วันสุดท้าย นี่แหละคือความเสียใจ
ผมลุกขึ้นจากที่นอนตอนเช้า ผมนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน ผมหลับไม่ลง ผมลุกขึ้นไปตักบาตรอุทิศสวนกุศล มันคงทำให้ใจสงบลงได้บ้าง
ผมยังนึกถึงพี่อัครว่าจะรอผมไปหา เขาจะรอผม แต่ผมรู้สึกกลัว ผมไม่รู้เหมือนกันว่ากลัวทำไม มันเหมือนเป็นจิตใต้สำนึกที่คอยบอกเราแต่เด็กว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัว
ผมจำเหตุการณ์รถชนที่หน้ามหาวิทยาลัย ไม่รู้เลยว่านั้นคือเขาจากคำบอกเล่าของพี่กร ไม่เคยนึกสะกิดใจเลยกับเรื่องราวแปลกประหลาดรอบตัวบวกกับคำพูดเขาที่กล่าวออกมา
“ไอ้เอไปกินข้าวเที่ยงแล้วเว้ย”ไอ้เป้ลงมาชวนไปกินข้าว
“ไปเหอะเป้ ไม่หิวว่ะ”ไอ้เป้ไม่ตื้อต่อเพราะเห็นว่าไม่ควรพูดด้วยที่สุดในสภาพนี่
ผมนั่งอยู่ตรงระเบียงจนตะวันเริ่มคล้อย วันนี่เมฆครึมกว่าปกติจู่ๆฝนก็เทลงมา ผมนั่งให้ฝนสาดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ลุกไปไหน จริงๆแล้วผมไม่รู้สึกตัวเลย
ผมกำลังคิดว่าหากพี่อัครไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วก็จะอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆโดยไม่มีใครรับรู้ตัวตน แล้วเขาจะอยู่อย่างนั้นอีกต่อไปเมื่อไร จนกว่าจะรู้ตัวหรือ แล้วถ้าไม่รู้ล่ะ
ผมลุกขึ้นยืนจากตรงนั้น อย่างกระวนกระวาย
“ไอ้เอ เมิงจะ ไปไหน”เซ้งขวางทางไว้
“ถ่อยไปไอ้เซ้ง”ผมบอกไอ้เซ้ง
“ก็ลองดูดิ”แหมไอ้ขี้ก้าง คิดหรอว่ะแรงแค่นี่จะขวางกรู กรูผลักมรึงกระเด็นได้น่ะ แต่มันรู้ผมไม่กล้าทำมัน เดี๋ยวได้ตายสะก่อน
“กรูบอกให้ถ่อย”แต่วันนี่ไม่ใช่ ใครมาขวางกรูต่อยแหลก
“มัน จะ ฆ่า เมิง น่ะ”ไอ้เซ้งบอกมันเริ่มเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว
“ถ่อย”ผมทำตาดุใส่มัน มันหงอเลยแต่มันก็ใจสู้ขวางอยู่
“มัน ไม่มี เหตุผล ที่เมิง จะต้อง ไป”ผมจับมันผลักออกไปแล้วกล่าวขอโทษมันไป
“ขอโทษแต่กรูต้องไป”จริงอย่างที่มันว่าผมไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปอีก แต่ผมไปโดยไม่รู้ทำไมต้องไป ไอ้เซ้งเหมือนจะวิ่งตามมา แต่ฝีเท้าผมดีกว่ามันตามมาไม่ทัน
ผมวิ่งไปท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างหนักเสียงฟ้าร้องน่ากลัวกำลังไล่หลังผมมา ผมหยุดนิ่งอยู่หน้าตึกอยู่ชั่วครู่ ผมลืมไปวันนี่มันปิดนี่หว่า แต่กลับปรากฏว่าประตูด้านหน้านั้นเมื่อผลักเข้าไปมันกลับเปิดออก ผมรอบกลืนน้ำลายก่อนเปิดประตูนั้นเบาๆ
ผมเดินขึ้นไปชั้นสองของตัวตึกมันช่างมืดและเงียบอย่างเยือกเย็นไม่เหมือนทุกครั้ง ความเย็นแผ่ส่านเข้าสู่ผิวหนังที่เปียกปอนด้วยสายฝนทำเอารู้สึกสั่นไปทั่งตัว
ผมมองผ่านความมืดอยู่ตรงหัวมุมบันได สายตามุงตรงไปยังโต๊ะติดกลับหน้าต่างบานยักษ์ มีเงามืดนั่งอยู่ตรงนั้น วันนี่ไร้ซึ่งแสงจากดวงจันทร์ ใจผมเต้นแรงแล้วรัวด้วยความกลัว ผมเอยเสียงดังเสียงกระซิบลอดออกมา
“พี่อัคร”ร่างนั้นยังคงนิ่งเฉย ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ พี่อัครเงยหน้าขึ้นมา เลือดที่ติดบนหน้าพากมันไหลลงมาแม้ไม่มากแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกกลัว บรรยากาศมันเงียบจนเสียงหายจังผมดัง
“เอ”เสียงที่ผมมักได้ยินและรู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง
“เอ เป็นอะไรไปครับเปียกหมดเลย”เขาทำท่าลุกขึ้นมา ผมกระเทิบหนีออก
“หนีพี่ทำไมครับ”เขาถามแต่ไม่กล้าเดินเข้ามาหาผม
“เปล่า”
“พี่มานานหรือยัง”เขาทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
“เพิ่งมาครับ”เขาว่า แต่ผมคิดว่าเขาคงมานานมากแล้วแต่เขาแค่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน
“พี่อัครเจ็บไหม”ผมต้องพยามเรียบเคียงถาม ผมไม่ได้รู้สึกกลัวมากกว่าก่อนหน้านี่
“เจ็บอะไรครับ”พี่อัครมีสีหน้างงเล็กน้อย
“ถ้ามีคนบอกว่าพี่ตายไปแล้วพี่คิดว่าไง”
“เอต้องการสื่ออะไรครับพี่ไม่เข้าใจ”พี่อัครไม่ใช่คนโง่ ผมว่าไม่ควรพูดอ้อมจะดีกว่า อย่างน้อยเรื่องจะได้จบ ผมจะได้ไม่เจ็บไปมากกว่านี่ มันเป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำมัน
“ที่ๆนี่พี่อัครไม่ควรอยู่ เราไม่ควรพบกัน”พี่อัครนิ่งฟังมีสีหน้าเคร่งเครียดลงมา
“เอเกลียดพี่หรอครับ”เขาเป็นคนตรงเวลาพูดอะไรมักตรงไปตรงมาไม่เคยอ้อมค้อม
ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “พี่อัครครับ”ผมเอื้อมมือไปจับ
“พี่อัครตายไปแล้วน่ะครับ”ผมพูดพร้อมสบสายตาเขาคมเข้มของเขา
“ฮ่าๆเอล้ออะไรพี่เล่นล่ะครับ พี่จะตายไปได้ไง”พี่อัครหัวเราะแต่ผมเงียบ เขายังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว เขาหยุดหัวเราะเมื่อผมยังคงเงียบ
“เอ เอล้อเล่นแบบนี่เพราะไม่อยากคบพี่หรอครับ”เขาถาม ผมส่ายหน้าตอบไป ผมไม่รู้จะเริ่มเหตุการณ์ตรงไหนก่อนดี
“พี่อัคร วันจันทร์พี่อัครมามหาลัยอย่างไงครับ”ผมควรเริ่มจากทีแรก ค่อยๆให้เขานึกได้
“เอ อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ”เสียงเขาบอกอย่างอารมณ์ไม่ดี
“ผมอยากให้พี่ตอบ”
“พี่ขับมาจากบ้านพร้อมกับกร”
“แล้วไงต่อ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับพี่ขับมาตามปกติ”พี่เขาบอก ผมคงต้องเจาะให้ลึกกว่านี่
“ตอนพี่ขับมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยแล้วไง”
“พี่ก็เอารถไปจอดที่โรงรถ”ผมเงียบ ผมคิดว่ามันคงเป็นชีวิตประจำวันที่ซ้อนทับกัน
“หรอครับแล้วรถยังอยู่ไหมครับ”
“ฮ่าๆๆสอบสวนอะไรเนี้ยก็ต้องยัง...”พี่อัครเงียบไป เอาแหละดูเหมือนว่าเขาคงพอนึกอะไรได้อยู่
“ว่าไงครับ”
“พี่”
“พี่ลองนึกถึงเหตุการณ์วันจันทร์ใหม่สิครับ”ผมบอก เขาทำท่าครุ่นคิด
“พี่ขับรถมา มีไอ้กรนั่งอยู่ข้างๆ...พอมาถึงหน้ามหาลัย...พี่...พี่”
“ครับพี่ถูกรถชน พี่ตายไปแล้ว”ผมบอกอีกครั้ง แต่ครั้งนี่ผมห้ามน้ำตาตัวเองไม่อยู่คงเพราะท่าทีที่เจ็บปวดของพี่อัคร
สายตาผมเบิกโพรงเมื่อของเหลวบางอย่างที่ไหลออกมาจากหัวร่างกายของพี่อัครมากขึ้น แล้วเริ่มเปลี่ยนสภาพ เสื้อผ้านักศึกษาเปรอะไปด้วยคราบเลือดและฉีกขาดภาพมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมถ่อยกรู่ออกมา
“พี่ยังไม่ตาย พี่ยังไม่ตายน่ะเอ”พี่อัครเดินเข้ามาหาผม
“เอ อย่าทิ้งพี่ไปน่ะเอ”พี่อัครเริ่มบ้าครั่งจนผมรู้สึกกลัว
“พี่อัคร”
“พี่ๆ พี่รักเอ พี่รักเอ พี่รัก”พี่อัครเข้ามากอดผม ผมรู้สับสนไปหมด ทั้งๆที่น่าจะผลักพี่เขาออกไป
แรงบีบรัดทำเอาผมรู้สึกหายใจไม่ออก
“พี่อัคร ผมเจ็บ”ผมร้องบอกเขาเริ่มรู้ตัวแต่ยังไม่คลายมืออก กลิ่นเลือดคลุ้งขึ้นจมูก แต่ที่น่าแปลกผมไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
“เจ็บไหมครับ”ผมพูดพลางมือลูบไปที่ใบหน้า
“เจ็บครับพี่เจ็บ เอพี่เจ็บ”ผมอยากจะร้องไห้โฮออกมา ผมลูบใบหน้าอยากจะเช็ดมันออกแต่เลือดยังคงไหลไม่หยุด
“อย่าไปน่ะเอ น่ะอย่าไปไหน”
“อัครหยุดเถอะ ปล่อยน้องมาให้กรู”เสียงนั้นมาจากมุมบันได
“ไอ้กร มรึง มรึงยังไม่ตายใช่ไหม”เสียงพูดของพี่อัครถามอย่างเป็นกังวล ผมเพิ่งรู้ว่าเขาห่วงคนรอบข้างเสมอ
“ใช่กรูไม่เป็นแต่เมิง... อัครปล่อยเอมาให้กรูเหอะ”
“ไม่ไอ้กร อย่าเอาเอไปจากกรู”พี่อัครกอดผมแน่น
“อัครที่นี่ไม่ใช่ที่ของแก ไปเถอะยังมีคนรอแกอยู่”พี่อัครคายอ้อมแขนออก
“ฉัน”
“ไปเถอะนายไม่ต้องห่วงอะไร”
“เราควรอยู่ที่ไหนว่ะไอ้กร”
“เมิงรู้แต่แค่ยังไม่อยากไป ไม่ต้องห่วงเรื่องเอ น้องเขารับรู้ความรู้สึกแล้ว อย่าให้น้องต้องลำบากใจ”แต่ผมไม่อยากให้ไป ถ้าผมพูดออกไปคงเป็นการรั้ง
“แต่ๆ”
“ไปสะอัคร เมิงไม่มีสิทธิ์อยู่กับเอแล้ว”
“กร ขอโทษน่ะเอ”พี่อัครร้องไห้ออกมาก่อนหายตัวไป
“พี่กร”ผมร้องไห้โดยมีมือนั้นคอยปลอบแต่มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
“เอทำใจเหอะว่ะ ไอ้อัครไปสบายแล้ว”ไม่ว่าคำปลอบประโลมใดก็ไม่อาจได้ยิน ผมได้ยินแต่คำว่ารักที่พี่อัครบอก แต่ผมไม่เคยได้บอกคำนั้นออกไป พี่กรมาส่งผมที่หอ ก่อนบอกว่าพรุ่งนี่จะไปหาพี่อัคร
วันนี่เป็นวันที่พี่กรจะมารับ สองวันแล้วที่ผมไม่ได้นอน สภาพผมไม่ต่างจากศพเดินได้ พี่กรมารับโดยไม่ได้บอกว่าไปไหน รถมาจอดอยู่ที่โรงบาล
“ทำไมไปโรงบาลล่ะพี่กร”
“ไอ้อัครอยู่ที่นั้นน่ะ”ผมไม่เข้าใจความหมายนัก
แต่ผมเข้าใจว่าวันนี่เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้พบเจอกัน ผมเข้าไปในห้องนึ่งที่มีเครื่องมือช่วยชีวิตเต็มไปหมด ผมเห็นร่างเขานอนอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายช่างซีดเซียว
“หมายความว่าไงพี่กร”ผมเสียงเครือ เขายังอยู่หรอ
“วันนี่เขาจะถอดเครื่องช่วยชีวิตออกแล้วแหละ พี่พามาลา”ทำไมต้องพามา ผมไม่เข้าใจ มาทำให้ผมหัวใจสลายอีกครั้งหรอ
สุดท้ายจริงๆที่จะได้พบกับพี่อัคร หมอกำลังจะเอาเครื่องออกซิเจนออก เพราะไม่อาจยื้อชีวิตของพี่อัครไว้ได้อีกแล้ว พี่กรบอกว่าจริงๆพี่อัครควรตายตั้งแต่วันที่ถูกรถชน แต่ด้วยความหวังที่จะได้พบผม เขาจึงยื้อตัวเองไว้ พี่กรแนะนำว่าผมเป็นรุ่นน้อง แต่ดูเหมือนท่านทั้งสองพอรู้เรื่องราวของผมมามากพอดูแล้วเหมือนกัน
“ขอบใจน่ะลูกที่อุตส่าห์มา พี่เขาคงดีใจที่หนูได้รับรู้ความรู้สึกพี่เขา พี่ เขา พี่ เขา คงดีใจ จริงๆ”แม่พี่อัครจับมือผมแล้วร้องไห้ออกมา ความทุกข์ของคนเป็นแม่คงหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าผมนัก พ่อของพี่อัครได้แต่ปลอบใจภรรยาตัวเอง
“ลูกเอ ไปลาพี่เขาเป็นครั้งสุดท้ายเถอะลูก เดี๋ยวหมอเขาจะถอดออกซิเจนออกแล้ว”พ่อพี่อัครที่ตอนนี่ดูโทรมนัก แต่ด้วยเป็นระดับถึงผู้บริหารจึงรักษาภูมิได้อย่างดี เขามองไปยังเตียงที่ลูกชายนอนอยู่อย่างคนหัวใจสลายด้วยว่าเป็นลูกรักสุดหัวใจ
ผมมองไปที่เตียงนั้น หมอที่อยู่ล้อมรอบพี่อัครก็คงไม่ต่างจากมัจจุราชในสายตาผมนัก ผมนั่งลงบนเก้าอี้ จับมือใหญ่หนาที่เขาเคยสัมผัสแม้จะเป็นวิญญาณ ผมยังคงเฝ้าภาวนาให้เขาตื่นขึ้นมา หรือ หากไม่ก็ขอให้ได้พบพี่อัคร
“สวัสดีครับพี่อัครครับ ผมเอน่ะ ผมไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยพูดอย่างไรดี”ผมกล่าวด้วยวาจาที่สามัญที่สุด
“ขอบคุณน่ะพี่ ขอบคุณที่รักผม”ผมลุกขึ้นก่อนไปกระซิบที่ริมหูของผู้ชายที่ทำให้ผมได้หลงรักแค่เพียงเจ็ดวัน
“ผมก็รักพี่”นี่คงเป็นคำกล่าวลาครั้งสุดท้ายแล้ว
ผมประทับริมฝีปากลงบนปากที่อุ่นนั้นด้วยมีเลือดที่ไหลเวียนอยู่ที่ต่างจากแต่ก่อนที่มีแต่ความเย็นแต่ทิ้งกลิ่นอายอบอุ่นและหอมหวานไว้ แต่นี่แม้นกายที่อุ่นแต่ไม่อาจสัมผัสความรักได้เลย
พี่กรจับไหล่ผมที่น้ำตาคลอเบ้าออก ผมไม่อาจทรงตัวให้ยืนได้ ผมใจไม่แข็งพอ ผมมองไปยังหมอและพยาบาลกำลังถอดอุปกรณ์ออก ผมผละออกจากเขาด้วยที่ผมทำใจไม่ได้ถ้าเห็นหมอกำลังเอาเครื่องช่วยชีวิตอยู่
ลาก่อนจริงๆ
ตอนนี่ไม่ค่อยได้ตรวจเลยอ่ะแฮๆๆ พรุ่งนี้ตอนพิเศษน่ะ