@ A MiRaClE wOrKeR //// ท้าเทวดา......ให้มาเดินดิน @ <<TrAcK 11>> 15/11/2010
รถประจำทางจอดที่ป้ายรายทางที่เป็นเพียงศาลาเล็ก ๆ ให้คนรอรถได้พักพิง หลังจากที่ร่ำลากับภูมิพฤกษ์แล้ว จีนพาอัครเทพเดินตามถนนลูกลังเส้นที่เชื่อมต่อจากถนนหลักเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร ก็เห็นเป็นบ้านหลังน้อยใหญ่ปลูกเรียงรายกัน แต่ละบ้านก็จะมีบริเวณบ้านของใครของมันดูไม่แออัด แต่มีหลายหลังคาเรือน ตรงนี้เป็นหมู่บ้านใหญ่ จีนพาอัครเทพเดินตามถนนกลางหมู่บ้านที่เป็นดินทรายแน่น ๆ ทักทายคนในหมู่บ้านที่ต่างพากันดีใจที่เห็นหน้าหนุ่มน้อย จีนเป็นที่รักของคนใจหมู่บ้านเพราะเป็นเด็กดี และกตัญญู เวลาไม่อยู่ชาวบ้านที่อยู่ละแวกเดียวกันก็แวะมาเยียมเยียนย่าไม่ให้เหงาเวลาน้องชายเขาไม่อยู่
“ว่าไงจีนมาเยี่ยมย่ากับน้องเหรอลูก” ลุงทัศน์คนที่มีที่นาอยู่ใกล้ ๆ กัน เป็นอีกคนที่คอยช่วยเหลือและแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่างหลังจากที่สิ้นพ่อกับแม่แล้ว
“ครับลุง จีนว่าจะกลับมาอยู่ที่นี่ซักพักน่ะครับ” ลุงทัศน์มองหน้าอย่างสงสัยและสายตาก็พาดมาถึงหนุ่มร่างสูงหน้าตาดี สงสัยแค่ไหนแต่ก็มีมารยาทพอที่จะไม่ถามมาก เมื่อหลานชายทำท่าไม่อยากตอบ
“อืม เดี๋ยวว่าง ๆ ลุงจะแวะไปคุยด้วยละกันนะ”
“ครับลุงทัศน์ งั้นผมไปนะครับ” ลาลุงทัศน์เสร็จก็เดินแยกลงอีกทาง เลาะตามทางลูกลังที่มีหญ้าขึ้นสองข้างทางประปราย มองไปจนสุดทางก็เห็นรั้วไม้ไผ่ เก่า ๆ ที่บางท่อนก็หักลงระพื้น แต่ก็ยังพอรู้ถึงแนวอณาเขตบ้าน ต้นดอกแก้วสองต้นปลูกไว้สองข้างตรงประตูรั้วทางเข้าบ้าน บ้านไม้ชั้นเดียวยกจากพื้นแค่ประมาณ 1 เมตร ทรงคล้ายบ้านที่จีนอยู่กับภูมิพฤกษ์แต่ใหญ่กว่าเกือบสองเท่าตัว มีระเบียงกว้างวางตุ่มน้ำ 2 ใบ และมีโต๊ะ ก้าอี้หวายสีซีด ๆ แต่ยังใช้งานได้ดีวางไว้ตรงระเบียงเพื่อรับแขก ...........
คิดถึง จนรู้สึกจุกในอก เหมือนตัวเองกำลังหนีความวุ่นวายเพื่อกลับมาสูดบรรยากาศที่เรียกว่าครอบครัว ที่ที่มีแต่ความรักและอาทรให้กัน อัครเทพมองดูบ้านตรงหน้า ก็เหมือนกับหลายหลังที่เดินผ่าน ได้กลิ่นดินจาง ๆ ...บริเวณบ้านสะอาดได้รับการดูแลอย่างดี รู้ว่าจีนมีน้องชาย คงจะเป็นเด็กดีทีเดียวบ้านช่องถึงได้ดูสะอาดสะอ้าน ร่มรื่นอย่างนี้ ลำพังแค่ย่าคงไม่มีแรงจะทำได้ขนาดนี้ พุ่มเทียนทองที่ข้างรั้วถูกตัดเป็นพุ่ม ท่าทางบ้านนี้จะชอบปลูกดอกไม้ เพราะที่บ้านที่อยู่ทางนู้นก็มีดอกไม้ปลูกเรียงรายเต็มไปหมด ที่นี่ยิ่งกว่า ทั้งกลุ่มต้นเทียนทองที่ปลูกตามแนวรั้วบ้านเป็นแนวยาว โป๊ยเซียนที่ใส่กระถางเรียงตามชั้นไม้ แล้วยังไม้ประดับที่ห้อยลงตามชายหลังคาหน้าบ้านอีก และข้างบ้านยังมีดอกพุทธรักษาที่ขึ้นริมน้ำชูช่อสีเหลืองน่ามองทีเดียว นี่น่ะเหรอที่พ่อบอกบ้านนอกคอกนา มันเป็นอีกที่นึงซึ่งคนเมืองน้อยคนที่จะได้มีโอกาสสัมผัส
จีนเดินขึ้นไปบนบ้านตอนนี้เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว จิวน่าจะอยู่บ้าน ได้ยินเสียงตะบันหมากจากในบ้าน รอยยิ้มผุดที่ดวงหน้ามล จนคนที่อยู่ข้าง ๆ อดยิ้มตามไปด้วย สิ่งเหล่านี้สินะที่ร่างบางข้าง ๆ เขาหวงแหนนักหนา เขาก็อยากสัมผัสว่ามันเป็นยังไงมันแตกต่างจากที่เขาอยู่ยังไง ย่าแม้นที่นั่งหันหลังอยู่กำลังก้มตะบันหมากอย่างช่ำชอง ผมขาวเกือบหมดหัว ถูกเกล้ามวยไว้ข้างหลัง จีนย่องเบา ๆ ค่อย ๆ ย่อตัวลงไปสวมกอดหญิงชราพร้อมกับซบหน้าลงบนหลังที่ค้อมค่อมอยู่
“อุ๊ย ตาเถร ยายชีใครล่ะนิ” ย่าแม้นอุทานพร้อมกับจับแขนของคนที่กอดตนไว้เหมือนว่าจะหนีไปซะก่อนก่อนที่จะได้รู้ว่าใคร
“คิดถึงย่าจังเลยครับ ซืด..ฮึก..”ร้องไห้จนได้ ความรู้จุกอกเหมือนได้ระบายไปด้วย
“จีนมาได้ยังไงลูก แล้วร้องทำไมฮึ” มือเหี่ยว ๆ เอื้อมมาลูบหัวหลานขี้แยที่เปลี่ยนมากอดเอวตนด้านหน้า เป่าปี่อยู่เบา ๆ
“ก็จีนคิดถึงย่า นิครับ” อัครเทพมองดูคนรักที่กำลังอ้อนญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียว แล้วอดยิ้มไม่ได้ เด็กชัด ๆ แล้วเปลือกที่แข็งแกร่งนั้นสร้างขึ้นมาได้ยังไง ทั้งที่ดูบอบบางขนาดนี้
“เด็กขี้แย แล้วพาใครมาด้วยล่ะนี่ มัวแต่ร้องแล้วให้เพื่อนยืนรอตัวเองรึ “ ดุไม่จริงจังเพื่อให้หลานหยุดขี้แยซักที
“พี่จีนนนนนนนนนนนน จิวคิดถึงจังเลยยยยยยยยยยยยยยยยย” เด็กชายที่ตัวเล็กกว่าจีนแค่นิดหน่อย ก้าวผ่านประตูเข้ามาเมื่อเห็นว่าเป็นใคร รีบวิ่งมากอดพี่ชายที่ผละจากย่า และเตรียมอ้าแขนรอน้องชายตัวเล็กที่วิ่งมา
“เป็นไงบ้างเรา ฮึ” พูดแล้วลูบหัวน้องชายที่รูปร่างหน้าตาไม่ได้แตกต่างกันเลย นี่น่ะเหรอน้องชายจีน ผิวพรรณ รูปร่างหน้าตา คล้ายกัน เหลือกันแค่สองคนพี่น้องที่ท่าทางไม่ได้แข็งแกร่ง และพร้อมที่ปกป้องตัวเองและย่าได้ซักนิดแต่ก็อยู่กันมาได้จนขนาดนี้ ซ้ำยังได้ยินว่าน้องชายทำทุกอย่างเองทั้งดูแลย่า ดูแลบ้าน นับถือในความเข้มแข็งของทั้งคู่จริง ๆ
“พี่จีน นั่นใครล่ะครับ เพื่อนพี่เหรอ หล่อชะมัดเลย” มองผ่านไปเห็นอีกคนที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ จะนั่งก็ไม่นั่งซักที จนจีนชะงักมองคนที่ยืนถือกระเป๋าไม่ยอมวางและไม่ยอมนั่ง อัครเทพรู้ว่าตัวเองเป็นเป้าสายตาก็ยิ้มแหย ๆ ไป รู้ว่ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่แต่ไม่รู้จะนั่งยังไง จะพับเพียบก็ยังทำไม่เป็น ขัดสามาธิก็ดูจะเสียมารยาท จะนั่งที่เก้าอี้หวายที่อยู่ในบ้านก็จะสูงกว่าคนอื่น ๆ ก็ได้แต่ยืนรอเจ้าบ้านอยู่ จีนยิ้มเหมือนรู้ทัน จนคนตัวโตค่อย ๆ ย่องมาด้านหลังจีน แล้วนั่งคุกเข่าลงทำท่านั่งพับเพียบด้วยท่าทีแปลก ๆ ย่าแม้นอดที่จะหัวเราะไม่ได้ ทำไมตนจะดูไม่รู้ว่าชายตรงหน้ามีสง่า ราศี เป็นผู้ดีแค่ไหน แต่สงสัยก็แค่ติดสอยห้อยตามหลานตนมาได้ยังไง
“เอาเถอะพ่อหนุ่ม นั่งยังไงถนัดก็นั่งเถอะจ้า เฮอะ ๆๆ แล้วเป็นใครมาจากไหนล่ะ ไปมายังไงล่ะ”
“นี่พี่อาทครับย่า เป็นเจ้านาย ที่จีนทำงานอยู่ พี่อาทนี่ย่าแม้นย่าของจีน แล้วก็ จิวน้องชายจีน” ร่างสูงยกมือไหว้ย่าและรับไหว้จิว
“แล้วมาเที่ยวรึ พ่อหนุ่ม บ้านนอกชนบทไม่มีอะไรให้เจริญหู เจริญตาเหมือนในเมืองหลวง เมืองใหญ่เขาหรอก” ถามไถ่ ตามประสา โดยที่ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของทั้งคู่
“เอ่อ จีนมีเรื่องจะบอกย่ากับจิวน่ะครับ” ท่าทางจริงจังของจีน ทำให้ย่าแม้นกับจิวตั้งใจฟังมากขึ้น
“มีอะไรรึเจ้า มีอะไรสำคัญเล่ามาเถอะ” ย่าหยุดมือจากตะกร้าหมากแล้วหันมามองหลาน ที่คลานมากอดตนอีกครั้ง
“จีนขอโทษนะครับ ถ้าเรื่องที่จีนจะเล่ามันทำให้ย่ากับจิวไม่สบายรึถ้าคิดว่าจีนทำไม่ถูก” กอดย่าแน่นขึ้นเพื่อเรียกสติและกำลังใจเรียบเรียงคำพูด
“เล่ามาเถอะหลาน อีกไม่นานย่าก็จะไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าแล้ว จะมีอะไรที่น่ากลัวไปกว่านี้อีก ย่าเชื่อว่าสิ่งที่จีนทำมีเหตุผลเสมอ” ปลอบใจด้วยถ้อยคำที่เหมือนน้ำชโลมจิตใจที่กำลังแห้งแล้ง มันอบอุ่นจนคนตัวใหญ่สัมผัสได้ไปพร้อม ๆ กับคนรัก สมแล้วที่จีนรักและบูชายิ่งกว่าอะไร.........จีนเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ย่าและน้องชายฟัง ย่ายกมือทาบหน้าอกตัวเอง แต่ก็เลื่อนมาลูบหัวหลานชาย ส่วนจิวนั่งนิ่งไม่พูดอะไร จนจีนใจหาย
“จิวพี่ขอโทษนะ ที่พี่ไม่ได้มีหลานให้จิวอุ้มเหมือนที่พูดกันไว้” พูดจบแต่น้องชายกลับส่ายหัว เหมือนกับคำที่พี่พูดกำลังเข้าใจตัวเองผิด
“จิวไม่ได้โกรธพี่จีนครับ แค่ตกใจนิดหน่อย แล้วพี่สองคนจะทำยังไงต่อล่ะครับ ให้จิวเลิกเรียนไหมเอาแค่ ม.3 พอแล้วจะได้ออกมาช่วยพี่จีนกับพี่อาท” ท่าทางเห็นใจจริงจังทำเอาจีนกับอาทยิ้มออก นิสัยเหมือนกัน เห็นใจคนอื่น โดยที่ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะเป็นยังไง
“ไม่เป็นไรครับน้องจิว น้องจิวเรียนต่อไปเถอะ ตอนนี้ผมพอมีเงินเก็บ ถือว่ามากอยู่สำหรับการใช้จ่ายในครอบครัว แบบไม่เดือดร้อน แต่มันอยู่ที่พวกเราต้องทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันพอที่พ่อผมจะเชื่อใจว่าเรามีหลักมีฐานที่มั่นคงและมีอนาคตที่ดีได้” ประโยคแรกบอกน้องชายคนรัก ก่อนจะหันมาพูดกับย่าที่กำลังจ้องตนอยู่
“พระคุ้มครองเถอะ มีอะไรก็ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ทำกันละกันนะ ย่ามันแก่แล้วอยู่ได้อีกไม่นาน มันอยู่กับพวกเจ้าว่าจะสานต่อชีวิตกันยังไง ยังไงย่าก็ฝากจิวด้วยนะ มันก็มีแค่พี่ชายกับย่า ยังไงจีนก็อย่างทิ้งน้องนะลูก” ตนรู้ว่าพี่น้องไม่มีทางทิ้งกันแน่นอน แต่ก็อยากฝากฝัง ตอนที่ยังพร้อมหน้าพร้อมตาก่อนที่ ตัวเองจะไม่อยู่ซะก่อน
“จีนไม่มีทางทิ้งน้องหรอกย่า และย่าก็ต้องอยู่กับจีนไปอีกนาน ๆ จีนรักน้อง รักย่ามากที่สุด”พูดแล้วก็น้ำตาคลออีกแล้วส่วนน้องชายก็ทำจมูกฟืดฟัด จนอาทอดยิ้มกับครอบครัวที่แข็งนอกอ่อนในนี่ไม่ได้
“เฮ้ย จิวตกลงจะไปได้ยัง ต้องให้มาตามนะ” เด็กหนุ่มร่างสูง เดินเข้ามาเรียกจิว ชะงักเมื่อเห็นมีหลายคนนั่งอยู่
“ว่าไงเอ โตขึ้นเยอะนะเรา” จีนทักเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับน้องชายหน้าตาหล่อเหลา ตัวโตมากว่าเขาซะอีก
“หวัดดีครับย่า พี่จีน หวัดดีครับพี่” ยกมือไหว้พี่เพื่อนที่เคยเห็นสองสามครั้งตอนมาเล่นกับไอ้เปี๊ยกจิว ส่วนอีกคนไม่เคยเห็นแต่คงเป็นเพื่อนพี่จีน
“จะชวนกันไปไหนอีกล่ะ ฮึ”ถามเด็กหนุ่มที่มานั่งพับเพียบข้างจิว เด็กหนุ่มที่พ่อเป็นเจ้าของโรงสีที่ใหญ่พอตัว เห็นว่าครอบครัวเอเอ็นดู น้องชายเขามากอยู่ บอกว่าน่ารัก กตัญญู ไม่เกเร คอยฝากนั่นส่งนี่มาให้กินกันอยู่เรื่อย จิวบอกว่าเอคอยมารับมาส่ง ตัวใหญ่ ๆ นั่นทำให้ไม่มีใครกล้าแกล้งหรือมายุ่มย่ามกับน้องชายเขา เคยคิดว่าเป็นเพื่อนที่ดี แต่เมื่อตัวเขามาเจออาททำให้มีความรู้สึกอย่างอื่นเข้ามาแทรก มันอยู่ที่ว่าเขาคิดมากไปรึเปล่า หรือทั้งคู่รู้ตัวรึเปล่า
“เอ!! จิวบอกว่าจะออกไปเองไม่ต้องมารับไงล่ะ” จิวพูดกับเพื่อนแบบงอน ๆ เขาบอกว่าเขาจะไปเอง ไม่ต้องมารับเดี๋ยวพวกไอ้โตก็ล้ออีกว่าเขาเป็นเพื่อนแหง่ เขาไม่ชอบ
“เอ๊า ไม่ได้มารับ มาตามเห็นช้า อยากไปก็ไปดิต่างคนต่างไป แค่ต้องเดินทางเดียวกัน เท่านั้นเอง”เถียงเพื่อนข้าง ๆ คู ๆ ก็ตั้งใจมารับนั่นแหละ แต่เจ้าตัวเล็กนี่อยากทำตัวแมน ๆ เดินไปจุดนัดพบเอง ไม่ยอมซ้อนจักรยานเขา กลัวเพื่อนล้อ เพราะสองคนตัวติดกันตลอด พวกมันไม่กล้าล้อต่อหน้าเขา ชอบไปแขวะไอ้เปี๊ยกนี่ลับหลังเท่านั้น
“จะไปใส่เบ็ดน่ะครับพี่จีน ปลาชุมเชียว เมื่อวานมีคนเอาไปให้แม่ที่บ้าน ยังทำต้มยำมาให้ย่าลองชิมอยู่เลย” พูดแล้วหันไปหาย่าที่นั่งยิ้มอยู่
“เออ อร่อยใช้ได้เลยเจ้าเอ ฝากบอกแม่อ้อยด้วยว่า ขอบใจมากที่มีน้ำใจ” อาทนั่งฟังบทสนทาต่าง ๆ ที่มีแต่น้ำใจความเอื้ออาทร บางครั้งมันอาจจะไม่ยากที่เขาจะอยู่ที่นี่
“จีนพี่อยากลองไปดูบ้าง ว่าใส่เบ็ดยังไง” อาทหันไปพูดกับจีนที่หันมาฟังทำหน้าตาลังเล
“เอาซิครับพี่ ผมพาไป สนุกนะ” เอรีบพูด และอาสา
“เอาอย่างงั้นก็ได้ ย่าเดี๋ยวพวกจีนมานะ เดี๋ยววันนี้จีนเข้าครัวเองนะครับ” หอมแก้มย่าฟอดใหญ่ก่อนจะหยิบกระเป๋าตัวเองจากคนร่างใหญ่ แต่ก็ถูกดึงไว้ไปถือเอง
“เออ ๆ เฮอะ ๆๆๆ สงสัยย่าจะไม่ได้อุ้มหลานซักคน” คำพูดย่าทำให้คนไม่เข้าใจงง ๆ แต่อาทกับจีนเข้าใจว่าผู้ใหญ่ย่อมดูออกว่าอะไรเป็นอะไร
พอจีนและอาทเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ทะมัดทะแมง เดินไปก็คุยกันจนสนิทสนม เอเอาจักรยานจอดไว้ที่นี่ และมัวแต่คุยกับอาทจนลืมได้ตัวเล็กที่เดินหน้ามุ่ยรั้งท้าย มัวแต่ขี้โม้ จนลืมมาช่วยถือกระป๋องเหยื่อที่จิวหิ้วอยู่ พอหันกลับไปเห็นหน้าบูด ๆ นั่นก็รู้ตัว รีบเดินรอให้คนตัวเล็กตามให้ทัน ปล่อยให้อาทกับจีนเดินนำ ชื่นชมธรรมชาติกันไปก่อน
“ม่ะ ช่วยถือ” ยื่นมือไปจะรับกระป๋องเหยื่อ แต่คนตัวเล็กรีบเหวี่ยงหนีไปอีกทาง พร้อมกับทำปากแทบจะชิดจมูกอยู่แล้ว งอน ดูง่าย ๆ แล้วก็บอกไม่ให้เขามารับ
“ไม่หนักเหรอ .....ไม่ช่วยก็ดะ ไปคุยกับพี่อาทพี่จีนต่อดีว่า” ทำท่าจะดินจากไป แต่ก็ถูกรั้งชายเสิ้อยืดสีดำไว้ก่อน
“ให้ถือก็ได้ แต่เอให้จิว เสียบเหยื่อด้วยนะ” เอหรี่ตามองคนที่เอาการถือเหยื่อมาเป็นข้อต่อรองได้ การเสียบเหยื่อที่ครั้งแรก ๆ เป็นไส้เดือนตัวเป็น ๆ ที่ไอ้เปี๊ยกนี่เคยบอกว่าบาปและพูดว่าจะไม่มาใส่เบ็ดด้วยอีกถ้าเป็นไส้เดือน จำต้องเปลี่ยนเป็นปราร้าปลาหมอตัวเล็ก ๆ ถึงยอมมาด้วยอีก แล้วมีครั้งนึงที่เสียบแล้วเบ็ดเกี่ยวนิ้วจนแหกปากร้องไม่หยุด จากนั้นเขาก็ไม่ใส่เสียบเหยื่ออีกทั้งที่เจ้าตัวเร้าหรือตลอดว่าอยากเสียบ
“แล้วไม่กลัวมันเกี่ยวนิ้วหรือไง” ถอนหายใจก่อนถามออกไป
“มันไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นแค่ตกใจ แต่ถ้าเกี่ยวอีกจิวไม่ร้องก็ได้สัญญา” เอส่ายหัวที่เพื่อนเขาคิด เกี่ยวแล้วจะไม่ร้อง แล้วมันไม่เจ็บหรือไง
เดินตามคันนาที่เป็นทางเดินกั้นแบ่งเขตนา มีต้นข้าวที่กำลังออกช่ออ่อน ๆ สียังเขียวขจีมองไปเหมือนสนามหญ้านุ่มน่านอนกลิ้งไปมานัก อาทเดินมองดูสองข้างทาง จนจีนกลัวคนที่มัวแต่มองข้างทางไม่มองทางจะตกคูคันนาที่เดินได้แค่เรียงตัวเท่านั้น
“พี่อาทดูทางด้วยซิครับ” ดีนะที่พ้นหน้าฝนแล้วไม่งั้นได้ลื่นตกน้ำที่มีอยู่ในผืนนาแน่ ๆ คนที่ถูกตำหนิ หันไปยิ้มให้ก่อนจะหันมองทางเดินตามเด็กหนุ่มทั้ง 2 ไปจนถึงที่เป็นเนินสูงแต่มีบริเวณกว้างพอจะวางของ และนั่งพักได้ เอวางประป๋องเหยื่อ และ เบ็ดที่ทำด้วยไม้ไผ่เหลาเป็นซี่เล็ก ยาวประมาณ 2 ไม้บรรทัดครึ่ง ปลดตะขอเบ็ดออกจากเชือกล็อคที่ทำไว้ตรงกลางลำ หยิบปลาร้าตัวเล็กที่ส่งกลิ่นจนอาทต้องปิดจมูก ทำเอาจีนและจิวหัวเราะ
“อะไรน่ะจีนทำไมมันเหม็นอย่างนี้”พูดแล้วทำจมูกย่น
“เหยื่อน่ะครับพี่อาท แต่ก่อนจะเป็นไส้เดือน แต่มีคนใจบุญ จนผมต้องเปลี่ยนเหยื่อเป็นเหยื่อไร้ชีวิตนี่น่ะครับ มันเป็นปลาร้าน่ะครับ พี่อาทคงไม่เคยเห็น” รู้ว่าเหม็นแต่ยังอดชะโงกดูไม่ได้เมื่อเอ เอนกระป๋องให้ดู พยักหน้ารับรู้ พร้อมกับเดินไปหยิบเบ็ดขึ้นมาดู
“ลองทำไหมพี่ เนี่ยจิวก็จะเสียบเหยื่อเหมือนกัน” จิวรีบบอก แล้วถือโอกาสนั่งลงปลดเบ็ดแล้วหยิบเหยื่อมาเกาะตะขอ
“ใครให้ทำ...ไม่กลัวรึไง” เพื่อนตัวโตกว่ารีบพูดเจ้าคนเนียน ๆ
“ฮึ ก็บอกไว้แล้วนะ”เถียงทันทีแล้วทำหน้ามุ่ยอีกรอบที่โดนเพื่อนดุ ต่อหน้าพี่ชายทั้งสอง
“ตามใจ อย่ามาร้องนะ” พูดแล้วเอาคันเบ็ดชี้หน้าไอ้เปี๊ยก แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มรับอย่างทะเล้น อาทมองทั้งคู่แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เขาก็ลองบ้างโดยมีจีนปลดเบ็ดให้ ถึงกลิ่นจะเหม็นไปบ้างแต่ก็รู้สึกสนุกเหมือนกัน เสียบเสร็จก็ล้างมือ เบ็ดมีทั้งหมด 20 คัน จีนแบ่งเบ็ดจากเอมา 10 คัน แล้วพาอาทเดินเลาะคันคูแยกจากเด็กหนุ่มทั้งสอง เพื่อไปหาที่ปักเบ็ด โดยเลือกที่เป็นน้ำนิ่ง ๆ ข้าง ๆ คันนานั่นแหละ อาทมองปลาที่วิ่งในป่าข้าวเขียวนั่นอย่างตื่นตาน้ำทีไม่ลึกมาประมาณหัวเข่าได้ถ้าลงไป คนตัวใหญ่ขอปักบ้าง โดยก้มลงเอาส่วนแหลมของเบ็ดที่เหลาไว้ ตั้งหน้าเสียบที่ข้าง ๆ คันนาเหมือนที่เห็นจีนทำ แต่คงก้มมากเกินจนรู้สึกถึงการเอนตัวที่เสียศูนย์ ร่างใหญ่ล้มคะมำลงอย่างไม่เป็นท่า ตัวเปียกและเปื้อนโคลนดิน ตอนแรกจีนก็ตกใจว่าจะโดนเบ็ดเกียวเอาแต่คนร่างใหญ่ตกใจเหวี่ยงคันเบ็ดไปซะไกล
“เป็นยังไงบ้างพี่อาท ใส่เบ็ดเขาไม่ลงไปจับปลาอย่างนั้นอย่างนั้นนะพี่ มันจะมากินเหยื่อและติดเบ็ดเราเอง” จีนพูดอย่างล้อเลียนคนที่ยังไม่ขึ้นจากท้องนา
“แซวใช่ไหม นี่แน่ะ!!!” วักน้ำที่อยู่ตรงหน้าใส่คนตัวเล็กที่ยืนแซวและหัวเราะเขา จนต้องวิ่งหนีไปอีกทาง อาทรีบปืนขึ้นข้างบนและสลัดโคลนออกจากเท้า รู้สึกคันยิบ ๆ ขึ้นมาแต่ไม่มาก
“จีนมาดูนี่สิ” ชะโงกหน้าลงไปทำเป็นมองตรงที่ตัวเองตกลงไป จนคนตัวเล็กเดินมาใกล้ ถือจังหวะนั้นเอาตัวเปียกๆ ของตัวเองกอดคนตัวเล็กที่หลงกล
“พี่อาทเปียกหมดแล้ว ฮะฮ่า ๆๆๆๆ” หัวเราะสนุกสนาน แต่ก็ต้องหยุดเล่นแล้วปักเบ็ดให้เสร็จเพราะเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินกลับมาที่เดิมแล้ว
ทุกคนกลับไปที่บ้าน และกินข้าวเย็นด้วยกันด้วยฝีมือจีนกับจิว มีคนที่กำลังลำบากอยูตอนนี้ อาทรู้สึกคันยิบ ๆ ตรงขาและแขนที่ถูกโคลน ต้องเกาและลูบอยู่บ่อย ๆ จนจีนสังเกตเห็น
“พี่อาทเป็นอะไรครับ” ถามคนที่กำลังนั่งที่เก้าอี้หวายดูทีวีอยู่หลังจากินข้าวเสร็จ หลังจากพาย่าไปนอนในห้องแล้ว จิวก็เดินออกไปส่งเอหน้าบ้านและยืนคุยหรือเถียงกันอยู่หน้าบ้านก็ไม่รู้ ก็พึ่งจะเคยเห็นน้องเขาอ้อนคนอื่นนอกจากเขากับย่าก็คราวนี้แหละ ส่วนเรื่องเบ็ดเอบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้แต่เช้ามืดจะออกไปดูเอง
“พี่คันน่ะ” จีนก้มลงดูตรงที่บอกว่าคัน เห็นเป็นผื่นเล็ก ๆ ขึ้นมา ก็บอกให้อาบน้ำตั้งแต่มา ก็ไปล้างขาเฉย ๆ บอกว่ามืด ๆ ค่อยอาบ เพราะเดินมาก็ตัวแห้งแล้ว อดสมน้ำหน้าคนรั้นไม่ได้ รีบไล่ให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะได้อาบน้ำ ระหว่างเดินเข้าห้องน้ำร่างสูงก็คิดอะไรออก
“จีนพี่รู้แล้วล่ะ ว่าเราจะทำอะไรดี”พูดแล้วยิ้มเปิดประตูห้องน้ำออก ปล่อยให้คนที่ยื่นของใช้ให้ทำหน้างง ๆ ว่าจะทำอะไร ทำไมคิดออกเร็วจังว่าจะทำอะไรกัน แต่ก็ดีจะได้มีเวลาเตรียมตัวนาน ๆ จะได้รู้ว่าดีหรือไม่ดี
“พี่อาทว่าจะทำอะไรน่ะครับ ในระยะ 6 เดือน” ถามออกไปอย่างสงสัย
“เปล่า พี่ว่าที่เราจะทำกันวันนี้น่ะ”พูดแล้วฉุดแขนคนตัวเล็กปลิวเข้าห้องน้ำไปด้วย
“ไอ้พี่อาทบ้า ลามก น้องกับย่าอยู่นะ” หน้าแดงเห่อขึ้นมาไม่คิดว่าหน้าสิ่วหน้าขวานยังมากวนแบบลามกอยู่ได้
“อยู่ ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้นิครับ”พูดแล้วก็ไม่ได้ฟังเสียงทัดทานของคนขี้อาย แค่เก็บเสียงกว่าเก่าแค่นั้น แต่ก็ยังมีคนได้ยินยืนหน้าแดงอยู่หน้าห้องน้ำ ...แค่ปวดท้องฉี่ เป็นอันต้องเก็บไว้ก่อน ก่อนจะวิ่งเข้าห้องไป ทำไมได้ยินแล้วต้องไปคิดถึงเพือนตัวใหญ่ด้วยนะ
บ้านแบ่งเป็นสามห้องเมื่อก่อนแม่กับพ่อห้องนึง ย่าห้องนึง และเขากับจิวนอนด้วยกัน แต่ตอนนี้ย่าบอกให้เขาแยกมานอนห้องพ่อกับแม่ คืนนั้นกว่าจะได้นอนทั้งคู่ก็คุยกันจนดึกดื่น ..............
.......................... อาทพอจะรู้แล้วจริง ๆ ว่าเขาจะทำอะไรให้ทัน 6 เดือน และจะอยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ แต่เขาต้องมีผู้ช่วย.........คิดก่อนจะหลับตาลง หันตัวไปกอดคนตัวเล็กที่หลับไปก่อน ยังรู้สึกคันอยู่แต่ก็ถูกป้ายคารามายด์ซะเต็มตัวไปหมด มันไม่ได้ลำบากอย่างที่พ่อบอกซะหน่อยหรือว่ามันแค่เริ่มต้น...................
ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลัง น้องจีนกับพี่อาทเน้อ