------ 10 ------
“จะไปทำงานเหรอครับ” ฮิสึกายะที่กำลังล้างแก้วกาแฟทวนคำพูดที่รุ่นพี่บอก
“อื้ม” รุ่นพี่พยักหน้าและดื่มน้ำอึกใหญ่
“ครับ” ฮิสึกายะไม่ได้ว่าอะไรและหันไปล้างแก้วต่อ
“อะไรกัน นายจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ” ฮิสึกายะหันไปมองรุ่นพี่อย่างงงๆ ก็จะไปทำงาน แล้วจะให้เขาพูดอะไรล่ะ ?
“ไม่นี่ครับ” รุ่นพี่ทำสายตารวดร้าวกับคำตอบนั้น ร่างสูงเคลื่อนตัวจากหน้าตู้เย็นมากอดเขาจากด้านหลัง
“ใจดำจัง จะไม่บอกสักหน่อยเหรอว่า คิดถึงนะ รีบกลับนะ”
“ก็แค่ไปทำงานนี่ครับ”
“อะไรกันๆ ใจร้ายจริงๆ”
“รุ่นพี่แค่ไปทำงาน ไม่ได้ไปรบเสียหน่อย”
“นั่นไง ไอ้สรรพนามนั้นอีก ฉันไม่ชอบ บอกให้เรียกชื่อไง” รุ่นพี่ดึงฮิสึกายะให้หันมาประจัญหน้า
“...” เงียบ ฮิสึกายะไม่พูดอะไร รุ่นพี่เองพอได้จ้องหน้ากันแบบนี้ก็อดใจไม่ไหว
“อื้ม..” ประทับจูบแนบแน่น จูบรสกาแฟขมปนหวาน เหมือนกับตัวของรุ่นพี่เอง
“เรียกชื่อสิ...”
“...โค...” ใบหน้าขาวเนียนก้มหน้างุด สีแดงเริ่มแผ่ซ่านที่แก้มทั้งสอง
“หึหึ เดี๋ยวจะรีบกลับนะ” รุ่นพี่กดจูบที่แก้มนวลเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ใจอยากจะอยู่คลอเคลียด้วยตลอดเวลา แต่เขาก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
กริ๊ง กริ๊ง~
“ครับ” ฮิสึกายะรับโทรศัพท์สั้นๆตามแบบฉบับของเขา เสียงนุ่มสดใสที่ดังมาตามสายทำให้หัวใจเขาเต้นแรง
“ทำอะไรอยู่ รับช้าจัง”
“ทำรายงานปิดเทอมครับ”
“งั้นเหรอ กินข้าวหรือยัง”
“ครับ”
“ฉันคงจะกลับช่วงดึกๆหน่อยนะ ถ้ารอไม่ไหวก็นอนเลยนะ”
“จะไม่กลับห้องตัวเองเหรอครับ” ฮิสึกายะถาม
“...อยากให้ฉันไปเหรอ ?” คำตอบที่เป็นเหมือนคำถาม ฮิสึกายะนิ่งคิด แล้วตอบออกไป
“...ไม่ครับ..” ต้งแต่วันแรกที่รุ่นพี่มาที่ห้อของเขา ก็ไม่เคยกลับไปนอนห้องตัวเองอีกเลย (เว้นแต่ว่าเขาจะไปด้วย) นอกจากนั้นก็ดูเหมือนว่ารุ่นพี่จะมาอยู่กับเขาเป็นการถาวร
“หึหึ คิดถึงนะ..”
“ครับ..” ฮิสึกายะวางโทรศัพท์แล้วถอนหายใจ ทำไมแค่คุยโทรศัพท์แต่กลับทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ตรงหน้าเลยนะ
กริ๊ง กริ๊ง~
“อะไรอีกครับ” เสียงโทรศัพท์ดังอีกครั้ง ฮิสึกายะรับเพราะคิดว่าคงเป็นรุ่นพี่โทรมาอีก
“ฉันเอง” เสียงตอบกลับมาทำให้ฮิสึกายะนิ่งอึ้ง เสียงที่คุ้นเคย เสียงที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก
“มีธุระอะไรครับ” ฮิสึกายะถามกลับไป ถ้าไม่มีธุระจริงๆเขาคงไม่โทรมาหรอก
“เย็นนี้มาที่บริษัทหน่อยได้มั้ย มีเรื่องจะคุยด้วย”
“ครับ” ไม่ต้องรอพูดต่อ ฮิสึกายะรับรู้ และวางโทรศัพท์ เขาเดินเข้าไปในห้องนอน เปิดตู้เสื้อผ้า แหวกราวเสื้อและหยิบเสื้อเชิ้ตออกมา ด้านในตู้มีรูปของผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาอ่อนหวาน ผู้หญิงที่แสนอ่อนหวาน จนตกเป็นทาสของความรักและถอนตัวไม่ขึ้น ยอมทุกอย่างแม้กระทั่งการเป็นเมียน้อย
เสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนสวมลงบนร่างกายผอมแต่ดูแข็งแกร่ง ฮิสึกายะนิ่งคิดถึงตั้งแต่วันที่รุ่นพี่มา เขาต้องเคยเห็นรูปนั้นในตู้แน่นอน แต่เขาเลือกที่จะไม่ถาม ใครเห็นก็รู้ หน้าเหมือนเขาเสียขนาดนั้น ฮิสึกายะจ้องมองใบหน้าที่ตอบกลับมาจากในกระจก เสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงสแล็กสีครีมดูมียี่ห้อ และเงินที่โอนเข้าบัญชีธนาคารจำนวนมหาศาลทุกเดือน ที่อยู่อาศัยแสนหรูหรา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หัวใจของเขาละลายได้แน่นอน
ฮิสึกายะหยิบโน้ตมาเขียนแปะไว้หน้าตู้เย็น เพราะรู้ว่ารุ่นพี่ต้องมองเห็น มือเรียวหยิบกุญแจรถยนต์ที่นานๆจะใช้เสียทีจากในลิ้นชักห้องครัวแล้วเดินออกจากห้องไป
“เชิญครับคุณหนู” ฮิสึกายะมองเลขาหน้านิ่งของเขาที่โทรมาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินตามไปขึ้นลิฟต์ด้านใน พนักงานที่ไม่เคยเห็นเขาก็ให้ความสนใจว่าฮิสึกายะนั้นเป็นใคร เพราะคนที่เลขาของท่านประธานมารับด้วยตนเองย่อมต้องเป็นคนพิเศษแน่นอน
ลิฟต์หรูหราเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบตรงดิ่งขึ้นสู่ชั้นบนสุด ชั้นสำหรับคนที่อยู่จุดสูงสุด แต่หัวใจกลับต่ำยิ่งกว่าเศษผง ฮิสึกายะยิ้มเหยียดเมื่อนึกถึงใบหน้าหยิ่งทะนงของคนพวกนั้น
“มานั่งที่นี่สิ” ใบหน้าเรียบเฉย แววตาที่เหมือนกับมองตัวเองในกระจกจับจ้องที่ฮิสึกายะนิ่งเมื่อเปิดประตูเข้ามา ฮิสึกายะเดินไปนั่ง ชาเขียวแบบที่เขาเกลียดถูกนำมาเสิร์ฟ
ฮิสึกายะพินิจชายตรงหน้า ใบหน้าเรียบเฉยแต่ดูท่าว่าตอนหนุ่มคงแฝงเค้าหล่อเหลา แววตาคมปราบเหมือนเหยี่ยวนักล่า ท่าทางที่ดูสูงส่งกว่าคนอื่นๆ และหัวใจที่ดำมืด...
“มีธุระอะไรก็รีบคุยสิครับ” ฮิสึกายะถามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงจิบชาอย่างสบายใจ
“ไม่ชอบชาเขียวเหรอ” ชายที่ดูยิ่งใหญ่นั้นถามฮิสึกายะกลับ แต่มันไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ
“...ไม่ชอบครับ” ป่วยการจะต่อปากต่อคำ เพราะฮิสึกายะไม่ใช่คนแบบนั้น ความเยือกเย็นคือนิยามของฮิสึกายะ
“งั้นจะดื่มอะไรดี”
“กาแฟครับ”
“กาแฟดำ ?”
“ไม่ครับ ผมชอบมอคค่า” ชายคนนั้นหันไปกดโฟนและสั่งเลขาให้ยกกาแฟมอคค่ามาเสิร์ฟ
“เทอมนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง” พอได้ยินคำถาม ฮิสึกายะล้วงสำเนาผลการเรียนจากกระเป๋ากางเกงส่งให้ ชายคนนั้นดูอย่างตั้งใจ
“อืม เก่งมาก” ชมเสร็จก็จิบชาต่อ บทสนทนาไร้สาระดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนเป็นเวลาเกือบสามชั่วโมง ฮิสึกายะเหลือบมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว ไม่ต้องรีบ เพราะคงอีกนานกว่ารุ่นพี่จะกลับ
“คิดหรือยัง ว่าอยากจะเรียนมหาวิทยาลัยที่ไหน” ไม่มีคำถามว่าอยากเรียนอะไร เพราะคนๆนี้รู้อยู่แล้วว่าเขาอยากเรียนแพทย์
“มหาวิทยาลัยโตเกียวครับ” ฮิสึกายะบอกจุดมุ่งหมายของเขาออกไป
“ทำไมไม่ไปเรียนที่เยอรมันเลยล่ะ ?” ฮิสึกายะนิ่งเงียบ เขาไม่ตอบ เขาไม่อยากพึ่งพาคนๆนี้มากไปกว่านี้ เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ถูกกระแนะกระแหนเหยียดหยามอยู่บ่อยๆ
“ไม่ต้องเกรงใจ เธอมีสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของเธอ” ชายตรงหน้าหันมาสบตาฮิสึกายะนิ่ง แววตาจริงจังทำให้ฮิสึกายะปฏิเสธไม่ลง นี่สินะ จุดอ่อนของฮิสึกายะ...
“ครับ” พอได้ยินคำตอบที่ต้องการ ชายตรงหน้าก็นั่งพิงโซฟาอย่างสบายใจ
“ปีนี้ จะไปคนเดียวสินะ..” เป็นครั้งแรกในวันนี้ตั้งแต่นั่งคุยกันมา ที่สายตาของชายคนนี้หันไปมองท้องฟ้า มองสิ่งที่ไม่ใช่ใบหน้าของฮิสึกายะ
“บางที..อาจะไม่ครับ” ฮิสึกายะนึกถึงรุ่นพี่ คนๆนั้นคงไม่ยอมให้เขาไปคนเดียวแน่นอน
“อืม ก็ดี”
“ครับ”
“นี่ก็เย็นแล้วล่ะ เธอกลับได้แล้ว” ชายตรงหน้าลุกขึ้นยืน
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ” ฮิสึกายะตั้งท่าจะเดินออกไปแต่ก็ถูกเรียกไว้ก่อน
“ซัตสึคิ เธอไม่ต้องห่วงเรื่องมหาวิทยาลัยนะ เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เอง” ฮิสึกายะพยักหน้ารับและเดินออกมา
“ให้รถไปสั่งมั้ยครับคุณหนู” เลขาหน้าห้องรีบลุกมาเมื่อเห็นฮิสึกายะเดินออกมา
“ไม่ต้องครับ ผมขับรถมา” ฮิสึกายะเดินแกว่งกุญแจไปยังรถยนต์คันหรูที่เขาขับมา รถสปอร์ตรุ่นที่นักสะสมเห็นแล้วต้องร้องไห้ด้วยความเสียดาย เพราะฮิสึกายะขับมันปีหนึ่งนับครั้งได้
‘ไปซื้อเนื้อทำสุกี้ดีกว่า’ ฮิสึกายะคิดเมนูอาหารเย็นและแวะเข้าไปที่ซูเปอร์ก่อนจะกลับบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงรุ่นพี่ทักจากในห้องทำเอาฮิสึกายะสะดุ้งเฮือก
“ไหนว่ามาดึกไงครับ” รุ่นพี่เดินเข้ามาหาฮิสึกายะที่ยกของมาพะรุงพะรัง
“รีบมาน่ะ เหาะมา” รุ่นพี่พูดอมยิ้ม รีบมาเพราะความคิดถึง แต่ก็หน้ามุ่ยเพราะมาแล้วฮิสึกายะดันไม่อยู่
“นายไปไหนมา” รุ่นพี่วางของในครัวแล้วหันมาถาม
“ไปธุระครับ” ฮิสึกายะตอบตามที่เขียนในโน้ตเป๊ะ รุ่นพี่ถอนหายใจเพราะรู้ว่าคงไม่เล่าแน่ๆ
“ผมไปเจอพ่อผมมา” คำตอบถัดมาทำเอาคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องครัวต้องหันควับ
“ไปหาพ่อเหรอ ??” รุ่นพี่ทวนคำถามแบบงงๆ
“เอ่อ ขอโทษนะ นาย...มีพ่อด้วยเหรอ” พูดไปแล้วรุ่นพี่ก็อยากจะตบกบาลตัวเองนัก โทษฐานถามโง่ๆ
“มีสิครับ แม่ผมไม่ใช่อมีบานะ จะได้แบ่งเซลล์เองได้น่ะ”
“ก็เป็นไปได้นะ เพราะหน้าเหมือนกันเสียขนาดนั้น อุ๊บ!” รุ่นพี่รีบปิดปากตัวเอง
“หึหึ ผมไม่ว่าหรอกครับ ไม่เห็นก็บ้าแล้วละ” คิดแล้วว่ารุ่นพี่ต้องเห็นรูปแม่ของเขาในตู้เสื้อผ้า
“ทำไมเอาไปแปะไว้ในนั้นละ” รุ่นพี่สวมกอดเอวจากด้านหลังและพาดคางบนไหล่เนียน
“..ทั้งรักทั้งเกลียดไงครับ...” ฮิสึกายะหั่นเนื้อด้วยท่าทางน่าหวาดเสียว ไม่เหมาะที่จะถามเรื่องนี้ รุ่นพี่จับมือให้ฮิสึกายะปล่อยมีดและพาไปนั่งที่เก้าอี้ก่อนจะลงมือหั่นเนื้อเอง
ผมน่ะ รักแม่ และก็เกลียดแม่ไปในคราวเดียวกัน ผู้หญิงที่เวลายึดมั่น ก็มากเกินเสียน่ากลัว แต่พออ่อนแอ ก็ไม่สมควรที่จะอยู่บนโลก“ ฮิสึกายะพูดแล้วแสยะยิ้ม รุ่นพี่หั่นเนื้อไป แต่จิตใจกลับจดจ่อกับเรื่องของฮิสึกายะ
“แล้วพ่อของนาย เป็นยังไงเหรอ” รุ่นพี่ถาม ฮิสึกายะนึกถึงพ่อ ชายคนนั้น ที่มักจะเรียกเขาไปหาและอ้างเหตุผลว่าเพื่อคุยธุระ
“เป็นคนเย็นชามั้งครับ” รุ่นพี่เลิกคิ้ว มีคนเย็นชาถึงขนาดที่ถูกคนเย็นชาอย่างฮิสึกายะว่าเข้าให้ด้วยเหรอ
“แม่ผมเป็นเมียน้อยน่ะ” รุ่นพี่วางมีดเมื่อได้ยินประโยคนี้ และหันมานั่งคุยกับฮิสึกายะ
“แถมยังโชคร้าย ที่บ้านใหญ่เขาร้ายกาจ ร้ายกาจมาก” นึกถึงอดีตตอนที่เข้าโรงเรียน ลูกคนอื่นของพ่อมักจะกลั่นแกล้งเขา ซ้อมเขาทุกวันๆ และด่าทอหยาบคายให้เสียเกียรติ แม่ของเขาที่รู้ว่าลูกเป็นอะไรกลับไม่เคยบอกพ่อ ไม่เคยบอกเลย วันไหนที่พ่อจะมาหาแม่ ก็มักจะถูกบ้านใหญ่รั้งไว้ด้วยสาเหตุนานา โทรศัพท์ข่มขู่ จดหมาย ฯลฯ แต่ทุกสิ่งเหล่านี้หยุดลงเมื่อแม่เลิกกับพ่อ มีเพียงเงินจำนวนมากที่ส่งมาให้ทุกเดือน แม่ล้มป่วย อ่อนแอ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะดำรงชีวิต ใบหน้าสวยหวานในความทรงจำของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าอิดโรย เขาไม่เคยพบพ่ออีกเลย จนกระทั่งวันที่แม่ตาย...
“ซัตสึคิ! เป็นอะไร” เสียงเรียกของรุ่นพี่ดึงฮิสึกายะออกจากภวังค์
“เปล่าครับ ไม่เป็นอะไร ผมแค่นึกถึงแม่” รุ่นพี่สวมกอดฮิสึกายะแน่น ใบหน้าของฮิสึกายะที่เหม่อลอยเมื่อกี้ทำให้เขาเจ็บปวดเหลือเกิน ทำไมกัน เด็กหนุ่มอายุเพียง 16 ปีจึงมีสีหน้าแบบนั้นได้
“ซัตสึคิ..” ไออุ่นจากรุ่นพี่ดึงให้ฮิสึกายะออกจากมุมมืดทีละนิด เขาได้แต่หวังว่าความรู้สึกนี้จะไม่จากเขาเร็วเกินไป
“เอาละ ผมทำกับข้าวก่อนดีกว่า หิวแล้วใช่มั้ยละ” ฮิสึกายะลุกไปทำกับข้าวต่อ ปล่อยให้รุ่นพี่นั่งทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่คนเดียว
ปล.วันนี้ทำงานเครียดเกิ๊น เขียนไม่ได้ซักกะบท