สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑  (อ่าน 221849 ครั้ง)

ออฟไลน์ knightofbabylon

  • it's sorrow that feeds your lies!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2542
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-51
คุณอิ๊กพักผ่อนเยอะๆนะ ไม่ต้องรีบมา คนอ่านรออ่านได้  ไม่ได้หนีหายไปไหน :กอด1:

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
บทที่ ๒๐

ปุจฉา โบราณท่านว่ารู้หน้าไม่รู้ใจใช่จริงหรือ

ดอกพยอมหอมกรุ่นดอกสีขาว บานร่วงพราวเต็มพื้นเหมือนสวนสวรรค์ กลิ่นหอมไกลลอยละล่องถึงฝั่งนั้น ต้นเหมันต์พฤกษาบานในใจแสนงดงาม ดอกพยอมที่บานสะพรั่งอยู่เต็มบริเวณหลังโรงเรียนนั้นส่งกลิ่นหอมเย็นลอยมากับลม เปิดหน้าต่างรับลมที่หอบเอากลิ่นนี้มามันทำให้สดชื่นได้เหมือนกัน ยิ่งเวลาเรียนวิชาที่เราไม่ชอบหรือยาก ทำท่าสนใจแต่มองออกไปมองต้นพยอมที่อยู่ข้างๆอาคารเรียนมันช่างน่ามองกว่าการเรียนเสียนี่กระไร วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนจะเลื่อนเป็นปี ตอนเรียนชั้น ม ๕ ไม่ได้คิดอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องอนาคต สนุกไปวันๆ เวลาเรียนก็แอบทำนั่นทำนี่กันตลอดเวลา ทั้งเล่นไพ่ใต้โต๊ะ ดูหนังสือโป๊ เขียนด่าอาจารย์สอนฟิสิกส์ ลอกการบ้าน นินทาชาวบ้านด้วยการทำท่าจดในสมุดแต่เนื้อความคือการนินทาทั้งนั้น สรุปไม่มีเรื่องไหนจำเริญหูจำเริญตาสักเรื่อง แต่กระนั้นชีวิตช่วงนั้นเวลานั้นมันช่างมีความสุขเสียจริง ในแต่ละวันไม่ต้องคิดอะไรมากมายนัก พอเวลาไปเรียนก็เล่นอยู่แต่กับเพื่อนๆ เวลากลับบ้านมาก็รีบทำงานบ้านให้เสร็จ

สำหรับน้ำเองเริ่มที่จะเขียนบทความ ร่างโครงเรื่องเอาไว้เรื่อยๆ ความคิดในช่วงเวลานั้นมันช่างแล่นได้ดีจริงๆ เวลาเขียนคือเวลาก่อนนอนโดยมีบอทนั่งๆนอนๆอยู่ข้างๆไม่ห่างไปไหนไกล อ่านหนังสือเตรียมสอบบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนต่อที่รามฯ พอมีเวลาว่างค่อยไปลงเรียนวิธีเลี้ยงกล้วยไม้ คิดเอาไว้อย่างนั้นตั้งความฝันเอาไว้อย่างนั้น

"น้ำ วันเกิดน้ำปีนี้บอทไม่มีอะไรพิเศษให้น้ำนะ"

เหมือนตื่นจากฝัน นี่มันหน้าหนาวอีกแล้วหรือ รวดเร็วยิ่งนัก อีกไม่กี่วันน้ำก็จะมีอายุครบ ๑๗ ปี ลมหนาวที่พัดผ่านมาไม่ได้ทำให้ใจสั่นไหวไปได้เลย มีเพียงกายที่หนาวสั่นแต่กระนั้นก็มีร่างของคนรักยืนอยู่เบื้องหน้าพอให้ได้เบียดกายเข้าหาเมื่อรู้สึกหนาว

"น้ำไม่ได้อยากได้อะไรนี่บอท แค่บอทรักน้ำอย่างนี้ก็พอ"

"บอทรักน้ำอยู่แล้ว รักมาก"

บอทยื่นกำดอกกระดุมเงินกำใหญ่ให้น้ำ เนินดินตรงหัวนาของน้ำนั้นมีลานดอกกระดุมเงินขึ้นอยู่เต็มละลานตาไปหมด สีขาวอมเทาดอกกลมๆปูเหมือนพรมคลุมทั่วทั้งบริเวณ อากาศที่อบอวลไปด้วยความหนาวเย็น แดดที่อุ่นไม่ร้อนมากทำให้น้ำโผเข้ากอดร่างของบอท

"ขอบคุณนะบอท ขอบคุณที่รักน้ำมาตลอด น้ำก็รักบอทนะรักมาก"

ตื้นตันใจ ปลาบปลื้มยินดีเหลือเกิน ได้ยินกี่ครั้งได้ฟังกี่หนก็ไม่เคยเบื่อ ยิ่งได้ยินได้ฟังยิ่งสะสมเข้าไปไว้ในใจ ลมหนาวพัดมาปะทะร่างแต่ความหนาวนั้นมันเหมือนจะลามเลียอยู่แค่ร่างกายภายนอก มันเข้าไปไม่ถึงใจ ใจที่อุ่นไปด้วยไอแห่งรัก

เดือนธันวาคมลมหนาวพัดถาโถมโหมกระหน่ำ ความชื้นความชุ่มฉ่ำเหมือนเลือนหาย ลมแรงพัดไอน้ำคลุ้งกระจาย คลื่นซัดทรายขอบห้วยตลิ่งพัง กลางคืนเย็นหนาวเหน็บด้วยน้ำค้าง ตอนรุ่งสางเปียกแฉะชื้นที่พื้นนั่น มีสองร่างก่ายกอดเบียดเสียดกัน สิบเหมันต์ ร้อยคิมหันต์ ก็ไม่กลัว

"เรารักน้ำนะ รักมาก"

"น้ำก็รักบอทนะ รักมาก"

มกราฟ้าเปิดเมฆสดใส เป็นปุยใยโปร่งแสงแสนสำราญ ยิ่งมองฟ้านอนดูดาวกอดผสาน แสนเนิ่นนานนับดาวที่รายเรียง ดอกตะแบก ดอกจำปา ดอกโสน บานแย้มโผล่รับขวัญวันปีใหม่ รุ่งอรุณแสนงามเบิกฟ้าใส เริ่มปีใหม่ด้วยใจที่เบิกบาน

"น้ำรู้ไหม ว่ายิ่งเราโตขึ้น ความคิดบางอย่างก็เปลี่ยนไปนะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่เล็กจนโต คือความรักที่มีให้น้ำ ไม่รู้ว่าเราบอกน้ำไปกี่ครั้งแล้ว แต่อยากให้น้ำรู้ไว้นะ ว่าเรารักน้ำ น้ำคือดวงใจของเรา"

เดือนแห่งรักศฤงคารย่างเข้ามา กุมภาพ้นกุมภาพันรักผูกแน่น ผ่านร้อนฝนทนหนาวกี่สิบแล้ง ใจที่รักยังคงแกร่งไม่อ่อนตาม รักเจ้าเหลือรักเจ้าล้มเต็มดวงจิต ยิ่งพินิจยิ่งผูกพันเกี่ยวดวงกานต์ วันคืนพ้นเดือนล่วงเลยปีพ้นผ่าน ให้คืนวานถนอมรักไว้ดูแลกัน

"เย็นนี้ไปรวมตัวกันที่บ้านไอ้น้ำนะพวกมึง เตรียมเสื้อหนาวไปเยอะๆล่ะ กูได้ข่าวว่าที่ภูกระดึงหนาวมาก ๑๐ องศาได้มั๊ง"

เล็กประกาศบอกเพื่อนในห้องสำหรับคนที่จะไปเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน มีทั้งหมด ๑๒ คน ไปจ้างรถตู้ครูหมูจากโรงเรียนประถมที่อยู่บ้านเดียวกับเดือน ครูหมูคิดค่ารถสามพันบาทไปกลับและค้างหนึ่งคืน นับว่าเป็นค่าจ้างที่ไม่แพงเกินไปสำหรับเด็กมัธยมปลายที่หาเงินเองยังไม่เป็น เฉลี่ยค่าใช้จ่ายแล้วตกคนละประมาณ ๕๐๐ บาทรวมค่าเสบียงที่เตรียมกันไปด้วย

"กี๋โมงนะมึง"

ไก่ถามขึ้นเดินรวมกลุ่มกันออกมาจากโรงเรียน หลบแดดตามร่มเงาของต้นอโศกที่รายเรียงทอดเงายาวทาบไปตามพื้น

"รถออกตีสองมึง กูว่าคืนนี้กูจะมานอนบ้านได้น้ำเลย"

"เออดีเหมือนกัน กูว่านอนบ้านกูคงยาวว่ะมึง"

"กูว่าพวกเราไปรวมตัวกันตั้งแต่คืนนี้ดีกว่า จะได้ไม่มีใครพลาด ไปเล่นไพ่กัน"

เอ๋เสนอความคิด เพื่อนๆทุกคนก็เห็นด้วย สรุปไปรวมตัวกันที่บ้านน้ำตั้งแต่ตอนค่ำ เสร็จจากงานบ้านของแต่ละคนก็ทยอยกันไป เตรียมพร้อมกันอยู่หน้าบ้านของน้ำ

"โอ้โห อีเอ๋ ไปภูกระดึงนะมึงไม่ได้ไปไซบีเรีย อีนี่ดูมันแต่งตัว"

เล็กร้องออกมาเมื่อเห็นเอ๋ย่างกรายลงจากรถของไก่ ทั้งเสื้อกันหนาวสองสามตัวเอย ผ้าพันคอที่ออกจะโอเวอร์ไปหน่อย หมวกไหมพรมถุงมือรองเท้า กระเป๋าใบใหญ่ สีสันไม่ยอมแพ้ใครเลยจริงๆ

"แหมมึง ก็มีบ้างนานๆที เออ กล้องน่ะ เอาไปกี่อันยะ"

"ของกูอันนึง ของไอ้ติ๊กอันนึง"

"นี่อีฝน ลิปมันแกน่ะสีสวยได้แค่นี้เหรอ"

หันไปแว้ดใส่เพื่อน

"ทำไมยะ ใครจะไปเอาสีแปร๋นเหมือนแกล่ะ อีบ้าเดี๋ยวช้างก็ไล่เหยียบเอาพอดี"

จิกกัดกันอยู่ไม่มีใครยอมใคร พอเริ่มดึกบริเวณนั้นก็เงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใด เว้นแต่เสียงของลมที่ตีใบกล้วยอยู่ดังอื้ออึง ทุกคนนั่งสงบนิ่งเพราะบางคนก็หลับไปน้ำเอาผ้าห่มขี้งามาให้เพื่อนๆห่มกันหนาวกัน จุดกองไฟจี่ข้าวกัน คนที่ยังไม่ง่วงก็นั่งคุยกันอยู่เบาๆ

"รถมาแล้วมึง ลุกๆ"

ติ๊กร้องบอกเพื่อนๆให้ตื่นเพราะรถของครูหมูสาดไฟมาแต่ไกล พอตื่นกันก็เข้าไปทักทายครูหมู ส่วนแม่บุญช่วยลงมาส่งเด็กๆขึ้นรถ ตอนแรกก็คิดอยู่นานกว่าจะยอมอนุญาตให้ไปเพราะยังเด็กนักที่จะไปเที่ยวเตร่ห่างหูห่างตาแบบนั้น แต่น้ำเองบอกว่ารถของคนที่พาไปคือครูหมูซึ่งรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี แม่บุญช่วยกับแม่นิ่มถึงสบายใจ เด็กๆมาลาแม่บุญช่วยกันทุกคนแล้วค่อยขึ้นรถนั่งเบียดกันพอให้หายหนาวได้บ้าง

"นานไหมคะครูหมูกว่าจะไปถึงเมืองเลยน่ะ"

กาญจน์ยื่นหน้าไปถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากที่

"หกโมงเช้าน่าจะถึง"

"พอดีล่ะ จะได้แวะกินข้าวก่อนขึ้น เขาบอกทางขึ้นทรหดมากนะมึง"

กรุงเอ่ยมาจากหลังรถ

"ถ้างั้นกูว่าแวะซื้ออะไรตอดไปตามทางดีกว่าไหมมึง ถึงแล้วจะได้ขึ้นเลย จะได้ไม่เสียเวลา"

เดือนเสนอความคิดเพื่อนๆก็เห็นตาม สรุปซื้อไก่ย่างข้าวเหนียว ข้าวหลาม ขนมตามรายทางที่เขาขายกินกันอยู่บนรถ คุยกันไปตลอดทาง เอ๋เองเป็นคนสร้างสีสันให้บรรยากาศภายในรถไม่เงียบเหงา เสียงหัวเราะดังไปตลอดทาง ไปถึงภูกระดึงเกือบเจ็ดโมง แต่อากาศบริเวณนั้นยังหนาวเหน็บอยู่ ครูหมูบอกจะรออยู่ตรงที่จอดรถ อาจจะไปนอนในเมืองนัดแนะเวลากันเป็นที่เรียบร้อยก็ไปจ่ายค่าเข้าวนอุทยานภูกระดึง มองขึ้นไปบนทางขึ้นแทบจะถอดใจลาดชันสูงขึ้นจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนปีนขึ้นไปบนยอดของมันได้ แต่ด้วยความเป็นเด็กวัยรุ่น ไม่มีใครย่อท้อเลยต่างกระดี๊กระด๊ากันใหญ่ แต่มันก็เป็นอารมณ์นั้นอยู่แค่เพียงช่วงซำแรกๆ ซำหรือด่านถ้าเข้าใจไม่ผิด คือระยะทางที่ปีนขึ้นมาจนมาถึงที่พักเป็นลานเตี้ยๆ พอได้สักสามซำก็พากันลิ้นห้อยแล้ว แหงนมองทางขึ้นเบื้องหน้าแทบจะหงายหลัง สูงชันมาก มีผู้คนที่ปีนป่ายตามกันขึ้นไปมากหน้าหลายตาเหนื่อยก็กอดต้นไม้ที่เย็นยะเยือกเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้า ให้ความเย็นของต้นไม้มันถ่ายความสดชื่นให้ร่างกาย เป้ที่สะพายบนบ่าก็เริ่มที่จะหนัก เริ่มมีเสียงบ่นรายทางดังเล็ดลอดมา ยิ่งใกล้ถึงยอดยิ่งเหนื่อยเหงื่อไม่ออกแต่หิวน้ำ พอกินน้ำก็ปวดปัสสาวะแต่เดินไปเดินมาก็หายเพราะพอขึ้นสูงขึ้นเริ่มรู้สึกว่ามีเหงื่อออกมาตามร่างกาย ปีนไปบ่นไปจนถึงยอดเขา พอถึงยอดของภูกระดึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามันเหมือนหายไปเป็นปลิดทิ้ง ยอดภูเขาตัดปลายที่พอขึ้นไปเหยียบ มันเหมือนทุ่งกว้างๆดีๆนี่เอง แดดทอแสงแรงแต่เย็นสบาย ทุ่งหญ้าสีแดงๆส้มๆสะท้อนไอแดดระยับอยู่ฟากโน้น มองไปเห็นหุบเขาลดหลั่นเป็นชั้นๆสวยงามจับใจ

"โห มึงสวยมาก"

ทุอานออกมาเกือบพร้อมกันเพราะภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้ามันวิจิตรนักราวกับภาพวาดของจิตกรเอกก็ไม่ปาน แลไปฝั่งโน้นเห็นต้นไม้บ้านเรือนคนเป็นหย่อมเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม นี่เราอยู่สูงจากพื้นดินธรรมดามากขนาดนี้เชียวหรือ มองไปอีกฝั่งเป็นเทือกเขาเพชรบูรณ์ที่สีเขียวเข้มมืดครึ้มอยู่แซมอยู่ด้วยใบเมเปิ้ลสีเหลืองแดงให้เทือกเขานั้นมีเสน่ห์น่ามองยิ่งขึ้น คงจะได้เห็นใบไม้สีสวยก็คราวนี้เองเพราะเคยเห็นแต่ในหนังสือในห้องสมุด พอเดินตามกันไปจนถึงสถานที่ที่เขาอนุญาตให้กางเต้นท์เป็นที่พักก็ไปจัดแจงเช่าเต้นท์ ที่เขาเรียกว่าเต้นหมูมากาง จุได้ทั้งหมดแค่นอนเบียดๆกัน เอาของที่ไม่สำคัญมากเก็บไว้ในเต้นท์แล้วเดินตระเวนเที่ยวตามแผนที่ที่เจ้าหน้าที่ให้มา จากน้ำตกโผนพบ ไปน้ำตกเพ็ญพบ เดินหยอกล้อกันไปตามทางเดิน เป็นประสบการณ์ใหม่ที่จับใจจริงๆ

"แกใบเมเปิ้ล"

เสียงร้องของเพื่อนที่เดินนำหน้าดังขึ้น น่าจะเป็นกรุงหรือไก่ร้องทักใบไม้สีแดงออกน้ำตาล พอเห็นก็พากันถ่ายรูปกันใหญ่ ตื่นเต้นกรี๊ดกร๊าดกันอยู่ ต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่หนาแน่นยังเขียวขจีอยู่ ครูหมูบอกว่าถ้ามาเที่ยวตอนเดือนพฤศจิกายนจะมีความชื้นมากกว่านี้และมีตัวทากมาคอยเกาะดูดเลือดต้องคอยระวัง แต่ตอนนี้ความแห้งของหน้าแล้งเริ่มย่างกรายเข้ามา ตัวทากก็เหมือนจะหายไปกับความแห้งแล้งนั้นสิ้น น้ำตกก็มีปริมาณของน้ำน้อยลง เสียงน้ำตกกระทบหินก็แผ่วเบาแต่กระนั้นก็ยังเป็นสุข ธรรมชาติที่โดนนักท่องเที่ยวเชยชมจนบอบช้ำไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อทุกคนเลย แม้แต่หินที่มีแต่ตะไคร่น้ำเกาะเขียวๆดำๆมันก็งามนัก แม้แต่ทุ่งหญ้าที่ไม่มีแล้วซึ่งความเขียวขจีแต่มันสะท้อนแสงแดดได้งดงามชวนมอง เพราะอะไร เพราะเราเป็นสุขต่อให้อยู่ในก้นเหวกระนั้นเราก็ยังจะเป็นสุข เสพสิ่งแวดล้อมได้อย่างไม่ขัดเขินอึดอัดใจ แต่แม้หากเราเป็นทุกข์ นั่งอยู่บนเนินดินรายล้อมไปด้วยแมกไม้หลากสีส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย แต่เราจะมองไม่เห็นความงามของสิ่งนั้นเลย เช่นเดียวกัน ตอนเย็นตกลงกันว่าจะเดินไปดูพระอาทิตย์ตกดินแต่มันมืดเร็วมากจึงเปลี่ยนใจ เข้ามารวมตัวกันอยู่ในเต้นท์ เอ๋ตั้งใจจะไปอาบน้ำแต่พอได้สัมผัสกับน้ำที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมห้องไว้ให้สำหรับอาบน้ำก็ขยาดและไม่มีใครแตะน้ำอีกเลยสักคน ไก่กับติ๊กไปเช่าเตาอั้งโล่ใส่ถ่านแดงของเขามาผิงไฟจี่ข้าวเผาข้าวโพดกินกัน ในเต้นท์เอ๋ก็พกเทียนหอมขนาดใหญ่มาแท่งหนึ่งจุดเล่นไพ่กันในเต้นท์ ส่งเสียงดังแว่วออกไป เสียงหยอกล้อกันดังอยู่จนมืด

"น้ำๆ ออกไปดูดาวกัน"

บอทกระซิบบอกเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆหลับไปหมดแล้ว มีเพียงเล็กกับกรุงนั่งเฝ้าเตาอั้งโล่อยู่ด้านนอก

"อืม"

"สวยเนอะ ดาวมันดวงใหญ่ขึ้นใช่ป่ะน้ำ"

แหงนคอขึ้นมองเหนือหัว ม่านแพรดำปกคลุมไปทั่วบริเวณ เกล็ดอัญมณีพร่างพราวดารดาษอยู่ ดวงดาวที่เคยเห็นที่บ้าน แหงนมองมันที่นามันดวงใหญ่ขึ้นจริงๆอย่างที่บอทบอก ดาวดวงเดียวกันเพียงแต่ต่างสถานที่แต่ทำไมมันดวงใหญ่ได้มากขนาดนี้ สวยเหลือเกิน บอทกระชับกอดบ่าของน้ำดึงตัวให้เข้ามาหาบ่าของตน เสื้อกันหนาวสองตัวไม่อาจทานทนกับความหนาวเย็นบนยอดเขาได้ หนาวจนสั่น แต่ก็อุ่นในใจอย่างประหลาด ร่างที่ยืนเคียงกันบนลานกว้างของภูกระดึงกำลังคลอเคลียแหงนมองฟ้างามด้วยกัน อยากจะจับมือกันแบบนี้ไปตลอด ไม่ว่าวันข้างหน้ามันจะลำบากยากเข็ญสักเพียงไหน จะขอจับมือไว้ให้ตราบนานเท่านาน

ต้นมีนาอุษาสางเริ่มเร่าร้อน แดดที่อ่อนกลับแรงกล้าเมื่อจวนสาย บุญแห่พระเวสเวียนเข้ามากราย ฟังเทศน์ร่ายเล่าเรื่องพุทธรรม ก้อนข้าวตอกหว่านออกจากมือพระ ก้มศรีษะรับพรให้ถึงสม เกิด แก่ เจ็บ ตายเวียนว่ายในอารมณ์ ให้ธรรมข่มดับความร้อนในดวงใจ

"จะปิดเทอมอีกแล้วสินะ อีกแค่ปีเดียวเองนะน้ำ เราก็จะจบแล้ว อยากจบเร็วๆจังเลยเนอะ จะได้รีบเรียนให้จบ ออกมาหาเงินช่วยแม่"

บอทเอ่ยขึ้นเวลาเดิม สถานที่เดิมตอนเดินกลับบ้านในตอนเย็น ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแค่วันที่หมุนไปตามโลกเท่านั้นที่ไม่เหมือนเดิม

"อืม น้ำอยากจะไปอยู่กรุงเทพฯกับบอทจะตาย อยากแสดงความรักต่อบอทโดยไม่ต้องปิดบังใคร"

"เราอยู่นี่เราก็ไม่ได้ปิดใครนี่น้ำ"

"แต่พ่อแม่เรายังไม่รู้นี่"

"ใครบอก แม่เรารู้แล้ว เราบอกแม่ตั้งนานแล้ว"

"หา อะไรนะบอท บอกแม่นิ่มแล้วเหรอ"

ร้องออกมาทำหน้าตาตื่น แต่บอทกลับหัวเราะออกมาอย่างพอใจ

"บอกแล้ว ตั้งแต่ก่อนปีใหม่"

พูดออกมาหน้าตาเฉย เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร

"แล้วแม่นิ่ม"

"โหน้ำ แม่รู้ตั้งนานแล้ว แม่ถามก็เลยบอก"

"หา แม่นิ่มรู้ตั้งนานแล้ว"

หน้าซีดลงกว่าเดิมใจเต้นตึกตักเหงื่อผุดขึ้นตามหน้าผาก

"ฮ่าๆ ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยน้ำ"

"ไม่ตลกนะบอท แม่นิ่มว่าไง"

"ก็ไม่ว่าไง แม่บอกว่ารักกันให้ดูแลกันดีๆ จะทำไงได้เนอะ คนมันรักกันแล้วนี่ พ่อถาก็รู้นะ ฮ่าๆ เรานี่ตกใจแทบตาย กลัวว่าจะโดนเตะเอา แต่พ่อถาก็ไม่เห็นว่าไรนี่"

เม้มปากแน่นยืนฟังอยู่แต่สมองไม่ประมวลผลแล้ว นี่พ่อแม่รู้เรื่องตั้งนานแล้วเหรอ นี่เกิดอะไรขึ้นทำไมมีเราอยู่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง น้ำทำสีหน้าไม่ดีเลย ทั้งดีใจเสียใจ อายระคนปนเปกัน จนไม่รู้ว่าความรู้สึกอันไหนมันเด่นกว่ากัน

"ไม่ต้องห่วงหรอกน่าน้ำ แม่เราไม่ขัดขวาง พ่อถาไม่ว่า แม่บุญไม่ด่า เราจะกลัวอะไร"

"ฮึ ทำไมไม่บอกน้ำสักคำบอท"

แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเดินหนีไป บอทเองยิ้มร่าอยู่พึงใจยิ่งนึก

"โธ่น้ำ นะนะ อย่างอนนะ เรายังไม่ได้บอกน่ะ ไม่อยากให้น้ำคิดมาก"

"เห็นน้ำเป็นอะไรบอท เห็นน้ำเป็นลมเป็นแล้งเหรอ ไม่ได้สนใจความรู้สึกน้ำเลยเหรอ"

ขึ้นเสียงสายตาที่มองตำหนิอย่างรุนแรง

"ขอโทษน้า เราไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดน้ำนะ เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะๆค่อยจะบอก"

"เวลาไหน ตอนเราจบแล้วไปเรียนที่กรุงเทพฯน่ะเหรอ"

"ไม่ใช่อย่างนั้น โอ๊ย งอนเป็นผู้หญิงไปได้"

"บอท ไม่ขำนะ น้ำโกรธจริงๆนะ ไม่ต้องมาง้อด้วย"

เดินหนีไปแล้วบอทวิ่งไปดึงแขนไว้แน่น

"น้ำ ถ้าไม่เลิกงอน เรากอดน้ำจริงๆนะ กอดตรงนี้ล่ะ"

โผร่างเข้ามาอย่างที่พูด น้ำรีบผลักออกเพราะบริเวณนั้นมีชาวบ้านอยู่พอสมควร

"บ้าเหรอบอท อย่านะอายคน"

"งั้นก็อย่างอน ไม่หายเรากอดจริงๆนะ หอมด้วย"

"บ้า"

หน้าแดงก่ำแดงทั้งหน้าทั้งหู น้ำสูดหายใจเข้าปอดพยายามควบคุมอารมณ์ให้นิ่ง แต่บอทเองก็คอยแหย่อยู่ตลอดเวลา น้ำยิ่งหน้าแดงไปใหญ่

สงกรานต์ร้อนสาดน้ำใสให้ชื่นฉ่ำ สุขเหลือล้ำทั้งใจกายมีเขาข้าง เมษาพ้นแดดร้อนแรงเมษาผ่าน เทศกาลงานสงกรานต์ก็มาเยือน กิจส่วนใหญ่อยู่ที่นาอยู่ที่ไร่ ไม่ทุกข์ใจไม่เสาะแสวงหา สิ่งอำนวยเอื้อสะดวกให้กายา แค่มีเธอเป็นดวงตาชี้นำทาง ร้อนแรงเร้าแดดกล้าที่แผดเผา ใบไหม้เฉาหญ้าก็เหี่ยวสิ้นเรี่ยวล้า กลิ่นดินป่าหอมกรุ่นล้ำฉ่ำในใจดังกฤษณา ครั้นหลับตาลงมองเห็นเพียงดวงหน้า ตื่นลืมตาก็เห็นรอยยิ้มฉาย เช้ากลางวันมีเขาอยู่เคียงกาย สายเย็นค่ำแลงลงไม่หนีกัน อันคิมหันต์จะเอ่ยลาฟ้ามืดครึ้ม ทะมึนดำตั้งตระหง่านอยู่ทิศใต้ ลมพัดหวนเปลี่ยนทิศไปให้ร้าวกาย ไม่เสียดายเพราะปีหน้าฟ้าหวนคืน

วิสัชนา จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ใบหน้างามใจทรามมีถมไป ใบหน้าเลวใจงามมีทั่วไป


เขียนโดย eiky


ปล ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ แอบมาลงให้เพราะเมื่อคืนต้องไปทำงานอยู่ดี นั่งเฉยๆงานเสร็จเลยเขียนดู แนวการเขียนแปลกๆนะว่าไหม ผมว่ามันแปลก อิอิ คิดไม่ออกหัวไม่แล่น แต่เหมือนมันติด ต้องทำ ต้องเขียน เลยออกมาแบบทุลักทุเลแบบนี้ ทนอ่านหน่อยน้า :กอด1: :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2013 09:06:23 โดย eiky »

bbyuqin

  • บุคคลทั่วไป
พ่อแม่รู้กันแล้วจริงๆๆใช่มั้ย...

ไม่อยากให้มีอะไรมาแยกสองคนนี้เลยให้ตายเหอะ.... :กอด1:


ออฟไลน์ ณ ที่เดิม™

  • มากกว่าชีวิต...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
แอบตามอ่านไปเรื่อยๆ
ไม่ได้เม้นต์ :impress2:
+ 1 จัดไป
แล้วนั่งรอตอนต่อไปโลดขอรับ :a9:

ออฟไลน์ なおみ™

  • เดียวดาย...ในโลกกว้าง
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1892
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-6
คุณอิ๊กกี้แอบมาลงนะคะ ไม่ยอมพักเลย แต่ก็ขอบคุณมากๆ  :กอด1:

แหมตอนนี้มีเรื่อง "เซอร์ไพรส์" คนอ่านเล็กๆ น้อยๆ ด้วยนะคะ แต่แหมยิ่งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้แบบนี้แล้ว ยิ่งเดาสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ต้องแยกกันไม่ออกจริงๆ ค่ะ :laugh:

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนอ่านทวาทศมาสแล้วก็นิราศเดือนเลยนะคะ มีการบรรยายความรู้สึกของแต่ละช่วงเวลาในแต่ละเดือนที่ผันผ่านเป็นกลอน เข้าใจเขียนนะคะคุณอิ๊กกี้ น้องมิชอบค่ะ  :จุ๊บๆ: +1 ให้เลยค่ะ
 
***************************

มั๊ง คำนี้พยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ ถ้าต้องการให้เป็นเสียงโทตามกฎไตรยางศ์ต้องใส่รูปวรรณยุกต์โทนะคะ ต้องเขียนว่า มั้ง นะคะ
ห่างหูห่างตาคำนี้ไม่ได้เขียนสะกดผิดหรอกค่ะ แต่ไม่เคยได้ยินใครใช้มาก่อน เคยได้ยินแต่ ไกลหูไกลตา น่ะค่ะ
เต้นท์ เวลาออกเสียงคำนี้ระดับเสียงจะเป็นเสียงวรรณยุกต์ตรีนะคะ ไม่ใช่โท อีกอย่างคำนี้แม้จะถอดรูปเขียนภาษาไทยเป็นสระเอก็จริง แต่เวลาเราออกเสียงเราออกเสียงเป็นสระเอะ ดังนั้นเราจึงต้องใส่ไม้ไต่คู้กำกับเพื่อให้รู้ว่าออกเสียงสระเป็นเสียงสั้นนะคะ ดังนั้นจึงต้องเขียนว่า เต็นท์ นะคะ
พุทธรรม คำนี้ตก ไปหนึ่งตัวนะคะ ต้องเป็น พุทธธรรม นะคะ
ศรีษะ คำนี้หลายคนมักเขียนผิด เอาสระอีไปไว้ที่ ร แต่จริงๆ แล้วต้องใส่สระอีไว้ที่ ศ นะคะ ต้องเขียนว่า ศีรษะ ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2010 18:16:58 โดย なおみ™ »

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
พ่อแม่รู้แร้วก็ดีสิ  นั้นสาเหตุของมาม่าคงไม่พ้นผู้หญิงสิน่ะ

kanda53

  • บุคคลทั่วไป
อ้าว...พ่อแม่รู้หมดแล้ว.... o13 บอทเยี่ยมมาก...ใจกล้าใช้ได้....
รอต่อไป...จุดหักเหคืออะไร....

 :L2: น้อง eiky พักผ่อนบ้างนะ...อาจเป็นเพราะนอนไม่เป็นเวลาด้วย...
ถ้ายังไงก็....รักษาสุขภาพให้มาก ๆ น้า.... รักกัน ๆ จ้า...:กอด1:

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่งอ่านยิ่งไม่อยากให้มาม่าเลย ยิ่งชื่อเรื่องแปลกๆแบบนี้ด้วยแล้ว ฮร่า............ต้องเรียกน้ำตาเป้นกะบุง +มะอึกที่ติดคอเวลาอ่านไปมันคับแน่นในอกไปหมดกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหายใจไมทั่วท้องน้ำตาก็ไหล   

salawinyeen

  • บุคคลทั่วไป
 :n1:

โอ้ววว  แม่นิ่มกับพ่อถารู้แล้วหรอ  ไม่ได้อ่าน 2 วันกลับมา แอบ งง เลย อิอิ
 :pig3:

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
ความรักจริงใจต่อกันย่อมชนะทุกสิ่ง ท่าจะเป็นเรื่องจริงเนาะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ knightofbabylon

  • it's sorrow that feeds your lies!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2542
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-51
วันนี้บวกให้คุณอิ๊ก ตรงปุจฉาวิสัชนาเลย
กระแทกจิตใจ อย่างจริงจัง!

ปัญหาไม่ใช่เพราะพ่อแม่ห้าม
หรือมันจะเป็นความทรมานทางจิตใจ?
งงตัวเองพูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว  :เฮ้อ:
รอดูกันต่อไปเรื่อยๆดีกว่า

ขอบคุณคุณอิ๊กมากเลยนะคะที่ยังเอามาให้ลงให้อ่าน อย่าลืมพักผ่อนด้วยนะ :กอด1:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
สงสัยเหมือนหลายท่านแหละว่า อะไรที่จะเป็นตัวแปรของความรักระหว่างน้ำกับบอท

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
อ่าาาา เป็นใครก็คงรู้สึกเหมือนน้ำอ่า ทั้งดีใจทั้งเสียใจ

แต่ก็ดีแล้วนะที่พ่อแม่ของทั้ง 2 รู้ความจริงแล้วว



ตุณ なおみ™  คับ ตรวจภาษาเฉพาะคำที่เขียนผิดหลักภาษา

หรือว่าตรวจหมดคับ ทั้งคำที่ไม่ตั้งใจให้ผิด เช่น

ทุอาน = อุทาน

ออฟไลน์ なおみ™

  • เดียวดาย...ในโลกกว้าง
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1892
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-6
เข้ามาเยี่ยมคุณอิ๊กกี้ หายป่วยรึยังนะ


ตุณ なおみ™  คับ ตรวจภาษาเฉพาะคำที่เขียนผิดหลักภาษา

หรือว่าตรวจหมดคับ ทั้งคำที่ไม่ตั้งใจให้ผิด เช่น

ทุอาน = อุทาน

ดูคำที่ผิดเพราะเข้าใจผิดเป็นหลักน่ะค่ะ คำที่พิมพ์ผิด พิมพ์ตกนี่มันเป็นเรื่องปกตินะ น้องมิก็พิมพ์ตกๆ หล่นๆ บ่อยๆ

lazewcielo

  • บุคคลทั่วไป
พ่อแม่รู้แล้วจริงๆใช่มั้ยยยยย
แล้วอะไรมันจะเป็นตัวแปรของสองคนนี้กัน
ไม่อยากให้มีอะไรมาเป็นตัวแปรเลย!!!!!!!!!

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
บทที่ ๒๑

ปุจฉา ใจที่คอยถวิลหา เผาไหม้ดังอัคคี เราเรียกใจนั้นว่าสิ่งใด

๒๐ พฤศจิกายน

พรุ่งนี้แล้วสินะที่จะต้องไปสอบ ไม่ได้กังวลใจอะไรหรอกนะ ตอนนี้สับสน ตื้อไปหมดเรื่องเรียน มันลำบากใจเหลือเกิน บอกตามจริงนะกูเองก็อยากไปเรียนเมกากับยายหน่อง แต่ถามว่าจะให้ทิ้งมึงไปน่ะเหรอ คงไม่มีทาง เรียนที่นี่ก็ดีเพราะตั้งใจเอาไว้แต่แรกแล้ว ถ้าสอบได้ก็คงต้องเรียน แต่ไม่รู้สิวะ กูอยากจะอยู่กับมึง อยากเรียนที่เดียวกัน อยากอยู่ด้วยกันไปตลอด สุดท้ายมันก็คงไม่พ้นรามฯ ไม่รู้เพ้ออะไรนะกู แต่มันสับสนจริงๆว่ะ สับสนมาก ยิ่งใกล้จะจบยิ่งคิดหนัก เรื่องกูกับมึงพ่อแม่รู้เรื่องแล้ว วันนั้นคุยกับกู ประหลาดใจเหมือนกันว่าทำไมพ่อแม่ไม่ว่าอะไรเลย ดีใจนะที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่ ท่านคงจะลำบากใจมากเหมือนกัน แต่คงไม่อยากทำให้กูเสียใจ พ่อแม่กูนี่ล่ะสุดยอดที่สุดแล้ว ต่อจากนี้ก็คงไม่มีอุปสรรคใดจะมาขวางกั้นเราแล้วสินะ หวังว่าเราจะรักและถนอมกันให้ดีที่สุด เราจะจับมือกันไปตราบนานเท่านาน ยิ่งมาวันนี้กูยิ่งรักมึงมากขึ้น รักมากหมดใจ ยิ่งเราโตขึ้น ผ่านอะไรมาด้วยกัน กูยิ่งรักมึง ว่าแล้วไปกอดมึงให้หายคิดถึงหน่อยเถอะ กูท่าจะบ้าไปแล้วเพิ่งแยกจากมึงมาอาบน้ำเมื่อกี๊

วันสอบเอ็นทรานซ์ทางโรงเรียนจัดรถไปส่งให้ที่สนามสอบซึ่งก็คือโรงเรียนประจำจังหวัด ที่เป็นคู่อริกับเด็กทุกคนในห้องเพราะเคยเห็นเคยประสบกับรอยยิ้มเย้ยเยาะกันมาแล้ว ครั้งที่ไปแข่งทักษะทางอาชีพเมื่อตอนต้นเทอมแรก เสียงหัวเราะอันดังก้องเมื่อได้รู้ว่าโรงเรียนนี้มีนักเรียนชั้น ม ๖ อยู่แค่ ๒๐ คน สายตาที่มองเหมือนมองเด็กมาจากบนดอยทั้งที่รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้แตกต่างกัน เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังใหม่ไม่ได้เก่าได้ขาดอะไรเลย แต่รอยยิ้มเยาะเสียงหัวเราะนั้นมันทำให้เกลียดชื่อนี้โรงเรียนนี้ไปโดยปริยาย จะว่าไปแล้วก็โรงเรียนใหญ่ๆกว่าโรงเรียนทุกโรงเรียนของตนนั่นเอง เพราะเวลาอาจารย์ให้ไปแข่งขันอะไรก็จะเกี่ยงกันไม่อยากจะไป พอพูดบอกเหตุผลออกไปอาจารย์ก็รู้จุดอ่อนช่วยกันปลุกระดมใหญ่ ว่าแบบนั้นสิเราต้องไปทำให้เขารู้ว่าเราแน่ ถึงจะมีแค่ ๒๐ คน แต่เรามีคุณภาพกันทุกคน เรียนโรงเรียนใหญ่ๆใช่ว่าจะดี บางคนหัวไม่เอาถ่านไปเรียนเพื่อให้ตัวเองโก้หรูไปเท่านั้นหัวไม่ไป ไถแต่เงินพ่อแม่ไปโรงเรียน จบออกมาก็ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร พออาจารย์พูดแบบนี้ถึงยอมไป

"กูว่าเสียเงินทิ้งแน่ๆมึง"

ระหว่างทางที่ไปยังโรงเรียนเจ้าภาพที่จัดสนามสอบเล็กก็เอ่ยขึ้น มีเพื่อนไปสอบแค่ ๗ คน มี เดือน ฝน เล็ก ติ๊ก กาญจน์ เอ๋และน้ำ ตอนสมัครสอบอาจารย์ถึงกับส่ายหน้าเพราะไม่มีคนไปสอบอย่างที่คาดไว้ คนที่มาถือว่าเป็นหัวกะทิแล้วของห้อง

"เอาน่ามึง อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตคิดอะไรมาก สอบขำๆ"

ติ๊กปลอบรถกระบะที่มีหลังคาข้างๆรถมีตราสัญลักษณ์โรงเรียนแปะอยู่ เด็กทั้ง ๖ คนนั่งหลังคุยกันไปอย่างสนุกสนาน มีอาจารย์นางน้อยกับน้ายมคนขับรถนั่งหน้า

"กูไม่อยากไปเลยว่ะโรงเรียนห่านี่"

ฝนเอ่ยออกมาหน้าตาบอกอย่างนั้นจริงๆ

"สนใจมันทำไม มีแต่พวกกระแดะ อยู่โรงเรียนทำเป็นไฮโซ แหมไม่อยากบอก พออยู่บ้านกินปลาร้าเป็นต่อนๆเลยนะมึง"

"ว้ายกินแน่เหรอปลาร้าน่ะ กูนึกว่าพวกมันกินแต่ขนมปัง มาแข่งศิลปะคราวก่อนเห็นดอดพูดภาษาอังกฤษ จอห์น ไอโกอีทลันช์ ฮังกรี่หลายๆเด้อ"

เอ๋ทำท่าทางออกสำเนียงที่ใครฟังก็หัวเราะเสียงดัง

"อีบ้า มีแต่มึงนั่นล่ะทำ"

ข้อสอบเป็นแบบปรนัยนับเป็นครั้งแรกที่ทำข้อสอบแบบฝนในกระดาษคำตอบแข็งแม้จะเตรียมอุปกรณ์มาพร้อมสรรพแล้วแต่ความตื่นเต้นมันก็ยังมีอยู่ ยังประหม่ากลัวว่าจะฝนเลขที่นั่งกับชื่อของตนผิด พอออกจากห้องสอบก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะเสียงดัง

"พวกเรามาทำไมวะเนี่ย ข้อสอบเอ็นฯนี่ยากมากขอบอก กูว่าของจารย์บลยากแล้วนะ เจอภาษาไทยขั้นสุด ตายไปเลยกู"

เล็กบ่นออกมาเป็นคนแรกเพื่อนๆเองก็เห็นด้วยตามที่เล็กบ่น ข้อสอบวิชาภาษาไทยถือว่าหินมาก ไหนจะสังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ ไอ้เราที่ว่ามั่นใจมาเจอของจริงอ้าปากไม่ออกเลยทีเดียว ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์อีก ได้แต่หัวเราะกัน ขากลับบอกน้ายมกับอาจารย์นางน้อยให้แวะในตลาดกินข้าวกันก่อนกลับเราะไม่อยากจะกินในโรงอาหารของโรงเรียนเจ้าภาพ คนเยอะอย่างประหลาดต่างอวดอ้างกัน ทำได้นะข้อนั้น อันนั้นต้องเป็นอย่างนั้น วิชานี้ต้องทำอย่างนี้ เอียนจึงไม่อยากจะได้ยิน

"เป็นไงน้ำ ทำข้อสอบได้ไหม"

บอทถามขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้านลงไปนาด้วยกัน

"ยากอ่ะบอท ยากมากคงไม่ได้หรอก"

"น้ำเลือกอันดับหนึ่งที่ไหนนะ"

"ก็ ม เกษตรนั่นล่ะ แต่คงได้แต่ฝัน เราอ่านหนังสือน้อย ติวก็ไม่ได้ติว สู้เด็กในเมืองเขาไม่ได้หรอกบอท"

"ก็ไปเรียนรามฯกับเราไงน้ำ พอมีเวลาค่อยไปเรียนปลูกกล้วยไม้อย่างที่คิดไว้ตอนแรกไง"

"อืม คงจะอย่างนั้นล่ะ"

ถ้าจำไม่ผิดอันดับหนึ่งที่เลือกไปคือ คณะเกษตรศาสตร์ ม เกษตร อันดับสอง คณะมนุษศาสตร์ ม ขอนแก่น และอันดับสุดท้าย คณะเกษตรศาสตร์ ม อุบล น้ำไม่ได้ตั้งความหวังไว้ แม้ในใจลึกๆอยากจะเรียนที่ ม เกษตร แต่หลังจากไปสอบมาวันนี้ทำให้รู้ว่าคนที่พร้อมกว่าเรามีอีกเป็นหมื่นเป็นแสน ตนเหมือนกบที่ออกจากกะลาครอบ พอมาเจอข้อสอบอีกทั้งสีหน้าแววตาของเด็กนักเรียนในเมืองที่ต่างดูมั่นใจกับการทำข้อสอบก็ทำให้ใจแป้วไปเหมือนกัน แต่ที่มีกำลังใจขึ้นมาก็เพราะบอทที่คอยให้กำลังใจ อีกอย่างอาจารย์พรก็จบจากรามฯ ความรู้ที่แกประสิทธิ์ประสาทให้มันก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร เชื่อเสมอว่าคุณภาพของคนอยู่ที่ตัวของแต่ละบุคคลเองไม่ได้ขึ้นโดยตรงกับสถานที่หรือวิชาการ แม้นถ้าหากเรารู้จักขวนขวายใฝ่หาความรู้นอกกรอบ ความรู้นั้นก็จะมาอยู่ที่เราไม่ได้ไปตกอยู่ที่ใครเลย

"น้ำดูดาวดิ สวยนะวันนี้"

บอทเอ่ยออกมาเสียงทุ้มตอนจะกลับบ้านหลังจากค่ำแล้ว

"อืม ไม่รู้ว่าที่กรุงเทพฯจะมองเห็นดาวสวยๆแบบนี้หรือเปล่านะ"

รำพึงออกมา ช่วงเวลาที่แม้จะมีความสุขมาโดยตลอด แต่ด้วยวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น วัยที่เพิ่มขึ้นความคิดก็แตกแขนงเพิ่มมากขึ้นด้วย จากที่ไม่เคยหนักใจเรื่องราวเหล่านี้ แต่มาวันนี้จวนจะถึงวันที่ต้องลาจากกันกับเพื่อนๆที่รักก็อดไม่ได้ที่จะใจหาย วันข้างหน้าต่อไปมองไม่ออกดูไม่รู้เลย สิ่งแวดล้อที่รอบตัวมันกำลังจะแปรเปลี่ยนไป คงจะคิดถึงกลิ่นโคลนกลิ่นหญ้า ลานดอกกระดุมเงินสีขาวอมเทาเหล่านี้ กลิ่นดอกพยอมตอนปลายฝนต้นหนาว ไม่รู้ว่าในกรุงเทพฯมันจะมีกลิ่นนี้หรือไม่ สีเหลืองของดอกคูณในยามหน้าร้อน ดอกติ้วบานไสว ต่อไปนี้มันคงไม่ได้เห็นง่ายๆอีกแล้ว

"อีกแค่ไม่กี่เดือนเองนะน้ำ ใจหายเหมือนกันนะ"

"อืม คงคิดถึงเพื่อนๆมากนะบอท"

"ใช่ แต่เราโชคดีนะที่มีน้ำไปด้วย ไม่งั้นไม่รู้จะอยู่ยังไง"

มือผสานจับกันไว้ คอแหงนมองดูดาวที่พราวระยับอยู่ทั้งน่านฟ้า ลมหายใจที่ถ่ายถอนออกมาจากอกเหมือนกำลังระบายความในใจบางอย่างออกมา ใจสั่นไหวไป แต่อย่างน้อยก็มีร่างอีกร่างคอยรองรับความรู้สึกเหงาหรือเปล่าเปลี่ยวนี้ มีใจอีกใจที่โอบอุ้มซึ่งกันและกันไม่ให้มันสั่นมันไหวจนเกินไป

ยิ่งใกล้จะสิ้นปีสีหน้าแววตาของเพื่อนๆที่แม้จะแลดูสดใสร่าเริงอยู่ แต่พอไม่มีใครพูดอะไร ต่างฝ่ายต่างเงียบกัน ในแววตานั้นมันแฝงอยู่ด้วยอะไรหลายอย่างเกินจะคาดเดา บางทีมีเพียงเสียงการถอนลมหายใจจ้องมองภาพรอบตัวเหมือนกับจะจดจำภาพเหล่านี้ ไว้ให้นานเท่านาน

"ปีนี้ไม่สนุกเลยว่ะ ไม่รู้ทำไมรู้สึกหงอยๆ"

ติ๊กเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้รับมอบหมายให้เป็นคนจัดการงานวันคริสต์มาสเหมือนเดิมที่งานนี้เหมือนจะผูกขาดกับชั้นเรียนนี้ไปแล้ว

"อืม ให้น้องๆมันทำดีกว่าไหม"

ฝนเสริมเอามือท้าวคางนั่งคุยกันอยู่ใต้ต้นมะม่วงที่เดิม ที่ๆมีแค่เพียงแต่ชั้นนี้ที่ชอบไปรวมตัวกันอยู่

"ทำไมพวกเราไม่ทำให้ดีที่สุดไปเลยล่ะแก ถือว่าเป็นการทิ้งทวน อย่างน้อยน้องๆ อาจารย์เขาจะได้จำว่าครั้งหนึ่งเคยมีรุ่นเราที่ใครต่อใครปรามาสว่าเป็นแกะดำ เป็นยุคมืด ทำไมเราไม่ทำให้ดีที่สุดให้มันอยู่ในความทรงจำของทุกๆคน"

น้ำเอ่ยขึ้นมองหน้าเพื่อนๆ

"กูเห็นด้วย มาพวกมึง มาร่วมมือกัน ไหนๆก็จะจบแล้วทำให้มันเต็มที่ไปเลย งานสุดท้ายแล้วนี่"

เล็กเองก็เสริมสีหน้าแววตาดูมุ่งมั่นไม่แพ้น้ำเลย พอตกลงกันได้ก็เตรียมงานอย่างที่ตั้งใจไว้ การแสดงมีละครกับเต้น และเพิ่มการรำเข้ามาอีกชุดหนึ่ง ละครเรื่องเดิมที่เขียนบทขึ้นมาใหม่โดยน้ำ ส่วนเต้นก็มีเอ๋ กาญจน์ เล็ก กรุง ไก่เต้นกันสองเพลงรวด ส่วนรำเดือน ฝน และเพื่อนผู้หญิงที่เหลือทั้งหมดเป็นคนรำ คนที่ว่างจากการแสดงก็มาช่วยคุมไฟคุมเสียง คอยแจกขนม น้ำรับบทเป็นพิธรกรเดี่ยว โดยอาจารย์พรฝากน้องชั้น ม ๔ มาเป็นพิธีกรร่วมเพื่อหาประสบการณ์ ขนมของขวัญปีนี้เล็กให้พ่อของตนทุ่มทุนสร้างน้ำเองก็ขอขนมจากพ่อเพราะปีนี้ทางโรงเรียนมัธยมได้เชิญน้องๆโรงเรียนประถมมาร่วมงานด้วย เด็กนักเรียนจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ครูบาอาจารย์จากสองโรงเรียนก็มากันพร้อมหน้า น้ำกับบอทและเดือนได้ไปขอการสนับสนุนจากครูใหญ่โรงเรียนประถมและอบตประจำตำบล ได้ขนมมาเยอะพอสมควรกะว่าให้พอเพียงกับน้องๆที่ร่วมเล่นเกมคั่นเวลา และเพียงพอที่จะแจกตอนลุงซานตาครอสออกมา

เปิดการแสดงในตอนบ่ายด้วยการแสดงของนักเรียนชั้น ม ต้น เริ่มจาก ม ๑ ไล่ขึ้นมาชั้นละการแสดง แต่ดูเหมือนเป็นการแสดงที่ขาดการร่วมมือกันอย่างประหลาด สีหน้าสีตาของผู้แสดงดูเหมือนถูกบังคับมา ตื่นไมโครโฟนกันเป็นส่วนใหญ่ คั่นสลับการแสดงด้วยการเล่นเกม น้ำเองไม่เขินไม่ประหม่าแล้วปีนั้นมีไมโครโฟนไร้สายหรือที่เรียกว่าไมลอย เดินไปไหนมาไหนได้ตามสะดวก น้ำจึงเดินรอบบริเวณน้องที่นั่ง คนที่ยิ่งก้มหลบยิ่งโดนเรียกให้ออกมาเล่นเกม เสียงที่ดังฟังชัดเด็ดขาดทำให้น้องๆเองไม่ลีลามากนักเวลาถูกเรียกตัวให้ออก มาร่วมกิจกรรม การแสงของชั้น ม ต้นผ่านไป มาถึงการแสดงของชั้น ม ๔ เป็นอะไรที่ง่ายจนรู้สึกว่านี่หรือคือการแสดง ชั้น ม ๔ แสดงการเดินแบบ การแต่งตัวก็หยิบโหย่งเอาผ้าอะไรต่อมิอะไรมาพัน เพลงก็ไม่ได้คัดได้สรรค์มา แต่ก็ถือว่าน้องๆเขาเองไม่ได้เป็นแม่หลักในงานถือว่าให้อภัยกันไป ส่วนการแสดงของชั้น ม  ๕ เป็นการแสดงละคร เรื่อง ทรามวัยกับเจ้าชายอสูร เหมือนจะเข้าท่าที่สุดเพราะเท่าที่ทราบมาอาจารย์ตุ้มเป็นคนฝึกสอนการแสดงให้ทั้งหมด เรียกเสียงเกรียวกราวได้พอสมควร น่าแปลกใจที่อาจารย์ตุ้มเลือกเป็นคนฝึกสอนให้ชั้นนี้แล้วมองข้ามชั้นของน้ำไป เพราะเท่าที่รู้ทั้งบทเอย คนแสดง เวลาซ้อมเอยแกเป็นคนดูแลจัดการหมด โดยอาศัยคาบเรียนของตนเป็นช่วงซ้อมละคร แต่ตัวละครที่เล่นตามบทก็น่าดูไปอีกแบบเพราะไม่มีการนอกบทเหมือนเอ๋หรือเดือน

"ครับต่อไปจะเป็นการแสดงของรุ่นพี่ชั้น ม ๖ นะครับ ก่อนอื่นพี่ในฐานะตัวแทนของชั้น ม ๖ อยากจะกล่าวอะไรสักอย่าง ประการแรกขอขอบคุณท่าน ผอ คณะครูอาจารย์ที่คอยให้โอกาสทำงานใหญ่ๆอย่างนี้นะครับ ห้องของเรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานวันคริสต์มาสในทุกๆ ปี ถ้างานผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานในวันนี้จะทำให้น้องๆทุกคนพอมีความสุขบ้าง เอาล่ะครับ พูดมากไปเสียเวลา การแสดงของเรามีอยู่ด้วยกันสามชุดนะครับ การแสดงแรกเป็นการรำถวายพระพร ขอเสียงปรบมือให้กับพี่ๆนักแสดงหน่อยครับ"

น้ำพูดเสียงดังส่วนน้องที่มายืนเคียงข้างเหมือนจะไม่มีบทพูดเลย เพราะเวลาน้ำให้โอกาสพูดเหมือนจะเขินอยู่น้ำเลยจัดการเองทั้งหมด พอให้สัญญาณบอทที่คุมเครื่องเสียงอยู่ว่าพร้อมแล้วเสียงเพลงดนตรีไทยก็ดังขึ้น พอนางรำขึ้นบนเวทีเสียงอื้อฮื้ออ้าฮ้าก็ดังขึ้น เพราะชุดไทยที่ไปยืมมาจากร้านทำผมบ้านใหญ่ซึ่งเป็นน้าของเอ๋เอง แกให้เช่าชุดไทยต่างๆส่วนมากจะเป็นงานแต่งงานแต่งานนี้ได้มาฟรีๆเพราะเชิญแกมางานด้วย นางรำทาหน้าทาตาสวยงามจนจำแทบไม่ได้ ผมเผ้าก็เกล้าอย่างดีประดับด้วยปิ่นทองชุบระยับอยู่ ชุดแม้จะคนละสีกันแต่ก็สวยงาม การรำที่อ่อนช้อยเข้ากับจังหวะของเพลงสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี น้ำคั่นเวลาด้วยการเล่นเกมหลังจากการแสดงจบลง พอเพื่อนๆพร้อมให้สัญญาณมาก็เริ่มการแสดงในชุดที่สองคือการเต้น เพลงแรกเป็นของไวตามินเอ เพลงต่อเป็นเพลงของแร็พเตอร์ การแสดงชุดนี้เรียกเสียงฮือฮาเสียงกรี๊ดดังเช่นเคย น้องๆจากโรงเรียนประถมพากันยืนขึ้นดู นับเป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่น่าจดจำ พอน้ำคั่นเวลาด้วยการแจกขนมเสร็จก็เป็นการแสดงปิดท้าย ละครเวทีที่ในระหว่างที่น้ำแจกขนมน้องๆอยู่นั่นเพื่อนๆก็เอาฉากเอาม่านมาติด รูดปิดเปิด สร้างเสียงฮือฮาอื้ออึงอยู่ตั้งแต่การแสดงยังไม่เริ่ม ละครเรื่องเดิมที่แสดงคือซินเดอเรร่าแต่เป็นการเขียนขึ้นมาใหม่ ในชื่อว่าซินเดอเรร่ายุคสองพัน โดยให้นางซินเองร้ายกาจตบตีกับพี่ๆกับแม่เลี้ยง รับบทโดยฝน เสียงนี่ไม่จำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนเลย ส่วนเอ๋รับสองงานเป็นแม่เลี้ยงเช่นเคย ไม่ยอมน้อยหน้ากัน ชุดก็ยืมมาเช่นเคยแต่เอ๋เย็บชุดของตนขึ้นมาใหม่ด้วยผ้าฝ้ายทำเป็นสุ่ม เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย เนื้อเรื่องจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับนางซินที่โดนกลั่นแกล้งแต่เธอไม่ยอม ทำทุกวิถีทางเพื่อจะทำให้ตนอยู่รอด จิกหัวใช้แม่เลี้ยง ไม่ได้อ่อนหวานเหมือนในของเดิมเขาเลย เรียกเสียงหัวเราะเสียงปรบมือได้เป็นอย่างดี พอการแสดงจบ ผอก็มากล่าวชมเชย ตามเคยอาจารย์นางน้อยกรี๊ดกร๊าดอยู่เพราะได้หน้า

"เก่งมากทุกๆคน ปลื้มใจที่สุด"

อาจารย์นางน้อยมาเจอถึงที่ห้อขณะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน

"นี่พวกเธอ รู้ไหมสร้างความลำบากใจให้ครูนะ"

อาจารย์พรเดินเข้ามาอีกคนทำหน้าเศร้า

"อ้าวทำไมล่ะจารย์ทำได้ไม่ดีเหรอครับ"

น้ำร้องเสียงหลง

"ไม่ใช่ไม่ดี มันดีมาก มากเสียจนคงไม่มีรุ่นไหนทำได้เหมือนรุ่นพวกเธอหรอกครูว่า"

ไม่ใช่การชมที่เกินจริงเพราะหลังจากจบมาแล้วคอยถามข่าวจากรุ่นน้องที่ได้มีโอกาสเจอมันเป็นอย่างที่อาจารย์พรบอกไว้จริงๆ รุ่นหลังๆแม้จะพยายามทำแต่ความร่วมมือมันมีไม่เท่า งานจึงไม่เป็นอย่างทีใจต้องการ รู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำดีๆเหล่านั้น ความทรงจำที่แลกไม่ได้ด้วยอะไรทั้งนั้นในห้วงเวลานี้

หลับตายืนกลางแสงสุดท้ายของวัน  ให้แดดสีส้มนั้นลามไล้เลียร่าง

สัมผัสห้วงแห่งรักที่ไม่จืดจาง     ยังสว่างอยู่กลางใจแม้หลับตา

วันคืนที่ผ่านพ้นแสนเร็วไว         หัวใจที่เปี่ยมรักยังถวิลหา

นานเพียงไหนไกลเพียงใดแค่เวลา    ที่พัดพาเรานั้นให้ไกลกัน

ลืมตาสูดกลิ่นเช้าอุษาสาง   ก่ายกอดร่างที่รักให้สุขสันต์

วันพรุ่งนี้จะยังมีเราคู่เคียงกัน   เธอกับฉันท่องไว้ให้ขึ้นใจ


เหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายแล้ว เพื่อนๆทุกคนเริ่มคุยกันเรื่องของอนาคต อนาคตที่ไม่มีใครมองเห็น ได้แต่วาดขีดกรอบนำทางให้ตนเอาไว้ บางคนจะเรียนต่อ ปวส บางคนจะไปทำงานเลย มีไม่กี่คนที่จะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เดือน เอ๋ บอท น้ำ ติ๊กแล้วก็ฝนเพียงเท่านั้นที่ตั้งใจว่าจะไปลงเรียนรามด้วยกัน ไม่ได้สนใจผลสอบที่กำลังจะออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ รู้สึกว่าช่วงนี้จะไม่มีใครพูดจาเล่นกันเหมือนแต่ก่อน เหมือนจะนั่งคุยกันเงียบๆ โอบกอดกันพยายามอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่เวลาจะพึงมี กิจกรรมต่างๆลดน้อยลงเพราะอาจารย์ปล่อยให้อ่านหนังสือเตรียมสอบไล่ แต่ไม่มีใครอ่านต่างเริ่มเอาเฟรนชิปส์มาเขียนให้กันระบายความในใจที่มีต่อ กันลงไปในสมุดเล่มหนา

"แกลงเลยเหรอเล็ก ไม่รอรับใบประกาสฯก่อนเหรอ"

น้ำถามเล็กตอนบ่ายของเย็นวันศุกร์หลังจากสอบไล่เสร็จ ความจริงผลสอบออกมาแล้ว ไม่มีใครสอบติดตามคาดของอาจารย์หลายคน น้ำเองไม่ได้เสียใจแต่แค่ไม่พอใจที่อาจารย์พูดหน้าเสาธงเหมือนตอกย้ำความอับอายให้คนที่ไปสอบเพิ่มมากขึ้น

"อืมลงเลยมึง อย่าลืมนะเจอกันที่รามฯ เดี๋ยวกูเอาเบอร์ที่หอพี่กูมาให้ จะได้ลงไปดูลาดเลาก่อนไงมึง จะหางานเผื่อมึงด้วย"

"เรื่องหออีกนะเว้ยเล็ก ไปใหม่ๆไม่รู้จะไปอยู่ไหน"

บอทบอกออกมาเพราะไม่มีญาติคนไหนเลยอยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนน้ำญาติเยอะก็จริงแต่ไม่อยากไปเกี่ยวข้องด้วย

"ก็ไปอยู่กับกูก่อนไงสักอาทิตย์ค่อยเดินหาหอหน้ารามฯเยอะแยะไปมึง กูคุยกับพี่กูแล้วมันไม่ว่าอะไร"

"ขอบใจนะเล็ก"

สูดลมหายใจเข้าปอด นี่มันจวนจะถึงเวลาที่ต้องจากลากันแล้วหรือ เวลาสามปีสำหรับชีวิตนักเรียน ม ปลาย มันมีความทรงจำต่างๆมากมายเกิดขึ้น แม้จะมีดีไม่ดีน่าจดจำไม่น่าจดจำระคนปนเปกันไป แต่ก็มีความสุขเหลือเกิน คิดว่าคงไม่มีช่วงชีวิตตอนไหนมีความสุขได้เท่าช่วงนี้อีกแล้ว ไม่กลัวที่จะก้าวพ้นสู่วัยของผู้ใหญ่ แต่มันใจหาย ภาพอาคารเรียนสองหลัง โรงอาหาร สนามฟุตบอลที่หญ้าเกิดขึ้นเป็นย่อมๆนั้น เราคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันในความรู้สึกแบบนี้อีก เงาของต้นอโศกที่ทอดยาวยามเย็น กลิ่นของดอกกระถินณรงค์ที่ไม่ชอบก็คงไม่ได้กลิ่นอีกแล้ว ต้นดอกติ้วที่อยู่ข้างสนามบาสฯ ต้นดอกคูณที่เรียงรายกันอยู่รั้วโรงเรียน เราจะไปหาดูได้ที่ไหน ห้องเรียนห้องเดิมตั้งแต่เรียนชั้น ม ๔ จนจะจบ ม ๖ เราคงไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปนั่งเรียนแล้ว อีกอย่างชุดนักเรียนชุดนี้ มันคงเป็นเพียงแค่ความทรงจำ

"หน้าเศร้าจังน้ำ อย่าคิดมากไปเลย คนเรามันต้องโตขึ้นทุกคนล่ะน่า"

พอเดินออกมาจากโรงเรียนก็เดินกลับบ้านกันสองคน บรรยากาสเดิมๆ กลิ่นของแมกไม้ดินโคลนเก่าๆมันก็ยังตลบอบอวลอยู่ ไม่อยากเดินออกจากกลุ่มเพื่อนเลยตอนโรงเรียนเลิก ทำไมเหมือนกับว่าเวลามันแสนสั้นนัก อยากจะอยู่แบบนี้ไปตลอด

"อืมน้ำรู้ แต่ก็อดใจหายไม่ได้นะบอท นี่ยังไม่จบเลยยังคิดถึงเพื่อนได้มากขนาดนี้ แล้วถ้าเราแยกกันไปจริงๆ จะเป็นยังไงนะ"

"เดี๋ยวก็ดีขึ้นล่ะน่า อย่างน้อยน้ำก็มีบอทอยู่ด้วยนี่ กลัวไร"

"คร้าบ คุณที่รัก ให้อยู่จริงเถอะ"

"น้ำ ฟังเรานะ ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ไม่ว่าเราจะไปได้แค่ไหน แต่เราจะรักน้ำคนเดียวตลอดไป"

ถือเป็นคำสัญญาครั้งที่เท่าไหร่ไม่ได้จำ แต่ทุกครั้งที่พูดมันคือแรงมหัศจรรย์ที่ผุดขึ้นกลางใจ แค่นี้ก็คงพอ แค่มีเราเคียงข้างกัน

วิสัชนา ใจที่หมอดไหม้ด้วยไฟแห่งปรารถนา เราเรียกใจนั้นว่า ใจบอดไม่ใช่หรือ



เขียนโดย อิ๊กกี้  :L2:


ปล ตอนนี้เนื้อความที่ดึงมาจากไดอารี่หมดแล้วน้า อิอิ นับจากตอนถัดไปเนื้อหามาจากจินตนาการของผู้แต่งเอง ลองถามเพื่อนๆที่ทำงาน เขาบอกว่า "เน่าว่ะพี่" เหอๆๆ แต่เปลี่ยนพล็อตคงไม่ทันแล้ว เน่าแต่มันก็เป็นนิยายอ่ะเนอะ นิยายมาจากชีวิตจริงล่ะผมว่า ไม่งั้นคนเราจะคิดจะเขียนขึ้นมาได้ไง แน่ะยังมีเถียงเขาอีก เอาน่า เพื่ออรรถรสของภาพและเสียง แว้กกก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2013 09:06:42 โดย eiky »

tiramisu

  • บุคคลทั่วไป
รอ อยู่ น้าา..

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
น้ำกำลังท่วมเลย  เน่านิดเน่าหน่อยช่างมัน  คิดแล้วก็เฮ่ออออออออ มามามาอีกแล้ว

ออฟไลน์ jimmyFG

  • Ich Liebe dich.
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-4
    • @Facebook
 :z1:  :z1:  :z1: :z1:  :z1:
มาอ่านแล้วนะพี่อิ๊ค คิดฮอดหลาย

ออฟไลน์ taroni

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-27
จะเข้าช่วงมาม่าแล้วเหรอ  o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






lazewcielo

  • บุคคลทั่วไป
เอาหล่ะเหวย จะเข้ากทม.กันแล้ว
ช่วงเวลาแห่งมาม่าใกล้เข้ามาทุกที...

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
อ๊ะ  ต่อไปจะจินตนาการแล้ว  คงต้องเตรียมใจให้ดีซะแล้ว

ออฟไลน์ なおみ™

  • เดียวดาย...ในโลกกว้าง
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1892
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-6
โอ๊ะโอ๋!! บ่นถึงปุ๊บมาปั๊บเลยนะคะคุณอิ๊กกี้
หายแล้วหรอคะถึงมาเขียนต่อเนี่ย

เหตุการณ์จะดำเนินไปอีกขั้นแล้วสิคะเนี่ย
เฝ้ารอตอนต่อไปอย่าใจจดใจจ่อค่ะ อยากรู้ความเป็นไป  :laugh:

********************

ดอกคูณ คำนี้ใช้ สะกดนะค เป็น ดอกคูน

มีอีกสองคำคิดว่าของเกิดจากการการพิมพ์ผิด
ใบประกาสฯ ต้องเป็น นะคะ มาจาก ประกาศนียบัตร
บรรยากาส ต้องเป็น เช่นกัน บรรยากาศ นะคะ

bbyuqin

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นนะเนี่ย...แบบว่ากลัวลึกๆ ... หุหุ

ออฟไลน์ knightofbabylon

  • it's sorrow that feeds your lies!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2542
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-51
นี่เป็นการทิ้งทวนช่วงเวลาที่ดีที่สุดในช่วงม.ปลายใช่มั้ยอ่ะคุณอิ๊ก

ตอนแรกคิดว่าอาจเป็นบอทที่เปลี่ยนไป
แต่ตอนนี้คิดว่าอาจเป็นเพราะน้ำ ทำให้บอทคิดว่าน้ำเปลี่ยนไป
เฮ้อออออ..กระบวนการคาดเดามันทำงานอีกแล้วล่ะ
เอิ๊กกกกกกๆๆ

เอาล่ะคุณอิ๊ก คนอ่านพร้อมรับทุกสิ่งอย่าง ไม่หวั่นทุกสถานการณ์!






 :กอด1:คุณอิ๊กทีนึง

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ขอเดาหรอกค่ะ
จะรออ่านอย่างเดียวว่า อะไรที่เป็นตัวปฏิกิริยาทำให้เกิดสนิม
ดูแลสุขภาพนะคะคุณอิ๊ก

kanda53

  • บุคคลทั่วไป
เศร้า....เหงา....ตามไปด้วย....แต่ชีวิตต้องก้าวต่อไป
บอทและน้ำจะต้องก้าวเข้าสู่สังคมเมือง....เริ่มรู้สึก
หนัก ๆ อก ยังไงไม่รู้...... :เฮ้อ:
รอต่อไปจ้า.....รักกัน ๆ นะ น้อง eiky  :L1:




ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :z3: :z3:


มาม่าได้แต่นิดหน่อยพอ
อย่าเอาให้ขึ้นอืดน่ะพี่อิ๊กกี้
หรือน้ำข้นก็ม่ะเอาอ่า

555

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ไม่ได้เข้ามาหลายวัน รวบยอดอ่านทีจุใจจังครับ นับถือพ่อแม่ของทั้งคู่จริงๆ ไม่ทำให้ลูกกรู้สึกแย่ น่าชื่นชมครับ

ออฟไลน์ なおみ™

  • เดียวดาย...ในโลกกว้าง
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1892
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-6
สงสัยวันนี้คุณอิ๊กกี้ไม่มาต่อแน่เลย  :sad4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด