บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]  (อ่าน 245662 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #270 เมื่อ18-03-2011 16:09:53 »

“คุณหวางยังอายุน้อยร่างกายเลยกลับเป็นปกติได้เร็ว ดีจังเลยนะคะที่ลุกเองได้แล้ว” ขณะเช็ดตัว หญิงสาวก็ชวนคุยไปเรื่อย ๆ “แผลของคุณฉู่เองก็ดีขึ้นมากแล้วเหมือนกัน ตอนแรกที่มาถึงแผลนั้นน่ากลัวมากทีเดียว ขนาดหมอเองยังกลัวว่าเนื้อจะเน่าจนลึกถึงกระดูกเสียด้วยซ้ำ โชคดีที่ไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้นแถมแผลยังสมานตัวเร็วด้วย”

“แผล?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว “เขาแค่แขนหักไม่ใช่หรือครับ?”

“แขนหัก? ไม่ใช่หรอกแค่นั้นหรอกค่ะ หรือว่าคุณฉู่มาได้บอกคุณหวางเลยคะ?” นางพยาบาลสาวดูตกใจ “หลังของคุณฉู่ดูเหมือนจะโดนไฟไหม้เป็นวงกว้าง หมอถงบอกว่าน่าจะเป็นผลจากแรงระเบิดมากกว่าไฟไหม้ธรรมดา ซ้ำยังตกทะเลทำให้แผลโดนน้ำทะเลกัด วันแรกที่มาถึงคุณฉู่ไข้ขึ้นสูง แต่วันที่คุณตื่นขึ้นมาไข้ก็ลดไปมากแล้วค่ะ ฉันยังคิดอยู่เลยว่าร่างกายคุณฉู่แข็งแรงสมบูรณ์ดีจริง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นคงจะนอนซมเป็นอาทิตย์”

เซินเฟยกลั้นหายใจเมื่อคิดภาพตาม เขาไม่เห็นจะรู้เรื่องแผลอะไรนั่นเลยสักนิด

“ตอนทำแผล คุณฉู่จะขอไปที่ห้องของหมอถงจะได้ไม่รบกวนคุณหวาง เพราะเห็นว่าคุณหวางต้องการพักผ่อนน่ะค่ะ”

ระหว่างการอธิบายนั้น เซินเฟยไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เขานั่งกัดริมฝีปากแล้วกำมือแน่น รอจนกระทั่งนางพยาบาลเช็ดตัวเสร็จแล้วสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ เขาจึงนอนลงเช่นเดิมแล้วหลับตาผ่อนลมหายใจเข้าออกพลางฟังเสียงรอบตัว ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เสียงฝีเท้าแปลก ๆ ที่ได้ยินมาหลายวันดังเข้าหู เซินเฟยจึงลืมตาขึ้นแล้วลุกจากเตียงจ้องมองฉู่เหวินจือที่ขยับปิดประตูด้วยมือข้างที่ไม่หัก

ฉู่เหวินจือหมุนตัวกลับเข้ามาในห้องก่อนจะผงะไปเล็กน้อยที่เห็นเซินเฟยนั่งมองตัวเองอยู่

“ลุกขึ้นได้แล้วหรือครับ?” เขาเอ่ยถามพลางเดินเข้ามาหา

“หันหลัง”

“อะไรนะครับ?” คำสั่งนั้นทำให้ฉู่เหวินจือชะงักเท้า

“หันหลังแล้วถอดเสื้อออก” เซินเฟยสั่งซ้ำอีกครั้งทำให้ฉู่เหวินจือถอนหายใจออกมา

“ผมถอดเสื้อเองไม่ได้หรอกครับ” เขาแจงพร้อมชี้แขนที่ยังใส่เฝือกของตัวเอง ด้วยแขนข้างเดียวอย่างนี้เป็นเรื่องลำบากแสนเข็ญที่จะถอดเสื้อ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจึงให้นางพยาบาลช่วยถอดและสวมให้

“งั้นเดินเข้ามานี่แล้วหันหลัง” เซินเฟยสั่งแล้วชี้นิ้วให้มายืนใกล้ ๆ ฉู่เหวินจือไม่รู้จะค้านอะไรต่อจึงเดินไปยืนข้างหน้าแล้วหันหลัง เซินเฟยจึงกระตุกเชือกที่ผูกอยู่ด้านข้างเอว ก่อนจะดึงคอเสื้อด้านหลังให้เลื่อนลงมา และเมื่อเลื่อนถึงไหล่ เซินเฟยก็สังเกตเห็นผ้าพันแผลผืนกว้างทบกันเป็นชั้นหนา แต่เมื่อพยายามดึงก็พบว่าชุดผู้ป่วยติดเฝือกเสียแล้ว เซินเฟยนึกรำคาญอยู่ในใจก่อนจะเลือกถลกเสื้อด้านล่างขึ้นไปแทน ตอนนั้นเซินเฟยจึงได้เห็นแผ่นหลังกว้างของฉู่เหวินจือใต้เสื้อผู้ป่วยเต็มตา

เซินเฟยเบิกตากว้างพร้อมกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ

แผ่นหลังของฉู่เหวินจือถูกพันปิดด้วยผ้าพันแผลผืนกว้างทั้งแผ่นหลังตั้งแต่ด้านบนจนถึงท่อนเอว มือของเซินเฟยสั่นน้อย ๆ เมื่อนึกไปถึงความร้ายแรงแผลที่อยู่ใต้ผ้าเหล่านี้ มิน่าเล่าเสียงเดินของฉู่เหวินจือถึงดูแปลกไปจากปกติ ฉู่เหวินจือมักจะเดินด้วยฝีเท้าหนักมั่นคงเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูไม่เข้ากับนิสัยตัวเอง แต่เสียงที่เขาได้ยินในหลายวันมานี้กลับดูขัดกัน เร็วบ้างช้าบ้างและลงน้ำหนักมากกว่าปกติ

“ทำไมถึงไม่บอก” เซินเฟยฝืนพูดเสียงเย็น

“ผมคิดว่ามันไม่ใช่สลักสำคัญขนาดนั้นนี่ครับ”

คำตอบที่ได้ทำให้เซินเฟยนึกฉุนขึ้นมา เขาจึงออกแรงถีบเข้าที่กลางหลังอีกฝ่ายทั้งที่ตัวเองก็ยังปวดตัวไม่หาย สุดท้ายเขาก็ต้องก้มตัวจับแผ่นหลังตัวเองเมื่อความปวดแล่นขึ้นมาส่วนฉู่เหวินจือลงไปนอนกุมแผลหน้าซีดอยู่บนพื้น

“ลุกขึ้นมา” เซินเฟยกัดฟันสั่ง ถีบไปครั้งเดียวมันยังไม่ทำให้เขาหายโมโห

“ถ้าจะทำโทษผมก็ช่วยทำตอนที่ร่างกายหายดีทั้งคู่ก่อนเถอะครับ” ฉู่เหวินจือว่าพลางพยายามลุกจากพื้นด้วยมือข้างเดียวและขาทั้งสองข้างที่ยังเป็นปกติ แต่เพราะตัวเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนาปึก ทำให้การขยับตัวบิดหรืองอกลายเป็นเรื่องยาก แล้วยังแผลบนหลังอีก กว่าจะลุกขึ้นมานั่งได้ฉู่เหวินจือก็หอบหายใจด้วยความเหนื่อย

“งั้นบอกอาการมาให้หมด”

ฉู่เหวินจือกลอกตา ไม่คิดว่าตนเองจะถูกคาดคั้นเอาจริงเอาจังขนาดนี้

“คุณเป็นห่วงผมหรือครับ?”

“ถ้านายบาดเจ็บทำงานไม่ได้ฉันก็เลี้ยงเสียข้าวสุกเปล่า ๆ” เซินเฟยสวนกลับทันควัน “อีกอย่าง ตอนนี้มีนายคนเดียวที่ทำงานให้ฉันได้ ถ้าสุดท้ายฉันต้องเฉาตายบนเตียงโรงพยาบาลนี่ ฉันจะฆ่านายทิ้งก่อน” ดูเหมือนเซินเฟยจะโมโหเอามากจริง ๆ จึงพูดออกมาเป็นประโยคยาวเหยียดทั้งที่ปกติจะสงวนคำพูดคำจาอยู่เสมอ

“ผมยอมแพ้แล้วครับ” ฉู่เหวินจือรีบยกมือข้างที่ยังเป็นปกติขึ้นเหนือศีรษะ “ความจริงนอกจากแผลที่หลังกับแขนของผมก็ไม่มีอะไรแล้ว หมอบอกว่าอีกไม่นานแผลบนหลังจะสมานตัวเหมือนเดิม แต่แขนที่หักต้องรออีกสักพักถึงจะถอดเฝือกได้ครับ” ฉู่เหวินจือรีบเล่าออกมารวดเดียวหมดเพราะเกรงว่าเซินเฟยจะใจร้อนจนฝืนสังขารเดินเข้ามากระทืบเขาตายคาที่ เขาเองก็ผ่านการรับโทสะของเซินเฟยมาไม่น้อยจึงรู้จังหวะที่ต้องยอมถอยให้

เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกโดยไม่ได้พูดอะไร เด็กหนุ่มขยับขาขึ้นไปวางราบบนเตียงเมื่ออาการปวดรุมเมื่อครู่ทุเลาลง

“เวลาทำแผลก็ทำในห้องนี้ จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาให้แผลปริ” เขาว่า “แล้วก็ถ้าเสื้อมันถอดใส่ลำบากนักก็ไม่ต้องใส่ กับแค่นายเปลือยบนฉันไม่ถึงกับรับไม่ได้หรอก”

ฉู่เหวินจือขยับลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มมุมปาก ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่เซินเฟยก็แสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อเขาผ่านคำพูดเย็นชา ฉู่เหวินจือสังเกตมานานแล้วว่าอีกฝ่ายมักจะทำตัวอย่างนี้กับคนรอบข้าง โดยปกติมีแต่หวางซิงที่อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลาเท่านั้นจึงจะเข้าใจถึงความหมายจริง ๆ ในคำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้ ส่วนคนรอบข้างมักจะมองว่าเซินเฟยเป็นคนเย็นชาและเคร่งครัดจนไม่น่าเข้าใกล้

ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้แล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงก่อนฉวยโอกาสจับมือเซินเฟย เจ้าของมือตวัดตาเป็นเชิงปรามทันที เขาจึงต้องละมือออกอย่างช่วยไม่ได้

“แค่แผลระเบิดเท่านั้นเองนะครับ ผมคิดว่าแผลที่คุณเฆี่ยนผมยังน่ากลัวเสียกว่า”

“ตรงไหนกัน?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว

“ก็ระเบิดน่ะ แค่ตูมเดียวผมก็ชาไปทั้งหลังแล้ว ส่วนคุณเฆี่ยนเอา ๆ แถมเอาน้ำเกลือราดซ้ำอีก แบบนี้จะไม่น่ากลัวกว่าได้ยังไงกัน” ฉู่เหวินจืออธิบายหน้าระรื่น

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลงโทษนายด้วยระเบิดก็แล้วกัน” เซินเฟยนึกฉุน

“ผมขอเป็นรางวัลแทนไม่ได้หรือครับ?”

“นายจะมาขอรางวัลอะไรจากฉัน?” เด็กหนุ่มหรี่ตาลง แค่เล่นเป็นนักสืบวิ่งไปวิ่งมาในโรงพยาบาลจะได้ข่าวอะไรมากมายกัน

“ลืมไปแล้วหรือครับ? ผมบอกว่าผมจะไปสืบข่าว ตอนนี้ก็ได้เรื่องดี ๆ มาแล้ว” ฉู่เหวินจือขยิบตา

“เลิกอมพะนำเสียที มีอะไรก็รีบว่ามา” เซินเฟยเริ่มรำคาญท่าทางของอีกฝ่าย หากไม่ปวดตัวคงได้เงื้อเท้าถีบอีกรอบให้ได้กลิ้ง จะได้พูดอะไรง่าย ๆ อย่างคนอื่นเขาเสียที

ฉู่เหวินจือยื่นขึ้นอีกครั้งแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้เซินเฟย ก่อนกระซิบบางอย่างข้างใบหู เซินเฟยตอนแรกก็เพียงฟังเฉย ๆ แต่ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็เบิกตากว้างคล้ายได้ยินสิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อ

“นาย....แน่ใจแค่ไหน.....” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟัน

“ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนครับ” ฉู่เหวินจือยืนยันข่าวของตัวเอง

เซินเฟยขบริมฝีปากตนเองจนรู้สึกเจ็บ ก่อนจะพึมพำชื่อหนึ่งที่ยังติดหูออกมา

--------------------->

“เฉียน....หลิงหลิง....” หวางซิงทวนชื่อที่อยู่ในใบประวัติแผ่นหนึ่งก่อนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ใบหน้าของคนในรูปถ่ายเป็นคนเดียวกับหลิงหลิงที่เขารู้จักอย่างแน่นอน ชื่อและแซ่ที่ปรากฏนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้หวางซิงตกตะลึงจนแทบหายใจไม่ออก

“ผมให้คนสืบค้นมาแล้ว ชื่อเต็มของผู้หญิงคนนั้นคือเฉียนหลิงหลิงแน่นอน” มู่อี้จิงอธิบายพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวรถที่มุมถนน

“ลูกสาวของเฉียนหยุน....”

“เธอเป็นลูกสาวของเฉียนหยุนจริง ๆ เพิ่งจบทนายความมาจากต่างประเทศ แต่น่าแปลกนะ คุณกับจูเชว่ไม่รู้จักเธอได้ยังไงกัน?” มู่อี้จิงถามด้วยความสงสัย หวางซิงส่ายศีรษะพลางกัดริมฝีปาก

“คุณเซินบอกว่า....ไม่มีความจำเป็นต้องกำจัดคนทั้งตระกูลเพียงเพราะคนทรยศคนเดียว อีกอย่าง ถึงคุณเฉียนจะเป็นแบบนั้นแต่ก็ไม่เคยเอาครอบครัวเข้ามาปะปนกับงาน ในเมื่อภรรยาและลูกสาวไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้ด้วย คุณเซินเลยไม่อยากดึงเข้ามาพัวพันน่ะครับ” หวางซิงว่าแล้วหลุบตาลงมองใบประวัติอีกครั้ง เขานึกไม่ออกเลยว่าหากเซินเฟยรู้จะทำอย่างไรต่อไป “แต่ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องระเบิดใช่ไหมครับ ถึงคุณหลิงหลิงจะเป็นลูกสาวของเฉียนหยุนจริง แต่ยังไงเธอก็เป็นแค่คนธรรมดา”

“ก่อนที่จะก่ออาชญากรรม ทุกคนก็เคยเป็นคนธรรมดาทั้งนั้นแหละครับ”

“แต่ว่า....เรื่องใหญ่ขนาดนั้นผู้หญิงคนเดียว....”

“ผู้หญิงคนเดียวทำไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่คนเดียวก็ทำได้ไม่ใช่หรือ?” มู่อี้จิงถอนหายใจออกมา “แน่นอนว่าผมยังไม่มีหลักฐาน นี่เป็นแค่ข้อสงสัยเพราะในจำนวนคนทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ มีแค่เฉียนหลิงหลิงเท่านั้นที่น่าจะมีความแค้นส่วนตัวกับจูเชว่ ถึงแม้โดยปกติแล้วเจ้านายคุณจะมีคนหมายหัวอยู่เยอะก็เถอะ”

“แล้วทำไม....”

“เพราะผมมีเหตุผลให้สงสัย ข้อแรก....คุณรู้ได้ยังไงว่าเธอขาหักจริง ๆ”

“เอ๋?” หวางซิงกระพริบตาปริบ ๆ “ก็เธอเข้าโรงพยาบาล...”

“ของแบบนั้นถ้าผมเป็นหมอที่มีเส้นสายในโรงพยาบาล ผมก็เอาคุณเข้าเป็นคนไข้ปลอม ๆ ได้เหมือนกัน” มู่อี้จิงว่า “นั่นหมายความว่า หากเฉียนหลิงหลิงเป็นคนร้ายจริง หมอจือหยินก็ต้องมีส่วนร่วมด้วย”

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ถึงจะร่วมมือกัน แต่สองคนนั้นก็ไม่ได้มีอิทธิพลขนาดนั้น....”

“แล้วถ้า....ใช้อิทธิพลของคนอื่นล่ะครับ....” มู่อี้จิงจอดรถก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้หวางซิงที่เริ่มสับสน “เรื่องนี้มีเงื่อนงำก็จริง แต่ถ้าเปิดโปงคนคิดแผนการได้ ทุกอย่างก็จะพากันตามออกมาเอง และผมจะเป็นคนลากมันออกมาด้วยมือของผมเอง”


TBC

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #271 เมื่อ18-03-2011 16:27:47 »

เลวจริงๆ

casper75

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #272 เมื่อ18-03-2011 16:33:46 »

 :beat: นังหลิงหลิง


เซินเฟยจะให้รางวัลอะไรน้า  o18

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #273 เมื่อ18-03-2011 16:45:50 »

โอ้ว ออกจากดรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ จัดการมันให้หมด
ไอ้พวกชั่ววว!!

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #274 เมื่อ18-03-2011 16:52:58 »

โอ้ววว  หมอจือร่วมด้วย  อกตัญญู เลี้ยงไม่เชื่อง  หวังว่าคราวนี้อาเซินคงตัดใจได้ไม่เหลือซากแล้วนะ

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #275 เมื่อ18-03-2011 17:45:45 »

 :m16:

ช้านว่าแล้วต้องเป็นนังหลิงหลิง

อาเฟยรีบๆหายน่ะ จะได้จัดการกัน

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #276 เมื่อ18-03-2011 17:50:48 »

เฟยเฟยห่วงอาฉู่แบบรุนแรงจังเนาะ  555 ถีบไปได้ที่แผล ตัวเองก็ใช่จะดี ถีบเขาไปแล้วตัวเองก็เดี้ยงด้วย  :laugh:

ตูว่าแล้วซื้อหวยทำไมไม่ถูกฟ่ะ  ยัยหลิงหลิงต้องเป็นลูกตาเฉียนแน่ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2011 17:52:24 โดย sukie_moo »

ออฟไลน์ ratrirattikan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #277 เมื่อ18-03-2011 18:52:13 »

ผู้หญิงคนนั้นนี่นะ...ร้ายกว่าที่คิดแฮะ
ง่า แต่รุนแรงไปแบบนั้น เฟยเฟยฝืนสังขารไปเพราะเป็นห่วงรึไงน้า

ออฟไลน์ Isuru

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #278 เมื่อ18-03-2011 19:00:32 »

เป็นการแสดงความรักที่รุนแรงดีนะ SM ได้อีก
คุณฉู่เป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย
ยัยหลิงหลิงร้ายลึกนักนะ  
ค้างมากมายค่ะ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #279 เมื่อ18-03-2011 19:08:37 »

งานนี้แม่นางหลิงหลิงกับพ่อของเสี่ยวเฟยร่วมมือกันแน่นอน ~ :serius2:
คนแรกแก้แค้นให้พ่อ คนที่สองอยากได้อำนาจและดูจะมั่นใจอะไร ๆ เกินปรกติ
เอ๋...หรือจะมีใครอยู่เบื้องหลังลึกลับกว่านี้อีกไหม ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
« ตอบ #279 เมื่อ: 18-03-2011 19:08:37 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ £.Ma|e¥

  • ชั้นคือผู้หญิงโรคจิต!! โฮะๆๆ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #280 เมื่อ19-03-2011 00:51:32 »

กรี๊ดดดดด อินังหลิงๆ ว่าแล้วแกต้องมีอะไรปิดบัง
รวมทั้งหมอจือนะ ทุเรศว่ะ แค่ผู้หญิงคนเดียวทำให้ทรยศต่อผู้เป็นนาย
เสียชื่อ เสียเกียรติของวงศ์ตระกูลหมด น่าเกลียด  :fire:
อาเฟย ฆ่าทิ้งทั้งผัวทั้งเมียแม่งเลย ต่อหน้าทำเป็นดี ลับหลังทุเรศเน่าเฟะ
ส่วนพ่ออาเฟยนะ อยากจะตบหัวทิ่มจริงๆ เกิดเป็นคนได้ไงเนี่ยแม้แต่ลูกในไส้ยังไม่เหลียวมอง
อ๊ากกกกกกกกกกก ทำไมเรื่องนี้มันเครียดแบบนี้เนี่ย!!! 55555+ (งงจนเป็นบ้า =..=)
แต่ว่านะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึป่าว ที่ว่าดูเหมือนอาฉู่จะดูมีใจให้อาเฟยแล้ว กริ๊วๆๆ
อาฉู่เริ่มเปลี่ยนแปลงนิดๆแล้วใช่รึป่าวคะ คุณคนแต่ง ขอให้เป็นแบบที่คิดเถ๊ออ เพี๊ยง!!

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #281 เมื่อ19-03-2011 08:21:03 »

 :beat:ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นนังหลิงหลิง
แล้วอย่าบอกนะว่าร่วมมือกับหมอแล้วพ่อของอาเฟยด้วยน่ะ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #282 เมื่อ19-03-2011 14:09:43 »

ว่าแล้ว ยัยตัวแสบ "เฉียนหลิงหลิง" งั้นเหรอ เลวจริงๆ
แถมเงินที่เซินเฟยให้หมอไปอีก อย่าบอกนะว่าเป็นเงินที่เอามาทำร้ายตัวเอง ฮึ่มมมมม :m16: :m16: :m16:

มีแต่คนเลวร้ายรอบตัวเซินเฟยจริง ไหนจะพ่อที่อยากได้ตำแหน่งลูกจนตัวสั่นนั่นอีก

กลับมาเมื่อไหร่ กำจัดอย่าให้เหลือซากเลยนะ

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #283 เมื่อ19-03-2011 15:51:37 »

นังหลิงๆนังชั่ว จัดการมันเลยสารวัตรมู่ ลากมันออกมาให้หมด!

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #284 เมื่อ20-03-2011 01:28:27 »

-24-


แม้ว่าสารวัตรหรงจะปฏิเสธความต้องการของเซินหยู่ แต่อย่างไรคนอย่างเซินหยู่ก็ไม่คิดยอมแพ้ เขาอาศัยอิทธิพลของตัวเองในฐานะผู้รักษาการแทนประธานเครือตระกูลฉู่เข้ากดดันตำรวจไม่ให้สืบคดีไปมากกว่านั้น ด้วยเหตุนี้ ทางเบื้องบนจึงติดต่อลงมายังสารวัตรหรงด้วยตัวเอง

“หมายความว่า เราต้องหยุดสืบเรื่องนี้หรือครับ?” มู่อี้จิงเอ่ยถามเสียงเครียด

“เบื้องบนเขาสั่งมาแบบนั้น ฉันก็ได้แต่บอกแบบนั้นล่ะนะ” สารวัตรหรงเองก็ดูเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เขาเอาแต่ขมวดคิ้วแล้วจ้องมองมือตัวเองตั้งแต่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการตำรวจ กระทั่งตอนที่เรียกตัวมู่อี้จิงเข้ามาคุยก็ยังคงขมวดคิ้วอยู่ เขารู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แม้จะรู้แก่ใจว่าอำนาจจองจูเชว่นั้นยั่วยวนขนาดไหน แต่ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะต้องการมั่นใจจะไม่มีใครหาตัวจูเชว่ได้ทันถึงขนาดนี้ หากว่าภายในสามเดือนหลังจากนี้จูเชว่ยังไม่ปรากฏตัว จะต้องมีใครสักคนได้ขึ้นตำแหน่งแทน คนที่เป็นตัวเต็งที่สุดจะต้องเป็นคนสั่งการอย่างไม่ต้องสงสัย

โดยปกติแล้วสารวัตรหรงจะเป็นคนสบาย ๆ การได้เห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนี้เขาก็รู้สึกหนักใจไปด้วย เพราะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เล็กน้อยเลย เขาคาดเดาแต่แรกแล้วว่าจะต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ใครจะคิดได้ว่าคนที่สั่งการคือพ่อของคนที่หายตัวไปนั่นเอง

หากหวางซิงไม่บอกเขาว่าเซินหยู่กำลังหมายตาตำแหน่งจูเชว่ เขาเองก็คงคิดไม่ถึง....

“ผมทำไม่ได้”

“ฉันก็รู้อยู่ว่าเธอต้องพูดแบบนั้น” สารวัตรหรงกล่าวตอบทำให้มู่อี้จิงค้างไปชั่วขณะ ทั้งที่เขาตั้งใจจะรอคำตักเตือนแล้วตอบโต้กลับไปแท้ ๆ

“ครับ....ผมจะยืนยันเหมือนเดิม” หลังจากชะงักไปเขาก็รีบตั้งสติตอบกลับไป

สารวัตรหรงถอนหายใจยาว มู่อี้จิงเป็นคนดังทุรังอย่างที่หวางซิงเคยคาดเดาไว้จริง ๆ กระทั่งเรื่องที่โดนกดดันมาตรง ๆ อย่างนี้ก็ยังดื้อดึงไม่ยอมแพ้ ความจริงเขาก็รู้นิสัยมู่อี้จิงอยู่เพราะเป็นเพื่อนเก่าที่เรียนรุ่นเดียวกันกับพ่อของมู่อี้จิง และเหตุที่มู่อี้จิงมาทำงานเป็นตำรวจสายสืบนั้นไม่ใช่เพราะวิทยานิพนธ์ตอนจบเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขาเห็นแววนิสัยอย่างนี้จึงหว่านล้อมพ่อของเจ้าตัว

นิสัยที่อยากจะค้นหาความจริงและดันทุรังที่จะรู้ให้ได้เป็นพื้นฐานสำคัญของการเป็นนักสืบไม่ว่าจะนักสืบอิสระหรือตำรวจก็ตาม มู่อี้จิงมีอุปนิสัยเช่นนั้นอยู่เต็มเปี่ยม กระนั้นก็เป็นคนที่รู้จักสถานการณ์ว่าเวลาไหนควรทำอย่างไร มีเพียงตอนที่เจ้าตัวออกปากขอหวางซิงจากเซินเฟยเท่านั้นที่เขาถึงกับผงะไปกับความกล้าของเจ้าตัว เขาจึงคิดว่า ถึงมู่อี้จิงจะดันทุรังต่อไปก็คงจะระมัดระวังมากพอที่จะไม่ให้เบื้องบนรู้เข้า

“ฉันบอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้ฉันไม่ได้สนับสนุนนะ” สารวัตรหรงกล่าว ทำให้มู่อี้จิงยิ้มกว้าง

“ครับ! สารวัตรบอกให้ผมเลิกแล้วครับ” มู่อี้จิงรีบพูดเออออตาม “แต่ว่าผมรู้สึกอยากสนิทสนมกับคุณหวาง ผมก็เลยยังติดต่อกับคุณหวางอยู่เท่านั้นเองครับ”

“อืม เรื่องจะคบใครเป็นเพื่อนมันไม่ได้อยู่ในดุลยพินิจของเบื้องบนเสียด้วย” สารวัตรหรงพยักหน้า

“เพราะฉะนั้นในระยะนี้ผมอาจจะไปพบคุณหวางบ่อย ๆ”

“ฉันเข้าใจแล้ว ตามสบายก็แล้วกัน”

นายตำรวจชั้นใหญ่และเล็กมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา มู่อี้จิงรีบบอกลาแล้ววิ่งออกไปจากห้องของสารวัตรในทันที

สารวัตรวัยกลางคนส่ายศีรษะให้กับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย นึกสงสัยว่าด้วยนิสัยเช่นนี้จะเผลอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความโหดร้ายจริง ๆ ของมาเฟียเข้าโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า เพราะสิ่งที่มู่อี้จิงได้เห็นในตอนนี้ ยังไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่จูเชว่สามารถลงมือทำได้จริง ๆ

--------------------->

นับแต่เข้ามายึดครองอำนาจในบริษัท เซินหยู่ก็มักจะใช้เวลาอยู่ในห้องประธานเป็นส่วนใหญ่ การงานก็ไม่เคยออกไปติดต่อเอง แต่ใช้หวางซิงให้ออกไปจัดการให้ ซ้ำระยะนี้เซินหยู่ยังพาคนเข้ามาแทรกแซงอยู่ในแผนกต่าง ๆ และขึ้นมาทำงานในห้องประธานอีก หวางซิงแค่เข้าไปเห็นสภาพห้องที่ถูกจัดแต่งใหม่ก็แทบลมจับ

เซินเฟยเป็นคนมีระเบียบมาแต่ไหนแต่ไร ห้องหับไม่เคยรกรุงรัง มีกระดาษตกแค่แผ่นเดียวก็ไม่ได้ ของไร้สาระไม่มีความจำเป็นก็แทบจะไม่มีไว้ เครื่องแก้วที่วางในห้องก็มีแต่แจกันดอกไม้ที่ทำให้ห้องดูมีสีสัน แก้วชา แก้วทับกระดาษ และเครื่องแก้วที่ดูต้องรสนิยมเท่านั้น แต่เมื่อเซินหยู่เข้ามาครองห้อง แฟ้มเอกสารที่เคยเรียงอย่างเป็นระเบียบก็ถูกอัปเปหิจากตู้ลงมากองบนพื้นเป็นตั้ง ส่วนตู้เอกสารกลายเป็นที่วางหนังสืออ่านเล่นไป เครื่องแก้วที่เซินเฟยหวงนักหนาถูกปัดแตกไปเมื่อหลายวันก่อน

ถังขยะที่มักจะดูเรียบร้อยเสมอกลับพูนไปด้วยเศษกระดาษที่เซินหยู่ฉีกทิ้งฉีกขว้าง

โดยปกติห้องประธานจะมีโต๊ะเพียงตัวเดียว แต่ตอนนี้มีโต๊ะเพิ่มขึ้นมาเป็นโต๊ะของคนสนิทเซินหยู่ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นโต๊ะของหวางซิงที่ตั้งอยู่ข้างนอก ทำให้ตอนนี้กระทั่งโต๊ะส่วนตัวหวางซิงก็ไม่มีใช้

ของส่วนตัวที่เป็นของประจำตำแหน่งค่อย ๆ ถูกลิดรอนไปทีละอย่างสองอย่าง ทำให้ตอนนี้หวางซิงเหลือเพียงแค่ตำแหน่งค้ำคออยู่เท่านั้น กระนั้นเขาก็ยังเป็นคนคุมการ์ดทั้งหมด และลิฟต์ที่ใช้ขึ้นมายังห้องประธานก็มีเพียงหวางซิงที่มีอำนาจสั่งการเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้เซินหยู่ยังไม่กล้าลงมือกับหวางซิงโดยตรง ทำได้แค่ยึดของมาทีละน้อยเหมือนกับเด็กที่แย่งของเล่นกันเท่านั้น

หวางซิงไม่ได้นึกอยากเรียกร้องอะไร เขารู้ดีกว่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์จึงทำเฉยไปเสียและมาทำงานอย่างปกติทุกวัน คอยรับคำสั่งและออกไปทำอย่างเรียบร้อยแม้ในบางครั้งจะถึงขนาดถูกจิกหัวใช้ให้เดินขึ้นลงทั้งวันก็ตาม การตอบโต้ด้วยความเฉยชาและความเงียบของหวางซิงทำให้เซินหยู่มองจุดอ่อนเลขาคนนี้ไม่ออก

หวางซิงเริ่มเป็นสิ่งที่เกะกะสายตาเซินหยู่มากขึ้นทุกวัน....

ถึงจะรู้ว่ากำลังถูกเพ่งเล็ง แต่หวางซิงก็ยังเข้ามาก้าวก่ายห้องประธานอย่างไม่สนใจสายตาใคร และเพราะเขาเองมีการ์ดคอยคุ้มกันรอบตัวแทบตลอดเวลา จึงไม่มีใครกล้าตอแยกับเขาเช่นกัน

และวันนี้หวางซิงก็ยังมาทำงานเหมือนเดิม สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือการไปคุ้ยถังขยะข้างโต๊ะประธาน

“อาซิง คุ้ยขยะอีกแล้วหรือ? นี่อาเฟยเลี้ยงไม่ดีขนาดนี้เลยหรือนี่” เซินหยู่ว่าแล้วหัวเราะพร้อมกับคนสนิทสองคนที่มาช่วยทำงานในตำแหน่งรักษาการณ์ อีกฝ่ายมักจะหาเรื่องแขวะหวางซิงอยู่บ่อย ๆ เว้นกระทั่งเรื่องเข้ามาคุ้ยถังขยะทุกเช้า ซึ่งหวางซิงก็มีเหตุผลของตัวเองจึงไม่ได้คิดตอบโต้และค้นอย่างตั้งอกตั้งใจจนกระดาษทั้งหมดในถังขยะออกมาวางแผ่บนพื้น หวางซิงคัดแยกเอกสารแต่ละแผ่นอย่างใจเย็นแล้วขยำใบที่ไม่ต้องการโยนกลับเข้าไปที่เดิม ส่วนใบที่แยกออกมา หวางซิงก็หยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“นี่เป็นเอกสารสำคัญ กรุณาอ่านและเซ็นด้วยครับ”

ราวกับเป็นกิจวัตรไปแล้วที่หวางซิงต้องคุ้ยหาเอกสารในถังขยะเพื่อให้แน่ใจว่าเซินหยู่ไม่ได้โยนเอกสารสำคัญของบริษัททิ้งไป หวางซิงสังเกตเห็นพฤติกรรมนี้ตั้งแต่วันแรก เมื่อมีเอกสารเข้ามา เจ้าตัวจะเปิดผ่าน ๆ ไม่คิดให้ความสนใจ แผ่นไหนที่มองแล้วไม่น่าทำประโยชน์ได้ก็โยนทิ้งเสียหมด เอกสารที่เจ้าตัวจะเก็บไว้อ่าน หวางซิงเห็นชัดเจนว่ามักเป็นเอกสารเกี่ยวกับการเงินของบริษัท

เซินหยู่มองดูกระดาษยับย่นที่หวางซิงวางด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เขามักจะถูกหวางซิงบังคับให้ทำงานอย่างจริงจังทุกเช้า ถึงแม้จะได้แขวะหวางซิงบ้างแต่ก็เป็นความสนุกที่ฝืดสิ้นดีเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมตอบโต้อะไรเลย

หวางซิงมักจะทู่ซี้ยืนอยู่ในห้องจนกว่าเซินหยู่จะจัดการเอกสารทั้งหมดนั้นเสร็จแล้วจึงนำออกไปด้วยตัวเอง แต่แล้วในวันนี้ ขณะที่เซินหยู่กำลังทำงานอยู่อย่างเบื่อหน่ายก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์ของหวางซิง เลขาหนุ่มไม่ได้ลุกไปรับข้างนอก แต่ยังยืนเฝ้าเซินหยู่ทำงานและคุยโทรศัพท์ไปด้วย

“ตอนนี้เลยหรือครับ?” เซินเฟยมุ่นคิ้วเมื่อพบว่าคนที่โทรมาเป็นมู่อี้จิง ถึงใจจะนึกกังวลว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่ แต่สายตาก็ยังเหลือบไปมองเซินหยู่ “ผมขอเวลาอีกครึ่งชั่วโมงแล้วผมจะลงไป”

เซินหยู่ในเสียงไม่พอใจในลำคอก่อนจะรีบอ่านรีบเซ็นเพราะเขาเองก็รำคาญหวางซิงเต็มที

สถานการณ์ในบริษัทตอนนี้ไม่ต่างกับสงครามเย็นระหว่างขั้วอำนาจสองขั้ว ถึงเซินหยู่จะได้เปรียบเพราะมีอำนาจมากกว่าขั้นหนึ่ง แต่พนักงานส่วนใหญ่ก็ยังไว้ใจให้งานผ่านมือของหวางซิง สิ่งหนึ่งที่เซินหยู่ทำพลาดคือการใช้งานหวางซิงให้วิ่งติดต่อในบริษัท ทำให้พนักงานทุกแผนกไว้วางใจมากกว่าคนสนิทของเซินหยู่ที่งอมืองอเท้าอยู่บนห้องประธานและดีแต่เดินตามประจบสอพลอ

หลังจากเซินหยู่เซ็นงานเรียบร้อยก็ต้องรอผ่านการตรวจทานของหวางซิงรอบหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้แค่เซ็นส่ง ๆ

“มาถึงตอนนี้คุณได้เรียนรู้บ้างหรือยังว่าลูกชายคุณต้องเผชิญกับอะไรถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้” หวางซิงกล่าวพลางอ่านเอกสาร

“เหอะ มันจะผ่านอะไรสักแค่ไหน วัน ๆ นั่งอ่านกระดาษไร้สาระพวกนี้ก็ได้รับเงินเป็นกอบเป็นกำแล้ว ถามมันดีกว่าว่าพ่ออย่างฉันต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงเลี้ยงมันจนมายืนอยู่ตรงนี้ได้” เซินหยู่โต้กลับ ทำให้หวางซิงถอนหายใจออกมาแล้วปรายมองอย่างดูแคลน

“คิดว่าผมกับท่านจูเชว่รุ่นก่อนไม่เคยสืบสาวเรื่องในอดีตของคุณเซินหรือครับ?”

“อะไรนะ?” เซินหยู่ชะงักไป

“คุณได้รับมรดกจากพ่อ คุมบริษัทในเครือแห่งหนึ่งที่กิจการกำลังไปได้ดี ตอนขึ้นเป็นผู้จัดการคุณรู้สึกถูกใจลูกสาวของลูกหนี้คนหนึ่งจึงใช้หนี้ของพ่อแม่เป็นข้ออ้างในการเอาเธอมาเป็นภรรยา” หวางซิงเริ่มเล่าไปพร้อมกับอ่านเอกสารไปด้วย “แต่ว่าภรรยาแซ่หลี่คนนี้กลับร่างกายไม่แข็งแรงมีลูกให้คุณได้แค่คนเดียวก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด คุณเบื่อหน่ายภรรยาที่ใช้บำบัดความใคร่ทางเพศไม่ได้จึงหันไปหาคนอื่นและไม่เหลียวแลครอบครัวแต่ก็โดนภรรยาลับ ๆ หลอกเอาเงินไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้คุณยังใช้อำนาจของตระกูลไปในทางที่ผิด ยัดลูกชายเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดัง พอลูกชายถูกกลั่นแกล้งก็เอาอำนาจเข้าข่ม จนมาถึงตอนนี้ ถ้าคุณเซินโตมาเป็นเด็กมีปัญหาผมจะไม่แปลกใจเลย ต้องขอบคุณท่านรุ่นก่อนเสียด้วยซ้ำที่ดึงคุณเซินออกมาได้เสียก่อน”

ในขณะที่หวางซิงเล่า เซินหยู่ก็นั่งฟังพลางกำมือแน่น นัยน์ตาขึงขวางด้วยความโกรธ ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงเย้ยหยันแกมสมเพช หลังหวางซิงเล่าจบ เซินหยู่ก็ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและเส้นเลือดปูดโปนจนเหมือนจะแตกได้ทุกเมื่อ

“หึ! นายบ่าวพอกันทั้งคู่! เสี้ยมกันดีนักนะ!”

“ผมพูดอะไรผิดหรือครับ?” หวางซิงเลิกคิ้วพลางถาม “อ้อ ผมอ่านจบแล้ว ขอบคุณสำหรับการทำงานนะครับ” ว่าแล้ว หวางซิงก็เตรียมจะปลีกตัว แต่เดินไปไม่กี่ก้าวคนสนิทของเซินหยู่คนหนึ่งก็ปราดเข้ามาขวางก่อนเงื้อหมัดชกหวางซิงเข้าที่โหนกแก้มอย่างแรงลงทรุดลงไปนั่งบนพื้น

“คิดว่าพูดจาแบบนั้นกับฉันจะได้ออกไปง่าย ๆ หรือไง?” เซินหยู่เดินมายืนค้ำหัวก่อนจะก้มลงจิกผมให้เงยหน้ามอง “แกมันขวางหูขวางตาฉันนานเกินไปแล้ว สั่งสอนเสียบ้างอาจจะทำตัวเป็นเด็กดีขึ้นก็ได้”

ทั้งที่กำลังถูกขู่ หวางซิงกลับค่อย ๆ ยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอ

“หัวเราะอะไรของแก!”

“คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า” หวางซิงยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะตะโกน “เข้ามา!”

สิ้นเสียง การ์ดที่ปกติจะยืนอยู่ข้างนอกราวกับรูปปูนปั้นก็วิ่งกรูกันเข้ามาในห้องแล้วยืนกอดอกทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหลัง คนหนึ่งในจำนวนนั้นผลักคนของเซินหยู่ออกไปไกล ๆ หวางซิงเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายแล้วจึงลุกขึ้นมา เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยก่อนทอดมองเซินหยู่และคนสนิททั้งสองอย่างเย็นชา

“ผมมีธุระต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะครับ” หลังกล่าวจบ หวางซิงก็เดินออกไปท่ามกลางการห้อมล้อมของการ์ดร่างสูงใหญ่ เซินหยู่โกรธจนแทบคลั่ง จนแล้วจนรอดก็ยังสยบคนอย่างหวางซิงไม่ได้ เขาลืมคิดไปเสียสนิทว่าถึงอย่างไรหวางซิงก็เป็นเลขาของมาเฟียใหญ่ของฮ่องกง มีหรือจะสิ้นเขี้ยวเล็บง่าย ๆ

“หลีกไป!” เซินหยู่คำรามแล้วผลักคนสนิทออกไปยืนข้าง ๆ ก่อนคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา “ฉันอยากให้แกจับตาดูคนที่ชื่อหวางซิง ถ้ามีโอกาสจัดการก็จัดการซะ เท่าไหร่ฉันก็จะจ่าย!” หลังพูดจบเขาก็กดตัดสายก่อนจะเค้นเสียงหัวเราะออกมาจากคออย่างชั่วร้าย หวางซิงเป็นเสี้ยนหนามสำคัญในขณะนี้ อย่างไรเสียสักวันก็ต้องกำจัดทิ้งอยู่แล้ว เร็วขึ้นอีกสักหน่อยจะเป็นอะไรไป

------------------->

ตอนที่หวางซิงลงมาถึงหน้าบริษัท เขาก็เห็นรถตำรวจคันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว ทางรปภ.เองก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลที่รถตำรวจมาจอดนิ่งอยู่หน้าบริษัทจึงเอาแต่จับตามองแทบไม่เป็นอันทำงาน เมื่อหวางซิงออกมา รปภ.ก็รีบเดินเข้าไปแจ้งถึงความผิดปกติทันที

“ไม่เป็นไรหรอก เขาเป็นเพื่อนผมเอง” หวางซิงกล่าวแล้วตบบ่าแทนคำชมเชยที่ทำงานอย่างดี

เลขาหนุ่มเดินไปที่รถตำรวจ ยังไม่ทันจะถึงประตูมู่อี้จิงก็เปิดประตูฝั่งผู้โดยสารให้หวางซิงเดินขึ้นไป

“มีอะไรหรือครับ?” หวางซิงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัดที่แผ่ออกมาจากมู่อี้จิง แม้ใบหน้าอีกฝ่ายจะดูเรียบเฉยเป็นปกติ แต่หวางซิงก็คิดว่าคงมีอะไรบางอย่างที่รบกวนจิตใจมู่อี้จิงอยู่ แต่ไหนแต่ไรมาหวางซิงต้องเป็นคนช่างสังเกตสังกาแทนเซินเฟยอยู่แล้ว การมองอารมณ์ของคนอื่นจึงไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะปกปิดไว้ด้วยความเงียบงันหรือเฉยชาก็ตามที

“คุยตรงนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่ ไปห้องผมได้ไหม?” มู่อี้จิงกระซิบถามราวกับกลัวว่าจะมีใครดักฟังอยู่ใกล้ ๆ หวางซิงต้องเงี่ยหูฟังจึงเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

หวางซิงพยักหน้ารับเงียบ ๆ มู่อี้จิงจึงเคลื่อนรถออกไป ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงอพาร์ทเมนท์ของมู่อี้จิง รถตำรวจถูกจอดไว้ข้างหน้าอพาร์ทเมนท์เพราะอย่างไรเสียก็คงไม่มีใครกล้างัดอยู่แล้ว

มู่อี้จิงพาหวางซิงขึ้นมาถึงห้องโดยเอาแต่หันมองรอบตัวอย่างระแวดระวังแทบตลอดเวลา จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครตามอยู่จึงรีบเปิดประตูห้องแล้วผลักหวางซิงเข้าไปข้างในก่อนรีบปิดประตูตามอย่างรวดเร็ว หวางซิงที่ถูกผลักเข้ามายังปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูกนัก จึงทำได้แต่ยืนมองเจ้าของห้องเท้าเอวมองลอดผ่านตาแมวตรงประตูออกไปข้างนอก มู่อี้จิงทำพฤติกรรมประหลาดอย่างนั้นอยู่นานก่อนจะถอนหายใจออกมา

“น่าจะปลอดภัยแล้ว” เจ้าตัวเปรยแล้วถอดรองเท้าทิ้งไว้ตรงหน้าประตู รูดเนคไทออกจากคอ ปลดกระดุมเชิ้ตออกสองเม็ดก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางเคร่งเครียด

“ทางกรมเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” หวางซิงเดินมานั่งข้าง ๆ พลางเอ่ยถาม ระยะนี้เขากับมู่อี้จิงติดต่อกันบ่อยเสียจนหวางซิงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจนักเมื่อเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ กันโดยต่างฝ่ายต่างไม่คิดป้องกันตัวอย่างนี้

“ไม่ใช่กรมหรอก...” มู่อี้จิงขยี้ผมตัวเอง “เบื้องบนมากกว่า”

“เบื้องบน? เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” หวางซิงมุ่นคิ้ว

“มีคำสั่งให้ยกเลิกการตามหาจูเชว่ และปิดคดีระเบิดเรือด้วย”

“อะไรนะครับ!” หวางซิงทะลึ่งพรวดขึ้นจากโซฟาราวกับนั่งบนตะแกรงร้อนพร้อมตะโกนถามเสียงดังด้วยความตระหนก

“เบา ๆ หน่อยครับ” นายตำรวจหนุ่มรีบเตือนเสียงเครียดแล้วดึงมือให้หวางซิงนั่งลงเช่นเดิม “เรื่องนี้ผมได้ฟังจากสารวัตรหรงเมื่อเช้า อยู่ ๆ สารวัตรก็เรียกผมเข้าไปคุย สารวัตรหรงบอกผมว่าทางเบื้องบนตัดสินใจให้ปิดคดีนี้โดยไม่บอกเหตุผล”

“เป็นไปได้ยังไง....คดีใหญ่ขนาดนี้” หวางซิงหน้าซีดเผือด พลางถูมือตัวเองอย่างกระวนกระวาย

“ถ้าให้ผมเดา ต้องมีการกดดันมาจากผู้มีอิทธิพลแน่นอน”

“ผู้มีอิทธิพล? ใครกันที่จะทำแบบนั้น ทั้งชิงหลง ไป๋หู่ เสวียนอู่ต่างก็เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ไม่ได้”

มู่อี้จิงเงียบไปก่อนเบือนหน้ากลับมามองเจ้าของคำถาม นัยน์ตาของมู่อี้จิงพราวประกายเป็นนัยซึ่งหวางซิงสามารถอ่านออกได้อย่างรวดเร็ว

“เป็นไป...ไม่ได้....” หวางซิงขัดเสียงขาดห้วง “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ! ถึงคุณเซินหยู่จะหิวอำนาจขนาดนั้น แต่ยังคุณเซินก็เป็นลูก”

“เรื่องภายในครอบครัวผมคงไม่รู้ลึกนักหรอกครับ แต่ในสถานการณ์อย่างนี้จะมีใครอีกที่บ้าพอที่คิดจะกำจัดความน่าจะเป็นที่จูเชว่ตัวจริงจะกลับมาครองอำนาจ” คำตอบของมู่อี้จิงมีเหตุผลที่หวางซิงเถียงไม่ออก เขาเองก็รู้แก่ใจว่าเซินหยู่ไม่ใช่คนมีคุณธรรมอะไรมากมาย หากพูดจริง ๆ สายเลือดมาเฟียอาจไหลเวียนในตัวผู้ชายคนนั้นเข้มข้นเสียยิ่งกว่าสายหลักเสียอีก เพราะแม้แต่สายหลักก็ยังไม่เคยมีคนไหนไร้หัวใจขนาดไม่สนความเป็นตายของลูกตัวเอง แต่ว่า....ถึงขนาดตัดความน่าจำเป็นที่ลูกน่าจะมีชีวิตอยู่ได้นี้...ยังเรียกว่าคนได้อีกหรือ!?

อำนาจกึ่งหนึ่งที่เซินหยู่ได้ไปนั้นอาจไม่สามารถกดดันเบื้องบนได้ก็จริง แต่หากฝ่ายนั้นอ้างว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเล่า ใครจะกล้าขัดบัญชาหรือสืบสาวว่าจริงหรือไม่

ความสัมพันธ์ของมาเฟียและตำรวจ ด้านหนึ่งเหมือนพึ่งพาอาศัย แต่ในความเป็นจริงใครเล่าจะรู้ว่าใบหน้าแท้จริงของคนที่พึ่งพากันนั้นดีหรือร้าย ทางตำรวจเองก็ไม่ได้พอใจนักอยู่แล้วกับการใช้อำนาจของมาเฟียในหลาย ๆ ด้าน ส่วนมากก็จะทำตามเพื่อตัดความรำคาญโดยไม่ต้องสืบสาวสาเหตุใด ๆ หากมีการโวยวายขึ้นมาก็โยนความผิดกลับไปได้ว่าไม่ดูแลคนของตนเองให้มาปล่อยข่าวเท็จ



ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #285 เมื่อ20-03-2011 01:32:41 »

“หมายความว่า.....จะต้องหยุดไว้แค่นี้หรือครับ?” หวางซิงจ้องมองมู่อี้จิงอย่างสิ้นไร้หนทาง หากมู่อี้จิงไม่ยอมช่วยแล้วเขาจะทำอย่างไร จริงอยู่ว่าเขาสามารถใช้คนในออกไปตามข่าวได้ แต่การกระทำกระโตกกระตากจะทำให้แก๊งค์อื่น ๆ ที่หวังชูคอแว้งกัดขึ้นมาได้ ซ้ำยังคนในตระกูลที่หวังตำแหน่งอีก เรื่องนี้มีแต่ต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจสายสืบอย่างมู่อี้จิงเท่านั้นจึงจะสามารถสืบสาวอย่างเงียบ ๆ ได้โดยไม่ถูกสงสัย

“มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมจะเลิกง่าย ๆ ได้ยังไงกัน” มู่อี้จิงว่าพลางกัดปลายนิ้วอย่างเป็นกังวล หากเรื่องที่เขาจงใจงัดข้อกับเบื้องบนแดงขึ้นมา เขาอาจเสียงานไปก็เป็นได้

“คุณจะทำต่อหรือ?” หวางซิงถามพลางทำสีหน้ายุ่งยากใจ “ถ้าหากเบื้องบนทราบเข้า....”

“ถ้าหากปิดดี ๆ ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ทางนั้นเองก็ไม่อยากยื่นมือเข้ามายุ่งมากเหมือนกัน” มู่อี้จิงตอบเพื่อให้หวางซิงคลายใจ ซึ่งครึ่งหนึ่งก็ค่อนข้างตรงความจริง เพราะทางเบื้องบนหากรู้เรื่องนี้คงจะคิดตัดหางเขาอย่างแน่นอน หากก้าวขาหนึ่งเข้าไปแล้วก็ยากจะถอยกลับได้ เพราะรับงานต่อจากสารวัตรหรงทำให้เขากลายเป็นคนขององค์กรใต้ดินอยู่ครึ่งตัวย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาสักเท่าไหร่ ทางเบื้องบนเองก็คงคิดว่า เมื่อเขาถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ เดี่ยวก็คงตกตายไปแบบพวกใต้ดินนั้นเอง

หวางซิงนั่งเงียบไป เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้

ทั้งที่...หากเป็นเซินเฟยนั่งอยู่ตรงนี้คงหาทางออกที่ดีได้แน่นอน

ทำไมเขาถึงไร้ความสามารถขนาดนี้นะ

หวางซิงได้แค่โทษตัวเองที่ไม่มีกำลังจะทำอะไรได้ สุดท้ายเขาก็เป็นได้แค่สุนัขที่เดินตามหลังนายต้อย ๆ อย่างที่เซินหยู่ชอบสบประมาทจริง ๆ งั้นหรือ?

“คุณนี่นะ” มู่อี้จิงว่าขึ้นพลางถอนหายใจ

“ผมทำไมหรือครับ?” หวางซิงเงยหน้าขึ้นถามพลางส่งสายตาแสดงความสงสัย

“ทำไมคุณถึงชอบเครียดกับเรื่องของคนอื่นอยู่เรื่อย คุณตอนนี้น่ะดูแย่ยิ่งกว่าผมอีก” ชายหนุ่มว่า เขาตั้งใจจะพูดเรื่องนี้ให้หวางซิงฟังเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดมากยิ่งกว่าเขา แต่แล้วสายตาของมู่อี้จิงก็สะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง “หน้าคุณไปโดนอะไรมา?”

“เอ๋ หน้าผม?” หวางซิงย้อนถามก่อนยกมือกุมโหนกแก้ม จะว่าไป ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งโดนชกมาหยก ๆ

“รอยช้ำนี่ โดนทำร้ายมาหรือครับ?”

หวางซิงเม้มปาก ความจริงแล้วเขาไม่ได้นึกเดือดร้อนอะไรกับรอยช้ำบนหน้านักเพราะเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่แลกมากับสิ่งที่เขาจงใจพูดออกไปโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ไม่โดนชกเข้าสิถึงแปลก ทว่า พอได้ยินเสียงที่เอ่ยถามด้วยความห่วงใยแล้ว เขาก็อดรู้สึกเจ็บยอกในอกไม่ได้

“ว่าแต่....คุณมู่มีเรื่องจะบอกผมเท่านี้หรือครับ?” เพราะไม่อยากจะพูดเรื่องรอยช้ำต่อ หวางซิงจึงเปลี่ยนหัวข้อเสีย

“อ้อ จริงสิ” มู่อี้จิงว่าก่อนจะลุกจากโซฟาไปเปิดลิ้นชัก “รายชื่อการ์ดพวกนี้ผมค้นมาแล้ว ดูเหมือนทุกคนจะมีประวัติการทำงานยาวนานและไว้ใจได้ทั้งนั้น แต่ละคนไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดได้เลย”

“แน่นอนครับ การ์ดที่จะคุ้มกันคุณเซินต้องคัดกรองเป็นพิเศษ”

“แปลกจริง....การ์ดคุ้มกันหนาแน่น คนนอกเข้าไปไม่ได้แน่นอน” มู่อี้จิงมุ่นคิ้วพลางหยิบประวัติคนหนึ่งขึ้นมาดู “หัวหน้าการ์ดเป็นคนเก่าคนแก่ ไม่มีทางพลาดกับเรื่องเล็ก ๆ เท่านี้อยู่แล้ว”

“ครับ ผมเองก็คิดแบบนั้น” หวางซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่หมอจือหยินกับคุณหลิงหลิงเป็นคนวางระเบิดก็อาจไม่ใช่ความจริงสิครับ เพราะถ้าหมอจือกับคุณหลิงหลิงเป็นคนวางแผนจะต้องมีคนในช่วย ในเมื่อคนในเป็นไปไม่ได้แล้ว หมอจือกับคุณหลิงหลิงก็ไม่สามารถทำได้”

“เรื่องนั้นผมก็ยังสงสัยอยู่” มู่อี้จิงแสดงสีหน้าคลางแคลงใจออกมาอย่างปิดไม่มิด ราวกับว่ากำลังพบทางตันอย่างไรอย่างนั้น

“นี่ก็ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้วสินะครับ ที่คุณเซินหายตัวไป” หวางซิงดูหดหู่ขึ้นมาทันที “เวลาดูผ่านไปเร็วจริง ๆ ไม่นานเท่าไหร่....ก็เสียเวลาไปถึงขนาดนี้แล้ว แม้แต่เงาของคุณเซินเราก็ยัง....”

“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ เวลาที่เสียไปไม่ได้เสียเปล่าหรอกเชื่อผมสิ” มู่อี้จิงให้กำลังใจพร้อมบีบมืออีกฝ่าย ได้ยินดังนั้นหวางซิงก็พอจะยิ้มออกบ้าง “แต่ว่า ระยะนี้ผมอาจต้องไปรบกวนบ่อย ๆ เพื่อให้เบื้องบนเชื่อว่าผมกำลังพยายามตีสนิทกับคุณ และไม่สงสัยเรื่องที่ผมจะสืบต่อไป”

“ต้องรบกวนคุณมู่แล้วนะครับ” หวางซิงยิ้มแล้วพูดตอบอย่างเป็นทางการเสียจนมู่อี้จิงตอบกลับไม่ถูก

“ผมบอกว่าให้เรียกผมว่ามู่อี้จิงไงล่ะครับ....” ชายหนุ่มว่าพลางเกาหัวเก้อ ๆ

----------------->

เวลาส่วนใหญ่ของเซินเฟยมักจะใช้ไปกับการนอนและนอนจนระยะนี้เขารู้สึกเหมือนไม่ค่อยมีแรงสักเท่าไหร่ อาจเพราะแต่ก่อนเขามักจะใช้เวลาว่างในการออกกำลังกาย อย่างน้อยก็ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว แต่ว่าตอนนี้ ทั้งที่ร่างกายของเขาเป็นปกติดีแล้ว แผลถลอกที่ได้มาก็หายไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังต้องนั่ง ๆ นอน ๆ แต่ในห้องเพราะฉู่เหวินจือเกรงว่าจะมีคนจำใบหน้าของเขาได้ ซึ่งหากเป็นพวกเดียวกันก็ดีไป ถ้าเป็นมือสังหารขึ้นมาอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ ในที่สุดเซินเฟยจึงไม่อาจให้อิสระกับการเดินของตัวเองได้

โลกภายนอกผ่านเข้ามาในการรับรู้ของเซินเฟยผ่านการรายงานของฉู่เหวินจือที่มักจะตื่นขึ้นมาแตกเช้าเพื่อทำแผลบนหลังก่อนจะออกไปข้างนอกและกลับมาอีกครั้งตอนมื้อเที่ยง ทั้งที่ออกไปแค่ครึ่งวัน ฉู่เหวินจือก็สรรหาเรื่องมาเล่าให้เขาฟังจนเบื่อ ตั้งแต่เรื่องเล็กอย่างได้พูดคุยกับเด็กที่ป่วยใกล้ตายจนถึงเรื่องใหญ่อย่างเบาะแสของการระเบิด เพียงแต่เรื่องเล็กมีมากกว่าเป็นเท่าตัวทำให้เซินเฟยเริ่มจะเบื่อหน่าย

เมื่ออยู่ด้วยกันในห้อง ฉู่เหวินจือมักแสดงออกว่าสนิทสนมกับเขาเกินความจำเป็น แต่เพราะมีหมอและพยาบาลอยู่ด้วย เขาจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากส่งสายตาปรามเอาไว้ไม่ให้เกินเลย

หมอถงจะเข้ามาตรวจอาการของเขาและฉู่เหวินจือทุกวันเป็นปกติ

“คุณหวาง ร่างกายของคุณเป็นปกติแล้วใช่ไหมครับ?”

“ครับ” เซินเฟยเริ่มจะชินกับแซ่ใหม่ของตัวเองบ้างแล้ว เมื่อถูกถามจึงตอบได้ทันที ดีกว่าวันแรก ๆ ที่เขาต้องชะงักก่อนตอบทุกครั้งไปด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเรียกเขาหรือเปล่า

“อาการปวดตามตัวยังมีอยู่ไหม?”

“ไม่มีแล้วครับ”

“อืม ๆ” หมอถงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “รอยช้ำก็หายไปหมดแล้วนะครับ กระดูกก็ไม่ผิดปกติ ถ้าคุณอยากจะกลับบ้านก็กลับได้เลยนะครับ”

“แล้วฉู่เหวินจือ?”

“อ้อ คุณฉู่ยังต้องดูอาการต่ออีกสักหน่อย แขนที่ใส่เฝือกก็อีกเรื่องหนึ่ง กระดูกคนหนุ่ม ๆ ต่อสนิทได้เร็วอยู่แล้ว แต่ว่าแผลที่หลังยังน่าเป็นห่วงเพราะจนถึงตอนนี้เนื้อก็ยังปิดไม่สนิท แต่น่าดีใจที่ไม่มีอาการติดเชื้ออะไร ถึงอย่างนั้นหมอก็อยากจะแน่ใจว่าแผลนั้นจะหายดี” หมอถงยังคงจังหวะการพูดอย่างเชื่องช้าเหมือนอย่างครั้งแรกที่พบกัน อาจเพราะเขาเคยชินที่จะค่อย ๆ พูดอย่างนี้ หรือไม่ก็อาจเจอคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุศีรษะกระทบกระเทือนบ่อย จึงพูดอย่างนี้กับคนไข้จนเคยปาก

“แต่ว่าเขาก็ดูแข็งแรงดีนะ เห็นออกไปเดินเล่นข้างนอกทุกวัน” หมอสูงวัยหัวเราะ “แต่ว่าการขยับร่างกายมากเกินไปก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แผลสมานตัวช้าเหมือนกัน หมอคงต้องฝากคุณหวางช่วยเตือนเพื่อนของคุณหวางหน่อยนะครับ เพราะหมอพูดไปเขาก็ไม่ฟังหมอเลย”

“ทราบแล้วครับ ผมจะเตือนให้” เซินเฟยตอบกลับไป แต่พูดยังไม่ทันขาดคำดีประตูก็เปิดออกพร้อมร่างของคนที่เพิ่งพูดถึงไปหมาด ๆ กำลังเดินเข้ามา

“เอ๋ ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะครับ?” ฉู่เหวินจือถามเมื่อเห็นคนสองคนในห้องกำลังจ้องตนเป็นตาเดียวราวกับกำลังตำหนิ

“เปล่าครับ หมอกำลังคุยเรื่องอาการของคุณฉู่ให้คุณหวางฟังเท่านั้นเอง” หมอถงรีบกล่าวก่อนจะหันกลับมาหาเซินเฟย “คุณหวางจะทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเลยหรือเปล่าครับ?”

เซินเฟยนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนปรายตาไปทางฉู่เหวินจือ

“ผมคิดว่ารอให้เรียบร้อยเสียทีเดียวเลยจะดีกว่า ยังไงก็ฝากหมอถงด้วยนะครับ”

“หมอเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” ถงซื่อว่าแล้วจังหันมายิ้มให้ฉู่เหวินจืออย่างอารีแล้วเดินออกไปจากห้อง ฉู่เหวินจือเห็นดังนั้นก็นึกสงสัยด้วยปกติแล้วหมอถงมักจะตำหนิเขาเรื่องเดินไปเดินมาไม่ยอมอยู่สุขบ่อย ๆวันนี้กลับไม่บ่นสักคำ กระนั้นเขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเพราะหันมาเห็นสัญญาณมือจากเซินเฟยเสียก่อน เขาจึงเดินไปนั่งข้าง ๆ เตียงตามสัญญาณนั้น

“แผลเป็นยังไง”

“ตอนนี้ไม่ค่อยเจ็บแล้วครับแต่ยังขยับตัวลำบากอยู่”

เซินเฟยหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ใคร่เชื่อนัก เพราะเมื่อคืนก่อนฉู่เหวินจือเพิ่งจะไข้ขึ้นกลางดึกเพราะเขาไปถีบแผลเสียเต็มแรงจึงอักเสบขึ้นมา แต่พอวันต่อมาไข้ก็ลดจนลุกขึ้นมาเดินเหินได้เป็นปกติ ทำให้เขานึกอยากถีบให้แรงกว่านั้นอีกสักนิด

“คิดว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้?”

“ถ้าคุณเซินให้ออก ผมก็จะออกตอนนี้เลยครับ” ฉู่เหวินจือตอบแล้วปั้นยิ้ม

“นั่นก็แล้วแต่สถานการณ์ที่นายสืบมาได้ตอนนี้” เซินเฟยขึ้นไปนั่งกึ่งนอนบนเตียง “ว่ามา”

“ตอนนี้ดูเหมือนบนเกาะฮ่องกงจะมีปัญหาแล้วล่ะครับ”

“ปัญหา?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว เขาไม่คาดหวังจะได้ยินคำนี้จากปากของฉู่เหวินจือสักนิด เพราะเมื่อไหร่ที่ฉู่เหวินจือพูดว่าปัญหา สิ่งนั้นมักจะนำความปวดเศียรเวียนเกล้ามาให้เขา “ที่บ้านงั้นหรือ?” หากเป็นที่บ้านเขาคงไม่นึกแปลกใจ พวกญาติ ๆ เขาแต่ละคนหิวเงินกันเสียขนาดนั้น เขาหายไปทั้งคนมีหรือจะไม่มาคะยั้นคะยอให้มีการจัดสรรสมบัติ ทั้งยังตำแหน่งที่ทิ้งไว้อีก

“ที่บริษัทครับ”

“บริษัทเกิดอะไรขึ้น?” เสียงของเซินเฟยดังขึ้นเล็กน้อย

“ดูเหมือนว่า พ่อของคุณจะเข้ายึดอำนาจปกครองกึ่งหนึ่งไปแล้ว” ฉู่เหวินจือกล่าว ทำให้เซินเฟยดูเครียดขึ้นมาทันตา หากเป็นที่บ้านเขายังมั่นใจได้ว่าหวางซือสามารถควบคุมสถานการณ์ได้จนกว่าเขาจะกลับไป ทว่าทางบริษัทนั้นมีความละเอียดอ่อนมากกว่า เพราะผู้บริหารทั้งหลายแก่จนวิตกจริตง่ายกันไปเสียหมด เกิดอะไรขึ้นนิดหน่อยก็เต้นเร่า ๆ อย่างกับโดนไฟลน ซ้ำบริษัทนั้นยังเป็นศูนย์กลางเครือธุรกิจของตระกูล หากเกิดอะไรขึ้นก็จะล้มกันเป็นโดมิโน่ ไม่เหมือนกับองค์กรใต้ดินที่แบ่งกับปกครองเป็นสัดส่วนอย่างดี เมื่อจุดหนึ่งล้มจะไม่เป็นปัญหาไปถึงส่วนอื่น ๆ

“ได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน?”

“ข่าวใหญ่อย่างเรื่องเปลี่ยนตัวผู้บริหารเครือธุรกิจอันดับต้น ๆ ก็ต้องแพร่กระจายไวอยู่แล้วครับ เรื่องอย่างนี้ผมไม่จำเป็นต้องสืบอย่างลับ ๆ หรอก” คำตอบของฉู่เหวินจือไม่ได้ทำให้เซินเฟยเชื่อสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่ แต่นับจากเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลนี้ เขารู้สึกว่าฉู่เหวินจือปิดบังเขาแทบทุกเรื่อง นอกจากเรื่องที่ควรรายงานแล้ว ไม่เคยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวรวมถึงแหล่งที่ได้ข้อมูลเหล่านั้นมาให้เขารู้เลย เอาแต่ตอบส่ง ๆ ไปว่าเป็นข่าวที่กระจายมากับเรือ หรือไม่ก็ได้ยินที่พวกคนไข้พูดกัน กระนั้นอย่างน้อยเขาก็รู้สึกได้ว่าข่าวที่ฉู่เหวินจือได้มานั้นเป็นความจริงเกินกว่า 80% แม้จะไม่รู้แหล่งข่าวก็ตามที

“อาซิงล่ะ?” ก่อนที่จะถูกระเบิดเรือ เขาเคยคิดว่าอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจึงเขียนหนังสือมอบอำนาจการดูแลแทนให้หวางซิง

“เรื่องนี้ผมยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่หวางซิงเองก็น่าจะคอยดูแลอยู่ ไม่อย่างนั้นคงจะมีข่าวว่าบริษัทใหญ่สถานภาพง่อนแง่นออกมาให้ได้ยินแล้วล่ะครับ”

เซินเฟยตวัดตามองครั้งหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายพูดไม่ถูกหู แต่คร้านจะหาเรื่องลงโทษเพราะปัจจุบันนี้ฉู่เหวินจือก็สภาพเหมือนถูกทำโทษอยู่แล้ว ทั้งแขนหัก ทั้งยังมีแผลโดนระเบิดอีก เอาไว้หายดีออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ตอนนี้ปัญหาเรื่องบริษัทเป็นปัญหาหนักกว่า นอกจากนี้....

เฉียนหลิงหลิง...

ชื่อที่ฉู่เหวินจือกระซิบบอกก่อนหน้านี้ยังคงติดอยู่ในหู เซินเฟยเคยนึกแปลกใจอยู่ว่าทำไมถึงหน้าคุ้นนัก ที่แท้เพราะบางส่วนบนใบหน้าของดูคล้ายเฉียนหยุนอยู่นั่นเอง แต่เพราะไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าเฉียนหลิงหลิงมีส่วนเกี่ยวข้อง เขาจึงยังคงไม่คิดเคลื่อนไหวอะไร

แล้วจือหยินล่ะ....จะมีส่วนร่วมด้วยหรือเปล่า?

“ส่วนเรื่องระเบิด ก็มีความคืบหน้าแล้วนะครับ” ราวกับหยั่งรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ฉู่เหวินจือจึงเปรยขึ้นมาและยิ้มกว้างเมื่อเซินเฟยมองหน้า “จะให้ผมกลับไปเขียนรายงานไหมครับ?”

“ไม่ต้อง...” เซินเฟยเม้มปาก จะรั้งเวลาไปทำไมในเมื่ออะไรที่เกิดไปแล้วมันก็แก้ไขไม่ได้อยู่วันยังค่ำ “ว่ามาสิ”
ฉู่เหวินจือหัวเราะในคอก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่าสิ่งที่เขาสืบมาได้

TBC

neronel

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #286 เมื่อ20-03-2011 03:44:37 »

สวัสดี ติดตามอ่านมาได้พักนึงแล้ว

ตอนแรกเข้ามาก็ร้อง โอ้...ว้าว!~ แค่เริ่มเรื่องก็น่าสนใจแล้ว
หายากที่จะเขียนเนื้อเรื่องประมาณนี้แล้วได้อารมณ์ขนาดนี้
ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือ สิ่งที่ไม่ถูกเขียน
คือประมาณว่าไม่เล่าหมด บอกอะไรไม่มาก มือุบอิบไว้อะไรไว้
มันทำให้มีพื้นที่ที่คนอ่านจะเอาคัวเองลงไปร่วมกับเรื่องด้วย
ให้พื้นที่ได้คิดและสร้างภาพขึ้นมาเอง เล่าเรื่องแบบนี้มันมีเสน่ห์มากนะ

ตัวละครบางตัวถ้าคิดกันจริงๆแล้วก็ดู..ไร้เหตุผลไปบ้าง
แต่การเขียน การเล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง เป็นการเป็นงาน ทำให้ทุกอย่างดูสมเหตุสมผล
เข้มข้นมาก!

หนูเฟยเฟย ตอนหนูบอกกินข้าวกับตัวเอง อ่า..ป้าสะเทือนใจจริงๆ
แล้วคนแซ่ฉู่ นี่ยังไงกัน? ดูไม่ธรรมดานะ จริงๆแล้วแกคิดจะทำอะไรกันแน่?
ยังไงก็เอ็นดูน้องเบาๆมือหน่อยนะ น้องยังเด็ก ^^
หรือต้องบอกน้องดี หลังๆมานี่*หนัก*กับหมาของตัวเองเหลือเกิน
ใครจะรู้ คนแซ่ฉู่อาจแอบทบต้นทบดอกรอวันเอาคืนอยู่ในใจก็ได้ มันร้าย~

คุณมู่ ออกตัวแรงมาก ป้าคนนี้ก็หวังว่าจะได้อะไรมาเรียกเลือดลมซะแล้ว
แต่แล้วก็..แป็ก! จิตใจห่อเหี่ยวเลย..55+
ยิ่งหลังๆมา อ่า..ตำรวจหื่นของป้า(คิดเอาเอง)กลายเป็นตำรวจอบอุ่นไปแระ
ปลาบปลื้มแทนเลขาหวางจริงๆ มีคนดีๆคอยดูแล

ในเรื่องมี 4 ตระกูล จูเชว่ ไป๋หู่ และเสวียนอู่โผล่มาแล้ว เหลือชิงหลง ที่มีเส้นสายกับมาเฟียอิตาลีอีกหนึ่ง จะโผล่มามั้ยน้า?
แอบติดใจเรื่องของไป๋หู่ กับ คนของเสวียนอู่ เค้ายังไงกันน้อ? ^^

ใครคิดไม่ซื่อกับหนูเฟยเฟยบ้างน้า?
แต่ละคoกำลังทำอะไรกันอยู่?
น่าสงสัยไปหมดเลย

เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า~ ^^
รักนะ..จูบุ จูบู
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2011 03:47:54 โดย neronel »

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #287 เมื่อ20-03-2011 04:19:43 »

เซินหยู่ :z6: o18

คุณมู่ - หวางซิง สู้ๆนะ

เฟยเฟย - คุณฉู่ นี่เค้าSMกันจริงๆเลย

 :pig4:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #288 เมื่อ20-03-2011 07:58:33 »

เอ้อนะ เรื่องอำนาจนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #289 เมื่อ20-03-2011 08:10:11 »

โอยยยย  ลุ้นจนปวดตับ  พ่ออาเซินนี่ตกลงชิงหมามาเกิดหรือเปล่าเนี่ยะ  ทำได้กระทั่งลูก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
« ตอบ #289 เมื่อ: 20-03-2011 08:10:11 »





ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #290 เมื่อ20-03-2011 08:58:52 »

ในที่สุดก็ตามอ่านทันนนนน
เนื้อเรื่องเป็นอะไรที่ ต้องลุ้นตลอดเวลาเลยค่ะ
อ่านแล้วกดดันแทน เฟยเฟย จริงๆ (ชื่อนี้น่ารักกกก)
แต่แบบ เข้าใจอารมณ์เฟยเฟยนะ
แต่แบบ ,, ไม่เข้าใจคุณฉู่เลยว่า คิดอะไรอยู่ แบบเค้าดูพลิกได้ตลอดเวลาอ่ะ
ดูมีแนวทางเป็นของตัวเอง
งื้ออออ อย่าทำให้เฟยเฟย เสียใจก็พอนะ น้องไม่เหลือใครแล้วเหอะ
(ขอ ลืมอาซิงไปชั่วคราวววววว)
เป็นกำลังใจให้เฟยเฟย !!!

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #291 เมื่อ20-03-2011 12:38:34 »

สถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออก มีแต่เรื่องลึกลับ น่าสงสัย ( จริง ๆ ก็ต่อเนื่องมาหลายตอนแล้วล่ะ )
มันช่างบีบคั้นต่อมความอยากรู้ของคนอ่านมากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่...ถ้าคุณ ZIar ไม่มาต่อเรื่องเร็ว เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ เราคงขาดใจตาย เพราะ ความสงสัยอ่ะค่ะ... :sad4:
ขอบคุณค่ะ ~ :กอด1:

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #292 เมื่อ20-03-2011 14:08:26 »

เฟยเฟย รีบๆหายเข้า อาซิงจะแย่แล้ว

ออฟไลน์ ratrirattikan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #293 เมื่อ20-03-2011 19:35:51 »

อา...ทำไมคนเป็นพ่อถึงเป็นแบบนี้นะ มีนอกมีในอะไรกันรึเปล่าเนี่ย
เห็นเเล้วอึดอัดใจแทนเฟยเฟยจริงๆเล้ย

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
«ตอบ #294 เมื่อ20-03-2011 22:10:18 »

เซินหยุ่เลวได้ใจมากๆ อยากมีเงินอยากมีอำนาจ แต่ไม่อยากลำบาก อนิจจา

ขอให้ทั้งคู่หาแผนตีกลับจัดการได้ทันทีเหอะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
«ตอบ #295 เมื่อ21-03-2011 01:21:06 »

-25-


เมื่อฟังเนื้อความจบ เซินเฟยก็หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด หลังจากได้พักมาหลายวันตอนนี้สมองของเขาสามารถทำงานได้เฉียบคมเช่นเดิม ซ้ำเวลานี้เขายังอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบ ไม่มีใครหรืออะไรมารบกวน ความคิดจึงกระจ่างใสราวกับมองลงไปในอ่างที่บรรจุน้ำสะอาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉู่เหวินจือสืบหามาเป็นเวลาหลายต่อหลายวันสามารถปะติดปะต่อกันเป็นภาพจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ มันคงเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยากจะเป็นไปได้ที่ฉู่เหวินจือจะกุเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาและสามารถประกอบกันได้พอดีอย่างนี้

เซินเฟยสูดหายใจเข้าลึกเพื่อถ่ายเทอากาศให้กับสมองก่อนจะลืมตาขึ้น

“นายคิดยังไง?”

“อะไรหรือครับ?” ฉู่เหวินจือย้อนถามเพราะเขาไม่เข้าใจกระเด็นที่อีกฝ่ายต้องการคำตอบ

“เรื่องที่นายเล่ามาทั้งหมด ถ้าความจริงเป็นแบบนั้น นายคิดยังไงบ้าง?” ตามปกติแล้ว เซินเฟยจะไม่ตัดสินใจอะไรโดยลำพังหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิต หากหวางซิงอยู่ด้วยเขาคงจะถามหวางซิงที่จะให้คำแนะนำที่ดีเสมอ แต่ตอนนี้เขาไม่มีตัวเลือก

“ผมคิดว่าผมไม่แปลกใจถ้ามันเป็นความจริงครับ คุณเซินเองก็ทราบไม่ใช่หรือว่ามันมีเหตุผลรองรับหนักแน่นพอที่จะเป็นไปได้” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะลดระดับเสียงลง “ผมคิดว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความใจดีของคุณเซินเองไม่ใช่หรือครับ?”

“นายคิดจะไม่ใช่ฉันเหลือความเป็นคนเลยหรือยังไง?”

“มันไม่จำเป็นสำหรับการเป็นมาเฟียไม่ใช่หรือครับ?” ฉู่เหวินจือลดเสียงลงอีกจนเป็นแค่เสียงกระซิบ “แม้แต่พ่อของคุณก็ยังรู้เรื่องนั้นดี”

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือของเซินเฟยยังรวดเร็วและหนักหน่วงเหมือนเก่า แก้มสากของฉู่เหวินจือปรากฏรอยแดงขึ้นมาช้า ๆ หลังจากผ่านไปไม่ถึงนาที

“ไม่ต้องมาตอกย้ำเรื่องครอบครัวของฉัน” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟันที่ขบแน่น อีกฝ่ายทำอย่างกับว่าเขาไม่รู้สันดานพ่อตัวเอง แต่เขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อฝ่ายนั้นก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้า ถึงจะเป็นยังไงเขาก็จำต้องมีน้ำอดน้ำทนให้มากกว่าคนอื่นเพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิด ถึงจะเป็นมาเฟียยังไงก็เป็นคนที่มีเลือดเนื้อมีหัวใจ ยังไง....เขาก็ยังให้ความเคารพผู้ชายคนนั้นในฐานะพ่อ....

“ขออภัยด้วยครับ”

การขอโทษตามมารยาทปฏิบัติยิ่งทำให้เซินเฟยฉุนเฉียว แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาเป็นคนใช้การลงโทษอย่างหนักหน่วงหลายต่อหลายครั้งเพื่อสอนสั่งให้ฉู่เหวินจือเคารพกติกามารยาทในการอยู่กับเขา ไม่ใช่จะพูดจะทำก็ทำตามใจนึก

“ฉันจะกลับฮ่องกง”

ฉู่เหวินจือมุ่นคิ้ว

“ด้วยสถานการณ์อย่างนี้น่ะหรือครับ?”

ตอนนี้เครือธุรกิจตระกูลเซินเหมือนกับตกอยู่ในกำมือเซินหยู่กว่าครึ่ง ผู้นำองค์กรใต้ดินบางคนก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยความไม่พอใจ ซ้ำทางตำรวจยังไม่ยอมยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพราะโดนอิทธิพลจอมปลอมของเซินหยู่กดเอาไว้ หากเซินเฟยยังใจอ่อนกับพ่อตัวเองอยู่อย่างนี้ ถึงกลับไปแล้วจะมีอะไรดีขึ้นเล่า? หากไม่กำจัดผู้ชายคนนั้นเสีย สักวันก็ต้องถูกตลบหลังอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

“ฉู่เหวินจือ”

“ครับ?”

“นายสามารถพาฉันกลับได้เมื่อไหร่?”

“ถ้าหากเป็นความต้องการของคุณเซิน ถึงจะเป็นตอนนี้ผมก็จะพากลับไปให้ได้ครับ” ฉู่เหวินจือตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งลำพองทำให้เซินเฟยนึกหมั่นไส้ขึ้นมา แต่หากฉู่เหวินจือลองพูดว่าทำได้แล้วก็คงทำได้จริง ๆ และสถานการณ์บนเกาะฮ่องกงก็เร่งรีบเกินกว่าจะให้เขามาเล่นแง่กับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าเขาไม่อาจอยู่นิ่งเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อนอย่างนี้ได้อีก ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขาหายตัวไป เขาก็ต้องเป็นคนสะสางด้วยตัวเองถึงคนที่เป็นปรปักษ์จะเป็นพ่อของตัวเองก็ตาม และเรื่องการระเบิดเรือนั้น อย่างไรเขาก็ต้องจัดการ ถึงจะฝืนใจสักแค่ไหนก็มีแต่ต้องจัดการเท่านั้น มิเช่นนั้นทุกสิ่งที่ก่อร่างสร้างมาทั้งหมดจะสูญเปล่าในพริบตา

ลูกน้องที่ไหนจะต้องการหัวหน้าที่โอนเอนไปกับอารมณ์...

ในเมื่อถูกกระทำถึงขนาดนี้แล้วไม่ตอบโต้ให้สมน้ำสมเนื้อ เขาเองอาจตกที่นั่งลำบากเอาทีหลังก็ได้

เซินเฟยกัดริมฝีปากแรงจนรู้สึกเจ็บ

“ภายในวันนี้ เอาฉันออกจากโรงพยาบาล ภายในพรุ่งนี้ เท้าฉันต้องเหยียบเกาะฮ่องกง”

“ทราบแล้วครับ” ฉู่เหวินจือรับคำ ในน้ำเสียงมีความสนุกแฝงอย่างเจือจางจนเซินเฟยแทบจับสังเกตไม่ได้ และตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยากจับผิดใครให้หนักสมองอีก

แต่แล้วก่อนจะได้พูดอะไรกันต่อ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงรองเท้าของนางพยาบาลและรถเข็นเดินมาใกล้ห้อง ฉู่เหวินจือหันไปฉวยหนังสือเล่มหนึ่งมาพลิกเปิดขณะที่เซินเฟยเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่นานนักประตูก็เปิดออกพร้อมรถเข็นอาหารและนางพยาบาล บนรถมีอาหารอยู่สองชุดเป็นของเซินเฟยและฉู่เหวินจือ

หญิงสาวเพียงวางอาหารลงบนโต๊ะและเอ่ยทักทายก่อนนำรถเข็นออกไป เพราะตอนนี้เซินเฟยสามารถกินอาหารเองได้แล้วจึงไม่ต้องการคนบริการอีก แต่ที่เซินเฟยยินดีที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่สามารถอาบน้ำเองได้แล้วมากกว่า

ฉู่เหวินจือเดินไปหยิบอาหารมาวางบนโต๊ะของเซินเฟยแล้วเลื่อนโต๊ะให้มาอยู่เหนือเตียงอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะเดินไปหยิบของตัวเองมาจัดการ นับว่าสวรรค์ยังเมตตาฉู่เหวินจืออยู่ที่แขนที่หักเป็นแขนซ้าย แขนขวาที่ถนัดจึงใช้ทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนอื่น

เซินเฟยเหลือบตามองฉู่เหวินจืออย่างมีความหมาย ก่อนจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าอย่างไม่อิดออด รสอาหารที่แสนจืดชืด....อาจเป็นมื้อสุดท้ายที่จะได้ลิ้มรสแล้วก็เป็นได้

--------------------------->

เพื่อตบตาสำนักงานตำรวจ มู่อี้จิงจึงต้องไปมาหาสู่กับหวางซิงบ่อยขึ้น แต่การกระทำที่ดูไร้ประโยชน์ก็ไม่ได้เสียเปล่าเสียทีเดียว เพราะเมื่อทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็จะช่วยเหลือกันในการให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์และประกอบข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างมีระบบ ถึงอย่างนั้นแล้ว พวกเขาก็ยังพบกับทางตันอยู่ดี เพราะอย่างไร ๆ ก็ไม่อาจหาหนทางที่ทำให้คนที่สงสัยกระทำการสำเร็จได้เลย

“ไม่ไหวแล้ว!” มู่อี้จิงตะโกนออกมาก่อนแหงนเงยศีรษะไปด้านหลังพิงกับพนักโซฟา บนโต๊ะด้านหน้าคือกระดาษหลายแผ่นที่ลองเขียนสมมติเหตุการณ์คร่าว ๆ โดยมีผู้ต้องสงสัยหลักคือจือหยินและหลิงหลิง

“ผมไปชงกาแฟให้ไหมครับ?” หวางซิงถามอย่างนึกเป็นห่วง ระยะนี้เขามาห้องของมู่อี้จิงบ่อยขึ้นจนรู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นห้องของตัวเองก็ไม่ปาน ซึ่งเพราะเหตุนั้นทำให้เขาใช้เวลาในบริษัทได้น้อยลงทุกที แม้ใจจะนึกเป็นห่วงบริษัทที่อยู่ภายใต้การปกครองของเซินหยู่แต่ก็ยังอดกังวลเรื่องเซินเฟยไม่ได้ เขาจำต้องยอมละทิ้งเรื่องทางนั้นเพื่อช่วยมู่อี้จิงหาเบาะแส

“ไม่ต้องหรอก” มู่อี้จิงว่าแล้วพาตัวเองกลับมานั่งหลังตรง “เฮ้อ แต่ที่คุณบอกว่าหมอจือหยินเคยได้เช็คใบหนึ่งไปจากจูเชว่ นั่นอาจเป็นเงินที่ใช้จ้างมือสังหารก็จริง แต่ว่าท่ามกลางการ์ดหนาแน่นขนาดนั้นจะลงมือได้ยังไงกัน ผมหาหนทางไปไม่เจอเลยจริง ๆ”

ตัวมู่อี้จิงเองมีความสนใจเกี่ยวกับจิตวิทยาอาชญากรอย่างมากจึงศึกษาค้นคว้ามาโดยตลอด แต่ว่า...มุมมองของมือสังหารนั้นแตกต่างจากอาชญากรอย่างสิ้นเชิง เมื่อคิดในมุมของมือสังหารแล้ว มันจะมีทางไหนกันที่สามารถระเบิดเรือได้ ในความเป็นจริงแล้ว หากเขาเป็นมือสังหาร การแล่นเรือเข้าไปเทียบแล้วลอบยิงจากมุมมืด ยังเป็นทางเลือกที่ง่ายเสียกว่า ทำไมมือสังหารรายนี้ต้องวางระเบิดซึ่งเป็นหนทางที่มีความเสี่ยงสูงขนาดนี้ด้วย? ไม่สิ...อาจเป็นเพราะทางนี้มีความเสี่ยงสูงจึงปกปิดร่องรอยได้ง่ายก็เป็นได้ เพราะจนถึงตอนนี้เขายังจับมือใครดมไม่ได้เลย

เขาไม่เคยคิดเลยว่าการตามรอยมือสังหารจะเป็นเรื่องยากขนาดนี้ มิน่าเล่า พอมีคดีมือสังหารเข้ามาทีไร ทางกรมก็มักจะพยายามปัดให้กลายเป็นอุบัติเหตุหรือเหตุทะเลาะเบาะแว้งเพราะความแค้นส่วนตัวทุกทีไป ก็มันจับตัวยากเสียขนาดนี้ เขานี่ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่านะ?

“ถ้าไม่ใช่มือสังหารล่ะครับ?” หวางซิงลองหาทางอื่น

“ก็แสดงว่าหมอจือหยินกับเฉียนหลิงหลิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีน่ะสิ”

“เอ๋? ทำไมล่ะครับ?” หวางซิงทำตาโต เขาไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาอาชญากรนัก เขาทำได้แต่การวิเคราะห์บุคคลตรงหน้าจากบุคลิกเท่านั้น จะให้จินตนาการถึงคนที่ไม่เคยเห็นด้วยการมองเพียงเหตุการณ์สมมตินั้นเกินความสามารถของเขาไปมากจริง ๆ

“ก็อาชญากรน่ะ เวลาลงมือมักจะลงมือด้วยการตัดสินใจเฉพาะตัว อาจมีการกระตุ้นจากคนอื่นถึงได้ลงมือทำ แต่ว่าคนยุยงส่งเสริมไม่มีความผิดตามกฎหมายหรอกนะครับ นอกจากจะมีหลักฐานว่ามีส่วนในการกระทำผิดถึงจะลงโทษได้” มู่อี้จิงขยี้ผมก่อนจะว่าต่อ “ถ้าจะสรุปว่าเป็นอาชญากรรมที่กระทำโดยอาชญากรที่มีแรงกระตุ้น ไม่ใช่มือสังหาร มันก็สรุปได้ง่าย ๆ ขอแค่หาใครสักคนที่มีเหตุผลเพียงพอจะลงมือได้มาเค้นถามทีละคนก็น่าจะได้ความแล้วล่ะครับ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น แปลว่าหมอจือหยิน เฉียนหลิงหลิง และเช็คที่สงสัยว่าเป็นต้นเหตุก็จะไม่มีทางเป็นผู้ต้องสงสัยหรือหลักฐานได้เลยสักอย่างเดียว”

“แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้นะครับ.....”

“อะไรนะครับ?” มู่อี้จิงเอ่ยถามเพราะหวางวิงพึมพำเสียงเบาจนได้ยินไม่ถนัด

“ป....เปล่าครับ” หวางซิงขยับแว่นเพื่อปกปิดสายตาตนเอง “ผมแค่คิดว่าป่านนี้คุณเซินจะเป็นยังไงบ้าง...เพราะยังไม่มีข่าวคราวเลยไม่ใช่หรือครับ?”

มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เรื่องนั้น.....เพราะตอนนี้ผมไม่มีทีมงานแล้วก็เลยหาข้อมูลไม่ได้มาก แต่ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่ายังมีชีวิตอยู่ครับ เพราะค้นหาที่เกิดเหตุดูแล้ว เราไม่พบกระทั่งเศษเสื้อผ้าของจูเชว่ด้วยซ้ำไป บางทีเขาอาจจะตกจากเรือตอนเกิดระเบิดขึ้นและรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้อาจจะกำลังรักษาตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้”

“งั้นหรือครับ....” หวางซิงกล่าวเสียงแผ่ว ตอนแรกเขาเองก็อยากจะเชื่อแบบนั้น แต่ว่ายิ่งเวลาผ่านไป ความเชื่อที่มั่นคงก็เริ่มคลอนแคลน จนตอนนี้หลายครั้งหลายหนที่เขาเผลอคิดไปว่า อาจมีข่าวว่าพบศพเซินเฟยที่ไหนสักแห่งโผล่มาบนหน้าหนังสือพิมพ์ แม้อยากจะลงโทษตัวเองที่คิดแบบนั้นแต่เขาก็ไม่อาจหยุดคิดได้ ทุก ๆ เช้าเขาจะต้องอ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับราวกับคนวิตกจริต

“ผมเข้าใจว่าคุณหวางรู้สึกยังไง แต่ว่า....ผมก็ทำได้แค่นี้เอง” มู่อี้จิงเอ่ยอย่างยอมจำนน ตอนแรกเขาคิดว่าหากดื้อรั้นดันทุรังไปอาจจะมีหนทางก็ได้ แต่ว่าเมื่อถูกตัดงบประมาณ คนในหน่วยก็ให้ความช่วยเหลือไม่ได้ กระทั่งสารวัตรหรงเองก็ไม่อาจออกหน้าให้ได้ ในที่สุดเขาก็เหลือตัวคนเดียวและไม่อาจทำอะไรได้เลย ถึงหวางซิงจะคอยให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถเมื่ออยู่เพียงลำพัง

คดีนี้ทำให้ความหยิ่งทะนงในฐานะตำรวจสืบสวนที่ทำคะแนนได้อันดับ 1 จากวิทยาลัยตำรวจลดฮวบเกือบเหลือ 0

“ผมเข้าใจครับ” หวางซิงว่าแล้วยิ้มออกมา “อย่างน้อยคุณมู่ก็อุตส่าห์ช่วยผมมาถึงขั้นนี้ ผมก็ไม่รู้จะตอยแทนยังไงแล้วล่ะครับ”

ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะหันกลับมาสนใจแผ่นกระดาษบนโต๊ะอีกครั้ง

“อา.....ปวดหัวจริง ๆ” มู่อี้จิงครวญแล้วเริ่มรวบแผ่นกระดาษทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นปึก แค่วันนี้วันเดียวเขาก็กลายเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนจากการใช้ผลิตผลจากต้นไม้สักต้นสองต้นแล้วกระมัง

“จะพอแล้วหรือครับ?” หวางซิงถามเมื่อเห็นมู่อี้จิงนำกระดาษทั้งหมดยัดในลิ้นชัก

“นี่มันสี่ทุ่มแล้วนะครับ คุณรีบกลับไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะสู้รบปรบมือกับเซินหยู่ไม่ไหวเอา” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยหยอกเย้าพลางยิ้มเมื่อเห็นหวางซิงเริ่มปาดหางตาด้วยความง่วง บางทีเจ้าตัวอาจไม่รู้ก็ได้ว่าระหว่างพูดคุยกันนั้น ตัวเองหาวไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ คนที่ปกติจะนอนหัวค่ำ ต้องมานอนดึกเกือบทุกคืนอย่างนี้ทั้งยังต้องตื่นเข้าไปจัดการงานในบริษัทก่อนอีก เขาเกรงว่าร่างกายอีกฝ่ายจะรับไม่ไหวเอา

“กลับไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

“รบกวนเปล่า ๆ ครับ เดี๋ยวผมโทรเรียกคนที่บ้านก็แล้วกัน” หวางซิงรีบโบกมือปฏิเสธทั้งที่มู่อี้จิงก็ได้ไปส่งที่บ้านทุกคืน กระนั้นเจ้าตัวก็ปฏิเสธจนเป็นนิสัยคล้ายว่าแค่เป็นพิธี

“เลิกปฏิเสธเถอะ ยังไงคุณก็เปลี่ยนใจผมไม่สำเร็จหรอก” มู่อี้จิงกำหมัดแล้วเคาะข้อนิ้วไปที่หน้าผากหวางซิงก่อนจะชะงักพลางละมือออกมา

ระยะนี้พวกเขาสองคนเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ออกจะมากเกินไปหน่อยเสียด้วยซ้ำ หลายครั้งมู่อี้จิงจึงมักแสดงออกกับหวางซิงราวกับเป็นเพื่อนที่คบหันมานาน และมักจะนึกได้หลังจากกระทำลงไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเลขาของมาเฟียและที่มาอยู่ใกล้เขาก็เพื่อให้ช่วยเหลือเจ้านายของตัวเองเท่านั้น

แต่หวางซิงกลับไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไรแม้จะดูข้ามรุ่นไปบ้างเขาก็ไม่ได้นึกถือสา

“คุณนี่ดื้อจริง ๆ เลยนะครับ” เจ้าตัวเพียงลูบหน้าปากตัวเองแล้วตำหนิไม่จริงจัง

การไม่ถือตัวของหวางซิงทำให้มู่อี้จิงรู้สึกเหลิงอยู่เงียบ ๆ เขายิ้มกว้างแล้วคว้ากุญแจรถเดินออกไปจากห้อง ทำให้หวางซิงต้องรีบวิ่งตามออกไปแต่ยังไม่ลืมหันมาล็อคประตูจนเรียบร้อย

ทั้งสองขับรถออกมาได้ครู่หนึ่งมู่อี้จิงที่คุยสนุกสนานมาจนถึงตอนนี้กลับเงียบไปแล้วทำสีหน้าเคร่งเครียดให้เห็น

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” หวางซิงงุนงงสงสัยที่อยู่ ๆ มู่อี้จิงก็แปลกไป

“ผมสังเกตมาหลายวันแล้ว....”

“อะไรหรือครับ?”

“ทุกครั้งที่เราออกมาข้างนอก จะมีใครบางคนคอยตามหลังอยู่ห่าง ๆ” มู่อี้จิงขมวดหัวคิ้วเข้าหากัน “แต่จะเลิกตามเมื่อพวกเราเข้าไปในอาคารหรือบ้านเรียบร้อยแล้ว อย่างกับว่ากำลังรอจังหวะอะไรอย่างนั้น”

“หมายความว่าพวกเราถูกสะกดรอยตามหรือครับ?”

มู่อี้จิงพักหน้าช้า ๆ แล้วพยักเพยิดไปทางกระจกส่งหลัง

“เห็นรถคันสีดำที่อยู่หลังรถสีขาวนั่นไหมครับ?” หวางซิงพยักหน้ารับ มู่อี้จิงจึงพูดต่อ “ผมเห็นมาหลายวันแล้ว จะตามรถของผมด้วยระยะเท่านั้นตลอดไม่ว่าจะเลี้ยวรถ เร่งหรือลดความเร็ว และจะตามมาเฉพาะเวลาที่อยู่กับคุณด้วย ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ”

“ทำไมคุณถึงมั่นใจล่ะครับ?”

รถที่เห็นเป็นรถญี่ปุ่นที่หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ไม่ใช่รถที่มีจุดเด่นเป็นพิเศษ มีคนใช้อยู่ทั่วไป ระยะนี้สีดำและขาวก็เป็นที่นิยมกับคนทั่วไปมากขึ้น หวางซิงไม่เห็นว่าจะมีอะไรบ่งบอกได้เลยว่ารถคันนั้นเจาะจงตามพวกเขา อาจจะเป็นเหตุบังเอิญที่เห็นรถที่เหมือนกันบ่อย ๆ ก็เป็นได้

“ผมจำเลขทะเบียนได้” ว่าแล้วมู่อี้จิงก็ท่องเลขทะเบียนรถออกมาชุดหนึ่ง หวางซิงจึงเขม้นตามองไปยังกระจกและรอตำแหน่งเลขทะเบียนโผล่ออกมาจากหลังรถคันที่คั่นอยู่ แต่ก็ไม่อาจมองเห็นได้อยู่ดีเนื่องจากรถในฮ่องกงวิ่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบไม่มีการคร่อมเส้นแบ่งเลน อีกทั้งรถคันนั้นวิ่งอยู่ในระยะไกล การจะมองผ่านกระจกส่องหลังให้เห็นเลขทะเบียนจึงแทบเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะกับคนสายตาสั้นอย่างหวางซิง

“อีกอย่างหนึ่ง” หลังจากหวางซิงหมดความพยายามในการพิสูจน์เลขทะเบียน มู่อี้จิงจึงพูดขึ้นมาอีก “รถคันนั้นติดฟิล์มกรองแสงมืดเกินไป รถปกติจะไม่ติดฟิล์มกรองแสงมืดแบบนั้นโดยเฉพาะกระจกหน้ารถ”

หวางซิงรีบหันกลับไปมองกระจกส่องหลังอีกครั้ง แล้วก็เป็นจริง เขามองไม่เห็นคนในรถเลยเพราะกระจกด้านหน้ามืดมากเสียจนบดบังคนด้านในจนมิด

หวางซิงรู้สึกสะท้านเยือกขึ้นมา

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ....ที่คุณเห็นรถคันนี้”

“ถัดจากวันที่คุณโดนชกที่แก้ม”

หวางซิงกัดริมฝีปาก เขาช่างเลินเล่อจริง ๆ เสียแรงที่ทำงานกับจูเชว่มาถึงสองรุ่น แค่โดนคนตามจับตาดูกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด แถมยัง.....ตั้งอาทิตย์หนึ่งมาแล้ว....

“บ้าจริง!” อยู่ ๆ มู่อี้จิงก็ตะโกนขึ้นมาแล้วเร่งความเร็วรถหักโค้งแซงรถคันหน้าบนทางเลี้ยวอย่างน่าหวาดเสียว

“ก...เกิดอะไรขึ้นครับ!?” หวางซิงรีบถามเสียงตะกุกตะกักและจับคอนโซลหน้ารถจนแน่นเพราะเมื่อครู่เกือบโผไปชนจากแรงเหวี่ยง

“ดูเหมือนมันจะรู้แล้วว่าเรารู้ตัว” มู่อี้จิงกัดฟันกรอดก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด โชคดีที่ตอนนี้ดึกแล้วรถราจึงค่อนข้างบางตา มู่อี้จิงจึงสามารถเลี้ยวลดไปตามถนน แซงรถคันข้างหน้าไปได้เรื่อย ๆ จนสามารถสลัดรถที่ตามหลุดไปได้ แต่หายใจได้ไม่กี่เฮือกรถคันสีดำนั้นก็โผล่ออกมาอีก ทันใดนั้นสายตาของมู่อี้จิงก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งที่โผล่ออกมานอกหน้าต่างรถสีดำคันนั้น

ปืน!

“ก้มหัวลง!” มู่อี้จิงตะโกนแล้วกดให้หวางซิงก้ม เป็นวินาทีเดียวก่อนที่กระสุนจะลั่นเปรี้ยงพุ่งชนกระจกรถตำรวจด้านหลังจนเกิดรอยร้าวเป็นวง แน่นอนว่ามันไม่ได้จบแค่นัดเดียว นัดอื่น ๆ ตามมาอีกเป็นชุดใหญ่จนมู่อี้จิงต้องก้มศีรษะไปขับรถไป เขาแทบจะไม่มีเวลาให้มองทางว่ากำลังพารถไปทางไหน รู้แต่เมื่อเจอทางแยกก็จะเลี้ยวทันทีเพื่อหาช่วงจังหวะทิ้งระยะห่างให้มากที่สุด กระนั้นอีกฝ่ายก็ตื้อใช้ได้ ยิ่งหนีก็ยิ่งตาม เสียงปืนเป็นชุดพุ่งกระทบกระจกจนแตกกระจายไปส่วนหนึ่งและพุ่งมาจนถึงกระจกหน้า เบาะด้านหลังเองก็โดนไปหลายนัด

“บ้าเอ๊ย! ยิงกลางเมืองแบบนี้มันพวกมือสมัครเล่นชัด ๆ!” มู่อี้จิงคำรามออกมาเหมือนจะเยาะเย้ยอีกฝ่าย แต่มองอีกด้านก็เหมือนกำลังก่นด่าตัวเองที่เสียทีมาโดนพวกมือสมัครเล่นไล่ยิงกลางถนนเหมือนหนังเกรด b ที่ได้ดูสมัยมัธยมปลาย

แต่แล้วสิ่งที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น กระสุนนัดหนึ่งยิงเข้าที่ยางรถ!

มู่อี้จิงกัดฟันลากรถที่พิการไปล้อหนึ่งให้เคลื่อนไปข้างหน้าด้วยแรงส่งที่ยังเหลืออยู่ก่อนที่เสียงกระสุนจะเงียบไปและรถก็จอดสนิท.....

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกกระจกรถ

ซวยสนิท!


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
«ตอบ #296 เมื่อ21-03-2011 01:21:55 »

มู่อี้จิงเพิ่งเห็นว่ารถตนเองถูกต้อนออกมาจนถึงที่โล่งกว้าง มองไปแล้วเป็นท่าเรือไม่ผิดแน่ มิน่าเล่าเขาถึงได้ขับตะลุยออกมาจนถึงตอนนี้ได้โดยไม่สวนกับรถคันไหนเลย ปกติถนนรอบท่าเรือมีแต่รถขนคอนเทนเนอร์เท่านั้นที่วิ่งเข้าออกเป็นประจำ รถส่วนบุคคลจะไม่ค่อยผ่านเข้าออกนัก ซ้ำเวลากลางคืนอย่างนี้ รถขนคอนเทนเนอร์จะหยุดขนส่ง ถนนรอบท่าเรือจึงว่างโล่ง มู่อี้จิงขยี้ผมอย่างหงุหงิดใจ ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดถูกต้อนออกมาจากที่ชุมชนได้นะ! อยู่ในที่โล่งแบบนี้เขาก็ยิ่งเสียเปรียบเพราะมีหวางซิงอยู่ด้วย อีกทั้งรถก็โดนยิงล้อไปเสียแล้ว

มู่อี้จิงคว้าปืนขึ้นมาถือไว้แล้วหันไปแตะไหล่หวางซิงที่ยังงุดหัวอยู่นิ่ง ๆ

“เราต้องรีบแล้วล่ะครับ” เสียงของชายหนุ่มดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนี้เราอยู่ที่โล่งแล้ว”

แต่ก่อนที่หวางซิงจะได้พูดตอบหรือขยับตัว เสียงรถคันหนึ่งก็ตะบึงใกล้เข้ามา มู่อี้จิงตัดสินใจเปิดประตูรถออกไปแล้วลั่นปืนในมือสวนทางรถที่วิ่งตรงมาหาก่อนกลิ้งตัวหลบเมื่อกระสุนหลายนัดยิงโต้กลับมา แต่แล้วรถคันสีดำก็เริ่มเสียหลัก มู่อี้จิงยิ้มเยาะเมื่อเห็นยางรถที่เริ่มเสียรูปและรถกำลังเหวี่ยงตัวเองเพราะไม่อาจรักษาสมดุลระหว่างล้อทั้งสี่ได้อีกต่อไป

“วิ่งเร็ว!” เขาตะโกนให้หวางซิงออกมาจากรถ ก่อนจะวิ่งเข้าไปคว้าตัวให้วิ่งตามไปยังรั้วลวดดัดซึ่งกั้นเขตรถกับเขตสำหรับวางตู้คอนเทนเนอร์ หากปีนข้ามไปได้ ถึงจะไม่พ้นแนวกระสุนปืน แต่ก็ยังมีโอกาสหลบหลีกได้มากกว่า อย่างน้อยตู้คอนเทนเนอร์ก็ทำจากเหล็กทั้งนั้น คงป้องกันพวกเขาได้ดีในระดับหนึ่งหากพวกเขาต้องไล่ยิงกันถึงขนาดตายไปข้างจริง ๆ

มู่อี้จิงมองกลับไป เห็นฝ่ายนั้นหยุดรถได้แล้วและกำลังลงจากรถมาเขาก็รีบรุนหลังหวางซิงให้ปีนข้ามรั้วไปก่อนจะรีบปีนตามก่อนที่ฝ่ายนั้นจะตั้งหลักได้

“บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มสบถเมื่อทิ้งตัวลงมาจากรั้ว ขาของเขาโดนยิงเข้านัดหนึ่ง

หวางซิงตั้งใจจะห้ามเลือด ทว่ายังไม่ทันได้โน้มตัวลงไป มู่อี้จิงก็กัดฟันลุกพรวดขึ้นจากพื้นแล้วพาเขาวิ่งตรงไปยังคอนเทนเนอร์ตู้หนึ่งก่อนจะทรุดฮวบลงแล้วหอบหายใจ

“มีผ้าเช็ดหน้าหรือเปล่าครับ?”

หวางซิงได้ยินดังนั้นก็รีบล้วงกระเป๋ากางเกงยกใหญ่ก่อนจะดึงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา มู่อี้จิงฉวยไปฉีกเป็นริ้วแล้วพันขาตรงที่ถูกยิงซึ่งตอนนี้เลือดออกจนชุ่มกางเกง

“คุณรอตรงนี้ดีกว่านะครับ ผมจะล่อพวกเขาไปเอง” หวางซิงตัดสินใจแน่วแน่ เพราะหากเขาคิดไม่ผิด มือปืนพวกนั้นต้องมาตามล่าเขาแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่อาจจะดึงมู่อี้จิงเข้ามาร่วมหัวจมท้ายในเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้ ทว่า หวางซิงก็ไม่ทันได้ปลีกตัวจากไปตามใจคิด มู่อี้จิงรีบคว้ามือของอีกฝ่ายก่อนจะดึงเข้ามาแนบชิดแล้วกอดไว้แน่นพลางกัดฟันกรอดเพราะหวางซิงเสียหลักล้มลงมาทับแผลเข้าพอดี

“อย่าพูดบ้า ๆ น่า คุณไม่เห็นหรือไงว่าพวกนั้นมีมากกว่า 1 คน ปืนมันก็มีมากกว่า 1 กระบอกเหมือนกัน ถึงคุณจะหนีไปอีกทาง มันก็ต้องมีคนมาเก็บผมอยู่ดีนั่นแหละ” มู่อี้จิงพูดเสียงต่ำแล้วเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้า ไม่นานนักเสียงปีนรั้วลวดเหล็กก็ดังขึ้น “รีบไปกันเถอะ”

แม้หวางซิงจะไม่อยากดึงมู่อี้จิงเข้ามาพัวพัน แต่คำพูดของอีกฝ่ายก็มีเหตุผล เขาจึงรีบลุกขึ้นพยุงนายตำรวจที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าตัวเองวิ่งลัดเลาะไปตามตู้คอนเทนเนอร์ที่ตั้งเรียงราย บางตู้ก็มีสินค้าเต็ม บางตู้ก็ว่างเปล่า แต่ว่า....หากเข้าไปซ่อนข้างใน พวกเขาก็มีโอกาสตายมากกว่ารอด เพราะตู้คอนเทนเนอร์มีประตูเข้าออกแค่ทางเดียว ซ้ำยังหนาหนัก แค่ขยับก็จะได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของสนิมเหล็ก พวกมือปืนต้องได้ยินอย่างแน่นอน

พวกเขาหลบหลีกโดยตามองชำเลืองมองฝ่ายตรงข้ามตลอด แต่ว่ามือปืนพวกนั้นก็ไม่ได้โง่เง่า เพราะตอนนี้คนที่อยู่ในสายตาหวางซิงมีแค่คนเดียว เหลือคงแยกย้ายกันตามหาเป็นแน่

มู่อี้จิงส่งสัญญาณให้หวางซิงเอาหลักแนบตู้คอนเทนเนอร์สีอิฐตู้หนึ่ง พวกเขาค่อย ๆ ขยับขาอย่างช้า ๆ

“มีคนหนึ่งอยู่ข้างหลังนี่” มู่อี้จิงกล่าวเสียงเบา

หวางซิงกลั้นหายใจเฮือก ตั้งแต่รับใช้จูเชว่มาสองรุ่น เขายังไม่เคยมีประสบการณ์ตกอยู่ในวงล้อมของมือปืนอย่างนี้มาก่อนเลย

มู่อี้จิงพยุงตัวเองให้ยืนตรงโดยไม่อาศัยแรงของหวางซิง เขารู้ว่ากับคนที่ใช้สมองมากกว่าร่างกายอย่างคนตรงหน้า ให้แบกผู้ชายตัวโต ๆ อย่างเขาวิ่งมาจนนี่ก็แทบแย่แล้ว หากให้เป็นหลักพยุงต่อไปเห็นจะเกินแรง ทว่าในจังหวะที่มู่อี้จิงกำลังตั้งหลักนั้นเอง หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกระบอกปืนสีดำมันปราบโผล่ออกมาจากด้านข้างตู้ฝั่งที่เขายืนอยู่

“ระวัง!” ชายหนุ่มออกแรงผลักหวางซิงให้ล้มลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ปืนกระบอกนั้นลั่นเปรี้ยง มู่อี้จิงยิงสวนกลับไปโดนแขนเจ้าของปืนอย่างจึงทำให้ปืนกระบอกนั้นตกลงบนพื้น
ตอนแรกมู่อี้จิงตั้งใจจะเข้าไปแย่งปืนมา แต่เขากลับพบว่าฝ่ายนั้นมีปืนสำรองและตอนนี้กำลังเล็งมาทางศีรษะของเขา

ชั่ววินาทีนั้น มู่อี้จิงนึกถึงความตายโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็มีเงาดำวูบผ่านเขาไป

ผลั่ก!

คนสองคนล้มลงบนพื้น หวางซิงพุ่งตัวกระแทกมือปืนจนเสียหลัก เขารีบลุกขึ้นมาและหยิบปืนบนพื้นเล็งไปยังศีรษะของมือปืนแล้วลั่นไกไป 3 ครั้ง ร่างตรงหน้ากระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป

หวางซิงหอบหายใจแรง เบิกตาโพลงมองภาพตรงหน้า

ตลอดชีวิตการรับใช้ตระกูลเซิน เขาเห็นคนตายมานักต่อนักแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ลงมือฆ่าด้วยตัวเอง

“คุณหวาง!” มู่อี้จิงตะโกนเรียกแล้วรีบคว้าตัวเจ้าของชื่อกลับเข้ามาในกำบังของตู้เหล็กก่อนที่กระสุนนัดหนึ่งจะเฉียดหน้าไปเสี้ยววินาที “ไม่เป็นไรใช่ไหม!?”

“ม....ไม่เป็นไรครับ...” หวางซิงเพิ่งตั้งสติได้จึงหายใจเข้าลึกหลายครั้ง

“รีบไปกันต่อเถอะ”

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมเสียงกระสุนที่พุ่งกระทบเหล็กกล้าหลายต่อหลายนัด บางนัดก็กระทบพื้นจนฝุ่นทรายฟุ้งขึ้นมา หวางซิงสลัดปืนในมือทิ้งแล้วพยุงมู่อี้จิงเปลี่ยนที่หลบภัย เพราะที่เดิมนั้นถูกยิงจนแทบพรุนแล้ว ซ้ำยังมีศพมือปืนทอดร่างอยู่ เป็นที่สังเกตมากเกินไป เสียงปืนที่ดังสนั่นคงเรียกมือปืนที่แยกย้ายกันไปให้รวมตัวยังจุดที่เกิดเหตุอย่างแน่นอน

“ขาเป็นยังไงบ้างครับ?” หวางซิงถามขณะกำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปยังตู้เหล็กใบใหม่ที่อยู่ห่างจากจุดเดินมากพอสมควร

“ยังพอวิ่งไหว.....” มู่อี้จิงตอบทั้งเหงื่อที่โซมเต็มหน้า กระสุนฝังลึกกว่าที่คิดไว้ แค่ขยับนิดเดียวก็เจ็บจนล้าไปทั้งขา แม้ปากจะพูดว่าไหว แต่ในความเป็นจริงขาของเขาสั่นจนแทบจะขยับไม่ไหว เลือดซึมออกมาจากปากแผลจนชุ่มผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวและย้อมให้กลายเป็นสีครั่งในความมืด

เสียงทะเลซัดกระทบฝั่งดังอยู่ไม่ไกล พวกเขาวิ่งเข้าไปใกล้จุดจอดเรือมากขึ้นเรื่อย ๆ

“อันนี้ผมขอนะครับ” หวางซิงกลั้นใจแย่งปืนจากมือมู่อี้จิงมาแล้ววิ่งออกไปจากที่กำบัง ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นหลายนัดแทบจะฟังไม่ออกว่ายิงมาจากทางใดบ้าง มู่อี้จิงเบิกตากว้าง อารามตกใจทำให้ลืมความเจ็บปวดไปเสียสนิท เขากัดฟันลุกพรวดแล้ววิ่งออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรในหัวเลยสักอย่างเดียว กระนั้นเขากลับพบว่าเสียงปืนดังอยู่ห่างจากจุดที่เขานั่งอยู่ไปมาก หวางซิงคงจะยิงไปวิ่งไปเพื่อล่อมือปืนไปอีกทางอย่างที่คิดจะทำตอนแรก ช่างเป็นคนมุทะลุด่วนคิดอะไรอย่างนี้!

มู่อี้จิงรีบโผตามเสียงไปเท่าที่ขากึ่งพิการของเขาจะทำได้ โดยคอยระวังรอบตัวตลอดเวลา

เสียงปืนยังไม่เงียบแสดงว่าหวางซิงยังมีชีวิตอยู่....

เขากัดฟันจนแทบแหลก ความเจ็บแล่นขึ้นมาตามกระดูกสันหลังจนก้านสมองชาดิก ถึงอย่างนั้นมู่อี้จิงก็ยังลากขาตัวเองต่อไปจนกระทั่งรู้สึกว่าเสียงปืนเริ่มหยุดนิ่งกับที่ ชายหนุ่มมองฝ่าความมืดออกไปเบื้องหน้าท่ามกลางเสียงปืนดังสนั่นและได้เห็นร่างในเสื้อเชิ้ตขาวทรุดนั่งอยู่หลังตู้คอนเทนเนอร์ใบใหญ่ใบหนึ่ง

เสียงปืนเงียบลง….

มู่อี้จิงรีบลัดเลาะและกลิ้งตัวหลบสายตามือปืนตรงไปยังร่างตรงหน้า

“คุณหวาง! เป็นอ......” ไม่ทันจะได้เอ่ยถาม เขาก็รู้สึกว่ามือของเขาสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่น

เสื้อเชิ้ตสีขาวส่วนหัวไหล่ถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีเข้ม มู่อี้จิงหัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก เขารีบแหวกเสื้อออกฝ่ายออกดู พบว่ามีแผลถูกยิงนัดหนึ่งที่หัวไหล่ หวางซิงสูดหายใจเฮือก ๆ เพื่อระงับความเจ็บ ในมือยังกุมปืนไว้แน่นทั้งที่สั่นเทาอย่างน่าสงสาร

“คุณมู่....” หวางซิงปรือตามองคนตรงหน้า เรือนผมสีดำที่เซ็ตจนเรียบกริบอยู่เสมอตอนนี้ยุ่งเหยิงและปรกลงมาเหนือดวงตาจนมองข้างหน้าไม่ชัด กระนั้นโครงร่างและสัมผัสก็ทำให้เขาคาดเดาได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

“คุณโดนยิงที่ไหนอีก!?” มู่อี้จิงคำรามเสียงกร้าวแทบจะเป็นเสียงตะคอก หวางซิงไม่ได้ตอบคำแต่เบือนสายตาลงไปให้มู่อี้จิงมองตาม ตอนนั้นเอง นายตำรวจหนุ่มจึงเพิ่งเห็นวงเลือดที่กว้างกว่าบนหัวไหล่ เสื้อบริเวณสีข้างของหวางซิงถูกย้อมจนชุ่มโชกแทบไม่เหลือบริเวณสีขาวให้เห็น มิน่าเล่าหวางซิงถึงได้ดูเลื่อนลอยนัก บางทีแผลนี้คงจะโดนก่อนและทำให้เสียเลือดไปมากแล้วตลอดทางที่วิ่งมาจนถึงที่นี่

“คุณหวาง! คุณหวาง! มองผมสิ อย่าเพิ่งหลับตานะ!” มู่อี้จิงตบหน้าอีกฝ่ายให้มีสติ จริงอยู่ว่าการเสียเลือดเพราะกระสุนนัดเดียวอาจไม่ทำให้ช็อคถึงตาย แต่อารามตกใจก็ทำให้เขาเผลอคิดไปว่าอีกฝ่ายอาจจะตายก็ได้

“...ถ้า....เสียงดัง.....” หวางซิงเอ่ยเตือนเสียงกระท่อนกระแท่นทำให้มู่อี้จิงลดระดับเสียงลง

“ส่งปืนมาให้ผม”

หวางซิงส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง

“ทำไมล่ะ? คุณจะออกไปดวลปืนอีกหรือไง!?”

หวางซิงส่ายศีรษะอีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ เค้นเสียงช้า ๆ

“กระสุน...หมดแล้วล่ะ...ครับ...”

มู่อี้จิงหน้าซีดเผือดทันที เขามีปืนแค่กระบอกเดียวซ้ำไม่ได้พกกระสุนสำรองออกมา มันคือทางรอดทางเดียวที่เขามีอยู่แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะหมดสิ้นหนทางเสียแล้ว

เสียงกระสุนดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดูวุ่นวายกว่าครั้งแรก แต่มู่อี้จิงกลับไม่มีอารมณ์จะไปสนใจ เขาทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ หวางซิงแล้วพยายามสูดหายใจเข้าออกหลายครั้งเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้สมอง

“ทำยังไง...ต่อดีครับ....” หวางซิงเอ่ยถาม

“ไม่รู้สิ....” มู่อี้จิงตอบตามตรงพลาเงี่ยหูฟังเสียงปืน เขารู้สึกแปลก ทำไมพวกนั้นถึงยังยิงอีกทั้งที่มองไม่เห็นพวกเขาทั้งสองคน หรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นนะ?

ในหัวของมู่อี้จิงไม่ได้คิดถึงความตายไว้เลย เขาคิดว่ามันจะต้องมีทางรอดสักทางหนึ่ง และจนกว่าจะพบทางนั้นเขาก็ต้องดิ้นรนให้สุดชีวิต ชายหนุ่มฉวยปืนจากมือหวางซิงมาถือไว้ในมือ

“แต่กระสุน....”

“ยังไงมันก็ทำจากเหล็กนะครับ ถึงจะยิงไม่ได้ อย่างน้อยก็ใช้ทุบหัวได้” มู่อี้จิงกัดฟันตอบ เขารู้ดีว่ามันดูเหมือนความคิดของสุนัขจนตรอก แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากสำนวนนั้นสักเท่าไหร่

มู่อี้จิงและหวางซิงนั่งหลบอยู่ตรงนั้นอยู่นานด้วยหัวใจที่เต้นแรง ลมหายใจถี่กระชั้น เหงื่อไหลหยดจากไรผม แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงกระสุนปืนค่อย ๆ ซาลงเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป เสียงร้องดังขึ้นหลายครั้งด้วยความเจ็บปวด ข้างนอกนั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่? จะดีหรือร้ายกับพวกเขาก็ไม่อาจรู้ พวกเขาทำได้แค่นั่งรออยู่ตรงนี้และวัดดวงว่าวินาทีต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น

ในที่สุด เสียงกระสุนก็เงียบสนิท.....

มู่อี้จิงเงี่ยหูฟังไม่ได้ยินเสียงสนทนาแต่กลับมีเสียงฝีเท้าหลายคู่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ชายหนุ่มกระชับปืนในมือด้วยความเคยชินโดยลืมไปเสียสนิทว่าลูกกระสุนหมดแม็กซ์แล้ว

ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็วูบมาตรงหน้า มู่อี้จิงเหวี่ยงปืนจ่อไปยังร่างนั้นทันทีเป็นวินาทีเดียวกับที่ปืนอีกกระบอกจ่อตรงมายังหน้าผากของเขา

เสียทีแล้ว....

มู่อี้จิงกัดฟันยอมรับชะตากรรมก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าของคนที่จะตัดสินชีวิตตนเอง ทันใดนั้น ใบหน้าที่ไม่เชิงคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ที่ฉายเป็นฉากหลัง เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ และคิดว่าบางทีเขาอาจจะหมดสติเพราะเสียเลือดแล้วฝันไปก็ได้จึงมีโอกาสได้เห็นภาพนี้ต่อหน้าต่อตา

สายตาเฉียบขาดเยียบเย็นจับจ้องลงมาพร้อมกดกระบอกปืนลงจนเขารู้สึกเจ็บ ก่อนที่จะได้ยินฝ่ายนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“คิดว่ากำลังหันปืนใส่ใครอยู่ นักสืบมู่”

TBC

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
«ตอบ #297 เมื่อ21-03-2011 01:46:58 »

แล้วใครล่ะ ????
ใครจะมาช่วยสองคนนี้ทันเนี่ยยยย
ตื่นเต้นมากนะ  T^T
แล้วเฟยเฟย จะต้องฆ่าใครอีกมั่ง
โฮๆๆ น้องเพิ่ง 18 เองนะ  ฮึกกกก
รอตอนหน้าอย่าจดจ่อ !!!

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
«ตอบ #298 เมื่อ21-03-2011 08:38:26 »

ตอนอ่านนี่ ลุ้นเหงื่อตกเลย เพราะ อาซิงกับคุณมู่อยู่ในสถานการณ์คับขันเจียนตายมาก~ :serius2:
หวังว่าคนที่โผล่มา (ช่วย) ตอนท้ายคงเป็น เสี่ยวเฟย นะ...

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
«ตอบ #299 เมื่อ21-03-2011 08:43:19 »

ใช่เซินเฟยป่าวเอ่ย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด