ขออภัยที่ช้ามากมายๆนะคะ
โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วยเถิ้ดดดดดดด
ไปอ่านกันเล้ยยยยยยย
.........................................................................
ตอนที่๓๑ ทรมาน
วัชระคิดว่าการได้ใช้เวลากับตัวเอง ใช้ความคิดให้เต็มที่ และได้ตั้งสติกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกะทันหันจะทำให้อาการเจ็บจุกจนมีผลต่อกิจวัตรประจำวันของตัวเองดีขึ้น หากในความเป็นจริง การอยู่คนเดียวเพียงลำพังกลับทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง ทั้งที่ดอว์นมาอยู่ที่คอนโดนี้ไม่กี่วัน แต่ดูเหมือนทุกมุมที่สายตาของเขากวาดผ่านจะมีแต่เงาของเจ้าตัวจนเต็มไปหมด ยิ่งไม่มีข้อกำหนดของหน้าที่มาบังคับให้ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เวลาเลิกงานกลับมาก็ต้องมีเอกสารติดมือมาอ่าน ความคิดคำนึงของนายแพทย์วัชระก็จดจ่ออยู่กับเรื่องของคนรักที่หายไปเพียงสิ่งเดียว
วันกับคืนแรกที่กลับมาห้องพักหลังจากได้น้ำเกลือไปสองถุงชายหนุ่มหลับไปได้เพราะร่างกายอ่อนเพลียอย่างยิ่ง หากแต่เช้าวันถัดมา พอตื่นขึ้นเต็มตาวัชระกลับต้องรีบพาตัวเองออกจากห้องนอนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจากนั้นก็ไม่สามารถกลับเข้าไปนอนบนเตียงหลังเดิมได้อีก ทั้งที่เคยนอนคนเดียวมาตลอดชีวิตแท้ๆ แต่มาตอนนี้บนเตียงเดิมเตียงนี้ การข่มตาหลับกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ไปเสียแล้ว
ทั้งที่ไม่ตั้งใจ หากคำถามว่าตัวเองทำอะไรพลาดไปกลับวนเวียนอยู่ในสมอง ยิ่งมารวมเข้ากับไข้กาย สภาพของวัชระที่นายแพทย์วิเศษผู้ทราบข่าวลางานไม่มีวี่แววป่วยล่วงหน้าของเพื่อนจากการโผล่มาหาที่โรงพยาบาลโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วเลยตามมาเยี่ยมคนลาป่วยถึงคอนโดที่พัก จึงทำให้สารพัดสัตว์โลกวิ่งแข่งกันออกจากปากคุณหมอกิมจนแทบนับไม่ทัน
“ห่าเพชร ควายเอ๊ย....นี่มึงเป็นขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย”
หมอกิมถือโอกาสแทรกตัวเข้าในห้องชุดชั้นสิบเก้าทันทีที่เจ้าของห้องแง้มประตูอวดเสี้ยวหน้าซูบเซียวออกมา หลังจากปล่อยให้แขกไม่ได้รับเชิญยืนรออยู่หน้าประตูเป็นนาน
ในขณะที่เจ้าของห้องลากเท้ากลับไปทรุดตัวนั่งที่โซฟากลางห้อง ไม่มีคำทักทายใดๆ นอกจากอาการผงกศีรษะสองสามครั้งแสดงการรับรู้ว่าเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มาเยือนถึงที่
เพราะหลังจากนั่งลงได้ คุณหมอผู้เคยเป็นทั้งไอ้หล่อและไอ้เนี้ยบในสายตาเพื่อนก็คว้ากระป๋องเบียร์ที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นยกซดจนหมด ก่อนจะวางกลับลงบนโต๊ะแล้วผลักๆดันๆให้ไปอยู่รวมกับอีกหกเจ็ดกระป๋องที่หมอกิมแค่เหลือบมองก็รู้ว่าคงเกลี้ยงฉาด
หมอกิมถึงกับยืนอึ้งอยู่กับที่ พิจารณาสารรูปเพื่อนแล้วปวดหัวขึ้นมาริ้วๆ ไอ้ที่ว่าขาวมันก็ยังขาวอยู่หรอก แต่จากขาวสะอาดสะอ้านมันก็กลายเป็นขาวซีด แถมอิตรงควรขาวอย่างลูกกะตาขาวมันก็ไพล่ไปแดงซะน่าเกลียด แล้วยังหนวดเคราเขียวอี๋หนาเป็นปื้นเหมือนไม่ผ่านการโกนมานานนมนั่นอีก
ที่ร้ายที่สุดคงเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่บ่งชัดว่าเพื่อนที่เคยเป็นจอมรักสะอาดหมักหมมอยู่ในชุดเน่าๆนี่มาอย่างน้อยสามวัน แถมพอมาผสมกับกลิ่นแอลกอฮอล์เข้มข้นที่ระเหยจากลมหายใจ แถมด้วยทุกรูขุมขน นายแพทย์วิเศษจากที่ตั้งใจจะนั่งแผ่สบายๆบนโซฟาด้วยอีกคนเลยเลือกจะพาตัวเองไปอยู่ห่างๆเพื่อนแทน
ผู้มาเยือนเลือกที่จะเดินหนีเข้าไปหาน้ำเย็นๆดื่มในครัว พร้อมถือโอกาสสำรวจสภาพความเป็นอยู่ของเพื่อนโดยไม่รอคำอนุญาต สภาพตู้เย็นที่เห็นทำให้นายแพทย์ที่ตอนแรกแค่จะแวะมาทักทายถึงกับเบ้หน้า
“โอ้โหมึง ข้าวปลาไม่กิน แดกแต่เหล้าเลยเนอะ”
ประโยคแรกที่ดังขึ้นมาในใจถูกฉายซ้ำออกมาจริงๆเมื่อหมอแว่นหน้าตี๋แห่งเมืองสุพรรณกลับมายืนทำหน้าปลงสังเวชโดยทิ้งระยะห่างจากเพื่อนสามเมตร
“.......เบียร์”
“ฮะ?”
เสียงตอบโต้งึมงำในลำคอที่ดังจากปากไอ้ขี้เมาตัวเหม็นคำแรกที่ทำให้หมอกิมโล่งใจว่าเพื่อนยังพูดภาษาคนได้อยู่ แต่ก็ทำให้คนที่กำลังจะเดินไปแง้มดูสภาพห้องนอนด้านในของเพื่อนต้องหันมาเลิกคิ้วพร้อมส่งเสียงถามย้ำ
“..ไม่ใช่เหล้า.....เบียร์”
“ห่า...แค่นั่งยังโอนไปเอนมาแล้วยังจะมีหน้ามากวนตีนกูอีก แล้วนี่อะไรเข้าฝันมึงถึงลุกมาตุนเบียร์ซะเต็มตู้ ทุกทีมาเห็นแต่น้ำเปล่า?”
“หึๆ”
หมอแว่นหน้าตี๋ที่ยังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีสุภาพ แม้จะยับไปบ้างเพราะไปนั่งอยู่ในสัมมนาวิชาการมาทั้งช่วงเช้ามุ่งหน้าไปเปิดประตูดูสภาพห้องนอนจนได้ แต่ก็ไม่วายเห็นจากหางตาว่าเสียงหัวเราะเบาๆที่แฝงอารมณ์ประชดประชันคนทั้งโลกนั้นมาพร้อมกับอาการชักขาสองข้างขึ้นมานั่งชันเข่ากอดตัวเองของไอ้เพื่อนที่ไม่เจอแค่ไม่นานกลับดูตัวเล็กลงไปถนัดตา
แค่โผล่หน้าเข้าไปดูก็รู้แล้วว่าเจ้าของห้องมันไม่ได้ใช้งานเตียงนอนอย่างที่ควรจะเป็น จะว่าคุณแม่บ้านมาทำความสะอาดจนเรียบกริบก็ไม่ใช่หรอก เพราะสภาพกระป๋องเบียร์ที่กลิ้งโค่โร่ทั้งบนโต๊ะใต้โต๊ะหน้าโซฟา แถมด้วยจานชามสองสามใบที่เน่าคาอยู่ในอ่างล้างที่ห้องครัวเมื่อกี้ก็เป็นพยานอยู่แจ่มแจ้ง
นายแพทย์วิเศษตัดสินใจกลับมาจัดการกับเพื่อนรักตามคำฝากฝังของอาจารย์หมอคุณแม่ที่จงใจเรียกขึ้นไปคุยตอนรู้ข่าวว่าเพื่อนสนิทที่มีจำนวนน้อยกว่าน้อยของลูกชายคนเล็กมาเยี่ยมเยียนถึงโรงพยาบาล
‘กิม ยังไงแม่ฝากแวะดูเพชรหน่อยนะ ทั้งพี่ทั้งแม่เพชรมันไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย พอไปหาก็ทำท่าเหมือนไม่เป็นอะไร....เฮ้อ...พอจะรู้เรื่องเด็กคนนั้นใช่มั้ย? แม่หมายถึง...แฟนของเพชร’
‘..ครับ ผมก็รู้เรื่องบ้าง เอ่อ ก็เท่าที่เพชรมันเล่าน่ะครับ’
‘แม่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อสักอาทิตย์ที่แล้วคุณสุยังมาบอกว่าอารมณ์ดีผิดปกติอยู่เลย แต่ทำให้เพชรแย่ขนาดนี้ได้แม่ว่าคงไม่ใช่แค่ทะเลาะกันธรรมดา นี่ก่อนให้ลาหยุดแม่จับให้น้ำเกลือไปสองถุง เฮ้อ....ถ้าพอมีเวลาก็แวะไปคุยดูหน่อยนะกิม กับเพื่อน เพชรอาจจะยอมพูดอะไรออกมาบ้างก็ได้’ นึกถึงคำขอกับสีหน้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยฉายชัดของคนเป็นแม่แล้วหมอกิมก็ได้แต่ถอนใจ เพราะพอมาเห็นสภาพจริงมันยิ่งกว่าที่ได้ฟังเยอะ ถึงกับพึ่งน้ำเมาทั้งที่ปกติไม่ใช่คนชอบดื่ม แล้วไอ้ตาแดงๆที่เห็นนั่น คุณหมอภูธรกล้าพนันสิบเอาหนึ่งว่าไม่ใช่แค่จากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรอก แต่เป็นเพราะไอ้เพื่อนหมอมันไม่ได้นอน แถมให้ว่าคงร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าไปแล้วหลายยก
“เพชรๆ มึงลุกขึ้นมาก่อน....อาบน้ำอาบท่าบ้างรึเปล่า มึงนะมึง โตเป็นควายแล้วยังต้องให้เรียกอาบน้ำ ถุย!”
หมอกิมเดินกลับมาถึงก็เห็นว่าคนที่นั่งกอดเข่าอยู่เมื่อกี้เลื้อยลงไปนอนซุกหน้าเข้ากับเบาะนวมของโซฟาเรียบร้อยแล้ว พอเรียกไม่ขยับก็ยื่นเท้าไปสะกิดหน้าแข้งที่คนเมาปล่อยห้อยลงมาระพื้นพรมอย่างไม่ออมแรง
คนโดนสะกิดถึงกับสะดุ้งขึ้นทั้งตัว แต่แทนที่จะตื่นได้สติ วัชระกลับลุกขึ้นมากวาดตามองหา...และพอไม่พบ ก็นั่งกอดเข่าแล้วปล่อยน้ำตาให้พรั่งพรูออกมาเป็นสาย
“ดอว์น ดอว์น.......ไม่ ไม่ใช่ดอว์นนี่ ดอว์น ดอว์นอยู่ไหน.....คนดีของพี่ ฮือ.....ฮือ.....ดอว์น กลับมาหาพี่นะ...”
“อ้อ สรุปถูกน้องทิ้ง....ถูกทิ้งมึงก็ต้องอาบน้ำเว้ย แล้วก็กินข้าว จะได้มีแรงไปตามน้องไง ควายนี่ ถูกทิ้งแล้วโง่นะมึงน่ะ” หมอกิมบ่นไปออกแรงลากเพื่อนตัวพอๆกันไป ไอ้ขี้เมามันเตี้ยกว่าก็จริงแต่มันดันล่ำกว่า นี่ขนาดโทรมลงเยอะ แต่กว่าจะถูลู่ถูกังลากกันไปถึงห้องน้ำได้คุณหมอผู้ขยันทำงานจนไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็ถึงกับเหงื่อตก
“ดอว์น....มีอะไรทำไมไม่คุยกันก่อน พี่ทำอะไรผิดไป ฮือ....ฮึก....ทำไมถึงใจร้ายอย่างนี้.....ฮือ....”
“ห่านี่ ถามกูแล้วกูจะรู้มั้ย มึงรีบอาบน้ำแล้วทำตัวให้สร่างเลยไอ้เพชร ไอ้อ่อนเอ๊ย...กะแค่เบียร์ไม่กี่กระป๋องเสือกจิตหลุดซะงั้น มึงลืมตาดูหน้ากูนี่ กูกิม กิมอ้ะ....เพื่อนมึงอะ ไม่ใช่น้องดอนสุดที่รักของมึง แม่ง...หน้ากูก็ออกจะจีน มันไปเห็นเป็นฝรั่งมุมไหนวะ”
ฉงนสนเท่ห์ขนาดชะงักแรงผลักเพื่อนเข้าไปใต้ฝักบัวแล้วเอียงหน้าดูตัวเองในกระจกสองอึดใจ คนทำหน้าที่เพื่อนแสนดีก็หันไปตบเบาๆให้พอมีเสียงดังเพียะๆที่สองข้างแก้มของเพื่อนรัก กะว่าเรียกสติจนแววตาหลังกรอบแว่นของคนเมาชักมีร่องรอยการรับรู้ขึ้นมาบ้างก็หันไปกระชากผ้าขนหนูมายัดใส่มือเพื่อน
“อาบน้ำนะมึง แล้วเดี๋ยวออกไปคุยกับกูให้รู้เรื่อง”
“เออ อยู่คอนโดไอ้เพชร....”
ระหว่างรอคนป่วยใจอาบน้ำทำความสะอาดตัวเอง นายแพทย์วิเศษก็เอกเขนกคุยโทรศัพท์กับคนที่มุ่งมั่นว่าจะให้รับตำแหน่งศรีภรรยาในอนาคต
‘แล้วจะกลับเมื่อไหร่ ไม่ใช่ต้องขับรถมืดๆคนเดียวนะกิม’
เสียงจากคนไกลที่ปลายสายทำให้คนที่รับรู้ถึงความเป็นห่วงได้เต็มๆถึงกับหัวใจพอง แต่คุณหมอแว่นหน้าตี๋ก็ยังอุตส่าห์เก๊กเสียงนิ่งตอบกลับ ทั้งที่ต้องเอามือข้างที่ว่างกดแนบอยู่ตรงหว่างอกด้วยความหวังให้เสียงตุบๆที่ดังกว่าปกติลดวอลลุ่มลง
“น่า..หมาใหญ่น่า...กูก็จะพยายามกลับให้เร็วสุดแหละ คบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ไอ้เพชรไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยสักครั้ง ยังไงก็ทิ้งมันไม่ลงหรอกว่ะ”
‘แล้ว.....แล้วนี่ห่วงมันมากกว่าใหญ่รึเปล่า?’
“โห....มีอ้อนนะมึง กูรักมึงจะตาย....แต่ตอนนี้ไอ้เพชรมันมีเรื่อง เพื่อนกำลังไม่สบาย แต่หมาใหญ่ของกูสบายดีนี่นา...จริงมั้ยจ๊ะ?”
‘จ้ะ กิมจ๋า...คืนนี้ใหญ่อยู่เวร มีอะไรก็โทรหาได้ตลอดเลยนะ ขับรถกลับง่วงๆก็โทรมารู้มั้ย....แล้วก็ห้ามกินเบียร์เป็นเพื่อนมันด้วย นิดเดียวก็ไม่ได้นะจ๊ะ’
“อื้ม....แล้วจะโทรหา ขับกลับถึงบ้านเมื่อไหร่จะรายงานตัวทันทีเลย แหม...มึงนี่ก็ห่วงเวอร์นะ กรุงเทพ-อู่ทอง สองชั่วโมงก็ถึงแล้ว....แค่นี้นะใหญ่ เสียงไอ้ขี้เมามันก๊อกแก๊กออกมาแล้วมั้ง เดี๋ยวกิมคุยกะมันก่อน แล้วคืนนี้จะโทรหานะ”
สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว และคนที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เมื่อครู่ก็เอนศีรษะลงกับส่วนบนของพนักพิง เงยหน้ามองเพดานห้องสีครีมสะอาดตาแล้วถอนหายใจออกมายาวสุดปอด พร้อมกับความคิดคำนึงที่ว่า...
....เมื่อไหร่หนอ ที่คนไกลจะรับรู้ว่า...คำรักที่พร่ำบอกออกไป มันมีความหมายเกินกว่าที่คิด“มาถึงนี่เลยนะมึง”
“โอ๊ะ สร่างสนิทเลยนี่หว่า มึงจะเล่ามาก่อน หรือจะกินข้าวก่อน....เอางี้ เล่าไปกินไปละกัน กูไปรื้อดูแล้ว มาม่ามึงยังไม่หมดอายุ หิวจะตายห่า กินกันตายด้วยกันนี่แหละ นั่งเรียบเรียงปัญหาของมึงไว้ให้ดี กูให้เวลาสามนาที...มาม่าพร้อมแดกมึงต้องพร้อมพูด”
วัชระไม่มีกะใจแม้จะบอกให้เพื่อนไปนั่งกินที่โต๊ะกินข้าวแทนที่จะมานั่งถือชามเอนไปเอียงมาให้เสี่ยงกับการทำโซฟาเลอะเทอะ แต่เมื่อถูกบังคับด้วยสายตาให้กินไปพร้อมๆกันก็ต้องแข็งใจยกชามขึ้นกินไปด้วย
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น มึงไปทำอะไรเข้าน้องดอนถึงหนี อ๊ะๆ อย่ามาปฏิเสธ แล้วก็อย่าปิดบัง มึงก็รู้ว่าพูดกับกูได้ทุกเรื่อง”
“กู...ไม่รู้ว่ะ อย่าเพิ่งด่า กูไม่รู้จริงๆ คิดให้ตายยังไงก็ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องถึงหายไปเฉยๆ”
“ไม่ได้ทะเลาะกันเหรอวะ?”
“เปล่าเลย ตอนเช้าดอว์นยังกอดกู ยังยิ้มให้กูอยู่เลย.....แต่พอตกเย็น...น้องก็หายไปแล้ว”
“ไปตามดิ บ้านเค้ามึงก็รู้จักไม่ใช่เรอะ?”
“เขาย้ายบ้าน ติดป้ายประกาศให้คนเช่า....โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ คงเปลี่ยนเบอร์ กู....กู กูเหมือนคนบ้า กินนอนไม่ได้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ดอว์น ระยะเวลามันสั้น....แต่ความทรงจำระหว่างน้องกับกูมันมาก มันมากเกินไป...”
“ห่า....อ้ะ”
หมอกิมทำได้แค่เอื้อมไปดึงๆกระดาษทิชชูมาส่งให้เพื่อนที่พูดได้ไม่เท่าไหร่ก็ปล่อยน้ำไหลออกจากตามาดื้อๆ สมองหมอๆก็คิดตามแล้วประเมินสถานการณ์ หาความเป็นไปได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แน่ล่ะว่าถ้ามีผลมันต้องมีเหตุ แล้วไอ้ผลที่คนรักกันหวานเจี๊ยบตามคำบอกเล่าอยู่วันสองวันก็หายไปไม่บอกกล่าวมันจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้เล่า....
“กูรู้ว่าความผิดคงอยู่ที่กู แต่ว่ากูไม่แน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่กูคิดรึเปล่า....ถ้าเป็นเรื่องน้องรุ่งกูก็ว่าเคลียร์เรียบร้อยแล้ว เพราะดอว์นก็ถามกูเองแล้วยังมาปลอบกูด้วยซ้ำ....”
“เดี๋ยวดิ๊ น้องรุ่งนี่ใครวะ?”
“กูก็ไม่รู้นะว่ามันจะใช่เรื่องนี้รึเปล่า ไม่กล้าฟันธงว่ะ คนที่จะตอบคำถามได้มีแค่คนเดียวก็คือน้องดอนของมึงนั่นแหละ เด็กอะไรวะใจแข็งฉิบหาย ได้เพื่อนกูแล้วทิ้งกันดื้อๆ ฮ่าๆๆๆ ที่แน่ๆ ถ้ามึงมัวแต่หดหัวหดหูอยู่กับบ้านแบบนี้ ชาตินี้ยังไงมึงก็ไม่มีทางได้เจอน้องดอนอีกหรอก”
หลังนั่งอ้าปากหวอฟังเพื่อนเล่าเรื่องเก่าตั้งแต่ยังละอ่อนจบ นายแพทย์วิเศษก็ได้แต่ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยแล้วบีบคลึงขมับตัวเอง เหลือบตามองหน้าเพื่อนก็รู้สึกว่าดูมีชีวิตจิตใจขึ้นมาหน่อย เหมือนกับว่าจะหายใจได้เต็มปอดขึ้นประมาณนั้น
“...กูรู้”
“แล้วมึงจะเอาไง? คราวนี้มันน่าจะง่ายกว่าตอนที่มีแค่อีเมล์นะเว้ย รู้ทั้งชื่อจริง ไปยันแม่เขา แล้วยังเพื่อนเขาอีก ถ้าหาไม่เจอกูก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว”
“...มึงว่า ถ้าหาเจอ น้องจะยอมกลับมาเหมือนเดิมมั้ยวะ?”
“โห.....ไอ้รวย แทนที่จะมัวมานั่งคิดไปก่อนเรื่องยอมไม่ยอม มึงไปหาน้องให้เจอก่อนดีกว่ามั้ย! อ้าวแล้วจะไปไหนวะ ป่านนี้แล้ว?”
นายแพทย์วิเศษตกใจกับการจู่ๆก็ลุกขึ้นพรวดพราดของเพื่อนจนสะดุ้งตัวลุกขึ้นยืนตาม พอมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกที่ตัวเองไปรูดม่านเปิดไว้ตั้งแต่รอไอ้ขี้เมาอาบน้ำ ก็เห็นว่าท้องฟ้าถูกทาด้วยสีของกลางคืนไปเสียแล้ว
“กูจะไปเช่าบ้าน มึงก็รีบกลับไปได้แล้วไป หรือถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเวรก็นอนนี่แหละ กูไปไม่นานหรอก เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“เช่าบ้าน?”
“อืม ไม่รู้ป่านนี้มีคนเช่าไปแล้วรึยัง เอาไงมึง ตกลงจะนอนนี่หรือจะกลับ ให้เร็วเลย”
“กลับดิ ห่า พอมีเรี่ยวมีแรงเข้าหน่อยล่ะไล่เพื่อน แป๊บดิ กูเข้าห้องน้ำก่อน”
หลังจากนั้นแค่ห้านาที หมอภูธรกับหมอโรงพยาบาลเอกชนก็เดินออกจากลิฟต์มาพร้อมกัน เพื่อนสองคนยกมือลากันง่ายๆ
หมอกิมพกพารอยยิ้มบางๆกลับสุพรรณด้วยความที่รู้สึกราวกับตัวเองทำภารกิจระดับชาติสำเร็จ เพราะสามารถงัดเอาเพื่อนที่สภาพอย่างกับถูกสูบวิญญาณไปจนไม่เหลือกลับมามีชีวิตชีวาได้โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ขึ้นนั่งประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัยได้ปุ๊บก็กดโทรศัพท์หาคนพิเศษสุดพร้อมรายงานผลสำเร็จปั๊บ รับคำว่าจะขับรถกลับบ้านพักข้างโรงพยาบาลอู่ทองดีๆ แถมยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าถึงเมื่อไหร่จะโทรหา แล้วจึงสตาร์ทรถมุ่งหน้ากลับบ้าน
ผ่านไปสองชั่วโมงเลยสามแยกหน้าที่ว่าการอำเภอสองพี่น้องมาได้หน่อย คุณหมอหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดหาคนที่สัญญาไว้ที่อยู่ไกลถึงจังหวัดตาก
“อีกสิบนาทีจะถึงบ้านแล้วคร้าบคุณหมอใหญ่”
‘ขับเร็วเหมือนกันนะกิม อย่าเร็วมากนักสิ ยิ่งมืดๆยิ่งอันตราย’
“ฮ่าๆๆๆ มึงนี่ยิ่งนานยิ่งทำตัวเหมือนป๊า บ่นมากแก่เร็วนะเว้ย”
‘ก็เพราะเป็นห่วง ถ้าเพื่อกิมจ๋านะ จะต้องแก่เร็วขึ้นอีกนิดก็ไม่เป็นไรหรอก........’
-โครม//เอี๊ยดดดดดดดดดด//โครมมมม-
‘กิม กิม กิม!!!! กิม ตอบใหญ่สิ กิม!! ได้ยินมั้ย กิม!!!!’ ..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล.ตายแน่ ถูกระเบิดบ้านแน่ๆ เพราะคนที่ทรมานน่ะ คือ......พี่หมอใหญ่ขราาาาาาาาาาา