พูดจบก็กระตุกสายบังเหียนม้าตน ควบห้อเต็มฝีเท้าจากไป ทิ้งฝุ่นผงตลบอบอวลให้คนที่ยึดคอม้าไว้แน่นสำลักโคลกๆ
“ไอ้บ้า”
ถึงจะนึกเคียดแค้นคนที่ควบม้าจากไป แต่ตอนนี้จิตใจกลับพะว้าพะวงห่วงตัวเองมากกว่า พอขาดคนนำ ร่างเล็กก็เหมือนจะหยิบจับอะไรไม่ถูก ที่เรียนรู้มาก่อนหน้านี้ก็คืนครูไปหมดแล้ว เอาละสิ จะบังคับเจ้าม้านี่ยังไงให้มันเดินกลับไปคอกม้าได้ละเนี่ย
ก้องภพนึกทบทวนสิ่งที่พอจะจำได้ลางๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
ไม่ง้อก็ได้ ฉันน่ะใคร รู้ไว้เถอะเจ้าบ้า กลับถึงบ้านเมื่อไรละ น่าดู!
“กระทุ้งที่ข้างๆตัวม้า มันก็จะเดินแล้วใช่มั้ย”
ก้องภพพึมพำทบทวนความจำ และทำตามนั้น แต่ผลที่ได้คือ แม่ม้าเพียงยืนขยับแข้งขยับขาร้องฮี้ๆ อยู่กับที่ ไม่ยอมเดินไปตามที่เขาสั่ง
“ไปสิคุณม้า เดินไปเถอะนะ ถึงบ้านเมื่อไรจะขนหญ้าขนฟางให้กินจนพุ่งกางเลย เดินเถอะนะ” ก้องภพพยายามกระทุ้งสีข้างแม่ม้าให้เดิน พลางพูดเสียงอ่อนเสียงหวานกล่อมไปด้วย
แต่ม้าก็คือม้า มันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องถึงได้แต่ยืนนิ่งเฉย รอฟังคำสั่งตามที่มันเคยถูกฝึกฝนมา เมื่อคำสั่งไม่ถูกต้องมันจึงยืนเฉยรออยู่อย่างนั้น จนคนขี่เลิกพยายามด้วยอ่อนอกอ่อนใจยกมือยอมแพ้
“ขี่ไม่เป็น เดินไปก็ได้วะ”
จำไว้เลยนะไอ้บ้าเอ๊ย! ทำฉันแสบนักนะแก ก้องภพคิดถึงภาคภูมิอย่างเคืองๆ
ร่างเล็กจึงยึดเกาะคอม้าไว้แน่นแล้วเอี่ยวตัววาดขาข้างหนึ่งอ้อมหลังม้าเพื่อโยนตัวสู่พื้น แต่ข้อเท้าข้างที่พยุงตัวเองไว้เกิดอาการเสียวแปลบ ทำให้เสียการทรงตัว ตกจากหลังม้ากระแทกพื้นดัง ตุ๊บ!
“โอ๊ย!”
เท้าข้างที่ยังค้างอยู่ในโกลนถูกแรงกระชากก่อนจะตกลงพื้น ทำให้ก้องภพรู้สึกเจ็บหนึบขึ้นมาทันที ดีที่หัวไม่กระแทกพื้น เพราะก้นเล็กรับเคราะห์ไปแทน หลังจากสำรวจความเสียหายของร่างกายตัวเองแล้วไม่เป็นอะไรมาก แค่เจ็บก้นกับเจ็บเท้า ก็พอจะลากสังขารกลับเองได้ จึงฉวยคว้าสายบังเหียนเดินกะเผลกๆจูงม้ากลับคอกอย่างทุลักทุเล
แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเจ็บ จนต้องหยุดทรุดตัวนั่งลงกับพื้นหญ้าเขียวข้างทาง พลางถลกชายกางเกงขึ้นดูบริเวณข้อเท้า ที่ตอนนี้สำแดงฤทธิ์เดชบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
พอเห็นสภาพขาตนเองก็ให้รู้สึกถอดใจขึ้นมาดื้อๆ ร่างเล็กจึงเอนตัวไปด้านหลังใช้แขนยันพื้นค้ำร่างตัวเองไว้ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าโปร่งสีครามแล้วระบายลมหายใจยาว
นั่งรออยู่ตรงนี้เดี๋ยวก็คงมีคนงานผ่านมาบ้างหรอกน่า ก้องภพนึกปลอบใจตัวเอง ทั้งที่ตอนนี้รู้สึกเจ็บข้อเท้าอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่สามารถฝืนลากเท้าตัวเองไปต่อได้ เมื่อคะเนถึงระยะทางที่ยังห่างไกลกว่าจะกลับถึงคอกม้า
“เฮ้อ…………….” ร่างเล็กล้มตัวลงนอนกับพื้นหญ้าเมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่มีใครผ่านมาสักคน ศีรษะทุยเหลียวมองแม่ม้าที่ยืนเล็มหญ้าอ่อนอยู่ใกล้ๆก็ยิ่งรู้สึกตอกย้ำความไม่เอาไหนของตน ตอนนี้เขาทั้งหิวทั้งเจ็บ จะต้องให้คลานกลับไปมั้ยเนี่ย ถ้าเย็นแล้วยังไม่มีใครผ่านมา เจ้าของร่างเล็กคิดอย่างฉุนๆ พลางเด็ดดอกหญ้าขึ้นมาเหน็บไว้ที่ริมฝีปาก
“กลับไปได้จะชกให้คว่ำเลยแก”
นึกคาดโทษอีกฝ่ายไป หูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับมาแต่ไกล ทำให้ใบหน้านวลที่เหม่อมองท้องฟ้าไร้เมฆหันไปมอง ก็ไอ้ม้าตัวเดิมที่มาด้วยกันไง คนตัวเล็กขยับตัวขึ้นนั่งมองอีกฝ่ายเต็มๆตา พอเข้ามาใกล้คนควบม้าก็ชะลอความเร็วเดินย่ำเข้ามาหา ภาคภูมิเห็นคนตัวผอมทำหน้ายุ่ง ถึงไม่อยากยุ่งแต่ลงไปนั่งแปะแบบนั้น มันน่าสงสัย
“เป็นอะไรน่ะ”
“เปล่า”
“…………” ร่างสูงหรี่ตามองคนที่นั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด คนเคยขี่ม้ามาก่อนอย่างเขา เห็นสภาพแบบนั้นก็มีอยู่แค่กรณีเดียวละ ตกม้า
แต่ถามไปก็คงไม่ได้เรื่องในเมื่ออีกฝ่ายปิดปากเงียบ จึงโหนตัวลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล้ว จนคนที่นั่งเงียบเกิดความรู้สึกริษยาขึ้นในใจ ถ้ารู้ว่าเขาตกม้าเป็นได้อับอายขายขี้หน้าเจ้าหมอนี่แน่ๆ ดีไม่ดีอาจถูกหัวเราะเยาะแถมมาด้วยอีกต่างหาก
“ไหนดูสิ” ร่างสูงทรุดตัวนั่งข้างๆ พลางเอื้อมมือใหญ่ลากจับไปตามเนื้อตามตัวร่างผอมบางอย่างรวดเร็ว เหมือนพยายามสำรวจหาอะไรบางอย่าง จนอีกฝ่ายห้ามไม่ทัน
“อู๊ย!..........”
ร่างบางสะดุ้งร้องครางเมื่อถูกมือใหญ่กดหนักๆบริเวณข้อเท้า ทำให้ภาคภูมิรีบถลกชายกางเกงเปิดดู ก็พบอาการบวมแดงจนน่าตกใจ ตกม้าจริงๆด้วย
“นายตกม้าใช่มั้ย” เสียงถามรวดเร็วและถูกต้องทำให้ก้องภพเม้นริมฝีปากแน่น ตอนนี้แค่ฝืนทรงตัวนั่งได้ก็แย่แล้ว
“ถูกสลัดตก?” ร่างสูงถามต่อให้แน่ใจในสิ่งที่เห็น
น้ำเสียงถามธรรมดาไม่แฝงร่องรอยการเสียดสี ทำให้ก้องภพเหลือบมองหน้าอีกฝ่าย ก็พบใบหน้าขาวคมคายก้มดูข้อเท้าเขาอย่างพินิจพิจารณามากกว่าการคิดซ้ำเติม จึงรู้สึกเบาใจแล้วส่ายหน้าปฏิเสธอีกฝ่ายแต่โดยดี
พักรบไว้ก่อนดีกว่า
“ก็ทำยังไงม้ามันก็ไม่ยอมเดิน เลยคิดจะเดินกลับไป พอจะลงจากหลังม้าเลยผลัดตกลงมาน่ะ” ก้องภพบอกเล่าด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
“เฮ้อ……….ฉันเพิ่งจะสอนนายไปไม่ถึงชั่วโมงเองนะ ไงลืมซะแล้วละ”
น้ำเสียงติดจะรำคาญนิดๆ ทำให้ก้องภพหน้าเสีย
“ก็คนมันไม่เคยขี่มาก่อนนี่! ครั้งแรกจะให้ฉันขี่ควบตะบึงตะบอนอย่างนายเลยรึไง ได้คอหักตายกันพอดี” ก้องภพพูดแดกดันร่างสูง
“หึ” ไอ้เด็กนี่มันรู้จักสำนึกอะไรบ้างมั้ย เจ็บจะตายอยู่แล้วยังจะปากดีอีก ทำไมเขาจะไม่รู้เวลาตกม้าแล้วมันเจ็บแค่ไหน เวลาฝึกขี่วันแรกๆมันจะรู้สึกยังไง ปากเก่งๆอย่างนี้เดี๋ยวตกกลางคืนได้ร้องครางเป็นลูกหมาแน่
“ฉันจะพยุงนายขึ้นม้านะ จะได้ไปหายาทาที่บ้าน” ภาคภูมิคว้าท่อนแขนเล็กขึ้นเกี่ยวลำคอตนเองไว้ แล้วรวบเอวบางพยุงลุกขึ้น
นี่จะให้เขาขี่ม้ากลับอีกเหรอ ร่างเล็กมองแม่ม้าตาปริบๆ เขาเจ็บร้าวไปทั้งตัวจนไม่คิดอยากขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าแล้ว เอาไงดีละ
ถึงจะอายแต่ก็ต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่า เขาขี่ม้าไม่ไหวแล้ว และก็ไม่อยากเสี่ยงตกม้าเป็นรอบที่สองด้วย มันเจ็บใช่หยอกเสียเมื่อไรละ
“ผมขอรอรถมารับที่นี่ได้มั้ย มันขี่ไปไม่ไหวแล้ว” พูดไปก็ก้มหน้างุดๆ เตรียมรับการตะคอกของอีกฝ่าย แต่กลับไม่มี มีเพียงน้ำเสียงราบเรียบบอกกล่าวกลับมา
“มันก็ได้นะ แต่ถ้าไม่มีรถว่าง ก็คงต้องรอนานแน่ๆ แล้วมันจะเจ็บหนักเข้าไปใหญ่ เอาเถอะ ไปด้วยกันก็คงพอไหวละ” ร่างสูงดันอีกฝ่ายออกเดินไม่รอให้ก้องภพได้ท้วง
ภาคภูมิเหลือบมองร่างเล็กในวงแขนทำหน้านิ้วด้วยความเจ็บ ก็ให้นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย เขาสะเพร่าที่ปล่อยให้คนเพิ่งขี่ม้าอยู่คนเดียว เพราะไปบ้าจี้โมโหตามอีกฝ่ายนั้นละ
ระหว่างที่ภาคภูมิคอยประคอง ระวังไม่ให้คนตัวเล็กต้องเจ็บไปมากกว่าเดิม สายตาหวาดระแวงของอีกฝ่ายก็คอยเหลือบแลมายังเขาอย่างไม่คอยจะไว้ใจเหมือนกัน
เฮ้อ..........ให้จริงสิน่า......... โตๆเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กันแล้ว ถึงเวลาก็ต้องเอาเหตุผลนำหน้าอารมณ์ แค่เหม็นขี้หน้าไอ้เด็กไม่มีสัมมาคารวะแค่นี้ ไม่ถึงกับอยากจะฆ่าหมกป่าหรอกน่า………. ภาคภูมิพาร่างเล็กไปยังม้าของตน แล้วดันตัวอีกฝ่ายขึ้นไปนั่งคร่อมบนหลังม้า ก่อนจะโหนตัวขึ้นนั่งซ้อนท้าย แล้วกระตุกสายบังเหียนให้ม้าเดินเข้าไปใกล้ม้าของก้องภพ มือใหญ่ฉวยคว้าสายบังเหียนแม่ม้าไว้มั่น จากนั้นก็กระทุ้งสีข้างให้ม้าเดินเหยาะย่างตามกันไปเรื่อยๆ
“……………….” เจ็บ ร่างเล็กทำหน้านิ่วเมื่อขึ้นมาอยู่บนหลังม้า เขาอยากจะลงไปนอนบนพื้นหญ้าข้างทางให้สมใจอยากจริงๆ ก็มันรู้สึกเจ็บร้าวไปตลอดแนวสันหลัง จนจะทรงตัวตรงไม่ไหวแล้ว
อยู่ๆ มือใหญ่ก็รั้งร่างคนข้างหน้า ให้เอนตัวพิงกับแผงอกตนเอง พร้อมทั้งยังประคองกันอีกฝ่ายตกไว้อย่างนั้น โดยไม่เอ่ยอะไรออกมา สายตาคมกริบยังคงมองไปข้างหน้าไม่ก้มมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนว่าจะมีสีหน้าอย่างไรกับการกระทำของตน
ถึงจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ความเจ็บก็ทำให้ก้องภพยอมเอนตัวพิงร่างสูงโดยดี ไม่มีการยักท่าอะไรอีก ด้วยเจ็บจนหยิ่งไม่ไหวนั้นละ อีกอย่างก้องภพก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้ไปขัดหูอีกฝ่ายเข้า ดีไม่ดีอาจถูกผลักตกจากหลังม้าลงไปกองที่พื้นเป็นรอบสอง ข้อหาหมันไส้ ตอนนี้สงบเสงี่ยมเจียมตัวรักษาร่างกายให้ครบ 32 จนกว่าจะถึงบ้านเป็นดีที่สุด ฝากไว้ก่อนเถอะเจ้าบ้า
เพราะฉะนั้นระหว่างการเดินทางกลับบ้านจึงไม่มีใครคิดจะเอ่ยปากพูดคุยอะไรออกมา ต่างคนต่างสงบปากสงบคำจมอยู่กับความคิดของตนจนกระทั้งถึงบ้านพักของภูผา
พอถึงบ้านร่างสูงก็ไม่ได้นิ่งดูดายอย่างที่ก้องภพคิด ภาคภูมิสั่งให้คนงานหารถนำก้องภพไปสถานีอนามัยใกล้บ้านทันทีโดยที่ตัวเองนั่งไปด้วย
พอถึงมือหมอร่างเล็กก็รู้สึกโล่งใจ หมดกังวล เมื่อหมออธิบายว่า เขาแค่ข้อเท้าเคล็ด ทายาพันผ้าไว้สองสามวันก็จะดีขึ้น ก่อนกลับหมอเตือนให้เขางดการเคลื่อนไหวซักพักพร้อมทั้งให้ยาทายากินอีกนิดหน่อย
และเพราะวนัสไม่ได้ให้กุญแจบ้านไว้ ก้องภพจึงต้องกลับมานั่งๆนอนๆที่บ้านของภูผา โดยมีภาคภูมิคอยดูๆมองๆอยู่ห่างๆ
จะเพราะอะไรก็ไม่รู้ละ แต่เวลาเจ้าคนสำอางนั่นนั่งเงียบๆแบบนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย ก้องภพคิดเมื่อเหลือบมองร่างสูงขาวนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆใกล้เขา เหมือนจะอยู่เป็นเพื่อนกลายๆยังงั้นละ
ไม่ได้ขอร้องซะหน่อย
\\\\\\\\\\\\\\\\
วนัสและภูผากลับเข้ามาเมื่อเวลาเย็นแล้ว และเมื่อรู้ว่าเพื่อนบาดเจ็บถึงกับต้องไปหามดหาหมอ สีหน้าสีตาจึงไม่ใคร่ดีนัก ร่างโปร่งบางทรุดตัวนั่งข้างๆเพื่อน ที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกตัวยาวมีผ้าพันข้อเท้าไว้หนาแน่น
“อีก2-3วันก็จะกลับกรุงเทพฯแล้ว จะหายทันมั้ยก้อง” วนัสเอื้อมมือไปแตะข้อเท้าเพื่อนอย่างเป็นห่วง
“ทัน เชื่อดิ ไม่มีปัญหาหรอก สบายมาก” ก้องภพหัวเราะสบายใจเฉิบ ไม่อนาทรร้อนใจกับขาของตนให้เพื่อนต้องมากังวลกับความงี่เง่าของตัวเอง
“ภาคแกดูน้องเขายังไง ถึงตกม้าได้วะ” ร่างสูงยืนดูสองหนุ่มน้อยถามไถ่พูดคุยกัน แล้วจึงหันไปคาดคั้นเพื่อนสนิทด้วยสายตา เพราะตัวเองเป็นคนฝากฝั่งก้องภพให้ภาคภูมิดูแล แล้วมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เขาเองก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
ก้องภพหันมองร่างสูงใหญ่คาดคั้นเอาความกับเพื่อนก็นึกค่อนขอดคนต้นเหตุในใจ
หึ! ใครบอกว่าดูกันคุณภูผา เพื่อนคุณเขาทิ้งผมหายจ้อยไปเลยต่างหาก ถึงจะกลับมาช่วยอย่างเสียไม่ได้ตอนจบเรื่องก็เถอะ
ถึงจะนึกอย่างเจ็บใจ แต่ก้องภพก็ไม่คิดจะพูดออกไป ด้วยไม่อยากเป็นไอ้ลูกช่างฟ้องให้เจ้าคุณชายนั้นดูถูกเอา
“คุณหิน ผมไม่ระวังเองละครับ นี่ถ้าตกบ่อยๆก็คงจะขี่เก่งแน่ๆเลยใช่มั้ยละครับ” ตอนท้ายคนตัวเล็กหัวเราะอย่างติดตลกเหมือนไม่คิดจะเข็ดกับการขี่ม้า
ในเมื่อคนเจ็บไม่ติดใจเอาความกับใคร เจ้าของไร่จึงปล่อยเลยตามเลย พลางเอ่ยชวนคนเจ็บอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่พอลับตาเด็กหนุ่มทั้งสองคน ภูผาก็ดึงเจ้าเพื่อนตัวดีมาคุยทันที
“แกไปทำอะไรเขารึเปล่า”
“เปล่านะโว้ย เขาเองก็พูดว่าเขาไม่ระวังเลยตกม้า ฉันไม่ได้ใจดำขนาดถีบเด็กนั้นตกม้าหรอกน่ะ แม้ว่าอยากจะทำใจแทบขาดเพราะปากเสียๆของไอ้เด็กนั้น”
“จริง?” ภูผามองเข้าไปในดวงตาเพื่อนอย่างชั่งใจ
“ไอ้นี่ พูดอะไรให้มันเชื่อกันบ้างสิวะ”
“ก็เห็นแกไม่ค่อยจะกินเส้นกันน้องเขาเท่าไรนี่”
“…………..” ภาคภูมิเสหันหน้าหนีแทนคำตอบ
ภูผาใช้สายตาคมกริบจับจ้องมองปฏิกิริยาเพื่อนตนอย่างใช้ความคิดชั่วอึดใจ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาเบาๆ
“นายกำลังทำตัวแบบเด็กๆ”
“เด็กตรงไหนวะ ฉันอุตส่าห์พาไปหาหมอเองกับมือแล้วนะ จะเอาอะไรอีกวะ หรือแกจะให้ฉันไปกราบขอโทษเด็กนั้น แกถึงจะหายข้องใจ น้องก้องครับ พี่ขอโทษที่ดูแลน้องไม่ดีนะครับ เอายังงี้เหรอ”
ท้ายประโยคภาคภูมิทำดัดสุ่มเสียงล้อเลียน จนเพื่อนตัวโตอดหมันไส้ไม่ได้ อยากเตะมันซักป้าบสองป้าบ
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกไอ้ภาค แต่แกรู้มั้ยว่า เด็กมันชอบแกล้งคนที่ตัวเองชอบโดยไม่รู้ตัววะ”
“เฮ้ย!ไอ้บ้า” ภาคภูมิสะดุ้งโหยงกับคำพูดของเพื่อน แต่ก่อนจะได้อธิบายอะไรภูผาก็เดินเลี่ยงจากไป ไม่รอให้เพื่อนตามมาโวยวายใส่หูให้รำคาญ
TBC
วันนี้มาต่อนิดๆ พี่เค้าตัดตอนเเค่นี้อะ
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ
ได้ทำลิงค์นิยายทุกเรื่องของพี่สาเกไว้ที่หน้าเเรก reply เเรกนะคะ ไปอ่านกันนะ
Good Night!!!