PART TEAM
ค่าอาสาจะสนุกกว่านี้มาก ถ้าผมสามารถใช้โทรศัพท์ได้...
ไหนใครบอกว่าคลื่นโทรศัพท์มือถือกระจายเข้าครบทุกพื้นที่ของประเทศไทยแล้วไงครับ แล้วทำไมต้องให้ผมหงุดหงิดขณะพยายามเดินหาคลื่นตั้งแต่นั่งรถจิ๊บคันใหญ่เข้ามาถึงหมู่บ้านบนยอดดอยแห่งนึ้เมื่อหลายวันก่อน จนวันนี้ตอนบ่ายเราจะเดินทางกลับกันอยู่แล้ว..กูยังไม่ได้โทรศัพท์หาที่รักเลยนะเว้ยเฮ้ย!!
ชาวบ้านเขาบอกว่าถ้าอยากคุยโทรศัพท์ก็ต้องลงไปที่ตีนเขา เข้าไปในแหล่งชุมชน...หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เข้าไปในเมืองแล้วผมจะโทรได้นั่นเอง หอกกก จะแนะนำกูทำไมครับแบบนั้น!!
ตั้งแต่ตอนออกจากบ้านแล้ว ใจผมไม่ดียังไงก็ไม่รู้ เป็นห่วงฝุ่นมากกว่าทุกครั้ง มันตะหงิดๆ ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ในใจก็คอยภาวนาตลอดว่าอย่าให้เป็นแบบลางสังหรณ์ของผมเลย
ช่วงกลางคืน ประมาณห้าทุ่มของทุกวัน เราจะมีการประชุมกลุ่ม สรุปงานที่ทำไปในวันนี้ว่าประสบผลมากน้อยแค่ไหน และเตรียมงานที่จะต้องทำในวันรุ่งขึ้นรวมไปถึงผลที่คาดหวัง จากนั้นประธานก็จะเปิดขวดเหล้า เอิ้ก...ใจนึงก็อยากกินตามประสา แต่อีกหลายๆ ใจก็ไม่อยากกิน หรือสังสรรค์อะไรทั้งนั้น ผมแค่อยากกลับกรุงเทพฯ ไปดูให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับน้อง
พอผมไม่กินเหล้ามากๆ เข้า ไอ้พวกเพื่อนๆ มันก็หาว่าผมทำงานกร่อย จะหนีไปนอนก่อนมันก็ไม่ยอม จนสุดท้ายผมเลยต้องรับแบบผสมโค้กมาตั้งเซ่นอยู่เบื้องหน้า แต่ดีนะ ที่กินกันแล้วยังมีแรงฮึดตื่นมาทำงานกันต่อ ไม่งั้นถ้างานไม่เสร็จโดนอาจารย์ด่ายับแน่ๆ เอิ้ก
ด้วยความที่วันนี้พวกเราจะเดินทางกลับกันแล้ว จึงต้องแยกย้ายกันทำงานส่วนของตัวเองให้เสร็จ ไอ้ไกด์ที่รักสบายมาตลอดชาติก็โดนประธานสั่งไปยกของขึ้นรถ หึหึ สมน้ำหน้ามัน
“ทีม มึงเก็บของเสร็จหมดรึยัง” ไอ้บอลมันเดินเข้ามาถามผมในห้อง
“ใกล้แล้วมึง กูอยากถึงกรุงเทพฯ ไวๆ ว่ะ” ผมบ่นออกไป บอลมันทำหน้างง แล้วเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างผมที่กำลังเก็บแผนงานทั้งหมดให้เข้าที่
“มึงเป็นอะไรวะ กูเห็นมึงเหม่อๆ มาตั้งแต่วันแรกแล้ว เหล้าก็ไม่กระดก”
“ไม่รู้ว่ะ กูรู้สึกเป็นห่วงฝุ่นยังไงไม่รู้” ผมตอบไปตามความจริงแล้วถอนหายใจใส่แรงๆ ไอ้บอลมันขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัยก่อนจะบอก
“งั้นเข้าตัวเมืองแล้วมึงก็ลองโทรหาน้องดูสิ จะได้หายกังวลใจ” บอลมันแนะนำ
ผมจึงพยักหน้างึกงักรับคำแล้วเริ่มลงมือเก็บของทั้งหมดอีกครั้ง บอลมันเลยอาสาตัวจะช่วย ก็ดีครับ จะได้เสร็จเร็วๆ ผมจะได้เข้าตัวเมืองไปโทรศัพท์สักที ไม่งั้นอาการกังวลนี่คงไม่หายไปง่ายๆ แน่นอน
จากบนดอยลงมาที่ตัวเมืองก็ทุลักทุเลกันพอสมควร ด้วยความที่พวกเราต้องอาศัยเกาะหลังรถจิ๊ปเขามายิ่งทำให้หัวสั่นหัวคลอนมากขึ้นหลายเท่าตัว ไกด์ทำหน้าเหมือนจะอ้วกใส่ผมอยู่ตลอดเวลาจนคนรอบข้างเริ่มทนไม่ได้ ยัดถุงพลาสติกใส่มือให้มันถือครองเอาไว้คนเดียว ผมนั่งเสียวจะโดนอ้วกของไอ้เพื่อนสนิทอยู่ราวสองชั่วโมง เราก็มาถึงตัวเมืองกันโดยสวัสดิภาพ
แต่ละคนในทีมล้วนหิวโซ เพราะออกมาจากหมู่บ้านตั้งแต่บ่าย ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันสักคำ จึงตัดสินใจว่าจะแวะทานข้าวกันก่อนไปขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ถึงจึงใช้โอกาสระหว่างที่รอข้าวนั้นกดโทรศัพท์หาฝุ่น
...เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ค่ะ...“อะไรวะ” ผมพึมพำ บอลมันเลยชะโงกหน้าจากฝั่งตรงข้ามมาถาม
“ทำไมวะ ไม่รับสายเหรอ”
“เปล่า” ผมส่ายหน้า “ปิดเครื่อง...กูลองโทรเข้าบ้านดีกว่า”
ทันทีที่พูดจบผมก็ตั้งท่าจะโทรเข้าบ้าน แต่ไกด์มันหันมาท้วง
“วันนี้วันพฤหัส บ่ายด้วย พ่อมึงกับน้าอิ่มไม่ทำงานเหรอ”
“เออว่ะ” ผมเซ็ง แล้วจะติดต่อยังไงดีวะ
“เอาน่ะมึง น้องฝุ่นอาจจะติดเรียน เลยปิดโทรศัพท์ก็ได้ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงกรุงเทพฯ แล้ว พอถึงคณะปุ๊บ มึงก็ขับรถกลับบ้านไปเลยสิ ของที่เหลือเดี๋ยวกูจัดการให้” บอลมันเสนออย่างมีน้ำใจ ไอ้นี่ถึงบางทีมันจะกวนๆ ไปบ้าง แต่ที่ยังคบกันทนก็คงเพราะจุดนี้มั้งครับ มันรู้ว่าเวลาไหนควรหรือไม่ควรเล่น
“ใจมาก” ผมบอกสั้นๆ แล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงทั้งที่ในใจยังพะวงอยู่อย่างนั้น...
ตอนผมกลับมาถึง บ้านค่อนข้างเงียบกว่าทุกที ทั้งที่ปกติเวลาประมาณสี่ทุ่มน้าอิ่มกับพ่อจะยังดูหนัง หรือไม่ก็นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นก่อนขึ้นนอน แต่นี่นอกจากชั้นล่างจะไม่เปิดไฟแล้ว ที่ผมแปลกใจมากที่สุดก็คือ ไฟห้องของฝุ่นดับสนิท...
น้องเป็นคนนอนดึกดังนั้นสี่ทุ่มนี่ถือว่าเป็นหัวค่ำเท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นเพราะผมเป็นคนชอบหาอะไรกินตอนช่วงดึกทั้งยังชอบดูหนังตอนดึกจนฝุ่นติดนิสัยนี้ไป มันยิ่งดูแปลกประหลาดสำหรับผมถ้าจะบอกว่าฝุ่นหลับไปแล้ว
ผมจัดการจอดรถในลาน แล้วเตรียมจะเข้าบ้าน ทว่าเซ็กส์ซี่กลับวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตะกุยขากางเกง
“เป็นไรเนี่ย” ผมก้มลงเกาหัวมัน เซ็กส์ซี่รีบเลียมือผมแล้วทำเสียงหงิงๆ ใส่ อย่าหาว่าบ้าเลยนะ แต่ถ้าอิหนูมันพูดได้มันคงอยากบอกอะไรบางอย่างกับผมแน่ๆ แต่ในเมื่อเซ็กส์ซี่ทำได้แค่พูด โฮ่ง กับ หงิง ผมก็ต้องเข้าบ้านไปหาคำตอบว่าทำไมบ้านถึงแลดูแปลกๆ สำหรับผมในวันนี้
“ถอยไปก่อนเซ็กส์ซี่ ฉันจะเข้าไปดูในบ้าน” ผมพูดแล้วผลักเจ้าหมาน้อยออกจากตัวเอง เสียงหงุงหงิงของเซ็กส์ซี่ยังตามไล่หลัง ประตูบ้านถูกผมเปิดออก ไฟอัตโนมัติเปิดสว่างขึ้นทันทีที่เซนเซอร์จับการเคลื่อนไหวทำงาน ทำให้ผมเห็นรอบๆ ห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัด ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากทีมอยู่(ตัวผมแหละ เล่นมุขน่ะ กิ๊วๆ)
ผมตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ชั้นสองเพื่อเตรียมจะเปิดห้องของฝุ่นโดยไม่มีการเคาะเตือน เนื่องจากผมไม่รู้ว่าน้องกำลังหลับรึเปล่า แต่แค่เงื้อมือขึ้นยังไม่ทันได้เปิด เสียงของน้าอิ่มที่ดังขึ้นตรงปลายทางเดินก็ทำเอาใจหายวาบ
“ทีม...กลับมาแล้วเหรอ”
“เอ่อ..ครับ น้าอิ่มมีอะไรรึเปล่า ฝุ่นไม่สบายเหรอครับ ทำไมบ้านเงียบแบบนี้” ผมถามออกไปเป็นชุด ไม่ได้กะให้น้าอิ่มตอบทีละคำถาม แต่เธอไม่จำเป็นต้องตอบเพราะผมถามตามมารยาท และกำลังจะเข้าไปดูด้วยตาตัวเองว่าทำไมห้องน้องถึงได้ปิดไฟเงียบขนาดนี้ ได้แต่หวังให้ฝุ่นกำลังนอนหลับด้วยความเบื่อที่ผมไม่อยู่บ้านเท่านั้นก็พอ...
“ทีม ทำใจดีๆ นะ..ฝุ่นน่ะ...”
“เด็กนั่นไม่ได้อยู่ที่บ้านเราอีกแล้ว” ผมเหลือบสายตาขึ้นมองพ่อที่เพิ่งเดินตามน้าอิ่มออกมาจากห้องนอน พ่อแลดูโกรธขึ้งมากกว่าทุกที ผมยิ่งใจหายเมื่อตีความในประโยคนั้นดีๆ
“พ่อเล่นอะไร ผมไม่ขำด้วยหรอกนะ”
“ฉันก็ไม่ขำหรอกนะที่เห็นแกจูบกับผู้ชายน่ะ!!” ตัวผมชาวาบกับประโยคนั้น...พ่อเห็น...
ไม่ นาทีนั้นผมไม่ได้ห่วงความเป็นไปของตัวเอง แต่พ่อเห็นตอนที่เราจูบกันแปลว่านั่นมันเมื่อสัปดาห์ก่อน และฝุ่นล่ะ ฝุ่นอยู่ที่ไหน!!!
ผมไม่เหลือสติมากพอที่จะคิดว่ามันเป็นความผิดทางมารยาทข้อไหน แต่ ณ ตอนนั้นผมต้องการแค่จะรู้ความเป็นไปของน้องเท่านั้น ร่างกายขยับไปก่อนสมองจะสั่งด้วยซ้ำ ประตูห้องของฝุ่นถูกผมกระชากเปิดแล้วถลาเข้าไป ทว่าความมืดและเงียบสงัดราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ทำให้หัวใจผมหล่นหายไปวูบหนึ่ง...ร่างกายขยับช้าลง สายตาเริ่มสอดส่องไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนก
ห้องของฝุ่นเงียบและมืดสลัว เพราะแสงจันทร์ที่ส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามาทำให้ผมมองเห็นเฟอร์นิเจอร์ภายในได้รางๆ ข้าวของที่ควรจะอยู่ประจำที่ของมันหายไปจนหมด ผ้าห่ม หมอน กรอบรูป โน้ตบุ๊ค...ไม่ นี่มันต้องเป็นตลกร้าย ฝุ่นจะต้องไม่หนีไปแบบนี้!!
ผมสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาตู้เสื้อผ้าแล้วกระชากมันเปิดออก...ไม่มีร่องรอยว่าเคยมีคนรักของผมอาศัยอยู่....
ฝุ่นหายไป!ความรู้สึกของผมในตอนนั้นมันยากจะบรรยาย เปี่ยมไปด้วยความทรมานและตระหนกอย่างไม่เคยเป็น ผมเดินกลับไปที่ห้องตัวเองผ่านประตูเชื่อม กีตาร์ตัวที่ผมเคยวางไว้ในห้องของฝุ่นถูกใครบางคนย้ายที่มันมาวางคืนไว้ที่ห้องผม กรอบรูปถูกวางคว่ำลง แต่สิ่งที่ดึงดูดใจผมที่สุดเห็นจะเป็นกระดาษโน้ตสีขาวที่วางพับไว้บนโต๊ะทำงาน
ผมเดินเร็วๆ ไปคว้ามันขึ้นมาดูโดยไม่ทันสังเกตถึงของที่วางคู่กัน เสียงของกระทบพื้นดังขึ้นเบาๆ ผมจึงก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาด้วยมือที่สั่นระริก...น้องถอดแหวนคู่ของเราคืนให้ผม...
กระดาษโน้ตในมือถูกผมคลี่ออกด้วยความรวดเร็ว ใจความในจดหมายนั้นทำให้หัวใจผมเหมือนโดนค้อนหนักๆ ทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้ความปรานี
ทีม...
ขอโทษนะที่ไม่ได้ลาด้วยตัวเอง อะไรๆ มันรีบกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย
ไม่ต้องตามหาฝุ่น ถ้าวันนึงฝุ่นพร้อมที่จะเจอ ก็จะกลับมา ทีมไม่จำเป็นต้องโกรธใครเพราะเรื่องนี้มีแค่ฝุ่นคนเดียวที่ผิด
ไม่มีใครไล่ฝุ่นออกจากบ้าน แต่ฝุ่นเลือกที่จะไปเอง
ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง...รักมาก
ฝุ่นกระดาษแผ่นนั้นเขียนด้วยลายมือของน้องที่ผมคุ้นตา แต่สิ่งที่ผมไม่คุ้นเคยก็คือรอยน้ำตาที่หยดลงบนโน้ตนั้นจนหมึกมันเป็นด่างดวง ไม่ต้องจินตนาการก็พอจะรู้ว่าน้องจากที่นี่ไปด้วยความรู้สึกแบบไหน หัวใจดวงนั้นที่คิดตลอดมาว่าตัวเองไม่เคยเป็นที่ต้องการจะรู้สึกยังไงตอนที่พ่อตวาดเขา และสั่งให้เขาเก็บของ
พ่อทำอย่างนี้กับน้องได้ยังไง!!! ผมเปิดประตูห้องของตัวเองออกไปที่ทางเดิน พ่อยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเคืองโกรธ ขณะที่น้าอิ่มกำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร
“พ่อทำอะไรกับแฟนของผม” ผมกดเสียงต่ำ ไม่อยากให้อารมณ์โกรธเข้าบังตาจนถามอะไรไม่รู้เรื่อง พ่อรีบปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อผมขึ้นด้วยความโกรธ แต่เพราะเทควันโดทำให้ผมค่อนข้างตัวใหญ่กว่าเขา สิ่งที่พ่อทำได้คือการกระแทกผมเข้ากับผนังแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
“แกทำอย่างนี้ได้ยังไง ฉันเลี้ยงแกมาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ สรรหาทุกอย่างที่แกต้องการให้ แล้วทำไมถึงตอบแทนฉันด้วยการคบกับเด็กผู้ชายที่ไหนไม่รู้แบบนี้!”
“ผมรักฝุ่น” ผมตอบเขา พ่อสบถออกมาเสียงดังแล้วซัดหมัดเข้าที่ข้างแก้มผมเต็มแรงจนรู้สึกได้ถึงรสชาติเค็มปร่าในปาก “พ่อจะพูดยังไงก็ได้ ผมไม่แก้ตัวหรอกถ้าพ่อคิดว่าผมทำผิด แต่ผมรักฝุ่น...มันก็แค่นั้น”
“ฉันสั่งให้เด็กคนนั้นเลิกยุ่งกับแก แต่ฝุ่นเลือกที่จะเดินออกไปจากบ้านหลังนี้..ไปอยู่ที่อื่น...มันรักแกมากเลยไอ้ลูกชาย”
“พ่อทำอย่างนี้ได้ยังไง...พ่อก็รู้ว่าที่อเมริกาฝุ่นต้องเจอกับอะไรมาบ้าง พอน้องจะมีความสุขบ้างก็มาโดนพ่อไล่ออกจากบ้าน...พ่อจะคิดบ้างมั้ยว่าฝุ่นจะเสียใจ เจ็บปวดมากแค่ไหน!!” ผมเริ่มขึ้นเสียงบ้างแล้วสะบัดตัวเองให้หลุดจากการดึงรั้งของพ่อ
“แล้วแกคิดบ้างรึเปล่าว่าพ่อจะเสียใจ....พ่อมีแกเป็นลูกชายคนเดียวนะทีม” คำพูดของเขาทำให้ผมสะอึกไปบ้าง แต่ก็ยังเสียงแข็งตอบกลับ
“ผมแค่รักฝุ่น ผมชอบผู้ชาย ไม่ได้ฆ่าคนตายนี่ครับ” ผมตอบ
“แต่แกกำลังฆ่าพ่อทั้งเป็น!!”
“ถ้าแม่...ยังอยู่ แม่จะไม่มีวันโกรธผมเรื่องนี้ เพราะแม่อยากให้ผมมีความสุขที่สุด...” ผมทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วเดินออกมาจากบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ผมไม่อยากพูดจาหยาบคาย หรือทำอะไรไม่ดีต่อพ่อ เพราะไม่ว่าเขาจะทำร้ายกาจกับฝุ่นยังไง เขาก็ยังเป็นพ่อของผม
แต่สิ่งที่ผมสามารถทำได้ และไม่ว่าใครก็ไม่สามารถห้ามผมได้ก็คือ..”ผมจะตามหาฝุ่นจนกว่าจะเจอ!!”
((งือ...ฮัลโหล..)) ปลายสายที่ผมต่อไปคงกำลังหลับฝันหวาน ถึงได้ตื่นมารับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงงัวเงียขนาดนี้
“อันดา...โทษที หลับอยู่เหรอ เฮียเองนะ” ผมกรอกเสียงลงไป ได้ยินเสียงกุกกักก่อนอันดาจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
((เฮียเองเหรอ เฮ้ย ผมพยายามติดต่อไปหาเฮียตั้งหลายครั้ง แต่โทรไม่ติดเลย))
“พี่ไปค่ายมา...นี่ติดต่อมามีอะไรรึเปล่า” ผมถามด้วยความสงสัย
((เฮียเจอฝุ่นรึเปล่า เมื่อวันอาทิตย์ก็ไม่มาสอบ ผมโทรหาก็ไม่ติดเนี่ย))
“อันดา...เราเองก็ติดต่อฝุ่นไม่ได้เหรอ” ผมเสียงอ่อยลงเล็กน้อย ทั้งที่อันดาเป็นคนที่ผมคิดว่าฝุ่นน่าจะติดต่อหามากที่สุดรองจากผม อย่างน้อยทั้งสองคนก็เรียนคณะเดียวกันที่เดียวกัน
((เฮีย เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า)) อันดาถามอย่างเป็นห่วง แต่นาทีนี้ผมต้องการสมาธิที่จะนั่งคิดว่านอกจากอันดาแล้ว ฝุ่นจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก
“อันดา ลองถามเพื่อนๆ ในกลุ่มที่คณะหน่อยสิว่ามีใครติดต่อฝุ่นได้บ้าง ถ้าได้เรื่องยังไงก็โทรหาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะ” ผมบอกไว้เพียงแค่นั้น ได้ยินอันดาตะโกนเรียกอยู่แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ผมกดวางสายไปเป็นที่เรียบร้อย ตัดสินใจว่าจะไปหาไอ้ไกด์ที่คอนโดก่อน อย่างน้อยมีสองหัวช่วยกันคิดก็อาจจะดีกว่า
“ห๊ะ? มึงว่าไงนะ! น้องฝุ่นหายไป?!”“อืม..กูโทรหาก็ไม่ติด เชี่ย ทำไงดีวะ ป่านนี้น้องจะนอนร้องไห้อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” ตั้งแต่เหยียบคอนโดมัน ผมยังนั่งไม่ติดเลยสักแอะ เดินไปเดินมาจนไกด์มันเริ่มเวียนหัวเลยบอก
“มึงมานั่งลงก่อน กูจะอ้วกแล้วเนี่ย แม่ง....แล้วทำไมไม่ลองถามพ่อมึงวะ ว่าเค้าเองน้องไปไว้ไหน”
“มึงคิดเหรอว่าพ่อกูจะบอก” ผมย้อนกลับ ไกด์มันนั่งขมวดคิ้วมุ่น
“น้าอิ่มล่ะ?”
“ก็น่าลอง แต่ตราบใดที่พ่อกูยังทำตัวเป็นผู้ทรงบารมีแบบนี้ น้าอิ่มคงไม่กล้าบอกกูหรอก”
“ถ้าฝุ่นย้ายไปอยู่ข้างนอกคนเดียวแบบนี้ตามตัวยากว่ะ จะหนีไปอยู่ที่ไหนก็ได้ของประเทศไทย กว่าจะหาทั่วทุกพื้นที่พอดีกูลงโลงไปแล้ว” ไกด์พึมพำให้พอได้ยินกันแค่สองคน ก่อนที่มันจะเสริมขึ้นมา “แจ้งความว่าคนหายดีป่ะ”
“เฮ้ย จะดีเหรอวะ” ผมงงกับข้อเสนอของมัน
“เอ๊า ก็หายออกจากบ้านไปเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงมาเกือบอาทิตย์แล้วเนี่ย มึงก็ไปแจ้งความว่าคนหายไว้ ตำรวจจะได้ช่วยตามหาไง ฝุ่นเองก็เพิ่งจะอายุสิบแปดได้ไม่นาน มึงก็ใส่ไข่ไปนิดหน่อยก็ได้ว่ามึงเป็นห่วงน้องเพราะเพิ่งกลับมาจากเมกา” ไกด์มันเสนอวิธีเป็นฉากๆ ให้ผมคิดตาม
“เชี่ย วิธีงงๆ...แต่ก็ดีกว่าไม่ลองทำอะไรเลย”
จากวันที่ร้อนเกือบจะที่สุดในเดือนกรกฏาคม ผมทั้งแจ้งความ ให้เพื่อนช่วยกันหา ทั้งติดรูปไว้ตามเสาไฟฟ้า ประกาศลงอินเตอร์เน็ต พี่อ๋องเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้มากจนถึงขั้นให้คนที่บ้านช่วยกันออกตามหาอีกแรง แต่จากวันนั้นถึงวันนี้...
ผมก็ไม่เคยเจอฝุ่นอีกเลย...ติดตามต่อได้ในตอนจบ
eiizes’s talk
สวัสดีค่ะ
เอาพาร์ทพี่ทีมมาฝากเนาะ
บีบหัวใจมากน้อยยังไงก็เขียนความเห็นกันไว้ได้นะคะ
ตอนนี้ต้นฉบับส่งให้โรงพิมพ์เรียบร้อยแล้วนะคะ พี่ที่โรงพิมพ์บอกว่าประมาณห้าวันก็จะได้ของ จากนั้นเราก็จะรีบส่งให้ทุกคนโดยเร็วที่สุดค่ะ ใครรีเควสอะไรไว้ เดี๋ยวเราจะทำให้อย่างละเอียดนะคะ(สู้ตายยยย)
ขอบคุณที่อ่านมาจนบรรทัดนี้ค่ะ
รักนะบ๊วบๆ
eiizes