-23-
เมื่อเซินเฟยหายตัวไป ตำแหน่งที่ว่างลงไม่ใช่พียงตำแหน่งจูเชว่เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงตำแหน่งประธานเครือธุรกิจตระกูลเซินด้วย ภายในองค์กร เมื่อผู้นำหายไป เพียงรอเวลาแต่งตั้งผู้นำใหม่ก็ไม่มีปัญหาเพราะแต่เดิมองค์กรเหล่านี้ก็จัดแบ่งหน้าที่กันเป็นสัดส่วนอยู่แล้ว ผู้นำองค์กรมีหน้าที่เพียงคอยดูแลความเรียบร้อยและกำราบคนที่คิดกำแหงเท่านั้น ต่สำหรับธุรกิจบริษัทนั้นไม่เหมือนกัน ประธานมีหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับทุก ๆ เรื่องภายในบริษัท ซึ่งหากขาดประธษนไปเสียแล้ว งานในบริษัทที่นอกเหนือจากงานประจำของพนักงานและโครงการที่ผ่านการอนุมติแล้วจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้เลย
ทันทีที่ข่าวการระเบิดแพร่สะพัดออกไปในหมู่นักธุรกิจ เครือตระกูลเซินก็ถึงคราต้องระส่ำระสาย ผู้บริหารแต่ละคนต้องถูกนักข่าวตามตื้อแทบไม่เป็นอันทำงาน คำถามที่พวกเขาพบบ่อย ๆ คือ จะจัดการอย่างไรกับเครือธุรกิจนี้ต่อไป ใครจะขึ้นเป็นประธานแทน และพวกเขาจะถอนหุ้นหรือไม่
คำถามที่ตอบยากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่ว่า ใครจะเป็นประธานคนต่อไป
สำหรับเครือธุรกิจหรือบริษัททั่วไป เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เสียชีวิตจะต้องมีทายาทรับมรดก หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น ผู้ที่สามารถช้อนซื้อหุ้นได้จำนวนมากจะจะได้เป็นประธาน ทว่าสำหรับเครือธุรกิจของตระกูลเซินนั้นต่างออกไป เนื่องจากเป็นเครือธุรกิจที่ผูกขาดให้คนในตระกูลเท่านั้นจึงจะเป็นประธานได้ ด้วยเหตุนั้น หุ้นทั้งหมดในเครือจึงอยู่ในชื่อของตระกูลเซิน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ผู้ที่มีสิทธิจัดการกับหุ้นจำนวนมากนี้ถูกระบุให้เป็นเจ้าบ้านตระกูลเซินเพียงผู้เดียว ซึ่งตอนนี้ทางตระกูลยังไม่ได้ตกลงใจจะให้ใครเข้ามาแทนที่ เพราะเซินเฟยไม่มีทายาท
คำถามนี้ได้ถูกส่งต่อไปยังบ้านใหญ่ของตระกูลเซินด้วยเช่นกัน นักข่าวก็มารอสืบถามข้อมูลหน้าบ้านแทบทุกวันจนต้องเพิ่มจำนวนการ์ดประจำหน้าประตู ส่วนหวางซิงได้ใช้อำนาจที่ตนมีอยู่กดดันไปทางเจ้าของสำนักหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ต่าง ๆ ให้จัดการปิดข่าวนี้โดยไว ด้วยความที่หวางซิงเป็นเลขาคนสนิท และก่อนเกิดอะไรขึ้นเซินเฟยเคยเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งให้หวางซิงจัดการความเรียบร้อยทุกอย่างได้เมื่อตัวเขาไม่อยู่ ดังนั้นสำนักข่าวทั้งหลายจึงไม่กล้าใส่สีตีข่าวนี้มากนัก ทั้งยังปรามคนของตนเองไม่ให้ก่อความวุ่นวายด้วย
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หวางซิงตัดสินใจว่าจะอยู่ในบ้านเฉย ๆ ไม่ได้ เขาควรจะเข้าบริษัทเพื่อให้ความมั่นใจกับผู้บริหาร มิเช่นนั้นคงได้ถอนหุ้นกันหมดเป็นแน่
หวางซิงยังจำได้ถึงคำเตือนของมู่อี้จิง เขาจึงจัดจำนวนการ์ดราว 10 คนให้ทำหน้าที่คุ้มกัน
เส้นทางที่ใช้เดินทางไปยังบริษัทยังคงถูกจับตาดูอย่างเคร่งครัดเหมือนตอนที่เซินเฟยยังอยู่ เพราะอย่างไรเสีย แม้เซินเฟยจะไม่กลับมาแต่เจ้าบ้านคนใหม่ก็ยังต้องใช้เส้นทางนี้เดินทางไปบริษัทอยู่ดี
สำนักงานหลักของเครือธุรกิจตระกูลเซินเป็นตึกหลังใหญ่บนพื้นที่กว้างและมีอาคารย่อยอยู่รอบ ๆ อาคารหลักคืออาคารที่สูงที่สุดโดยมีห้องของประธานอยู่ชั้นบนทำให้สามารถมองจากหน้าต่างลงมาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องล่างตั้งแต่หน้าประตูบริษัทไปจนถึงสวนด้านหน้า
เหนือประตูใหญ่ของอาคารหลักมีตราสัญลักษณ์รูปหงส์ซึ่งเป็นตราของตระกูลเซินประดับอยู่
หวางซิงเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่เขาก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นมองตราหงส์สีแดงเหนือประตูไม่ได้ ตรานั้นมักให้ความรู้สึกกดดันเวลาจ้องมองเสมอ เพราะนอกจากจะเป็นตราประจำตระกูลเซินแล้ว ยังเป็นตราสัญลักษณ์ของตำแหน่งจูเชว่ด้วย
เมื่อเดินเข้าไป พนักงานทุกคนก็มองเขาด้วยสายตาคาดหวัง ทว่าก็ต้องผิดหวังในเวลาต่อมาเมื่อไม่ปรากฏร่างของประธานบริษัท
หวางซิงใช้ลิฟต์พิเศษขึ้นไปชั้นบน เขามักจะต่องใช้ลิฟต์นี้บ่อยครั้ง บ่อยยิ่งกว่าที่เจ้าของตัวจริงใช้เสียอีก เพราะเขามักจะเป็นคนประสานงานแทนตัวประธานดังนั้นจึงต้องขึ้นและลงระหว่างชั้นเป็นประจำ
การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าด้านบนต่างทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเมื่อเขาขึ้นมาถึง หวางซิงรู้สึกได้ทันทีว่าต้องมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลจึงรีบสาวเท้าไปยังห้องประธานอย่างว่องไว
เพราะเซินเฟยไม่อยู่ หวางซิงจึงไม่มีความจำเป็นต้องเคาะประตูและเปิดเข้าไปได้โดยไม่ต้องรอคำขออนุญาต ทว่า ในห้องที่ควรจะไร้ผู้คนจับจอง กลับมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะประธานด้วยท่าทางวางเขื่องไม่เกรงใจใคร เจ้าตัวนั่งเอนหลังบนเก้าอี้สูง ยกเท้าวางไขว้บนโต๊ะและดื่มชาในถ้วยที่เซินเฟยมักใช้เป็นประจำ
หวางซิงเบิกตากว้างและยืนค้างอยู่ตรงหน้าประตู การ์ดคนอื่น ๆ ได้แต่รอรับคำสั่งอยู่ด้านหลังด้วยไม่มีอำนาจลงมือทำอะไรโดยพลการ
“มาช้านะอาซิง ฉันรอตั้งนานแน่ะ อาเฟยช่างเลิ่นเล่อกับการอบรมเลขาจริง ๆ” ชายคนนั้นกล่าวตำหนิพลางยกแก้วชาขึ้นซด
“ขออภัยด้วยครับ แต่ผมไม่ใช่เลขาของคุณ” หวางซิงจ้องตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยท่าทีไม่ต้อนรับ
“ไม่ใช่เลขาของฉัน? แล้วทำไมถึงขึ้นมาบนนี้ได้ล่ะ ชั้นนี้มันชั้นอภิสิทธิ์ของประธานกับเลขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ?” เซินหยู่แสยะยิ้มแล้วตวัดขาลงจากโต๊ะ “ในเมื่อไม่ใช่เลขาก็รีบไปซะก่อนที่ฉันจะเอาเรื่อง เด็ก ๆ ลากตัวหวางซิงออกไป” เขาออกคำสั่งกับพวกการ์ดที่รอด้านนอก ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครกล้าขยับตัว เพราะเซินหยู่ไม่ใช่เจ้านายของพวกเขาและหวางซิงก็มีอำนาจสั่งการแทนเซินเฟยอยู่ ณ เวลานี้
“ครับ ชั้นนี้มีแต่ประธานกับเลขาเท่านั้นที่ขึ้นมาได้ แต่คนที่ควรถูกลากออกไปไม่ใช่ผม แต่เป็นคุณต่างหากคุณเซินหยู่” หวางซิงตอบโต้ “ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าคุณเอารหัสลิฟต์มาจากไหน แต่ถึงยังไงคุณก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าบ้านตระกูลเซินจึงไม่มีสิทธิจะเข้ามาในห้องนี้ได้”
ก่อนหน้านี้ เซินหยู่เคยขึ้นมานั่งในห้องนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นหวางซิงก็ยังติดใจว่าอีกฝ่ายได้รหัสลิฟต์มาอย่างไร แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจึงทำการเปลี่ยนรหัส แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังขึ้นมาได้ แสดงว่าต้องซื้อรหัสจากการ์ดสักคนหนึ่งอย่างแน่นอน
“ก็ไม่เชิงแบบนั้นหรอกนะอาซิง” เซินหยู่ยังคงไม่ยอมลุกออกไป เจ้าตัวจิบชาอีกอึกหนึ่งเสมือนว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ใจเย็นลงพอที่จะไม่อารมณ์เสียใส่เลขาขอลูกชายเสียก่อน “แต่ว่า ถ้าเป็นผู้รักษาการณ์แทน มันก็น่าจะพอทดแทนกันได้จริงไหม?”
“ผู้รักษาการณ์แทน?” หวางซิงมุ่นคิ้ว
“ใช่ นี่ไง” เซินหยู่หยิบหนังสือลงนามฉบับหนึ่งร่อนไปในอากาศแล้วทิ้งตัวลงที่ปลายเท้าหวางซิง เลขาหนุ่มก้มลงหยิบขึ้นมาอ่านก่อนจะเบิกตากว้าง
รายชื่อที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษคือรายชื่อของผู้บริหารทั้งหมดในเครือธุรกิจตระกูลเซิน ซึ่งลงนามรับรองให้เซินหยู่เป็นผู้รักษาการณ์แทนตำแหน่งประธาน มีอำนาจตัดสินใจแทนประธานกึ่งหนึ่งซึ่งถือว่าเทียบเท่ากับอำนาจของหวางซิงที่สามารถจัดการความเรียบร้อยทุกอย่างในบริษัทได้ เพียงแต่อำนาจของหวางซิงนั้นครอบคลุมไปถึงองค์กรใต้ดินด้วยเท่านั้น
“ของแบบนี้มัน.....” หวางซิงกัดริมฝีปากและเกร็งปลายนิ้วจนกระดาษยับย่น
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ! ยังไงเลขาหวางก็ได้รับการมอบอำนาจโดยตรงจากท่านจูเชว่” การ์ดคนหนึ่งก้าวออกมาแก้ต่างด้วยความอดรนทนไม่ไหว
“ก็ใช่ แต่ยังไงก็ด้วยตำแหน่งเลขา ส่วนฉันน่ะ เป็นตำแหน่งผู้รักษาการณ์แทนประธานย่อมมีอำนาจเหนือกว่าเลขาอยู่ขั้นหนึ่ง จริงไหม?” เซินหยู่ไหวไหล่ “เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่มีอำนาจไล่เลขายอดเยี่ยมที่ได้รับการมอบอำนาจโดยตรงออก ดังนั้นถึงจะไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ นายก็ต้องทำงานให้ฉัน”
ความเงียบกดทับลงมาบนไหล่จนรู้สึกหนักอึ้ง หวางซิงสูดหายใจเข้าลึกหลายครั้งเพื่อควบคุมสติและอารมณ์ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ทราบแล้วครับ” การตอบรับของหวางซิงทำให้การ์ดทุกคนในที่นั้นหันมองด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวก่อนสิครับเลขาหวาง!”
“แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะครับ!”
เสียงคัดค้านเอ็ดตะโรจนลั่นทางเดิน หวางซิงยกมือปรามเงียบ ๆ ก่อนจะมองตรงไปยังเซินหยู่อย่างแน่วแน่
“แต่โปรดเข้าใจด้วยนะครับคุณเซินหยู่ ด้วยตำแหน่งของผมขณะนี้ผมมีสิทธิตัดสินใจได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของคุณ คุณสามารถสั่งการผมได้ในหน้าที่ของเลขาเท่านั้น”
เซินหยู่ชะงักไปก่อนจะฝืนแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง ตอนแรกเขาคิดว่าจะทำให้เลขาผู้จองหองของลูกชายยอมสยบได้ ทว่าผู้ชายคนนี้กลับมีเขี้ยวเล็บมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ จนถึงเวลานี้ยังยืนตัวตรงไม่คิดอ่อนข้อลงเลยแม้แต่น้อย มันช่างน่าหงุดหงิดจริง ๆ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” หวางซิงทำท่าจะเดินออกไป ทว่ากลับมีเสียงเรียกเสียก่อน
“เดี๋ยว ฉันมีสิ เป็นเลขาที่ชอบพูดเองเออเองซะจริงนะเรานี่” เซินหยู่ว่าและรอจนกระทั่งหวางซิงหมุนตัวกลับมายืนตรงจึงพูดต่อ “ช่วยต่อสายโทรศัพท์หาสารวัตรหรงให้ด้วย”
“เพื่ออะไรครับ?”
“ปกติตอนอาเฟยสั่ง นายต้องถามเหตุผลทุกครั้งหรือไง?”
“......” หวางซิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายโดยดี แต่พอจะกดโทรออก โทรศัพท์เครื่องนั้นกลับถูกฉวยไปจากมือ เซินหยู่กดโทรออกเสียเองแล้วยกแนบหู หวางซิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรจึงได้แต่ยืนรอจนกระทั่งได้ยินเสียงตอบโต้
“สารวัตรหรง ผมเซินหยู่พ่อของจูเชว่นะครับ” เซินหยู่กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ก่อนหันมามองหวางซิงแล้วแสยะยิ้มชั่วร้าย “ผมต้องการยกเลิกการตามหาตัวจูเชว่”
คำพูดนั้นเหมือนตุ้มน้ำหนักกดลงมาบนสมองของหวางซิง ปลายมือหลายเท้าชาวูบไร้ความรู้สึกทันที
“อะไรนะ!” ก่อนที่หวางซิงจะได้อ้าปากคัดค้าน เสียงคำรามของเซินหยู่ก็ดังขึ้นเสียก่อน เจ้าตัวตบมือลงบนโต๊ะเสียงดังปังก่อนจะกดตัดสายด้วยความโมโห คนอื่น ๆ ได้แต่ยืนมองเพราะไม่รู้ว่าสารวัตรหรงพูดอะไรเข้าจึงได้อารมณ์เสียถึงขนาดนี้ เซินหยู่หันกลับมาหาหวางซิงอีกครั้ง “อาซิง! โทรหามู่อี้จิง!”
มู่....อี้จิง?
หวางซิงเริ่มปะติดปะต่ออย่างรวดเร็ว
ตอนนี้มู่อี้จิงเข้ามาทำงานให้จูเชว่แทนสารวัตรหรงแล้ว แม้แต่คดีที่เซินเฟยหายตัวไปมู่อี้จิงก็เป็นคนรับผิดชอบ แต่เพราะเพิ่งเข้ามาทำแทนในบางส่วนเซินหยู่จึงไม่รู้เรื่องนี้และคิดว่าสั่งการสารวัตรหรงได้
โทรศัพท์มือถือถูกยื่นมาตรงหน้า หวางซิงเม้มปากก่อนจะตอบ
“ไม่ครับ”
“อะไรนะ!?” เซินหยู่เค้นเสียงลอดไรฟัน
“ถ้าคุณจะสั่งให้เลิกการตามหาคุณเซิน ผมคงติดต่อให้ไม่ได้ครับ” หวางซิงพูดพลางขยับแว่นแล้วยืนกุมมือนิ่งไม่ยอมยื่นมือไปรับโทรศัพท์มือถือที่ถูกยื่นมาให้
เซินหยู่โมโหจนเส้นประสาทเต้นตุบ ๆ เขาเงื้อมือขึ้นสูงก่อนจะออกแรงเหนี่ยวมือข้างที่ยังถือโทรศัพท์อยู่นั้นกระแทกลงบนใบหน้าของหวางซิงเต็มแรง แต่เพราะหวางซิงเกรงแว่นจะแตกจึงเอี้ยวใบหน้าหลบ โทรศัพท์จึงกระแทกถูกขมับพอดีก่อนถลาไปด้านหลัง การ์ดที่ยืนอยู่รีบผวาเข้ามารับไว้ทันก่อนหวางซิงจะเซล้ม แม้การถูกกระแทกด้วยโทรศัพท์เครื่องบาง ๆ จะไม่ถึงกับเลือดตกยางออกแต่ก็ทำให้เกิดรอยแดงช้ำค่อนข้างชัดเจนที่หางคิ้ว
“ออกไป! ออกไปให้หมด!” เซินหยู่เริ่มอาละวาดปัดกองเอกสารร่วงลงมากระจายบนพื้น ของประดับบนตู้เอกสารที่ทำจากแก้วถูกปัดลงมาแตกหลายชิ้น
หวางซิงขยับแว่นที่เลื่อนหลุดไปเล็กน้อยให้เข้าที่ก่อนก้มลงเก็บมือถือตนเองขึ้นมาแล้วโค้งให้ตามหน้าที่ เขาหันไปพยักหน้าให้การ์ดที่ยืนมุงดูสถานการณ์ ทุกคนจึงพากันทยอยเดินออกไปแล้วเปิดประตูให้เซินหยู่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้องประธานที่เจ้าตัวอยากได้นักหนา
เซินหยู่ตวัดขาเตะกองแฟ้มที่ตกตรงปลายเท้าออกไปด้วยโทสะก่อนจะเดินไปกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประธาน
ไอ้ลูกไม่รักดีคนนั้น ตายไปแล้วแท้ ๆ ยังสร้างความวุ่นวายให้เขาไม่สิ้นสุด แค่กฎบ้า ๆ อย่างต้องรอถึง 100 วันถึงจะมีการแต่งตั้งนั่นก็ทำให้เขาร้อนใจแทบบ้าแล้ว ยังต้องมาเจอหวางซิงตอกหน้าเจ้าอีก ลูกชายของเขามันมีบารมีอะไรนักหนาถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปครองเสียหมด กระทั่งลูกน้องยังซื่อสัตย์อย่างกับสุนัข ทั้งที่ปกติตอนนี้ควรจะเริ่มมาเลียแข้งเลียขาเขาได้แล้ว
คอยดูเถอะ....ถ้าเขาได้เป็นใหญ่เมื่อไหร่ จะไล่ออกซะให้หมด! พอไม่มีอะไรจะกินคงได้รู้ซะบ้างว่าควรอ่อนน้อมกับใคร!
------------------------>
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับเลขาหวาง?” การ์ดคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อหวางซิงเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเอาผ้านวดคลึงขมับตัวเองอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่เลือดคั่งจนแดงช้ำเท่านั้นเอง พรุ่งนี้คงเปลี่ยนเป็นสีม่วง ๆ แล้วก็ค่อย ๆ จางไปเอง” หวางซิงว่าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาประมาทเซินหยู่เกินไป ไม่คิดว่าพอถูกปรามจากที่บ้านแล้วจะหันมาโจมตีที่บริษัทต่อ ซ้ำตอนนี้ความมั่นใจของผู้บริหารที่มีต่อเซินเฟยก็เริ่มคลอนแคลน คนอย่างเซินหยู่มีหรือจะปล่อยให้โอกาสอย่างนี้หลุดลอย
“แล้วจะทำยังไงต่อดีล่ะครับ....”
บอดี้การ์ดนั้นไม่เหมือนเลขา หวางซิงได้รับมอบอำนาจให้ดูแลจัดการได้ตามความเหมาะสม ทว่าการ์ดทุกคนมีหน้าที่ต้องปกป้องผู้ดำรงในตำแหน่งนั้น ๆ ตอนนี้พวกเขาจะมีทางเลือกอื่นใดนอกจากทำตามคำสั่งของเซินหยู่
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมได้รับมอบอำนาจมากึ่งหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่ามันมีความแตกต่างอยู่” หวางซิงลดมือที่คลึงรอยช้ำลง “คุณเซินหยู่มีอำนาจแต่การสั่งการในบริษัทซึ่งรวมถึงรปภ. แต่ว่าหัวหน้าการ์ดยังอยู่ใต้การบัญชาของผม ดังนั้นพวกคุณซึ่งเป็นการ์ดก็นับเป็นคนของผมเช่นเดียวกัน”
เมื่อได้ยินหวางซิงพูดเช่นนั้น หลาย ๆ คนก็โล่งอก แต่หวางซิงกลับไม่ได้โล่งอกไปด้วย เพราะตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเกินคาดคิด อำนาจสูงสุดของบริษัทถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน เขาที่มีดีแค่ทำตามคำสั่งเซินเฟยมาโดยตลอดจะเอาอะไรไปสู่รบปรบมือกับคนเจ้าเล่ห์อย่างเซินหยู่กัน แต่เขาก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังด้วยเกรงว่าจะตกตื่นกันไปหมด
หวางซิงฝืนทำหน้าเฉยเมยราวกับว่าไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเพื่อให้กำลังใจคนอื่น ๆ ที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนกับการเปลี่ยนแปลง นึกอยากระบายออกมาก็ทำไม่ได้ แต่ในจังหวะที่เขากำลังอัดอั้นตันใจนั้นเอง โทรศัพท์สายหนึ่งก็เรียกเข้ามา หวางซิงสะดุ้งเฮือกรีบกดรับโดยไม่ทันได้มองชื่อ
“ตอนนี้คุณว่างหรือเปล่า?”
“.....คุณมู่!?” หวางซิงไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะโทรมาหา
“เอาล่ะ ยังไม่ต้องเล่าอะไรหรอก ผมแค่อยากถามว่าช่วยออกมาพบผมตอนนี้ได้ไหม?” มู่อี้จิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง หวางซิงจึงเก็บน้ำเสียงตระหนกของตนเองไว้ในคอแล้วตอบกลับไป
“ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น อีก 10 นาทีผมจะไปรับที่หน้าบริษัท”
ทั้งสองนัดแนะกันอย่างดิบดีก่อนจะวางสาย เมื่อถึงเวลา รถตำรวจของมู่อี้จิงก็มาจอดรอที่หน้าบริษัท หวางซิงเดินออกไปพบโดยลำพังก่อนที่ทั้งสองจะขับรถออกไปด้วยกัน
--------------------->
หลังจากได้แต่นอนบนเตียงอยู่สองวัน เซินเฟยก็ลุกขึ้นได้โดยมีพยาบาลเป็นผู้ช่วยแต่ยังมีอาการปวดยอกอยู่เล็กน้อยเวลาขยับตัว และในวันที่ห้านับจากตื่นขึ้นมาเขาลุกขึ้นมานั่งที่ขอบเตียงเองได้เมื่อตื่นขึ้นในตอนสายเนื่องจากฤทธิ์ของยาแก้อักเสบที่กินเข้าไปกลางดึก และพบว่าฉู่เหวินจือไม่ได้อยู่ในห้องด้วย ช่วงสองวันที่ผ่านมาฉู่เหวินจือก็ไม่ค่อยได้อยู่ในห้องสักเท่าไหร่อยู่แล้ว เจ้าตัวเอาแต่วิ่งเล่นนักสืบในโรงพยาบาลทุกวัน ตัวเซินเฟยเองก็คร้านจะทักท้วงจึงปล่อยให้อีกฝ่ายไปทำตัวเป็นนักสืบตามใจชอบเพราะคิดว่าการอยู่เฉย ๆ คงทำให้คนอย่างฉู่เหวินจือเบื่อหน่ายเอาการ เพราะก่อนเรือจะระเบิด เจ้าตัวก็วิ่งไปทำงานกับเหล่าโหวเกือบทุกวันเหมือนกัน
“ตายจริง คุณหวางตื่นแล้วหรือคะ?” นางพยาบาลที่ทำหน้าที่เช็ดตัวให้เดินเข้ามาในห้อง เธอวางอุปกรณ์ลงข้างเตียงแล้วรูดผ้าม่านปิด
“ผมยังอาบน้ำเองไม่ได้หรือครับ?” เซินเฟยเอ่ยถาม จริงอยู่ว่าตลอดห้าวันมานี้เขาถูกบริการมาตลอด แต่ความกระดากอายก็ไม่ได้ลดเลือนหายไปไหน แค่ทำแข็งใจให้มันผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น
“เดี๋ยวต้องให้หมอถงเข้ามาดูอาการก่อนนะคะ” นางพยาบาลว่าแล้วดึงม่านจนเรียบร้อย เธอรู้ว่าผู้ป่วยคนนี้เป็นคนขี้อายมากผิดกับเพื่อนร่วมห้องที่มาด้วยกันลิบลับ ด้วยเหตุนั้นเมื่อถึงเวลาอาบน้ำทีไรเธอจะต้องปิดม่านจนเรียบร้อยและใช้ตัวหนีบหนีบไว้ไม่ให้ลมพัดเปิดได้
เซิยเฟยถอดเสื้อออกเอง เขารู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ไม่ได้สวมกระทั่งกางเกงเพราะต้องขับถ่ายบนเตียง เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เซินเฟยคับอกคับใจไม่อยากจะพูดถึง แม้ภายนอกเขาจะดูเย็นใจแต่ความจริงเขาเฝ้ารอเวลาที่จะได้ลุกเดินเหินเองได้จนแทบทนไม่ไหว
นางพยาบาลสาวปรนนิบัติหนุ่มน้อยบนเตียงโดยไม่รู้สึกเก้อเขิน กว่าเธอผ่านหลักสูตรพยาบาลมาก็ทำเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จึงไม่รู้สึกผิดแปลกอะไรกับเรือนร่างผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่ง