รถลีมูซีนสีดำสนิทเงาปลาบจอดเทียบที่บันไดทางขึ้นเข้าสู่ตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ถูกออกแบบให้ผสมผสานวัฒนธรรมของไทยและของตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว หัวหน้าแม่บ้านและหัวหน้าพ่อบ้านยืนคอยต้อนรับการกลับมาของคุณชายรอง ผู้ที่ไปดูแลงานไกลถึงบริษัทในอีกซีกโลกเป็นเวลาเกือบสองปี...
ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำสนิทก้าวลงมาจากรถ ก่อนจะกวาดสายตามองอาณาบริเวณบ้านที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย หลังจากไม่ได้กลับมาเลยเป็นเวลาเกือบสองปี ร่างตุ้ยนุ้ยของคุณหัวหน้าแม่บ้านรีบเดินถลาลงมาหาคุณหนูของตัวเองพลางยิ้มให้ดีใจ...
"คุณหนูรังสิมันต์...ป้านมดีใจที่สุดเลยค่ะ ที่คุณหนูกลับมาบ้าน..." สองมืออวบเอื้อมจับมือที่ใหญ่กว่าและกร้านหนาขึ้นตามวัยของคุณหนูที่เจ้าหล่อนเคยเลี้ยงดูมาแต่เล็ก ชายหนุ่มส่งยิ้มให้หญิงร่างอวบตรงหน้าที่เขาเองก็นับถือเสมือนญาติคนหนึ่ง
"ผมก็ดีใจครับ...ว่าแต่แม่ล่ะครับ...อยู่ไหน..." ชายหนุ่มถาม
"คุณนายหญิงรออยู่ที่ห้องทำงานของคุณท่านครับ... เชิญเลยครับคุณหนู ท่านรอคุณหนูตั้งแต่บ่ายแล้วครับ..." หัวหน้าพ่อบ้านที่รีบลงตามมากล่าวรายงานเสร็จสรรพก็รับสัมภาระบางส่วนจากมาคัสมาถือ พร้อมผายมือแล้วเดินนำคุณหนูรองของบ้านเข้าไปข้างใน
มาคัสรับเสื้อสูทจากเจ้านายตนมาคล้องแขนไว้ ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูไม้โอ๊คสีน้ำตาลแก่สลักลายวิจิตรให้เปิดออก แล้วเมื่อชายหนุ่มผู้เป็นนายก้าวเข้าไปแล้วมาคัสก็จัดการปิดประตูตามหลังเงียบกริบ แล้วยืนรออย่างสงบอยู่หน้าห้อง ซึ่งถือเป็นการกันผู้รบกวนจากภายนอกไปในตัว...
รังสิมันต์ก้าวเข้าไปในห้องทำงานหรูของบิดาตน... เคยนึกอยู่เสมอปกติเวลาเข้ามาในห้องนี้มันเหมือนโดนอะไรบางอย่างกดดันอยู่ตลอด แต่วันนี้เขารู้สึกกดดันหนักกว่าเดิม เมื่อเห็นผู้เป็นบิดายืนหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนมารดานั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมสีแดง สองมือกอดอะไรบางอย่างเข้าแนบอก สายตาเหม่อลอยมองไปไกล... เห็นอย่างนั้นชายหนุ่มจึงเลือกเดินเข้าไปหามารดาก่อน สองเข่าคุกแนบลงกันพื้นข้างเก้าอี้ มือหนาเอื้อมไปแตะบนท่อนแขนแผ่วเบาพร้อมเรียก...
"...แม่ครับ..." เสียงทุ้มปลุกเรียกคุณนายหญิงของบ้านให้หลุดจากภวังก์... สองตาเหม่อลอยจับกลับมาที่บุตรชายคนที่สองของตน... นัยน์ตาเหมือนจะคลอรื้นน้ำตาขึ้นมาอีกรอบ ก่อนจะกางแขนโอบรอบแผ่นหลังลูกชายที่โตขึ้นจนตอนนี้หล่อนโอบไม่ถึงแล้ว... พร้อมกับคำพูดที่อัดปะทุแน่นในอกจนต้องระบายลงกับลูกชาย...
"...รังสิมันต์ !... รังสิมันต์...ลูกต้อง...ลูกต้องพาหลานมาหาแม่...ต้องพาหลานมาหาแม่ให้ได้นะ...!! แม่ขอร้อง...แม่..."
"เดี๋ยวครับแม่...แม่ใจเย็นก่อน...แม่เรียกผมมา...มีเรื่องอะไรครับ...แล้วหลาน?..."
"ลูกของตารวี... น้องชายเราไง... ตอนนี้หลานเราอยู่เมืองไทยแล้วลูก... ลูกไปพาหลานมาหาแม่ได้มั้ย? นะ...รังสิมันต์... แม่อยากเจอหลาน..."
"นี่คุณ...ช่วยใจเย็นๆก่อนได้มั้ย... บอกให้ลูกเรารู้เรื่องทั้งหมดก่อนสิ... แล้วอีกอย่าง...ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าหัดมีเหตุมีผลบ้าง... หลานเราอยู่กับน้าของแก แล้วจู่ๆคุณจะให้ตาตะวันไปพาเขามาดื้อๆเลยเหรอ?... น้าเขาจะยอมง่ายๆรึไง... เขาเลี้ยงของเขามาแต่เกิดนะคุณ..."
"ก็แล้วยังไงล่ะ...! ทำไมคุณต้องมาขัดฉันตลอด... เด็กคนนั้นเป็นลูกของตาวี...เป็นหลานของเรานะคุณ ! แล้วจะให้เด็กอายุยี่สิบสี่ ยี่สิบห้าแบบนั้นเลี้ยงเหรอ...เฮอะ ! ฉันไม่มีวันยอมหรอกนะ ให้เด็กแบบนั้นเลี้ยงหลานฉันก็ออกมานิสัยเสีย นิสัยต่ำเหมือนพี่มันนะสิ !"
"นี่คุณ ! ผมว่าเราพูดเรื่องนี้กันมาพอแล้วนะ... ตอนนั้นคุณจำไม่ได้เหรอ? ว่าทั้งๆที่คุณก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นท้องหลานเราอยู่ แต่คุณก็ยังไล่เธอออกไปจากบ้านเราเหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วพอมาวันนี้...หลานเราคลอด...คุณก็จะไปพรากเอาลูกเขามาอย่างนั้นน่ะเหรอ... เฮอะ ! ผมไม่นึกเลยนะว่าคุณจะใจร้ายได้ขนาดนี้ดารกานต์ ...ผมไม่น่าทำตามคำขอร้องของคุณที่ให้สืบเรื่องของเด็กคนนั้นเลยจริงๆ"
"นี่คุณศิลา ! คุณกำลังด่าฉันนะ...!!" ร่างของหญิงวัยห้าสิบต้นๆแต่ยังดูสวยและเฉียบคมลุกยืนพรึ่บพลางจ้องหน้าสามีเขม็ง รอยคราบน้ำตาหล่อนปาดทิ้งไม่ไยดีเมื่อสามีพูดขัดใจออกมาในเรื่องที่หล่อนไม่ต้องการที่สุด "...ฉันผิดตรงไหนที่ต้องการหลานของตัวเองมาเลี้ยงด้วยตัวเอง... ดีกว่าปล่อยให้อยู่กับไอญาติของฆาตกรที่ฆ่าลูกเรา ! ตารวีตายเพราะมันนะคุณศิลา...! ถ้าไม่มีนังผู้หญิงนั่นซักคน ลูกเราก็ไม่ต้องตาย !!"
"รวีตายเพราะอุบัติเหตุ...คุณดารกานต์ อย่าเที่ยวไปโยนความผิดให้คนโน้นคนนี้อีกเลย ! แล้วถ้าไม่ใช่เพราะคุณไล่เด็กนั่นออกจากบ้านเรา...ตารวีก็คงไม่ต้องนั่งรถตามไปจนกระทั่งมันเกิดอุบัติเหตุหรอก !" คุณศิลา...นายใหญ่ของบ้านพูดพลางใช้สายตามองภรรยาตนด้วยแววตากร้าว...ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดกับการจากไปของลูกชายคนสุดท้องเสียเมื่อไหร่... ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อย่อมต้องรักลูกปานดวงใจ... และเมื่อดวงใจมันหายไปเขาก็เหมือนตายทั้งเป็น ...โทษว่าความผิดทุกอย่างเป็นของตัวเอง เมื่อในตอนนั้นเป็นเขาเองที่ไม่ยอมทำอะไร...และวางเฉยปล่อยให้ภรรยาจัดการทุกอย่างจนมันเกิดเรื่องขึ้น... แค่การตัดสินใจผิดในการไล่แก้วตาดวงใจของลูกชายตัวเองออกจากบ้าน...มันก็ไม่ผิดที่ลูกของเขาเองก็คงต้องออกไปตามหา... และอุบัติเหตุก็เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อเราขาดความประมาทและเมื่อมันถึงเวลาที่จะต้องไป...
"...พ่อครับ... นี่หมายความว่า... พยาบาลคนนั้น...ท้องลูกของวีตอนที่..." ...หนีตามผู้ชายคนใหม่...ในตอนนั้นเขาเฝ้าแค้นคนที่ทำให้น้องชายเขาต้องตายเหมือนที่แม่ของเขารู้สึก เพราะตอนเกิดเรื่องเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ร่วมรับรู้ แต่จะรู้ผ่านการเล่าของมารดาตนที่มักจะโทรไปบ่นให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ และที่ได้รู้มาตลอดก็คือผู้หญิงคนนั้นหนีตามชายชู้ออกไปจากบ้าน แล้วนายรวีน้องชายของเขาก็ขับรถออกไปตาม เลยถูกรถตู้ไม่มีป้ายทะเบียนพุ่งชนอย่างแรงจนนายรวีเสียชีวิตคาที่... และข่าวที่รั่วไหลเข้าหูเขาเพิ่มเติมก็คือ รถตู้คันนั้นเป็นการจัดฉากของชายชู้ของนางพยาบาลนั่น...ที่ต้องการกำจัดเสี้ยนหนามทางรักตัวเองให้หมดสิ้น...
แล้วที่ว่าไล่ออกจาก... พ่อเขาพูดอะไร...
"ใช่รังสิมันต์... ผู้หญิงคนนั้นท้องหลานเรา แต่แม่แกก็ยังไล่เธอออกไปจากบ้าน แถมโยนข้าวของของเขาออกไปให้ไปตามเก็บเอาเองนอกบ้าน... ถ้าตอนนั้นไม่มีคนใจดีช่วยเธอเก็บของและพาออกไป ฉันว่าแม่แกคงได้หาอะไรไล่ฟาดแถมให้ด้วย... แล้วแม่แกเล่าให้แกฟังว่ายังไงล่ะ..."
"นี่คุณศิลาคุณหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ !! รังสิมันต์อย่าไปฟังนะลูก... ผู้หญิงคนนั้นทำให้น้องชายของลูกต้องตาย... แต่ตอนนี้ตารวีเขากลับมาหาเราแล้วนะ... เขามีหลานไว้เป็นตัวแทนให้เราแล้วลูก..."
"ใช่...หลานที่คุณไม่เคยคิดจะดูดำดูดีอะไรเลยตอนที่ผู้หญิงคนนั้นท้อง..." คุณศิลายังคงกล่าวต่อไปโดยไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้ภรรยาของเขาแทบเต้นแล้วกับสิ่งที่เขาพูดออกมา เมื่อก่อนไม่เคยพูด ถูกหรือผิดเขายังมั่นใจให้ผู้หญิงที่ตัดสินใจเลือกเป็นคู่ชีวิตทำแทนตลอด... แต่ตอนนี้เมื่อมันทำให้รู้ว่าเขาคิดผิด... เขาก็ปรารถนาจะแก้ไข... หลานของเขาเขาเป็นคนสืบเองมาตลอด รับรู้รายละเอียดทุกอย่างตั้งแต่พยาบาลสาวคนนั้นออกจากบ้าน และย้ายไปอยู่อังกฤษกับน้องชายฝาแฝด สองคนพี่น้องต้องช่วยกันดูแลประคับประคองกันขนาดไหน จนเมื่อคลอด...ลูกชายของเขาก็คงจะมารับผู้หญิงที่รักปานดวงใจไป โดยทิ้งลูกชายเอาไว้ให้ดับน้าชายเลี้ยง... และเขาก็รู้ว่าน้องชายฝาแฝดที่รับเป็นผู้ปกครองของหลานเขาก็ทำหน้าที่แทนแม่แท้ๆได้ดี... เพราะงั้นถึงจะปล่อยให้สองน้าหลานอยู่กันตามลำพังเขาก็มั่นใจว่าหลานเขาก็คงไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก... แค่เขาคอยดูอยู่ห่างๆก็เพียงพอ...
"คุณจะพูดยังไงก็พูดเถอะนะ...แต่ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น..." นายหญิงของตระกูลยืดหลังขึ้นตรง นัยน์ตาแดงๆฉายแววคมกริบ ในเมื่อหล่อนต้องการ...ของทุกอย่างไม่เคยที่จะไม่ได้... เหตุผมร้อยแปดที่สามียกมากล่าวอ้างไม่เคยนึกติดอยู่ในสมอง... เขารอเวลานี้มาเป็นปี รอเวลาให้แม่มันคลอด...แล้วก็ตายรับกรรมไปซะ... หล่อนก็จะได้หลานที่เป็นตัวแทนของลูกชายคนสุดท้องที่รักมากมาเลี้ยงสมใจ... สองมือค่อยๆคลี่รูปบนกระดาษเอสี่ ซึ่งเป็นรูปที่นักสืบของสามีถ่ายมาได้ล่าสุด มันเป็นรูปที่ถ่ายผ่านกระจกรถ โดยซูมหน้าไปที่ทารกน้อยในอ้อมแขนใครคนหนึ่ง... "นี่ไงรังสิมันต์ หลานของเรา... เป็นไง...หน้าตาเหมือนรวียังกับแกะเลย... ดูที่ปากกับจมูกซิ..โด่งเหมือนพ่อเลยเนอะ... แก้มนี่ก็อีก เหมือนตารวีไปเสียทุกส่วนเลย... ฮ่ะฮ่ะ..."
หลังจากที่ฟังมารดาของเขาพูด รังสิมันต์ก็เอื้อมมือประคองมารดาพลางเพ่งสายตามองรูปภาพมัวๆเพราะถูกซูมจนขนาดใหญ่สุด แม้ว่าจะใช้เครื่องมือที่ทันสมัยขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อมันออกมาดีที่สุดยังไง...เขาก็มองไม่ออกอยู่ดีว่ารูปของเด็กทารกนี่จะเหมือนน้องชายของเขาอย่างที่มารดาของเขาว่าตรงไหน...
"รังสิมันต์... ลูกต้องพาหลานมาคืนแม่ให้ได้... ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน..แม่ไม่เกี่ยงทั้งนั้น... ขอเพียงแค่พาหลานมาหาแม่... แม่ขอแค่นี้..ได้มั้ยลูก... พาหลานกลับบ้านเรา... พาลูกตาวีหลับบ้านเรานะลูกนะ...นะ...แม่ขอร้อง..." ปลายเสียงสั่นไหว แววตาเว้าวอนแกมขอร้องลูกชาย ที่ตนรู้ว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องทำตามที่หล่อนว่าอยู่ดี... เสียงสะอื้นเริ่มแผ่วแว่วออกมาเรียกร้องความเห็นใจเพิ่มเติม ชายหนุ่มตรงหน้าคิ้วขมวดแน่นเคร่งเครียด... มองมารดาในวงแขนชั่วครู่ แล้วเหลือบมองไปทางบิดา...ที่จ้องเขม็งมาทางเขาอยู่เช่นกัน...
"แกจะตัดสินใจยังไงมันก็เรื่องของแก...พ่อไม่ห้าม...เพราะพ่อรู้ว่าแกโตพอที่จะรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควร ...แต่ถ้าแกไม่เกี่ยงวิธีการเหมือนอย่างที่แม่แกบอก...พ่อก็จะไม่อยู่เฉย...ปล่อยให้แกกับแม่แกทำผิดอะไรกับสองแม่ลูกนั่นอีก..." นายใหญ่ของบ้านกล่าวทิ้งท้ายเสียงเย็น แววตาดุกร้าวอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวฉายออกมาเต็มเปี่ยมตามบุคลิกของคนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำคนตั้งแต่เกิด... ร่างสูงหนาบึกบึนไม่แพ้ลูกชายแม้วัยจะห่างกันอยู่หลายรอบหันมองทางภรรยาที่แผดเสียงเรียกชื่อเขาดังลั่น ...ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปจากห้องทำงานตัวเองไปไม่สนใจอีก...
"..
.คุณศิลา !! คุณศิลา !!! นี่คุณกลับมานี่นะ...นี่คุณกำลังเข้าข้างไอนังฆาตกร !! คุณมันบ้านะคุณศิลา...
คุณศิลา !!"
"
แม่ครับ...! ใจเย็นๆครับแม่..." สองมือหนารวบตัวมารดาเข้ามากอดไว้แน่น... ตั้งแต่เด็กเขาสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ เพราะการที่พ่อของเขาจะหันไปอบรมพี่ชายคนโตสุดเพื่อให้เตรียมตัวเป็นผู้สืบทอดตระกูลเสียมาก แต่ก็ใช่ว่าจะละเลยเขา แต่กับเขาพ่อเองก็เลี้ยงดูเขาอย่างดีที่สุด เพียงแต่ไม่เข้มงวดเท่าการเลี้ยงดูพี่... เขาจึงมักจะอยู่กับแม่ เหมือนกับตารวี น้องชายคนที่สาม... ที่อาจจะพูดได้ว่าแม่คงรักมากที่สุด...
"รังสิมันต์...ลูกดูพ่อนะ...ลูกจำสิ่งที่เขาพูดสิ !! แม่ทำผิดนักเหรอที่อยากจะเอาหลานมาเลี้ยงเองน่ะ !! ฮือ..." แล้วร่างของหญิงที่ได้ฉายาว่าแกร่งที่สุดก็ร้องไห้โฮในอ้อมแขนเขา ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นมารดาร้องไห้คร่ำครวญหนักขนาดนี้มาก่อน... ...พ่อไม่ห้าม ถ้าเขาจะทำตามที่แม่ขอร้อง... เพียงแต่ต้องเลือกวิธีการ... ไม่ก็...จัดการทุกอย่างอย่าให้พ่อรู้... ทุกอย่างมันก็จะจบ...
"ได้ครับแม่... ผมจะไปพาเด็กคนนั้นมาหาคุณแม่ให้เร็วที่สุด..." รังสิมันต์เอ่ยรับปากกับมารดาของตน... และแล้วสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจรับปาก...
เมื่อพูดออกไปจบ มารดาก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา พร้อมรอยยิ้มเซียวๆแต่ก็รู้ว่าคงดีใจมากมายแค่ไหนที่เขายอมทำตามใจ... สองมือลูบแขนลูบไหล่ของเขา... พร้อมพึมพำคำพูด ...ขอบคุณ... ไม่หยุด...
แม่สบายใจ...พ่อก็เหมือนจะไม่สนใจ แต่เขาสิ...ที่หนักใจที่สุด...แล้วจะใช้วิธีอะไรในการจัดการเรื่องนี้ให้มันจบ... ถ้ามันไม่ยากมากก็คงจะดี ...ไม่สิ... ถ้าน้าของเด็กไม่เรื่องมาก... มันก็จะดีที่สุด...
ปลายหางตาเหลือบมองเอกสารในซองสีน้ำตาลที่มีรอยเปิดแล้วบนโต๊ะ มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่ามันคงเป็นเนื้อหาของการสืบเรื่องนี้ฉบับล่าสุด... เขาประคองมารดาให้นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเดินไปหยิบซองเอกสารมาถือ ก่อนจะค่อยประคองมารดาพากลับห้องนอน...
-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-
to be continue-->>
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ ^^ เค้าจะพยายามปรับปรุงฝีมือไปเรื่อยๆ
และจะพยายามอัพลงให้ได้เรื่อยๆนะจ๊ะ
ขอบคุณจ่ะ ^^