Tsundere Boy เมื่อหนุ่มซึนมาหลงรัก
Special :: The Punishment 1
ร่างบางที่แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็คสีครีมก้าวลงจากรถเก่าคันโปรด แสงแดดของประเทศไทยในยามสายทำให้เจ้าตัวต้องยกมือขึ้นมาบังแดด
สำหรับคนที่ไปอยู่ปารีสหลายเดือนและต้องพบแต่บรรยากาศขมุกขมัวของฤดูฝน เมื่อมาเจอความเจิดจ้าของแสงอาทิตย์ในเมืองไทย จึงต้องรู้สึกไม่ชินเป็นธรรมดา
“คุณน้ำ สวัสดีค่ะ กลับมาตั้งแต่วันไหนคะ” เสียงสดใสของคนที่รู้จักกันดีทักทายเมื่อเห็นหน้า น้ำยิ้มกว้างกลับไปให้อย่างร่าเริง
“กลับมาตั้งแต่เมื่อวานครับ พอวันนี้ก็มาที่นี่เลย ทนคิดถึงพี่อุ้มไม่ไหว” วาจาหยอกล้อประสาคนคุ้นเคย แต่หากคนของน้ำมาได้ยินคงตาเขียวปั๊ด
“คุณน้ำพูดแบบนี้อีกแล้วถ้าคุณเขื่อนได้ยินก็ตาขวางใส่พี่อีก ไม่เอานะคะ”
“ฮ่าๆ วันนี้ทางสะดวกครับ”
“ทางสะดวกแค่ไหนก็ไม่เอาค่า ไปๆ เข้าไปข้างในเถอะ คุณมะนาวรอเงกแล้ว”
น้ำสูดกลิ่นหอมจากเครื่องใช้ของเด็กอ่อนที่อบอวลอยู่ภายในบริเวณชั้นสองของบ้านนี้ เสียงเพลงกล่อมเด็กที่ไพเราะและสดใสดังกังวานมาตามทางเดิน ประตูกระจกมีม่านลายลูกไม้ปิดกั้นไว้บางๆ เมื่อมองเข้าไปก็จะเห็นหญิงสาวที่แม้เพียงมองรางๆก็ยังรับรู้ได้ว่างดงามเพียงไหน อากัปกิริยาของหญิงสาวบอกได้ว่ากำลังประคับประคองทะนุถนอมชีวิตเล็กๆในอ้อมแขนยิ่งกว่าชีวิต
“ประสบการณ์เลี้ยงเด็กสิบกว่าปีของพี่เทียบไม่ติดเลยค่ะ คุณหนูนวลที่ว่าโยเยที่สุดแล้ว พอได้ยินเพลงที่คุณมะนาวร้อง ก็เงียบกริบเลย” น้ำยิ้มให้กับคำพูดของพี่เลี้ยงและพยักหน้ารับ
“มะนาวเขามีสัญชาตญาณความเป็นแม่เต็มเปี่ยมเลยครับ”
ทั้งสองคนเอาแต่มองชื่นชมจากด้านนอกจนเพลินก็ถูกคนข้างในหันมาเห็นและกวักมือเรียกให้เข้าไปจนได้ น้ำยิ้มให้กับเพื่อนที่เขารักมาก มากจนคำว่าเพื่อนอาจนิยามได้ไม่เพียงพอ
“ไปยืนทำอะไรกันจ๊ะ แอบมองงั้นเหรอ เดี๋ยวเก็บเงินเลยนะ” เสียงหวานไม่แพ้เวลาร้องเพลงบ่นกระเง้ากระงอด มือเรียวบางส่งทารกน้อยในอ้อมแขนให้พี่เลี้ยงคนเก่ง และหันมากอดน้ำแนบแน่น
ครั้งแรกที่อุ้มเห็นความสนิทของน้ำและมะนาว ก็รับรู้ได้ทันทีว่าสองคนนี้มีบางอย่างที่พิเศษเหนือคำว่าเพื่อน คิดไปถึงขนาดว่ามะนาวแอบมีกิ๊ก แต่พอเห็นว่าน้ำเองก็มีเขื่อนอยู่ จึงรู้ว่าความรักของมะนาวและน้ำเป็นความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
“คุณแม่ตัวหอมเหมือนเด็กเลยนะ”
“ฮิฮิ ก็วันๆขลุกอยู่แต่กับเจ้าตัวเล็ก จนกลิ่นแป้งเด็กและแชมพูเด็กติดแทนกลิ่นน้ำหอมแล้ว”
“น้ำกอดแม่พอแล้วละ ขอน้ำกอดเจ้าตัวเล็กบ้างสิ” น้ำเดินไปรับร่างเล็กๆจากมือของอุ้ม ทารกน้อยลืมตามองเมื่อรู้สึกว่าถูกเปลี่ยนคนอุ้ม มือเล็กๆกุมรอบนิ้วของน้ำที่เขี่ยแก้มยุ้ยของตัวเอง
“น่ารักจังเลยมะนาว” คำชมสั้นแต่ความหมายลึกซึ้ง เพราะความน่ารักที่ยากจะบรรยาย หนูนวลที่ผิวขาวละเอียดและริมฝีปากบางจิ้มลิ้มที่ได้จากมะนาว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหมือนโมน น้ำก้มลงสูดกลิ่นหอมของแป้งเด็กจากแก้มยุ้ยๆในอ้อมแขน หนูนวลทำเสียงอืออาน่ารักจนน้ำไม่อยากจะปล่อย
อุ้มมองภาพที่น้ำอุ้มหนูนวลและมีมะนาวยืนเคียงข้าง จากที่เคยเห็นในรูปสมันมัธยมปลายที่ทั้งสองคนถ่ายรูปคู่กัน น้ำสูงพอๆกับมะนาวและมีใบหน้าหวาน ผิวขาวจั๊ว แต่มาวันนี้ หลายปีผ่านไป จากที่สูงพอๆกัน ก็สูงกว่าประมาณหนึ่งคืบได้ ดูแล้วก็ช่างเหมาะสมเหมือนกิ่งทองใบหยก ทว่าเมื่อไปเทียบกับโมนหรือเขื่อน ก็ยังทิ้งห่างอีกเป็นคืบเหมือนกัน
“พี่อุ้ม ผมรู้นะว่าพี่คิดอะไร...” น้ำเสียงโมโนโทนที่ดังทะมึนข้างๆ ทำเอาพี่เลี้ยงเด็กสะดุ้งเฮือกและหันไปยิ้มแหย
“คุณโมน พี่ไม่ได้คิดอะไรเลยค่า...”
“อย่ามาขี้จุ๊ แต่ยังไงตัวจริงอย่างผมก็มาแล้วแหละ” พูดจบแล้วร่างสูงนั้นก็เดินผ่านอุ้มไปตรงที่น้ำด้วยความรวดเร็ว
“อ้าว โมน มาเมื่อไรจ๊ะ ไหนบอกว่าจะกลับมาตอนเย็นๆไง” โมนยิ้มให้ภรรยาสุดที่รัก ในใจนึกตอบคำถามนั้นเรียบร้อยแล้วว่าไม่อยากทิ้งมะนาวให้อยู่กับน้ำตามลำพัง ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจหรืออะไร แต่กลัวว่าลูกสาวตัวเองจะเข้าใจผิดว่ามีน้ำเป็นพ่อ ก็ดูสิ น้ำมาแค่แป๊บเดียวพี่เลี้ยงลูกของเขาก็จิ้นไปเสียไกลแล้ว...
“โมนคิดถึงลูกน่ะ อยากรีบกลับมาสังสรรค์กับเพื่อนๆด้วย” หนูนวลถูกส่งต่อให้โมน เด็กน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อถูกพ่อฟัดที่พุงขาวๆ
“แล้วเขื่อนละจ๊ะ” มะนาวถามต่อถึงอีกคนที่บอกว่าจะเข้ามาพร้อมโมน
“อ้าว มันก็มาพร้อมโมนนะ แล้วไปไหนวะเนี่ย” ประโยคแรกชายหนุ่มพูดกับภรรยา แต่ประโยคหลังนั้นคือการบ่นพึมพำกับตัวเอง
“กูไปห้องน้ำมา” อุ้มต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อมีเสียงพูดดังขึ้นข้างตัว พอหันไปมองก็พบว่าเป็นชายหนุ่มมาหยุดยืนข้างเธอ เสี้ยวหน้าคมเข้มที่บ่งบอกยี่ห้อความเป็นลูกครึ่ง จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสีเข้มทอเป็นประกาย ริมฝีปากที่หยักได้รูปดูน่าจูบ
“สวัสดีครับพี่อุ้ม” พี่เลี้ยงยังสาวแทบจะละลายลงไปกองที่พื้นเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เขื่อนรู้จักการยิ้มโปรยสเน่ห์แบบนี้ตั้งแต่วันที่เขาเริ่มทำงานกับพ่อ และเรียกรอยยิ้มนี้ว่า ยิ้มเพื่อธุรกิจ
“มึง! พี่เลี้ยงลูกกูละลายแล้ว รีบถอยมาจากตรงนั้นด่วน” เสียงโมนเรียกพร้อมกับกวักมือเขื่อนให้เข้าไป ร่างสูงก้าวผ่านอุ้มไป กลิ่นโคโลญจน์จากร่างกายนั้นช่างทำให้ฟีโรโมนปั่นป่วนยิ่งนัก อุ้มเห็นท่าว่าจะต้านทานไม่ไหวจึงรีบเดินออกมาจากตรงนั้น
“ทำไมเอาไอ้เน่ามา ทำไมไม่ขับคันใหม่ที่ซื้อให้มาล่ะ” พอเดินมาหยุดยืนข้างน้ำแล้ว เสียงทุ้มก็กระซิบถามคำถามที่คิดเอาไว้หลังจากเห็นรถคันเก่าที่หน้าบ้านของโมน ทั้งที่ซื้อรถคันใหม่ให้แล้ว แต่เจ้าตัวก็มักจะประชดไม่ยอมขับเวลาที่ทั้งคู่ทะเลาะกันเสมอ...
“ไม่ใช่ที่นี่ เราจะไม่คุยเรื่องนี้กันที่นี่ครับ” น้ำตอบกลับมาเสียงเบาพอกัน ใบหน้าหวานนิ่งเรียบ ก่อนจะหันไปยิ้มกว้างและเฮฮากับเพื่อนได้เหมือนสับสวิตช์
“แล้วนี่หนูนวลกี่เดือนแล้วเหรอ” น้ำถามขณะเอานิ้วเขี่ยที่แก้มหนูนวล
“แปดเดือนแล้วจ้ะ ถ้าครบหนึ่งขวบอย่าลืมมาวันเกิดลูก เอ้ย หลานนะจ๊ะ” เสียงหวานเรียกเสียงหัวเราะจากน้ำได้ชะงัดนัก แต่คนเป็นพ่อตัวจริงกลับทำหน้าหงิกงอ มะนาวเองก็ทำไม่รู้ไม่ชี้และคุยกับน้ำไปเรื่อยๆ
“กุญแจรถผมไปไหน!!!” ใบหน้าขาวแดงแปร๊ดเพราะความโมโหยืนกำหมัดแน่นและตะโกนใส่หน้าเขื่อน หลังจากที่ได้เวลากลับบ้าน ทั้งสองก็เดินมาที่รถพร้อมกันโดยมีโมนและมะนาวเดินมาส่ง แต่พอน้ำจับประตูรถ ก็พบว่ามันถูกล็อก ทั้งที่ตอนแรกเขาไม่ได้ล็อกรถ และเสียบกุญแจคาไว้ด้วย
“ไม่รู้” เขื่อนตอบหน้าตาเฉย เพื่อนทั้งสองมองคู่นี้ทะเลาะกันอย่างเพลิดเพลินเพราะไม่ได้เห็นมานาน!!
“เขื่อนอย่ามาสะตอ ผมรู้นะว่าเขื่อนล็อกรถแล้วเอากุญแจผมไปใช่มั้ย” มะนาวและโมนหันมาหัวเราะกันเบาๆ เพราะดูท่าว่าเขื่อนจะเอาไปจริงๆ แต่เพราะไอ้การทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้นั่นช่างยียวนชวนขำเหลือเกิน
“เข้าบ้านเถอะมะนาว ปล่อยเขาเถียงกันไปเถอะ” เมื่อเห็นว่าโมนพามะนาวเข้าบ้านไปแล้ว เขื่อนจึงหันมาคุยกับคนตรงหน้า
“นายขับคันเก่ามาทำไม มันเก่าแล้ว ถ้าเกิดขับๆอยู่แล้วพัง ประสบอุบัติเหตุจะทำยังไง”
“มันไม่พังง่ายๆอย่างนั้นหรอก เอากุญแจรถผมมา”
“น้ำอย่างี่เง่าสิ”
“ผมไม่ได้งี่เง่า ผมแค่อยากเอารถมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่จอดไว้เฉยๆ”
“ถ้านายคิดว่ามันเป็นการเอามาใช้ประโยชน์ ไม่ใช่เอามาประชดฉัน ฉันจะไม่ว่าเลย แต่นี่นายประชด!” เขื่อนเริ่มเสียงดังบ้าง แม้ว่าน้ำจะมีนิสัยชอบประชดประชันเขาก็ไม่เคยจะโมโห กลับคิดว่ามันน่ารักน่าฟัดเสียด้วยซ้ำ แต่คราวนี้น้ำกลับประชดโดยเอาชีวิตตัวเองมาเกี่ยวพัน เจ้ารถคันเก่านั้นมันมีสภาพที่ย่ำแย่มากเกินพอแล้ว กลอนฝั่งคนขับก็เสีย ถุงลมนิรภัยก็ใช้ไม่ได้ เบรกก็ไม่ดี ขึ้นไปนั่งขับครั้งหนึ่งก็เหมือนอายุสั้นลงไปทุกที
“ฮึก...” นั่นไงล่ะ เขื่อนยกมือมากุมขมับ ขึ้นเสียงเพียงนิดเดียวก็จะร้องแล้ว มองใบหน้าหวานนั้นที่เม้มปากเข้าหากันเพื่อไม่ให้ร้องไห้แล้วก็รู้สึกผิด เพราะลืมไปว่าน้ำนั้นอ่อนไหวเพียงไหน
“ฉันขอโทษ” เดินเข้าไปหาหมายจะกอด แต่เจ้าตัวก็เบี่ยงกายหนี สุดท้ายจึงต้องใช้กำลังอุ้มร่างนั้นยัดเข้ามาที่เบาะหลังของรถตัวเอง
“ปล่อยผม!” เสียงสั่นเครือตวัดอย่างไม่พอใจ มือเรียวนั้นระดมทุบที่บ่ากว้างหลายที เขื่อนไม่ปัดป้องและไม่ดุว่าสักคำ ได้แต่ยืนขวางค้ำประตูรถนิ่งๆเพื่อให้น้ำทุบอยู่แบบนั้น
“ฮึก...ไอ้เขื่อนบ้า..”
“ฉันขอโทษ” เสียงทุ้มพร่ำบอกพร้อมกับมือใหญ่โอบร่างที่โน้มตัวมาซบกับหน้าท้องของเขา (นึกภาพน้ำนั่งในรถและเขื่อนยืนพิงหันเข้าหารถนะคะ )
“ขอโทษ..ฮึก เรื่องอะไร...” เสียงหวานเศร้าถามซ้ำ
“ทั้งสองเรื่องเลย ที่ตวาดนาย แล้วก็เรื่องของมิสวิลสันด้วย...” เขื่อนตอบเสียงเรียบ มือก็ยังคงลูบปลอบให้น้ำหยุดร้องไห้
“กลับบ้านกันก่อนเถอะนะ ไปคุยกันที่บ้าน..” ย่อตัวลงมาถามคนที่นั่งเช็ดน้ำตาป้อยๆแล้วจรดริมฝีปากไปบนแพขนตาที่ชุ่มน้ำตานั้น
“...”น้ำไม่ตอบอะไรแต่พยักหน้าเบาๆและปล่อยให้เขื่อนจูงมือเขาเดินมานั่งที่เบาะหน้าแทน
TBC >>>