้ว!”

เซินเฟยพยักหน้าเนือย ๆ

“มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น”


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #367 เมื่อ08-04-2011 00:15:02 »

“คุณเซิน! ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ!” หวางซิงร้อง การยอมรับของเด็กหนุ่มเป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่กระทำมาทั้งหมดอาจสูญเปล่า

“ผมก็แค่พูดว่า ‘อาจจะ’ เท่านั้นนะอาซิง” เซินเฟยกล่าวเมื่อเห็นว่าเลขาของตนดูร้อนอกร้อนใจ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา หวางซิงเป็นบุคคลเดียวที่อยู่ฝ่ายเขาแต่กลับไม่ได้รับข่าวสารความเป็นไปใด ๆ เลย ความคืบหน้าที่รับรู้ได้ก็มีแต่เรื่องที่สังเกตได้เองจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยภายในองค์กรทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

“ความจริงแล้วที่เหลือเวลากระชั้นชิดแบบนี้มันเป็นความจงใจน่ะครับ” ฉู่เหวินจือรับหน้าที่อธิบายรายละเอียดปลีกย่อยเพราะเซินเฟยคร้านจะพูดให้เสียเวลา “ช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา คุณไม่ค่อยสนใจบริษัทสักเท่าไหร่ก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่คุณคงเห็นแล้วว่าคนของคุณหายไปกับอากาศธาตุซะมาก แน่นอนว่าอำนาจที่คุณสั่งสมไว้ก็หายไปในปริมาณเดียวกัน คุณไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินกว่าที่จะตื่นตระหนกหรือ? ในเมื่อคุณมั่นใจในฐานของตนเองขนาดนั้นแค่ลูกน้องหายไปนิดหน่อยไม่เห็นต้องตกใจ”

“ฉู่เหวินจือ” เซินเฟยเอ่ยเตือนเพื่อให้พูดอยู่ในประเด็น เพราะฟังอย่างไรสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็รังแต่จะไปกระตุ้นต่อมโมโหของเซินหยู่เท่านั้น ซึ่งก็เหมือนจะเป็นการจงใจเสียด้วย และมันก็ค่อนข้างได้ผลเพราะตอนนี้หน้าเซินหยู่กำลังเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ตามระดับอารมณ์

“ครับ ๆ ผมไม่พูดเรื่องนั้นก็ได้” ฉู่เหวินจือหัวเราะในคอ “พูดโดยสรุปก็คือ สิ่งที่คุณทำผ่านมาทั้งหมด คุณแค่เดินตามรอยเท้าเราเท่านั้นเอง”

“อะไรนะ!?” เซินหยู่คำราม เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแม้แต่น้อย เดินตามรอยเท้าอะไรกัน เขาไม่ได้เคลื่อนไหวโดยถูกใครจูงจมูกเสียหน่อย!

“ผมพูดสั้นเกินไปหรือครับ?” ฉู่เหวินจือหันไปถามเซินเฟย ทำให้เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วอย่างขัดใจ

“นายจะพูดหรือจะให้ฉันพูด”

“งั้นผมพูดต่อเลยนะครับ” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้าง เรียกให้เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด “พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกผมคาดเดาการกระทำของคุณออกแล้วเข้าไปดักทางเอาไว้ก่อน อย่างที่คุณเห็นว่าเส้นทางของคุณช่างโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ คุณไม่นึกแปลกใจบ้างหรือว่าทำไมพวกหัวหน้ากลุ่มที่เคยต่อต้านถึงได้ยอมประนีประนอมกับคุณถึงขนาดนั้น?”

“หรือว่าพวกแก.....” เซินหยู่เบิกตากว้าง ไม่นึกว่าตนเองจะถูกตัดหน้าเอาง่าย ๆ อย่างนี้ ซ้ำที่เคยคิดว่าหนทางเปิดโล่งสำหรับตนแล้ว ประตูกลับกระแทกปิดต่อหน้าต่อตา

“ยังไงก็ต้องขอบคุณที่ช่วยดูแลบริษัทมาตลอด แต่ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว คงต้องขอให้หลีกทางล่ะนะครับ คุณพ่อ” เซินเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็บเยียบตามแบบฉบับที่ตนมักใช้กับบุคคลใต้บังคับบัญชา มันอาจจะกลายเป็นความเคยชินของเขาไปแล้ว หรือไม่เขาก็จงใจแสดงอำนาจที่เหนือกว่าให้เห็น นั่นก็สุดที่ใครจะรู้ได้ถึงเจตนาอันแท้จริงในน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก กระนั้นเซินหยู่ก็รู้ได้ว่าตนกำลังถูกกดดันให้ยอมละทิ้งทุกสิ่งที่กระทำมาทั้งหมดแล้วจากไปแต่โดยดี มิเช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่อาจรู้ได้

“พวกผู้บริหารอยู่ฝั่งฉัน คิดว่าแกจะดึงกลับไปได้ง่าย ๆ หรือไง คิดว่าฉันต้องเสียไปสักเท่าไหร่กัน” เซินหยู่กัดฟันแบไพ่ตายใบสุดท้าย เซินเฟยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเลิกคิ้ว

“ฉู่เหวินจือ”

“ครับ” ฉู่เหวินจือรับคำโดยไม่ต้องรอฟังคำสั่ง ก่อนจะยกกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งขึ้นมาแล้วเปิดออก เซินเฟยหยิบเอกสารที่วางนิ่งในกระเป๋าขึ้นมาไล่สายตาอ่านอยู่เล็กน้อยก่อนจะยื่นไปให้เซินหยู่

“นี่เป็นสำเนาเอกสารอะไรพ่อคงรู้ดีสินะครับ”

เซินหยู่จ้องมองเอกสารด้วยนัยน์ตาเขียวปั๊ด ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะมีกระทั่งของชิ้นนี้ นั่นคือ สำเนาเอกสารลงนามรับรองให้เซินหยู่เป็นผู้รักษาการณ์แทนชั่วคราว

“ในสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่า จนกระทั่งเซินเฟย ประธานเครือตระกูลเซินกลับมา” เซินเฟยกล่าว “ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว คงไม่ต้องรบกวนคุณพ่ออีก เชิญออกไปได้ แล้วก็เอาคนของพ่อออกไปด้วย มันเกะกะ”

เซินหยู่มองไปรอบตัว พบว่าในตอนนี้ด้านนอกประตูมีแต่กลุ่มคนที่เป็นของเซินเฟย ส่วนพวกของเขามีเพียงลูกน้องสองคนที่แทบจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ทางที่ฉลาดที่สุดเห็นจะเป็นการยอมถอย ทว่า ถูกกดดันให้ถอยไปง่าย ๆ แบบนี้เขารู้สึกเหมือนถูกหยามหน้าอย่างจัง เซินหยู่กัดฟันกรอด ขึงตามองลูกในไส้ของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่ฝ่ายนั้นมองตอบกลับมาราวกับเขาเป็นเพียงไส้เดือนที่คลานขวางหน้า คิดจะบี้ให้แหลกก็คร้านจะลงมือ จึงได้ยืนมองอยู่อย่างนั้นและเฝ้ารอการเคลื่อนผ่านอย่างใจเย็น

“แกจะต้องชดใช้เรื่องนี้แน่!” เขาคำรามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกระแทกรองเท้าเดินออกไป เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นค่อย ๆ ห่างและเบาลงจนกระทั่งเงียบสนิท ทันใดนั้นบรรยากาศที่กดทับจนอึดอัดก็พลันคลายออกจนทุกคนหายใจโล่งคอ

“อาซิง”

“ครับ!” หวางซิงรีบขานรับในทันที

“รหัสลิฟต์ช่วยจัดการใหม่ด้วยนะ” เซินเฟยว่าพลางมองตอบสายตาที่สื่อถึงความรู้สึกอันหลากหลายของคนที่ตนเองให้ความสนิทชิดเชื้อไม่ต่างจากญาติพี่น้อง หวางซิงยิ้มกว้าง และหากสังเกตดี ๆ จะมองเห็นหยาดน้ำเล็ก ๆ ที่หัวตาซึ่งเจ้าตัวเพียรกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา

“ทราบแล้วครับ” เลขาหนุ่มตอบรับแข็งขัน เหมือนกับว่าการกลับมาของเซินเฟยได้มอบพลังครั้งใหม่ให้และสลายความเหน็ดเหนื่อยจากที่ต้องอดทนอดกลั้นมาตลอดจนมลายหายเป็นปลิดทิ้ง

หวางซิงรีบเดินออกไปเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง ทว่าในวินาทีที่สวนทางกับฉู่เหวินจือ หางตาของเขากลับสบเข้ากับรอยยิ้มในดวงตาของอีกฝ่าย ความรู้สึกบ่งบอกว่าไม่ใช่รอยยิ้มของการดูแคลน ทว่าให้ความรู้สึกเหมือนถูกใจหรือสบอารมณ์เสียมากกว่า เขาติดใจกับรอยยิ้มพิกลนั้นได้ไม่นานก็ออกมาถึงนอกห้องและพบกับกลุ่มผู้บริหารหลายคนยืนรอกันอยู่คล้ายว่ากำลังมีเรื่องจะพูด

“มีอะไรหรือครับ?” นั่นคือคำถามที่หวางซิงคิดในใจและกำลังจะพูด แต่แค่อ้าปากก็กลับถูกอีกเสียงตัดหน้า

เซินเฟยยืนกอดอกอยู่หน้าประตูห้องพลางจับจ้องผู้บริหารแต่ละคนที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก

“คุณเซิน....เรื่องของพ่อของคุณ หวังว่าคุณจะเข้าใจการกระทำของพวกเรานะครับ....”

เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาทางจมูก คิดเอาไว้แล้วไม่ผิดว่าจะต้องเป็นเรื่องนี้ เขายืนหลุบตาลงต่ำอย่างสงบและไม่พูดอะไรออกมาเลยชั่วครู่หนึ่งทำให้คนที่มีชนักติดหลังทั้งหลายพากันออกอาการเหงื่อตก

“ผมเข้าใจ แต่ตอนนี้ผมอยากพักผ่อน พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันในที่ประชุมอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน” หลังกล่าวจบ เซินเฟยก็เดินกลับเข้าไปในห้อง กลุ่มผู้บริหารที่ยืนอยู่ด้านนอกต่างมองกันอย่างหวาดวิตกด้วยเกรงว่าการกระทำของตนจะนำไปสู่การตัดผลประโยชน์บางอย่าง ทว่าเมื่อเซินเฟยตัดสินใจอย่างนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าขัดขืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นอกจากฆ่าคนสำคัญอย่างเฉียนหยุนแล้ว กระทั่งพ่อตัวเองยังไล่ส่งอย่างไม่ไว้หน้า แล้วพวกเขาเล่า เซินเฟยจะยังนึกเห็นหัวอีกหรือไม่?

เสียงภายนอกเริ่มเงียบสงบลงเมื่อกลุ่มคนค่อย ๆ ทยอยจากไปด้วยความเร็วเท่าที่ลิฟต์ขนส่งจะอำนวย

เซินเฟยเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานและจ้องมองด้วยความรู้สึกคิดถึงอยู่ลึก ๆ นานทีเดียวที่เขาไม่ได้ไล้ปลายนิ้วไปบนไม้เนื้อสวยเคลือบเงาอย่างดี ไม่ได้สัมผัสที่วางปากกาที่อุตส่าห์ประมูลมา ไม่ได้นั่งลงบนเบาะนุ่ม ๆ ของเก้าอี้พนักสูงที่เพียงหมุนเล็กน้อยก็จะมองเห็นทิวทัศน์ของฮ่องกงผ่านกระจกบานใหญ่

ห้องทำงานของเขาถูกปรับเปลี่ยนไปมาก แต่โต๊ะทำงานของเขากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลง นั่นคงเป็นเพราะสภาพยึดติดที่พ่อของเขามีต่อโต๊ะประธานตัวนี้เช่นเดียวกับที่เขามี

“ฉันเปิดตัวอย่างเอิกเกริกพอหรือยัง?” เขาเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูและเสียงรองเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้

“ครับ เพียงเท่านี้ ภาพของคุณที่หวนกลับมาอย่างทรงอำนาจก็จะติดตรึงอยู่กับคนที่ได้เห็นและรับรู้ คนพวกนั้นคงไม่กล้าหือกับคุณอีกแน่” ชายหนุ่มหัวเราะในคออย่างมีเลศนัย เซินเฟยไม่ได้สนใจเหลือบมอง เขาเดินอ้อมโต๊ะไปและทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลางสัมผัสที่พักแขนที่อยู่ในมุมที่เหมาะสมต่อการวางแขนมากที่สุด

“ก็เป็นเพราะแผนของนาย ฉู่เหวินจือ” เซินเฟยกล่าว

ในช่วงเวลาที่เขาค่อย ๆ ลิดรอนอำนาจพ่อตัวเองอย่างลับ ๆ นั้น ผู้ชายคนนี้กลับเสนอแผนการเปิดตัวขึ้นเพื่อผลที่ได้จะมากกว่าการยึดอำนาจคืน แต่เป็นการสยบองค์กรให้อยู่ในอุ้งมือ อีกไม่นานข่าวการกลับมาของเขาจะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง เพียงเขาก้าวเข้ามาด้วยอำนาจและความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม บุคคลที่มีชนักติดหลังทั้งหลายก็จะรีบกระดิกหางเข้ามาสยบแทบเท้าและจะติดภาพนั้นของเขาในสมอง เป็นหลักจิตวิทยาอันเรียบง่ายของการแสดงความเหนือกว่าแต่กลับใช้ได้ผลดีในสถานการณ์อันกระชั้นชิดเช่นนี้ แค่เพียงไม่แสดงความหวั่นไหวออกมาให้เห็น แม้แต่ลมพายุอันรุนแรงก็ยังต้องชะงักนิ่ง

ฉู่เหวินจือได้แสดงให้เขาเห็นว่าเจ้าตัวเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมและยืดหยุ่นไปกับสภาพแวดล้อมได้เสมอ การเก็บฉู่เหวินจือไว้ข้างกายเช่นนี้เป็นการดีแล้วจริงหรือเปล่าเขาเองก็ยังอดนึกถามตนเองไม่ได้

“ผมจูบได้ไหม?”

“อะไรนะ?” ในระหว่างการใช้ความคิด ฉู่เหวินจือก็ผ่ากลางปล้องขึ้นมาดื้อ ๆ เซินเฟยนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนจะเอนตัวลงกับพนัก “ก็เอาสิ”

เมื่อได้รับคำอนุญาต ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้และป้อนรสจูบอ่อนโยนอย่างที่ไม่ค่อยได้กระทำมากนัก แค่เพียงริมฝีปากสัมผัสกันอย่างอ้อยอิ่ง ไม่นานก็ผละออก ทว่าสายตาของฉู่เหวินจือไม่ได้ละไปจากใบหน้าของเซินเฟยแม้แต่เสี้ยววินาที และเขาก็ได้เห็นริ้วแดงจางบนแก้มของเด็กหนุ่มที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะหายไปเมื่อเขาผละออกในระยะที่เหมาะสม

ชายหนุ่มยิ้มบาง

ก็ยังรู้สึกดีกับจูบนี่นา.....

“เดี๋ยวตามคนเข้ามาจัดห้องให้เป็นเหมือนเดิมด้วย” เซินเฟยรู้สึกแปลกกับสายตาที่ฉู่เหวินจือมองลงมาจากมุมสูงจึงเสออกคำสั่งแล้วหมุนเก้าอี้ไปอีกทางเสมือนกำลังจ้องมองทิวทัศน์อันคุ้นตา

ฉู่เหวินจือค้อมตัวรับคำสั่งเงียบ ๆ ก่อนจะเดินออกไปด้วยรอยยิ้มอันลุ่มลึกยากจะอ่านความคิด

----------------->

เซินหยู่กลับมาที่บ้านด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเต็มเปี่ยม ไม่ว่าเห็นอะไรมันก็ขวางหูขวางตาไปหมด เขากระแทกประตูรั้ว เหยียบกอดอกไม้ที่หลี่จวี๋เหม่ยเพิ่งลงและตนเองเพิ่งชื่นชมไปเมื่อวานจนเละเทะ ก่อนจะผลักอ่างปลาใบโตล้มแตกแล้วเดินกระแทกประตูบ้านเข้าไป

หลี่จวี๋เหม่ยแปลกใจกับเสียงโครมครามจึงรีบวิ่งออกมาดูก็พบสามีตนเองที่กำลังทุบทำลายข้าวของหน้าดำหน้าแดงทั้งที่ตอนออกไปก็อารมณ์ดีจนแทบจะเกินปกติแท้ ๆ

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” เป็นเพราะอยู่ด้วยกันมานาน หลี่จวี๋เหม่ยถึงรู้ว่าถึงห้ามไปก็เปล่าประโยชน์

“จะอะไรเสียอีกล่ะ! ไอ้ลูกไม่รักดีนั่นเสือกกลับมาซะตรงเวลา! แถมยังฉีกหน้าฉันซะไม่เหลือชิ้นดี!” เซินหยู่ตะโกนใส่หน้าผู้ถามราวกับภรรยาตนเองเป็นผู้กระทำผิดก็ไม่ปาน

“อาเฟยกลับมาแล้วหรือคะ!?” จะเป็นเพราะความตกใจหรือความดีใจก็ไม่ทราบ หลี่จวี๋เหม่ยจึงร้องออกมาและเสียงนั้นก็ขัดหูคนอารมณ์รุนแรงที่มาถึงขีดสุดอย่างเซินหยู่อย่างจัง

“แก....เป็นเพราะแกคลอดมันออกมาแท้ ๆ! จะมีลูกให้ฉันสักคนสร้างลูกดี ๆ ที่มันเห็นหัวพ่อมันไม่ได้หรือยังไง!” เมื่อเซินหยู่พบเป้าหมายการอาะลวาด เขาก็เปิดฉากดุด่าหลี่จวี๋เหม่ยไม่ยั้งทั้งยังสืบเท้าเข้าหาด้วยท่าทางราวกับสัตว์ป่าก่อนจะกระชากตัวเอาไว้ก่อนหลี่จวี๋เหม่ยจะถอยหนีได้ทัน เธอถูกดันติดกำแพงพร้อมทั้งฝ่ามือใหญ่ที่รวบเข้ากับลำคอเล็กบาง

“......ด......อ...เฟ..” ดูเหมือนเธอจะพยายามพูดอะไรบางอย่าง ทว่าแรงบีบที่รอบรัดหลอดลมทำให้เสียงที่เพียรจะเปล่งออกมาค้างอยู่แค่ลำคอ

“ไอ้ลูกทรพีนั่น! ถ้าไม่มีแกคอยให้ท้ายมีหรือจะกล้าขนาดนี้!” เซินหยู่โหโมจนเลือดขึ้นหน้า ทั้งด่าและผรุสวาทออกมาอีกหลายคำ ตลอดเวลานั้นก็ไม่ได้สนใจแรงดิ้นรนขัดขืน และจนกระทั่งได้ระบายจนอารมณ์เย็นลงเซินหยู่จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างของภรรยาได้หยุดนิ่งไปเสียแล้ว

เขารีบปล่อยมือก่อนจะผงะถอยด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างนั้นทรุดฮวบลงกองกับพื้น ก่อนใช้เวลาเล็กน้อยในการทำใจกล้าเข้าไปสัมผัสให้แน่ใจ

“ม....ไม่หายใจ....”

เซินหยู่แทบคลั่ง เขาเพิ่งจะมีเรื่องกับเซินเฟยไปหยก ๆ แล้วยังพลั้งมือฆ่าหลี่จวี๋เหม่ยไปอีก ก่อนเซินเฟยจะหายตัวไป แม่ลูกก็กลับมาสนิทสนมกันมากขึ้น หากเซินเฟยรู้เรื่องนี้ต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่ เซินหยู่นั่งคุกเข่าขยี้ผมจนกระเซิง หันซ้ายหันขวาก็เจอเข้ากับโทรศัพท์ เขารีบตะเกียกตะกายไปหาแล้วกดเบอร์ลูกน้องที่ยังไว้ใจได้ทันที แต่แล้ว ในช่วงที่หันไปมองศพภรรยานั้นเอง ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในสมอง

การฆ่าคน....มันเป็นเรื่องง่ายถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

คนเราเปราะบางถึงขนาดนี้....

นี่เขาเสียเวลาไปทำไมตั้งมากมายนะ ทั้งที่สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคสำหรับเขาก็คือเซินเฟย และเซินเฟยก็เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนกัน เขามีอะไรจะต้องกลัวกันเล่า?

เซินหยู่แสยะยิ้มออกมาเพียงลำพัง ลมหายใจถี่กระชั้นพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรง ความตื่นเต้นฉีดพล่านไปทั่วทุกรูขุมขน

“คุณเซินหยู่ มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เสียงจากปลายสายดังออกมาให้ได้ยิน เรียกสติของเซินหยู่ให้กลับคืนมาอีกครั้ง เขารีบยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูก่อนจะกระซิบด้วยเสียงสั่นพร่า

“ฉันมีงานจะให้แกทำ”

TBC

----------------------------

กลับมาแล้วค่า~ หลังจากหายไปทำงานเก็บตังค์และกลับมาในสภาพไข้ขึ้น= ="
พิมพ์ตอนนี้แมวเมายา(แก้ไข้) งงๆ มึนๆ ก็อย่าว่ากันนะคะ~

ปล. การ์ดจอเจ๊งอีกแล้ว ตอนนี้เลยใช้แบบไร้การ์ดจอ จอยืดยาวปวดตาดีจริงๆ -*-

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #368 เมื่อ08-04-2011 00:40:59 »

ซื้อใหม่ไปเลยค่ะ หาการ์ดจอดีๆไปเลยดีกว่า อยู่เมืองไทยอะไรเสียไม่ต้องส่งเคลมหรอกค่ะ หักทิ้งซื้อใหม่ดีกว่า

เจอกับตัวเองเยอะแยะ ส่งเคลมแม่งเก็บไว้สามเดือน ซ่อมให้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เปิดใช้ก็ไม่หาย อนาถใจจัง

จบงานหนังสือก็มาทันที สมใจมากอะ

งานนี้เซินเฟยมาแบบเหนือเมฆจริงๆ ตาเซินหยูทำอะไรไม่ได้เลย 555

ออฟไลน์ Ayame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #369 เมื่อ08-04-2011 00:44:35 »

เย้ๆ เฟยเฟยกลับมาแล้ว

ตาเซินหยู่อย่าทำอะไรหนูเฟยนะ  ท่าทางจะยังไม่เข็ดพอสินะ   :z6:

แล้วตาฉู่นี่ชักทำตัวลับๆล่อๆมากขึ้นทุกที จะรอความจริงเปิดเผยนะ

ปล.เห็นด้วยค่ะว่าให้ซื้อใหม่ รอซ่อมรอเคลมไม่คุ้มค่ะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
« ตอบ #369 เมื่อ: 08-04-2011 00:44:35 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #370 เมื่อ08-04-2011 02:08:28 »

กรี้ดดดดดด   :z1:  ตาฉู่มีแอบหวานอ่า  น่ารักๆๆ :L1:
ตาหยุ่คิดได้เนอะ  เมียตัวเองทั้งคนแทนที่จะรุ้สึกผิด :angry2:
ถ้าบังอาจมาทำเฟยเฟยละก็  เด๋วสั่งตาฉู่ตามเก็บ :m31: :z6:

ออฟไลน์ zeit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #371 เมื่อ08-04-2011 02:59:05 »

ดีใจจังที่ได้อ่านอีก หายป่วยไวๆน้ะค่า

อาเฟยเพิ่งกลับมา จะเจอปัญหาอะไรอีกบ้าง??

เซินหยู่เป็นพ่อที่แย่มาก โลภเกินไป คิดจะฆ่าลูกตัวเองได้ลงคอ

ออฟไลน์ beautyless

  • PP Kintai Love
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #372 เมื่อ08-04-2011 03:45:12 »

ดีใจจังได้อ่านต่อแล้ว

ชอบคุณมู่สุดๆ เลยตอนนี้ รู้สึกว่าเขาเป็นพระเอกแนวร้ายที่โรแมนติกที่สุดในโลกเลย

ส่วนเซินหยู่ก็หมดแล้วซึ่งสติปัญญา เลวร้ายได้อีก แต่ก็ดีเพราะดูวี่แววว่าจะหากิจกรรมที่พาตัวเองลงเหวตาย

อยากอ่านตอนอามู่เผยธาตุแท้มากๆ เลย คงให้ความรู้สึกแบบ a love to kill

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #373 เมื่อ08-04-2011 11:22:34 »

ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ อิอิ
ดีใจที่เซินเฟยกลับมา
แต่อีตาเซินหยู่นี่สิ คิดแผนชั่วไว้อีกล่ะสิ
ทำได้แม้กระทั่งฆ่าเมียตัวเอง
ต่อไปก็คงคิดจะฆ่าลูกสินะ เลวไร้คำบรรยายจริงๆ

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #374 เมื่อ08-04-2011 12:18:00 »

เฮ้ย!!! นี่มันพ่อคนหรือเปล่าเนี่ย   ไม่เคยคิดจะรัก หรือมีความผูกพันกับสายเลือดตัวเองเลยหรือไง  บ้าไปแล้ว

ระทึกใจทุกตอน เข้มข้นตลอดๆ

ออฟไลน์ Isuru

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #375 เมื่อ08-04-2011 13:34:04 »

การกลับมาของเฟยเฟย เท่ห์ได้อีกจริงๆ
แต่ความลับของอาฉู่ก็คงยังเป็นความลับต่อไป
การฆ่าคนธรรมดามันง่าย แต่การจะฆ่าเฟยเฟย
คงไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก ตอนนี้มีแอบหวานเซอวิสคนอ่านเล็กน้อย

รอตอนต่อไปค่ะ ค้างได้ทุกตอนจริงๆ


ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #376 เมื่อ08-04-2011 14:58:53 »

หายไปนานมาก คิดถึงจังเลยค่ะ

เปิดตัวได้เอิกเกริก จริงๆ
ฮ่าๆๆๆ ชอบๆ ,,
ยอม ให้คุณ ฉู่จูบด้วยยยยยย
เฟยๆ น่ารักไปนะ ^^

คุณพ่อ !! ฆ่าแม่เฟยๆ แล้วคราวนี้แย่แน่
นี่ยังคิดจะฆ่าลูกอีกนะ ,,
T^T  เฟยๆ คงต้องจัดการอ้ะ


ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #377 เมื่อ08-04-2011 20:57:48 »

ซาบซึ้งในน้ำใจคุณ ZIar ที่แม้การ์ดจอจะเสีย ยังอุตส่าห์ทนปวดตา พิมพ์นิยายมาให้อ่าน  :กอด1:

ตกลงว่า พ่อของเสี่ยวเฟยไม่ได้มีเอี่ยวในคดีวางระเบิด แค่ฉวยโอกาสนั้น เข้ามากอบโกยผลประโยชน์
อืม...เลวน้อยกว่าที่คิดนะ แต่คาดว่าต่อไปจากนี้ พ่อแกจะเลวขึ้นมากกว่านี้ชนิด advance
ตอนสั่งเก็บอาซิง คงไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะ แค่ใช้ปากสั่งให้จัดการเลขาที่ขัดแข้งขัดขา
แต่ตอนนี้ ฆ่าเมียด้วยมือตัวเอง แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด
ต่อจากนี้จะวางแผนจัดการลูกชายตัวเอง ก็เป็นเรื่องธรรมดา หวังว่าเสี่ยวเฟยจะคอยรับมืออยู่นะ...

ออฟไลน์ วิหคท่องนภา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
«ตอบ #378 เมื่อ08-04-2011 21:26:26 »

 o22เอิ่ม.....เนอะ  ไม่ได้เกิดการสำนึกบ้างเลย :เฮ้อ:........ :m15:สงสารคุณแม่อ่ะ   ตายง่ายเจงงงงงงง

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
«ตอบ #379 เมื่อ08-04-2011 23:03:38 »

-30-


ข่าวการปรากฏตัวของเซินเฟยแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทั้งวงการธุรกิจและวงการใต้ดิน ภายในช่วงอาทิตย์เดียวหลังจากนั้นข่าวหลายกระแสต่างวิพากย์วิจารณ์ถึงการกลับมาครั้งนี้ออกไปในลักษณะต่าง ๆ ทั้งในทางดีและไม่ดีตามแต่คนจะตีความ กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การกลับมาครั้งนี้ได้มีอิทธิพลอย่างสูงต่อบุคคลรอบข้างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดและมีส่วนได้เสียร่วมกัน

วันที่ถูกกำหนดให้เป็นวันแต่งตั้งจูเชว่ได้กลายเป็นวันประชุมกลุ่มครั้งใหญ่ซึ่งเซินเฟยไม่ได้จัดมานานแล้วนับแต่ซากุระได้จากไป

พวกเขาได้ถูกเรียกตัวเข้ามานั่งรวมกันในห้องโถงใหญ่ที่มีการจัดเตรียมที่นั่งเอาไว้อย่างพรักพร้อมรวมทั้งอาหารว่างและเครื่องดื่ม กระนั้นสายตาของทุกคนก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาต่างจ้องมองไปยังจุดเดียวกันนั่นคือเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งทำจากไม้เนื้อดี ฉลุลายหงส์และเคลือบด้วยสีครั่ง มองดูแล้วจะรู้สึกถึงความน่าเกรงขามที่กดทับลงมาแม้จะไม่มีใครนั่งอยู่ที่นั่น เก้าอี้ตัวนี้วางอยู่ ณ จุดเดิมมาหลายต่อหลายปี เปลี่ยนเจ้าของมาหลายต่อหลายรุ่น เจ้าของบางคนถึงกับสิ้นใจบนเก้าอี้ตัวนี้เสียด้วยซ้ำ และด้วยเหตุนั้นกระมัง สิ่งนี้จึงได้ดูยิ่งใหญ่และให้ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่ต่อหน้าภูผาสูง

ในวันนี้ไม่มีใครสักคนกล้าพูดอออกมา พวกเขาเฝ้ารอคอยอย่างเงียบงัน เสียงลมหายใจของแต่ละคนสามารถได้ยินอย่างชัดเจนผสานกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวโดยไม่รู้สาเหตุเมื่อได้ยินเสียงลั่นของไม้อันเป็นเอกลักษณ์จากบันไดฝั่งหนึ่งซึ่งติดกับห้องโถงใหญ่ห้องนี้

เซินเฟยปรากฏตัวขึ้นในชุดสูทสีดำเรียบกริบ เขาก้าวเดินเข้ามาด้วยแผ่นหลังที่ยืดตรงทำให้ดูสง่างามในแบบของเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เซิยเฟยสาวเท้าอย่างไม่เร่งรีบทว่ามั่นคงหนักแน่นไม่มีสะดุด แต่ละจังหวะการก้าวเสมือนย่ำลงไปบนจังหวะของลมหายใจผู้เฝ้ามองซึ่งประสานกันโดยไม่รู้ตัว ความเงียบโรยตัวกดทับลงบนบ่ารวมทั้งบรรยากาศที่เคร่งขรึมเป็นทางการ เวลาเพียงไม่นานที่เซินเฟยเดินจากบันไดมาถึงที่นั่งประจำของตน ในความรู้สึกของแต่ละคนเสมือนนานหลายนาทีจนแทบหายใจไม่ออก

ทันใดนั้นผู้ร่วมการประชุมทุกคนก็ยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง    พวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงยืนนิ่งสงบเสงี่ยมไม่ต่างกับรูปปั้นหิน

หวางซิงที่เดินตามมาข้างหลังเลื่อนเก้าอี้ให้แก่ผู้เป็นนายใหญ่ เซินเฟยจึงก้าวเข้าไปนั่งและขยับเก้าอี้ให้สบายตัวก่อนจะยืดหลังตรงเอนพิงพนัก จากนั้นหวางซิงจึงขยับก้าวไปข้างหลังพร้อมกับฉู่เหวินจือที่เดินเข้ามาขนาบอีกข้างหนึ่งในตำแหน่งเดียวกับหวางซิง

เมื่อทุกอย่างนิ่งสงบ ทุกคนที่ยืนอยู่จึงนั่งลงประจำที่ตนอีกครั้ง

เซินเฟยจงใจทิ้งจังหวะที่ความเงียบยังปกคลุมต่อไปเพื่อสร้างความกดดันให้แก่คนอื่น ๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

“ผมคิดว่า ทุกคนคงรู้แล้วว่าเรามาประชุมในวันนี้เพื่ออะไร” หลังจากทิ้งช่วงนานพอสมควรแล้วเซินเฟยจึงพูดขึ้น “แน่นอนว่าแต่เดิม จุดมุ่งหมายคือการเลือกเฟ้นจูเชว่คนใหม่ ผมพูดถูกไหม?”

สายตาเยียบเย็นจับจ้องไปยังใบหน้าของผู้ร่วมประชุม ทำให้สะดุ้งในอกไปตาม ๆ กันด้วยไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเกริ่นนำด้วยเรื่องนี้ ซ้ำบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของเซินเฟย เด็กหนุ่มคนนี้ดูต่างจากเมื่อครั้งแรกที่ขึ้นมารับตำแหน่ง แม้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความเกรงขามที่เทียบได้กับรุ่นก่อนหน้านี้แม้จะเป็นเพียงเด็กอายุ 18 ย่าง 19 ปีเท่านั้น

อายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักวิธีข่มผู้อื่นด้วยสายตาแล้ว ภายภาคหน้าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นอย่างไรพวกเขาแทบจะไม่อยากคิด

“เอาเถอะ ในสถานการณ์เช่นนั้นพวกคุณจำต้องตัดสินใจเพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้ต่อไป ผมจะไม่ถือโทษ”

เมื่อเซินเฟยกล่าวออกมาเช่นนั้น เสียงถอนหายใจก็ปรากฏในความเงียบ

“แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมาแทบจะไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย พวกคุณคิดว่าเมื่อผมไม่อยู่จะปล่อยให้องค์กรยืนนิ่งกับที่ได้หรือครับ? นอกจากนี้ยังมีลูกค้าใหม่หลุดมือไปหลายราย มาเฟียจีนบางกลุ่มลดความเชื่อถือที่มีต่อเราไปมาก ปริมาณการสั่งยาลดลงครึ่งหนึ่ง พวกประเทศกำลังพัฒนาทางตะวันออกเฉียงใต้ไม่สั่งนำเข้าอาวุธเลยแม้แต่ล็อตเดียว ซ้ำการเจรจากับมาเฟียรัสเซียยังล้มเหลว” เซินเฟยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทจนน่าขนลุก ก่อนจะตบท้ายด้วยการทิ้งปึกรายงานลงบนโต๊ะและกล่าว “มีอะไรจะแก้ตัวไหม?”

ทุกคนมองหน้ากันไปมาเหมือนกำลังหาคนรับผิดชอบ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเช่นเดิมเป็นการยอมรับความผิดอยู่กลาย ๆ เพราะต่างคนต่างรู้ว่า ถึงจะพูดอะไรออกไปมันก็ไม่สามารถเป็นข้อแก้ตัวที่เหมาะสมได้อยู่ดี และเซินเฟยก็น่าจะรู้เหตุผลทั้งหมดอยู่แล้วถึงจะไม่ต้องแจกแจง

ปลายนิ้วเรียวเคาะโต๊ะเป็นจังหวะขณะเฝ้ารออย่างใจเย็น

“ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไรก็เอาเถอะ ผมคิดว่าพวกคุณก็คงรู้ความผิดพลาดตัวเองดีอยู่แล้ว” เซินเฟยเลิกไล่ต้อนคนของตนเองให้เสียเวลาเปล่า “แต่ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นพวกคุณก็ควรจะรู้ว่าองค์กรได้รับผลกระทบหลายด้าน ดังนั้นที่ผมเรียกมาประชุมวันนี้ก็เพราะผมต้องการให้มีการปรับปรุงแก้ไขใหม่เพื่อกู้ภาพลักษณ์ชื่อเสียงกลับคืนมา ก่อนอื่นผมอยากจะรับฟังความเห็นของพวกคุณทุกคน” หลังว่าจบ เซินเฟยก็เงียบไปพร้อมกวาดตามองไปรอบโต๊ะว่าใครจะเริ่มก่อน ไม่นานนักก็มีบางคนเริ่มเสนอความเห็นขึ้นมา การตอบสนองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีทั้งการคัดค้านและสนับสนุนแต่เซินเฟยก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาขณะรับฟัง หวางซิงทำหน้าที่บันทึกอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างหลัง ส่วนเซินเฟยใช้สมองประมวลตามผลได้ผลเสียระหว่างการประชุม ความเห็นใดที่น่าสนใจเขาจะส่งสัญญาณด้วยมือให้ฉู่เหวินจือบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดอีกทีหนึ่ง

กว่าการประชุมจะจบลงก็ดึกโข ไม่มีใครกล้าปลีกตัวกลับก่อนแม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายชั่วโมงจนกระทั่งเซินเฟยสั่งหยุดจึงแยกย้ายกันไปคนละทาง

“เป็นยังไงบ้าง?” เซินเฟยหันไปถามหวางซิงซึ่งบันทึกข้อมูลการประชุมทั้งหมด

“ส่วนมากจะเป็นวิธีการเก่า ๆ ที่ใช้กันอยู่แล้วครับ”

“อะไรที่ซ้ำซากจำเจก็ตัดออกให้หมด จากนั้นค่อยรวบรวมมาให้ผมพรุ่งนี้ ฉู่เหวินจือ นายก็ด้วย” หลังสั่งจบ เซินเฟยก็ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินกลับขึ้นไปข้างบนโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หวางซิงและฉู่เหวินจือสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะเสมองไปทางอื่น อย่างไรพวกเขาก็ยังรู้สึกไม่ถูกชะตากันอยู่ดี

“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นทำงานแต่เช้า คุณเองก็ควรพักผ่อนได้แล้ว” หวางซิงกล่าวอำลาก่อนจะปิดเครื่องมือที่ใช้ประกอบการบันทึก

“เชิญตามสบาย ผมเองก็อยากพักเหมือนกัน” ฉู่เหวินจือยืดแขนขึ้นสูงพลางเอี้ยวตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยขบจากการยืนหลายชั่วโมง เขาเดินไปทางบันไดฝั่งที่เซินเฟยใช้ขึ้นไปยังห้องนอน หวางซิงจึงรีบเรียกไว้ทันที

“คืนนี้อย่ารบกวนคุณเซินเลยจะดีกว่านะครับ”

“อ้อ ผมไม่ได้จะรบกวนหรอกไม่ต้องห่วง แต่ผมต้องไปนอนเฝ้าน่ะ” หลังว่าอย่างนั้น ฉู่เหวินจือก็หัวเราะเสียงหึ ๆ ในคอ “ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะมีคนย่องเข้าไปรังแกเจ้านายของผมอีก”

หวางซิงหน้าแดงวาบก่อนเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในฉับพลัน

“ราตรีสวัสดิ์นะหวางซิง” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะก่อนจะเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปตามขั้นบันได หวางซิงยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะหันไปเอ่ยเรียกคนรับใช้มาเก็บห้อง เขาพยายามจะควบคุมอารมณ์กับฉู่เหวินจือให้มากเพราะไม่อยากจะโดนปั่นหัวอีก กระนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ผู้ชายคนนั้นสามารถจับจุดอ่อนของคนอื่นได้อย่างง่ายดายและนำมาใช้ได้ถูกเวลาเสมอ

------------------>

ฉู่เหวินจือเดินขึ้นมาถึงห้องนอนของเซินเฟย แต่เมื่อบิดลูกบิดก็พบว่าถูกล็อคจากด้านใน ชายหนุ่มไหวไหล่ก่อนเคาะประตู ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงจากเจ้าของห้อง

“ฉันกำลังเปลี่ยนชุด”

“ครับ” เขาตอบรับสั้น ๆ แล้วยืนรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเซินเฟยเดินมาเปิดประตูให้

“นายจะนอนทั้งชุดสูทอย่างนี้หรือไง?” เซินเฟยมุ่นคิ้วเมื่อพบว่าฉู่เหวินจือไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยสักตัวเดียว แต่ไม่ได้ตำหนิเรื่องที่อีกฝ่ายมารบกวนถึงห้องนอน เพราะช่วงอาทิตย์ที่กลับมาฉู่เหวินจือก็มานอนที่ห้องเขาทุกคืนราวกับเป็นห้องของตนเอง นั่นเป็นสิ่งที่ฉู่เหวินจือเรียกร้องแทนการมีสัมพันธ์ทางกายซึ่งเขาไม่สามารถทำให้ได้ เซินเฟยไม่อยากจะเอาเปรียบอีกฝ่ายมากเกินไปนักจึงจำยอมตกปากรับคำ เพราะตลอดเวลาที่เขาไม่อาจทำอะไรเองได้ ฉู่เหวินจือก็เป็นลูกมือที่ดีซึ่งไม่เคยทำให้ผิดหวัง แค่นอนร่วมห้องจะเป็นอะไรไป

“ก่อนผมจะลงไปประชุม ผมเอาชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนมาวางไว้ที่ห้องนี้แล้วครับ” ฉู่เหวินจือตอบแล้วชี้ไปที่มุมห้องที่มีถุงกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ เซินเฟยมุ่นคิ้วด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่มีบางสิ่งบางอย่างรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต

“ทีหลังก็บอกฉันเสียก่อน” เซินเฟยใช้น้ำเสียงเชิงตำหนิ “แล้วก็เข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำซะ ฉันไม่อยากเสียสายตา”

“ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยเห็นทุกซอกมุมแล้วน่ะหรือครับ?” ฉู่เหวินจือแกล้งเย้าพร้อมโน้มใบหน้าลงไปกระซิบที่ข้างใบหู เซินเฟยหน้าแดงวาบด้วยความกระดากอายก่อนส่งสายตาเฉียบคมสั่งให้อีกฝ่ายหุบปาก ไม่อย่างนั้นจะได้ออกไปนอนนอกห้อง ฉู่เหวินจือจึงเพียงแค่ยืดจึงขึ้นแล้วหัวเราะก่อนจะหยิบถุงกระดาษเดินเข้าห้องน้ำไป

เซินเฟยปิดสวิทช์ไฟดวงใหญ่และเปิดไฟหัวเตียงแทน เขาทิ้งตัวลงนั่งอิงหมอนแล้วหยิบกระดาษกับปากกาในลิ้นชักขึ้นมา เด็กหนุ่มขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไป บางครั้งก็มุ่นคิ้วก่อนจะขีดฆ่าแล้วเขียนลงไปใหม่

ฉู่เหวินจือเดินออกมาพร้อมกางเกงสบาย ๆ ขายาว แต่ไม่ได้สวมเสื้อ เขาทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ เจ้าของห้องพลางมองดูสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจดจ่อด้วยสมาธิทั้งหมดที่มี

“กำลังทำอะไรหรือครับ?”

“เรื่องที่ประชุมวันนี้ ฉันอยากจะสรุปอะไรนิดหน่อย” เซินเฟยตอบโดยไม่ได้หันไปมอง มือของเขายังคงเขียนตัวอักษรลงไปอย่างต่อเนื่อง

“ไม่รอให้ผมกับหวางซิงรวบรวมมาให้ก่อนหรือครับ?”

“ฉันไม่ใช่คนชอบงอมืองอเท้าใช้งานคนอื่นยิก ๆ หรอกนะ” เซินเฟยตอบพร้อมมุ่นคิ้ว

“ผมก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้น” ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาอีกครั้ง เซินเฟยชักจะสงสัยว่ามีอะไรน่าขำนักหนา ผู้ชายคนนี้ถึงได้อารมณ์ดีตลอดเวลาราวกับโลกนี้ไม่เคยมีอะไรทำให้เป็นทุกข์ใจได้เลยแม้สักอย่างเดียว หากมีอะไรที่ทำให้ฉู่เหวินจือขมวดหัวคิ้วจนเป็นปมได้ เขาคิดว่าสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งมหัศจรรย์ระดับโลกอย่างแน่นอนหรืออย่างน้อย คิดไปแล้วเขาก็ชักจะอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะมีจริงหรือไม่

“โรงแรมที่เป็นโปรเจคของนายเริ่มก่อสร้างแล้วนะ นายได้ไปดูบ้างหรือยัง?” เขาเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปให้อีกฝ่ายคิดคำตอบบ้าง

“ไปดูมาครั้งหนึ่งแล้วครับ ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แปลนของโรงแรมผมเคยตรวจสอบแล้ว ถ้าทำตามแปลนนั้นผมก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอกครับ” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “แต่ว่าสเปคของบางอย่างดูเหมือนจะถูกเปลี่ยนให้เกรดต่ำลงโดยพนักงานฝ่ายจัดซื้อที่คุณเซินหยู่จ้างเข้ามา ผมก็เลยส่งรายงานไปให้เปลี่ยนของแล้วล่ะครับ โชคดีที่ยังไม่ได้เอาของพวกนั้นออกมาใช้งาน ไม่อย่างนั้นคงต้องรื้อตั้งแต่ราก”

“ทางคู่ค้ายอมให้หรือเปล่า?” เวลาส่งคืนของเพื่อขอเปลี่ยนมักจะประสบปัญหากับคู่ค้าอยู่เสมอ เซินเฟยเองหากไม่จำเป็นก็ไม่อยากจะตีของคืนบ่อย ๆ เหมือนกัน เพราะทั้งเสียเวลาและกำลังทรัพย์ กระนั้นหากโอนอ่อนไม่ได้ก็ต้องยอมเสียอะไรไปบ้างเพื่อผลที่คุ้มค่า

“ถ้าไม่ยอมผมก็คิดจะลงไปเจรจาเองครับ”

“ก็ดี” เซินเฟยตอบสั้น ๆ อย่างไรฉู่เหวินจือก็ได้เครดิตว่าเป็นคนสนิทของเขาแล้ว ใครเล่าจะกล้าขัดใจหากว่าอีกฝ่ายลงไปจัดการด้วยตัวเอง

ในที่สุดทั้งสองก็เหมือนหมดเรื่องพูดคุยไปชั่วขณะ ฉู่เหวินจือชินแล้วกับความเงียบเฉยของเซินเฟย กระนั้นเขาก็ไม่ชอบให้มีแต่ความเงียบคั่นอยู่ระหว่างพวกเขาเพราะนั่นหมายความว่าเซินเฟยยังคงตั้งกำแพงอยู่ ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองพลางเอื้อมมือไปจับปลายปากกาที่กำลังจดยิก ๆ อย่างเมามัน เซินเฟยชะงักไปทันทีเพราะถูกขัดจังหวะ และนั่นทำให้สิ่งที่กำลังคิดในสมองชะงักไปด้วย

“มีอะไร?”

“นั่งยืดหลังนาน ๆ ไม่ปวดบ้างหรือครับ?” ฉู่เหวินจือยิ้มบางพลางถาม เขารู้มาจากหมอถงว่าแม้กระดูกสันหลังจะไม่เสียหายอะไร แต่ก็เคลื่อนไปจากเดิมเล็กน้อยทำให้เวลายืนหรือนั่งหลังตรงนาน ๆ จะรู้สึกปวดล้าเพราะกระดูกแอ่นไปมากเกินกว่าปกติ แน่นอนว่าไม่ได้มีผลอะไรมากมายต่อสุขภาพ หมอถงจึงไม่ได้บอกกับเจ้าตัวโดยตรง เพียงแต่เตือนให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอเท่านั้น

“ก็นิดหน่อย” เซินเฟยตอบแล้วพยายามดึงปากกาคืน

“ผมนวดให้ไหม?”

“นวดเป็นด้วยหรือไง?”

ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยแล้วยื้อแย่งปากกาจนเป็นผู้ชนะก่อนจะจับวางลงบนโต๊ะข้าง ๆ

“มีอะไรที่ผมทำให้คุณไม่ได้หรือครับ?”

เซินเฟยหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ค่อยอยากจะเชื่อใจสักเท่าไหร่แต่ก็คร้านจะต่อปากต่อคำ ไหน ๆ สิ่งที่อุตส่าห์คิดเป็นกระบุงก็โดนขัดจังหวะให้กระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว จะเอากลับมาเรียบเรียงก็คงไม่ไหว เซินเฟยจึงวางสมุดกลับลงไปในลิ้นชักแล้วนอนคว่ำลงโดยไม่ได้พูดอะไร

ฉู่เหวินจือขยับเปลี่ยนท่าตัวเองให้คร่อมอยู่เหนือร่างของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อย ๆ คลึงปลายนิ้วลงกับช่วงเอวที่แอ่นลงไป เซินเฟยครางเบา ๆ เมื่อความปวดบริเวณนั้นถูกกดลง หลังที่แข็งอยู่นานเริ่มจะรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ปลายนิ้วหยาบเคลื่อนตัวไปตามแนวสันหลัง นวดคลึงจุดต่าง ๆ ที่แข็งเกร็งจากการใช้งานตั้งแต่แนวบ่าลงมาเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อของเซินเฟยหลายจุดจับตัวเกร็ง ฉู่เหวินจือค่อย ๆ นวดให้ผ่อนคลายไปแต่ะจุดอย่างใจเย็นพลางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย เซินเฟยขมวดคิ้วแน่นเพราะรู้สึกปวดหนึบไปทั้งหลัง กระนั้นในบางจังหวะก็คลายหัวคิ้วออกคล้ายกำลังรู้สึกสบาย เสียงครางเบา ๆ จากในคอเหมือนเสียงลูกแมวที่ถูกเคล้าคลอด้วยฝ่ามือ ชายหนุ่มอมยิ้มพลางทำหน้าที่ต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรให้เซินเฟยขัดหู

“เลื่อนต่ำหน่อยสิ” เมื่อนวดไปได้สักพัก เซินเฟยก็เริ่มกำหนดจุดนวดด้วยตนเอง ฉู่เหวินจือทำตามโดยไม่ได้ประท้วงอะไร ไม่นานนัก เซินเฟยก็เริ่มเคลิ้ม ๆ คล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น ฝ่ามือของฉู่เหวินจือทำให้ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงกว่าเดิมได้มากจึงทอดตัวไปกับความนุ่มของเตียงได้โดยไม่ต้องเกร็งให้ปวดหลัง

ฉู่เหวินจือสัมผัสได้ถึงการปล่อยตัวของอีกฝ่าย เขานวดต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งการป้องกันตัวของเซินเฟยแทบจะไม่หลงเหลือก่อนละมือออกชั่วคราว

เซินเฟยไม่แสดงอาการตอบสนอง เพียงแค่มุ่นคิ้วเพราะความสบายบนแผ่นหลังหายไปเท่านั้น

ฉู่เหวินจือเปลี่ยนจากการนวดมาเป็นการลูบคลึงไปตามแผ่นหลังบอบบาง หัวคิ้วของเซินเฟยจึงคลายตัวออกจากกัน ชายหนุ่มลูบสูงขึ้นและต่ำลงพร้อมกันค่อย ๆ โน้มตัวลงไปหาอย่างช้า ๆ เท่าที่จะทำให้เซินเฟยไม่รู้สึกตัวเสียก่อน ลมหายใจอุ่นปะทะลำคอขาวอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากร้อนจาบจ้วงลงเคล้าเคลียเบา ๆ พอแค่รู้สึกจั๊กจี้ เซินเฟยรู้สึกแปลกที่ถูกสัมผัสจึงเอี้ยวหน้ากลับพร้อมปรือตามอง เงาตะคุ่มที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าทำให้หัวใจของเซินเฟยกระตุกวูบก่อนจะสะบัดมือตบใบหน้าคนตรงหน้าฉาดใหญ่โดยไม่ทันคิด

ฉู่เหวินจือชะงักกึก ก่อนเหลือบสายตามองเด็กหนุ่มที่แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ ในแววตาซึ่งเจ้าตัวพยายามปกปิดเอาไว้ รอยยิ้มลุ่มลึกประดับพรายบนเรียวปาก

“คุณเซิน ฝันร้ายหรือครับ?”

“....เปล่า.....” เซินเฟยเผลอหลับไปวูบหนึ่งจึงไม่มั่นใจนักว่าเงาตะคุ่มที่โน้มลงมาด้วยเจตนาแอบแฝงนั้นเป็นเพียงฝัน อุปทาน หรือความจริง “นวดเสร็จแล้วหรือ?”

“เสร็จแล้วครับ”

“อืม...” เซินเฟยทำใจให้สงบแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้งก่อนค่อย ๆ หลับตาลง ผ่อนคลายประสาทที่ตึงเขม็งจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แล้วผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย

ฉู่เหวินจือเสยผมตัวเองพลางลูบแก้ม เซินเฟยยังออมแรงไม่เป็นเหมือนเคย ตบเสียเต็มฉาดแบบนั้นคงจะแดงเป็นรอยมือแน่ แต่เอาเถอะ เวลากลางคืนแบบนี้คงไม่มีใครมาขอดูหน้าเขา กว่าจะถึงเช้ามันก็คงจางไปแล้ว การตอบโต้ของเซินเฟยสิที่น่าสนใจกว่า ดูเหมือนสิ่งที่หวางซิงกระทำเอาไว้จะไม่ลดเลือนผลกระทบไปง่าย ๆ เขาอาจจะต้องใช้ความอดทนมากกว่านี้ หรือไม่ก็ลองหาวิธีใหม่....หากว่าเวลามีมากพอ....

------------------>


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
« ตอบ #379 เมื่อ: 08-04-2011 23:03:38 »





ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
«ตอบ #380 เมื่อ08-04-2011 23:04:17 »

“นี่เป็นทั้งหมดสินะ” เซินเฟยมองปึกกระดาษบนโต๊ะที่หวางซิงนำมาวางเอาไว้ให้

“ครับ เท่าที่ผมคัดแยกดูแล้ว เห็นจะมีแค่นี้เท่านั้นที่ไม่ซ้ำกับที่เคยทำมาและพอจะใช้งานได้จริง” หวางซิงกล่าวพลางสังเกตท่าทีของเซินเฟยที่ใช้ปลายนิ้วกรีดกระดาษปึกบางพลางมุ่นคิ้ว ไม่ต้องถามก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนึกไม่พอใจกับกลุ่มของตนเอง ทั้งที่หวงศักดิ์ศรี ยืดอกอวดศักดาแข่งกันอย่างกับอะไรดี แต่พอถึงเวลาต้องใช้สมอง กลับมีให้ใช้ได้น้อยกว่าที่คิด หากโละหัวหน้ากลุ่มได้ทั้งชุดเหมือนโละพนักงานบริษัท เซินเฟยคงลงมือทำโดยไม่ลังเล แล้วหันไปปลุกปั้นคนที่ใช้งานได้มาแทนที่เป็นแน่

“ของฉู่เหวินจือล่ะ?”

“ผมยังไม่เห็นเลยครับ วันนี้คุณฉู่ก็ออกมาก่อนแต่พนักงานข้างล่างก็บอกว่าไม่เห็นเขาเหมือนกัน”

เซินเฟยขยับหัวคิ้วเข้าหากัน ผู้ชายคนนี้พอขยับตัวได้สะดวกก็ลมเพลมพัดเหมือนเคย นึกอยากไปก็ไป อยากมาก็มา คิดว่างานของตัวเองเป็นอะไรกันนะ

“กาแฟ”

เนื่องจากงานยังมาไม่ครบ เซินเฟยจึงยังไม่ลงมือทำอะไร เพียงหันไปสั่งกาแฟแล้วหยิบสมุดที่ตนจดเมื่อคืนขึ้นมาทบทวนว่าจะตอนนั้นคิดจะบันทึกอะไรต่อไป

หวางซิงโค้งรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปชงกาแฟให้เซินเฟย เขาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะซึ่งมีชุดชงกาแฟวางอยู่ หยิบแก้วขึ้นมาใบหนึ่ง ตักเมล็ดกาแฟป่น น้ำตาล และครีมเทียมใส่ลงไปในปริมาณที่ไม่ขมจนเกินไป อย่างไรเซินเฟยก็ยังอายุน้อย ถึงจะอดนอนอย่างไรก็ให้ดื่มกาแฟที่เข้มจัดไม่ได้เพราะจะอันตรายต่อสุขภาพในภายหลัง หากเสพติดขึ้นมาจะลำบากเอา ด้วยเหตุนั้นหวางซิงจึงมักชงแบบใส่เมล็ดกาแฟน้อย ๆ และน้ำตาลมากหน่อยให้มีรสหวานกลมกล่อม ส่วนครีมเทียมก็ใช้เฉพาะเวลาอยู่บริษัท หากอยู่ที่บ้านก็จะใช้นมแทน

ในขณะที่หวางซิงกำลังกดน้ำร้อนใส่แก้วอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงลิฟต์

ฉู่เหวินจือเดินออกมาตามคาด เจ้าตัวถือซองเอกสารสีน้ำตาลด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ได้นึกทุกข์ร้อนกับเวลาที่เสียไปเพราะมาสายแม้แต่น้อย

“รับกาแฟไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามตามมารยาทเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้

“ก็ดี ผมขอแก่ ๆ นะ จริงสิ คุณเซินยังอยู่ข้างในหรือเปล่า” ฉู่เหวินจือไม่ปฏิเสธไมตรีตามหน้าที่ เมื่อคืนนี้กว่าเขาจะได้นอนก็ดึกเอาเรื่องเหมือนกัน แถมยังตื่นเช้ากว่าคนอื่น ๆ ได้กาแฟสักแก้วคงสดชื่นขึ้น

“รอคุณอยู่ตั้งแต่มาถึงแล้วล่ะครับ” หวางซิงจงใจใช้น้ำเสียงตำหนิ ทว่าผู้ฟังกลับหัวเราะตอบโดยไม่ใส่ใจกับน้ำเสียงของเขาแม้แต่นิดเดียว จากนั้นฉู่เหวินจือจึงเดินเข้าไปในห้องประธานโดยไม่เคาะประตู ทำเอาหวางซิงกุมขมับ นี่ระหว่างที่หายไป อีกฝ่ายลืมสิ่งที่เขาพูดจนปากเปียกปากแฉะไปหมดแล้วหรือยังไงนะ!

ฉู่เหวินจือพาตัวเองเข้าไปหาเซินเฟยแล้ววางซองเอกสารลงบนโต๊ะ ขณะนั้นเซินเฟยกำลังจดบันทึกเพิ่มเติมอยู่โดยยังไม่ได้เปิดของหวางซิงออกดู

“นายสาย”

“ครับ ขออภัยด้วยครับคุณเซิน” ฉู่เหวินจือยอมรับความผิดอย่างเรียบง่าย เซินเฟยเหลือบสายตาขึ้นมองชั่วแวบหนึ่งแล้วจึงหลุบลงเช่นเดิม

“นั่งสิ”

หลังได้รับคำสั่ง ฉู่เหวินจือก็ลากเก้าอี้มานั่งที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ

“ฝ่ายจัดซื้อว่ายังไงบ้าง”

“คุณรู้ด้วยหรือครับว่าผมไปฝ่ายจัดซื้อมา คุณนี่น่ากลัวจริง ๆ” ฉู่เหวินจือเย้า

“ฉันก็แค่เดา สรุปว่าของตีกลับไปได้ไหม?” เซินเฟยคร้านจะพูดเหตุผลที่เขาคาดเดาเช่นนั้น จึงต่อด้วยคำถามที่เจาะจงมากกว่าเดิม

“ยากอยู่ครับ ผมอาจจะต้องลงไปด้วยตัวเองจริง ๆ” ฉู่เหวินจือสารภาพตามจริง ทางคู่ค้าดูจะไม่พอใจเอามากที่สั่งของไปตั้งมากมายแต่กลับต้องการตีกลับทั้งหมดเพราะผิดสเปค จริงอยู่ว่าทางนี้เป็นฝ่ายผิดเพราะเปลี่ยนผู้รับผิดชอบกะทันหัน ทว่าในเมื่อผู้รับผิดชอบเดิมกลับมาแล้ว ก็ย่อมต้องการสเปคเดิมที่เคยกำหนดไว้ เพื่อให้สิ่งก่อสร้างออกมาอย่างดีอย่างที่คาดหวังไว้ ทางสถาปนิกเองก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน

“ต้องให้ฉันจัดการไหม?”

“ผมไม่ต้องรบกวนถึงคุณเซินหรอกครับ” ฉู่เหวินจือว่า “อีกอย่างเรื่องนี้ผมเป็นผู้รับผิดชอบ ผมควรจะทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด”

“คิดได้แบบนั้นก็ดี” เซินเฟยกล่าวอย่างพออกพอใจ หากลูกน้องของเขาใช้งานได้ดังใจแบบฉู่เหวินจือหรือหวางซิงได้ก็คงดี

หวางซิงเดินกลับเข้ามาระหว่างการสนทนา เขาถือกาแฟเข้ามาสองแก้ว ใบหนึ่งเป็นของเซินเฟยและอีกใบของฉู่เหวินจือ แน่นอนว่าแก้วของฉู่เหวินจือเข้มจนแทบจะเป็นสีดำ ส่วนของเซินเฟยเป็นสีน้ำตาลอ่อนดูเป็นเครื่องดื่มยามว่างเสียมากกว่าเครื่องชูกำลังยามเช้า

“นั่งลงสิอาซิง” เซินเฟยว่าหลังจากจิบกาแฟลงคอไปอึกหนึ่ง

หวางซิงรับคำแล้วดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้าง ๆ ฉู่เหวินจือ เซินเฟยดึงเอกสารของฉู่เหวินจือออกมาเปิดเทียบกับของหวางซิงเงียบ ๆ ขณะสองคนที่เหลือต่างเฝ้ารอปฏิกิริยาของเจ้านายอย่างใจจดใจจ่อ

“หลังจากอ่านแล้วคิดว่ายังไงอาซิง” เซินเฟยถามหวางซิงก่อน

“แผนงานส่วนใหญ่ยังเป็นแบบรวมอำนาจเข้ามากลุ่มเหมือนเดิมครับ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องให้หัวหน้าตัดสินใจเป็นหลักซึ่งผมคิดว่าก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ว่าควรมีการกระจายหน้าที่ออกไปให้มากขึ้นเพราะการให้หัวหน้าเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่างจะเกิดการล่าช้าในการบริหาร แล้วยัง....”

“ถ้าเกิดอุบัติเหตุในกรณีแบบผม งานจะหยุดชะงัก” เซินเฟยเคาะปลายนิ้วลงบนแผ่นกระดาษ “ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย”

“แล้วคุณเซินคิดยังไงครับ?” หวางซิงถามกลับ

“ฉู่เหวินจือ ของนายว่ายังไง?” แทนที่จะตอบคำถาม เซินเฟยกลับหันไปขอคำตอบจากอีกคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจะมาถึงและกำลังจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์

“ผมแค่จดตามที่คุณเซินบอก อาจจะให้ความเห็นไม่ตรงกับของหวางซิงสักเท่าไหร่” ฉู่เหวินจือเกริ่นนำเล็กน้อยแล้ววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ “ดูเหมือนจะมีหัวหน้าบางกลุ่มเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้แล้วนะครับ จึงคิดว่าน่าจะมีการแต่งตั้งบุคคลให้เป็นสัดส่วนและมีคนของจูเชว่ลงไปในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อที่หากมีอะไรเร่งด่วนจะได้สามารถติดต่อขึ้นมาได้ในทันทีโดยไม่ต้องผ่านหัวหน้ากลุ่ม ถึงอย่างนั้นเรื่องการส่งคนลงไปมันก็มีการทำอยู่แล้วไม่ได้แปลกใหม่อะไร เพียงแต่คนเหล่านั้นมักจะไม่ได้ทำหน้าที่เพราะถูกกีดกันจากคนคุมในแต่ละเขต ส่วนมากจะทำได้เพียงสืบข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง”

“ใช่ คนของฉันก็ว่าอย่างนั้น พวกเขากลัวว่าฉันจะแทรกแซงการปกครองในเขตของพวกเขาเหมือนที่เฉียนหยุนกลัว สุดท้ายเขตของเฉียนหยุนก็เละเทะไม่มีชิ้นดี” เซินเฟยถอนหายใจ คนในกลุ่มองค์กรมักจะระแวงกันเองอยู่เสมอ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเพราะพวกเขาไม่ใช่พ่อพระ แต่เดิมเป็นแค่กลุ่มคนที่ทำแต่เรื่องผิดกฎหมายและรวมตัวกันจนตั้งขึ้นเป็นองค์กรเพื่อความมั่นคง ความเป็นองค์กรทำให้เกิดลำดับขั้นขึ้นมา ผู้ที่อยู่บนและควบคุมคนที่อยู่ด้านล่าง และนั่นคือสิ่งที่หลายคนหวาดกลัวที่สุด กลัวว่าเขาจะใช้อำนาจจูเชว่ลิดรอนอำนาจลงไป

“เมื่อเช้าเหล่าโหวมาที่นี่”

“เหล่าโหวหรือครับ?” เพราะฉู่เหวินจือไม่ได้มาด้วยกันจึงไม่ได้เจอกับเหล่าโหวซึ่งสอนเขาเอาไว้มากเกี่ยวกับการทำงานในแก๊งค์ และตั้งแต่กลับมาก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอกันสักครั้ง แม้แต่ตอนประชุมก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันโดยตรงอย่างที่เคย

“เหล่าโหวตัดสินใจปิดโรงงานที่มีปัญหานั้นแล้ว” เซินเฟยกล่าว ตอนนั้นเขารู้ว่าเหล่าโหวดูจะเสียดายโรงงานแห่งนั้นเป็นอย่างมาก เจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าอย่างนั้น แต่หลังจากคิดสะระตะก็พบว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะปิดตัวปัญหาไปเสียในเมื่อไม่อาจแก้ไขให้ขึ้นได้ “อย่างน้อยก็มีคนตระหนักได้บ้าง”

“เหล่าโหวเป็นคนมีเหตุผลแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับที่จะยอมรับฟัง” หวางซิงกล่าวซึ่งก็เป็นความจริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนมีเหตุผลอย่างนั้น

“เอาเถอะ แค่เหล่าโหวก็พอแล้ว” เซินเฟยกล่าว เขาไม่ได้หมายถึงจำนวนคนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่เหล่าโหวเป็นคนเก่าคนแก่ขององค์กร เรียกได้ว่าอาวุโสเกือบที่สุดในขณะนี้ หากเหล่าโหวยอมรับฟังเขาและกระทำตาม จะเป้นอิทธิพลให้คนอื่น ๆ เอาเยี่ยงอย่าง โดยเฉพาะพวกตาแก่หัวแข็งที่ไม่ชอบให้เด็กมาบงการชีวิต และหากใครไม่เห็นด้วย เขายังขอให้เหล่าโหวไปเกลี้ยกล่อมได้

เสียงโทรศัพท์ดังจากโต๊ะเลขา เซินเฟยจึงพยักหน้าให้หวางซิงลุกออกไปรับก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วจิบกาแฟต่อไปอย่างใจเย็น

เขารู้ว่าเรื่องนี้เขาไม่ควรตัดสินใจคนเดียว เพราะหากก้าวพลาดจะไม่เพียงเขาเท่านั้นที่เสียหายแต่เป็นองค์กรทั้งหมดและอาจส่งผลไปถึงอย่างอื่นด้วย ยิ่งเวลานี้ตำรวจสากลกำลังจับตามองค่อนข้างใกล้ชิดเพราะสถานการณ์ก่อการร้ายในบางพื้นที่ของประเทศแถบตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการสนับสนุนอาวุธจากลูกค้าของเขา ซ้ำยาเสพติดที่แพร่กระจายอยู่แถวนั้นยังถูกกวาดจับไปเสียมาก แต่เอาเถอะ นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจ นักการเมืองของประเทศกำลังพัฒนามักชอบทำอะไรกันเป็นช่วง ๆ จะกะตือรือร้นแค่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พอได้อำนาจมาอยู่ในมือแล้วก็จะหันไปโกงกินกันเองไม่เหลียวแลนโยบายอย่างจริงจังอย่างเคย ดังนั้นปัญหาถูกจับตาแบบนี้มันก็จะมาเป็นระลอกคลื่นเหมือนกัน เขาเองก็เคยชินกับมันไปเสียแล้ว แค่ระวังตัวสักหน่อยก็พอ

หวางซิงใช้เวลารับโทรศัพท์ไม่นานก็เดินเข้ามา

“คุณเซิน ไป๋หู่ต้องการนัดพบเป็นการส่วนตัวอาทิตย์หน้าครับ”

ไป๋หู่?

เซินเฟยมุ่นคิ้ว

“วันนั้นไม่มีนัดใช่ไหม?”

“ไม่มีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบตกลงไป บอกให้ทางนั้นนัดสถานที่มา” เซินเฟยตัดสินใจตอบรับคำเชิญ กระนั้นในใจก็ยังสงสัย ไป๋หู่อย่างนั้นหรือ? อีกฝ่ายไม่ได้ติดต่อมาอีกเลยหลังจากส่งตัวฉู่เหวินจือมาหาเขา ทำไมอยู่ ๆ ถึงอยากจะเจอกันขึ้นมานะ? หรือว่าอยากได้ฉู่เหวินจือคืน? หรือว่าจะเป็นเจตนาอื่น ที่แน่ ๆ ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่น่ารื่นรมย์เป็นแน่ เซินเฟยไม่อาจวางใจกับเรื่องนี้ได้เลยจริง ๆ

ไป๋หู่....ผู้ชายคนนั้นคิดจะทำอะไรอีกนะ....

TBC

ออฟไลน์ Isuru

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
«ตอบ #381 เมื่อ09-04-2011 01:24:37 »

เอาแล้วสิ ไป๋หู่จะมาแล้ว
ความจริงของอาฉู่จะได้เปิดเผยก็คราวนี้รึเปล่านะ
ลุ้นตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
«ตอบ #382 เมื่อ09-04-2011 01:31:15 »

ไป๋หู่จะทำอะไรล่ะเนี่ย :serius2: :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
«ตอบ #383 เมื่อ09-04-2011 03:07:45 »

 :o12: สงสารอาเฟยอะ  กลายเปงแผลฝังใจไปเลย
ไป๋จาทำไรอะ  อย่าบอกนะจาเอาตาฉู่คืน ไม่น้า :serius2:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
«ตอบ #384 เมื่อ09-04-2011 11:43:07 »

ไป๋หู่ จะทำอะไรเนี่ย? นิยายเรื่องนี้มีแต่อะไรที่ไม่อาจจะคาดเดา~ :a5:

แม้เรื่องที่อาซิงเคยทำไว้กับเสี่ยวเฟย จะทำให้เสี่ยวเฟยกลัวและต่อต้านเรื่องอย่างว่า ( แต่ไม่น่าถึงกับ Phobia )
จนฉาก NC ที่ปรกติก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว มาตอนนี้แทบจะสาบสูญไปจากเรื่องนี้เลยก็ตาม
เค้าก็ยังรักและเข้าใจความจำเป็นของ อาซิง นะ ~ :กอด1:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
«ตอบ #385 เมื่อ09-04-2011 11:43:37 »

เอาแล้วสิ อิอิ มีเรื่องอะไรให้ลุ้นอีกนะ

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
«ตอบ #386 เมื่อ09-04-2011 16:30:07 »

กี่ตอนๆๆก็ต้องลุ้นตอนหน้าตลอด ดีนะว่ามาไว ถ้ามาช้าสงสัยจะขาดใจตาย

casper75

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
«ตอบ #387 เมื่อ09-04-2011 22:29:11 »

ตอนแรกนึกว่าจะมีฉากเรียกเลือด

รออยู่นะฉากncเนี่ย  :z1:

ฉู่เหวินจือ ทำตัวมีลับลมคมในตลอดเลย

หวังว่าเรื่องนี้คงไม่มีมาม่านะ :เฮ้อ:


 :กอด1: คนแต่งค่ะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
«ตอบ #388 เมื่อ09-04-2011 23:22:46 »

-31-


การนัดพบในเขตปกครองของผู้อื่น เซินเฟยจำต้องตระเตรียมตัวมากกว่าปกติ เขาตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่เพื่อแต่งตัวให้เรียบร้อยที่สุด หวางซิงลุกขึ้นมาตรวจสอบทีมการ์ดด้วยตนเองอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องอย่างตอนที่เรือสำราญระเบิดนั่นอีก การ์ดที่มาทำหน้าที่ถูกคัดเลือกมาเฉพาะการ์ดที่ใกล้ชิดและอยู่รับใช้มานานตั้งแต่รุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายเพื่อความมั่นใจถึงความภักดีเหนืออารมณ์ส่วนตัว

หวางซิงไม่สามารถให้ความมั่นใจกับอะไรได้อีกต่อไป เหตุการณ์ระเบิดเรือสำราญทำให้โรควิตกจริตของเจ้าตัวร้ายแรงขึ้นอีกโข ถึงขั้นต้องลิสต์รายชื่อการ์ดให้ตรงเป๊ะไม่มีตกหล่นแม้แต่ชื่อเดียว เซินเฟยคร้านจะขัดหวางซิง เขาเองก็รู้ว่าเลขาตนเองเป็นอย่างไรจึงไม่ได้เอ่ยปากต่อว่า กว่าที่หวางซิงจะพอใจ ดวงอาทิตย์ก็ฉายแสงจ้าบ่งบอกว่าเลยเวลาเช้าไปมากโขแล้ว

“เตรียมการพร้อมแล้วครับ” หวางซิงเดินเข้ามาหาเซินเฟยด้วยสีหน้าชื่นมื่นและภาคภูมิใจที่คิดว่าตนเองเป็นผู้จัดทีมการ์ดอันยอดเยี่ยมสำหรับการเดินทางข้ามเขตเพื่อเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเซินเฟยด้วยมือตนเอง ในที่สุดเขาก็ได้ความมั่นใจในฐานะเลขายอดเยี่ยมกลับคืนมาเสียที!

“อ้อ” เซินเฟยรับสั้น ๆ ไม่ได้รู้สึกขัดหูขัดตากับพฤติกรรมของหวางซิงมากนัก อาจเป็นเพราะเขาเคยชินกับมันแล้วกระมัง เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ตนเองยึดเป็นที่นั่งพักและกินอาหารเช้าง่าย ๆ มาตลอดช่วงเวลา 4 ชั่วโมงที่หวางซิงหมกมุ่นอยู่กับการ์ด จนถึงตอนนี้เซินเฟยก็จิบชาหมดไป 3 แก้วแล้ว

รถยุโรปสีดำสนิทติดฟิล์มกรองแสงมืดทึบจอดเรียงกันเป็นขบวน นับได้ราว ๆ สิบคัน ซึ่งเป็นจำนวนรถสำหรับใช้งานทั้งหมดในบ้านใหญ่ตระกูลเซิน การ์ดแต่ละคนประจำรถแต่ละคน คันหนึ่งมีการ์ดสี่คน เว้นแต่คันตรงกลางซึ่งเซินเฟยใช้โดยสารจะมีการ์ดเพียงสองคน และมีเซินเฟยกับหวางซิงเป็นผู้โดยสารนั่งอยู่ข้างหลัง หวางซานและหวางซือเดินออกมาคอยส่งถึงหน้าประตู ทำให้เซินเฟยนึกสงสัยว่า การเดินทางออกไปพบปะนอกเขตปกครองถือเป็นเรื่องใหญ่มากนักหรือ? เพราะเขาเห็นไป๋หู่ เสวียนอู่ และชิงหลงก็เดินทางข้ามเขตไปมาราวกับเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเสวี่ยนอู่ที่ต้องเดินทางไปถึงเกาลูนและแผ่นดินใหญ่บ่อยครั้ง

เซินเฟยพาตนเองเข้าไปนั่งในรถตามด้วยหวางซิงที่เดินอ้อมไปนั่งอีกด้านหนึ่ง การ์ดแต่ละคนจึงขึ้นนั่งประจำที่ก่อนที่รถจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ เป็นขบวนสวยงาม

“สถานที่นัดพบ....โรงแรมหรือ?” เซินเฟยเลิกคิ้วเมื่อเห็นชื่อสถานที่ในเครื่องมือบันทึกของหวางซิง

“ครับ ทางนั้นบอกว่าอยากให้สะดวกทั้งสองฝ่าย”

เซินเฟยมุ่นคิ้ว ไม่รู้สึกดีใจกับความหวังดีนี้นัก เพราะเหมือนกำลังถูกอีกฝ่ายกำลังเอ็นดูเหมือนเด็กเล็ก ๆ มากกว่าให้เกียรติในระดับเดียวกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ ทางนั้นเป็นคนนัดมาและเขาเป็นตอบรับกลับไปเพราะไม่อยากจะให้มากเรื่องมากราว หากเป็นไปได้ เขาอยากจะให้การเจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยและรีบ ๆ จบโดยไว แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่ามันคงจะไม่ง่ายดายอย่างนั้น

“แล้วฉู่เหวินจือล่ะ?” วันนี้ตั้งแต่ตื่นมาก็ไม่เห็นฉู่เหวินจือแล้ว อีกทั้งเมื่อคืนก็ไม่ได้มานอนด้วยอย่างเคย แต่งานสำคัญอย่างการพบเจ้านายเก่าอย่างนี้อีกฝ่ายไม่น่าจะลืมตื่น

“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ”

“ออกไปแต่เช้า? ไปไหน?”

“คุณฉู่บอกว่า ถูกตามตัวด่วนเพราะดูเหมือนโรงแรมที่กำลังก่อสร้างจะติดปัญหานิดหน่อย แต่จะรีบกลับมาให้ทันก่อนคุณเซินกลับครับ” หวางซิงกล่าวตอบตามที่ฉู่เหวินจือฝากข้อความไว้ก่อนออกไป ท่าทีของฝ่ายนั้นดูกะตือรือร้นกว่าปกติจนผิดสังเกต แต่เพราะตัวเขามัวแต่คิดเรื่องการพบปะในวันนี้จึงไม่ได้ถามอะไรต่อและรับฝากข้อความเอาไว้เท่าที่อีกฝ่ายบอกเท่านั้น

“เหลวไหลจริง” เซินเฟยตำหนิพลางมุ่นคิ้ว เขาบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือว่าให้ทำตัวว่าง ๆ อย่างไรไป๋หู่ก็เป็นเจ้านายเก่า ในเมื่อมีโอกาสพบกันก็ควรจะไปพบสักหน่อย หากไป๋หู่โทษว่าเขาสนับสนุนให้ลูกน้องไม่รู้จักมารยาทเขามิเสียหน้าแย่หรือ?

“จะให้ผมโทรตามตัวไหมครับ?”

“ไม่ต้อง ในเมื่อเป็นงานเร่งด่วนก็เอาเถอะ ผมคิดว่าไป๋หู่เป็นคนที่ฟังเหตุฟังผลอยู่” เด็กหนุ่มว่าพลางถอนหายใจลึก ๆ ทำใจรับสายตาตำหนิติเตียนล่วงหน้า เมื่อกลับไปอาจจะต้องทบต้นดอกกับผู้ชายคนนั้นอีกที

ขบวนรถเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ บนถนนที่คลาคล่ำ วิวทิวทัศน์ที่คุ้นเคยค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย แม้จะเป็นตึกสูงใหญ่ ถนนเส้นยาว และถนนที่เต็มไปด้วยรถราเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างแฝงเร้นอยู่ภายใน เซินเฟยจึงรับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าตัวเขาออกมานอกเขตของตนแล้ว ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้น อยู่ ๆ ความหวั่นไหวก็วูบเข้ามาในใจ เซินเฟยอดจะต่อว่าตัวเองไม่ได้ที่ทำตัวเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งเคยมาไกลจากบ้าน เขารู้สึกเหมือนความปลอดภัยที่เคยมั่นใจค่อย ๆ ลดน้อยลงไปตามระยะทางที่รถเคลื่อนผ่าน และเหมือนกับกำลังนั่งอยู่บนฝ่ามือของใครบางคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตา ไม่อาจรู้ได้ว่าคน ๆ นั้นคิดจะบีบหรือจะคายมือที่วางเขาเอาไว้ เขาไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เอาเสียเลย....

“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามเมื่อเห็นเซินเฟยทำหน้าเคร่งเครียด

“ไม่...ผมไม่เป็นไร อีกนานไหมกว่าจะถึง?”

“อีกราว ๆ 5 นาทีก็น่าจะถึงแล้วครับ”

เมื่อได้รับสถานที่นัดหมาย หวางซิงจึงเดินทางมาสำรวจเส้นทางด้วยตัวเองเพื่อความมั่นใจโดยพาการ์ดที่จะทำหน้าที่นำทางมาด้วย ตัวเขาและการ์ดทั้งหมดสามารถจดจำเส้นทางได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งทางไป๋หู่ยังเอื้อเฟื้อให้คนของตนช่วยนำทางให้อีกแรงในวันแรก การสำรวจสถานที่จึงเป็นไปด้วยดี

จากจุดนี้ หวางซิงสามารถมองเห็นโรงแรมสูงตระหง่านที่เป็นจุดหมายซึ่งอยู่ไกลออกไปได้ค่อนข้างชัดเจน เพราะโรงแรมแห่งนั้นสร้างให้สูงกว่าตึกโดยรอบอยู่ไม่น้อย

“ที่นั่นไงครับ” หวางซิงชี้ยอดตึกให้เซินเฟยดู ซึ่งเด็กหนุ่มก็เพียงพยักหน้ารับ พยายามทำตัวให้นิ่งเฉยเยือกเย็นทั้งที่หัวใจกำลังเต้นด้วยจังหวะที่แรงกว่าเดิมเล็กน้อย

ในที่สุด ขบวนรถก็เดินทางมาถึงที่หมายในเวลาที่ไม่เกินจากที่คาดไว้

คนของไป๋หู่ลงมาต้อนรับถึงที่ทำให้เซินเฟยรับรู้ถึงการให้เกียรติจากฝ่ายนั้นบ้าง ถึงอย่างนั้น การ์ดส่วนหนึ่งก็ถูกกันตัวเอาไว้ข้างล่างด้วยเหตุผลว่า ไป๋หู่ไม่อยากให้แขกในโรงแรมตื่นตระหนกกับการมาเยือนของจูเชว่ ด้วยเหตุนั้นเซินเฟยจึงต้องเดินเข้าไปในโรงแรมกับหวางซิงและการ์ดอีกสองคน อย่างไรเสีย การเดินทางมาถึงสถานที่นัดหมายแล้วก็สามารถรับรองความปลอดภัยได้มากพอ เพราะหากว่าเขาเกิดเป็นอะไรในเขตของไป๋หู่ อีกฝ่ายย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งและต้องเกิดสงครามระหว่างกลุ่มเป็นแน่ ไป๋หู่เป็นคนฉลาด และยังไม่มีการขัดแข้งขากับเขาในธุรกิจใด ๆ จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องหวาดกลัวการตลบหลังในการเจรจาครั้งนี้

พวกเขาถูกเชิญตัวให้ขึ้นลิฟต์ตัวหนึ่งซึ่งดูหรูหรากว้างขวาง คนนำทางกดปุ่มบนสุดก่อนที่ลิฟต์จะค่อย ๆ เคลื่อนที่ขึ้นไปตามความเร็วที่ถูกกำหนดเอาไว้ตอนติดตั้ง

เซินเฟยมองการตกแต่งของลิฟต์แล้วคาดเดารสนิยมของไป๋หู่ได้ไม่ยาก ท่าทางจะเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบความสวยงามหรูหราและเจ้าสำอางค์อยู่ไม่น้อย แม้การพบกันครั้งแรกเขาจะเคยคิดอย่างนี้มาแล้วแต่การตกแต่งของสถานที่แห่งนี้ก็ทำให้เขามั่นใจการคาดเดาของตนเองได้มากขึ้น

เสียง ‘ติ๊ง’ ของลิฟต์ดังขึ้นเมื่อถึงปลายทาง บานประตูเลื่อนออกเผยทางเดินทอดยาวปูด้วยพรมแดง ข้างทางประดับประดาด้วยรูปภาพและรูปปั้นหินอ่อนเรียงราย

เซินเฟยเดินตามหลังคนนำทางอย่างไม่เร่งร้อน ระหว่างที่ก้าวเท้าย่ำลงไปบนพรม ความหนักอึ้งก็กดทับลงบนไหล่จนเซินเฟยต้องปรับจังหวะหายใจระหว่างเดินหลายครั้ง จนกระทั่งพวกเขามายืนอยู่หน้าประตูบานสวยที่สุดทางเดินยาวนั้น

“ท่านไป๋หู่รออยู่ในนี้ครับ จากนี้ขอให้ท่านอื่น ๆ รออยู่ด้านนอกด้วย”

“ผมด้วยหรือครับ?” หวางซิงเลิกคิ้ว

“คุณสามารถเข้าไปได้ครับ”

เป็นเรื่องปกติของการพบปะเจรจาที่จะให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องรออยู่ด้านนอกเพื่อดูเชิงเท่านั้น และอนุญาตเพียงคนสนิทให้ติดตามเข้าไป ซึ่งธรรมเนียมนี้เป็นการกระทำเพื่อรับรองการไว้ใจซึ่งกันและกันร่วมถึงการให้เกียรติกันทั้งสองฝ่าย กระนั้นก็เป็นธรรมเนียมที่ใช้กันเฉพาะในหมู่พวกเขาสี่คน กับคนอื่น ๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เมื่อประตูเปิดออก เซินเฟยและหวางซิงก็เดินเข้าไปด้านในโดยทิ้งการ์ดสองคนไว้ข้างนอก หากมีอะไรเกิดขึ้นทั้งสองคนที่ถูกผึกมาอย่างดีย่อมสามารถเข้ามาช่วยได้ทัน

ภายในห้องที่ตกแต่งตามสไตล์ตะวันตก มีโต๊ะและโซฟาชุดหนึ่งวางอยู่กลางห้อง ด้านขวาและซ้ายมีประตูฝั่งละบาน เซินเฟยไม่ได้คาดเดาว่าประตูไหนนำทางไปที่ใด เขาเพียงแต่สงสัยว่าตอนนี้เจ้าของห้องที่คนนำทางบอกว่ากำลังรออยู่นั้นไปอยู่ที่ไหน เพราะเซินเฟยยังไม่เห็นเงาของใครสักคนในห้อง

“ยินดีต้อนรับ จูเชว่” แต่แล้วเสียงของผู้ที่กำลังรอก็ดังจากประตูบานหนึ่งซึ่งเปิดออกในจังหวะเดียวกับที่คำพูดดังขึ้น ชายหนุ่มผู้มีผมสีขาวโพลนจากความผิดปกติของพันธุกรรมเดินออกมาด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่ชุดที่สวมใส่กลับเรียบกริบดูเป็นการเป็นงานกว่าที่เซินเฟยคิดเอาไว้ จากนั้นก็มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินตามหลังออกมา คนหลังนั้นมีรูปร่างเล็กพอ ๆ กับเซินเฟย แต่ใบหน้าดูละม้ายเสวียนอู่อยู่หลายส่วน บางทีอาจจะเป็นคนรักลับ ๆ ที่ลือกันว่าเป็นพี่ชายฝาแฝดของเสวียนอู่คนปัจจุบัน

“เชิญนั่งลงก่อนสิ” ชายหนุ่มเจ้าของฉายาไป๋หู่เชิญให้เซินเฟยนั่งลงที่โซฟารับแขก ในขณะที่ชายหนุ่มร่างเล็กที่เซินเฟยไม่รู้จักชื่อเดินหายไปในประตูอีกบาน

เซินเฟยนั่งลงที่โซฟาตัวยาวฝั่งตรงข้ามกับที่ไป๋หู่หย่อนตัวลงนั่งก่อนแล้ว หวางซิงเดินเข้ามายืนเยื้องไปด้านหลังอย่างเคยเสมือนโดนกำหนดจุดสำหรับยืนเอาไว้บนพื้นก่อนแล้วทุกวาระโอกาส

“ที่เชิญผมมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือครับ?” เซินเฟยเริ่มเปิดประเด็น ขณะที่ชายหนุ่มที่น่าจะเป็ฯพี่ชายของเสวียนอู่นำน้ำชาเข้ามาเสิร์ฟแล้วเดินไปยืนข้าง ๆ ไป๋หู่ด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่ต่างกับน้องสาวฝาแฝดแม้แต่น้อย

“ก่อนหน้านี้ฉันได้ข่าวว่าเธอประสบอุบัติเหตุค่อนข้างร้ายแรงทำให้ต้องหายตัวไประยะหนึ่ง ฉันเองก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่ว่าเธอจะเป็นยังไงบ้าง แต่เมื่อเธอกลับมาฉันก็รู้สึกโล่งใจเลยอยากจะต้อนรับเป็นการส่วนตัวสักเล็กน้อย เธอคงไม่ถือสาความเอาแต่ใจของฉันใช่ไหม?” ไป๋หู่เปิดบทสนทนาด้วยการกล่าวถึงข่าวที่กระทบไปทั้งวงการธุรกิจและวงการใต้ดินอย่างกว้างขวาง ซึ่งแม้ทางเครือตระกูลเซินจะพยายามปกปิด แต่ระดับไป๋หู่ การจะหาข่าวแค่นี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงชิงหลงและเสวียนอู่ด้วย เซินเฟยไม่แปลกใจเลยหากช่วงที่เขาหายตัวไปเขาจะตกเป็นหัวข้อสนทนาที่สนุกสนานและตลกขบขันของทั้งสามคน

“ผมยินดีครับ” เซินเฟยเลือกที่จะตอบรับสั้น ๆ ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบผ่านไปเห็นรอยยิ้มคล้ายกลั้นหัวเราะของชายหนุ่มหน้าหวานข้างตัวไป๋หู่ และนั่นทำให้เซินเฟยนึกฉุนขึ้นมา

“ได้ข่าวว่าการปรากฏตัวของเธอค่อนข้างอลังการใช้ได้เลยนี่ แบบนี้พวกล่าง ๆ คงสงบได้สักพักแหละนะ?”

ทักแบบนี้แสดงว่าไป๋หู่รู้เรื่องภายในของทางเขาได้ดีทีเดียว หรือว่าฉู่เหวินจือคอยส่งข่าวให้ทางนี้อยู่นะ? หากเป็นเช่นนั้นฉู่เหวินจือก็เป็นนกสองหัวที่เลี้ยงไม่เชื่อง กลับไปคงต้องเค้นคอกันหน่อยแล้ว

“แล้วกิจการก็ไปได้ดีใช่ไหม?”

“ครับ ช่วงนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล ทางคุณเองก็คงจะได้ประโยชน์ไปบ้างไม่มากก็น้อย” เซินเฟยตอบกลับพลางคิดถึงฉู่เหวินจืออยู่ในใจ เพราะช่วงนี้ที่อะไร ๆ ก็เดินหน้าไปหมดส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉู่เหวินจือช่วยลงไปจัดการวางแผนด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการค้ากับกลุ่มอื่น ๆ ที่ปกติแล้วเหล่าโหวจะเป็นคนทำ ก็ได้ฉู่เหวินจือช่วยขยายฐานด้วยการเจรจา หากไม่นับช่วงที่กิจการชะงักเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น ฉู่เหวินจือก็นับว่าเป็นกำลังสำคัญของการก้าวเดินขององค์กรทีเดียว

หรือว่า....

เซินเฟยใจหายวาบเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าแท้จริงแล้วฉู่เหวินจืออาจจะไม่ได้มาเพื่อเป็นคนของเขา แต่เพียงมาอยู่กับเขาตามคำสั่งเริ่มแรกและจับพลัดจับผลูช่วยเหลือองค์กรไปในตัวเพราะไป๋หู่ยังไม่เรียกตัวกลับ เช่นนั้นคนที่มีความสามารถรอบด้านหาตัวจับยากใครเขาจะให้กันฟรี ๆ ?

อยู่ ๆ เซินเฟยก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก หากฉู่เหวินจือยังนับไป๋หู่ว่าเป็นนายใหญ่ นั่นแสดงว่าไป๋หู่ได้คืบคลานเข้ามาก่อร่างสร้างตัวอยู่ในองค์กรของเขาอย่างเงียบเชียบไม่ต่างกับเชื้อโรคร้ายที่เข้าคุกคามร่างกายทีละเล็กทีละน้อยและกัดกินเพื่อให้เติบโตมากขึ้น

ทำไมช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาถึงไม่เคยนึกระแวงเลยนะ?

ทำไมถึงเชื่อว่าฉู่เหวินจือจะซื่อสัตย์กับเขาจริง?

การเจาะจงไถ่ถามถึงเรื่องภายในทำให้เซินเฟยยิ่งอดนึกถึงความเกี่ยวพันระหว่างไป๋หู่และฉู่เหวินจือในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ ฉู่เหวินจือก็ชอบออกไปไหนมาไหนโดยไม่บอกใครอยู่แล้ว แม้ระยะหลังจะเพลาพฤติกรรมเช่นนั้นลงแต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องของผู้ชายคนนั้นที่เขาไม่อาจหาคำตอบได้ ซึ่งหากผนวกไป๋หู่เข้าไป เหตุการณ์ทั้งหลายก็เหมือนจะลงตัวอย่างพอดิบพอดี

“เป็นอะไรไป หรือว่าร่างกายยังไม่หายดีจากอุบัติเหตุ?” ไป๋หู่เอ่ยถามเมื่อเห็นเซินเฟยเงียบไปทั้งยังหน้าซีดเผือดเสมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เซินเฟยรีบปรับสีหน้าและอารมณ์อย่างรวดเร็ว

“อ้อ” ไป๋หู่รับคำในคอแล้วเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “จริงสิ ฉันได้ข่าวว่าองค์กรของเธอเดินหน้าไปด้วยดีเพราะได้ผู้ช่วยมือดีคนใหม่” ว่าแล้ว ชายหนุ่มผมขาวก็เอนตัวไปด้านข้างพลางยกแขนขึ้นเท้าคาง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างอย่างมีมาดก่อนจะยักคิ้วข้างหนึ่ง

เซินเฟยนึกฉุนเฉียวเล็ก ๆ ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะทำวางมาดอะไรนักหนา ที่พูดนั่นก็คนของตนเองไม่ใช่หรือไงกัน?

เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก นึกในใจว่าต่อจากนี้ไม่ว่าไป๋หู่จะเล่นไม้ไหนมาเขาก็จะไม่แปลกใจอีกแล้ว เซินเฟยมั่นใจว่าไป๋หู่คงจะนึกอยากเซอร์ไพรซ์เขาด้วยการเปิดตัว ‘ผู้ช่วยมือดี’ กระมัง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่นึกแปลกใจที่ฉู่เหวินจือไม่ยอมมาด้วยกัน แต่กลับบอกว่าจะมาให้ทันเวลา แต่แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปว่าฉู่เหวินจือคิดจะเป็นสุนัขรับใช้ของใครกันแน่ แต่หากคิดจะหันหลังให้เขาก็อย่าคิดเลยว่าเรื่องจะจบลงง่าย ๆ เขาจะให้ฉู่เหวินจือชดใช้อย่างสาสมอย่างแน่นอน

“ไม่คิดจะแนะนำเขาให้ฉันรู้จักหน่อยหรือ?” ไป๋หู่ถามต่อ

คิดจะเล่นลิ้นไปถึงไหน?

เซินเฟยเริ่มนึกรำคาญอาการพิรี้พิไรนั้น

“เขาบอกว่าวันนี้มีงานด่วนครับ” เขาจำต้องเล่นตามเกมอีกฝ่ายไปก่อน หากอยากจะเห็น ‘การเปิดตัวอย่างอลังการ’ อย่างที่ฝ่ายนั้นถนัด

“งั้นก็น่าเสียดาย ฉันก็อยากจะเจอเขาอยู่เหมือนกัน” ไป๋หู่หัวเราะในคอ “อยากจะรู้จริงว่าใครหน้าไหนที่ถึงขนาดทำให้เธอกล้าปฏิเสธคนที่ฉันส่งไปให้”

.....

อะไรนะ?

เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางทวนประโยคของอีกฝ่ายให้แน่ใจว่าตนเองฟังไม่ผิด

“ปฏิเสธคนของคุณ?”

“หึ ๆ ถ้ามีคนฝีมือดีขนาดนั้น เป็นฉันก็คงปฏิเสธเหมือนกัน” ไป๋หู่ยังคงกล่าวต่อไปเสมือนไม่ได้รับรู้ถึงความระแวงของเซินเฟยก่อนหน้านี้เลย ซ้ำท่าทางการพูดแม้จะดูทีเล่นทีจริง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นการหยอกเล่นฆ่าเวลาเพื่อเบิกฤกษ์เบิกโรง เซินเฟยเม้มปากนิ่งอย่างอดทน หากเป็นการล้อเล่นก็ชักจะมากเกินไปหน่อยแล้ว

“เลิกพิรี้พิไรเถอะครับ หากผมปฏิเสธคนของคุณ แล้วฉู่เหวินจือที่มาทำงานกับผมจะเป็นใครไปได้”

“ฉู่เหวินจือหรือ?” ชายหนุ่มทวนคำพลางเลิกคิ้ว

“เขาเป็นคนที่คุณส่งมาแต่แรกไม่ใช่หรือ?” เซินเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงอดกลั้น “ผมไม่ได้มีเวลามานั่งเล่นกับคุณนานนักหรอกนะครับ คุณจะเอาตัวฉู่เหวินจือกลับไป หรือมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับความช่วยเหลือที่ผ่านมาก็พูดมาตามตรงเถอะ”


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
«ตอบ #389 เมื่อ09-04-2011 23:23:15 »

อยู่ ๆ สีหน้ายิ้มแย้มของไป๋หู่ก็ผันเป็นเคร่งเครียดในทันที

“คนของฉันไม่มีแซ่ฉู่หรอกนะ จูเชว่น้อย”

ความเงียบกดทับลงมาในฉับพลันเมื่อไป๋หู่กล่าวออกมาเช่นนั้นด้วยท่าทางจริงจังอย่างที่เซินเฟยไม่เคยเห็นมาก่อน

“คุณพูดจริงหรือ.....”

“ฉันพูดจริง คนที่ฉันส่งไปกลับมารายงานว่าคนของเธอรับคำสั่งปฏิเสธการส่งตัวมา” ไป๋หู่ว่าแล้วหรี่ตาลง

เซินเฟยนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีก่อนจะผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่ไร้สีเลือด

“ผมนึกได้ว่ามีธุระด่วน คงต้องขอตัวก่อน หากมีอะไรเพิ่มเติมคราวหน้าค่อยคุยกันใหม่แล้วกันนะครับ” เซินเฟยพูดรัวเร็วก่อนจะโค้งลาแล้วเดินจ้ำออกไปจากห้องในทันที ไป๋หู่เหลือบตามองคนรักพลางสะกิดปลายคางตนเองด้วยปลายนิ้ว

ดูเหมือนจะมีมือที่สามเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขาและจูเชว่ตั้งแต่แรกเริ่มเลยสินะ....

ในตอนแรกที่เขาคิดจะส่งคนไปนั้น ด้วยเป้าหมายที่แท้จริงคือการจับตาดูเซินเฟยอย่างใกล้ชิดและตักตวงผลประโยชน์บางอย่างตามวิสัยมาเฟีย ไม่นึกว่าจะมีคนพลิกแผนของเขาด้วยการส่งคนไปดักหน้าเสียก่อน ซึ่งทั้งเขาและเซินเฟยไม่ได้ระแคะระคายถึงเรื่องนั้นเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้

จะมีใครกันนะที่สามารถลงมือได้อย่างรวดเร็วและรอบคอบได้ถึงขนาดนี้?

หากถามเขาแล้ว ก็มีคนให้คิดถึงเพียงคนเดียว.....

----------------->

“จะทำยังไงต่อไปดีครับ” หวางซิงที่ฟังบทสนทนาทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบรู้สึกถึงภาวะวิกฤติเช่นเดียวกับเซินเฟย ผู้ชายที่ชื่อฉู่เหวินจือแฝงตัวเข้ามาอยู่ในองค์กรในฐานะคนของไป๋หู่จึงได้รับความไว้วางใจจากคนอื่น ๆ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครแม้สักคนจะรู้ที่ไปที่มาของผู้ชายคนนี้ ซ้ำในที่สุดแล้ว กระทั่งสิ่งที่ใช้รับรองตัวตนว่าเป็นคนของใครก็ยังกลายเป็นอากาศธาตุ

เซินเฟยเงียบไปนาน นับแต่ออกมาจากห้องของไป๋หู่และลงมาถึงข้างล่าง เขาไม่ได้เปิดปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว เด็กหนุ่มเม้มปากนิ่งสนิท นัยน์ตาฉายแววสับสนเหมือนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทว่าในที่สุด เซินเฟยก็หยุดเดินและหมุนตัวกลับมาหาหวางซิงก่อนจะกระซิบลอดไรฟัน

“เก็บซะ”

“....ครับ” หวางซิงจำต้องรับคำ เขาเข้าใจเหตุผลที่เซินเฟยตัดสินใจอย่างนั้นแม้จะนึกเสียดายคนมีความสามารถอย่างฉู่เหวินจือ ฝ่ายนั้นเป็นคนไร้ที่มา และมีอิทธิพลต่อองค์กรรวมถึงตัวเซินเฟยมากเกินไป หากเก็บเอาไว้รังแต่จะเป็นหอกข้างแคร่ ในเมื่อไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าตัวเป็นใครมาจากไหน และใครเป็นนายที่แท้จริง ไม่อาจรู้จุดประสงค์ว่ามาดีหรือมาร้าย การตัดไฟแต่ต้นลมจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

แต่ว่า การที่เซินเฟยมาพบไป๋หู่อย่างนี้ ฉู่เหวินจืออาจจะรู้ตัวว่าแผนแตกและหนีไปแล้วก็ได้ เห็นได้จากที่วันนี้เจ้าตัวจงใจให้มีงานด่วนและรีบเร่งออกไปแต่เช้า

เซินเฟยเดินเข้าไปนั่งในรถด้วยท่าทางเคร่งเครียด บรรยากาศหนักอึ้งลอยอวลรอบตัวจนคนใกล้ชิดทุกคนสังเกตได้จึงไม่มีใครกล้าพูดหรือถามอะไรออกมา

ขบวนรถสีดำสนิทค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปจากสถานที่อันโอ่อ่า ดูอารมณ์แล้วไม่มีใครต้องถามก็รู้ว่าเซินเฟยอยากจะกลับไปที่บ้านโดยเร็วที่สุดเพื่อชำระสะสางอะไรบางอย่าง เพียงแต่ คนที่ต้องการชำระด้วยนั้นคงจะไม่อยู่ที่นั่นแล้วเป็นแน่

“ผมดูโง่มากใช่ไหม?” ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนที่ไปบนท้องถนน เซินเฟยก็เอ่ยถามขึ้นมาลอย ๆ ทำให้หวางซิงต้องเบือนหน้ากลับมามอง

“ไม่หรอกครับ ไม่ว่าใครก็พลาดกันได้”

“ทั้งที่มีสัญญาณเตือนหลายต่อหลายครั้งน่ะหรือ?” ยิ่งคิด เซินเฟยก็ยิ่งโมโหตัวเอง ทำไมเขาถึงไม่เชื่อสัญญาณเตือนเหล่านั้น ความผิดปกติในพฤติกรรมของฉู่เหวินจือมีมากมายจนบรรยายได้แทบไม่หมด แต่เพราะเขาโอนอ่อนตาม เพราะต้องใช้ฉู่เหวินจือเป็นหลักพึ่งพิง เขาถึงได้โดนดัดหลังอย่างน่าสมเพชถึงขนาดนี้ ทั้งที่เขาควรจะเชื่อคำเตือนของหวางซิงให้เร็วกว่านี้....

“คุณเซิน....” หวางซิงไม่รู้ว่าในเวลานี้ตนควรจะพูดอะไรออกไป เพราะไม่ว่าคำไหน ก็คงทำให้เซินเฟยเลิกโทษตนเองไม่ได้ ทำไมวูบหนึ่งเขาถึงเกิดรู้สึกขึ้นมาได้ว่า มีเพียงฉู่เหวินจือเท่านั้นที่รู้ว่าควรพูดคำไหน จึงสามารถทำให้เซินเฟยเลิกคิดเช่นนี้ได้ ผู้ชายคนนั้นมีอิทธิพลกระทั่งในความนึกคิดของเขาเสียแล้วหรือ?

ระหว่างที่ความเงียบเข้าครอบคลุมคนทั้งสอง อยู่ ๆ รถที่เคลื่อนตัวไปได้เรื่อย ๆ ก็กลับชะงักด้วยเสียงปืนที่ดังจากด้านนอกหลายนัด

“เกิดอะไรขึ้น!?”

“ไม่ทราบครับ!” การ์ดที่ขับรถอยู่ว่าแล้วเปิดประตูออกไปเมื่อเห็นคนอื่น ๆ พากันถือปืนออกมาอย่างระแวดระวัง “ท่านจูเชว่กรุณาอยู่แต่ในรถนะครับ”

ด้านนอก ทั้งที่กลางวันแสก ๆ และรถราคลาคล่ำ กลับมีการยิงเกิดขึ้นทำให้ฝูงชนแตกตื่นและวิ่งแห่ออกมาจากรถเพื่อหาที่หลบภัย เซินเฟยเห็นความแตกตื่นนั้นก็ยิ่งประเมินสถานการณ์ได้ยากขึ้น และเพราะกระสุนหลายนัดที่ยิงขู่มาก่อนหน้านั้นทำให้การจราจรติดขัด และรถของเขาไม่อาจเคลื่อนตัวไปไหนได้ อย่างนี้ก็ไม่ต่างกับการเป็นเป้านิ่งไม่ใช่หรือ? ถึงรถของเขาจะกันกระสุนได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยเมื่อเป็นเป้าให้ยิงอย่างนี้

ใครกันที่กล้าทำเรื่องนี้?

ไป๋หู่?

หรือว่า....

เซินเฟยกัดริมฝีปากด้วยความโกรธ

มันจะมากเกินไปแล้ว!

ชั่ววินาทีที่คิดเช่นนั้น เสียงปืนอีกหลายนัดก็ดังระรัวพร้อมกับเสียงสั่งการของอาร์ดด้านนอกที่เข้ามารุมปกป้องรถของเขาจนเห็นแต่แผ่นหลังของชุดสูทสีดำ ประตูด้านหนึ่งถูกเปิดออก หวางซิงรีบดึงตัวเขาลงมานั่งหมอบด้านข้างรถอย่างทันที

“คนร้ายอยู่บนตึก” การ์ดคนหนึ่งกระซิบบอกคนข้างเคียง

หากคนร้ายอยู่บนที่สูง แม้จะหลบในรถก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องสังเวยเลือดให้ฝ่ายนั้นยิงเล่นตามใจชอบ ซ้ำรถยังเคลื่อนตัวไม่ได้อย่างนี้จะทำอะไรก็ลำบาก การหลบให้ต่ำที่สุดจึงเป็นทางเลือกที่ดีในขณะนี้

“พาท่านจูเชว่หนีไปก่อนเถอะครับ” การ์ดอีกคนหันกลับมาบอกหวางซิงแล้วส่งสัญญาณให้ค่อย ๆ ขยับตัวไปตามแนวของรถที่ติดกันเป็นพรืดยาว หากพ้นจากตรงนี้ไปได้ค่อยหารถขับหนีจากที่คนจอดทิ้งไว้ด้วยความตกใจกลัว เป็นการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่น่าฟัง แต่ก็ไม่มีทางเลือก เซินเฟยจึงค่อย ๆ ก้มศีรษะหลบเร้นไปกับรถทีละคัน ๆ เสียงปืนยังคงดังเข้าหูเป็นระยะ หลายนัดที่เฉียดผ่านศีรษะเขาไป การ์ดบางคนโดนยิงเข้าที่แขนและหัวไหล่ แต่ไม่สามารถยิงโต้คนบนที่สูงได้ เซินเฟยเห็นการ์ดบางส่วนแบ่งกำลังปกป้องเขาเพื่อเข้าไปใกล้คนร้ายด้วยการแฝงตัวเข้าไปให้ใกล้อาคารที่คาดว่ามือปืนซ่อนอยู่

เซินเฟยอาศัยจังหวะที่ฝ่ายนั้นกำลังพะว้าพะวงกับการ์ดกลุ่มที่เข้าไปใกล้อาคาร รีบมุ่งตรงไปยังรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างหน้าสุด หากใช้รถคันนี้คงพอไหว ในขณะที่คิดเช่นนั้นก็กลับมีมือข้างหนึ่งคว้าแขนเขาไว้โดยแรงก่อนจะพาเขาพุ่งไปยังรถคันเป้าหมายราวกับล่วงรู้ความคิด หวางซิงเองก็ถูกฉุดตามมาติด ๆ

เซินเฟยเห็นแผ่นหลังที่สวมสูทสีดำถนัดตา การ์ดของเขานั่นเอง

เขาถูกดันตัวเข้าไปในรถพร้อมหวางซิง ก่อนที่การ์ดสองคนจะขึ้นนั่งประจำด้านหน้า แล้วบึ่งรถที่เจ้าของติดเครื่องค้างไว้ทะยานออกไปในทันที ความวุ่นวายค่อย ๆ ไกลออกไปตามระยะทางที่รถพุ่งตัวออกมา หวางซิงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วมองกลับมาด้านหลังเห็นการยิงยังคงดำเนินไป ท่าทางฝ่ายนั้นจะยังไม่รู้ว่าเป้าหมายได้หนีออกมาจากดงนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เซินเฟยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย แต่กำลังกัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกรี้ยวเกินจะให้อภัยกับคนที่หาญกล้าทำกับเขาเช่นนี้

“จอดได้แล้ว” เขาออกคำสั่งเมื่อเห็นว่ารถออกมาไกลพอ และเป็นเส้นทางที่เขาไม่คุ้นเคย แน่นอนว่ารถจอดลงทันทีตามคำสั่ง ทว่าการ์ดคนหนึ่งกลับเดินลงจากรถแล้วเปิดประตูฝั่งหวางซิง ฝ่ายนั้นกระชากหวางซิงออกไปโดยแรงทำให้ทั้งเซินเฟยและหวางซิงตกใจกับการกระทำอันแปลกประหลาด ทว่าก่อนจะได้ถามอะไรออกไป ปืนกระบอกหนึ่งก็จ่อเข้ากับขมับของหวางซิงทำให้ทั้งสองได้แต่แข็งทื่อด้วยทำอะไรไม่ถูก

“ขอโทษด้วยนะครับ แต่เลขาของคุณต้องอยู่ที่นี่” สิ้นคำพูด ประตูรถก็ถูกปิดลงพร้อมกับการออกตัวของยานพาหนะคันเดิม โดยเหลือเพียงเซินเฟยและการ์ดอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนขับ

“ทำอะไรน่ะ! คุณเป็นคนของใครกัน!?” หวางซิงร้องขึ้นเมื่อเห็นการกระทำที่ไม่น่าจำเป็นพวกเดียวกันนั้น และพร้อมจะต่อสู้ปกป้องชีวิตหากว่าปืนในมือของอีกฝ่ายคิดจะลั่นใส่เขา ทว่าการกลับไม่เป็นไปดังคาด ชายในชุดสูทดำเก็บปืนเข้าซองพกอย่างเรียบร้อย ท่าทางมุ่งร้ายเหือดหายไปรากวับไม่เคยมีมาก่อน

“หน้าที่ของผมสิ้นสุดแค่นี้ อีกเดี๋ยวจะมีคนมารับคุณ กรุณารออยู่เฉย ๆ” ว่าแล้ว ฝ่ายนั้นก็เดินจากไปทันที หวางซิงที่คิดจะวิ่งตามไปกลับถูกอีกเสียงหนึ่งรั้งไว้

“คุณหวาง!”

“คุณมู่!?” หวางซิงเขม้นมองบุคคลหนึ่งที่สิ่งมาทางตน “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

“มีคนเรียกผมออกมาน่ะสิ” มู่อี้จิงตอบพลางทำสีหน้าคล้ำเครียด “คน ๆ นั้นโทรมาหาผม บอกว่าให้มารอที่นี่แล้วจะพบคน ๆ หนึ่ง”

“หมายความว่ายังไง.....”

“ผมก็ไม่รู้ แต่คน ๆ นั้นทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้ตอนที่ผมมาถึง” มู่อี้จิงว่าแล้วหยิบเครื่องบันทึกภาพขนาดเล็กขึ้นมาก่อนจะเปิดให้หวางซิงดู ภาพที่ปรากฏอยู่ในนั้นเป็นบุคคลหนึ่งที่กำลังเจรจาอะไรบางอย่างอยู่กับอีกคน หวางซิงที่จดจำบุคคลในนั้นได้เบิกตากว้างขณะที่เสียงค่อย ๆ ไหลผ่านเข้าหูและเดินทางสู่สมอง เขาสามารถตีความสิ่งที่อยู่ในเครื่องยันทึกได้ไม่ยาก และหลังจากภาพทั้งหมดจบลง มู่อี้จิงก็มองหน้าเขาพลางกล่าว

“เรารีบไปกันเถอะครับ”

----------------->

เซินเฟยไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะถูกพาไปไหน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่น่าไว้วางใจแม้สักนิด คนขับรถยังคงทำหน้าที่อย่างซื่อตรง เพียงแค่ขับไปโดยไม่ได้พูดอะไรและไม่แวะจอดที่ไหน

“คิดจะทำอะไรกันแน่?” เซินเฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทุกอย่างสงบเงียบจนผิดสังเกต กระนั้นคำถามก็ไม่ได้รับคำตอบ

“ใครส่งมา?” คำถามยังคงมีต่อไปและได้รับความเงียบกลับมาเช่นเคย

ในที่สุดเซินเฟยก็คร้านจะพูดอะไรต่อไป เขานั่งนิ่ง ๆ และรอคอยว่าเมื่อไหร่การเดินทางนี้จะสิ้นสุดลง ในขณะที่เฝ้ารอนั้น อยู่ ๆ รถก็จอดลง ณ สถานที่หนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคย ทั้งยังวิเวกวังเวงไม่มีใครแม้สังคนเดินผ่าน หรือว่าเขาจะถูกพามาฆ่า? เซินเฟยรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาเมื่อคิดว่าตนเองจะต้องกลายเป็นศพในสถานที่เช่นนี้ ทว่าก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น คนขับก็เดินลงมาจากรถ และกระชากประตูฝั่งเขาเปิดออก เซินเฟยตั้งใจจะชกอีกฝ่ายสักหมัดเพื่อเปิดทางให้หนีได้ แต่ก็ไม่ทันได้ขยับตัวดังใจ เขากลับถูกมือข้างหนึ่งกดลงบนเบาะรถ ก่อนที่มืออีกข้างจะวาดแผ่นผ้าสีขาวสะอาดโปะลงบนจมูกของเขา

เซินเฟยดิ้นขลุกขลักขัดขืนเมื่อสำนึกรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตน แต่ฤทธิ์ของยาบนผืนผ้าก็ได้ลิดรอนสติของเขาไปอย่างรวดเร็ว ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว แม้จะพยายามกลั้นหายใจ ทว่าไอระเหยของสิ่งนั้นก็ยังผ่านเข้ามาถึงในปอดและไหลซ่านไปทั่วร่างราวกับยาพิษ กัดกินสติสัปปัชชัญญะของเขาอย่างช้า ๆ พร้อมกับเรี่ยวแรงที่หดหายไปอย่างไม่อาจต่อต้าน

ในที่สุดเซินเฟยก็ทิ้งร่างนอนนิ่งกับเบาะหนัง สติของเขายังเหลืออยู่เล็กน้อยแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้

เซินเฟยรู้สึกว่าตนเองถูกอุ้มออกจากรถและพาเดินไปหาใครคนหนึ่งที่ยืนหลบอยู่ในมุมมืดตั้งแต่แรก

“เรียบร้อยแล้วครับ” ฝ่ายนั้นเอ่ยกับอีกบุคคลที่เพียงยืนมองห่าง ๆ

“ขอบใจมาก” เสียงที่ผ่านเข้ามาคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด เซินเฟยพยายามเพ่งมองใบหน้าของเจ้าของเสียง ทว่าภาพที่เห็นกลับพร่าขาวไปหมด เขาพยายามจะส่งเสียง แต่ลำคอกลับตีบตันแหบแห้ง เกิดอะไรขึ้น? ใครอยู่ที่นั่น? เขาไม่อาจรู้อะไรได้เลย และในนาทีที่ร่างของเขาถูกเปลี่ยนมือนั้น สติของเขาก็หลุดลอยหายไป....

TBC

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด