บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]  (อ่าน 245660 ครั้ง)

ออฟไลน์ pu4755

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
«ตอบ #240 เมื่อ09-03-2011 11:07:51 »

โอม แรม จงลง จงลง  เอ้ย

จงมา จงมา   มารอนะเฟย เฟย

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
«ตอบ #241 เมื่อ09-03-2011 12:18:42 »

เข้ามารอด้วยคนค่า

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
«ตอบ #242 เมื่อ11-03-2011 22:00:30 »

ขออภัยที่ต้องมาแจ้งข่าวร้ายค่ะ= ='
หลังจากเปลี่ยนแรมแล้ว คอมก็ยังดับอยู่ดี ช่างจึงเอาไปเช็คที่พันทิปและปรากฏว่า.....การ์ดจอละลาย!!
พระเจ้า เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอกรณีนี้ การ์ดจอละลาย=[]=! พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง!

และด้วยเหตุฉะนี้เอง จึงต้องรอคอยกันต่อไป เพราะ....ต้องรอเคลมการ์ดจอกับทางศูนย์ใหญ่ - -**

จึงแจ้งมาเพื่อทราบด้วยประการละฉะนี้ล่ะค่า....

ออฟไลน์ justlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
«ตอบ #243 เมื่อ11-03-2011 23:30:08 »

ขอบคุณค่ะที่มาบอกข่าวนะ 

ขอให้เคลมได้ไม่มีปัญหา

เรื่องฟิตรอได้ค่ะ

ออฟไลน์ kny

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
«ตอบ #244 เมื่อ13-03-2011 17:55:51 »

+1(^_^)

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
«ตอบ #245 เมื่อ14-03-2011 20:42:21 »

ยังคงรอต่อไป

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #246 เมื่อ16-03-2011 19:14:41 »

-21-



เป็นดังที่มู่อี้จิงคาดไว้ เขายังไม่ทันจะได้ลงมืออะไร เค้าลางแห่งความวุ่นวายแรกก็ปรากฏขึ้น ณ บ้านตระกูลเซินนี้เอง

เช้าวันถัดจากคืนแห่งโศกนาฏกรรม บ้านตระกูลเซินที่ยังตกในความโศกเศร้าต้องเผชิญกับการเหยียบย่ำจิตใจอย่างเหลือแสนโดยบุคคลที่ได้ชื่อว่าบิดาของจูเชว่ที่ไม่อาจรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เซินหยู่มาเยือนบ้านใหญ่แต่เช้าตรู่ ทุกคนในบ้านต่างไม่ได้ขวางกั้นเมื่อเขาต้องการเข้ามาด้วยคิดว่าใจของพ่ออาจต้องการไว้ทุกข์ให้บุตรชายหรืออาจจะอยากสัมผัสความเป็นอยู่ของลูกชายด้วยความอาลัย ทว่า ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น เซินหยู่เข้ามาถึงด้านในได้ก็วางกร่างไม่เกรงใคร และออกคำสั่งให้หวางซือเรียกข้าทาสบริวารในบ้านออกมาให้หมด ใครนอนอยู่ก็ต้องปลุกให้ตื่นขึ้นมารวมกันที่ห้องโถง

หวางซิงเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกเรียกตัวออกมาเช่นกัน เขานอนร้องไห้จนตาบวมจึงฝืนลืมตาแทบไม่ไหว กระนั้นก็ยังต้องลากสังขารตนเองออกมารวมอยู่ในห้องโถงกับคนอื่น ๆ ตอนที่เขาลงมาถึงนั้น ห้องโถงเต็มแน่นไปด้วยคนรับใช้และการ์ดที่มีตำแหน่งสำคัญในบ้าน ส่วนการ์ดคนอื่น ๆ ที่เหลือยืนอยู่รอบ ๆ สวนด้านนอก ไม่ได้เข้ามาอัดรวมกับคนข้างในแต่อย่างใด

หวางซือซึ่งเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน และมีอำนาจการสั่งการคนรับใช้ในบ้านรองจากจูเชว่ ถูกเซินหยู่เรียกตัวไปยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้คอยถ่ายทอดคำสั่ง หวางซิงเพิ่งตื่นจึงยังคิดอะไรไม่ทันนัก แต่เขาได้ยินคนรับใช้ซุบซิบกันว่าเซินหยู่อาจฉวยโอกาสนี้ก็เป็นได้

“สั่งให้พวกมันเงียบเสียที” เซินหยู่เริ่มรำคาญเมื่อยืนอยู่นานแล้วยังไม่เห็นใครในบ้านยอมเงียบ

“เอาล่ะทุกคน เงียบหน่อย คุณเซินหยู่มีเรื่องจะพูดกับพวกเรา” หวางซือสั่งการเสียงเรียบและไม่ได้ดังอะไรนัก แต่ทุกสรรพเสียงก็พลันเงียบสนิทในทันที

เซินหยู่รู้สึกพออกพอใจ เขาเดินวนรอบพื้นที่โถงที่เหลืออยู่เล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ฉลุลายหงส์ทาสีชาดตัวหนึ่ง ทำให้ทุกคนกลั้นหายใจเฮือก บางคนถึงกับกัดฟันด้วยความขึ้งโกรธ เพราะเก้าอี้ที่เซินหยู่นั่งนั้น คือเก้าอี้ที่แสดงถึงศักดิ์เจ้าบ้าน เรื่องนี้ใคร ๆ ในตระกูลต่างรู้ดี เมื่อมีการประชุมแก๊งค์ จูเชว่จะนั่งบนเก้าอี้สีชาดกลางห้องโถงใหญ่ และตั้งเก้าอี้ให้หัวหน้าคนอื่น ๆ นั่งถัดออกไปตามตำแหน่งจนถึงประตู เรื่องสำคัญแบบนี้มีหรือเซินหยู่จะทำลงไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“อืม เก้าอี้ตัวนี้นั่งแล้วสบายดีจริง” เซินหยู่ขยับตัวบนเก้าอี้

“คุณเซิน กรุณาลุกขึ้นด้วยครับ” หวางซือเอ่ยพลางมองด้วยสายตาตำหนิไม่ปิดบัง “ที่ตรงนั้นมีเพียงจูเชว่ที่จะนั่งได้ ถึงคุณจะเป็นพ่อของจูเชว่ก็ไม่มีสิทธิครับ”

“เหอะ อย่ามาพูดโง่ ๆ หน่อยเลย” เซินหยู่ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคือง ตอนนี้ความปรีดาล้นอยู่ในอกจนไม่รู้สึกหงุดหงิดใจเลยแม้แต่น้อย “จูเชว่ก็ตายไปแล้ว จะหวงตำแหน่งไว้ทำไมกัน ตำแหน่งนี้นับลำดับตามสายเลือดสินะ ในเมื่ออาเฟยไม่มีลูกฉันที่เป็นพ่อก็ควรได้รับสิทธิต่อ”

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติองค์กรเลยที่พ่อขึ้นตำแหน่งต่อจากลูก เพราะตำแหน่งนี้จะสละได้ก็ต่อเมื่อเสียชีวิตแล้วเท่านั้น และเพราะเหตุผลนี้ จูเชว่รุ่นก่อนที่เป็นพ่อบุญธรรมของเซินเฟยจึงออกใบมรณะบัตรให้ตัวเองแล้วหายตัวไปเพื่อให้ตนเองเป็นคนตายตามกฎหมายและไม่มีใครออกตามหาอีก ถึงอย่างนั้นจูเชว่รุ่นก่อนก็รอบคอบพอที่จะหาคนขึ้นมานั่งแทนตำแหน่งเพื่อป้องกันการแย่งชิงจนนองเลือดของคนในตระกูล ทว่าในกรณีของเซินเฟยนั้น เจ้าตัวยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ตำแหน่งเพิ่งจะเริ่มมั่นคงได้ไม่นาน ในหัวของเซินเฟยจึงมีแต่เรื่องที่จะทำอย่างไรให้องค์กรเดินหน้าต่อไปได้ภายใต้การปกครองของตนเอง

อย่าว่าแต่พินัยกรรม.....กระทั่งคำบอกปากเปล่าก็ไม่มีไว้ให้

“ยืนบื้อทำไมล่ะ! ยังไม่แสดงความเคารพฉันอีก!” เซินหยู่ขึ้นเสียงเมื่อเห็นคนรับใช้ทั้งหลายยังยืนหัวโด่เด่ไม่มีก้มลงแม้สักคนทั้งที่เขาประกาศเจตนารมย์แน่ชัดว่าต้องการขึ้นตำแหน่งแทนลูกชายที่ตายไป ก่อนหน้านี้ที่เขาเข้ามา ตอนเซินเฟยเดินผ่าน ไม่ใช่แค่คนรับใช้รอบ ๆ กระทั่งคนที่ยืนอยู่ไกล ๆ เห็นในระยะสายตายังก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อมราวกับเซินเฟยเป็นเจ้าเหนือหัวก็ไม่ปาน

คนรับใช้และการ์ดทุกคนมองหน้ากันไปมา ต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ในที่สุดจึงหันกลับมามองทางหวางซือที่ผ่านร้อนหนาวมามากมาย ย่อมรู้ว่าควรจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ ซึ่งหวางซือก็รู้ว่าตนเองถูกฝากความคาดหวังจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“คุณเซิน ตอนนี้ทุกคนกำลังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้า ไม่มีจิตใจจะเคารพนบนอบใครหรอกครับ”

“ไร้มารยาทจริง ๆ อาเฟยเสี้ยมสอนยังไง....อ้อ ไม่ใช่สิ รุ่นก่อนนั้นเสี้ยมสอนยังไง พวกขี้ข้ามันถึงได้ผยองกันไปหมด” เซินหยู่พูดอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งยังพาดพิงไปถึงจูเชว่รุ่นก่อนที่หายตัวไปด้วย ทำให้คนรับใช้ทั้งหลายเริ่มไม่พอใจมากขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเมื่อหวางซือส่งสายตาปรามอยู่เงียบ ๆ

“คุณเซินทราบกฎเกณฑ์การประกาศแต่งตั้งจูเชว่อย่างเป็นทางการหรือเปล่าครับ?” ชายชราเอ่ยถามอย่างนอบน้อมทำให้ผู้ถูกถามอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ต้องมาอ้อมค้อมหรอก ว่ามาสิ”

“การประกาศแต่งตั้งจะมีขึ้นเมื่อมีหลักฐานว่าจูเชว่คนปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว หรือ 100 วันหลังจากจูเชว่ได้หายตัวไป” หวางซืออธิบายอย่างใจเย็น “ตอนนี้เราไม่มีหลักฐานว่าท่านจูเชว่เสียชีวิตหรือยัง ดังนั้นอย่างช้าที่สุดก็ 100 วันหลังจากนี้จะมีการประชุมหัวหน้าแก๊งค์ต่าง ๆ เพื่อประกาศแต่งตั้งจูเชว่คนใหม่”

ใบหน้าของเซินหยู่บึ้งตึง

“โดนระเบิดแบบนั้นจะรอดอยู่ได้ยังไงกันเล่า ไอ้พวกไร้สมอง!”

“หยุดพูดเรื่องแบบนั้นเสียทีเถอะครับ!” หวางซิงอดทนฟังต่อไปไม่ไหว ถึงเขาจะรู้ว่าวงการมืดแทบจะหาความจริงใจจากใครไม่ได้ แต่เขาไม่เคยนึกเลยว่ากระทั่งพ่อยังไม่เห็นแก่ความตายของลูกและมองว่าเป็นแค่หนทางไปสู่ผลประโยชน์เท่านั้น

“อ้อ อาซิงสินะ” เซินหยู่สามารถจดจำอีกฝ่ายได้ทันที เพราะหวางซิงเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเซินเฟยตลอดเวลาที่ออกไปนอกบ้าน ไม่ว่าใครก็จะเห็นเซินเฟยอยู่กับหวางซิงอย่างเจนตา

“คุณเซินหยู่ ยังไงก็ขอให้ไว้หน้าคุณเซินบ้างเถอะครับ” หวางซิงไม่ตอบคำ เขาพูดออกมาด้วยใจเต้นระส่ำอย่างโกรธเคือง ไม่สนใจกระทั่งใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยน้ำตาของตัวเอง

“พูดจาสมเป็นเลขายอดเยี่ยมจริง ๆ” เซินหยู่ขำขันก่อนจะยอมลุกจากเก้าอี้ “เอาเถอะ ฉันก็ไม่ใช่ใจไม้ไส้ระกำขนาดจะรังแกคนที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ ดังนั้นวันนี้ฉันจะกลับไปก่อนก็แล้วกัน ยังไงก็รอแค่ 3 เดือนฉันก็จะได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่แล้วนี่” ว่าแล้ว เซินหยู่ก็หัวเราะร่าเดินจากไปท่ามกลางประกายตาโกรธขึ้งของคนรับใช้ทุกคนในบ้าน แม้แต่หวางซือที่สุขุมเยือกเย็นที่สุกยังปิดบังสีหน้าดูแคลนไม่มิด

หวางซานเดินเข้ามาตบบนบ่าลูกชายเบา ๆ เขารู้ว่าหวางซิงทรมานใจกับเรื่องนี้อย่างมากเพราะมีความใกล้ชิดกับเซินเฟยมากกว่าใคร ๆ

“ผมไม่เชื่อหรอกครับ...ว่าคุณเซินตายไปแล้ว” หวางซิงกำมือแน่นแล้วกัดริมฝีปากอย่างขมขื่น

“อาซิง ชีวิตคนในวงการนี้มันไม่เที่ยงหรอกนะ” หวางซานไม่อยากให้ความหวังกับลูกชายมากเกินไป แต่พอเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจแล้วเขาก็ใจอ่อนยวบ “แต่ว่า....เราก็ยังไม่รู้แน่ชัด นายน้อยอาจจะถูกแรงระเบิดดีดไปไกลแล้วมีคนช่วยไว้ก็ได้”

“ผมก็หวังแบบนั้นครับ” หวางซิงตอบกลับก่อนจะก้มหน้าลงมองปลายเท้าตัวเอง แม้อยากจะเชื่อให้ถึงที่สุดว่าเซินเฟยยังไม่ตาย แต่ลึก ๆ ในใจเขาก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ เขาเพิ่งจะอายุเพียง 30 ปี แต่เพราะเกิดและโตในวงการนี้จึงสัมผัสชีวิตของคนที่อยู่ในวงการเดียวกันมามาก บางคนเพิ่งจะรู้จักกันไม่ข้ามวันก็เสียชีวิตแล้วก็มี ในกรณีของเซินเฟยนั้น....เขาได้แต่คาดหวังเท่านั้นเอง

“เฮ้อ....ไป ๆ ทุกคนแยกย้ายไปทำงานได้แล้ว นายน้อยเป็นคนมีระเบียบ ถ้าเห็นบ้านรกตอนกลับมามิถูกทำโทษหมดหรือไง” หวางซือคลายบรรยากาศตึงเครียดด้วยการสั่งแยกย้าย คนรัใช้ทั้งหมดจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตากลับไปทำงานในส่วนของตนโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

“ฉันไปจุดธูปไว้พระเสียหน่อยดีกว่า” ว่าแล้ว หวางซือก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ จากไป หวางซานจึงรีบเข้าไปพยุงแล้วเดินไปด้วยกัน

ตอนนี้เหลือหวางซิงเพียงคนเดียวในห้องโถง เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาพบว่าเลยเวลาทำงานไปแล้ว และเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปบริษัทเอาเสียเลย

เขาเกิดคิดถึงภาพเก่า ๆ ขึ้นมา ตอนที่เซินเฟยเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง มีครั้งหนึ่งเขาเกิดไม่สบายเอากลางดึก ตอนเช้าต้องไปทำงานเขาก็ลุกไม่ไหวแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาป่วย พอสาย ๆ หน่อยถึงพอโงหัวได้บ้าง เขาจึงเดินลงมาข้างล่างนึกอยากหาอะไรกินรองท้องเพื่อกินยาและนอนพัก ทว่าเขากลับพบเซินเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้สีชาดลายหงส์ตัวนี้ด้วยท่าทางนิ่งสงบราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

เซินเฟยหันมามองทางเขาแล้วมุ่นคิ้ว สภาพเขาตอนนั้นคงแย่เอาการทีเดียว

ตอนนั้นหวางซิงจำได้ว่าตัวเองมองนาฬิกาแล้วตกอกตกใจเนื่องจากสายกว่าเวลาทำงานไปมากแต่เซินเฟยกลับยังนั่งอยู่ที่บ้าน โดยไม่มีใครต้องพูดอะไรออกมา หวางซิงก็รู้ได้ว่าเซินเฟยนั่งรอเขาอยู่จนถึงเวลานี้โดยไม่ได้สั่งให้คนไปปลุกแต่อย่างใด และเมื่อได้เห็นสภาพของเขา เซินเฟยก็เพียงเอ่ยสั่งให้นอนพักกับบ้านก่อนจะออกไปทำงานตามปกติเหมือนทุก ๆ วัน

วันนั้นเป็นวันเดียวที่เขากล้านอนตื่นสาย หลังจากนั้นเขาก็ดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้นและวันไหนเกิดรู้สึกไม่สบายจะให้คนไปแจ้งเซินเฟยก่อนเสมอและจะโงหัวขึ้นมาตอนเช้าเพื่อส่งเซินเฟยไปทำงานถึงจะกลับไปนอนพัก

เรื่องเพียงเล็กน้อยแต่แสดงถึงความเอาใจใส่ของเซินเฟยทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจจนถึงเดี๋ยวนี้

ในวงการนี้มีคนหลากหลายประเภท คนส่วนมากเมื่อเป็นใหญ่จะไม่เห็นหัวผู้น้อย แต่เซินเฟยกลับไม่เป็นเช่นนั้น ถึงจะมีฐานะเป็นเจ้าบ้านแต่ก็ไม่เคยใช้อำนาจไปในทางที่ผิด เพียงแต่บางครั้งจำต้องแสดงอำนาจที่เหนือกว่าเพื่อข่มคนที่คิดต่อกรเท่านั้น

หวางซิงยืนนิ่งอยู่หน้าเก้าอี้ลายหงส์อยู่นาน เขารู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อมีของเหลวหยดหนึ่งหยาดไหลลงมาถึงปลายคางก่อนจะหยดลงไปบนปลายเท้าเปล่าเปลือย

ชายหนุ่มฝืนใจปาดน้ำตาออกแล้วกัดริมฝีปากก่อนจะเดินออกไปนอกบ้าน

“เลขาหวางจะไปไหนหรือครับ?” การ์ดที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางรีบร้อน

“ผมจะออกไปข้างนอกหน่อย ไม่ต้องขับรถไปส่งหรอกเดี๋ยวผมจะเรียกแท๊กซี่เอง” หวางซิงกล่าวรวบรัดแล้วเดินต่อทว่ากลับมีมือข้างหนึ่งยื่นมากันไว้ เจ้าของมือทำสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะพูดอย่างไร

“ผมไม่ว่าหรอกนะครับถ้าเลขาหวางจะออกไป แต่ยังไงก็กรุณาเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาแล้วก็สวมรองเท้าก่อนดีกว่านะครับ”

ได้ยินดังนั้น หวางซิงก็ก้มลงมองตัวเอง เขาเพิ่งจะนึกออกมาโดนลากลงมาจากที่นอนโดยยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย ซ้ำหน้าตายังดูไม่ได้ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เพียงแค่เจ้านายไม่อยู่เขาถึงกับปล่อยปละละเลยตัวเองถึงขนาดนี้เชียวหรือ! อย่างนี้หากเซินเฟยอยู่คงไม่วายโดนดุเป็นแน่ เลขายอดเยี่ยมอย่างเขาจะทำให้เจ้านายขายหน้าไม่ได้เป็นอันขาดแม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้อยู่ต่อหน้าก็ตาม

หวางซิงรีบกลับไปเปลี่ยนชุด ล้างหน้าตาใหม่จนเรียบร้อย จึงออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครขวางเขาเอาไว้ หวางซิงจึงออกไปเรียกแท๊กซี่ที่หน้าบ้านแล้วบอกจุดหมายทันที

ไม่นานนัก รถแท๊กซี่ก็พาเขามาถึงจนกรมตำรวจประจำเขต หวางซิงจ่ายเงินแล้วเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน

การมาเยือนของเขาไม่ได้สร้างความแปลกใจงุนงงกับนายตำรวจที่ทำหน้าที่ในกรม เพราะไม่มีใครรู้จักเขา เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกอะไรเพราะเลขามาเฟียไม่ใช่คนที่จะต้องเปิดเผยหน้าตาต่อสาธารณะชน หากเป็นเซินเฟยมาอาจจะมีคนตื่นเต้นมากกว่าเพราะเบื้องหน้าเจ้าตัวเป็นนักธุรกิจใหญ่อายุน้อย และได้ออกสื่อโทรทัศน์รวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์หลายครั้งจนมีคนคุ้นหน้า

“ขอโทษครับ ผมมาพบนักสืบมู่” เขาเดินเข้าไปหานายตำรวจที่ประจำอยู่โต๊ะตัวหน้าสำหรับรับรองผู้มาแจ้งความหรือติดต่อธุระ

“นักสืบมู่หรือครับ? รู้สึกว่าเขาจะอยู่ในห้อง จะให้แจ้งว่าใครมาพบครับ?”

“เอ่อ....หวางซิงครับ” หวางซิงคิดว่าการเปิดเผยชื่อตนเองคงไม่ใช่เรื่องใหญ่จึงบอกออกไปหลังจากลองคิดทบทวนครู่หนึ่ง

ตำรวจนายนั้นได้วานคนหนึ่งในกรมให้ไปตามมู่อี้จิงออกมา ชายหนุ่มพอได้ยินชื่อคนมาหาก็ผลุนผลันลุกพรวดขึ้นแล้วจ้ำออกมาอย่างรวดเร็ว หวางซิงไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร มู่อี้จิงก็ค้วาแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของอีกฝ่ายลากออกไปข้างนอกด้วยกันทันที

ตอนนี้ทั้งสองคนจึงออกมาอยู่ที่ลานจอดรถของตำรวจ มู่อี้จิงทิ้งตัวลงนั่งบนกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่

“ผมบอกว่าให้คุณอยู่ในบ้านก่อนไม่ใช่หรือครับ?” มู่อี้จิงทำเสียงดุ เขาได้เตือนหวางซิงว่าคนร้ายอาจไม่หยุดเพียงแค่นี้ คนใกล้ชิดของเซินเฟยจึงควรระวังตัว เขาบอกให้หวางซิงเก็บตัวอยู่ในบ้านสักระยะ กระนั้นเจ้าตัวกลับออกมาในที่สาธารณะเสียเอง

“ขอโทษครับ แต่ผมร้อนใจจนทนไม่ไหว คุณมู่ได้ข่าวอะไรบ้างไหมครับ?”

“นี่มันเพิ่งผ่านมาคืนเดียวเองนะครับ แค่รวบรวมพยานหลักฐานยังไม่ถึงไหนเลย” มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือก “อีกอย่าง ผมบอกแล้วนี่ว่าให้เรียกผมว่ามู่อี้จิงก็พอ”

“ผมคิดว่าเรียกคุณมู่จะเหมาะสมกว่า ยังไงคุณกับผมก็ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันขนาดจะเรียกชื่อได้ไม่ใช่หรือ?”

มู่อี้จิงเบ้หน้า ถึงขนาดเกือบจะมีอะไรกันถึงสองครั้ง เคยนอนร่วมเตียงกันเฉย ๆ ก็ครั้งหนึ่ง ยังไม่เรียกรู้จักไม่คุ้นจะเรียกอะไรได้เล่า?

“ผมบอกให้เรียกก็เรียกเถอะ” ชายหนุ่มตัดบทแล้วเริ่มถามเรื่องอื่นต่อ “ว่าแต่....คุณมีเรื่องอะไรหรือครับ?”

“....วันนี้.....คุณเซินหยู่มาที่บ้านครับ”

“เซินหยู่?” มู่อี้จิงทบทวนความทรงจำ เพราะเขาเคยได้ยินชื่อนี้จากประวัติของเซินเฟยอยู่ “พ่อของจูเชว่น่ะหรือครับ?”

หวางซิงพยักหน้ารับ

“พ่อมาที่บ้านลูกมันมีอะไรแปลกกัน?”

“ถ้าแค่มาเพื่อถามสถานการณ์ผมคงไม่คิดแปลกหรอกครับ แต่ว่า...คุณเซินหยู่มาถึงก็สั่งให้ประชุมคนในบ้าน แล้วเขาก็....” พอนึกถึงภาพเซินหยู่ที่เดินไปนั่งบนเก้าอี้เจ้าบ้านแล้วหวางซิงก็เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวทุกครั้ง เจตนาของผู้ชายคนนั้นชัดแจ้งมากเกินไปจนเขาอดกังวลไม่ได้

“แล้วเขาก็?”

“เขา.....ประกาศตัวว่าจะดำรงตำแหน่งต่อจากคุณเซินครับ”

ใบหน้าของมู่อี้จิงคล้ำเครียดในทันที เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เสียแล้ว ความวุ่นวายที่เขาคาดคิดไว้จะเริ่มบังเกิดขึ้นจากคนในจริง ๆ แบบนี้ต้องวุ่นวายใหญ่โตแน่หากว่าเซินหยู่ไม่เป็นที่ต้อนรับของหัวหน้าแก๊งค์ ในกรณีของเซินเฟยนั้นมีพินัยกรรมรองรับฐานะ เติบโตภายใต้การดูแลของภรรยาตามกฎหมายของจูเชว่รุ่นก่อน ทั้งยังต้องกัดฟันทนทำงานจนคนอื่น ๆ เริ่มยอมรับได้แม้จะไม่ใช่สายเลือดโดยตรง แต่สำหรับเซินหยู่ที่ฉวยโอกาสที่ตำแหน่งว่างอ้างความสัมพันธ์ทางสายเลือดนั้น เขาไม่คิดว่าจะมีคนยอมรับง่ายขนาดนั้น

“แล้วการประกาศแต่งตั้งล่ะครับ” มู่อี้จิเอ่ยถาม วงการนี้ซับซ้อน ไม่ใช่แค่มาเฟียเล็ก ๆ ตามประเทศด้อยพัฒนา แต่มีการปกครองเป็นองค์กรใหญ่ ดังนั้นเมื่อผลัดเปลี่ยนผู้นำก็จะต้องมีการประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเพื่อให้คนในองค์กรรับรู้โดยทั่วกัน ไม่ใช่แค่มาประกาศตัวว่าจะเป็นแล้วเป็นได้

“ผมเองก็ไม่เคยเจอกรณีแบบนี้มาก่อนเลยไม่รู้อะไรมากนัก แต่ปู่ของผมบอกว่า ถ้าไม่แน่ชัดในการตายของจูเชว่ จะต้องรอให้พ้น 100 วันถึงมีการแต่งตั้งคนใหม่ได้ครับ”

“100 วัน” มู่อี้จิงทวนคำ “มีเวลาแค่ 3 เดือนเท่านั้น”

“ครับ.....” หวางซิงทอดเสียงอย่างเป็นกังวล แต่ว่าตอนที่เขากำลังก้มหน้าลงอย่างอับจนหนทางนั้น มือข้างหนึ่งกลับกุมมือของเขาเอาไว้ หวางซิงมองไปที่มือตนเองก่อนไล่ตามแขนขึ้นไปสบกับดวงตาสีดำสนิทแต่ใสกระจ่างเหมือนลูกแก้ว

“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณหวาง ผมจะสืบหาให้ได้ว่าจูเชว่หายไปไหน”

หวางซิงเผลอยิ้มออกมาทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งจะอยากร้องไห้

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #247 เมื่อ16-03-2011 19:15:52 »

“แล้ว.....พอจะรู้อะไรมากขึ้นไหมครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย......”

“ถ้าอย่างนั้น ผมอยากให้คุณอยู่ที่บ้านเฉย ๆ อย่างที่ผมบอกไป คุณเองอาจเป็นอันตรายก็ได้” มู่อี้จิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แต่ผมต้องไปทำงานนะครับ ตอนนี้คุณเซินไม่อยู่ ถ้าขาดผมไปอีกคน ที่บริษัทต้องวุ่นวายแน่ อย่างน้อยผมอยากประคองสถานการณ์ทางนั้น ถึงจะทำได้แค่เล็กน้อยแต่ผมก็อยากจะทำอะไรบ้าง” หวางซิงกำมือแน่นพลางทำสีหน้าเจ็บปวดในความไร้ความสามารถของตัวเอง เขารู้สึกกลัวมากจริง ๆ ถ้าหากเขามีความเข้มแข็ง กล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกอย่างตามลำพังเหมือนอย่างเซินเฟยจะดีสักแค่ไหน

“ถ้าอย่างนั้นคุณควรให้การ์ดที่ไว้ใจได้อยู่ข้าง ๆ ตลอด สัญญากับผมแค่นี้ได้ไหม?”

หวางซิงมองเข้าไปในดวงตาของมู่อี้จิง ความห่วงใยของชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนเองทำให้รู้สึกอุ่นซ่านในใจอย่างประหลาด เขาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

“ผมขอดูแผลเมื่อวานหน่อยนะ” มู่อี้จิงเห็นหวางซิงยอมอ่อนลงแล้วจึงดึงแขนมาถลกแขนเสื้อขึ้น

ต้นแขนของหวางซิงปรากฏรอยแผลยาวแผลหนึ่งที่ถูกเย็บไว้ และรอยแผลถูกถากเล็ก ๆ กระจายมาจนถึงข้อศอก ซึ่งเป็นรอยที่เกิดจากเศษกระจกที่กระเด็นมาเพราะแรงระเบิด มีชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งปักเข้าไปในแขนจนเลือดอาบ แต่เจ้าตัวกลับเอาแต่ยืนมองซากเรืออย่างไม่รู้สึกรู้สา กว่าจะรู้ว่าเจ็บ ก็ตอนที่เขาเข้าไปจับตัว

มู่อี้จิงถอนหายใจหนักหน่วงเมื่อเห็นรอยแผล

“บางทีคุณน่าจะเอาความเป็นห่วงที่มีต่อจูเชว่ มาใส่ใจตัวเองสักครึ่งหนึ่งนะ”

“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่แผลบนแขนเท่านั้นเอง” หวางซิงค่อนข้างชินกับบาดแผลบนร่างกายคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว ชีวิตมาเฟียมักหลีกเลี่ยงการมีรอยตำหนิบนร่างกายไม่ได้ ปู่ของเขามีรอยถูกกระสุนยิงหลายจุดและยังรอยมีดดาบอีก สำหรับเขาที่เพิ่งจะมีเพียงแผลถากของกระสุนที่จางไปบ้างแล้วกับแผลจากเศษกระจกเหล่านี้ ยังเทียบไม่ได้กับเศษเสี้ยวที่มีบนร่างกายปู่ของเขาด้วยซ้ำ

“ตำรวจอย่างผมยังไม่เคยมีแผลสาหัสขนาดนี้เลยนะ” มู่อี้จิงบ่นแล้วดึงแขนเสื้อกลับ “จริงสิ ผมมีเรื่องอยากไหว้วานคุณด้วย”

“อะไรหรือครับ?”

“ตอนที่เกิดเหตุ คุณบอกว่านอกจากคนของจูเชว่แล้ว ยังมีหมอคนหนึ่งกับคู่หมั้นอยู่ด้วย”

“ครับ หมอจือกับคู่หมั้นชื่อหลิงหลิงครับ” หวางซิงนึกออกทันที เพราะสองคนนั้นเป็นเจ้าของงานที่จะจัดเมื่อวานนี้ ทว่ากลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันถึงเสียก่อน ทั้งสองดูขวัญดีหนีฝ่อต้องให้คนปลอบอยู่นานหลิงหลิงจึงหายจากอาการช็อคแล้วเริ่มร้องไห้ออกมา

คืนนั้นทั้งสองคนถูกส่งกลับบ้านซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดตามอะไรมากกว่านั้น

“มีรูปถ่ายของพวกเขาหรือเปล่า?”

“เอ๋? รูปถ่ายหรือครับ.....ผมคิดว่าคงใช้เส้นสายหามาได้” หวางซิงแม้จะไม่เข้าใจนัก แต่ก็รู้ว่ามู่อี้จิงต้องการรวบรวมพยานหลักฐานให้มากที่สุด ดังนั้นใครก็ตามที่อยู่ในเหตุการณ์จึงต้องนับเป็นผู้ต้องสงสัย

“แล้วก็รายชื่อการ์ดทุกคนด้วย แบ่งเป็นคนที่เสียชีวิต คนที่บาดเจ็บ และคนบนท่าให้ผมด้วยจได้ไหม?”

หวางซิงมุ่นคิ้ว การ์ดในวันนั้นมีอยู่ราว ๆ 150 คน จะรวบรวมรายชื่อก็นับว่ายุ่งยากแล้ว ยังต้องคัดหมวดหมู่อีก จริงอยู่ว่าทำได้ แต่...

“ต้องใช้เวลานะครับ”

“ผมรอได้” มู่อี้จิงยืนยันเช่นนั้นหวางซิงจึงตระหนักว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

“คุณคิดว่าเป็นฝีมือคนในหรือครับ?”

“ผมแค่สงสัยเท่านั้นแต่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน” มู่อี้จิงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง นับแต่เมื่อคืนนี้เขาถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้งก็ไม่ได้นับ บางทีมันอาจจะเท่าจำนวนอายุเขาแล้วก็เป็นได้

“ว่าแต่....” เสียงของหวางซิงเรียกให้มู่อี้จิงมองกลับมาอีกครั้ง

“ครับ?” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางประดักประเดิด

“ช่วยปล่อยมือผมได้หรือยังครับ?” เมื่อหวางซิงถามออกมา มู่อี้จิงจึงเพิ่มก้มลงมองและพบว่าเขาเอาแต่จับมือฝ่ายนั้นอยู่ตลอดเวลาจนเหงื่อเริ่มชุ่มมือของทั้งสองฝ่าย นายตำรวจหนุ่มปั่นยิ้มเก้อเขิน ก่อนจะปล่อยมือหวางซิงให้เป็นอิสระ

หวางซิงเหมือนจะอับจนคำพูดไปชั่วขณะ เขามองซ้ายขวาอย่างตกประหม่าเมื่อมู่อี้จิงก็เงียบไปเช่นกัน

“งั้น.....ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมจะพาคุณไปส่งที่บ้านนะครับ” มู่อี้จิงอาสาก่อนจะควักกุญแจรถส่วนตัวออกมาจากกระเป๋าแล้วยิงไปยังรถคันหนึ่ง เสียงปิ๊บดังขึ้นเบา ๆ

“จะรบกวนไปหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมกลับเองจะดีกว่า” หวางซิงรีบปฏิเสธอย่างสุภาพ

“นี่ไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยหรือยังไงนะ” มู่อี้จิงว่าแล้วก้าวเข้ามาใกล้ก่อนยื่นเข้าจนแทบประชิดทำให้หวางซิงผงะถอยหลังไปติดลูกกรงที่กั้นเขตกรมตำรวจด้านหลัง มู่อี้จิงยกมือขึ้นจับลูกกรงเหนือศีรษะหวางซิงแล้วเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “คุณห้ามไปไหนมาไหนคนเดียวเด็ดขาด ถ้าคุณยังยืนยันจะเดินทางคนเดียวอยู่ ผมจะจับคุณล็อคกุญแจมือแล้วล่ามติดกับผมไปทุกที่เสียเลย”

“ข....เข้าใจแล้วครับ....” หวางซิงทำหน้าสลด เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้มู่อี้จิงโกรธ แต่เขาเคยชินกับการปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นจนเป็นนิสัยไปเสียแล้ว

“เอาล่ะ ขึ้นรถเถอะ” ว่าจบ มู่อี้จิงก็กึ่งลากกึ่งจูงเลขาประจำตัวจูเชว่ไปที่รถแล้วเปิดประตูดันิอีกฝ่ายเข้าไปนั่งข้างคนขับ ส่วนตนเองเดินอ้อมรถไปอีกด้าน แล้วนั่งประจำที่คนขับเรียบร้อย เขาสตาร์ทเครื่องพลางเหบียบคันเร่งให้รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างระมัดระวัง

เป็นเพราะเรื่องคราวก่อนที่ให้หวางซิงขับรถ เขาจึงโดนคาดโทษจากหัวหน้าว่าหากทำรถในกรมเสียหายอีกจะโดนหักเงินเดือน แม้ครั้งนั้นจูเชว่จะออกหน้าให้ แต่เขาก็ยังเป็นคนโดนคาดโทษแทนคนผิดตัวจริงอยู่ดี

หวางซิงเอี้ยวมองเสี้ยวหน้าของมู่อี้จิงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกว่ามู่อี้จิงเป็นคนหนักแน่นดันทุรัง หากอยากทำอะไรแล้วจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้น เขาจึงคิดว่าตัวเองสามารถไว้วางใจในตัวมู่อี้จิงได้อย่างแน่นอน

กรมตำรวจกับบ้านตระกูลเซินไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมากมาย ด้วยเวลาเท่ากับที่หวางซิงนั่งแท๊กซี่ไป มู่อี้จิงก็มาส่งอีกฝ่ายถึงหน้าบ้าน

“ถ้าอย่างนั้นผม....”

“ไม่เชิญผมเข้าไปดื่มชาสักแก้วหรือครับ?” มู่อี้จิงทำให้หวางซิงชะงักไป หลังจากละล้าละลังเหมือนทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยชวนแบบอึกอัก

“เข้ามา....ดื่มชาก่อนสิครับ...”

มู่อี้จิงแย้มยิ้มแล้ววนรถเข้าไปจอดในสวนบ้านตระกูลเซินเมื่อคนเฝ้าหน้าประตูเปิดให้ตามคำสั่งของหวางซิง เลขาหนุ่มได้แต่นึกสงสัยว่าตนเองทำถูกต้องหรือไม่ที่เชิญอีกฝ่ายเข้ามาในบ้านทั้งที่เจ้าของไม่อยู่อย่างนี้ ทำไมพอเซินเฟยไม่อยู่แค่วันเดียวเขาถึงได้รู้สึกเหมือนเสียการควบคุมตัวเองขนาดนี้นะ ความประหม่าเหมือนทำอะไรไม่ถูกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยแท้ ๆ

เมื่อมู่อี้จิงเดินลงจากรถ เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาแสดงความหวาดระแวงจากทุกมุมของบ้านทันที ไม่น่าแปลกเลยในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ ทุกคในบ้านใหญ่คงจะกำลังเตรียมตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยความหวังอันริบหรี่

หวางซิงสะกิดให้มู่อี้จิงเดินตามเข้าไปด้านหลัง

“ปู่ครับ นี่นักสืบมู่ เป็นคนของสารวัตรหรงที่มาทำงานให้ในช่วงนี้ครับ” เขาเอ่ยแนะนำมู่อี้จิงให้กับหวางซือที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูงานในครัว

“คุณนี่เองคือนักสืบมู่ ผมต้องขอบคุณมากที่คอยดูแลหลานผมให้เสมอ” หวางซือหันมาทักทายด้วยท่าทีเรียบนิ่งตามนิสัย แต่ถ้อยคำที่อีกฝ่ายใช้ดูเหมือนจะรู้อะไร ๆ มากกว่าที่คิด หวางซิงหน้าแดงขึ้นมาด้วยความกระเทิ้นอาย เรื่องไหนก็คงไม่มีทางเล็ดรอดหูปู่เขาไปได้....

“นักสืบมู่กรุณามาส่งผมถึงที่บ้าน ผมเลยเชิญเข้ามาดื่มชาครับ” หวางซิงรีบตัดบทสนทนาก่อนที่ปู่ของเขาจะสาวไส้

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญตามสบายนะ เข้าไปรอในห้องรับแขกแล้วกัน” หวางซือว่าก่อนจะหันไปสั่งพวกเด็ก ๆ ให้ยกน้ำชาตามไปเสิร์ฟ มู่อี้จิงยิ้มให้กับสีหน้ากระอักกระอ่วนของหวางซิงอย่างนึกเอ็นดู เขาเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าผู้ชายคนนี้แก่กว่าเขาจริง ๆ หรือ?

--------------------------->

นอกจากความตื่นตระหนกในบ้านตระกูลเซินแล้ว ตอนนี้จือหยินและหลิงหลิงก็กำลังถูกควบคุมให้อยู่ในการดูแลของตำรวจเช่นนั้น ทั้งสองพักอยู่ในห้องของจือหยินโดยมีตำรวจคอยแวะเวียนไปดูแลความปลอดภัยเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ

“ทุกอย่างต้องเรียบร้อย ไม่ต้องห่วงนะเสี่ยวหลิง” จือหยินปลอบใจคนรักแล้วโอบกอดอีกฝ่าย มือข้างที่สวมแหวนหมั้นลูบไล้บนหลังมือหญิงสาวเบา ๆ อย่างทนุถนอม

“ค่ะ.....ทุกอย่างต้องเรียบร้อย...” หลิงหลิงยิ้มบางพลางซุกซนบ่าของคนรัก

ทั้งสองกอดกันอยู่อย่างนั้น ต่างปลอบโยนกันและกันด้วยหัวใจอบอุ่นแต่ก็ยังมีความหวาดหวั่นฝังอยู่ลึก ๆ ในใจ....


TBC

---------------------
เอาการ์ดจอช่างมาใช้ชั่วคราว อาจจะมีเว้นช่วงบ้างเพราะช่างให้ยืมแค่ 2 วันมาทำงาน= ="
ส่วนการ์ดจอ....อีกสักวันสองวันคงได้แล้วมั้งคะ....

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #248 เมื่อ16-03-2011 19:45:46 »

 :z13: :z13: :z13:เย้ๆมาแล้วๆ

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #249 เมื่อ16-03-2011 19:58:30 »

 ดีใจเหมือนถูกหวย เปิดมาแล้วเจอตอนใหม่

เฟยเฟยเป็นตายร้ายดียังไงเนี่ย

เอ็นดูอาซิงอ่ะ นักสืบมู่ชอบอาซิ่งแล้วละซี อิอิ

หลิงหลิง หล่อนเป็นคนทำใช่ไหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
« ตอบ #249 เมื่อ: 16-03-2011 19:58:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #250 เมื่อ16-03-2011 20:08:08 »

อา...ในที่สุดก็มา ~ o7
คิดถึงเรื่องนี้จะแย่ ภาวนาให้ได้การ์ดจออันใหม่ไว ๆ นะค่ะ !!!

แม้จะไม่รู้ว่าเสี่ยวเฟยเป็นตายร้ายดีอย่างไง? ( ยังเชื่อว่า ตัวเอกยังไงก็ไม่ตาย )
แต่คู่อาซิงกับมู่อี้จิงทำให้ feel ของตอนนี้ ออกมา หวาน ละมุน อบอุ่นหัวใจ ( อ่านแล้วมัน...อ๊าย ~ :-[ )

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #251 เมื่อ16-03-2011 20:37:57 »

อาหลิงกับพ่อของอาเซินนี่ต้องมีซัมติงบางอย่างร่วมกันแน่นอน

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #252 เมื่อ16-03-2011 20:38:12 »

อาเฟยยยย :monkeysad:
การ์ดจออออ o11
คุณ ZIar :กอด1:
+1 ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #253 เมื่อ16-03-2011 21:00:06 »

วิ้วววว มาแล้วๆ
คิดถึงเรื่องนี้มากมาย อิอิ

ออฟไลน์ Ayame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #254 เมื่อ16-03-2011 21:03:25 »

ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ คิดถึงหนูเฟยเฟยมากมาย   :กอด1:

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
«ตอบ #255 เมื่อ16-03-2011 22:59:18 »

ง่ะก็ยังไม่เจอเซินเฟยอยู่ดี


ใช่คนที่เป็นพ่อจริงๆอ่ะเหรอ



ความห่วงลูกชายตัวเองไม่มีเลยเหรอ

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงŪ
«ตอบ #256 เมื่อ17-03-2011 03:27:28 »

คุณมู่ - อาซิง  :-[

ไม่ไหวจะทนกับพ่อเฟยเฟยจริงๆ :z6:

ตากล้องช่วยแพนกล้องไปหาเฟยเฟยกับคุณฉู่ทีเถ๊อะ
อยากรู้ว่าเจ็บตัวปางตายกันมากรึป่าว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2011 08:17:45 โดย sam3sam »

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #257 เมื่อ17-03-2011 13:42:56 »

-22-


ความรู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่างกายคือสิ่งแรกที่เขารู้สึกก่อนจะลืมตาขึ้นมา แสงสว่างลอดผ่านต่างหากส่องกระทบนัยน์ตาเข้าอย่างจังทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้งแล้วจังกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับให้ม่านตาสามารถรับแสงได้ เมื่อคิดจะหันซ้ายขวาดูรอบตัวเขาก็พบว่าแม้แต่คอของเขาก็ยังปวดจนไม่อาจขยับได้โดยง่าย สุดท้ายสิ่งที่ทำได้กลับเป็นการทอดสายตาขึ้นมองเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย กระนั้น แท่งโลหะที่วางเป็นกรอบอยู่ด้านบนและมีม่านห้อยตกลงมานั้นก็ทำให้พออนุมานได้ว่าที่คือที่ไหน

“.....” เขาพยายามจะเปล่งเสียง ทว่าสิ่งที่ออกมามีแต่ลมและเสียงที่หวีดหวิวราวกับเสียงยุง

ดวงตาสีดำกลอกไปมาอยู่ระยะหนึ่ง นอกจากเพดานและหน้าต่างแล้ว ส่วนอื่น ๆ ของห้องนี้ถูกบังจากสายตาเขาด้วยผ้าม่านบังเตียงผู้ป่วย

เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเลื่อนมือไปด้านข้างและจับเหล็กกั้นเตียงแล้วจนแน่น ก่อนกัดฟันแล้วออกแรงเขย่าเหล็กกั้นเตียงให้เกิดเสียง

เสียงกึก ๆ เรียกความสนใจใครบางคนในห้องได้ ไม่นานนักผ้าม่านก็ถูกเลื่อนออก

“ตื่นแล้วหรือครับคุณเซิน”

เสียงนั้นคุ้นหูมากเสียจนอยากจะผงกหัวขึ้นมอง แต่เขากลับปวดร้าวไปทั้งแผ่นหลังจนแค่ขยับหัวยังลำบาก และดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะเข้าใจสถานการณ์จึงเดินเข้ามาทางข้างเตียงแล้วยื่นใบหน้ามาเหนือร่าง ดวงตาของเซินเฟยจึงสะท้อนภาพชายหนุ่มที่พาให้ความทรงจำไหลย้อนกลับมา

ตอนนั้นเขายืนอยู่ที่กาบเรือเพื่อรอจือหยินกับหลิงหลิง แต่ว่าอยู่ ๆ ก็เกิดระเบิดขึ้น เขาจำได้ว่าถูกเหวี่ยงตกจากเรือเพราะแรงระเบิด และ.....คน ๆ นี้ก็กระโดดตามเขาลงมา

“ฉู่....เหวินจือ....” เซินเฟยเค้นเสียงอย่างยากลำบาก

“ตื่นแล้วจริง ๆ สินะครับ” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างด้วยสีหน้าโล่งใจ เป็นครั้งแรกที่เซินเฟยเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าอย่างนี้ออกมา แสดงว่าอาการของเขาแย่มากอย่างนั้นเลยหรือ?

“....ฉ.....ขย......” แม้จะพยายามเค้นเสียงออกมาสักกี่คำ เซินเฟยก็ไม่อาจได้ยินเสียงตัวเองเลย ฉู่เหวินจือมุ่นคิ้วแล้วเอียงหน้าตนเองเข้ามาใกล้ ตอนนั้นเองที่เขาเห็นแขนอีกฝ่ายสวมเฝือกเอาไว้

“ขยับไม่ได้ใช่ไหมครับ?” คำถามนั้นแม้เซินเฟยจะอยากพยักหน้าก็ทำไม่ได้จึงกระพริบตาแทนคำตอบ ฉู่เหวินจือเงียบไปครู่หนึ่งทำให้เซินเฟยใจหายวาบ หรือว่าร่างกายของเขาจะผิดปกติจากแรงระเบิด เขาจะต้องนอนอย่างนี้ไปทั้งชีวิตหรือเปล่า?

แม้ใจจะคิดแบบนั้นเซินเฟยก็ไม่ได้แสดงความตระหนกออกมาทางใบหน้า เขาเฝ้ารอคำตอบของฉู่เหวินจืออย่างใจเย็น

“ดูเหมือนว่า....ตอนตกลงจากเรือ กระดูกสันหลังของคุณจะกระแทกเข้ากับหิน หมอเอาฟิล์มเอ็กซ์เรย์มาให้ผมดูแล้วแต่ไม่มีอะไรผิดปกติ คุณแค่ปวดตัวเฉย ๆ หรือไม่รู้สึกอะไรเลย?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

“...ปว.....”

“ปวดสินะครับ” ฉู่เหวินจือทวนคำ เซินเฟยจึงกระพริบตาอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีปัญหา หมอบอกผมว่าถ้าร่างกายท่อนล่างของคุณยังรู้สึกอยู่แสดงว่ากระดูกสันหลังไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงกับเกิดความเสียหาย เพียงแต่แรงกระแทกทำให้ร่างกายปวดร้าวเท่านั้น”

คำพูดนั้นทำให้เซินเฟยรู้สึกคลายใจไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็จะไม่พิการ

“คุณรู้ไหมว่าคุณหลับไปสามวันเต็ม ๆ”

เซินเฟยมุ่นหัวคิ้ว

สามวันเชียวหรือ?

“เหตุผลที่คุณออกเสียงไม่ถนัดคงเพราะแบบนั้นด้วย จริงสิ ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ” ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะเพิ่งนึกขึ้นได้จึงรีบลุกไปรินน้ำมาแก้วหนึ่ง และสอดหลอดยาวเข้าไป ก่อนหักข้อหลอดให้ปลายหลอดต่ำลงมากพอที่เซินเฟยจะสามารถดื่มได้โดยที่น้ำไม่หก เขาบรรจงแนบแก้วลงไปและขยับหลอดให้ตรงกับปาก เซินเฟยใช้ปลายลิ้นเขี่ยปลายหลอดเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ดูดน้ำผ่านหลอดนั้นอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอสำลัก เพราะปวดตัวแบบนี้ หากสำลักขึ้นมาคงได้กระอักไอจนปวดเพิ่มอีกเท่าตัวเป็นแน่

หลังจากน้ำเย็นฉ่ำล่วงผ่านลำคอ เซินเฟยก็รู้สึกเหมือนก้อนความแห้งแล้งที่จุดในคอได้ละลายหายไป เขาใช้ปลายลิ้นขยับหลอดเพื่อให้ฉู่เหวินจือรู้ว่าพอแล้ว ชายหนุ่มจึงดึงหลอดออกไปและวางแก้วไว้บนชั้น เซินเฟยใช้เวลานั้นพยายามลองออกเสียงอีกครั้งอย่างทุลักทุเล

“ท...นี่....ที่ไห....” เสียงของเขายังขาดเป็นช่วง ๆ แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่นี้มาก

“โรงพยาบาลบนเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากจุดระเบิดราว ๆ กิโลเมตรหนึ่งครับ” เมื่อเซินเฟยพอจะพูดรู้เรื่อง ฉู่เหวินจือจึงไม่ต้องคาดเดาความคิดให้ปวดสมองอีก แล้วยิ้มแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เช่นเดิม “ผมเองก็หมดสติไปหลังจากพยายามดึงคุณเซินขึ้นมาจากน้ำ แต่ดูเหมือนแรงระเบิดกับคลื่นน้ำจะส่งเราสองคนออกมาไกลเอาการ พยาบาลที่นี่บอกผมว่าเรือประมงที่แอบออกหาปลาตอนกลางคืนช่วยเราขึ้นมาได้ก็เลยพามาส่ง”

เซินเฟยรู้สึกไม่ค่อยเชื่อที่ฉู่เหวินจือพูดสักเท่าไหร่ หากเขาถูกแรงระเบิดส่งออกมาไกลจริงทำไมหลังเขาถึงยังกระแทกหินได้อีก อีกทั้งเกาะนี้อยู่ห่างจากฝั่งฮ่องกงถึงหนึ่งกิโลเมตร หากฉู่เหวินจือหมดสติก่อนจะเห็นฝั่งย่อมหมายความว่าพวกเขาควรจะกลายเป็นอาหารปลาไปแล้ว ซ้ำเรื่องเรือประมงที่แอบออกหาปลาอีก เซินเฟยรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนโชคดีอะไรมากมาย และไม่ใช่คนดีของสังคมด้วย สวรรค์ไหนเลยจะเมตตาเขาถึงขนาดส่งผู้ช่วยมาให้ในเวลาที่ยากลำบากและมีอันตรายถึงชีวิต

แม้จะรู้สึกว่าเรื่องเล่าสารพัดความบังเอิญจากปากของฉู่เหวินจือไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด แต่เขาก็ไม่มีแรงจะไปเค้นคอจึงได้แต่นอนหายใจทิ้งไปเปล่า ๆ เพื่อรอว่าฉู่เหวินจือจะพูดอะไรต่อ

“ผมจะไปแจ้งนางพยาบาลก่อนนะครับ ว่าคุณเซินฟื้นแล้ว”

เซินเฟยได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้จะพยักหน้ารับอย่างไร จึงส่งเสียงในคอว่า ‘อืม’ ไปแทน

ฉู่เหวินจือลุกขึ้นจากข้างเตียงแล้วเดินออกไปจากห้อง ตอนนั้นเองเซินเฟยจึงเพิ่งเหลือบตาไปข้าง ๆ และเห็นว่ามีโครงโลหะอยู่ถัดออกไปจากเตียงเขาเล็กน้อย แสดงว่ามีเตียงอีกหลังหนึ่งตั้งอยู่ข้าง ๆ กัน เดาได้ไม่ยากสักนิดว่าเป็นเตียงของฉู่เหวินจืออย่างแน่นอน แต่ทำไมเขากับฉู่เหวินจือถึงมาอยู่ห้องคู่ได้นะ?

หลังจากถูกทิ้งให้นอนอย่างโดดเดี่ยวในห้องอยู่นาน ประตูก็เปิดออก เซินเฟยเดาจากเสียงฝีเท้า มีคนเข้ามาสองคนเป็นหญิงคนหนึ่งเพราะสวมรองเท้าส้นสูง น่าจะเป็นนางพยาบาล ส่วนอีกคนคงจะเป็นฉู่เหวินจือ เพราะเมื่อครู่เจ้าตัวบอกว่าจะออกไปบอกนางพยาบาลเรื่องที่เขาตื่นแล้ว

เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นกระเบื้องเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จวบจนยืนอยู่ข้างเตียง เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมองโดยม่ได้ขยับศีรษะ

“คุณหวาง! คุณตื่นแล้วจริง ๆ ด้วย!” นางพยาบาลทำเสียงดีใจอย่างสุดซึ้ง

คุณ....หวาง!?

เซินเฟยทวนคำในใจก่อนที่หัวคิ้วจะค่อย ๆ ขยับเข้าหากันแล้วมองไปทางฉู่เหวินจือที่เอาแต่ยืนยิ้มไม่พูดไม่จามองนางพยาบาลวิ่งออกไปแจ้งหมอ

ฉู่เหวินจือรู้สึกถึงสายตาของเขาจึงหันกลับมาหาแล้วเลิกคิ้วสูง

“มีอะไรหรือครับ? อ้อ แซ่ของคุณสินะ ผมลืมบอกไป ตอนผมตื่นมามีคนเข้ามาถามว่าคุณชื่ออะไร ผมก็เลยบอกพวกเขาว่า คุณชื่อหวางซิง”

เซินเฟยถึงแก่อ้าปากค้าง ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้วหรือยังไงถึงเอาชื่อหวางซิงมาให้เขาใช้โดยพละการ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ตอนนี้ทั้งผมทั้งคุณบาดเจ็บสาหัส แถมคนของคุณก็ไม่รู้จะติดต่อยังไง ถ้าเอาแซ่เซินไปแจ้งมิกลายเป็นเป้านิ่งให้คนเข้ามาซ้ำหรือครับ?” เหตุผลของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยเถียงไม่ออก หรืออยากเถียง ตอนนี้ร่างกายของเขาก็ไม่อำนวยต่อการพูดสักเท่าไหร่ เซินเฟยเม้มปากนิ่งแล้วย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ฉู่เหวินจือเดาได้ไม่ยากว่าเซินเฟยไม่ชอบชื่อปลอมสักเท่าไหร่ ซึ่งเหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะเจ้าตัวกับเจ้าของชื่อกำลังมีปัญหากันลึก ๆ ก็เป็นได้

ก่อนที่ฉู่เหวินจือจะพูดอะไรออกมาอีก หมอคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง เซินเฟยเห็นอีกฝ่ายเป็นหมอสูงวัยท่าทางใจดีจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“คุณหวาง รู้สึกยังไงบ้างครับ?” นายแพทย์สูงวัยยืนถามอยู่ข้างเตียง ถัดไปมีนางพยาบาลคนหนึ่งถือชาร์ตรอจด

“..ปวด.....” เพราะยังพูดได้ไม่มากเขาจึงเค้นเสียงออกมาได้เพียงแค่นั้น

นายแพทย์สูงวัยพยักหน้ารับเนือย ๆ

“คุณหวาง หมอชื่อถงซื่อ เป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณกับคุณฉู่” นายแพทย์คนนั้นแนะนำตนเองช้า ๆ ด้วยเกรงว่าสมองของเซินเฟยอาจต้องการเวลาในการเรียบเรียงคำพูด “คุณหลับไปถึงสามวัน ร่างกายอาจจะขยับไม่สะดวก แม้แต่การพูดก็ต้องอาศัยเวลา แต่หมอตรวจฟิล์มเอ็กซเรย์แล้วร่างกายของคุณไม่มีอะไรเสียหาย เพียงแต่มีรอยช้ำบนหลังเพราะกระแทกถูกหินเท่านั้น อีกไม่กี่วันคุณก็จะขยับได้สะดวกเหมือนเดิม คุณเข้าใจที่หมอพูดไหม?”

เซินเฟยฝืนกัดฟันพยักหน้าช้า ๆ

“คุณจะถือสาไหมถ้าพยาบาลของหมอจะเข้ามาเช็ดตัวคุณในตอนเช้าและเย็น และป้อนอาหารคุณสามมื้อในช่วงที่คุณขยับไม่สะดวก”

เช็ดตัว?

ป้อนอาหาร?

เซินเฟยทำสีหน้ากระอักกระอ่วนทันที ตั้งแต่เขาจำความได้ยังไม่เคยอยู่ในสภาพน่าสมเพชขนาดต้องให้คนอื่นมาเห็นเรือนร่างหรือบริการใกล้ชิดขนาดนั้นมาก่อน กระทั่งฉู่เหวินจือถึงจะเคยเป็นคู่นอนอยู่ช่วงหนึ่งก็ยังไม่เคยได้รับสิทธิอาบน้ำให้เขาเลยสักครั้ง

“คุณหวางอาจลำบากใจ ถ้ายังไงให้ผม....”

“....ย...บาล....” ก่อนที่ฉู่เหวินจือจะเสนอตัว เซินเฟยก็เค้นเสียงขัดอย่างยากลำบาก

“อะไรนะครับ?” โชคดีที่หมอชื่อถงซื่อเป็นคนที่ฟังคนอื่น เซินเฟยจึงไม่ต้องถลึงตามองฉู่เหวินจือให้เหนื่อย เขากระซิบบอกหมอช้า ๆ

“ผมจะให้....พยาบาลทำ....” อย่างที่หมอถงบอกไปก่อนหน้านี้ การพูดต้องอาศัยเวลา เมื่อพูดทีละคำช้า ๆ เซินเฟยก็รู้สึกว่าการหายใจไม่ได้ติดขัดเช่นตอนแรก

“ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกให้นางพยาบาลมาดูแลคุณเหมือนเดิมนะครับ”

เหมือนเดิม!?

แปลว่าตลอดสามวันที่เขาหมดสติ เขาถูกปฏิบัติเหมือนเด็กทารกอย่างนั้นมาตลอดเลยหรือ!

ท่าทางตกอกตกใจของเซินเฟยไม่ได้เล็ดรอดสายตาของฉู่เหวินจือ เจ้าตัวยืนกลั้นยิ้มอยู่ห่าง ๆ ด้วยเกรงว่าเซินเฟยจะฝืนสังขารลุกขึ้นมาเตะเขาจนกลิ้งหากเผลอหัวเราะออกไป

เซินเฟยกลั้นใจพยักหน้าตอบกลับไป ไหน ๆ ก็ถูกเห็นมาตลอดสามวันแล้ว ให้เห็นอีกสักสองสามวันจะเป็นอะไรไป อย่างน้อยก่อนหน้าหรือหลังจากนี้ก็คงไม่มีส่วนไหนของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

“ถ้าอย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ ตอนนี้เพิ่งจะสาย พอตอนเที่ยงจะมีคนนำอาหารเข้ามาให้ คุณคงไม่รังเกียจอาหารเหลวสำหรับคนป่วยใช่ไหม?”

เซินเฟยจำต้องพยักหน้าตอบอีกครั้ง ยังไงก็เป็นอาหารชนิดเดียวที่เขากินได้ในตอนนี้ จะรังเกียจหรือไม่รังเกียจแล้วต่างกันตรงไหน ยังไงเขาก็ต้องจำใจกล้ำกลืนมันลงคอไปทั้งหมดอยู่ดี หมอถงซื่อเองก็ดูจะถึงพอใจที่คนป่วยของเขาไม่งอแงอาละวาด เห็นเป็นวัยรุ่นอายุแค่ 18 เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายจะเอาแต่ใจมากกว่านี้ ในเมื่อดูมีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ดีเขาก็หายห่วงเรื่องการดูแล

นายแพทย์สูงวัยขยับตัวถอยออกไปพร้อมนางพยาบาลที่ทำหน้าที่จดบันทึก ฉู่เหวินจือจึงเดินเข้ามานั่งข้างเตียงอีกครั้ง

“ไม่ให้ผมเช็ดตัวให้จะดีหรือครับ?” เขาเอ่ยถามพลางยิ้มเมื่อเห็นเซินเฟยกัดฟันหน้าแดงไปถึงใบหู

“หุบ...ปาก...” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟันทำให้ฉู่เหวินจือรีบทำตามในทันที

หลังจากความเงียบเข้าครอบคลุม เซินเฟยก็เริ่มนึกทบทวนความทรงจำของตนเองก่อนที่จะหมดสติไป ตอนนั้นเขาจำได้แม่นยำว่าตนเองอยู่บนเรือกับฉู่เหวินจือและการ์ดเกือบ 100 นาย ประจำอยู่ทุกที่บนเรือ นอกจากนั้นยังมีพ่อครัว บริกร และนักดนตรี เขาแน่ใจว่าการ์ดของตนเองในวันนั้นเป็นมืออาชีพพอที่จะไม่ปล่อยให้วัตถุอันตรายอย่างระเบิดขึ้นมาอยู่บนเรือได้ อย่าว่าแต่ระเบิดเลย มีดของพ่อครัวยังถูกตรวจสอบและนับจำนวนอยู่ตลอดตั้งแต่ก่อนขึ้นเรือจนถึงเสร็จสิ้นการทำงาน

หวางซิงเป็นคนคุมการทำงานครั้งนี้ด้วยตัวเอง จริงอยู่ว่าเขากับหวางซิงค่อนข้างหมางเมินกันในช่วงนี้แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางคิดแค้นถึงขนาดอยากระเบิดเขาให้ตายแน่นอน ดังนั้น เขาอาจจะต้องลองคิดในมุมของคนวางระเบิดว่าหากต้องการเล็ดรอดสายตาหวางซิง เขาจะทำอย่างไร?

ตอนนั้นเขายืนค่อนไปทางหัวเรือเพราะมีพื้นที่ดาดฟ้ากว้าง และแรงระเบิดก็น่าจะมาจากทางหัวเรือ คนวางระเบิดคงเดาได้อยู่แล้วว่าหากเขาคิดจะยืนเขาคงจะยืนเยื้องมาทางหัวเรือ เพียงแต่แรงระเบิดนั้นเหวี่ยงเขาตกจากเรือเสียก่อนที่เขาจะโดนอานุภาพแท้จริงของมันฉีกกระชากร่างกายเป็นชิ้น ๆ เสียแต่ว่าเขาไม่ใช่คนโชคดีสักเท่าไหร่ถึงตกลงมาเอาหลังกระแทกหิน เรื่องนั้นเขาคงได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่ายังดีกว่าเอาหัวกระแทก

หรือว่าระเบิดนั้นจะถูกวางก่อนใครขึ้นมาตรวจสอบเรือ

ไม่น่าเป็นไปได้....เพราะการ์ดของเขาต้องตรวจสอบทุกซอกมุมก่อนเขาจะมาถึงอยู่แล้ว กระทั่งหนูสักตัวยังไม่ให้เหลือวิ่ง แล้วระเบิดจะรอดสายตาได้อย่างไร?

คนในมีส่วนอย่างแน่นอน....เรื่องนี้เซินเฟยไม่นึกสงสัยเลย การ์ดวันนั้นมีจำนวนมาก ถึงอย่างนั้นทุกคนก็คุ้นหน้าตากันดี เป็นไปได้ยากที่จะมีคนปะปนเข้ามา หากไม่เป็นเช่นนั้น...ก็คงจะเป็นการ์ดของเขาเองที่โดนซื้อตัว

หากเป็นกระเด็นแรกเขาคงไม่กังวลนัก แต่ประเด็นหลังนี้เป็นเรื่องน่าหนักใจ เขามานอนเป็นคนกึ่งพิการแบบนี้แล้วจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าเกลือตัวไหนกลายเป็นหนอน จะติดต่อคนของตัวเองก็ไม่ได้ โดยเฉพาะฉู่เหวินจือใช้ชื่อปลอมกับเขาอย่างนี้ จริงอยู่ว่าปกป้องเขาจากคนที่คิดฉวยโอกาสได้ แต่ก็กลายเป็นการซุกซ่อนตัวเขาจากการตามหาของคนของเขาด้วยเช่นกัน

เซินเฟยขมวดคิ้วแล้วเม้มปาก นึกโมโหที่อะไร ๆ ก็ดูจะไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด

เขาเริ่มนึกเป็นห่วงสถานการณ์ที่บ้านขึ้นมา จริงอยู่ที่ตอนนี้สถานะของเขาค่อนข้างมั่นคงแล้ว แต่คนในเองก็ยังคอยจะหาโอกาสเลื่อยขาเก้าอี้อยู่ การที่เขาหายตัวไปอย่างนี้มีหรือที่คนพวกนั้นจะยอมทิ้งโอกาส หวังแต่ว่าหวางซือจะยื้อสถานการณ์ไว้ได้จนกว่าเขาจะกลับไปเท่านั้น

ในขณะที่เซินเฟยจมอยู่กับความคิดสรตะ ฉู่เหวินจือก็ได้แต่นั่งมองอยู่เฉย ๆ ไม่นานเขาก็รู้สึกเบื่อ

“คุณเซิน”

เสียงเรียกทำให้เซินเฟยเหลือบสายตากลับมามองคนตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วเป็นคำถาม

“คุณจะอนุญาตไหมถ้าผมจะออกไปสืบอะไรสักหน่อย?”

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #258 เมื่อ17-03-2011 13:43:31 »

เซินเฟยมุ่นคิ้วแสดงความสงสัย ในโรงพยาบาลห่างไกลอย่างนี้จะสืบอะไรได้อีก ถึงจะสืบในโรงพยาบาลได้ สามวันที่เขาหลับไปอีกฝ่ายไม่ได้สืบอะไรบ้างเลยหรือยังไง? คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาทางแววตาซึ่งฉู่เหวินจือสามารถตีความได้ไม่ยาก

“ผมมีหนทางได้ข่าวความคืบหน้าให้คุณแน่นอนครับ อย่าว่าแต่เรื่องรอบ ๆ ตัวตอนนี้เลย” ฉู่เหวินจือเว้นจังหวะแล้วหัวเราะ “กระทั่งเรื่องบนเกาะฮ่องกงผมยังสืบให้ได้”

คำโอ้อวดเกินจริงทำให้เซินเฟยรู้สึกตะหงิดอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ แม้แต่ตัวเขาตอนนี้ยังติดต่อกับคนของตัวเองไม่ได้ แล้วลิ่วล้ออย่างฉู่เหวินจือจะทำอะไรได้?

ไม่สิ....ฉู่เหวินจือแต่เดิมเป็นคนของไป๋หู่ หรือว่ามีคนของไป๋หู่อยู่บนเกาะนี้...

ไม่น่าเป็นไปได้ ฉู่เหวินจือบอกเขาเองว่าเกาะนี้เป็นเกาะในอ่าวในอยู่ห่างจากท่าที่พวกเขาโดนระเบิดเพียง 1 กิโลเมตร นั่นหมายความว่าเกาะนี้ยังอยู่ในเขตการปกครองของเขา ระหว่างผู้นำทั้งสี่มีกฏเกณฑ์วางไว้อย่างชัดเจนว่าจะไม่ก้าวก่ายอาณาเขตการปกครองของกันและกันหากไม่จำเป็น เกาะเล็กเกาะน้อยรอบฮ่องกงเป็นสถานที่ตั้งคลังสินค้าผิดกฏหมาย ไม่ได้มีสถานที่สำคัญที่จะเป็นชนวนเหตุให้เกิดการแทรกแซงเลยสักนิด แล้วคนของไป๋หู่จะขึ้นมาอยู่บนเกาะอย่างนี้ได้อย่างไร?

“ไม่ไว้ใจฝีมือผมหรือครับ?”

“.....เปล่า......” เซินเฟยกล่าวเสียงดังเท่าที่หลอดลมตัวเองจะอำนวย ซึ่งก็ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงหึ่ง ๆ ของยุงสักเท่าไหร่

พูดตามจริงแล้ว เซินเฟยไม่ได้คลางแคลงในฝีมือของฉู่เหวินจือเลยแม้แต่น้อย แต่เขารู้สึกว่าฉู่เหวินจือมีเรื่องปิดบังเขามากเกินกว่าจะไว้ใจในความสัตย์ซื่อได้ แม้ตอนนี้ฉู่เหวินจือจะอยู่ในอาณัติของเขา แต่ก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายเป็นคนของไป๋หู่จะเคยมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรบ้างก็ไม่รู้

เขารู้สึกราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง

ทั้งที่เขาอยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำไมคนสุดท้ายที่เหลือไว้ข้างกายถึงต้องเป็นคนที่เก่งกล้าไม่กลัวตายถึงขนาดบังอาจวางยาข่มขืนเขาด้วยนะ!? ทั้งที่เขาจงใจเก็บฉู่เหวินจือไว้ใกล้ ๆ ก็เพื่อจับตาดูพฤติกรรมเท่านั้น ใครจะคิดว่าชะตาจะต้องกันถึงขนาดต้องมาร่วมหัวจมท้ายในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

“คุณเซิน สรุปว่าคุณจะอนุญาตไหม?” ฉู่เหวินจือยื่นหน้าเข้ามาจนเกือบประชิดด้วยเห็นว่าคู่สนทนาของตนเองเงียบไปนาน เซินเฟยเบิกตาโพลงด้วยความตกใจก่อนจะหรี่ลงอย่างตำหนิ ฉู่เหวินจือจึงยอมถอยออกไปด้วยเกรงว่าเจ้านายจะเกิดไม่พอใจแล้วพาลเย็นขาใส่เหมือนหวางซิง

เซินเฟยทิ้งจังหวะให้ทุกอย่างเงียบสงบอยู่สักพักก็ยกมือขึ้นช้า ๆ ก่อนกระดิกปลายนิ้วให้ฉู่เหวินจือขยับหูเข้ามาใกล้ ๆ
ฉู่เหวินจือโน้มศีรษะลงไปจนหูเกือบจะแนบกับริมฝีปากของผู้สั่ง

“...ถ้านายกล้า....หักหลังฉัน....” เซินเฟยเค้นเสียงออกมาเป็นคำยาว ๆ แต่เชื่องช้าและแผ่วเบาจนเกือบไม่ได้ยิน กระนั้นฉู่เหวินจือก็จับอารมณ์ในน้ำเสียงได้ เขายิ้มให้แก่เซินเฟยแล้วใช้แขนข้างที่ยังปกติดีจับมือที่อ่อนแรงของฝ่ายนั้นพลางยกขึ้นจุมพิต

“ผมคือสุนัขของคุณ”

ระยะนี้เวลาเขาไม่พอใจหรือขู่เข็ญอะไรขึ้นมา ฉู่เหวินจือก็มักจะตอบเช่นนี้จนเขารู้สึกว่ามันกลายเป็นประโยคประจำตัวของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว เซินเฟยคร้านจะต่อปากต่อคำ เขาเองก็ไม่ได้อยู่สภาพจะพูดอะไรได้มาก ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันหนักแน่นอย่างนั้นเขาก็อยากจะลองดูเหมือนกันว่าในสภาพอย่างนี้จะทำอะไรได้ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นโบกเบา ๆ แล้ววางลงที่เดิม นึกสมเพชตัวเองที่แค่ยกแขนก็เหนื่อยเสียแล้ว

ทางฉู่เหวินจือ พอได้รับอนุญาตก็รีบเดินออกไปจากห้อง เซินเฟยนึกสงสัยในจังหวะการเดินของอีกฝ่ายอยู่นานแล้วแต่เพราะคอยังเอี้ยวไม่ถนัดทั้งเสียงก็เปล่งออกมาได้ยากจึงเลือกที่จะเงียบอยู่อย่างนั้นและรอให้ฉู่เหวินจือนึกอยากเล่าเอง

เมื่อประตูปิดลง เซินเฟยก็พรูลมหายใจออกมาก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้า ๆ คิดว่าหากหลับต่ออีกสักตื่นอะไร ๆ อาจจะดีขึ้นก็เป็นได้

----------------------->

“นี่เป็นรายชื่อการ์ดทั้งหมดที่มีหน้าที่คุ้มครองคุณเซินกับรักษาความปลอดภัยบนเรือและชายฝั่งวันนั้นครับ” หวางซิงวางกระดาษหลายแผ่นลงตรงหน้ามู่อี้จิงที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านตระกูลเซิน เหตุผลที่ชายหนุ่มต้องมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะเจ้าตัวเป็นคนออกปากบอกเองว่าให้หวางซิงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหรือไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนคุ้มครอง ดังนั้นเมื่อต้องการจะติดต่อกัน หวางซิงจึงต้องโทรศัพท์ไปเชิญอีกฝ่ายมาสนทนาที่บ้านของตระกูลเซิน

มู่อี้จิงหยิบกระดาษแต่ละแผ่นมากางดู รายชื่อของแต่ละคนไม่ได้คุ้นหูเขาสักเท่าไหร่ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเขาเพิ่งจะเข้ามาทำงานแทนสารวัตรหรงได้ไม่นาน ถึงอย่างนั้นหวางซิงรอบคอบพอจะเอารูปถ่ายของทุกคนใส่ซองเอกสารแนบมาด้วย โดยรูปจะถูกเย็บติดกับชื่อเรียงตามขีดแบบในพจนานุกรม

“แล้วอีกอย่างที่ผมขอไว้ล่ะ?” มู่อี้จิงเอ่ยทวง

“นี่สินะครับ” หวางซิงหยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าเอกสารอีกสองใบ เป็นรูปถ่ายเดี่ยวของจือหยินและหลิงหลิง “แล้วก็....ผมนึกได้ว่าฉู่เหวินจือเคยบังเอิญเก็บภาพสองคนนี้ไว้ได้เหมือนกัน” เขาว่าก่อนจะหยิบภาพอีกใบที่มีขนาดราว ๆ a4 ออกมาวางข้าง ๆ เป็นภาพจือหยินและหลิงหลิงกำลังเดินควงกันอยู่ในย่านร้านค้าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากนี้มากนัก ซึ่งหวางซิงจำได้ว่าเจ้าของภาพเคยเอาขึ้นเดสทอปและยังให้เขาดูในมือถือด้วย

โชคดีที่โน้ตบุ๊คของฉู่เหวินจือถูกทิ้งไว้ที่บ้าน ถึงจะต้องใช้เวลาหาสักหน่อยว่าภาพถูกเซฟไว้ที่ไหน แต่ฉู่เหวินจือก็เป็นคนค่อนข้างมีระเบียบกับการจัดไฟล์เอกสาร เขาจึงหาได้ไม่ยาก

มู่อี้จิงหยิบรูปขึ้นมาพิจารณาทีละใบอย่างใจเย็นราวกับว่าเขามีเวลากับเรื่องนี้ทั้งวัน

“มีอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับ?” หวางซิงเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปจึงเอ่ยถาม พลันนั้นสายตาของเขาเหลือบไปเห็นน้ำชาที่พร่องไปเกือบหมดจึงรีบรินให้โดยไม่ถามว่าจะรับเพิ่มไหม มู่อี้จิงที่เคยชินกับการบริการตนเองจึงเงยหน้าขึ้นมาจากรูปถ่ายแล้วยิ้มเย้า

“ดูคุณจะเคยชินกับการบริการจูเชว่มากเกินไปแล้วนะครับ”

“ไม่เชิงหรอกครับ ยังไงคุณก็เป็นแขก คุณเซินไม่ชอบให้แก้วน้ำชาของแขกพร่องไปมากกว่าครึ่ง เพราะเดี๊ยวจะเป็นการเสียมารยาทน่ะครับ” หวางซิงอธิบายก่อนจะเว้นช่วงนึกอะไรบางอย่าง “ปู่ของผมเองก็บอกว่าจูเชว่สองรุ่นที่แล้วก็เคร่งครัดอย่างนี้เหมือนกัน คนรับใช้ทุกคนในบ้านนี้ส่วนมากเลยถูกสั่งสอนให้ดูแลเจ้าบ้านและแขกอย่างดีห้ามมีการบกพร่องให้ตำหนิได้อย่างเด็ดขาด”

“ตามรับใช้ทุกอย่างอย่างนี้ ไม่กลัวจูเชว่จะกลายเป็นเด็กที่ทำอะไรเองไม่เป็นหรือครับ?” มู่อี้จิงถามพลางก้มลงมองรูปถ่ายอีกครั้ง

“แล้วคุณเห็นคุณเซินเป็นแบบนั้นหรือครับ?” คำถามที่ย้อนกลับมาทำให้มู้อี้จิงพูดอะไรไม่ออก หากเขาตอบรับเดี๋ยวอีกฝ่ายจะโกรธ ครั้นจะปฏิเสธ เขาก็ยังไม่อยากจะขัดความรู้สึกตัวเองที่ว่าเซินเฟยต้องมีคนคอยช่วยเหลือข้าง ๆ ทุกฝีก้าว

“จือหยินคนนี้กับคู่หมั้นรู้จักมักจี่กับจูเชว่เป็นการส่วนตัวหรือครับ?” เมื่อตอบไม่ได้ ตำรวจหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่องเสียดื้อ ๆ

“หมอจือเป็นหมอประจำบ้านครับ ความจริงแล้วตระกูลจือเป็นตระกูลที่รับใช้ตระกูลเซินมาหลายชั่วคนแล้วเหมือนตระกูลหวางของผมนี่แหละครับ เพียงแต่ตระกูลจือไม่ได้เข้ามาสวามิภักดิ์อยู่เป็นคนใน แต่เป็นหมอที่คอยดูแลคนในตระกูลหลักเท่านั้น หมอจือคนนี้เองก็เหมือนกันครับ ปกติจะหาที่บ้านหลังนี้เดือนละครั้งเพื่อตรวจสุขภาพคุณเซินกับนายหญิง” หวางซิงเล่าเท่าที่ตนเองจะรู้เรื่องราว หากต้องการรู้ละเอียดถึงว่าเข้ามาทำงานตั้งแต่สมัยไหนหรือทำไมจึงไม่อยู่เป็นคนในรับใช้อย่างตระกูลหวางคงต้องไปถามปู่ของเขาที่รู้เรื่องนี้ดีกว่า

มู่อี้จิงพยักหน้ารับ เขาไม่ได้อยากรู้ลึกซึ้งอย่างที่หวางซิงกังวล เรื่องในอดีตนั้นเขาไม่คิดว่าจะเกี่ยวกับคดีนี้ เพราะหากมีความเคียดแค้นกันมาหลายรุ่นแล้ว ก่อนหน้านี้น่าจะมีการลงมือบ้าง ไม่ใช่มาลงเอากับจูเชว่คนปัจจุบันที่อยู่ในสายรองมาก่อน เรื่องความแค้นในอดีตจะมีหรือไม่จึงไม่ได้อยู่ในข้อสันนิษฐานหรือความสนใจของมู่อี้จิงเลย

“ถ้าไม่ได้ทำงานรับใช้แบบตระกูลหวาง แสดงว่าทางตระกูลเซินเองก็ไม่ได้ให้เงินเลี้ยงดูสินะครับ แสดงว่าเขาก็น่าจะมีงานทำของตัวเอง”

“ไม่หรอกครับ ถึงจะไม่ได้เข้ามาเป็นคนใน แต่ตระกูลเซินก็ให้ความช่วยเหลือตระกูลบริวารเสมอ ถึงจะไม่ได้ให้เงินเลี้ยงดูแต่ก็เป็นเส้นเป็นสายให้เวลาเข้าเรียน ทำงาน หรือช่วยเหลือยามตกยาก แต่ก็อย่างที่คุณมู่บอกนั่นแหละครับ ยังไงตระกูลบริวารก็ต้องมีงานของตัวเองเพราะไม่เข้ามารับใช้อย่างตระกูลของผม โดยปกติแล้วหมอจือจะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนที่เดียวกับหมอจ้าวครับ”

หากพูดถึงหมอจ้าว ใครในวงการนี้ก็ต้องรู้จักกันทั้งนั้น ซึ่งโรงพยาบาลนี้มู่อี้จิงก็เคยไปเมื่อครั้งที่เซินเฟยถูกยิง เขาจึงนึกออกในทันที

“ใช้เส้นตระกูลเซินหรือครับ?” ที่มู่อี้จิงถามเช่นนี้ไมได้ตั้งใจจะดูถูกความสามารถของจือหยิน แต่โรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ใช่ว่าหมอจบใหม่ที่ไหนก็เข้าได้

“ส่วนหนึ่งก็เป็นอย่างนั้นครับ เพราะนอกจากนี้หมอจือยังมีความสนิทสนมกับหมอจ้าวเพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องจากวิทยาลัยเดียวกัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่าหมอจือเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่แล้วครับ” หวางซิงช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยเกรงว่ามู่อี้จิงจะเข้าใจผิดว่าเจ้าบ้านตระกูลเซินหลับหูหลับตาสนับสนุนแต่คนของตัวเองโดยไม่ดูความสามารถ

มู่อี้จิงพยักหน้ารับ เขาคิดว่าจือหยินคนนี้เป็นคนที่ดวงคนอุปถัมป์จริง ๆ เพราะนอกจากจะเป็นคนในตระกูลบริวารของตระกูลเซินแล้ว ยังมีความสนิทสนมกับหมอจ้าวซึ่งไม่ใช่แค่หมอธรรมดา แต่เป็นหมอที่มีอิทธิพลในวงการใต้ดินของฮ่องกงเพราะฐานะที่ใกล้ชิดกับคนใหญ่คนโตของเจ้าตัวและยังมีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับตลาดมืดที่ค้าอวัยวะมนุษย์อีกด้วย

“ตัวหมอจือเองมีนิสัยยังไงครับ?”

“เท่าที่ผมสังเกต หมอจือเป็นคนใจดีและอ่อนโยนนะครับ เพียงแต่ว่านิสัยเหล่านั้นมักถูกปลูกฝังด้วยจรรยาบรรณการแพทย์อยู่แล้ว โดยส่วนตัวผมคิดว่านิสัยจริง ๆ ของหมอจือออกจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจและตกประหม่าง่าย เพราะอย่างนั้นถึงมักจะเข้าหาคนที่ดูคุยง่ายและมักหลีกเลี่ยงคุณเซินที่เป็นคนเคร่งครัดเจ้าระเบียบโดยไม่รู้ตัวน่ะครับ” หวางซิงตั้งข้อสังเกตเท่าที่ตัวเองรู้ เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับจือหยินมากนัก

“แล้วคู่หมั้นล่ะครับ?” มู่อี้จิงถามต่อพลางทวนนิสัยของจือหยินอยู่ในใจประกอบกับคำให้การที่ตำรวจได้มา

“คุณหลิงหลิงหรือครับ?” หวางซิงทวนก่อนจะมุ่นคิ้ว “ภายนอกแล้วเธอดูเป็นคนร่าเริงดีนะครับ ช่างพูดช่างเจรจา ยิ่มแย้มแจ่มใส แต่ผมคิดว่าคนแบบนี้ลึก ๆ แล้วน่าจะมีอะไรอยู่ในใจ”

“นั่นคือการวิเคราะห์ของคุณสินะ”

“ทำไมหรือครับ?” หวางซิงเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาเมื่อได้ยินคำพูดแปลกหู

“เปล่าครับ” มู่อี้จิงตอบก่อนจะรวบกระดาษและรูปถ่ายทั้งหมดเข้าไปในซองเอกสาร “วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน ข้อมูลที่คุณให้มาต้องไม่เสียเปล่าแน่นอน”

“ถ้าหากว่าสามารถหาตัวคุณเซินได้พบเร็ว ๆ ก็คงดีนะครับ” เลขาหนุ่มถอนหายใจเฮือก มู่อี้จิงเห็นท่าทางเป็นห่วงเจ้านายอย่างนั้นก็อดสงสารไม่ได้ เขาจึงส่งยิ้มแทนกำลังใจกลับไป หวางซิงจึงพอจะยิ้มออกได้บ้าง เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งมู่อี้จิงถึงหน้าประตู เมื่อนายตำรวจหนุ่มจากไปแล้วเขาก็ได้แค่ทอดถอนใจอยู่คนเดียว

ขอให้คุณเซินปลอดภัยดีด้วยเถอะ....


TBC

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #259 เมื่อ17-03-2011 14:01:20 »

:z13: :z13: :z13:ตอนใหม่มาแล้วๆ :z2: :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
« ตอบ #259 เมื่อ: 17-03-2011 14:01:20 »





ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #260 เมื่อ17-03-2011 14:09:57 »

ลึกลับ  ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน  โอ๊ยยย  ไม่อยากคาดเดาอะไรทั้งนั้น  รอ ๆ ๆ และรออ่านตอนต่อไปดีกว่า

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #261 เมื่อ17-03-2011 14:19:32 »

ว้าวๆๆๆๆในที่สุดเซินเฟยก็ปลอดภัยแล้ว


เรื่องราวมันซับซ้อนจริงๆหลิงหลิงน่าสงสัยจังอ่ะ

casper75

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #262 เมื่อ17-03-2011 15:46:47 »

หลิงหลิงน่าสงสัยนะเนี่ย แปลกๆ

เซินเฟยปลอดภัยแล้ว อย่าให้มีคนมาทำร้ายอีกนะ ยิ่งขยับไม่ได้อยู่


รอค่ะ >o<

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #263 เมื่อ17-03-2011 18:01:44 »

เริ่มจะเข้มข้นขึ้นมาแล้วสิ อิอิ

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #264 เมื่อ17-03-2011 19:02:16 »

เย้ เจอเฟยเฟยแล้ว

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #265 เมื่อ17-03-2011 19:17:39 »

 o18

ลุ้นๆๆๆ

เข้มข้นเรื่อยๆแล้ววว

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #266 เมื่อ17-03-2011 20:02:43 »

ตัวเอกต้องไม่เป็นอะไรจริง ๆ ด้วย ( แค่ตอนนี้ เสี่ยวเฟย ขยับไม่ได้เท่านั้นเอง )
เนื้อเรื่องลึกลับซ่อนเงื่อนเกินจะคาดเดา ฉนั้นขอรอลุ้นอย่างเดียวล่ะกัน ~ :z2:

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #267 เมื่อ18-03-2011 02:10:01 »

+1 ไปเลยค่ะ
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
อ่านรวดทีเดียวเลยค่ะ

ถ้าเป็นหนังสือก็คงบอกว่าวางไม่ลง มีอะไรให้ต้องลุ้นตลอดเรื่อง และก็แอบเครียดตามตัวละครไปด้วย เหอๆ (อ่านจบนี่บอกตามตรง มึนหัวค่ะ ท่าทางจะติดไมเกรนมาจากเฟยเฟย)

นายฉู่พระเอก(สินะคะ?)ของเรานี่ เดาทางยากจัง แบบว่าไม่รู้ว่ามาดีรึมาร้ายกันแน่ ชอบทำตัวลึกลับ แบบว่าพอกำลังคิดว่ามันจุดประสงค์ร้ายแน่ๆ แต่กลับทำตัวดีซะงั้น แต่พอกำลังคิดว่ามาดี กลายเป็นเจ้าตัวดูร้าย เรื่องหักมุมตลอด ต้องลุ้นต้องเชียร์ตลอดเลยค่ะ

แอบเซ็งนิดๆ นายฉู่นี่่น้า จะดีก็ดีไม่ตลอดรอดฝั่ง แล้วก็แอบหวังตามประสาคนอ่านผู้อินนิยายสุดๆแหละค่ะ ว่าหมอนี่น่าจะรู้สึกอะไรพิเศษกะเฟยเฟยของเราบ้าง แต่แหมพี่ท่านก็ช่างไร้ความสนใจอย่างสิ้นเชิงกะเรื่องรักๆใคร่ๆซะอย่างนั้น(รึป่าว?) ถ้าไม่งั้นก็เป็นคนแสดงออกได้ไร้ความรู้สึกสุดๆ

เลยทำให้...หมั่นไส้นายฉู่สุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยคร่า

ออฟไลน์ Isuru

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
«ตอบ #268 เมื่อ18-03-2011 12:40:31 »

อ๊ากกกกกกก  ค้างอย่างรุนแรง
เงื่อนงำเยอะไปไหนคะเนี่ย
ลุ้นๆทุกตอนเลยค่ะ แต่งสนุกมาก
สำนวนการแต่งอ่านแล้วลื่นไหลไม่สะดุด
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
«ตอบ #269 เมื่อ18-03-2011 16:09:16 »

-23-


เมื่อเซินเฟยหายตัวไป ตำแหน่งที่ว่างลงไม่ใช่พียงตำแหน่งจูเชว่เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงตำแหน่งประธานเครือธุรกิจตระกูลเซินด้วย ภายในองค์กร เมื่อผู้นำหายไป เพียงรอเวลาแต่งตั้งผู้นำใหม่ก็ไม่มีปัญหาเพราะแต่เดิมองค์กรเหล่านี้ก็จัดแบ่งหน้าที่กันเป็นสัดส่วนอยู่แล้ว ผู้นำองค์กรมีหน้าที่เพียงคอยดูแลความเรียบร้อยและกำราบคนที่คิดกำแหงเท่านั้น ต่สำหรับธุรกิจบริษัทนั้นไม่เหมือนกัน ประธานมีหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับทุก ๆ เรื่องภายในบริษัท ซึ่งหากขาดประธษนไปเสียแล้ว งานในบริษัทที่นอกเหนือจากงานประจำของพนักงานและโครงการที่ผ่านการอนุมติแล้วจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้เลย

ทันทีที่ข่าวการระเบิดแพร่สะพัดออกไปในหมู่นักธุรกิจ เครือตระกูลเซินก็ถึงคราต้องระส่ำระสาย ผู้บริหารแต่ละคนต้องถูกนักข่าวตามตื้อแทบไม่เป็นอันทำงาน คำถามที่พวกเขาพบบ่อย ๆ คือ จะจัดการอย่างไรกับเครือธุรกิจนี้ต่อไป ใครจะขึ้นเป็นประธานแทน และพวกเขาจะถอนหุ้นหรือไม่

คำถามที่ตอบยากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่ว่า ใครจะเป็นประธานคนต่อไป

สำหรับเครือธุรกิจหรือบริษัททั่วไป เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เสียชีวิตจะต้องมีทายาทรับมรดก หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น ผู้ที่สามารถช้อนซื้อหุ้นได้จำนวนมากจะจะได้เป็นประธาน ทว่าสำหรับเครือธุรกิจของตระกูลเซินนั้นต่างออกไป เนื่องจากเป็นเครือธุรกิจที่ผูกขาดให้คนในตระกูลเท่านั้นจึงจะเป็นประธานได้ ด้วยเหตุนั้น หุ้นทั้งหมดในเครือจึงอยู่ในชื่อของตระกูลเซิน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ผู้ที่มีสิทธิจัดการกับหุ้นจำนวนมากนี้ถูกระบุให้เป็นเจ้าบ้านตระกูลเซินเพียงผู้เดียว ซึ่งตอนนี้ทางตระกูลยังไม่ได้ตกลงใจจะให้ใครเข้ามาแทนที่ เพราะเซินเฟยไม่มีทายาท

คำถามนี้ได้ถูกส่งต่อไปยังบ้านใหญ่ของตระกูลเซินด้วยเช่นกัน นักข่าวก็มารอสืบถามข้อมูลหน้าบ้านแทบทุกวันจนต้องเพิ่มจำนวนการ์ดประจำหน้าประตู ส่วนหวางซิงได้ใช้อำนาจที่ตนมีอยู่กดดันไปทางเจ้าของสำนักหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ต่าง ๆ ให้จัดการปิดข่าวนี้โดยไว ด้วยความที่หวางซิงเป็นเลขาคนสนิท และก่อนเกิดอะไรขึ้นเซินเฟยเคยเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งให้หวางซิงจัดการความเรียบร้อยทุกอย่างได้เมื่อตัวเขาไม่อยู่ ดังนั้นสำนักข่าวทั้งหลายจึงไม่กล้าใส่สีตีข่าวนี้มากนัก ทั้งยังปรามคนของตนเองไม่ให้ก่อความวุ่นวายด้วย

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หวางซิงตัดสินใจว่าจะอยู่ในบ้านเฉย ๆ ไม่ได้ เขาควรจะเข้าบริษัทเพื่อให้ความมั่นใจกับผู้บริหาร มิเช่นนั้นคงได้ถอนหุ้นกันหมดเป็นแน่

หวางซิงยังจำได้ถึงคำเตือนของมู่อี้จิง เขาจึงจัดจำนวนการ์ดราว 10 คนให้ทำหน้าที่คุ้มกัน

เส้นทางที่ใช้เดินทางไปยังบริษัทยังคงถูกจับตาดูอย่างเคร่งครัดเหมือนตอนที่เซินเฟยยังอยู่ เพราะอย่างไรเสีย แม้เซินเฟยจะไม่กลับมาแต่เจ้าบ้านคนใหม่ก็ยังต้องใช้เส้นทางนี้เดินทางไปบริษัทอยู่ดี

สำนักงานหลักของเครือธุรกิจตระกูลเซินเป็นตึกหลังใหญ่บนพื้นที่กว้างและมีอาคารย่อยอยู่รอบ ๆ อาคารหลักคืออาคารที่สูงที่สุดโดยมีห้องของประธานอยู่ชั้นบนทำให้สามารถมองจากหน้าต่างลงมาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องล่างตั้งแต่หน้าประตูบริษัทไปจนถึงสวนด้านหน้า

เหนือประตูใหญ่ของอาคารหลักมีตราสัญลักษณ์รูปหงส์ซึ่งเป็นตราของตระกูลเซินประดับอยู่

หวางซิงเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่เขาก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นมองตราหงส์สีแดงเหนือประตูไม่ได้ ตรานั้นมักให้ความรู้สึกกดดันเวลาจ้องมองเสมอ เพราะนอกจากจะเป็นตราประจำตระกูลเซินแล้ว ยังเป็นตราสัญลักษณ์ของตำแหน่งจูเชว่ด้วย

เมื่อเดินเข้าไป พนักงานทุกคนก็มองเขาด้วยสายตาคาดหวัง ทว่าก็ต้องผิดหวังในเวลาต่อมาเมื่อไม่ปรากฏร่างของประธานบริษัท

หวางซิงใช้ลิฟต์พิเศษขึ้นไปชั้นบน เขามักจะต่องใช้ลิฟต์นี้บ่อยครั้ง บ่อยยิ่งกว่าที่เจ้าของตัวจริงใช้เสียอีก เพราะเขามักจะเป็นคนประสานงานแทนตัวประธานดังนั้นจึงต้องขึ้นและลงระหว่างชั้นเป็นประจำ

การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าด้านบนต่างทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเมื่อเขาขึ้นมาถึง หวางซิงรู้สึกได้ทันทีว่าต้องมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลจึงรีบสาวเท้าไปยังห้องประธานอย่างว่องไว

เพราะเซินเฟยไม่อยู่ หวางซิงจึงไม่มีความจำเป็นต้องเคาะประตูและเปิดเข้าไปได้โดยไม่ต้องรอคำขออนุญาต ทว่า ในห้องที่ควรจะไร้ผู้คนจับจอง กลับมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะประธานด้วยท่าทางวางเขื่องไม่เกรงใจใคร เจ้าตัวนั่งเอนหลังบนเก้าอี้สูง ยกเท้าวางไขว้บนโต๊ะและดื่มชาในถ้วยที่เซินเฟยมักใช้เป็นประจำ

หวางซิงเบิกตากว้างและยืนค้างอยู่ตรงหน้าประตู การ์ดคนอื่น ๆ ได้แต่รอรับคำสั่งอยู่ด้านหลังด้วยไม่มีอำนาจลงมือทำอะไรโดยพลการ

“มาช้านะอาซิง ฉันรอตั้งนานแน่ะ อาเฟยช่างเลิ่นเล่อกับการอบรมเลขาจริง ๆ” ชายคนนั้นกล่าวตำหนิพลางยกแก้วชาขึ้นซด

“ขออภัยด้วยครับ แต่ผมไม่ใช่เลขาของคุณ” หวางซิงจ้องตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยท่าทีไม่ต้อนรับ

“ไม่ใช่เลขาของฉัน? แล้วทำไมถึงขึ้นมาบนนี้ได้ล่ะ ชั้นนี้มันชั้นอภิสิทธิ์ของประธานกับเลขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ?” เซินหยู่แสยะยิ้มแล้วตวัดขาลงจากโต๊ะ “ในเมื่อไม่ใช่เลขาก็รีบไปซะก่อนที่ฉันจะเอาเรื่อง เด็ก ๆ ลากตัวหวางซิงออกไป” เขาออกคำสั่งกับพวกการ์ดที่รอด้านนอก ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครกล้าขยับตัว เพราะเซินหยู่ไม่ใช่เจ้านายของพวกเขาและหวางซิงก็มีอำนาจสั่งการแทนเซินเฟยอยู่ ณ เวลานี้

“ครับ ชั้นนี้มีแต่ประธานกับเลขาเท่านั้นที่ขึ้นมาได้ แต่คนที่ควรถูกลากออกไปไม่ใช่ผม แต่เป็นคุณต่างหากคุณเซินหยู่” หวางซิงตอบโต้ “ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าคุณเอารหัสลิฟต์มาจากไหน แต่ถึงยังไงคุณก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าบ้านตระกูลเซินจึงไม่มีสิทธิจะเข้ามาในห้องนี้ได้”

ก่อนหน้านี้ เซินหยู่เคยขึ้นมานั่งในห้องนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นหวางซิงก็ยังติดใจว่าอีกฝ่ายได้รหัสลิฟต์มาอย่างไร แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจึงทำการเปลี่ยนรหัส แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังขึ้นมาได้ แสดงว่าต้องซื้อรหัสจากการ์ดสักคนหนึ่งอย่างแน่นอน

“ก็ไม่เชิงแบบนั้นหรอกนะอาซิง” เซินหยู่ยังคงไม่ยอมลุกออกไป เจ้าตัวจิบชาอีกอึกหนึ่งเสมือนว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ใจเย็นลงพอที่จะไม่อารมณ์เสียใส่เลขาขอลูกชายเสียก่อน “แต่ว่า ถ้าเป็นผู้รักษาการณ์แทน มันก็น่าจะพอทดแทนกันได้จริงไหม?”

“ผู้รักษาการณ์แทน?” หวางซิงมุ่นคิ้ว

“ใช่ นี่ไง” เซินหยู่หยิบหนังสือลงนามฉบับหนึ่งร่อนไปในอากาศแล้วทิ้งตัวลงที่ปลายเท้าหวางซิง เลขาหนุ่มก้มลงหยิบขึ้นมาอ่านก่อนจะเบิกตากว้าง

รายชื่อที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษคือรายชื่อของผู้บริหารทั้งหมดในเครือธุรกิจตระกูลเซิน ซึ่งลงนามรับรองให้เซินหยู่เป็นผู้รักษาการณ์แทนตำแหน่งประธาน มีอำนาจตัดสินใจแทนประธานกึ่งหนึ่งซึ่งถือว่าเทียบเท่ากับอำนาจของหวางซิงที่สามารถจัดการความเรียบร้อยทุกอย่างในบริษัทได้ เพียงแต่อำนาจของหวางซิงนั้นครอบคลุมไปถึงองค์กรใต้ดินด้วยเท่านั้น

“ของแบบนี้มัน.....” หวางซิงกัดริมฝีปากและเกร็งปลายนิ้วจนกระดาษยับย่น

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ! ยังไงเลขาหวางก็ได้รับการมอบอำนาจโดยตรงจากท่านจูเชว่” การ์ดคนหนึ่งก้าวออกมาแก้ต่างด้วยความอดรนทนไม่ไหว

“ก็ใช่ แต่ยังไงก็ด้วยตำแหน่งเลขา ส่วนฉันน่ะ เป็นตำแหน่งผู้รักษาการณ์แทนประธานย่อมมีอำนาจเหนือกว่าเลขาอยู่ขั้นหนึ่ง จริงไหม?” เซินหยู่ไหวไหล่ “เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่มีอำนาจไล่เลขายอดเยี่ยมที่ได้รับการมอบอำนาจโดยตรงออก ดังนั้นถึงจะไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ นายก็ต้องทำงานให้ฉัน”

ความเงียบกดทับลงมาบนไหล่จนรู้สึกหนักอึ้ง หวางซิงสูดหายใจเข้าลึกหลายครั้งเพื่อควบคุมสติและอารมณ์ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“ทราบแล้วครับ” การตอบรับของหวางซิงทำให้การ์ดทุกคนในที่นั้นหันมองด้วยความตกใจ

“เดี๋ยวก่อนสิครับเลขาหวาง!”

“แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะครับ!”

เสียงคัดค้านเอ็ดตะโรจนลั่นทางเดิน หวางซิงยกมือปรามเงียบ ๆ ก่อนจะมองตรงไปยังเซินหยู่อย่างแน่วแน่

“แต่โปรดเข้าใจด้วยนะครับคุณเซินหยู่ ด้วยตำแหน่งของผมขณะนี้ผมมีสิทธิตัดสินใจได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของคุณ คุณสามารถสั่งการผมได้ในหน้าที่ของเลขาเท่านั้น”

เซินหยู่ชะงักไปก่อนจะฝืนแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง ตอนแรกเขาคิดว่าจะทำให้เลขาผู้จองหองของลูกชายยอมสยบได้ ทว่าผู้ชายคนนี้กลับมีเขี้ยวเล็บมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ จนถึงเวลานี้ยังยืนตัวตรงไม่คิดอ่อนข้อลงเลยแม้แต่น้อย มันช่างน่าหงุดหงิดจริง ๆ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” หวางซิงทำท่าจะเดินออกไป ทว่ากลับมีเสียงเรียกเสียก่อน

“เดี๋ยว ฉันมีสิ เป็นเลขาที่ชอบพูดเองเออเองซะจริงนะเรานี่” เซินหยู่ว่าและรอจนกระทั่งหวางซิงหมุนตัวกลับมายืนตรงจึงพูดต่อ “ช่วยต่อสายโทรศัพท์หาสารวัตรหรงให้ด้วย”

“เพื่ออะไรครับ?”

“ปกติตอนอาเฟยสั่ง นายต้องถามเหตุผลทุกครั้งหรือไง?”

“......” หวางซิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายโดยดี แต่พอจะกดโทรออก โทรศัพท์เครื่องนั้นกลับถูกฉวยไปจากมือ เซินหยู่กดโทรออกเสียเองแล้วยกแนบหู หวางซิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรจึงได้แต่ยืนรอจนกระทั่งได้ยินเสียงตอบโต้

“สารวัตรหรง ผมเซินหยู่พ่อของจูเชว่นะครับ” เซินหยู่กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ก่อนหันมามองหวางซิงแล้วแสยะยิ้มชั่วร้าย “ผมต้องการยกเลิกการตามหาตัวจูเชว่”

คำพูดนั้นเหมือนตุ้มน้ำหนักกดลงมาบนสมองของหวางซิง ปลายมือหลายเท้าชาวูบไร้ความรู้สึกทันที

“อะไรนะ!” ก่อนที่หวางซิงจะได้อ้าปากคัดค้าน เสียงคำรามของเซินหยู่ก็ดังขึ้นเสียก่อน เจ้าตัวตบมือลงบนโต๊ะเสียงดังปังก่อนจะกดตัดสายด้วยความโมโห คนอื่น ๆ ได้แต่ยืนมองเพราะไม่รู้ว่าสารวัตรหรงพูดอะไรเข้าจึงได้อารมณ์เสียถึงขนาดนี้ เซินหยู่หันกลับมาหาหวางซิงอีกครั้ง “อาซิง! โทรหามู่อี้จิง!”

มู่....อี้จิง?

หวางซิงเริ่มปะติดปะต่ออย่างรวดเร็ว

ตอนนี้มู่อี้จิงเข้ามาทำงานให้จูเชว่แทนสารวัตรหรงแล้ว แม้แต่คดีที่เซินเฟยหายตัวไปมู่อี้จิงก็เป็นคนรับผิดชอบ แต่เพราะเพิ่งเข้ามาทำแทนในบางส่วนเซินหยู่จึงไม่รู้เรื่องนี้และคิดว่าสั่งการสารวัตรหรงได้

โทรศัพท์มือถือถูกยื่นมาตรงหน้า หวางซิงเม้มปากก่อนจะตอบ

“ไม่ครับ”

“อะไรนะ!?” เซินหยู่เค้นเสียงลอดไรฟัน

“ถ้าคุณจะสั่งให้เลิกการตามหาคุณเซิน ผมคงติดต่อให้ไม่ได้ครับ” หวางซิงพูดพลางขยับแว่นแล้วยืนกุมมือนิ่งไม่ยอมยื่นมือไปรับโทรศัพท์มือถือที่ถูกยื่นมาให้

เซินหยู่โมโหจนเส้นประสาทเต้นตุบ ๆ เขาเงื้อมือขึ้นสูงก่อนจะออกแรงเหนี่ยวมือข้างที่ยังถือโทรศัพท์อยู่นั้นกระแทกลงบนใบหน้าของหวางซิงเต็มแรง แต่เพราะหวางซิงเกรงแว่นจะแตกจึงเอี้ยวใบหน้าหลบ โทรศัพท์จึงกระแทกถูกขมับพอดีก่อนถลาไปด้านหลัง การ์ดที่ยืนอยู่รีบผวาเข้ามารับไว้ทันก่อนหวางซิงจะเซล้ม แม้การถูกกระแทกด้วยโทรศัพท์เครื่องบาง ๆ จะไม่ถึงกับเลือดตกยางออกแต่ก็ทำให้เกิดรอยแดงช้ำค่อนข้างชัดเจนที่หางคิ้ว

“ออกไป! ออกไปให้หมด!” เซินหยู่เริ่มอาละวาดปัดกองเอกสารร่วงลงมากระจายบนพื้น ของประดับบนตู้เอกสารที่ทำจากแก้วถูกปัดลงมาแตกหลายชิ้น

หวางซิงขยับแว่นที่เลื่อนหลุดไปเล็กน้อยให้เข้าที่ก่อนก้มลงเก็บมือถือตนเองขึ้นมาแล้วโค้งให้ตามหน้าที่ เขาหันไปพยักหน้าให้การ์ดที่ยืนมุงดูสถานการณ์ ทุกคนจึงพากันทยอยเดินออกไปแล้วเปิดประตูให้เซินหยู่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้องประธานที่เจ้าตัวอยากได้นักหนา

เซินหยู่ตวัดขาเตะกองแฟ้มที่ตกตรงปลายเท้าออกไปด้วยโทสะก่อนจะเดินไปกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประธาน

ไอ้ลูกไม่รักดีคนนั้น ตายไปแล้วแท้ ๆ ยังสร้างความวุ่นวายให้เขาไม่สิ้นสุด แค่กฎบ้า ๆ อย่างต้องรอถึง 100 วันถึงจะมีการแต่งตั้งนั่นก็ทำให้เขาร้อนใจแทบบ้าแล้ว ยังต้องมาเจอหวางซิงตอกหน้าเจ้าอีก ลูกชายของเขามันมีบารมีอะไรนักหนาถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปครองเสียหมด กระทั่งลูกน้องยังซื่อสัตย์อย่างกับสุนัข ทั้งที่ปกติตอนนี้ควรจะเริ่มมาเลียแข้งเลียขาเขาได้แล้ว

คอยดูเถอะ....ถ้าเขาได้เป็นใหญ่เมื่อไหร่ จะไล่ออกซะให้หมด! พอไม่มีอะไรจะกินคงได้รู้ซะบ้างว่าควรอ่อนน้อมกับใคร!

------------------------>

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับเลขาหวาง?” การ์ดคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อหวางซิงเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเอาผ้านวดคลึงขมับตัวเองอยู่

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่เลือดคั่งจนแดงช้ำเท่านั้นเอง พรุ่งนี้คงเปลี่ยนเป็นสีม่วง ๆ แล้วก็ค่อย ๆ จางไปเอง” หวางซิงว่าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาประมาทเซินหยู่เกินไป ไม่คิดว่าพอถูกปรามจากที่บ้านแล้วจะหันมาโจมตีที่บริษัทต่อ ซ้ำตอนนี้ความมั่นใจของผู้บริหารที่มีต่อเซินเฟยก็เริ่มคลอนแคลน คนอย่างเซินหยู่มีหรือจะปล่อยให้โอกาสอย่างนี้หลุดลอย

“แล้วจะทำยังไงต่อดีล่ะครับ....”

บอดี้การ์ดนั้นไม่เหมือนเลขา หวางซิงได้รับมอบอำนาจให้ดูแลจัดการได้ตามความเหมาะสม ทว่าการ์ดทุกคนมีหน้าที่ต้องปกป้องผู้ดำรงในตำแหน่งนั้น ๆ ตอนนี้พวกเขาจะมีทางเลือกอื่นใดนอกจากทำตามคำสั่งของเซินหยู่

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมได้รับมอบอำนาจมากึ่งหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่ามันมีความแตกต่างอยู่” หวางซิงลดมือที่คลึงรอยช้ำลง “คุณเซินหยู่มีอำนาจแต่การสั่งการในบริษัทซึ่งรวมถึงรปภ. แต่ว่าหัวหน้าการ์ดยังอยู่ใต้การบัญชาของผม ดังนั้นพวกคุณซึ่งเป็นการ์ดก็นับเป็นคนของผมเช่นเดียวกัน”

เมื่อได้ยินหวางซิงพูดเช่นนั้น หลาย ๆ คนก็โล่งอก แต่หวางซิงกลับไม่ได้โล่งอกไปด้วย เพราะตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเกินคาดคิด อำนาจสูงสุดของบริษัทถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน เขาที่มีดีแค่ทำตามคำสั่งเซินเฟยมาโดยตลอดจะเอาอะไรไปสู่รบปรบมือกับคนเจ้าเล่ห์อย่างเซินหยู่กัน แต่เขาก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังด้วยเกรงว่าจะตกตื่นกันไปหมด

หวางซิงฝืนทำหน้าเฉยเมยราวกับว่าไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเพื่อให้กำลังใจคนอื่น ๆ ที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนกับการเปลี่ยนแปลง นึกอยากระบายออกมาก็ทำไม่ได้ แต่ในจังหวะที่เขากำลังอัดอั้นตันใจนั้นเอง โทรศัพท์สายหนึ่งก็เรียกเข้ามา หวางซิงสะดุ้งเฮือกรีบกดรับโดยไม่ทันได้มองชื่อ

“ตอนนี้คุณว่างหรือเปล่า?”

“.....คุณมู่!?” หวางซิงไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะโทรมาหา

“เอาล่ะ ยังไม่ต้องเล่าอะไรหรอก ผมแค่อยากถามว่าช่วยออกมาพบผมตอนนี้ได้ไหม?” มู่อี้จิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง หวางซิงจึงเก็บน้ำเสียงตระหนกของตนเองไว้ในคอแล้วตอบกลับไป

“ได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น อีก 10 นาทีผมจะไปรับที่หน้าบริษัท”

ทั้งสองนัดแนะกันอย่างดิบดีก่อนจะวางสาย เมื่อถึงเวลา รถตำรวจของมู่อี้จิงก็มาจอดรอที่หน้าบริษัท หวางซิงเดินออกไปพบโดยลำพังก่อนที่ทั้งสองจะขับรถออกไปด้วยกัน

--------------------->

หลังจากได้แต่นอนบนเตียงอยู่สองวัน เซินเฟยก็ลุกขึ้นได้โดยมีพยาบาลเป็นผู้ช่วยแต่ยังมีอาการปวดยอกอยู่เล็กน้อยเวลาขยับตัว และในวันที่ห้านับจากตื่นขึ้นมาเขาลุกขึ้นมานั่งที่ขอบเตียงเองได้เมื่อตื่นขึ้นในตอนสายเนื่องจากฤทธิ์ของยาแก้อักเสบที่กินเข้าไปกลางดึก และพบว่าฉู่เหวินจือไม่ได้อยู่ในห้องด้วย ช่วงสองวันที่ผ่านมาฉู่เหวินจือก็ไม่ค่อยได้อยู่ในห้องสักเท่าไหร่อยู่แล้ว เจ้าตัวเอาแต่วิ่งเล่นนักสืบในโรงพยาบาลทุกวัน ตัวเซินเฟยเองก็คร้านจะทักท้วงจึงปล่อยให้อีกฝ่ายไปทำตัวเป็นนักสืบตามใจชอบเพราะคิดว่าการอยู่เฉย ๆ คงทำให้คนอย่างฉู่เหวินจือเบื่อหน่ายเอาการ เพราะก่อนเรือจะระเบิด เจ้าตัวก็วิ่งไปทำงานกับเหล่าโหวเกือบทุกวันเหมือนกัน

“ตายจริง คุณหวางตื่นแล้วหรือคะ?” นางพยาบาลที่ทำหน้าที่เช็ดตัวให้เดินเข้ามาในห้อง เธอวางอุปกรณ์ลงข้างเตียงแล้วรูดผ้าม่านปิด

“ผมยังอาบน้ำเองไม่ได้หรือครับ?” เซินเฟยเอ่ยถาม จริงอยู่ว่าตลอดห้าวันมานี้เขาถูกบริการมาตลอด แต่ความกระดากอายก็ไม่ได้ลดเลือนหายไปไหน แค่ทำแข็งใจให้มันผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น

“เดี๋ยวต้องให้หมอถงเข้ามาดูอาการก่อนนะคะ” นางพยาบาลว่าแล้วดึงม่านจนเรียบร้อย เธอรู้ว่าผู้ป่วยคนนี้เป็นคนขี้อายมากผิดกับเพื่อนร่วมห้องที่มาด้วยกันลิบลับ ด้วยเหตุนั้นเมื่อถึงเวลาอาบน้ำทีไรเธอจะต้องปิดม่านจนเรียบร้อยและใช้ตัวหนีบหนีบไว้ไม่ให้ลมพัดเปิดได้

เซิยเฟยถอดเสื้อออกเอง เขารู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ไม่ได้สวมกระทั่งกางเกงเพราะต้องขับถ่ายบนเตียง เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เซินเฟยคับอกคับใจไม่อยากจะพูดถึง แม้ภายนอกเขาจะดูเย็นใจแต่ความจริงเขาเฝ้ารอเวลาที่จะได้ลุกเดินเหินเองได้จนแทบทนไม่ไหว

นางพยาบาลสาวปรนนิบัติหนุ่มน้อยบนเตียงโดยไม่รู้สึกเก้อเขิน กว่าเธอผ่านหลักสูตรพยาบาลมาก็ทำเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จึงไม่รู้สึกผิดแปลกอะไรกับเรือนร่างผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่ง


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด