และแล้วตอนต่อไปก็มาถึงราวกับมีเวทมนตร์เสกให้ปรากฏ อิอิ
ติดตามอ่านกันได้เลยคร้าบ
Chapter 2Winter together(ต่อ)
*************
วันรุ่งขึ้นผมก็เลยต้องออกมาหาพี่บัติก่อนที่จะมาเข้างาน เพราะว่าอยากจะรีบมาบอกกับแกก่อนเรื่องห้อง ผมเลยเดินเข้าไปหาแกที่ครัว
" พี่บัติครับ คืองี้... อย่าหาว่าผมเรื่องมากเลยนะ แต่ผมขอย้ายห้องโดยไม่ระบุสาเหตุได้ป่าวครับ" ผมลองขอร้องพี่เค้าทันที ทั้งที่ก็กลัวแกจะหาว่าผมเรื่องมากอยู่นะ
" ฮ่าๆๆ พี่ก็ว่าแล้ว ว่าเอ็งต้องมาบอกยังงี้ แต่ก็ไม่นึกว่ะ ว่าจะเร็วยังงี้นะ คืนเดียวเอง" พี่บัติแกหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทำเอาผมก็งงไปนิดนึง นี่สงสัยว่าแกก็คงจะรู้ผลล่วงหน้าอยู่แล้วสิเนี่ย
" อ้าว อะไรอ่ะครับพี่ นี่พี่ก็รู้อยู่แล้วเหรอ ว่ามันจะเป็นงี้อ่ะครับ แล้วไหงยังจะให้ผมไปอยู่กับมันอีกละครับเนี่ย" ผมบ่นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
" ก็พอดีมันไม่มีห้องว่างแล้วนะ ล่าสุดพนักงานอีกคนมันก็เพิ่งขอย้ายหนีจากห้องนั้นมาเหมือนกัน เลยเหลือแค่ห้องนั้นแล้วที่มีเตียงว่างน่ะ เอ็งทนๆอยู่กะมันไปก่อนแล้วกัน ได้มั๊ย แล้วถ้ามีห้องว่างเพิ่มค่อยย้ายไป นะๆ" พี่บัติถึงกับอ้อนวอนผมเลย
" โห.... พี่ ยังงี้ผมจะไหวเหรอ เกิดอยู่ๆไปทนมันไม่ไหวคงได้ต่อยกะมันไปซะก่อนอ่ะครับ ไอ้มนุษย์ไม่สังคมโลกเนี่ย ไม่รู้มันเกิดมาจากเกาะร้างไม่มีผู้คนรึไงนะ แม่ง ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ใดๆเลยอ่ะพี่" ผมยังคงบ่นกับพี่บัติอย่างเซ็งๆ
" เอาน่า... ไอ้สร ยังไงก็ทนไปก่อนนะ ไอ้เบนมันก็เป็นอย่างนี้เองน่ะ แต่มันก็ไม่มีอะไรจริงๆ เพราะที่มันเป็นแบบนี้ก็น่าสงสารมันอยู่แหละ" ผมฟังพี่บัติแล้วก็สงสัยทันทีเลย
" คือ... แฟนมันเพิ่งตายไปนะ เมื่อสี่เดือนก่อนได้ มันขี่มอไซค์ให้แฟนมันซ้อนออกไปที่หาดแล้วพอกลับมาก็โดนรถกระบะมาชน ตัวมันก็เจ็บมากอยู่ แต่แฟนมันตายคาที่เลยนะ ตายอยู่ข้างๆมันเลย มันก็เห็นแล้วนะว่าเค้าตายแต่มันก็ยังอุ้มแฟนมันมาร้องให้คนช่วยอยู่อย่างนั้น สงสารมันว่ะ คงช๊อคมากๆนะ" สิ่งที่พี่บัติเล่าให้ฟังทำเอาผมอึ้งตัวชาไปเลยนะครับ อะไรมันจะรันทดเป็นละครเศร้าขนาดนี้
" หลังจากนั้นมามันก็นอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลไม่พูดไม่คุยกับใครเลยเกือบเดือน พ่อกับแม่มันก็เป็นห่วงมันมาก มาเฝ้ามันตลอด พี่เองก็สงสารมันจริงๆกลัวว่ามันจะเป็นบ้าเป็นบอไปซะแล้ว แต่หลังจากนั้นมันก็ดีขึ้นนะ พูดคุยบ้าง แต่ก็น้อยมาก บางทีก็ไม่พูดไปซะเฉยๆอย่างไม่มีเหตุผลเหมือนที่เอ็งเห็นแหละ หรือว่ามันจะบ๊องๆไปซะก็ไม่รู้นะ"
" เออว่ะ พี่ พอรู้งี้แล้วผมก็พอจะเข้าใจมันละ มันก็คงยังเสียใจน่ะนะ ก็โอเคแหละครับ ทีแรกผมนึกว่ามันกวนทีนหรือมันคิดว่ามันแน่ มันเจ๋งอะไรแบบนี้นะ เกือบมีเรื่องแล้วมั๊ยล่ะ งั้นต่อไปผมก็จะไม่ถือสามันแล้วละกัน" ผมบอกกับพี่บัติไป ก็รู้สึกไม่ค่อยดีนิดนึงนะครับ ที่ไม่เข้าใจมันตั้งแต่แรกแล้วไปถือโกรธมันซะอย่างนั้น
ตอนนี้เลยมานึกย้อนถึงตัวเองนะว่านี่เรายังโชคดีกว่ามันเยอะที่โดนมาแค่นี้ ถ้าขืนผมต้องเจอแบบมันอย่างนี้นะ ผมคงได้เป็นบ้าเป็นบอไปยิ่งกว่ามันแน่ๆเลย
"เอ้อ งั้นเอางี้ พี่ขออะไรเอ็งอย่างนึงละกัน ช่วยลองชวนๆมันคุย ลองตีสนิทเป็นเพื่อนกับมันดูหน่อยนะ พี่สงสารมันว่ะ เมื่อก่อนน่ะมันก็เป็นคนดีมากนะ ทำงานก็ดี แต่ว่ามันคงเสียใจมากจนเปลี่ยนไปเลยยังงี้ เผื่อว่านะ ถ้ามันได้มีเอ็งเป็นเพื่อนมันอาจจะดีขึ้นมั่งก็ได้นะ ลองดูได้มั๊ยวะ"
" อืม จะดีเหรอพี่ ผมไม่แน่ใจอ่ะ เห็นมันแบบนี้แล้วผมก็ไม่รู้จะไปเริ่มคุยอะไรกับมันดีนะ กลัวมันไม่ยอมรับผมน่ะ พี่พอมีวิธีอะไรดีๆมั๊ยล่ะครับ"
" ก็.... ไม่รู้ดิ งั้นเอ็งก็ลองดูสถานการณ์ไปก่อนก็ได้ เพราะพี่เองก็ยังนึกไม่ออกน่ะ" พี่บัติส่ายหน้า
" ครับๆ งั้นผมจะลองดูแล้วกัน แต่ไม่รู้จะไหวมั๊ยนะพี่ ลองดูกันไปแล้วกันครับ" ผมยอมรับปากพี่เค้าไป
ที่จริงผมก็นึกๆอยากจะช่วยมันอยู่แล้วล่ะ แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะหาทางผูกมิตรกับมันได้ยังไง ในเมื่อมันก็คงจะปิดตัวเองจากโลกภายนอกของมันไปอย่างนี้นะ แล้วจะทำยังไงดีนะนี่เรา
-
-
บ่ายวันนั้นผมก็รีบมาเข้างานก่อนเวลานิดนึง แต่ผมก็ไม่เห็นไอ้เบนมันอยู่ที่ห้องเหมือนว่ามันจะออกมาก่อนผมนานแล้ว จนผมก็ไปเจอมันเตรียมของอยู่ในครัวเลยเลี่ยงออกมาก่อนครับ เพราะก็ยังไม่รู้จะไปคุยอะไรกับมันนะ
จากนั้นผมก็เลยลองออกไปเดินสำรวจดูแถวๆหลังครัวนั้น ก็พบว่ามันถูกจัดไว้เป็นเหมือนที่เก็บของชั่วคราวแบบนั้นเพราะมีโต๊ะเก้าอี้จากคาเฟ่ที่ชำรุดวางกองอยู่ข้างๆผนังครัว แต่แถวนั้นก็มีต้นไม้ร่มรื่นดีอยู่ และมีม้านั่งวางอยู่ใกล้ๆกันด้วย และที่สำคัญมันก็อยู่ริมทะเลเลยนะครับ แน่นอนว่ามันก็เป็นวิวที่สวยมากนั่นแหละ
ผมเพลิดเพลินอยู่กับวิวและบรรยากาศแสนสบายนั้นอยู่พักนึง ก็เลยจุดบุหรี่มาสูบอย่างสบายอารมณ์แล้วก็นั่งลงที่ม้านั่งนั้น ได้ที่สิงสถิตย์แล้วสิเรา ยังงี้ระหว่างพักเบรคก็แวะมานั่งนี่แหละ อยู่ใกล้ๆกับห้องพักดีซะด้วยสิ
ค่ำนั้นผมก็ทำงานไปอย่างเต็มที่เลยครับ ช่วยเค้าเสิร์ฟและรับออร์เดอร์ลูกค้าไปอย่างสนุกสนานเลย และระหว่างที่ผมเข้าไปยกอาหารที่ในครัว ก็ยังคอยมองไอ้เบนมันเรื่อยๆ ก็เห็นว่ามันตั้งใจทำงานดีมาก และก็ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวดีจริงๆ
แต่ก็ยังคงนึกไม่ออกนะ ว่าจะไปชวนมันคุยอะไรดี และจะหาวิธีอะไรไปผูกมิตรกับมันได้มั่งนะ
-
-
ช่วงพักเบรคนั้นผมก็เลยเดินไปกินข้าวกับพี่บัติที่โรงอาหารพนักงาน จากนั้นผมก็เดินมาหวังจะมานั่งเล่นที่ลานหลังครัวนั้น แต่แล้วก็ต้องมาพบว่ามีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็คือไอ้เบนนั่นเองครับ
ผมเลยเดินมาซุ่มยืนดูมันอยู่ตรงหลังเสาใกล้ๆกันนั้น เห็นมันนั่งอยู่เงียบๆฟังเพลงจากมือถือของมันไปเรื่อยๆอยู่ตรงนั้น ตามันก็ได้แต่เหม่อมองไปยังทะเลเบื้องหน้าอยู่อย่างเศร้าหมองเต็มที มันก็คงจะยังเสียใจและคิดถึงแฟนของมันน่ะนะครับ
เวลาที่ผมเห็นมันอย่างนี้แล้ว ผมยิ่งรู้สึกสงสารมันมากจริงๆ ทำให้เข้าใจมันเลยนะว่าที่มันทำตัวแบบนี้ก็แค่เพราะมันคงยังทำใจเรื่องแฟนมันไม่ได้ก็เท่านั้นเอง มันถึงได้แต่ซังกะตายไปวันๆจนไม่อยากรับรู้อะไรภายนอกอีกแล้วนะ
ตอนนี้ผมเลยลังเลยิ่งขึ้นทั้งที่อยากจะเข้าไปลองคุยกับมัน แต่อีกใจก็รู้สึกว่าควรปล่อยให้มันอยู่อย่างนี้คนเดียวจะดีกว่ามั๊ย แต่จนแล้วจนรอดผมก็รู้สึกว่าผมน่าจะลองเสี่ยงดูหน่อยนะ
" เอ่อ...อ เราขอนั่งด้วยได้มั๊ย" ผมเข้าไปเอ่ยกับมันอย่างยากเย็น แล้วก็ยืนเก้ๆกังๆอยู่ จนมันหันมามองผมอย่างงงๆ
" อ๋อ ก็นั่งสิ เรากำลังจะไปพอดีอ่ะ" มันพูดตัดบทไปดื้อๆแล้วก็ขยับเตรียมตัวจะลุกขึ้น
" อ้าว เฮ้ย เดี๋ยวดิ จะไปไหนล่ะ คุยกันก่อนดิ เราอยากคุยกะนายอ่ะ ไหนๆก็ได้มาทำงานด้วยกันนอนห้องเดียวกันแล้วนะ จะได้สนิทกันไว้ไง ไม่ดีเหรอ" ผมก็อ้างไป โห... นี่ผมง้อสุดๆเลยนะ ขนาดแฟนเก่าผมยังไม่เคยง้อเค้าขนาดนี้เลยนะ
" เอ่อ... ก็ไม่หรอก เราคุยไม่เก่งว่ะ นายจะเบื่อเปล่าๆนะ" มันเกาหัวแล้วก็อ้างออกมาแบบนี้
" เออ น่า... เราไม่เบื่อหรอก นอกจากนายจะรังเกียจไม่อยากคุยน่ะ" ผมยังตื้อมันต่อ ยังดีนะที่มันไม่บอกว่ารังเกียจน่ะครับ ไม่งั้นก็คงจบข่าว
" เปล่าหรอก เราเป็นยังงี้เอง คือ... เราไม่ค่อยอยากไปยุ่งกับใครน่ะ โดยมากก็จะอยู่คนเดียวเงียบๆน่ะ"
" ก็นั่นแหละ เราก็ไม่ได้ว่าจะมารบกวนอะไรนายนะ แค่อยากจะคุยด้วยจะได้เป็นเพื่อนกันไว้ เราอ่ะ กะว่าจะทำอยู่นี่อีกนานเลยนะ เพราะเราชอบที่นี่จริงๆเลยอยากอยู่ให้นานๆเลยน่ะ" ผมพูดไปก็ยิ้มไปอย่างสบายอารมณ์ จนรู้สึกว่ามันคงจะเริ่มสนใจผมขึ้นบ้างแล้ว
" อ้าว แล้วจริงๆทำไมนายถึงมาทำที่นี่ล่ะ ทำไมไม่หางานที่ในกรุงเทพฯทำไปล่ะ มันใกล้บ้านไม่ใช่เหรอ" มันเริ่มถามผมกลับแล้ว
" ก็..... นายอยากรู้สาเหตุจริงๆมั๊ยล่ะ ถ้าเป็นคนอื่นนะ เราก็คงบอกว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศเพราะเบื่อเมืองกรุงไง แต่ว่าความเป็นจริงน่ะ มันคือว่าเราแค่อยากหนีคนบางคนก็เท่านั้นเอง" ผมบอกแล้วก็เว้นช่วงไว้เป็นปริศนาเพื่อเร้าความสนใจของมัน และตอนนี้ท่าทางของมันก็คงอยากรู้เต็มทีแล้วครับ เพียงแต่มันคงยังไม่กล้าถามผมตรงๆเท่านั้นแหละ
" แล้วนายล่ะ เบน นายมาทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ละ" ผมแกล้งถามมันกลับไปทันทีเมื่อเห็นว่ามันคงไม่กล้าเอ่ยปากถามผมหรอก ถ้างั้นกูก็จะเฉลยเองนี่แหละ
" อ๋อ ก็ตอนที่เราเรียนจบเราก็หางาน พอดีมาสมัครที่นี่กับแฟนแล้วได้ ก็เลยมาเข้ามาทำเลย นี่ก็เกือบปีแล้วล่ะ" หลังจากที่มันเอ่ยถึงแฟนแววตาของมันก็หมองลงไปทันทีจนเห็นได้เลยครับ ผมเลยไม่ถามมันต่อ
" อืมๆ ไอ้ที่เราว่าเราหนีบางคน ก็เพราะว่าเราไม่อยากทนทำอยู่ที่เดิมน่ะ แฟนเก่าเราเค้าไปมีคนอื่นแล้ว ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ใช่เป็นคนอื่นเพราะว่าคนๆนั้นมันคือเพื่อนรักเราเองน่ะ ถึงต้องหนีมาแบบนี้ไง ขืนให้เรายังทำอยู่ที่นั่นก็ต้องมาทนเห็นกันทุกๆวันคงไม่ไหวหรอกนะ เลยให้พี่บัติแกช่วยฝากเข้ามาที่นี่ไง" ผมเริ่มเฉลยความจริงให้มันฟังเอง เพราะรอไปถึงพรุ่งนี้มันก็คงไม่ถามผมหรอก
" ดีนะที่เราได้มาที่นี่น่ะ จะได้เริ่มต้นใหม่ซะเลยนะ แล้วเราก็จะดีใจมากนะถ้านายกับเราจะได้เป็นเพื่อนกันน่ะ เพราะต่อไปก็ต้องอยู่กันไปอีกนานไง" ผมบอกแล้วก็มองดูท่าทีมันไป แต่ก็เห็นมันทำหน้าเหมือนกับว่าลังเลมาก
" โห... นี่นายต้องคิดมากอย่างนั้นเลยเหรอ เรื่องจะเป็นเพื่อนกะเราเนี่ย" ผมบอกแล้วก็ยิ้มเหมือนกับแซวมัน
" เปล่า... ไม่ใช่หรอกนะ นายน่ะกำลังจะมาเริ่มต้นที่นี่ แต่เราน่ะกำลังจะไปจากที่นี่แล้วนะ เพราะเรามาคิดดูแล้วว่าคงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องไปซะทีน่ะ" มันเอ่ยแล้วก็เหม่อมองไปยังทะเลเบื้องหน้าอีกครั้งนึง ส่วนผมเองสิครับ ใจหายไปเลยนะ
" เอ้อ.... ออกมากันนานแล้วนะ กลับไปทำงานกันต่อเหอะ" มันบอกแล้วก็ลุกออกไปเลย ผมเองไม่ทันได้พูดอะไรอีกก็เลยได้แค่เดินตามมันกลับไปทำงาน
-
-
ขณะที่ผมทำงานต่อแต่ใจก็ยังนึกถึงคำพูดของมัน ว่านี่มันคิดจะลาออกไปจากนี่แล้วเหรอ พอจะมีทางอะไรทำให้มันเปลี่ยนใจมั๊ยนะ ซึ่งก็แปลกดีที่ผมเริ่มรู้สึกอาลัยอาวรณ์มันขึ้นมาอย่างนี้
" แล้วพี่ว่าไงอ่ะครับ มันว่ามันกำลังจะลาออกไปแล้วอย่างนี้นะ" ผมถามพี่บัติหลังจากที่ได้เล่าให้แกฟังแล้ว
" เฮ้อ.... ยังไงดีล่ะ ไม่อยากให้มันลาออกนะ แต่พี่ก็สงสารมันแหละ ถ้ามันยังอยู่ที่นี่มันก็คงนึกถึงเแต่แฟนมันน่ะนะ งั้นเอ็งก็คุยกับมันให้ดีที่สุดแล้วกัน ยังไงซะก็ยังพอมีเวลาก่อนที่มันจะลาออกไปนี่น่ะ ลองดูแล้วกัน" พี่บัติบอกเหมือนเริ่มถอดใจ แต่ก็มีท่าทีว่ายังพอมีหวังบ้าง
" ก็โอเคแหละครับพี่ ผมจะลองดูแล้วกันนะ ก่อนที่มันจะลาออกไปน่ะ" ผมได้แต่บอกพี่บัติอย่างไม่ค่อยมั่นใจเลย แต่ก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน
-
-
ตั้งแต่วันนั้นมาผมเองก็ยังคงพยายามหาเรื่องไปคุยกับมันบ้าง แต่ตัวมันเองก็ยังคงคุยกับผมไปอย่างงั้นๆ ก็คงเพราะมันยังไม่เปิดใจที่จะรับผมหรือใครๆอยู่ดีนั่นเอง จนผมเองก็เริ่มท้อๆบ้างแล้ว
ที่จริงแล้วผมอยากบอกมันตรงๆไปเลยว่าอย่าลาออกเลยนะ อะไรที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไปเถอะ แต่ก็นั่นแหละครับ จะไปบอกมันได้ไงในเมื่อผมเองก็ยังลาออกมาเพราะหนีคนบางคนเหมือนกันนะ เฮ้อ... เซ็งเลยนะครับนี่ ที่ตอนนี้ผมไม่มีเหตุผลอะไรดีๆพอจะไปเปลี่ยนใจมันได้เลย
" ไงจ๊ะ พนักงานใหม่ เป็นไงบ้างล่ะเรา ทำงานที่นี่เป็นไงบ้าง" เสียงพี่บีเจ้าของรีสอร์ทที่กำลังเอ่ยทักผมนั้น ทำให้ผมหันกลับไปมอง
" อ๋อ สวัสดีครับพี่ ก็ดีอ่ะครับ ทุกๆคนที่นี่เป็นกันเองดีมากๆเลย แล้วก็ผมชอบที่นี่มากเลยนะครับ ทะเลก็สวยน่าอยู่มากๆ" ผมตอบไปก็ยิ้มไป
" อืมๆ ดีจ้ะ ชอบก็อยู่นานๆเลยนะ ว่าแต่ว่าพี่อยากรู้จังว่าทำไมเราไม่ทำงานในกรุงเทพต่อล่ะ แล้วนึกยังไงถึงมาสมัครที่นี่เหรอ"
" ก็ที่จริงผมอยากมาทำที่ต่างจังหวัดอย่างนี้นานแล้วครับ ผมชอบทะเลอ่ะพี่ แต่แฟนผมตอนนั้นเค้ายังอยากทำงานในกรุงเทพฯนะ ก็เลยตามใจเค้า แต่ว่าตอนนี้โสดแล้วครับ เลยทำตามใจอยากได้นะ" คำตอบนี้ของผมทำเอาพี่บีแกยิ้มแป้นเลยทีเดียวครับ
" อ้าว แหม โสดอยู่เหรอจ๊ะเนี่ย แล้วอย่างนี้ไม่เหงาแย่เหรอมาอยู่ทำงานที่นี่คนเดียวอย่างเนี้ย น่าสงสารจังเลยนะ" พี่บีบอกแล้วก็จับมือผมมาบีบเบาๆ โห.. นี่แกกะหยอดผมเต็มที่เลยนะเนี่ย ทำไงดีวะกู....
แต่พอดีลูกค้าที่โต๊ะคนนึงหันมาเรียกผมพอดี ตอนนั้นผมแทบอยากกระโดดจูบเค้าเลยนะที่ช่วยชีวิตผมไว้ได้ทันท่วงที เพราะพอได้จังหวะนี้ผมก็เลยรีบชิ่งไปจากพี่บีเค้าทันทีครับ
แต่ที่จริงผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแกหรอกครับ แกออกจะใจดีกับเรานี่นะ แล้วผมว่าจริงๆแกก็คงไม่ได้หวังจะมาอะไรกับผมจริงๆจังๆหรอก คงจะเพียงแค่เล่นๆมากกว่า
ซึ่งนั่นก็เล่นเอาผมเสียววูบๆไปอยู่ดีนะ เฮ้อ....
-
-
หลายวันผ่านไปแต่ผมก็ยังหาทางที่จะเปลี่ยนใจมันไม่ได้เลย แม้จะแค่อยากให้มันอยู่ที่นี่ต่อไปก่อนก็ยังดี แต่ก็ไม่รู้จะชักแม่น้ำที่ไหนมาเป็นเหตุผลให้มันไม่ลาออกไปนะ
จนกระทั่งมีอยู่วันนึงผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก ก็เลยว่าจะลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่พอมองไปที่เตียงมันก็ไม่เห็นมันแล้ว ผมเลยเดินไปห้องน้ำเพราะคิดว่ามันอาจจะไปที่นั่น แต่ก็ไม่เห็นเงามันเลย จนผมนึกอะไรขึ้นมาได้เลยลองเดินไปที่ลานหลังครัวที่เคยเห็นมันนั่งเล่น ก็พบว่ามันอยู่ตรงนั้นจริงๆ
ตอนแรกผมก็ไม่กล้าเข้าไปนะ เลยยืนมองมันอยู่ใกล้ๆตรงนั้น ก็เห็นมันนั่งฟังเพลงแล้วมองเหม่อไปที่ทะเลอยู่ สายลมหนาวพัดวูบมาจนมันกอดอกด้วยความหนาว แต่จากแสงจันทร์สว่างนั้นก็ทำให้ผมได้เห็นว่าตอนนี้มีน้ำตาไหลอาบแก้มมันเลยครับ แล้วมันก็นั่งกอดเข่าก้มหน้าร้องไห้อยู่ตรงนั้นเอง
ตอนนั้นผมบอกตรงๆว่าอยากจะเข้าไปกอดมันไว้เพื่อปลอบมันนะ แต่ก็คงทำไม่ได้หรอก เพราะเห็นมันอารมณ์นี้แล้วถ้าเราไปยุ่งมันอาจจะโกรธก็ได้ ก็เลยได้แต่นึกสงสารมันอยู่อย่างนั้น
แต่ว่าขณะที่ผมมองมันนั่งก้มหน้านั้น อยู่ดีๆมันก็เริ่มเอามือมากุมที่ท้องมันเหมือนคนปวดท้อง แล้วล้มตัวลงไปนอนกับม้านั่งนั้น จนโทรศัพท์ของมันก็หล่นลงไปบนพื้นข้างๆนั้นเอง ผมเห็นแล้วก็ตกใจมากเลยวิ่งเข้าไปดูมัน
" เฮ้ยๆ เบน นายเป็นอะไรวะ ปวดท้องเหรอ" ผมประคองมันให้นั่ง มันก็เลยกอดผมไว้แน่นเหมือนมันดีใจที่เห็นผม
" โอย....ย เราปวดท้องน่ะ พาเราไปห้องพยาบาลหน่อยนะ โอย......ย เจ็บว่ะ" มันบอกด้วยสีหน้าที่ดูจะเจ็บปวดมากจริงๆ ผมเลยรีบพยุงมันเดินไปห้องพยาบาลทันที
พอไปถึงพี่รินที่เค้าเป็นคนดูแลห้องพยาบาลก็รีบมาดูอาการมันเลยครับ แล้วก็ให้ไอ้เบนนอนลงบนเตียง ผมเองก็ห่วงมันมากไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่
" เอ้า นี่จ้ะ ปวดกระเพาะเหมือนเดิมใช่มั๊ย งั้นกินยานี่ก่อน แล้วถ้าไม่ดีขึ้นจริงๆค่อยออกไปหาหมอนะ" พี่รินบอกให้มันกินยา แล้วก็ให้มันนอนนิ่งๆดูอาการ แต่ผมดูๆจากที่พี่เค้าบอกแล้วเหมือนกับว่ามันจะเคยเป็นอย่างนี้มาแล้วนะ เพราะพี่เค้ารู้ทันทีว่ามันปวดกระเพาะน่ะ
จากนั้นผมก็นั่งดูอาการมันอยู่ข้างๆเตียงนั้น มันก็ยังนอนเอามือกุมท้องอยู่ แต่พอสักแป๊บมันก็คงดีขึ้นแล้ว เลยหันมาหาผม
" เออ... สร เราขอบใจนายมากเลยนะเว้ย ที่ช่วยเรานะ นี่ถ้านายไม่มาเจอเราคงแย่ว่ะ ขอบใจจริงๆ" มันบอกแล้วก็เอื้อมมือมาจับมือผมที่วางบนเตียงอย่างซึ้งน้ำใจ
" โอ๊ย.... ไม่เป็นไรหรอก ก็เพื่อนกันนี่หว่า เรื่องแค่นี้เอง แล้วนายดีขึ้นแล้วใช่ปะ" ผมถามมันอย่างห่วงๆ
" ก็ดีขึ้นนะ เฮ้ย แต่โทรศัพท์เรา ไม่อยู่อ่ะ.. สงสัยมันคงตกอยู่แถวนั้นมั๊ง งั้นนายช่วยกลับไปหยิบให้เราหน่อยได้มั๊ย" มันขอร้องผม
" เอ้อ ได้ๆ งั้นนอนรออยู่นี่แหละนะ" ผมว่าแล้วก็รีบเดินจากห้องพยาบาลกลับไปที่หลังครัว ก็พบว่าโทรศัพท์ของมันก็ตกอยู่ตรงนั้นจริงๆ ก็เลยหยิบขึ้นมา
แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าที่เห็นๆมันฟังเพลงจากโทรศัพท์นี่ตลอดเวลานั่นมันฟังอะไรของมันกันแน่นะ ผมก็เลยลองถือวิสาสะเปิดดูไฟล์เพลงของมันในเครื่อง แต่ดูเท่าไหร่ๆผมก็เห็นว่าเพลงในรายการเล่นของมันมีเพลงอยู่แค่เพลงเดียวเองครับ ก็คือ เพลง"สุดที่รัก" ของ Retrospect น่ะ ซึ่งพอลองเปิดฟังดูผมก็เห็นว่าเนื้อเพลงมันกล่าวถึงความรู้สึกคิดถึงคนรักที่ตายจากไปนะ
แล้วนี่มันตั้งเพลงนี้ไว้แค่เพลงเดียวเลยนั่นหมายความว่ามันฟังเพลงนี้วนกลับไปมาทั้งวันทั้งคืนเลยนะครับ นี่แค่คิดผมก็ยังขนลุกเลย ทำไมมันถึงเป็นเอามากขนาดนี้นะ แล้วจะไม่ให้มันเศร้าซึม อมทุกข์แบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อมันกรอกหูตัวเองด้วยเพลงเศร้าๆอย่างนี้ตลอดเวลาน่ะ
พอรู้อย่างนี้แล้วผมก็เลยเริ่มคิดว่านี่ผมก็คงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วจริงๆ ผมเลยเก็บโทรศัพท์ของมันไว้แล้วก็รีบเดินกลับไปหามันที่ห้องพยาบาล แต่พอไปถึงก็เห็นว่ามันหลับไปซะแล้ว ผมก็เลยนั่งลงไปข้างๆเตียงมันแล้วเอ่ยถามพี่รินเรื่องอาการของมัน
" อ๋อ เบนมันเป็นโรคกระเพาะน่ะ เพราะว่ากินอาหารไม่เป็นเวลา แล้วก็มีความเครียดสูงด้วยก็เลยอาการแย่ลงและมีปวดมากเป็นบางครั้งแบบนี้แหละนะ" พี่รินอธิบายอาการมันให้ฟัง ผมก็เลยสรุปเรื่องได้ว่าก็คงเพราะมันเป็นแบบนี้นี่แหละ เล่นฟังไอ้เพลงนั้นตลอดเวลา แล้วมันจะไม่เป็นทุกข์เศร้าหมองจนเครียดมากได้ไงอ่ะ แล้วนี่เวลากินก็คงไม่อยากกินเท่าไหร่ และทำให้กินไม่เป็นเวลาไปด้วยนะ
แค่ผมคิดเอาเองนี่ผมก็กุมขมับแล้วครับ นี่มันทำร้ายตัวมันเองแท้ๆ ตอนนั้นผมเข้าใจเลยว่า ไอ้คำว่า "ตรอมใจ" เนี่ย มันคงจะเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วก็ยิ่งไม่แปลกใจนะ ว่าทำไมเค้าถึงว่ากันว่าคนเราตรอมใจจนตายได้เลย
สงสารก็แต่พ่อแม่มันน่ะครับ เค้าก็คงทุกข์ใจไม่ต่างกับมัน ลูกชายเหมือนกับตายทั้งเป็นอยู่อย่างนี้นะ แล้วนี่ที่มันทำอยู่ทุกๆวันนี้ก็บั่นทอนร่างกายและจิตใจตัวมันเองลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ผมว่าสักวันถ้ามันไม่ตายไปก่อนมันก็คงจะต้องเป็นบ้าไปแน่ๆ ผมกลัวจริงๆนะ
เพราะงั้นผมว่าผมคงต้องช่วยมันให้ได้ ก่อนอื่นเลยผมคงต้องให้มันเลิกฟังเพลงนี่ไปซะก่อน งั้นผมคงยังไม่คืนโทรศัพท์นี่ให้มันดีกว่า จะแอบเก็บไว้ที่ไหนก่อนนะ แค่สักช่วงนี้ก่อนแล้วก็ได้ จะดูว่าถ้ามันเลิกฟังเพลงนี้มันอาจจะดีขึ้นมั่ง อย่างน้อยๆก็คงไม่จิตตกไปกว่านี้นะ
แล้วผมก็เลยปล่อยให้มันนอนที่ห้องพยาบาลไปก่อน ส่วนตัวเองก็กลับมานอนที่ห้องต่อจนถึงตอนสายๆ จากนั้นผมก็รีบกลับไปดูมัน
"เฮ้ย เราหลับไปจนเช้าเลยเหรอ เอ้อ แล้วโทรศัพท์เราอ่ะ นายหาเจอมั๊ย" มันตื่นมาพอดี แล้วก็ถามถึงโทรศัพท์มันทันทีอย่างที่ผมคิดไว้เลยครับ
" อ๋อ... เอ่อ... คือเราหาไม่เจอว่ะ สงสัยมีใครเก็บไปมั๊ง เดี๋ยวลองไปถามหาที่ออฟฟิศดิ เผื่อจะมีใครเก็บเอาไปส่งนะ" ผมแก้ตัวไปก่อน มันก็ทำหน้าเหวอๆ
" โอ๊ย.. ทำไงดีวะ ไม่รู้ใครจะเก็บไปส่งที่ออฟฟิศรึเปล่าอ่ะ กลัวหายว่ะ" มันบ่นอย่างเสียดาย
" ก็.... นายมีอะไรสำคัญในเครื่องรึเปล่าล่ะ เห็นกังวลจัง ยังกะว่ามีคลิปโป๊อยู่ในนั้นเยอะแน่ะ" ผมเลยแกล้งแซวมันไปเลย
" เฮ่ย... บ้า..... ไม่มีหรอกน่ะ คลิปอ่ะ เออ.... งั้นเดี๋ยวเราลองไปถามที่ออฟฟิศเค้าดูนะ" มันปฏิเสธ แล้วก็ลุกจากเตียงกลับไปที่ห้องพักกับผม
-
-
บ่ายวันนั้นก่อนมาเข้างานมันก็เลยมาถามที่ออฟฟิศ แต่เค้าก็บอกว่าไม่มีใครเก็บมาส่ง มันก็เลยยิ่งกังวล แต่ไอ้คนที่กังวลยิ่งกว่าน่ะคือผมตะหากละครับ
ตอนนี้ผมกลัวสุดๆเลยนะ ขืนมันรู้ว่าผมเอาไปซ่อนรับรองมันคงฆ่าผมแหง คิดถูกมั๊ยวะเรา หาเรื่องจริงๆเล๊ย
แต่ก็เอาเหอะ ก็อยากช่วยมันนี่ครับ ว่าแต่ทำไมผมถึงต้องอยากทำอะไรๆเพื่อมันขนาดนี้นะ
ก็นั่นน่ะสิ จริงอยู่ที่ผมรับปากพี่บัติไว้ว่าจะช่วยมัน แต่เราก็ไม่น่าต้องลงทุนอะไรขนาดนี้นี่หว่า เกิดถ้ามันจับได้ผมจะทำไงน่ะ มันคุ้มมั๊ยเนี่ย
และผมก็ยังรู้สึกแปลกๆอยู่ดี ที่หลังๆมานี้ผมก็สงสารมันและเข้าใจมันมากขึ้น เห็นมันแล้วก็รู้สึกห่วงมันมาก สงสัยผมคงเริ่มผูกพันกับมันแล้วมั๊ง แล้วนอกจากนั้นผมก็อยากมีมันอยู่ใกล้ๆ เพราะว่ามีมันแล้วผมก็รู้สึกดีนะ เฮ่ย...
นี่มัน....บ้าแล้วว....... ทำไมเรารู้สึกยังงี้ไปได้วะ นี่มันเหมือนความรู้สึกของคนที่เค้าชอบกันเลยนี่ สงสัยผมคงจะเบลอมากไปละ สับสนซะขนาดนี้ได้ไง
แล้วตกลงนี่จะเอาไงดี สงสัยผมคงต้องรีบหาทางคืนโทรศัพท์ให้มันโดยเร็วซะแล้ว ก่อนที่มันจะจับได้นะ
ไม่งั้นผมตายแน่.....................
*****************