Part 63
จ้าวเหรียญทอง.
.
.
.
.
ไอ้พี่นกพากูมารายงานตัวกับคณะกรรมการ ชื่อกูลงแทนไอ้พี่แม็กส่งก่อนสิบโมงแล้ว
รายการนี้ชิงรายการสุดท้ายของรอบเช้า แข่งเสร็จคงเที่ยงพอดี เป็นกีฬาพื้นบ้านต่อ
ก่อนที่ฟุตบอลคู่ชิงที่สาม..จะเริ่มเตะบ่ายโมงสีแดงเจอสีส้ม ต่อด้วยคู่ชิงที่หนึ่งสีเหลืองกับสีเขียว
หลังจากนั้นคณะกรรมการจะประกาศผลขบวนพาเหรด กองเชียร์และลีด
สุดท้ายประกาศถ้วยรวมกีฬา พร้อมทำพิธีปิดเป็นอันเสร็จสิ้น
สำหรับกีฬาที่เตรียมกันมาร่วม 1 เดือนเต็ม ๆ
พวกกูถูกเรียกเตรียมตัวในลู่วิ่ง คู่แข่งแต่ละคนจัดมาฆ่ากันชัด ๆ
สีแดง..ไอ้ตะเกียงอยู่ลู่สี่ สี่น้ำเงิน..ไอ้พี่กานลู่สาม สี่เหลืองไอ้พี่โทนี่ลู่ห้า
ตกลงพวกกูวัดกันเองว่างั้น สีอื่นกูไม่รู้จักและไม่หวั่นด้วย มีแต่ไอ้สองหนุ่ม
ที่ขนาบกูทั้งซ้ายทั้งขวาไม่ใช่ย่อย คงวางหนีไอ้พี่รันกะไอ้พี่บอมย์มาลงรุ่นนี้ชัวร์
กะหวังกินกันแน่ แต่สองหนุ่มไม่รู้ว่ากูจะโผล่ในลู่ด้วย หันมามองหน้ากูงง ๆ
ตามรายชื่อแล้วต้องเป็นไอ้พี่แม็ก พอกลายเป็นกูพวกมันย่อมแปลกใจ
กูเลยยักคิ้วพร้อมส่งยิ้มพิฆาตไปให้ซะ หน้าแดงทั้งคู่ ไอ้พี่กานชักแหม่ง ๆ
กับสายตาพี่แกที่มองกูมาแหล่ะ...
“ตะเกียงทำไมมาลงวิ่ง ก่อนหน้าไม่เห็นมีรายชื่อเลยนี่” ไอ้พี่กานถามกู
“ตอบไงดี..เอาเป็นว่าฉุกเฉินนะพี่ ลงแทนเค้า” กูตอบมันแหล่ะ
“วิ่งไหวเปล่าเนี๊ยะ..ตัวนิดเดียว รอบสนามบอลเลยนะ แน่ใจไม่เป็นลมไปก่อนล่ะ” ปากไอ้พี่โทนี่
ขอบคุณสำหรับความห่วงใย เก็บไว้ห่วงตัวเองเถ่อะ..เดี๋ยวเจอกัน ในใจเถียงมันไป
ปากกับบอกอีกอย่าง
“ไหวครับ..ซำบายมาก..ไม่ต้องห่วงเต็มที่เลยพี่” กูตอบแล้วเราทั้งหมดก็เข้าประจำที่
ย่อนั่งก้มหัวทำสมาธิ
“เข้าที่...ระวัง!...ปัง!.” สตาร์ทออกตัวเต็มเหนี่ยว วิ่งระยะกลางไม่จำเป็นต้องออมแรง
เพราะต้องรีบกวดหนีคู่ต่อสู้..จะได้มีจังหวะตั้งหลักแรงปลาย กูสับขาโกยอ้าว
ไม่เหลียวมองใคร ตามองไปข้างหน้า จากหางตาพอรู้ว่าพวกมันเกาะติดกูไม่มีใครทิ้งห่าง
จนสองร้อยเมตรผ่านไปเข้าสามร้อยเมตร ไอ้พี่กานสปี๊ดนำขึ้นไปช่วงตัว ไอ้พี่โทนี่ตามติด
กูหล่นลงมาอันดับสาม กูดึงลมหายใจรวบสมาธิร้อยเมตรสุดท้าย
ทุกอัศจรรย์ต่างยืนลุ้นตัวโก่ง..ตะโกนเชียร์กันลั่นดังทั่วทั้งสนาม
อาจเพราะเป็นรายการสุดท้ายแล้ว กูสับเท้าใส่เสต็ปลานนาคาดเชือก
ดึงลมช่องท้องฮึดพุ่งไปข้างหน้าสับขาแซงพวกมัน สามสิบเมตรสุดท้าย
กระชากเข้าเส้นชัยได้ในที่สุด กองเชียร์ตะโกนลั่นอื้ออึงไปหมด
ไอ้พี่โต๋วิ่งมารวบกอดกูไว้แรงส่งกูหมดลง..คงกลัวเข่ากูอ่อนล้มลงไป
แต่แล้วตากูเริ่มพร่า..หายใจไม่ทัน...แดดจ้ากลางกบาลค่อย ๆมืดลง ๆ..
ก่อนจะดับวูบพร้อมสติกูดับหายด้วยเลย!!!!............................
.
.
.
.
.
.
.
กลิ่นแอมโมเนีย ติดปลายจมูก กูเลยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เห็นภาพมัว ๆ
กระพริบตาซ้ำ ๆ สองสามครั้งเพื่อปรับให้ชัดขึ้น จนมองเห็นหน้าไอ้พี่โต๋จ้องกูอยู่
แววตาแสดงความห่วงใยเด่นชัด กูมองเลยขึ้นไปเห็นเพดานห้องสีขาว
แสดงว่านี่ไม่ใช่ที่สนาม ตัดสินใจถามมัน
“ที่ไหนครับ?” มันไม่ตอบ..กลับส่งยิ้มหล่อมาให้ ก่อนจะหันไปหยิบแก้วน้ำใส่หลอดดูด
ไว้เรียบร้อยจ่อปากกู กูมองหน้ามัน
“ดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยถาม” เลยก้มดูดน้ำจากหลอดดูดช้า ๆ จนหมดแก้ว รู้สึกในน้ำผสมกลูโคสด้วย
เพราะมีรสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ เค็มหน่อย ๆ มันเอาแก้ววางไว้ ก่อนจะหันกลับมา
เอาหลังมือเกลี่ยแก้มกูเบา ๆเพิ่งสังเกตุ กูนอนอยู่บนเตียง มันนั่งเก้าอี้..มองหน้าส่งคำถามไปให้มัน
“ห้องพยาบาลโรงเรียน..คนเก่งของสีเป็นลมสลบหลังคว้าเหรียญทอง พี่เลยต้องอุ้มมานอนพักที่นี้”
มันบอกกู กูเริ่มลำดับเหตุการณ์ได้แล้ว..กูวิ่งเข้าที่หนึ่ง มันเข้ามากอดกูแล้วกูก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย..
วูบไปซะงั้น..คงเพราะเก็งลมช่องท้อง กระชากเท้าตามหลักวิชาลานนาคาดเชือก
หนีเข้าเส้นชัย ปฏิกิริยาร่างกาย..ที่ดึงเอาพลังงานสะสมมาใช้เกินขีดจำกัดในระยะกระชันชิด
กอปรกับเมื่อคืนนอนน้อย..มีเรื่องให้ต้องคิด แถมยังตื่นเช้าอีก เลยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน
ถึงได้เป็นลมอย่างที่เห็น พอเข้าใจแล้ว
“แล้วนี่..กี่โมงแล้ว กีฬาเป็นไงมั้ง” ถามมันต่อ ไม่รู้สลบไปนานแค่ไหน
“สองโมงกว่าแล้ว ตอนนี้ฟุตบอลชิงที่หนึ่งอยู่ อีกครึ่งชั่วโมงคงจบ..ที่สนามปกติ
สีเราคว้าที่สามฟุตบอลเรียบร้อยแล้ว ส่วนตะเกียงวิ่งได้ที่หนึ่ง ไอ้กานที่สอง
โทนี่ที่สาม..พี่บอกพวกมันไม่ต้องห่วง..พี่อยู่ดูตะเกียงเอง” กูพยักหน้าเข้าใจที่มันพูด
“ตะเกียงไม่เป็นไรแล้ว เรากลับไปที่สนามกันเถอะ เดี๋ยวคนอื่น ๆ จะพลอยกังวล
ลุ้นเหรียญที่เหลือไม่สนุกแน่ๆ” กูชวนมันกลับ เพราะรู้สึกดีขึ้นแล้ว
คงหลังจากได้พักตั้งชั่วโมงกว่า ๆ
“เดี๋ยวค่อยไป..ตอนนี้ตะเกียงลุกอาบน้ำก่อนดีกว่า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พี่เตรียมไว้ให้แล้ว
จากนั้นเราค่อยไปกินข้าวกัน” มันบอกพร้อมกับยื่นผ้าขนหนู ที่เอาใส่กระเป๋ามาตั้งกะเมื่อคืน..
ติดมาใช้ที่บ้านไอ้พี่บอยมัน พร้อมหยิบเสื้อ กางเกงยีนส์ ชุดที่กูใส่ออกมาวางไว้ให้เรียบร้อย
“ตะเกียงว่า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็พอ ตะเกียงยังไม่หิว” กูรู้สึกว่ายังตื้อ ๆไม่ยักกะหิว
เลยคิดว่าอาบน้ำเสร็จก็พอ
“ตะเกียงไม่หิว ก็ต้องกินครับ เลยเที่ยงจนจะบ่ายสามอยู่แล้ว ยังไงต้องกินข้าวก่อน
พี่ยังไม่ได้กินเหมือนกัน นั่งเฝ้านักกีฬาเป็นลมอยู่..ยังไม่ได้กินไรเลย” นั่นสิ...ลืมไปว่ามันอยู่เฝ้ากู..
คงยังไม่ได้กินไรแน่ กูเลยพยักหน้าให้ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำในห้องพยาบาล
เพื่ออาบน้ำให้สดชื่น
กูกะไอ้พี่โต๋กำลังนั่งกินข้าวในโรงอาหารสองคน ช่วงนี้คนบางตามากแล้ว
เหลือร้านขายอยู่สามร้าน ร้านอื่นคงเก็บของหมดแล้ว คนส่วนใหญ่ลุ้นประกาศผลในสนาม
ที่นี้เลยไม่ค่อยมีคน ไอ้พี่โต๋บริการกูเสร็จทั้งซื้อข้าวซื้อน้ำ ก่อนที่เราจะนั่งกินกันเงียบ ๆ
มันคงหิวมากกินซะเกลี้ยงจาน ก็น่าจะหิวอยู่หรอก หิ้วท้องรอกูจนเลยเวลามากว่าสองชั่วโมง
นึก ๆ แล้วสงสารเหมือนกัน มันไม่ทิ้งกูอย่างที่พูดจริง ๆ กูกินได้ไม่กี่คำก็อิ่ม
คงเพราะดื่มกลูโคสไปเลยไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่ นั่งมองมันนิ่ง ๆ
จนมันกินเสร็จเงยหน้าจากจานข้าวมามองกูนั่นแหล่ะ ถึงได้เฉหลบตามัน
กลัวจับได้เผลอจ้องมันซะเพลิน
“ทำไมกินน้อยจังครับ” มันถามกู คงเห็นข้าวในจานกูเหลือครึ่งจานละมั้ง
“ไม่ค่อยหิวเท่าไรครับ คงดื่มกลูโคสไปด้วย” กูบอกมันไปตรง ๆ มันยักหน้าเข้าใจ
ก่อนจะดึงมือกูไปกุมไว้บนโต๊ะ กูเลิกลั่กมองซ้ายมองขวากลัวคนเห็น
ไม่เข้าใจว่ามันกำลังจะทำอะไร จะดึงมือกลับดันกุมไว้ซะแน่น เลยมองหน้ามันงง ๆ
“ขอโทษครับ..ที่ขอร้องให้ลงวิ่ง...พี่รู้สึกผิดมากจริง ๆ..ทำให้ตะเกียงเป็นลม
ถ้าไม่เพราะพี่ขอร้องให้ลงแข่ง คงไม่เป็นแบบนี้” หน้าตามันสำนึกผิดมาก ๆ
“ทำไมต้องขอโทษ..ไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย ที่ตะเกียงลงก็เพื่อส่วนรวม
กลับดีใจซะอีกทำได้สำเร็จ ที่เป็นลมคงเพราะเมื่อคืนนอนดึกตื่นเช้า..
ไหนจะวุ่นวายกับขบวนพาเหรด ผักผ่อนน้อยก็เลยเป็นลม ไม่เกี่ยวกับใครหรอกครับ”
กูพูดให้มันรู้สึกสบายใจ ไม่ใช่ความผิดของมันนิ ทำไมต้องทำท่าสำนึกผิดซะขนาดนั้นด้วย
“ถึงไงพี่ก็มีส่วนผิดอยู่ดี รับปากจะดูแลตะเกียงให้ดี แต่กลับทำไม่ได้ ถ้าพ่อรู้คงด่าพี่เละ
โชคดีแค่เป็นลม..ไม่เป็นอะไรมาก ไม่งั้นพี่คงสู้หน้าพ่อเกริกไม่ได้แน่ ๆ” ยังพูดเรื่องความผิดของมันต่อ
คงไม่สบายใจจริง ๆ กูเลยเอามือที่ว่างไปกุมทับมือมันอีกที ก่อนจะปลอบมันไป
“อย่าคิดมากสิครับ ตะเกียงไม่ได้เป็นไรสักหน่อยเห็นม่ะ สบายดีแล้ว..แค่พี่คอยดูแล..
ก็ไม่มีใครกล้าว่าพี่แล้วล่ะครับ” กูยิ้มให้มันไป มันก็ยิ้มกลับมา แต่เป็นยิ้มแห้ง ๆไงไม่รู้
ไม่สดใสเท่าไหร่
“ตะเกียงรู้ไหม พี่ตกใจมาก..จู่ ๆ ตะเกียงล้มทรุดในอ้อมกอดพี่ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว..
ใจพี่เสียแค่ไหน ภาวนาอย่างเดียวอย่าเป็นอะไร ไม่เช่นนั้นพี่จะไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
มันพูดตายังคงจ้องกูนิ่ง แวววาวมีน้ำรื้ออยู่ คงกดดันความรู้สึกไม่น้อย
“พี่ครับ..ตะเกียงขอบคุณมาก แค่ที่พี่ทำ..ก็ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรแล้ว
เอาเป็นว่าพี่ไม่ต้องกังวลนะครับ ตะเกียงไม่เป็นไรแล้ว” กูย้ำให้มันสบายใจอีกครั้ง
พร้อมกับยิ้มสดใสให้ไป เพื่อยืนยันตะหาก มันจึงมีรอยยิ้มได้..ไม่เจื่อนเหมือนตอนแรก
แล้วเราสองคนก็พากันกลับมาที่สนาม
โต๋เค้าบอกเคลียร์สามทุ่ม คือเวลาในโลกของพวกเค้า ไม่ได้หมายถึงของพวกเรา
แหม..แหม..
Luk.