หงิงๆ รอบนี้ทิ้งให้รอกันนานเลย
แถมมีนักอ่านท่านใหม่มายังไม่ได้รีบเข้ามาต้อนรับด้วยสิ หงิงๆ ขอโทษนะคะ
ไม่ได้ทักแต่ก็รักนะ จุ๊บุๆ
ส่วนท่านที่กลัวมาม่า ไม่ชอบกินมาม่า
ขอบอกไว้ล่วงหน้า ว่าใกล้เข้าช่วงมาม่าแล้ว อีกไม่นานนะคะ
แต่ๆๆๆ ทั้งนี้ อาการมาม่าของเนื้อเรื่องจะอยู่กับเราไม่นาน(รับรองได้ว่าไม่เกินห้าตอน)
และ....ตอนนี้ก็ เชิญมาอ่านตอนต่อไปกันได้เลยค่ะ
แอบบอกอีกนิด....ตอนนี้ตัวละครหลักได้บทน้อยนะคะ แหะๆ
.........................................
ตอนที่๒๓ บางสิ่งที่ได้รู้
“ไอ้ดอนสอบเสร็จแล้วจะไปไหนวะ ไปหาไรกินกับพวกกูก่อนดิ” การสอบปากเปล่าครั้งสุดท้ายจบลงที่นายอรุณรุ่งและนางสาวอิระวดี หรือไอ้ตัวจี๊ดของเพื่อนๆเป็นสองคนสุดท้ายตามลำดับเลขประจำตัว อาจารย์ประจำภาควิชาที่เป็นผู้ถามคำถามจากหกท่านแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แล้วแยกว่าที่บัณฑิตออกเป็นสองกลุ่ม เข้าสอบคนละสิบห้าถึงยี่สิบนาที หรือสำหรับบางคนอาจจะนานออกไปถึงครึ่งชั่วโมง
และเพราะการใช้เวลาเกินของบางคนนี่เองที่ทำให้จนไอ้จี๊ดสอบเสร็จออกมานั่งหน้าแป้นหดขาใต้กระโปรงจีบรอบยาวเกือบถึงตาตุ่มมาขัดสมาธิให้ไอ้คุณชายเชหยิบชีทแถวนั้นมากระพือเรียกลมให้โดยไม่ต้องขอแล้ว อีกเกือบสิบนาทีนั่นแหละอรุณรุ่งถึงเดินหน้ามันออกมาจากห้องสอบ พอได้ยินคำถามตบท้ายด้วยคำชวนในประโยคเดียวของไอ้คุณก่อก็เงยหน้ามองเวลาที่นาฬิกาติดผนังแถวนั้นแล้วขมวดคิ้วฉับพลางยื่นมือมาตรงหน้านายก่อคุณแล้วกระดิกนิ้วดิ๊กๆ พอไอ้คนรับฝากของมันยื่นโทรศัพท์มือถือที่ปิดเครื่องเอาไว้ส่งให้ก็เปิดเครื่องแล้วโทรออกโดยยังไม่ตอบรับคำชวนใดๆ
“ทำไมวะ แกมีนัดอีกแล้วเหรอ?”
ขณะที่ต่อโทรศัพท์อยู่ไอ้จี๊ดก็ส่งเสียงหงิงๆมาเข้าหูให้ต้องรู้สึกผิด พอคนที่ปลายสายรับโทรศัพท์พี่ดอนจึงเลี่ยงไปคุยอีกมุมของโถง ไม่ถึงสองนาทีก็เดินหน้านิ่งกลับมาด้วยจังหวะปกติ แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่าหัวคิ้วสีน้ำตาลได้รูปนั่นขมวดมุ่นอยู่นิดๆ
“ไปดิ ไปหาไรกินกัน”
“เยี่ยม! นึกว่าจะเห็นแฟนดีกว่าเพื่อนอีกแล้วซะอีก ฮ่าๆๆๆๆ...โอ๊ะ!! ฮึ้ยยยยยยยย...ไอ้ก่อ!”
กำลังหัวเราะระรื่นปากดีล้อเลียนเพื่อนรักผู้ไม่มีปากมีเสียงอยู่แท้ๆ ก็มีบางสิ่งยันหัวไอ้จี๊ดจากด้านหลังจนแทบจะหน้าคะมำหัวทิ่มพื้น ไม่ต้องหันไปมองก็แน่ใจได้ว่าเป็นฝีมือใคร เพราะทั้งพี่ดอนที่ยังยืนอยู่ด้านหน้า กับไอ้คุณชายเชที่เพิ่งเลิกกระพือชีทสร้างลมเย็นให้ คบกันมาจะครบสี่ปีมันไม่เคยแกล้งแบบนี้เลยสักครั้ง
นางสาวจี๊ดกระโจนไล่พลางง้างเท้าเตรียมทำร้ายร่างกายตอบโต้นายก่อคุณที่ออกตัววิ่งหนีไปจนจะลับมุมตึกแล้ว แต่สิ่งที่พี่ดอนสนใจคือสายตาของเพื่อนอีกคนที่มองตามมากกว่า.....วันนี้นอกจากอารมณ์รักต้องซ่อนที่พี่ดอนสัมผัสได้ ในดวงตาคู่เล็กเรียวของเพื่อนกลับมีแววหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
อรุณรุ่งเก็บความขุ่นข้องในใจของตัวเองลงไป แล้วเอ่ยปากถามเพื่อนก่อนทั้งที่ไม่ใช่ปกตินิสัย
“มีอะไรไม่สบายใจวะเช?”
“ไม่มีอะไรหรอก เราก็แค่หิวข้าวมั้ง......นายเลิกช้านี่ จะบ่ายอยู่แล้ว”
วิสุทธิ์ยกมือขึ้นบีบเบาๆที่ดั้งจมูกตัวเองตามด้วยส่ายศีรษะน้อยๆราวจะไล่ความคิดบางอย่างออกไปจากใจ ก่อนละส่งยิ้มอ่อนๆให้เพื่อนที่จับตามองมาจากใต้กรอบแว่น
“.....เอาเถอะ เมื่อไหร่อยากพูดก็พูด ถึงเรียนจบก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกคบกัน....”พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ไอ้สองคนที่วิ่งไล่กันไปมันก็โผล่กลับมา ไอ้ก่อมาถึงก็นั่งลงส่งเสียงหัวเราะร่วน ส่วนไอ้จี๊ดที่ตามหลังมาห่างๆก็ทรุดตัวนั่งแปะลงที่เดิมแถมเพิ่มด้วยอาการอ้าปากหอบหายใจกับหยาดเหงื่อใสๆที่ซึมออกมามากจนแทบจะหยดจากหางคิ้ว
และโดยที่เจ้าตัวมันไม่ได้สนใจจะจัดการกับเหงื่อที่เยิ้มบนใบหน้า คุณชายเชก็จัดการยื่นกระดาษเช็ดหน้าที่มักจะมีติดกระเป๋าไว้เสมอส่งให้ถึงมือ
ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ถึงจะดำแต่ก็หอบเหนื่อยจนหน้าแดงก่ำได้หันหน้ามาส่งยิ้มขอบคุณให้เพื่อนรักใจดี ก่อนจะลงมือใช้กระดาษที่รับบริจาคมาเช็ดทั้งหน้าทั้งคอแบบลวกๆ แล้วแทนที่จะพูดขอบอกขอบใจไอ้คนใจดี พอควบคุมลมหายใจให้เข้าสู่ความเร็วปกติได้นางสาวอิระวดีกลับหันไปจิกสายตาขู่อาฆาตให้ไอ้ก่อกรรม แถมด้วยสั่งสอนให้ดูตัวอย่างนายวิสุทธิ์เสียด้วย
“ไอ้ก่อ...หะ....ดูเอาไว้นะ ถ้าไม่อยากขึ้นคานกรุณา...หะ....ทำให้ได้แบบไอ้เชมันบ้าง” ไอ้จี๊ดพักหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วหันไปส่งสายตาชื่นชมกับคนได้รับตำแหน่งตัวอย่างที่ดีแบบกะทันหัน
“ดูซิ สุภาพบุรุษ เป็นห่วงเป็นใยเพื่อนตลอดเวลา ไม่เคยทำร้ายร่างกายเพศแม่ด้วย.....นี่แหละ เป็นลูกผู้ชายมันต้องเป็นให้ดีเป็นให้โดนแบบไอ้เชเว้ย!”
และโดยที่อีกสามคนไม่ทันตั้งตัว นายก่อคุณก็เหลือบตามองซ้ายมองขวาพอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้หรือจะโผล่มามันก็ลุกขึ้นยืนแล้วชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มที่ยังชื้นเหงื่อของไอ้จี๊ดดังฟอด“เฮ้ย!! ไอ้......ไอ้....งื้อ ไอ้ก่อ ไอ้บ้านี่......”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ เอ้าๆ หน้าแดงใหญ่แล้ว เขินเหรอ...ฮื้ม? เช ดอน มึงสองคนดูหน้าไอ้จี๊ดดิ เขินแล้วหน้าแดงแป๊ด โคตรตลกอะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
นายก่อคุณพูดพลางยื่นมือใหญ่เบ้อเริ่มไปขยี้ผมซอยสั้นของไอ้จี๊ดที่เขินจนหน้าแดงอยู่ก็จริง แต่ยังส่งสายตาดุเป็นนางแมวป่ามองตอบไม่ยอมหลบ จนเส้นผมดำสนิทชื้นเหงื่อยุ่งเหยิงไปหมด
อรุณรุ่งไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองมีสีหน้าอย่างไร แต่ชายหนุ่มมองเห็นเพื่อนอีกคนที่ยังเงียบสนิทเหมือนถูกสาปเป็นรูปปั้นไปแล้วกำลังหน้าซีดลงจนเห็นได้ชัด
ขาที่กำลังหยัดตัวเตรียมจะลุกขึ้นยืนของนายวิสุทธิ์เหมือนจะอ่อนแรงลงดื้อๆ หนุ่มหน้าตี๋นั่งแปะลงกับที่อีกครั้ง และโดยไม่ทันรู้ตัวก็ยื่นมือเย็นเฉียบไปแตะที่ศอกของเพื่อนที่หลงรักมานานแต่ไม่กล้าบอก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเลื่อนมากำกระชับบริเวณต้นแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดเอาไว้จนแน่น
สัมผัสกึ่งคุกคามจากมือเย็นชื้นเหงื่อทำให้คนที่กำลังเขินหน้าแดงหันกลับมามองเพื่อนรัก พอเห็นสีหน้าซีดจนแทบจะกลืนไปกับผนังสีขาวอมเทาด้านหลังก็ตกใจ
“เช....เป็นอะไร แกจะเป็นลมรึเปล่า? ไอ้ก่อ ดอน มียาดมมั้ย? ไปหามาให้ที”
ไอ้จี๊ดเลิกสนใจกับแรงบีบจนเจ็บที่ต้นแขนแล้วเอื้อมหยิบตั้งชีทใกล้มือมาโบกพัดให้คนใจดีที่ดูแลมาตลอดแทน ปากก็สั่งอีกสองคนไปด้วย
แต่ขณะที่ไอ้ก่อจะวิ่งออกไปทางตู้พยาบาล คนที่นั่งเกร็งอยู่เมื่อครู่ก็ผ่อนแรงบีบที่ต้นแขนของคนที่ตัวเองแอบรักมานานและจากนี้คงทำได้แค่ตัดใจลง นายวิสุทธิ์ทิ้งแขนลงข้างตัวแล้วส่ายหน้าน้อยๆบอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร
“....เรา....แค่หิวน่ะ สงสัยเพราะรอไอ้ดอนนานไปหน่อย”
“เออจริงด้วย อีกห้านาทีบ่ายแล้ว ไปๆหิวก็ไปหาอะไรกินกันมึง แหม......กูก็นึกว่าตกใจที่ผู้หญิงประหลาดปากหมาอย่างไอ้จี๊ดก็ขายออกกะเค้าจนหน้าซีดซะอีก ฮ่าๆๆๆๆๆ”
อาหารมื้อสุดท้ายที่ได้กินพร้อมหน้าพร้อมตากันในสถานภาพนักศึกษายังคงมีบรรยากาศรื่นเริงได้จนอรุณรุ่งแปลกใจ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะไอ้สองตัวที่พูดมากและหาเรื่องมาจิกกัดกันเป็นกิจวัตรมันก็ยังคงทำได้แบบเดิม ไอ้คู่รักคู่กัดมันส่งไอ้ก่อเป็นตัวแทนสารภาพกับอีกสองคนว่าตั้งใจถือฤกษ์เอาวันสอบวันสุดท้ายนี่แหละบอกว่ากำลังคบกันอยู่
อรุณรุ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าข้อมูลที่ว่าสองคนเพิ่งเริ่มรุ้สึกแปลกๆก็ช่วงปีสี่นี้เอง ก่อนฝึกงานก็แค่มองกันไปมองกันมาบ้าง แต่ก็ชักรู้สึกว่าตัวเองจะแอบๆมองฝ่ายตรงข้ามถี่ขึ้น แถมครั้งละนานขึ้นเรื่อยๆ
แล้วทั้งไอ้ก่อทั้งไอ้จี๊ดก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหลังกลับจากฝึกงานถึงต้องโทรหากันทุกวัน วันไหนไอ้ก่อไม่โทรมา ไอ้จี๊ดก็เป็นฝ่ายโทรไปหาเอง
พอต่างคนต่างเป็นคนบอกราตรีสวัสดิ์นะเว้ยวะกันครบหนึ่งสัปดาห์ ไอ้จี๊ดบอกว่าขึ้นวันที่แปดนั่นแหละ วางสายโทรศัพท์ไปไม่ถึงสิบนาทีไอ้ก่อก็มากดออดเรียกอยู่หน้าบ้านตอนสี่ทุ่ม พอลงไปเปิดประตูให้ไอ้ตัวดีมันก็จู่โจมกะทันหัน พุ่งเข้ามาหอมแก้ม พอไอ้จี๊ดยกมือฟาดหัวผัวะแล้วจะหนีเข้าบ้าน ไอ้ก่อมันก็บอกว่า
‘สงสัยกูจะรักมึงเข้าแล้วว่ะจี๊ด....ไม่รู้เพราะติดกลิ่นตอนนอนอยู่ข้างๆทุกคืนที่ตากรึเปล่า แม่ง!! กูเป็นไรไม่รู้ว่ะ ช่วงนี้ก่อนนอนกูต้องคิดถึงมึงทุกวันเลย’ไอ้จี๊ดที่กำลังพยายามจะวิ่งหนีเข้าบ้านเลยหมดแรงหนี หันกลับมาหาไอ้ก่อแล้วขึ้นไปยืนบนขอบกระถางเฟื่องฟ้าที่สูงจากพื้นหนึ่งฟุตพอดิบพอดี แล้วเลยดึงหน้าไอ้ก่อไปสูดกลิ่นดังฟอดบ้าง ก่อนจะสารภาพเสียงอ่อย
‘.....ฉันก็เป็น...แบบเดียวกับแกเลย’“พวกกูกลัวมึงจะโกรธถ้าปิดเงียบไว้ แต่จะบอกซะตั้งแต่เริ่มคบกันมันก็ไม่ได้ว่ะ เผื่อกูเผลอใจชั่วคราวแล้วไปพบรักแท้กะหญิงอื่น มึงสองตัว...โดยเฉพาะมึง ไอ้เช ไอ้คุณพ่อหวงลูกสาวอย่างมึงคงกระทืบกูจมดินแน่”
ไอ้ก่อปิดแถลงการณ์ของมันด้วยประโยคนี้ เลยโดนแฟนใหม่มันแต่เป็นเพื่อนกันมานานเนหันไปถลึงตาใส่ดุเอาอีกรอบ
“แล้วนี่มันไม่ใช่เพิ่งเริ่มหรือวะ ดูจากเวลาแกสองคนก็เพิ่งจะคบกันไม่ถึงเดือนเลยนี่”
อรุณรุ่งถามออกไปเพียงเพราะไม่อยากให้บรรยากาศเงียบสนิทจนคู่รักเดือนเดียวมันจับได้ว่าวันนี้ไอ้เชของเพื่อนๆเงียบผิดปกติ แถมยังกินอะไรแทบไม่ได้นอกจากน้ำชาที่เติมเอาๆ
“อือ.....ยังไม่ครบเดือนด้วยซ้ำ แต่กูมั่นใจแล้วนี่หว่า ว่ากูรักกูชอบมันจริงๆ......พวกมึงดูดิ ไอ้จี๊ดเวลาเขินนอกจากจะตลกแล้วยังน่ารักด้วยนะมึง นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าที่นี่ประเทศไทยกูจับฟัดมันตรงนี้แหละ”
“ไอ้บ้า”
“เห็นป้ะ เวลาเขินนะ หมาในปากมันไม่รู้หายไปไหนหมด ด่าได้แค่เนี้ย......ฮ่าๆๆๆ โอ๋ๆๆๆๆ ไม่งอนสิจี๊ด งอนเป็นตูดเป็ดเชียวนะ เดี๋ยวปั๊ดจับทุ่ม......เข้ามาในใจก่อเลย ฮะๆๆๆๆ”
“อ้วก”
“เห็นป้ะ พูดน้อย ต่อยไม่มี แถมอีกอย่างนะ เพราะเป็นเพื่อนกันมานานด้วยมั้ง กูชอบไม่ชอบอะไรจี๊ดก็รู้หมด ก็ขนาดกูรู้ว่ามันตดเหม็นแค่ไหนกูยังหอมแก้มมันแล้วมีความสุขชะมัดเลย พวกมึงคิดดูดิ อย่างนี้จะไม่ใช่รักได้ยังไง”
มื้ออาหารที่อรุณรุ่งทั้งดีใจแทนเพื่อนสองคนและปวดใจแทนเพื่อนอีกคนจนกลายเป็นความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อที่สุดในชีวิตจบลงเกือบบ่ายสองครึ่งพร้อมคำสัญญาว่าจะไม่ขาดการติดต่อกัน เมื่อไอ้สองคนคู่กัดมันเดินแยกไปก่อน เขาจึงมีโอกาสหันกลับมาดูสภาพเพื่อนอีกคนเต็มตา
“เราไม่เป็นไร.....ไม่เป็นไรจริงๆ”
เมื่อเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนวิสุทธิ์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน แถมแทนที่จะเป็นฝ่ายถูกปลอบชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายให้ความมั่นใจกับหนุ่มลูกครึ่งคนเดียวในกลุ่มเสียเอง
“เช.....แก รู้อยู่แล้วหรือวะ?”
“ก็ไม่ถึงกับรู้ว่ามันสองคนตกลงคบกันแล้ว.....แต่คนที่เป็นฝ่ายมองมาตลอดก็ย่อมจะพอรู้หรอกนะ ว่าสายตาของคนที่เรามองจับอยู่ที่ไหน....ไอ้สองคนนี้มันหาเรื่องเถียง หาเรื่องทะเลาะกันตลอด แต่สังเกตมั้ย...ว่ามันสองคนก็ไม่เคยไปหาเรื่องแบบนี้กับใคร....มันอาจจะแปลกๆไปบ้างที่รักไปทะเลาะไป แต่มันสองคนก็เป็นคนพิเศษของกันจริงๆ”
“อยากให้อยู่เป็นเพื่อนมั้ย?”
“ไม่หรอก เดี๋ยวเราจะกลับบ้านเลย ไม่ย้อนกลับไปที่หอแล้ว นายอยากไปเที่ยวนครปฐมมั้ยล่ะ?”
“........คือ....”
“มีนัดแล้วล่ะสิ หึๆๆ เออ...แล้วทำไมตอนนั้นทำหน้ายุ่งๆ ไม่ใช่เพราะมากับพวกเราเลยทะเลาะกันนะ”
“เฮ้ย...เปล่าๆ แค่ต้องไปหาเพชรที่ที่ทำงานน่ะ”
“อืม.....ไม่ได้ทะเลาะกันก็ดีแล้ว เห็นมั้ยว่านายกับคนของนายโชคดีแค่ไหนที่ใจตรงกัน.....งั้นก็ไปเหอะ หรือจะติดรถไปกับเรา ทางเดียวกันรึเปล่า?”“ไม่ใช่ ไม่ต้องห่วงหรอก ขึ้นบีทีเอสไปก็ถึง”
อรุณรุ่งโบกมือลาเพื่อนแล้วเดินเอื่อยๆไปทางสถานีรถไฟฟ้า แตะบัตรโดยสารแล้วก้าวเท้าเข้าไปในชานชาลายืนรอรถไฟฟ้าที่จะมุ่งหน้าไปทางอ่อนนุช เมื่อตัดความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อของมื้ออาหารเมื่อครู่ออกไปหนุ่มน้อยนัยน์ตาโศกก็กลับมาจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง
ก็พอจะรู้อยู่ว่าเพชรคงไม่พ้นเป็นแพทย์ แต่ที่ไม่เคยคิดว่าการรู้จักกับเพชรจะทำให้ต้องกลับไปที่นั่นอีก.....ที่ที่ไม่ได้เหยียบย่างไปอีกเลยเป็นเวลาสี่ปีเต็มแล้ว.....โรงพยาบาลศีลเวชอรุณรุ่งลงรถไฟฟ้าที่สถานีนานาออกมาเจอกับแดดเปรี้ยงและอุณหภูมิร้อนจัดจนรู้สึกเหมือนผิวจะไหม้ เดินย้อนกลับไปอีกห้าสิบเมตรแล้วเลี้ยวเข้าซอยที่จอแจไปด้วยผู้คนโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ ไม่แปลกในเมื่อใจกลางสุขุมวิทเต็มไปด้วยโรงแรมใหญ่ๆไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง แล้วยังสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนที่เปิดอย่างถูกกฎหมายจนแทบจะไม่มีพื้นที่ว่าง
เดินเข้าซอยที่กว้างขนาดรถวิ่งสวนกันได้แบบพอดีคันเข้าไปไม่ถึงสองร้อยเมตรประตูที่เปิดกว้างตลอด 24 ชั่วโมง ของโรงพยาบาลศีลเวชก็ตั้งอยู่ตรงหน้า อรุณรุ่งพยายามไม่มองไปทางไหนเลยนอกจากก้มหน้าก้มตาเดิน ท่องไว้แค่ชื่อนายแพทย์วัชระ OPD* ชั้น1 ห้องตรวจเบอร์4
แต่ทั้งๆที่ไม่ได้มองซ้ายหรือขวาและพยายามไม่สบตากับใคร บรรยากาศของโถงทางเดินที่คุ้นเคยก็ทำให้ภาพเก่าผุดขึ้นมาในห้วงความคิดจนได้.....
....โรงพยาบาลศีลเวช ยินดีให้คำปรึกษาโดยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคหัวใจและโรคหัวใจในเด็ก
....โรงพยาบาลศีลเวช....โรงพยาบาลประจำของน้องรุ่ง.................................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
(*) OPD = Out patein Department หรือก็คือ แผนกผู้ป่วยนอกนั่นเองค่ะ
ปล.แหะๆ