พิมพ์หน้านี้ - สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: eiky ที่ 28-09-2010 22:10:14

หัวข้อ: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 28-09-2010 22:10:14
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

  :sad11: :monkeysad: :m15:

บทนำ นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ชื่อของตัวละคร ไม่มีอยู่จริง ถ้าหากชื่อหรือนามใดไปสอดคล้องทำให้ผู้ใดเกิดความไม่สะดวกใจ ขออภัยไว้นะที่นี่ด้วย

จากใจ อิ๊กกี้

จุดประสงค์ของการเขียนนิยายเรื่องนี้เพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่มีแก่นสารใดๆทั้งสิ้น ถ้าผู้อ่านท่านใดคาดหวังจะเอาแก่นสารใดๆจากนิยายเรื่องนี้ ขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วย แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่านิยายเรื่องนี้จะสร้างความบันเทิงให้กับผู้อ่านได้พอสมควร บางส่วนมาจากเนื้อความในไดอารี่ส่วนตัวของผมสมัยเรียนมัธยมปลายนะครับ นานมากๆแล้วล่ะ อิอิ ที่เหลือมาจากโหตัวๆของผมนี่เอง ฮ่าๆๆๆ

มีข้อผิดพลาดใดๆอย่าได้สนครับติงมาเลย ผมจะได้ปรับปรุงการเขียนให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

 :กอด1: :กอด1:

ปล มาก่อนหลายวันไม่อยากรอ รอทำไมไม่รู้เนอะ เหอๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 28-09-2010 22:18:20
บทที่ ๑

ปุจฉา อันแสงใดหนอระยับบนแผ่นน้ำนั้นได้สวยสะท้อนแสงแวววับระยับงามเท่าแสงสุริยันมีบ้างไหม
 
แสงตะวันยามบ่ายคล้อยส่องกระทบน้ำในห้วยขุดที่เห็นเป็นเวิ้งกว้าง แสงแดดลามเลียผิวน้ำกระเพื่อมดังแพรประดับด้วยเกร็ดอัญมณีระยิบระยับอยู่ กลิ่นของโคลนตมโชยมากับสายลมเอื่อยๆ ทุ่งนาสีเขียวสดตัดกับท้องฟ้าสีครามสดใส เมฆกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนตัวมาทางทิศบูรพา ก่อเค้าให้ความหวังกับชาวไร่ชาวนา ปลายฝนต้นหนาวอากาศช่างเย็นสบายลมกำลังเปลี่ยนทิศ แลไปบนฝั่งห้วยเห็นเด็กผู้ชายสองคนกำลังถอดเสื้อออกจากร่าง ชายหนึ่งผิวสีน้ำผึ้งหม่น เวลาโดนแสงสุริยาส่องประกายดังลูบไล้ด้วยทองทา ชายหนึ่งผิวกายขาวเหลืองรับแสงตะวันงามเช่นกัน น้ำ ชลเนตรคือเจ้าของร่างขาวเหลืองกำยำ บอท อภิพงศ์คือเจ้าของกายสีน้ำผึ้งหม่นหนากว่าน้ำ ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทมีรั้วบ้านติดกัน เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ไปไหนมาไหนตัวติดกัน จนอายุย่างเข้าสิบหกปี ทั้งสองยังคงเป็นเพื่อนรักกันอยู่ รักกันมากไม่เคยเปลี่ยนแปร แต่สำหรับน้ำเองบางอย่างในใจมันกำลังเปลี่ยนไป ทุกคราที่อยู่ใกล้ๆเพื่อนรัก หัวใจมันหวั่นไหวประหลาด ทุกคราที่อยู่ไกลเพื่อนรักหัวใจมันก็ทุรนทุราย นี่รักเพื่อนมากขนาดนี้เชียวหรือ เขาตั้งคำถามขึ้นในใจ

"นายไม่ต้องลงหรอกน้ำ เดี๋ยวเราลงเอง"

เสียงร้องดังขึ้นทำลายภวังค์วาบหวามในใจ บอทพูดจบแล้ววักน้ำในห้วยออกให้เป็นทางก่อนจะหย่อนขาลงไป เสียงเขากระโดดลงน้ำดัง ตูม ม่านน้ำสีหม่นๆกระจายออกเป็นสาย เป้าหมายคือบัวแดงที่ลอยคอชูชันอยู่กลางห้วย หลังเลิกเรียนกิจกรรมที่ทำร่วมกันคือกลางทุ่งนา หรือไม่ก็ป่าละเมาะท้ายหมู่บ้าน บอทเองเป็นคนสรรหากิจกรรมต่างๆมาชวนเพื่อนรักออกจากบ้านไป น้ำเองก็ไม่เคยปฏิเสธ

"เอาไปเผื่อป้าสายไหมน้ำ"

"อืมก็ดี เร็วหน่อยดิบอท ฝนจะตกแล้ว"

"เออน่า ว่ายไปเอาตรงโน้นก่อน"

ทิศประจิมฟ้ายังเปิดให้แสงสุดท้ายของวันสาดส่องเป็นสีทองระยับอยู่ แต่ก้อนเมฆาทางทิศบูรพาเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที เงามืดทะมึนเสียงร้องคำรามแสงแปลบปลาบทำให้ผู้คนที่อยู่ในที่แจ้งต่างหวาดกลัวหาที่หลบกำบังกันก่อนที่ฝนห่าใหญ่จะเทลงมา แสงสีส้มทองสาดกระทบเงามืดทะมึนนั้นงามอย่างประหลาด สีดำม่วงสะท้อนแสงสีส้มทองได้อย่างวิจิตรดังจิตรกรบรรจงรังสรรค์วาดไว้ก็ไม่ปาน

"เร็วบอท ฝนตกแล้ว"

เสียงคนที่อยู่บนฝั่งเร่ง มือก็หอบเอาสายบัวและรีบคว้าเอาเสื้อของเพื่อนรักมากอดไว้ในอก

"ไปกระท่อมตรงโน้นก่อนน้ำ นายไปก่อน"

"ไม่เอา บอทขึ้นมาเร็วๆ"

ตะเบ็งเสียงแข่งกับสายฝนที่เทลงมา ม่านน้ำที่ไหวเป็นคลื่นระยับเมื่อครู่ตอนนี้กลับกลายเป็นนิ่งสงบมีแต่หยดน้ำที่สะท้อนขึ้นมารวมถึงไอน้ำที่ความเย็นจากสายฝนปะทะกับความร้อนอุ่นของน้ำในห้วย ควันพวยพุ่งขึ้น บอทรีบแหวกว่ายขึ้นฝั่งก่อนจะวิ่งไปจูงจักรยานวิ่งนำหน้าไปที่กระท่อมตรงเนินดินปลายห้วย

ใจที่เป็นนายกายที่เป็นบ่าว ตอนนี้ใจมันสั่นไหวเต้นระรัวดังกลองเพล แค่เพียงลมหายใจอุ่นๆของเขารดออกมา ใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ กลิ่นลมหายใจนั้นมันแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของความรู้สึก ใจลอยไปไกลแสนไกลแล้วรู้ไหม
 
"เฮ้ย ออกห่างๆหน่อยสิบอท อึดอัดว่ะ"
 
น้ำพยายามไล่ความในใจออกไป เพื่อนรักรั้วบ้านติดกันผู้นี้กำลังทำให้หัวใจของเขาไหวหวั่นไปได้มากทีเดียว
 
"ไรวะ ก็ที่มันมีอยู่แค่นี้ จะให้ถอยไปไหน"
 
บอทเองก็ขมวดคิ้ว สายฝนที่โปรยปรายลงมา เสียงรามสูรที่กำลังไล่นางเมขลาแย่งแก้วมณีกันอยู่นั้นยังคำรามกึกก้อง แสงที่เหมือนแฟลชของกล้องถ่ายรูปขนาดใหญ่ก็ส่องแสงวูบวาบแปลบปลาบไปทั่ว บริเวณ เสียงพิโรธของท้องฟ้าดังเปรี๊ยะๆมีแสงสีส้มแดงแปลบลงมาก่อน เสียงเปรี๊ยะตามมาสักพักก็ เปรี้ยงดังสั่นหวั่นไหว น้ำเองเริ่มเอามือขึ้นอุดหูของตัวเองย่นคอลงต่ำ

"หึหึ กลัวเหรอน้ำ"

เสียงหัวเราะออกจากคอของเพื่อนรัก

"กลัวดิ"

"มาเรากอดนายจะไม่ต้องกลัว"

พูดไม่ได้คิดอะไรแต่คนฟังหัวใจกระเจิดกระเจิงไปไกลแสนไกล ใบหน้าฉาบด้วยเลือดฝาดระเรื่อขึ้นทันที

"บ้าเหรอ"

"อ้าว ก็เห็นกลัวเขาบอกฟ้าชอบฝ่าตรงคูห้วยนะน้ำ"

เบียดกายเข้าหาเพื่อนรักทันที สีหน้าแววตาดูเชื่อย่างสนิทใจ

"ฮ่าๆๆ ไหนบอกไม่กลัว มาเรากอด"

บอทดึงตัวน้ำไปกอดไว้แล้ว ร่างที่ไร้อาภรณ์ปกคลุมในท่อนบน ไออุ่นจากร่างกายแผ่กระจายมาถึงส่วนที่กำลังเต้นเรียกร้องความสนใจอยู่กลางอก เลือดสูบฉีดรุนแรงใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสีจากระเรื่อเป็นแดงจัด

"ตัวร้อนเชียวน้ำ โดนฝนไม่สบายเหรอ"

เสียงทุ้มดังอยู่เหนือหัว

"ปะ เปล่านี่ น้ำอึดอัด"

"อ้าวก็ไม่บอก ไม่กอดก็ได้"

ปล่อยมือออกทันที บอททำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่น้ำเองกลับหวิวขึ้นในใจเสียดายอ้อมกอดนั้น ได้แต่เม้มปากแน่นรำพึงอยู่ในใจ เสียงของห่าฝนที่สาดกระหน่ำลงมาขาวโพลนไปทั่วบริเวณมองไม่เห็นสิ่งใด ไอฝนเย็นยะเยือกจับใจ เสียงฟ้าร้องคำรามก็ดังกระหึ่มอยู่เหนือหัว แสงแปลบปลาบมาพร้อมกับเสียงที่บาดเข้าไปในแก้วหู ทุกครั้งที่แสงวาบเสียงเปรี้ยงก็ตามมา น้ำเองเบียดกายเข้าติดกับบอทแล้วไม่รู้ตัว

"หึ กลัวก็ทำเป็นเก่ง กลัวไรวะเรายังไม่กลัว"

บอทยิ้มขึ้นที่มุมปาก

"ก็กลัวอ่ะ"

เสียงเริ่มสั่น บอทเองหัวเราะออกมา

"มาๆ จะอึดอัดอะไรล่ะ กอดไม่ให้กลัว"

แม้จะค้านร่างเอาไว้แต่ก็ไม่สู้แรงดึงของเพื่อนรักที่ดึงร่างเข้าไปกอดไว้ในอกแล้ว เสียงหัวใจเต้นระรัวดังกลองมโหรี พยายามควบคุมตัวเองยิ่งพยายามยิ่งห้ามใจมันก็ยิ่งค้านสั่นไหว

"ทำไมสั่นจังวะน้ำ ทำเหมือนไม่เคยกอดกันงั้นล่ะ"

บอทเอ่ยขึ้นเพราะทั้งสองกินนอนไปไหนมาไหนด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทำอะไรต่อมิอะไรไม่มีปิดบัง แต่มาพักนี้บางอย่างเปลี่ยนไป สิ่งที่อยู่ลึกๆในใจของคนที่อยู่ในอ้อมกอดมันแปรเปลี่ยนไป มันคืออะไร น้ำเองพยายามบอกกับตัวเองว่ามันไม่มีอะไร มันไม่มีอะไรทั้งนั้น ยิ่งฟ้าคำรามดังกระหน่ำขึ้น ร่างของน้ำก็เบียดเข้าหาบอทมากขึ้นกว่าเดิม

"น้ำนี่ก็น่ากอดดีนะ คืนนี้ไปนอนกะเรานะน้ำ"

เหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสั่นไหวบอทเองก็แหย่น้ำปรายตาขึ้นมอง หยาดน้ำฝนยังเกาะอยู่ตามโครงหน้าเข้มนั้นจับพราวอยู่ รอยยิ้มที่ฉายออกมากวนๆ ทำไมใจมันถึงสั่นจังล่ะ

"อือ"

"หนาวเหรอสั่นๆ กอดแน่นๆดิ"

เม้มปากแน่นน้ำกอดร่างของเพื่อนแน่น ถ้ามันคืออะไรในใจตอนนี้ไม่รับรู้แล้ว ขอกอดอยู่อย่างนี้ได้ไหม ภายใต้ใจที่สั่นไหวนี้มันคือความสุขแสงประหลาดแวมวับอยู่ไกลๆ ขอกอดหน่อยนะเพื่อน

สายน้ำที่ไหลตามทางดินไหลลงที่นาน้ำใสไหลหลั่งไปทางเดียวกัน สายฝนยังเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ข้าวในนากำลังตั้งท้องลำกลมแล้ว เสียงหยดน้ำฝนดังจ๋อมๆอยู่ทั่วบริเวณ แสงอาทิตย์อัสดงไปนานแล้ว ราตรีคืบคลานเข้ามาทวงสิทธิ์ของตัวเอง ฟ้ามืดขมุกขมัวไล่พื้นที่มาแล้ว

"กลับเถอะน้ำ เดี่ยวมืดก่อนไม่เห็นทาง"

เสียงทุ้มปลุกน้ำให้ตื่น ไม่ถึงกับหลับแต่เคลิบเคลิ้มไปใจมันลอยไปไกลแสนไกล ในที่ที่มีแต่เขากับความสุขที่ได้จากอ้อมกอดนี้ ยอมถอดถอนร่างออกอ้อมกอดนั้น

"อืม กลับดิ แม่ถามหาแล้วป่านนี้"

ตอบอ้อมแอ้มไปแล้วเดินตามบอทออกมาจากจากกระท่อมหลังเล็กบนคูห้วย ลมที่พัดเพราะแรงของฝนทำให้พื้นดินโคลนลื่น

"โอ๊ะ"

"ระวังน้ำ"

ร่างของคนที่เดินตามหลังมาไถลลื่นโคลนเซไปด้านหน้าบอทคว้ากอดเอวไว้ แต่แรงผลักมันเป็นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก น้ำคร่อมร่างบอทเอาไว้ล้มลงทั้งสองคน เหมือนสวรรค์แกล้งปากที่อ้าร้องอยู่ประกบเข้าพอดีกับปากของคนที่หงายหน้าขึ้นหาท้องฟ้า ร่างกายเริ่มเย็นยะเยือก ไอร้อนจากตัวเริ่มหายไป มือเหี่ยวปากเริ่มเขียวสั่น แต่ปากนั้นยังอุ่นร้อนอยู่ สัมผัสของส่วนที่เปราะบางที่สุดประกบกันอยู่อย่างนั้น

"เอ้ย น้ำขอโทษ"

ดึงร่างตัวเองขึ้นเอามือยันพื้น

"แหะๆ ปากนายร้อนดีนะน้ำ"

หัวเราะออกมา นัยน์ตาที่พราวเสน่ห์มันช่างชวนมองยิ่งนัก น้ำเองก้มหน้าลงอายไอร้อนจากปากจับตรึงอยู่ซ่านไปถึงใจ เม้มปากแน่นไม่อยากให้รสนี้จางหายไป นี่เราเป็นอะไรไปทำไมหวั่นไหวไปได้มากถึงเพียงนี้ สายฝนเอยยิ่งสาดยิ่งเทลงมามากเท่าใด ร่างกายเท่านั้นที่หนาวเหน็บ แต่ในใจทำไมมันร้อนดังไฟสุมอยู่ ยิ่งได้ซ้อนจักรยานกลิ่นอายของคนที่อยู่ด้านหน้ามันช่างบีบรัดหัวใจยิ่งนัก แผ่นหลังกว้างอันนี้ ทำไมเราถึงไหวไปได้ขนาดนี้ เคยเห็นทุกอย่างในเรือนร่างนี้ เคยสัมผัสมาหมดแล้ว แต่นี่อะไร ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน

"เอาแกงสายบัวไปให้ป้านิ่มหน่อยสิน้ำ ฝนนี่ก็ตกไม่หยุดสักที"

แกงสายบัวใส่ปลาช่อนหอมฉุย มารดาของน้ำเป็นพยาบาลที่อนามัยประจำหมูบ้าน ส่วนบิดาเป็นภารโรงในโรงเรียนประถม น้ำมีน้องชายอีกคนอายุเพิ่งจะเก้าขวบ ส่วนบอทมีแต่แม่ ป้านิ่มเป็นชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง มีลูกชายเพียงคนเดียว สามีแกจากไปนานแล้ว นานจนเลือนไปจากความทรงจำของลูกชาย เพราะเขาเสียไปก่อนที่บอทจะลืมตาดูโลกเสียอีก

"เอาร่มไปด้วยสิน้ำ"

"แม่คืนนี้น้ำนอนค้างที่บ้านบอทนะ"

"อ้าว มีการบ้านเหรอ"

เป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะสองชายคาติดกัน มีอะไรก็เรียกหากัน เลี้ยงดูลูกชายมาด้วยกัน กินนมจากเต้าทั้งบอทและน้ำ แม่บุญช่วยไม่อยู่ก็กินนมจากเต้าแม่นิ่ม แม่นิ่มไม่อยู่ก็กินนมจากเต้าแม่บุญช่วย

"ไปล่ะแม่ พ่อยังไม่กลับอีกเหรอ"

"ยัง แม่รอกินข้าวอยู่เนี่ย ไปหาหน่อไม้ถึงไหนแล้วก้ไม่รู้ฝนก็ตก ถ้าน้ำจะไปกินข้าวบ้านป้านิ่มเอาก่องข้าวเราไปด้วยสิลูก ตักแกงเพิ่มไปอีก"

แม่บุญช่วยจัดแจงกล่องข้าวเหนียวให้น้ำและตักแกงใช่ชามใบโตกว่าเดิมแล้วเอาใบเก่าคืนมาเทใส่หม้อไว้เหมือนเดิม น้ำกางร่มสีมอๆเดินข้ามรั้วไม้ไผ่ที่ไม่เหลือร่องลอยของคำว่ารั้วไว้เลยเพราะมันผุพังไปแล้วตามกาลเวลา

"ป้านิ่ม บอทล่ะ"

พอชะโงกหน้าเข้าไปใต้ถุนบ้านก็ร้องทักออกไป

"อ้าวน้ำ มันอาบน้ำ อยู่ตุ่มหลังบ้านโน่น มากินข้าวกับป้าเหรอวันนี้"

"ครับ ว่าจะมากินข้าวด้วย ค้างด้วย"

"รอไอ้บอทก่อนลูก"

ยิ้มออกมาตาพราวเพราะคิดอะไรขึ้นมาได้ น้ำเดินลอดใต้ถุนบ้านไปหลังบ้าน เสียงผิวปากตักน้ำราดตัวอย่างอารมณ์ดี บอทใส่ผ้าขาวม้ากำลังฟอกสบู่อยู่ เอาอีกแล้ว ใจเต้นแรงอีกแล้ว แค่เห็นเนื้อหนังของคนที่ยืนอาบน้ำอยู่ต่อหน้ามันแนบชิดเป็นเนื้อเดียวกับผ้าขาวม้าที่พอโดนน้ำมันก็บางจนเห็นเนื้อ ทั้งที่เคยเห็นแล้ว ทั้งที่เคยอาบน้ำด้วยกันมาแล้ว ทำไมนะ

"อ้าวน้ำ มาเมื่อไหร่ ไม่ให้เสียงเลยนะ มาแอบดูเราเหรอ ฮ่าๆๆ"

แหย่แล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี น้ำเองหน้าเสียไป

"บ้าเหรอบอท ก็เห็นป้านิ่มบอกอาบน้ำอยู่นานแล้ว น้ำนึกว่าช่วยตัวเองเลยมาดู"

"บ้าดิ ถ้าน้ำจะช่วยน่ะพอได้ เอาไหมล่ะช่วยเราหน่อย"

บอทเองพูดออกมาไม่ได้คิดอะไร ไม่มีอะไรในใจนอกจากแหย่เพื่อนเล่นๆอย่างที่เคยทำ แต่น้ำเองกลับสะอึกพูดไม่ออก กลืนน้ำลายลงคอยังลำบาก

"บ้าเหรอบอท รีบอาบสิน้ำหิวข้าวแล้ว"

ไม่รู้ว่าสิ่งที่แสดงออกไปมันมีท่าทางยังไง แต่รู้ว่าบอททำหน้าแปลกๆ น้ำเดินหันหลังให้แล้วเดินกลับมานั่งที่แคร่ใต้ถุนบ้าน สักพักบอทก็เดินตามมามีผ้าขาวม้าผืนใหม่พันเอวอยู่

"ไปเปลี่ยนเสื้อแป๊บนะคร้าบ คุณน้ำ"

ทำหน้าตาล้อเลียนแล้ววิ่งขึ้นไปบนบ้าน

"ดูมันทำ แล้วได้ปลาเยอะไหมวันนี้น่ะน้ำ"

ป้านิ่มถามขึ้นแล้วเตรียมถาดรองกับข้าวมาวางต่อหน้า กลิ่นแกงสายบัวยังหอมฉุย มีน้ำพริกปลาหมอที่ป้านิ่มทำ ปลาหมอตากแดดแล้วเอาไปย่างตำรวมกับมะขามอ่อนใส่มะกอกบ้าน เหยาะปลาร้าหน่อยกลิ่นหอมของมะกอกบ้านลอยมาเตะจมูก

"แค่ไปวางเองป้านิ่ม ฝนดันตกซะก่อน เดี๋ยวกินข้าวเสร็จว่าจะพากันไปดู น่าจะเยอะ"

"อืมแต่อาบน้ำแล้วนี่ ฝนก็ยังไม่หยุดเลย ไม่ไปพรุ่งนี้ล่ะลูก เดี๋ยวไม่สบาย"

พอฝนตกลงมาอย่างหนักไฟฟ้าก็ดับทั้งหมู่บ้าน เป็นปกติของที่นี่ ตะเกียงเจ้าพายุที่ส่องแสงสีส้มแวมวับอยู่ให้แสงสว่างได้มากไม่ต่างกัน แสงนวลไม่จ้าหรือสว่างเกินไป มีกลิ่นของน้ำมันก๊าดลอยผสมปนออกมากับแสงนั้น ใต้ถุนบ้านมีเงาของคนสามคนกำลังล้อมวงกินข้าวเย็นกันอยู่ ข้าวเหนียวในก่องอุ่นไม่ร้อนจนเกินไป กับข้าวที่ปรุงเสร็จใหม่กลิ่นยังลอยคละคลุ้งหอมยวนใจ พอกินข้าวเสร็จก็พากันปั่นจักรยานฝ่าสายฝนออกไปทุ่งนาอีกครั้งเพื่อดูเบ็ดที่ปักไว้ ความมืดที่ปกคลุมแผ่ม่านดำไปทุกหัวระแหงในเขตุที่สายตาจะมองเห็น ไฟในหม้อแบตเตอรี่ที่ชาร์จจนเต็มส่องแสงนำทางให้คนทั้งสอง แสงวูบวาบจากบนฟ้ายังคงส่องแสงแปลบปลาบอยู่พอให้เห็นภาพเบื้องหน้าได้แจ่มชัดทุกคราที่แสงนั้นฉายออกมา

"เบื่อฝนว่ะ มันจะตกอะไรหนักหนา ขี้เกียจอาบน้ำใหม่"

บอทบ่นออกมาระหว่างทาง สายตาก็จ้องมองฝ่าความมืดไป มีน้ำกอดเอวซ้อนท้ายอยู่

"ก็ไม่ต้องอาบดิ เช็ดตัวแล้วนอนเลย"

"บ้าเหรอน้ำ เดี๋ยวก็ไม่สบาย พรุ่งนี้มีสอบท่องชีวะฯ ขี้เกียจรำคาญกะครูต้า"

"งั้นก็ไม่ต้องบ่นดิ"

ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยบาดหมางใจกับบอทเลย มีอะไรช่วยกันตลอด ถ้าน้ำล้มบอทจะดึงมือขึ้น ถ้าบอทโดนใครต่อยมาน้ำจะไปจัดการให้ เพื่อน คำๆนี้มันฝังลงไปในใจแต่สำหรับน้ำ เพื่อน ที่ตอนนี้ทำให้หัวใจไหวหวั่นลอยละลิ่วไปไกลแสนไกล สะบัดหัวให้ความคิดเหล่านี้มันหลุดหายไปจากหัว แต่มันไม่ง่ายเลย ทำไมนะ ไม่อยากจะรู้สึกแบบนี้เลยให้ตายเถอะ

"ไปอาบน้ำด้วยกันเลยดิน้ำ จะได้ไปท่องหนังสือ เร็วหนาวแล้ว"

บอทชวนหลังจากกลับมาจากกู้เบ็ด ปลาที่ติดเบ็ดมาตัวใหญ่เขื่องๆทั้งนั้น ทั้งปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ มีงูติดมาบ้างแต่บอทจัดการปล่อยมันไปแล้วเห็นบอกว่าเป็นงูปลาไม่มีพิษ

"จะดีเหรอบอท เรา"

"อายไรวะ อาบด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ หรือนายมีอะไรเปลี่ยนไปเหรอ ไหนดูหน่อย"

"บ้าเหรอ เออ อาบก็อาบ กลางแจ้งเนี่ยนะ"

"มืดจะตายใครเขาเรียกกลางแจ้ง"

บอทค้านแล้วถลกเสื้ออกจากตัวเอาผึ่งไว้ที่เชือกใต้ถุนบ้าน น้ำเองก็ยืนชั่งใจอยู่ บอทถอดกางเกงออกแล้ว แม้จะมืดแต่ก็พอมองเห็นรูปร่างของเพื่อนได้ถนัดตา พลันใจเอยมันไหวสั่นระริกเหมือนข้าศึกบุกแล้วตีกลองชัยให้ออกรบระรัวระริกร้อนรนอยู่

"เร็วดิ มาถูหลังให้เราด้วย อาบมันน้ำฝนนี่ล่ะเย็นดี"

บอทเอาผ้าขาวม้ามาพันเอวไว้แล้วเดินลอดใต้ถุนบ้านไปยังตุ่มที่อยู่หลังบ้าน น้ำเองยืนลังเล แต่ก็ไม่นานเพราะไม่อยากให้เพื่อนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในใจ ถ้ามันจะผิดขอให้มันอยู่ในใจคนเดียวเถิด น้ำบอกก่อนจะถอดเสื้อผ้าแล้วฉวยผ้าขาวม้าตามบอทไป

"เฮ้ย น้ำแข็งเลยเหรอวะ นายคิดอะไรป่ะเนี่ย"

แม้จะพยายามควบคุมใจ แต่ร่างกายแรงค้านภายในมันไม่ยอมง่ายๆ น้ำเอามือกุมไว้ อายหน้าแดงแต่ด้วยความมืดมองไม่เห็นสีหน้า

"มันหนาวว่ะ เราชอบแข็งเวลาเย็นๆ"

"ฮ่าๆ แปลกคน ไหนดูหน่อย ไม่ได้เห็นนานแค่ไหนแล้ว"

บอทพูดออกมาไม่ได้คิดอะไรมาก แต่น้ำใจสั่นไหวกระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนแล้ว

"บ้าดิบอท ใครจะมาเปิดให้ดู รีบอาบเถอะเราหนาว"

"เอ้ย ดูหน่อยดิ นะนะ อ่ะเดี๋ยวให้ดูของเรา ทำไมอายวะเห็นกันมาตั้งแต่ขนยังไม่ขึ้น"

บอทไม่พูดเปล่าดึงผ้าขาวม้าเปียกน้ำออกจากเอว น้ำเองขืนตาจะไม่มองแต่ก็ไม่หลบสายตาหนี แม้มันจะมืดสนิทแต่ร่างฉาบน้ำฝนส่องประกายวามวับ ก้อนเหนียวๆก้อนใหญ่จุกอยู่ที่คอ จากที่หนาวกลับเปลี่ยนเป็นร้อนผ่าวไปทั้งหน้า

"ไหนของนาย เอ้ยแข็งไม่ลงเลยเว้ย"

บอทดึงผ้าขาวม้าออกจากร่างน้ำทันที

"เออมันไม่ลง บอกแล้วมันหนาวเลยของขึ้น เร็วๆดิจะได้รีบไปท่องหนังสือ"

"เราว่าเราทำก่อนดีกว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว นายไปก่อนเถอะ"

ใจสั่นเต้นระรัวไปยิ่งกว่าเดิม เลือดในกายเหมือนเพิ่มพลังอัดฉีดแรงขึ้น เม้มปากแน่นรีบตักน้ำราดตัวแล้วเดินหนีไป เราเป็นอะไรไป ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน นี่เราเป็นอะไรไป เคยนอนกอดกัน เคยเห็นทุกซอกทุกมุมของร่างกายแต่ไม่เคยหวั่นไหวหรือรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เราเป็นอะไรไป น้ำตั้งคำถามให้ตัวเองวกวนอยู่ในหัวกระสับกระส่ายจนบอทขึ้นมาบนเรือน

"เป็นไรวะน้ำ ดิ้นใหญ่เลย ไปเอาออกดิบอกแล้วจะได้สบายตัว"

"ไม่มีอะไรหนาวๆว่ะ รีบมาท่องเถอะ จะได้นอน"

พยายามเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงประเด็นไป บอทเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มลงนอนข้างๆ

"เอ้ย ทำไรวะ"

"อ้าวก็นายบอกหนาว ก็กอดไงจะได้หายหนาว"

เพื่อนเอยเรากำลังรวบรวมสติอยู่ แต่เพื่อนไม่รู้ยิ่งมากระพือลมให้ใจมันร้อนรนยิ่งกว่าเดิม

"แล้วจะอ่านหนังสือไงบอท มานอนกอดอยู่แบบนี้อ่ะ"

"อ้าว ก็นายอ่านให้เราฟังเหมือนเมื่อคืนไง เราจะจำเอา"

"สบายไปไหมอ่ะ"

"อ้าว ไม่รักเพื่อนคนนี้แล้วเหรอน้ำ"

กระตุกใจเม้มปากแน่น

"บอท น้ำรักบอท บอทเองก็รู้นะ"

เสียงเครียดขึ้น มีอะไรอยู่ในคำว่ารักมากกว่าที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะบอกแค่รักเพื่อน ความรักที่มันแปลกแตกแยกออกมา จากที่แต่ก่อนมันเฉยชา แต่ตอนนี้มันร้อนรนเหลือเกิน

"น้ำ เราขอโทษ เราก็รักน้ำนะ รักน้ำมาก"

ยิ่งบาดลึกลงไปในใจ ทำไมความรู้สึกเหล่านี้มันมีพลังมากมายขนาดนี้นะ ทั้งเจ็บทั้งสุขระคนกันไปจนแยกไม่ออกว่าอันไหนมาก่อนกัน หรือควรจะยึดติดกับอันไหนดี เนิ่นนานแสนนานเสียงท่องหนังสือของน้ำดังแว่วๆ บอทหลับไปแล้ว หลับทั้งที่ยังกอดเอวของน้ำอยู่ ขยับกายมองร่างของเพื่อนรัก ถอนหายใจออกมา แววตาที่มองบอทตอนนี้มันฉายแววระยับออกมา จะรู้ไหมนะบอท ว่าเพื่อนคนนี้ใจมันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ น้ำตัดใจหยิบสมุดไดอารี่ของตัวเองขึ้นมาเขียน เริ่มเขียนตั้งแต่ตอนไหนนะไม่รู้หรอก แต่เขียนมาได้ครึ่งเล่มแล้ว และวันนี้เป็นวันแรกที่จะเขียนเหี่ยวกับเรื่องในใจที่มันคับแน่นอยู่

๑๙ กันยายน

ไม่รู้จะเริ่มยังไงดีกับวันนี้ กูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู ความรู้สึกเหล่านี้มันคืออะไรกันนะ ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเป็น ไม่เคยรู้สึก แล้วนี่มันอะไรกัน วันนี้ทั้งวันเรียนไม่รู้เรื่อง สอนห่าอะไรก็ไม่รู้ หรือว่าหัวกูมันไม่รับเอง เซ็งว่ะ วันนี้ไปปักเบ็ดกับมึงมาเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ก็ไม่เหมือนทุกวัน กูไม่รู้ว่ะ กูไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้กูกำลังคิดอะไรอยู่ มันลางๆอยู่ในใจ ตอนฝนตกกูไม่รู้สิ ใจกูมันแปลกๆไป ช่างเถอะ ง่วงแล้ว มึงหลับตายห่าไปก่อนกูแล้ว กูจะนอนเหมือนกัน ฝันดีไอ้เพื่อนรัก
 
ปล มึงเป็นจูบแรกของกูนะเพื่อน



วิสัชนา แสงจันทร์นั่นไงที่กระทบแผ่นน้ำแล้วงามระยับเยือกเย็นไม่แพ้แสงสุริยา

เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าชายรองเท้าแตะ ที่ 28-09-2010 22:19:53
:mc4: :mc4: :mc4:

เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม  :-[





อ่านแล้วกลับมาดิท
.
.
.
สนิมน้ำค้าง ออกแนวพีเรียดเน้อออออ ไม่รู้ว่าเค้าคิดไปเองรึเปล่า แต่อ่านแล้วภาพมันเป็นสีซีเปียอ่า

ภาษาสวยเหมือนเดิมน้า คนอ่านอ่านอย่างละเอียดเลย แล้วก็ไม่เข้าใจ ทำไมตัวเองถึงหยุดหายใจก็ไม่รู้

สงสัยเรทชวนคิดมั้ง ก็มันไม่หวือหวา แต่ว่า...มัน...หวิวหวิว นี่นา  :-[

ไอ้แนวเพื่อนรัก...รักเพื่อนเนี่ยยยย ชอบนักแล

เข้าใจอารมณ์น้ำเป็นอย่างยิ่ง รักเพื่อน แต่แม่งบอกไปไม่ได้ โครตอึดอัด คิดไปสารพัดสารเพ ว่าถ้าบอกมันออกไปแล้วเกิดเราต้องเสียมันไปซึ่งเป็นเพื่อนรักของเรา

แล้ววว...เราจะทำยังไง? โลกนี้มันคงไม่เหมือนเดิม...
.
.
.
"บอท น้ำรักบอท บอทเองก็รู้นะ"

เสียงเครียดขึ้น มีอะไรอยู่ในคำว่ารักมากกว่าที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะบอกแค่รักเพื่อน ความรักที่มันแปลกแตกแยกออกมา จากที่แต่ก่อนมันเฉยชา แต่ตอนนี้มันร้อนรนเหลือเกิน
^
^
^
:m31: บอกมันไม่รู้กี่ล้านรอบ แต่แม่งไม่เคยซึมเข้าไปในหัวใจมันซักที เพื่อนเวรรรร :m31:

ตรูอินเนอร์เกินไปป่ะเนี่ย :z3: แต่...จัดหนักมาเลยพี่อิ๊ก ชื่อเรื่องแม่มบอกอยู่แล้ว มาม่าแน่นอน  :m15:

+1 พี่อิ๊ก ติดตามเสมอเน้ลูกพี่  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 28-09-2010 22:20:45
ภาษาสวยงาม ชอบค่ะ บวกให้นะค๊า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 28-09-2010 22:31:45
เจิมเรื่องใหม่ แหม จะไม่ให้คนอ่านได้พักเลยนะคะ
ขอบคุณสำหรับเรือ่งใหม่ที่เร็วทันใจอย่างนี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 28-09-2010 22:43:31
อย่าบอกนะคะว่าเรื่องสั้นจบตอนเดียว   :a5:


จะมีต่อไหมอ่ะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: •ไนท์คลุง• ที่ 28-09-2010 22:44:47
มาจิ้มมมมมมมมม




มาอ่านแล้วนะครับ  ภาษาสวยงามมากครับ


แอบอิจฉา :call: :call:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 28-09-2010 23:19:46
เข้ามาเจิมเรื่องใหม่คุณอิ๊ก  :mc4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 28-09-2010 23:21:51
มาจิ้มพี่อิ๊ก  มาแล้วเรื่องใหม่  อิอิ
รู้แล้วว่าพี่อิ๊กชอบกินอะไรเป็นพิเศษ  แกงสายบัวใส่ปลาช่อนนี่ชอบจัง 555 พี่ภูมิก็แกงสายบัว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 28-09-2010 23:46:44
    ภาษาสวยมากค่ะ ขอมาติดตามด้วยนะคะ อิอิ จะมีม่ามามาสอดแทรกเยอะไหมหละหนอชื่อเรื่อมันดูกระตุกใจยังไงชอบกล


+1เป็นกำลังใจให้นะคะ


แล้วรีบมาต่ออีกน๊า.........

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 29-09-2010 00:05:20
รับเรื่องใหม่ [อีกแล้ว]
+1 เป็นกำลังใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 29-09-2010 00:16:14
 :L2: :L2: เรื่องใหม่ เย่ๆ
บวกหนึ่งแทนกำลังใจจ้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 29-09-2010 00:34:45
ตามมาแล้วววววววววววววววววววววววววววว..

 :a1:


พร้อมกำลังใจล้นหลาม :กอด1:


***********************

แค่อินโทรก็ดูน่าอ่านมากกกกกกกกแล้ว คุณอิ๊ก
มันดูมีอะไรลึกๆในอารมณ์ดี
อารมณ์ที่เก็บ อารมณ์ที่ต้องซ่อน
อารมณ์ดิบ อารมณ์เจ็บปวด..
ไม่ได้เจ็บปวดแบบซาดิสม์มาโซคิสม์นะ  :-[
แต่อารมณ์แบบ เปิดเผยไม่ได้ กลัวว่าอะไรจะเปลี่ยนไป
แล้วก็ต้องทนเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็น

 :m11:

ไม่รู้ ชอบอ่านอะไรแบบนี้ แล้วแค่อ่านบทนำมันก็รู้สึกว่า
โทนเรื่องจะมึนอึมครึม ประมาณนี้
เลยกรี๊ดวี้ดวิ้วล่วงหน้า  :laugh3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 29-09-2010 01:33:33
นึกถึงตอนตัวเองอายุ14ชะมัด เพื่อนรักรักเพื่อน  :o8:
แต่รักแรกใครก็บอกอยู่แล้วไม่มีทางสมหวัง ยิ่งเป็นรักเพื่อน
โอ้ย พี่อิคกลิ่นมาม่าโชยมาแต่ไกลแล้วเนี้ย :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 29-09-2010 03:07:47
 :L1:เข้ามาเป็นกำลังให้อีก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: taem2love ที่ 29-09-2010 03:42:56
wow!!!!!!!จิ้มจุ่มเรื่องใหม่ค่ะ จะมาติดตามเรื่อยๆน้าๆๆๆๆ อิ๊กกี๊
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 29-09-2010 04:01:05
เจิมเรื่องใหม่    :z13:  :z13:   :z13:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 29-09-2010 04:14:09
 :mc4: :mc4: :mc4:
แวะมาร่วมฉลองเรื่องใหม่ค่ะ

คาดเดาว่า มาม่า ต้องเป็นสปอนเซอร์หลักของเรื่องนี้อย่างแน่นอน  :m4:
กลิ่นลอยมาแต่ไกล  :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 29-09-2010 06:55:49
มาแล้วๆ ท่าทางจะทนอ่านกลางเรื่องไม่ได้แหงๆ 555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: Annetemis ที่ 29-09-2010 10:26:39
"บางส่วนมาจากเนื้อความในไดอารี่ส่วนตัวของผมสมัยเรียนมัธยมปลายนะครับ"
อ้อ...ที่แท้มันก็คือ "บันทึกน้ำร๊ากกกกกกกกกกกกหลายลิตร" ของพี่ eiky นั่นเอง o22
ว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า :laugh:
ฉลองเรื่องใหม่ สู้ ๆ นะค่ะ :mc4: :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 29-09-2010 10:54:15
มาอ่านเพราะ ชอบ ชื่อเรื่อง หุหุ

แนว แอบรักเพื่อนนี่..อ่านทีไร หวิวแทนเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 29-09-2010 11:05:37
เออ อ่านเพลินดีเหมือนกัน แต่ กรุณาไปเช็คอีกรอบด่วน หายจุดเหมือนกัน Eiky หรือรอคุณครูมิ มาตรวจอีกทีจะดีกว่าเนาะ 555

บรรยากาศท้องทุ่งเห็นภาพดีค่ะ แต่ป้าคงต้องรอดูความเปลี่ยนแปลง

ของมิตรภาพ ต่อไป เอาใจช่วย +1 เน้อ...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 29-09-2010 11:30:15
คุณอิ๊กคนเก่งเสิร์ฟเรื่องใหม่ร้อนๆ แถมมีคุณภาพมาอีกแล้วจ้า
เรื่องภาษาให้ความรู้สึกละเมียดละไม และอิ่มเอมเช่นเคย
สถานที่และบรรยากาศของเรื่องในตอนนี้ ให้ความรู้สึกเต็มตื้นและเป็นสุข
ด้วยทำให้เราได้ย้อนไปถึงอดีตที่เคยเห็น เคยเป็น เคยทำ (แก่แล้วไง)
เอ่อ..คุณอิ๊กคะ ติดใจนิดเดียวค่ะ คำว่า กล่องข้าว อยากขอเป็นคำอีสานดั้งเดิมว่า ก่องข้าว ค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 29-09-2010 12:35:46
รัก คุณ อิ้กกี้โคตตตตตตตตตตตตตตตตตต  สุตโค่ยยยยยย เลยครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: Pamphlet ที่ 29-09-2010 14:16:24
ว้าววววว เรื่องใหม่ของพี่อิ๊กมาแล้ว
อยากบอกว่าใช้คำ+ภาษาได้สวยมากเลยค่ะเรื่องนี้
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: winney555 ที่ 29-09-2010 14:29:29
                  สนิมน้ำค้าง
      น้ำค้างพราวพร่างพื้นดินพรม
   แล้วสายลมผ่านพัดพาไป
   ยังแต่สนิมล้อมกินดวงใจ
   เป็นสนิมในน้ำค้าง พร่างพรม
      *มีชีวิตในม่านมน มืดดำ
   ใครหนอทำสร้างกรรมช้ำตรม
    เจ้าจึงโศก ระทม ตรมหมองฤทัย
      รักเหมือนเรือล่องคล้องกลางธาร
  พัดแล้วพลัน พร่าฝนมลาย
  มีแต่สลาย ร้างลา อาลัย
  เป็นสนิมในหัวใจทุกครา
    ** มีนรกอิงพึ่งพิงพักใจ
  มีสวรรค์ในห่างไกลเหลือคณา
  ช้ำวิญญา ชะตา ข้า อาภัพจริง
 (ซ้ำ ) * ,**


 เอ่อหวังว่า เนื้อเรื่องคงไม่ so sad เหมือนเนื้อเพลงนะขอรับ
  รักคนแต่ง ครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 29-09-2010 15:57:26
เขียนดีจ้า น่าติดตาม รออ่านต่ออยู่นะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass)
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 29-09-2010 16:40:42
โว้วว แอบรักเพื่อนสนิทเหรอ
ไม่เอาเศร้านะพี่

จะรอติดตามค่า : )
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 29-09-2010 17:09:01
บทที่ ๒

ปุจฉา อันกลิ่นใดในโลกนี้จะตราตรึงอยู่ในห้วงความรู้สึกของเราได้ยาวนานที่สุด
 
เพลาเช้าแสงแรกของอุษาสายสาดส่องกระทบร่างชายวัยรุ่นสองคนที่นอนก่ายกอดกันอยู่ ภายใต้ผ้าห่มขี้งาปูรองพื้นด้วยเสื่อลูกเขื่อง ฝนหยุดตกไปแล้วตั้งแต่ก่อนรุ่งสางอากาศที่เย็นยะเยือกทำให้ร่างกายทั้งสอง เบียดเข้าหาความอบอุ่น ร่างสองร่างเบียดเข้าหากันเป็นเรื่องปกติมาแต่ไหนแต่ไร น้ำงัวเงียตื่นขึ้นก่อน พอลืมตาขึ้นก็เห็นปลายคางของเพื่อนรักจ่ออยู่ต่อหน้า ลมหายใจยังยาวลึกระบายออกมาอย่างสม่ำเสมอ ใจมันอุ่นขึ้นทันทีแกล้งทำเป็นหลับต่อไปเบียดร่างเข้าหาเพื่อนรัก
 
"ไอ้บอท ตื่นได้แล้วไปเอาฟางมาให้อีน้อยมันซิ"
 
เสียงของแม่นิ่มร้องมาจากใต้ถุนบ้าน ตื่นตั้งแต่ก่อนไก่โห่แล้วลงไปนึ่งข้าวเหนียวคุยกับแม่บุญช่วยอยู่สักพัก พอหกโมงเช้าก็ร้องปลุกตามปกติเป็นกิจวัตรประจำวัน บอทงัวเงียตื่นขึ้น
 
"น้ำๆ ตื่นๆ"
 
"อือ เช้าแล้วเหรอ"
 
"เช้าแล้วดิ แหมกอดเราแน่นเชียวนะ"
 
"มันหนาวนี่หว่า ไปช่วยแม่ดีกว่า"
 
พูดแก้เขินลุกขึ้นเดินออกจากที่นอน บอทที่จริงแล้วไม่ได้ชื่อนี้ตั้งแต่เกิด ตอนเกิดเห็นแม่บุญช่วยเล่าให้น้ำฟังว่า บอทไม่ยอมลืมตาทั้งที่ผ่านไปหลายวันแล้ว แม่นิ่มไปให้พระท่านดู ท่านก็บอกว่าให้ตั้งชื่อแก้เคล็ด แม่นิ่มก็เลยเรียกว่าไอ้บอด แต่เรียกไปเรียกมาเพี้ยนเป็นบอท อีกทั้งเจ้าตัวชอบให้น้ำเรียกว่าบอท เพราะเขาบอกว่ามันมาจาก โรบอท ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นไอ้บอดจึงเป็นแค่อดีตไป
 
บอทลุกจากที่นอนพับเก็บผ้าห่มขี้งาสีตุ่นๆได้มาตอนทางราชการมาแจกตอนหน้าหนาว สามปีที่แล้ว พับง่ายๆวางทับไว้บนหมอนแล้วลงจากเรือนคว้าจักรยานปั่นออกไปท้ายหมู่บ้านไป ยังกระท่อมเก็บฟางข้าวที่สร้างขึ้นด้วยไม้ระแนงตีเป็นคอกยกพื้นสูงไม่มากมุง ด้วยหญ้าคาสาน อีน้อย ที่แม่นิ่มเรียกคือวัวพันธุ์พื้นบ้านที่กำลังท้องแก่ เขาของมันกุดๆสีก็ดำๆด่างๆจะขาวก็ไม่ขาวจะด่างก็ไม่ด่างเพราะรอยเปื้อนของ มูลในคอกที่เปรอะตามก้นของมัน บอทผิวปากปั่นจักรยานไปตามทางลูกรังอย่างอารมณ์ดี ส่วนน้ำไปล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ไปช่วยแม่บุญช่วยให้น้ำวัวในคอกเหมือนกัน
 
"แกะหน่อไม้ให้พ่อหน่อยสิน้ำ แกะแค่พอให้แม่เขาต้มไปกินที่โรงเรียนตอนกลางวันพอนะ"
 
พ่อถาวรบอกก่อนจะถีบรถเครื่องออกไปที่โรงเรียน น้ำเดินไปหยิบถุงกระสอบปุ๋ยยุ่ยๆมาจากใต้แคร่หน้าบ้านแล้วมานั่งลงบนแคร่ถือเอามีดอีโต้ออกมาแกะเปลือกหน่อไม้ป่าออกอย่างทะมัดทะแมง

"พ่อได้หน่อไม้มาเยอะนี่แม่ กลับกี่โมงล่ะเมื่อคืน"
 
น้ำร้องถามแม่บุญช่วยที่กำลังง่วนอยู่กับการต้มแกงอยู่ข้างๆบ้าน บ้านของน้ำเป็นบ้านไม้สองชั้นเหมือนบ้านของบอทแต่บ้านของน้ำชั้นใต้ถุนก่อ อิฐล้อมรอบไว้เจาะช่องเป็นหน้าต่าง ส่วนครัวก็ทำเพิงสังกะสียื่นออกไปจากตัวบ้านมีหม้อไหวางอยู่อย่างระเกะระกะ บนชั้นไม้ชั่วคราว
 
"สามทุ่มได้มั้ง เห็นบอกไปถึงทาม ได้เห็ดมาด้วยนะเดี่ยวแม่แกงให้กิน"
 
"จะทันเหรอแม่เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนแล้ว ไอ้หินมันยังไม่ตื่นอีกเหรอ"
 
ทาม ในที่นี้คือแหล่งน้ำธรรมชาติที่เวลาน้ำขึ้นหน้าฝนจะไหลเข้าไปรวมเอ่อนองกัน อยู่ มีป่าไผ่ไม้เบญจพรรณหลายชนิดขึ้นอยู่เต็ม ซึ่งทามเป็นที่วางไข่ของปลาและเป็นที่หาหน่อไม้ป่าอย่างดี
 
"ปลุกมันหน่อยซิ จะนอนกินบ้านกินเมืองหรือไง เมื่อคืนก็นอนตั้งแต่สองทุ่ม ไอ้ลูกคนนี้นี่"
 
แม่บุญช่วยเริ่มบ่น น้ำเองก็หัวเราะออกมาก่อนจะตะโกนร้องเรียกน้องชาย ชลเนตรคือชื่อของน้ำ ไม่รู้ว่าแม่บุญช่วยหรือพ่อถาวรตั้งใจตั้งชื่อให้ เพราะมันแปลว่าน้ำที่ออกจากตา หรือน้ำตานั่นเอง แม้จะไม่ใช่คนเจ้าน้ำตาแต่ชื่อมันก็ฟ้องเหลือเกินว่าต้องเป็นคนขี้ใจน้อย หรือชอบร้องไห้ แต่แม่บุญช่วยบอกว่า พระท่านตั้งให้กำชับว่าอย่าเปลี่ยนเพราะน้ำเป็นคนธาตุไฟใจร้อน ต้องแก้เคล็ดด้วยการตั้งชื่อที่มีความหมายตรงข้ามกับธาตุเจ้าตัว ส่วนน้องชายวัยเก้าขวบของน้ำมีชื่อว่าหิน หรือ อัคนี แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
 
ในตอนเช้าดูเหมือนแต่ละครัวเรือนจะมัววุ่นวายอยู่กับการทำมาหากิน หุงหาอาหารทำครัวเสียงสับนั่นตำนี่กระแทกสากกับครกดังแว่วออกมาจากทุกชายคา เสียงร้องเรียกสมาชิกในครอบครัวก็อื้ออึง พ่อของน้ำต้องออกไปกวาดใบไม้ที่โรงเรียนก่อนตั้งแต่ตื่น พอเสร็จก็รีบกลัมาทานข้าวเช้ากับที่บ้านแล้วค่อยอาบน้ำไปโรงเรียนอีกครั้ง ส่วนน้ำพอช่วยแม่บุญช่วยเสร็จก็รีบกินข้าวอาบน้ำไปโรงเรียน ส่วนบอทเองหลังจากไปเอาฟางมาให้อีน้อยเสร็จแล้วก็ช่วยแม่นิ่มทำงานบ้าน งานของบอทดูจะเยอะกว่าน้ำเพราะบอทเองไม่มีคนช่วย ทำตั้งแต่กวาดบ้านถูบ้าน ตักน้ำให้อีน้อย ตักน้ำใส่ตุ่มให้เต็ม แต่เมื่อคืนฝนตกบอทจึงไม่ต้องตักน้ำสบายไปหนึ่งวัน พอเสร็จก็กินข้าวเช้า บางวันก็ไปกินกับน้ำที่บ้าน แล้วค่อยมาอาบน้ำไปโรงเรียน
 
"ท่องให้ฟังอีกรอบหน่อยสิน้ำ เราจำไม่ได้อ่ะ"
 
 บอทพูดขึ้นตอนเดินไปโรงเรียนด้วยกัน โรงเรียนมัธยมประจำตำบลที่มีนักเรียนรวมกันตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นถึงมัธยมปลาย ไม่ถึง ๕๐๐ คนอยู่ห่างออกไปจากหมู่บ้านของน้ำไม่ถึงกิโลเมตร เดินไปโรงเรียนด้วยกันทุกวันไม่เคยมีวันไหนที่จะเดินไปโรงเรียนคนเดียว แม้ตอนกลับก็กลับด้วยกันทุกวัน ตั้งแต่เรียนชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงปัจจุบัน มียกเว้นก็แต่เมื่อใครคนใดคนหนึ่งไม่สบายเท่านั้น ชีวิตที่ผูกที่พันธ์กันมากไม่เคยแยกจากกันทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกัน เสมอมา แม้จะมีเงาเลือนลางของบางอย่างคืบคลานเข้ามาในใจของน้ำ แต่เงานั้นคงไม่ทำลายมิตรภาพระหว่างเพื่อนลงได้
 
"อะไรบอทจะสอบอยู่แล้วยังจำไม่ได้เหรอ เดี๋ยวก็ไม่ได้คะแนนหรอก"
 
"ก็เมื่อคืนง่วงนี่ นะนะน้ำท่องให้เราฟังอีกนะ"
 
บอทเข้าไปเขย่าแขนน้ำออดอ้อนอยู่ น้ำเองก็พยักหน้ายอมแต่โดยดี ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะใจแข็งได้กับเพื่อนคนนี้เลย
 
"ทาลามัส อยู่เหนือไฮโปทาลามัส ทำหน้าที่เป็นสถานีถ่ายทอดกระแสประสาทเพื่อส่งไปจุดต่างๆในสมอง รับรู้และตอบสนองความรู้สึกเจ็บปวด ทำให้มีการสั่งการแสดงออกพฤติกรรมด้านความเจ็บปวด"
 
น้ำก็ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองขึ้นอีกครั้ง การเรียนการสอนวิชาชีววิทยาในสมัยนั้นยังนิยมให้เด็กนักเรียนท่องจำกันให้ ได้ก่อน พอท่องจำได้แล้วถึงจะยอมให้เข้าห้องแล็ปส่องกล้องจุลทัศน์ แต่การท่องจำนี้ไม่ว่าเด็กสมัยไหนก็คงไม่มีใครชอบ ท่องกันทั้งชั้น บางคนเป็นหนักถึงกับเขียนเป็นโพยเล็กๆติดตัว เดินก็ท่อง เข้าห้องน้ำก็ท่อง จะกินจะทำกิจกรรมใดๆก็ท่อง ส่วนน้ำเป็นคนหัวจำค่อนข้างดี ท่องสองสามรอบก็จำได้แล้ว ต่างจากบอทที่หัวจำช้า แต่ถ้าจำได้แล้วจะจำนาน
 
แถวของนักเรียนที่เรียงรายกันอยู่ตามชั้นรอเคารพธงชาตินั้นแลดูไม่ค่อยเป็น ระเบียบเท่าใดนัก เพราะเด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้นบางคนก็ยุกยิกคุยกับเพื่อนอยู่ แม้ว่าอาจารย์ฝ่ายปกครองที่หน้าตาดุดัน ขึ้นชื่อเรื่องความโหดจะยืนคอยถลึงตาใส่อยู่ก็ไม่ได้เกรง ลมพัดในตอนเช้าเย็นสบายแต่แดดหลังฝนในตอนเช้าที่เริ่มโผล่พ้นหลังคาอาคาร เรียน ๑ เริ่มที่จะแผดรังสีความร้อนอย่างเต็มที่ ชั้นไหนที่แถวอยู่ในเงาของต้นยางนาต้นสูงใหญ่หน้าอาคารเรียนนั้นก็นับว่า เป็นโชคดีไป ส่วนแถวของชั้นไหนที่เงาของต้นยางนานี้ไปไม่ถึงก็ยืนก้มหน้าก้มตาหลบแดดกัน เป็นแถว พอผู้อำนวยการกล่าวโอวาทเสร็จใช้เวลานานพอสมควร เพราะผู้อำนวยการท่านนี้เหมือนชอบไมโครโฟนเป็นการส่วนตัว เห็นที่ไหนไม่ได้ต้องปรี่เข้าไปเอ่ยอะไรสักหน่อย แต่โอวาทนั้นเด็กนักเรียนหามีผู้ใดได้ใส่ใจฟังไม่
 
"ห่า พูดอะไรก็ไม่รู้ รำคาญว่ะ"
 
น้ำบ่นขึ้นหลังจากเลิกแถวปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก
 
"นั่นดิ รำคาญจะตายห่า แม่งพูดอยู่ได้เป็นนานสองนาน"
 
บอทเองก็เสริมหน้าตาดูจริงจังทั้งสองคน น้ำเดินนำไปยังก๊อกน้ำหลังอาคาร ๑ เปิดน้ำล้างหน้า บอทเองก็ทำตาม
 
"ไอ้น้ำ มึงท่องชีวะมาป่าววะ จดให้กูหน่อยดิ กูยังไม่ได้ท่องเลย"
 
เสียงห้าวๆของเด็กนักเรียนหญิงชั้นเรียนเดียวกันกับบอทและน้ำดังขึ้น ผมที่ซอยสั้นจนเห็นติ่งหูทั้งสองข้างหน้าตาก็มันแผล่บมาไม่ต่างจากเพื่อน ลักษณะท่าทางเหมือนเป็นชายมากกว่าหญิงเสียอีก
 
"อะไรมึงไอ้เล็ก เขาให้เวลาตั้งนานทำไมมึงไม่ยอมท่อง จดเอาในหนังสือโน่นจะสอบอยู่แล้ว"
 
"ไอ้น้ำมึงอย่างกไปหน่อยเลย กูขี้เกียจไปจับใจความ จดๆมาเหอะน่า มึงล่ะไอ้บอท ท่องมายัง"
 
หันไปหาแนวร่วมบอทเองทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
 
"จะเหลือรึ กูไม่ใช่มึงนะอีเล็ก"
 
"โห ปากหมาแต่เช้านะมึง วอนโดนพ่อเตะซะแล้ว"
 
"พ่อเหรอมึง กูนึกว่าแม่ ไงแม่เล็ก"
 
"ไอ้เชี่ย บอท"
 
ทั้งสองวิ่งไล่เตะกับรอบถังซีเมนต์ขนาดใหญ่หลังอาคาร ที่สร้างขึ้นเพื่อเอาไว้เก็บน้ำฝน มีอยู่สามลูกสร้างเป็นถังกลมๆสูงเกือบถึงหลังคาอาคาร ๑ ที่มีอยู่สองชั้น ถัดไปจากถังน้ำคือต้นมะม่วงอกร่องที่ใบเขียวเข้ม เหมือนว่าใบมันไม่เคยร่วงไปจากต้นเลยเพราะตอนเข้าเรียนมามันเขียวยังไง ตอนนี้มันก็เขียวอย่างนั้น ใต้ต้นมะม่วงมีม้าหินอ่อนทรงกลมวางอยู่ตัวหนึ่ง เป็นที่สิงสถิตย์ของน้ำกับเพื่อนๆ ส่วนรุ่นพี่หรือรุ่นน้องก็จะมีที่ประจำของตนไม่ข้องแวะกัน น้ำส่ายหน้าแล้วเดินตรงไปยังม้าหินอ่อนนั่งลงหยิบเอาสมุดออกมาจดโพยให้ เพื่อนสาวที่ทำตัวห้าวอีกคน
 
"มึงเตะกูดิอีเล็กเดี๋ยวกูบอกน้ำไม่ให้จดให้มึงนะ"
 
สองคนนั้นยังไล่ตามเตะก้นกันอยู่ วิ่งมาวนรอบม้าหินอ่อนแล้ว ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็เดินขึ้นห้องไปแล้ว
 
"เกี่ยวอะไรกับเตะมึงวะไอ้บอท ไอน้ำมันก็เพื่อนกู"
 
"อ้าว มึงไม่รู้เหรอ มันเป็นเมียกู"
 
เหมือนได้ยินไม่ชัด เหมือนเป็นแค่เสียงกระซิบแผ่วเบาลอยตามลมมาแต่ทำไมหน้ามันชาหูมันร้อน น้ำเม้มปากแน่นหันขวับกลับไปหาเจ้าของต้นเสียงทันที
 
"ส้นตีนกูนี่ ไอ้น้ำมันเป็นของกูโว้ย น้ำมึงไปตกลงปลงใจกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไม่เห็นบอกกู"
 
เล็กเองก็บ้าจี้ไปตามบอท น้ำหน้าแดงพยายามสูดลมหายใจเข้าท้องให้นานที่สุด เหมือนเลือดมันไม่วิ่งไปที่สมอง คิดอะไรไม่ออก
 
"ได้กันนานแล้วมึง เรื่องบนเตียงต้องให้กูเล่าด้วยเหรอวะ"
 
น้ำเองพยายามไหลไปตามกระแสน้ำแม้ในใจเองจะหวั่นไหว เหมือนเอาหัวใจไปอบกรอบแล้วบีบให้เป็นผงแล้วหว่านให้มันปลิวลอยไปกับสายลม เบาหวิวโหวงคว้างอยู่ แต่ปากก็พูดออกไปอย่างนั้น ไม่อยากให้ใครจับได้ ไม่อยากให้ใครสงสัย กลัวใจตัวเองมันจะแสดงอาการออกมามากเกินไป
 
"ไอ้ห่า มึงนอกใจกูนี่"
 
"อย่าพูดมากไอ้เล็ก จะเอาไหมโพย"
 
"เออๆ เอาสิคร้าบ คุณน้ำ น่ารักจริงๆ ไอ้ควายบอทมึงน่ะอย่าหักโหมกับน้ำมันมากนักนะ เดี๋ยวมันโทรม"
 
"ไอ้เล็ก"
 
น้ำขึ้นเสียงมือจะแย่งเอาโพยกระดาษที่เพิ่งจะยื่นให้คืนมา แต่เล็กก็เร็วกว่าเพราะวิ่งขึ้นอาคารเรียนไปแล้ว
 
"ฮ่าๆ กวนตีนที่สุดอีเล็ก"
 
"บอท ทำไมชอบพูดแบบนี้วะ เดี๋ยวคนก็หาว่าน้ำเป็นอีแอบหรอก"
 
พูดออกมาเสียงขาดๆหายๆก้มหน้างุดลงมองปลายเท้าตัวเอง
 
"ฮ่าๆ กลัวไรน้ำ เราเป็นเพื่อนรักกันใครมันก็รู้ ไม่มีใครว่าน้ำแบบนั้นหรอกน่า คิดมาก ไปๆขึ้นเรียนเถอะ"
 
บอทวิ่งขึ้นไปบนอาคารเรียน ๒ แล้ว อาคารหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จไม่กี่ปี รู้สึกว่าตอนนั้นน้ำกับบอทจะเรียนอยู่ชั้นมัธยมสองเอง ของทุกอย่างยังดูใหม่อยู่ยกเว้นโต๊ะกับเก้าอี้เรียนในห้อง ที่สภาพเหมือนใช้มาร่วมสิบปี อาคารสองมีอยู่สามชั้นรวมใต้ถุนด้วย เวลานับตึกไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนับรวมชั้นแรกทั้งที่มันโล่งใช้พื้นที่ใต้ ตึกเป็นหอประชุมเพราะโรงยิมและหอประชุมเหมือนโครงการยังไม่มาในตอนนั้น น้ำเองนั่งนิ่งอยู่มองตามแผ่นหลังของเพื่อนรักที่กำลังตัวปลิววิ่งขึ้นตึกไป
 
มันอาจจะง่ายกับการที่แค่พูดเล่นกันเพื่อความสนุกปาก หรือแค่คะนองปากไปวันๆ ถ้าหากว่าอีกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้คิดอะไร แต่นี่มันยากเพราะอีกฝ่ายที่คิดก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร และเงาดำในใจมันคืออะไรกันแน่
 
 "ว่าไงแม่อีชมพู่ เมื่อคืนบอกว่าอย่ากวนๆเห็นมะเวลามาเรียนแล้วจำอะไรไม่ได้เลย"
 
พอก้าวขาเข้าห้องไปเสียงเพื่อนรักตัวแสบก็ดังขึ้น บอทพูดออกมาแล้วหัวเราะเสียงดังไม่ใช่มีเสียงเดียวเสียงเพื่อนทั้งห้องอีก น้ำใจเต้นแรงขึ้นมาพยายามเก็บอาการไว้
 
"อ้าว พ่ออีชมพู่ ทำไมกินในที่ลับไขในที่แจ้งวะ แหมเวลานอนนะสะกิดเอาๆ พอไม่ทำก็บอกนอนไม่หลับ"
 
น้ำเองก็ไปตามเกมเพื่อนๆหัวเราะกันครืนชอบใจ แต่น้ำเองแสดงอาการออกมาไม่ได้ ให้ใครรู้ไม่ได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม แม้แต่ตัวของเขาเอง
 
"เอากะมัน ไหนมึงบอกรักกูคนเดียวไงไอ้น้ำ นอกใจเฮียเล็กนี่หว่า"
 
"ถุย อีเล็ก มึงจะเอาอะไรไปแหย่มันวะ เอ๊ะหรือว่าไอ้น้ำจะแหย่อีเล็ก ตกลงใครจะเป็นผัวใครจะเป็นเมียวะ ฮ่าๆๆ กูงง"
 
"ไอ้ไก่ ส้นตีนเอ้ย"
 
เล็กวิ่งถลกกระโปรงขึ้นกระโดดข้ามเก้าอี้ไปหมายจะเตะเพื่อนผู้ชายที่รายนั้นเอง ก็วิ่งหนีอุตลุต ประเด็นถูกเหวี่ยงไปทางฝั่งโน้นแล้ว แต่น้ำเองสีหน้าเริ่มเครียด ไม่เคยเป็นเรื่องนี้แต่ก่อนไม่เคยมาติดอยู่ในใจ มันเป็นเรื่องสนุกที่โดนล้อมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะความสนิทกัน "สองคนนี้มันเป็นผัวเมียกัน" คำๆนี้มันยังใช้ได้มาถึงทุกวันนี้ ไม่เคยรู้สึกอะไร ไม่ได้ใส่ใจ แต่วันนี้มันไม่ใช่อย่างเดิม หัวใจดวงเดียวดวงเก่าดวงนั้นมันกำลังหวั่นไหว ไปเพราะคำพูดคำเดิม ท่าทางเดิมๆของเพื่อนที่อยู่รอบกาย แล้วอะไรล่ะที่เปลี่ยนไปในตัวของเรา

"โกรธเหรอน้ำ"

พอไปนั่งที่โต๊ะวางกระเป๋าเป้ลงที่ท้ายเก้าอี้เอาสมุดหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ ขึ้นมาวางสายตาก็เหลือบไปมองคนที่นั่งริมหน้าต่าง ตาเขียวขุ่นแสดงความไม่พอใจออกมา บอทเองก็หวั่นในใจเพราะปกติก็เล่นกันแบบนี้เป็นประจำ

"เปล่า"

หันหน้ากลับมาเป็นหนังสือเรียนขึ้น พอดีกับอาจารย์แววเดินเข้ามาในห้องหัวหน้าห้องบอกให้ทำความเคารพ บอทจึงหยุดถามแล้วเปิดหนังสือเรียนหันหน้าเข้ากระดานดำ

"ขอโทษนะน้ำ เราไม่ได้ตั้งใจทำให้น้ำโกรธ"

บอทยื่นสมุดที่เขียนคำขอโทษลายมือขยุกขยุย น้ำเหลือบตาไปมองพอเห็นหัวใจก็ปลิวลอยหายไป ทำไมมันถึงหวั่นไหวได้มากขนาดนี้นะ ทำไมหัวใจมันถึงอ่อนยวบไปได้มากขนาดนี้ เม้มปากแน่น

"ไม่เป็นไร เราไม่ได้โกรธบอท ไม่เคยโกรธ"

ยื่นสมุดกลับคืนไปแต่สายตายังจ้องมองอยู่ที่กระดานดำที่อาจารย์แววกำลังสอนเรื่องเซ็ทอยู่

"ถ้าไม่โกรธทำไมหน้างอ ยิ้มให้เราหน่อยสิ"

บอทเองก็ยื่นสมุดกลับมา

"เรียนอยู่ ยิ้มไม่ได้"

"งั้นคืนนี้เราทำโทษน้ำนะถ้าไม่ยิ้ม"

เขียนตอบโต้กันไปมา พออาจารย์แววหันหน้าออกจากกระดานก็ทำเป็นจดในสมุดจด ที่นั่งของน้ำและบอทนั่งอยู่ท้ายห้องริมหน้าต่าง นักเรียนชั้นมัธยมสี่ของโรงเรียนมีแค่๒๒คน ทั้งที่ตอนเรียนมัธยมต้นมีถึงสามห้อง ห้องละ๓๐กว่า พอจบชั้นมัธยมสามต่างก็แยกย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำอำเภอบ้าง เรียนสายอาชีพบ้าง ห้องนี้เป็นผู้หญิงเสีย๑๐คน ที่เหลือเป็นผู้ชายแปดอีกคนตุ้งติ้งหน่อยชื่อ เอ๋ ส่วนอีกคนก็ห้าวเกินชาย เล็กนั่นเอง ตอนเข้ามาเรียนใหม่ๆนักเรียนส่วนใหญ่คือศิษย์เก่าชั้นมัธยมต้นของที่นี่ แต่มีสามสี่คนที่มาจากโรงเรียนประจำหมู่บ้านในตำบล แม้จำนวนคนจะน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะสนิทสนมกัน ต่างก็ยังเหมือนมีอะไรมากั้นไม่ยอมเข้าหากัน ต่างคนต่างเรียน ที่สนิทกันอยู่แล้วก็ไม่ยอมเปิดใจ ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ไม่ได้สนใจเข้าหาเพื่อนที่อยู่มาก่อน พอบอทเขียนตอบกลับมา น้ำเองก็ยิ้มออกมาจนได้ ทำไมมันถึงรู้สึกดีอย่างประหลาดอย่างนี้นะ รู้สึกเหมือนหัวใจมันดีดดิ้นอยู่ภายใน เลือดในกายมันก็สูบฉีดรุนแรงขึ้น ดีใจ

"เลิกเรียนแล้ว รีบกลับเถอะน้ำต้องไปกู้เบ็ดอีก"

บอทยัดหนังสือสวดมนต์ใส่ในกระเป๋าหลังจากที่รวมตัวกันคาบเรียนสุดท้ายที่ ใต้ถุนอาคารใหม่เพื่อสวดมนต์ ทำทุกวันจันทร์กับวันศุกร์ สวดมนต์เสร็จก็นั่งฟังผู้อำนวยการบ้าไมโครโฟนพล่ามอีกนานสองนานแล้วค่อย ปล่อยให้กลับบ้าน น้ำเองพยักหน้า

"ไอ้น้ำ มึงอยากกินเม็ดบัวไหมเดี๋ยวพรุ่งนี้กูเอามาฝาก"

เสียงของเล็กดังขึ้นเจ้าตัวเดินปรี่เข้ามาหาน้ำที่โต๊ะสะพายย่ามพับขอบกระโปรงขึ้นจนปลายกระโปรงร่นขึ้นดูไม่มีระเบียบ

"มึงจะไปหนองเหรอวันนี้"

"เออไปเอาดอกบัว"

"เอาดิ ไม่ได้กินนานแล้ว"

"แล้วกูล่ะอีเล็ก"

"เสือก มึงกินก้านบัวไปดิ ไอ้น้ำกินเม็ดมันส่วนมึงก็กินก้านมัน"

"โห อีนี่ มึงไม่รู้เหรอ ไอ้น้ำมันกินอะไรกูก็ได้กินเหมือนมันนั่นล่ะ ฮ่าๆๆ"

บอทเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดีไม่ได้สนใจเสียงด่ากราดตามหลังของเล็กเลย น้ำหัวเราะแล้วเดินตามออกไปทั้งคู่เดินออกจากโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ บางคนปั่นจักรยานมาเรียน บางคนก็ขับรถเครื่องมา คนที่ขับรถเครื่องสมัยนั้นถือว่าทางบ้านดูมีฐานะหน่อย พอเลิกเรียนก็ขับโฉบไปตามหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้จีบสาวบ้าง อ่อยหนุ่มบ้างตามประสาเด็กวัยรุ่น

สุริยะแสงระบายสีแดงแสดทั่วท้องฟ้าทางด้านทิศประจิม ท้องฟ้าครามด้านทิศอุดรก็ใสสว่างมีหมู่เมฆาเป็นก้อนๆลอยอยู่สูงแลดูบางเบา วันนี้ไม่มีเค้าของฝน อากาศเย็นสบายลมพัดลู่ยอดข้าวที่ตั้งท้องไปในทิศทางเดียวกัน ร่างของเด็กชายสองคนที่เปลี่ยนแค่เสื้อนักเรียนเป็นเสื้อยืดกำลังเดินก้มๆ เงยๆตามคันนาแดดอ่อนทอแสงกระทบร่างจนเห็นเงาที่พาดไปในนายาวโย่งกว่าปกติ เสียงคุยกันหยอกล้อกันดังแว่วมากับสายลม คนหนึ่งเป็นคนกู้เบ็ดคืนจากนาอีกคนเป็นคนถือข้องเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง สายตาที่เฝ้ามองแผ่นหลังกว้างของเพื่อนรักนั้นมันฉายประกายออกมา ประกายของดวงตาที่ทั้งหวงแหน ห่วงหา เอื้ออาทรต่อกัน

ลู่ลมกลิ่นเจ้าพี่      ในใจนี้ก็ไหวเอน

แดดรอนวักน้ำเล่น   น้ำใสเย็นชื่นอุรา

ฟ้าครามงามสดใส   ลอยมาไกลหมู่เมฆา

แสงงามฉาบเวหา     ทั่วนภาฟ้าสีทอง

เสียงนกแลหมู่กา     ทั่วเวหาเรียกกันร้อง

น้ำไหลกระเซ็นฟอง  ยิ่งเหลียวมองยิ่งสุขใจ
[/color]

๒๐ กันยายน

มึงจะรู้ไหมว่ากูรู้สึกแปลกๆนะที่มึงล้อกูกับอีเล็ก ความรู้สึกที่มันแปลกประหลาดไป ทั้งที่กูไม่เคยเป็น อย่าถามว่ามันคืออะไรเพราะกูเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ กูคงกลัว กลัวว่าพอเราโตขึ้นต่างคนต่างก็มีหนทางต้องไป กูเข้าใจดี แต่ทำไมไม่รู้สิ กูยังยึดมั่นว่ามึงคือเพื่อนคนเดียวที่กูรักมาก กูยอมทำทุกอย่างเพื่อมึง เอาเป็นว่ากูยอมตายแทนมึงได้ แต่กูไม่ชอบเลยที่มึงเอาเรื่องนี้ไปล้อกูเล่น กูรู้ว่ามึงไม่ได้ตั้งใจ แต่กู ไม่รู้สิ ตอนนี้กูเหมือนกำลังสับสน เป็นนักเรียน ม ปลายนี่มันวุ่นวายขนาดนี้เลยหรือวะ อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ในวันที่กูกับมึงอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่มีความรู้สึกประหลาดๆแบบนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าในวันที่เราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ วันข้างหน้ามันจะเป็นยังไง แต่อะไรก็ช่างมึงก็ยังจะเป็นเพื่อนรักของกูเสมอไป วันนี้มึงมานอนบ้านกู มึงคงลืมไปล่ะสิว่าจะทำโทษกู ฮ่าๆ ทำโทษอะไรวะ มึงรู้ไหมว่ากูรอลงอาญาอยู่ ไอ้บ้า มึงหลับไปนานแล้ว ส่วนกูก็นั่งทำการบ้านให้มึงอยู่นี่ไง
 
วิสัชนา กลิ่นของคนที่รักสิตราตรึงอยู่ในใจตราบชั่วฟ้าดินสลาย


ปล ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับ พยายามเขียนเรื่องนี้มาก ไม่รู้ทำไม เหอๆๆ ไม่ใช่วัยแล้ว คิดอะไรไม่ค่อยออกแล้วเกี่ยวกับเรื่องวันวาน ช่วยกันแนะนำหน่อยนะครับ

กำลังใจมีให้กันเสมอ แบ่งกันแผ่ไปให้ทั่วทั้งโลกเร้ยยยย อิอิ รักเด็กคร้าบบ (ก็อบมาจากพี่ปุ๋ย ภรทิพย์ อิอิ)

เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 29-09-2010 17:12:53
 :z13:
จิ้มน้องญี่ปุ่นไม่ทัน จิ้มเรื่องนี้ก็ได้นิ ฮ่าๆๆ

*****************

เริ่มจะสงสารน้ำ นิดนึง

ถ้าบอทรู้ว่า น้ำจริงจัง ไม่ได้เล่นๆ ขึ้นมา
ที่น่ากลัวคือความเปลี่ยนแปลง  :เฮ้อ:

 :กอด1:คุณอิ๊กให้กำลังใจ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 29-09-2010 17:36:07
มองไม่ให้ทางออกเลยคุณอิค  :m15:จะเป็นไงต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 29-09-2010 18:15:50
สงสารน้ำเน้ คงอึดอัดใจน่าดูหลงรักเพื่อนเข้าให้แล้ว  :z10:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 29-09-2010 18:19:10
จะเป็นอย่างไรต่อไปน๊า ถ้าบอทรู้จะรับได้ไหม เห่ออออออออออออเครียดดดดดดดดดด :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 29-09-2010 18:19:50
กลัวใจบอท กลัวว่าถ้ารู้ความจริงว่าน้ำคิดเกินเพื่อนบอทจะตีตัวออกห่าง :m15:
สงสารน้ำสุดใจ แอบรักเพื่อนก็อย่างนี้แหละ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 29-09-2010 18:38:17
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 29-09-2010 19:57:43
ท่าทางมาม่าชามจะโตมาก 555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 29-09-2010 20:48:08
พี่อิ๊กค๊าบ  บอกตรงๆนะคับนึกภาพไม่ค่อยออกจริงๆแต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นๆ เฮ้อ
แต่พี่อิ๊กอธิบายเห็นรูปง่ายนะ  ลูกบัวนี่อร่อยนะไม่ได้กินนานแล้ว  อาม๋าชอบเอามาบวชอร่อยดี
แต่ถ้า พวก นิวเคลียส  นิวคลีโอลัส  ไซโทพลาสซึม  เอนโดรพลาสมิคเรติกคูลัม  อะไรพวกนี้พอใหวนะคับ  เพิ่งสอบ
แต่ ผ.อ. บ้าไมค์เป็นทุกโรงเรียนป่าวนี่คับ
อยากกินแกงสายบัวใส่ปลาช่อนอีกน๊าค๊าบ  แต่พี่อิ๊กนี้คือพี่น้ำใช่ป่าวคับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 29-09-2010 20:53:37
สัญญากันตั้งแต่เรื่องก่อนแล้วนะว่าจะจบแบบ สุขกันถ้วนหน้า ห้ามลืม นะจ้า:m12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 29-09-2010 21:11:53
วู้ว เด็กมอปลายก็ล้อกันเล่นแบบนี้เนอะ
รอตอนต่อไปค่ะ หลังจากสังเกตุชื่อของน้ำดีดีที่แปลว่า น้ำตา แล้วว
หวังว่าไม่เศร้านะพี่ หนูไม่ชอบเรื่องเศร้าอ่ะ T^T



 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 29-09-2010 21:34:36
+1 ต้อนรับเรื่องใหม่ของ eiky เรื่องนี้ออกแนวเพื่อนรักรักเพื่อนใช่มะ
กลิ่นอายความเศร้ามันโชยมายังไงไม่รู้ เอาแบบไม่เศร้านะ กลัวดราม่า
มาก ๆ แล้วจะแย่เอานา เอาแค่น้องญี่ปุ่นผสมน้องภูมิก็พอแล้ว  :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 29-09-2010 21:42:10
สนุกดีค่ะ


น่าติดตามๆๆๆๆ



 :กอด1: :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 29-09-2010 22:18:31
เอาเป้นว่าเรื่องนี้ทำไมผมอ่านแล้วอึดอัดแปลกๆ

เหมือนมันจะเศร้าเลยนิ

รออยู่นะครับ

มาเปิดเรื่องใหม่มาไม่ทันจิ้มตอนแรกเลยงั้นขอจิ้มรวดเดียว2ตอนเลยนะครับ

อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าชายรองเท้าแตะ ที่ 29-09-2010 22:23:15
คิดว่าทุกคนคงเคยมีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกับน้ำ

อย่างน้อยก็ต้อง...เคยมีความรักในวัยเรียน...บ้างอะไรบ้าง

เพื่อนที่คบด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ

เพื่อนที่คุยกันถูกคอตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน

เพื่อนที่นั่งข้างๆ

เพื่อนที่นั่งข้างหน้า

เพื่อนที่นั่งข้างหลัง...

ตอนนั้นบอกใครไม่หรอกว่าชอบมัน...ก็มันน่ะฮอต ก็เดี๋ยวเพื่อนล้อ ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะเสียมันไป

ตอนนั้นอึดอัดแทบตาย ได้แต่เป็นเพื่อนมันอยู่ใกล้ๆ แต่ทำไมมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจังเลยวะ??
.
.
.
อยากเม้นท์ต่อ แต่เดี๋ยวจะยาวแข่งกับสนิทน้ำค้าง ><

เก็บไว้เม้นท์ตอนหน้าละกัน คริคริ

+1 พี่อิ๊ก รักกันๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 30-09-2010 00:46:32
ขอบคุณทุกคนนะครับที่เข้ามาอ่าน
คิดไว้แล้วล่ะว่าเรื่องนี้พอเห็นอินโทรเรื่องทุกคนต้องว่ามันจะเศร้า
อืมเศร้าไหม ก็มีนะครับบอกตามตรง
อยากเขียนแนวที่คนอ่านชอบเหมือนกันนะ
แต่เรื่องนี้พล็อตมันดันมาก่อน
แต่รับประกันครับว่าจบดี และไม่เศร้ามาก
ชีวิตวัยรุ่นสองคน ในช่วงเวลาที่กำลังปรับเปลี่ยนอารมณ์
มันคงยากนิดหน่อยนะครับที่จะสื่ออารมณ์ออกมา แต่ผมเองก็เคยเป็นนะไม่บอกใครดีกว่าในตอนนั้น คิดเองเออเอง สรุปมานั่งอยู่ตรงนี้นี่เอง
55555 เอาน่าถือว่า อ่านเรื่อง นางทาส ยุค 2010ล่ะกันนะครับ ไม่อยากให้ใครเครียดผมถึงพยายามลงกลอนเพื่อเบนอารมณืคนอ่าน
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วย5555 ถึงยังไงก็อย่าทิ้งกันนะครับ เศร้ามากขอร้องไม่ต้องเนต์อะไรมากหรอก มาทิ้งตัวกอดกันให้ผมสักตัวก็ยังดี นะนะ

ปล. น้ำนี่ไม่ใช้ผมนะครับ เอามาจากไดอารี่ก็จริง แต่แค่อารมณืแอบรัก แต่นอกนั้น อิอิปั้นเอาเน้  (อันนี้ขอยืมพี่ Poes มาใช้อิอิ)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 30-09-2010 02:29:19
ภาษาที่ใช้ สื่อออกมาได้ดี เนื้อเรื่องก็เยี่ยม แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของคุณอิ๊กกี้จริง
ชอบมาตั้งแต่เรื่อง ของภูมิบุญ แล้ว
เป็นกำลังใจให้ครับ ขอให้มีผลงานดีๆ แบบนี้ออกมาอย่างต่อเนื่องนะครับ

  :L2: :3123: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 30-09-2010 03:42:08
 :กอด1:
+1
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: ณยฎา ที่ 30-09-2010 04:49:18
สังหรณ์ว่ามันจะดราม่า อ่านแล้วหม่นหมองอ่ะ ขอพักสายตาไปตามน้องญี่ปุ่นก่อนนะคะ
แต่ยังไงก็ไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่ๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: tiramisu ที่ 30-09-2010 14:20:21
ต้อนรับเรื่ิงใหม่คร้าบบ

ภาษาสวยมาก

ชอบ ชอบบ...........
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: mapi ที่ 30-09-2010 16:06:37
ตามมาอ่านเรื่องนี้ต่อจ๊ะ.......
ไหนบอกสุขสันต์ไง............
ทำไมเริ่มเรื่องก้อเศร้าแล้วอ่า...พี่อิ๊ก
 :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: จริงใจ ที่ 30-09-2010 16:24:52
อืม เพื่อนรัก รักเพื่อน
สนิมน้ำค้าง ชื่อเรื่องเหมือนจะไม่สมหวังอ่ะ
มันจะเศร้าหรือเปล่าหน่า อิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: littleFiNgeR ที่ 30-09-2010 20:32:19
เรื่องใหม่ของอิ๊กกี้... ติดตามๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 30-09-2010 21:21:07
ผมมาแจมเรื่องใหม่พี่อิ๊ค

ตามสัญญานะคับ

น่าติดตามแหะๆ

ชอบ ชอบ ชอบ ม๊ากๆ

 :impress2:  :impress2:  :impress2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 30-09-2010 21:44:47
ก่อนอื่นขอตัดพ้อเล็กๆ ก่อน ไหนคุณอิ๊กกี้ว่าจะมาลงวันที่ 1 ตุลาคม น้องมิก็นั่งเฝ้าคอย ที่แท้แอบมาลงก่อน ไม่บอกไม่กล่าวเลยนะคะ  :a14:

อ่านแล้วรู้สึกว่าสำนวนการเขียนของคุณอิ๊กกี้จะเปลี่ยนไปมากเลยนะคะถ้าเทียบกับ Boy's Story พัฒนาไปมากทีเดียว  o13

รู้สึกว่านางเอกนิยายของคุณอิ๊กกี้จะแอบเลือดร้อนกันทุกเรื่องนะคะ ตั้งแต่โย ภูมิบุญ จนมาถึงน้ำ   :z1:

มาต่อไวๆ นะคะ อยากรู้เรื่องต่อแล้วค่ะ  :กอด1:

ปล.  :จุ๊บๆ: +1 ประเดิมเรื่องใหม่

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 30-09-2010 23:44:16
ตามมาเรื่องนี้ด้วย  อ่านแลัวทำไมคิดว่าธีมเรื่องนี้เศร้าอ่ะ  ม่ะอยากให้เศร้า ปล แอบทวงเอ็นซีหวานๆของคุณโตโต้กะน้องภูมิ 55
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 30-09-2010 23:55:58
เห็นชื่อคนแต่งเลยตามเข้ามาอ่าน
แอบรักเพื่อนเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปครับ

ปล.ขอบคุณที่แต่งอีกเรื่องให้อ่านครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒ กันยายน ๒๙, ๒๕๕๓
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 01-10-2010 00:15:35
แวะเข้ามารอ วันนี้จะอัพไหมหนอ อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 01-10-2010 00:22:42
บทที่ ๓

ปุจฉา ใจกับกายสิ่งใดหนอมีพลังอำนาจมากกว่ากัน
 
 ตามชนบทในที่ห่างจากแสงสีเสียง โอกาสที่นักเรียนมัธยมจะเตร็ดเตร่ทำกิจกรรมต่างๆเหมือนเด็กในเมืองนั้นแทบไม่มี มีแต่ทุ่งนา สนามหญ้าในโรงเรียน จับกลุ่มแซวคนนั้นคนนี้ตามศาลากลางหมู่บ้าน หรือไม่ก็รองานประจำปีหรือไม่ก็งานวัดประจำหมู่บ้าน เช่นเด็กวัยรุ่นทุกคนที่รอเทศกาลลอยกระทงอย่างใจจดใจจ่อ หมู่บ้านหรือที่โรงเรียนไม่ได้จัดงานอะไรเป็นเรื่องเป็นราว แต่เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญเพราะถือเป็นโอกาสที่จะได้พบปะสังสรรค์กันนอกเหนือจากเวลาเรียน เทศกาลลอยกระทงปีนี้ตรงกับวันที่ ๓ พฤศจิกายน อีกหนึ่งเดือนกว่าที่วันลอยกระทงจะมาถึง  แม้งานจะมีอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าแต่เพื่อนๆในห้องก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้แล้ว วันลอยกระทงกลายเป็นหัวข้อสนทนาส่วนใหญ่ ถ้าในวงของผู้ชายก็จะไปชวนสาวคนไหนไปลอยกระทงดี ถ้าในวงผู้หญิงก็จะทำกระทงยังไงดี หรือจะไปกับใครดีประมาณนี้ ส่วนน้ำกับบอทรวมถึงเล็กเองไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือสนใจที่จะร่วมสนทนากับหัวข้อนี้เพราะคิดว่าเพื่อนๆเห่อมากจนเกินไป เอาเวลาไปทำอย่างอื่นจะดีกว่า แต่ทั้งที่งานวันออกพรรษาที่ใกล้เข้ามาถึงก่อนงานวันลอยกระทงกลับมองข้ามกันไป เพราะเด็กผู้หญิงบางคนไม่ชอบเสียงประทัด แต่เด็กผู้ชายชั้นมัธยมต้นส่วนใหญ่จะตื่นเต้นกับงานวันออกพรรษากว่างานวันลอยกระทง เพราะจะได้ทำบั้งตุ้ม ในที่นี่คือบั้งไม้ไผ่ใส่น้ำและก๊าซที่ใช้เอามาบ่มกล้วยจุดไฟใส่ลงไปเสียงดังไปสามบ้านเจ็ดบ้าน พอปลายเดือนกันยายนเสียงประทัดเอย เสียงบั้งตุ้มเอยดังกึกก้องอยู่ตั้งแต่ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้าจนเกือบสามทุ่ม
 
"เออไอ้น้ำ ก่อนวันออกพรรษามึงไปเอาบัวบ้านกูไหม"
 
เล็กถามขึ้นเมื่อตอนพักเที่ยงหลังจากแยกกลุ่มออกจากเพื่อนๆที่จ้อกันใหญ่เรื่องวันออกพรรษา ที่บ้านใหญ่เขาจะมีงานประจำปีเอาไม้ระแนงมาปักเป็นเขาวงกต มีต้นกล้วยทั้งต้นปักอยู่ตรงกลางเขาวงกตนั้นเพื่อให้ชาวบ้านลอดเข้าไปเพื่อบูชาพระพุทธองค์ตามความเชื่อของชาวพุทธ แต่ระหว่างทางก็จะเจอเด็กๆปาประทัดใส่ กว่าจะเข้ากันได้ก็ร้องเสียงแหบเสียงแห้งกันไปทีเดียว เล็กทำหน้าเซ็งๆก่อนจะเดินตามน้ำกับบอทมานั่ง
 
"โหอีกตั้งนานมึง ต้องดูก่อนนะมึงเผื่อวันนั้นแม่กูใช้ไปไหน"
 
"ไปตอนเย็นดิ เดี๋ยวกูมารับ"
 
"อ้าว มอร์ไซค์มึงอัดสามคนได้เหรออีเล็ก"
 
บอทถามขึ้นทำหน้าสงสัยอยู่
 
"มึงก็ไม่ต้องไปดิไอ้บอท กูจะมารับไอ้น้ำคนเดียว"
 
"อ้าวอีเล็ก มึงจะให้กูย้ำอีกกี่รอบว่าถ้าน้ำไปไหนถ้าไม่มีกูไปด้วยน่ะ น้ำมันไม่ไปหรอก จริงไหมน้ำ"
 
เอ่ยอย่างมั่นใจทำหน้าทะเล้นใส่เล็ก อยากลองใจเพื่อนขึ้นมา เพื่อนที่รักมากกว่าใครอยากจะรู้ใจเขาเหลือเกิน
 
"ไปดิ น้ำจะไป บอทไม่ต้องไปเป็นเพื่อนน้ำหรอก"
 
ตอนพูดออกมาก็ใจเต้นแรง ปฏิกริยาตอบรับของบอทตอบสนองทันที หน้าแดงก่ำสีหน้าเปลี่ยนไป สายตาจากที่ทะเล้นใส่เมื่อครู่หายไป
 
"แน่ใจเหรอน้ำ"
 
เสียงเข้มห้วนสายตาก็จ้องมองอยู่ไม่วางตา
 
"อืม น้ำอยากไป"
 
"ตามใจ"
 
เก็บอาการไม่ค่อยเป็นหรือมันเป็นปฏิกริยาจากข้างในของบอท น้ำเองก็ไม่อาจจะทราบได้แต่รู้ว่าร้อนใจ เพราะตั้งแต่รู้จักบอทมา ทั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้ บอทไม่เคยแสดงอาการแบบนี้ให้เห็นมาก่อน บอทเดินหนีไปแล้ว
 
"เอาล่ะสิไอ้น้ำ ได้เรื่องแล้วไหมล่ะมึง"
 
"มันเป็นอะไรวะเล็ก"
 
"มันงอนมึงอ่ะดิ ไปง้อมันหน่อย"
 
ทั้งที่ควรจะใจหายแต่ทำไมรู้สึกดีใจ ข้างในลึกๆมันสุดแสนจะดีใจ ดีใจที่เพื่อนรักแสดงอาการแบบนี้ออกมา ไม่ได้ลำบากใจเรื่องที่จะง้องอนให้เพื่อนคืนดี น้ำยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้า
 
"กูไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ไปง้อมันทำไม"

พูดออกไปอย่างนั้นทั้งที่ใจมันไม่อยู่กับตัวแล้ว ไม่อยากให้ใครมองว่าง้องอนกันเกินไป ชีวิตวัยรุ่นที่เปราะบางนัก บางเรื่องที่ควรพูดก็เก็บงำเอาไว้กับตัว บางอย่างที่ไม่ควรพูดก็โพล่งมันออกมาทำร้ายใจกัน บอทขึ้นไปบนห้องเรียนแต่ไม่ได้อยู่ในห้องพอน้ำกับเล็กขึ้นไปก็พยายามมองหา คาบเรียนแรกในตอนบ่ายเริ่มไปแล้ว วิชาพระพุทธศาสนากับอาจารย์แววคนเดิม อาจารย์บางคนสอนถึงสามวิชาที่โรงเรียนประจำตำบลเหมือนดรงเรียนนี้ นับเป็นเรื่องปกติเพราะอาจารย์ที่สอนไม่เพียงพอ อย่างอาจารย์แววสอนวิชาคณิตศาสตร์กับวิชาพระพุทธศาสนาสำหรับชั้นมัธยมปลาย ส่วนมัธยมต้นสอนคณิตศาสตร์และวิชาสังคมศึกษา

"มันไปไหนวะน้ำ ไปตามมันหน่อยดิคาบต่อไปคุณนายพรพิมลเอาตายเลยนะมึง"

เล็กเดินเข้ามาบอกหลังจากคาบแรกจบลง น้ำทำหน้าครุ่นคิด แต่ก็นิ่งอยู่ไม่ได้ทำท่าสนใจมากนัก คาบวิชาภาษาอังกฤษผ่านไปอีกบอทก็ยังไม่กลับเข้ามาเรียน น้ำเริ่มกระสับกระส่ายแล้ว ทนอยู่ไม่ได้อีกต่อไปพอจบคาบที่สองน้ำรีบเดินออกไปจากห้อง แวะเข้าห้องสมุดก่อนในชั้นสอง ไม่มี เดินลงตึงไปยังอาคารแรก ห้องพยาบาลบอทน่าจะอยู่ที่ห้องพยาบาลเพราะโดยปกตินักเรียนที่ขี้เกียจเรียนโดยส่วนมากจะหลบไปนอนอยู่ห้องพยาบาล น้ำเดินเข้าห้องพยาบาลไป ครูประจำห้องคงจะไปสอนแล้วเพราะไม่มีคนเฝ้า น้ำเดินตรงไปยังหลังห้องที่มีม่านสีฟ้าอ่อนๆกั้นเอาไว้มีเตียงเหล็กสองเตียงวางเรียงกันอยู่ ร่างของบอทนอนอยู่อย่างสบายใจ

"บอท ไม่สบายเหรอ ทำไมไม่ไปเรียน"

น้ำพูดออกไปตอนนี้ไม่จำเป็นต้องบิดบังความรู้สึกแล้วเพราะไม่มีใคร

"สนใจเราด้วยเหรอน้ำ"

น้ำเสียงประชดประชันเจ้าตัวหันหลังให้

"บอท บอทเองก็รู้นะน้ำพูดไปอย่างนั้นล่ะ น้ำไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย"

ยังหันหลังอยู่ไม่ยอมหันมา แต่น้ำกลับยิ้มออกมาในใจมันเต้นร้องอยู่อย่างดีใจ

"บอทโกรธน้ำเหรอ"

"ไม่นี่ เราจะไปโกรธน้ำเรื่องอะไร"

"ไม่โกรธแล้วไม่หันมาคุยล่ะ"

"เราง่วง"

"น้ำขอโทษนะบอท"

เดินไปประชิดขอบเตียงเอื้อมมือไปแตะบ่าของเพื่อนในใจก็เต้นตุ้มๆต่อมๆ

"น้ำขอโทษ"

เสียงลอดออกไปจากห้วงที่ลึกที่สุดของใจ เสียงที่เปล่งออกมาจากความรู้สึก

"น้ำ"

บอทหันหน้ามามองตาเพื่อนจับมือเอาไว้

"น้ำ เราไม่เคยไปไหนโดยไม่มีน้ำ เราเสียใจนะถ้าน้ำจะไปไหนโดยไม่ชวนเราหรือไม่อยากให้เราไปด้วย"

เผยความในใจออกมา น้ำยิ้มออกมา

"น้ำแกล้งบอทนี่ไม่รู้เหรอ แล้วคิดเหรอว่าน้ำจะไปไหนโดยไม่มีบอท"

"นี่น้ำแกล้งเราเหรอ"

ดึงแขนน้ำให้ล้มลงบนเตียงทันที บอทกอดร่างของน้ำเอาไว้น้ำเองก็ไม่ได้ขัดขืน อบอุ่นใจ ดีใจ มีความสุขเหลือเกิน

"เรากำลังหลบคาบอาจารย์อ้วนอยู่นะบอท ไม่กลัวเหรอ"

อาจารย์อ้วนคือครูห้องปกครองที่ขึ้นชื่อในเรื่องความโหด แต่บอทก็ส่ายหน้าไม่สนใจ

"ไม่กลัวหรอก ขี้เกียจ วันนี้ขอไม่เรียนสักวันนะน้ำนะ"

บอทอ้อนแล้วกอดกระชับแน่นขึ้น น้ำเองแม้ใจจะอยากเรียน แต่ตอนนี้เอาอะไรมาลากไปยังไงก็คงไม่ไป กลิ่นลมหายใจของเพื่อนรักมันยังตลบอบอวลอยู่ไม่มีเสียงพูดคุยอะไรกันอีกพยายามใช้ใจที่มีสื่อสารกัน น้ำเองจิตใจลอยละลิ่วไปไกลแสนไกล

ในสมัยนั้นการทำโทษนักเรียนที่โดดเรียนคือการตี ไม้เรียวที่เหลามาอย่างดีมันแพล่บเพราะผ่านการใช้งานมานานผ่านก้นของนักเรียนมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่กรุ่น การตีของครูห้องปกครองจะไม่มีออมมือหรือเบาแรงแต่อย่างใด ตีคนละสามทีเป็นอย่างมาก ตอนที่ง้างมือออกกอดอกรอไม้เรียวหวดลงมาที่ก้นนั้นมันหวาดเสียวยิ่งนัก พอไม้เรียวจะกระทบกับก้นก็กระเด้งเอวไปข้างหน้า ถ้าใครกระเด้งไปมากเกินงามครูก็จะตีใหม่ ตีอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะนิ่ง ตอนสุดท้ายของคาบเรียนเสียงเปียโนที่เป็นออดบอกเวลาดังขึ้น น้ำจึงสะกิดบอกให้บอทลุกตามขึ้นห้องไป

"ซวยแล้วมึง ไอ้อ้วนมันให้มึงสองคนไปหาที่ห้องปกครอง"

เล็กพอเห็นหน้าเพื่อนทั้งสองก็รีบเข้ามาบอกหน้าตาตื่น น้ำสีหน้าซีดเผือดลงทันที บอทเองก็ไม่ต่างกัน

"น้ำไม่ต้องไปหรอกเดี๋ยวเราไปเอง"

"ไม่ได้หรอกบอท เราหลบกันสองคนไม่รอดหรอก"

"เดี๋ยวเราบอกว่าน้ำปวดหัวเราไปตาม ไม่เป็นไรหรอก"

บอทยังคงยกเหตุผลมาอ้างแต่น้ำเองก็ไม่สนใจฟัง เดินตามบอทลงอาคารเรียนตรงไปยังอาคาร ๑ พอไปถึงอาจารย์อ้วนก็ถาม บอทเองก็ตอบไปอย่างที่ตั้งใจไว้

"ว่าไงไอ้น้ำมึงปวดหัวจริงเหรอ"

น้ำก้มหน้าลงอึกอัก

"นิดหน่อยครับ"

"แล้วมึงทำไมต้องไปเฝ้ามันไอ้บอท"

เสียงจากถามธรรมดาเริ่มเป็นตวาด บอทเองเงียบ

"ผมเป็นห่วงมันครับ"

"ดี งั้นมึงสองคนก็โดนไปละกัน เป็นห่วงกันดีนัก"

โดนตีไปคนละสองที แสบแปลบๆที่ก้น "ผมเป็นห่วงมัน" แค่คำเดียวมันชุ่มชื่นแผ่ไปถึงใจ ต่อให้โดนตีอีกสักสิบทีก็คุ้มแล้ว น้ำเองเม้มปากไว้บอทเองก็นิ่งไม่พูดหรือแสดงอาการอะไรออกมา ตอนเดินกลับบ้านด้วยกัน น้ำเองก็เอ่ยขึ้น

"เจ็บไหมบอท"

เหลือบไปมองเพื่อนรักที่เดินขาถ่างๆไม่พูดไม่จา

"เจ็บดิถามได้ ไอ้บ้านั่นมันบ้าอำนาจ ห่าอะไรวะแค่หลบเรียนคาบเดียว พอไปเรียนมันก็ไม่เห็นสอนห่าอะไร ให้แต่อีเดือนถอนหงอกให้ ไอ้ควายเอ้ย"

โพล่งออกมา ด้วยความคับแค้นในใจ

"เอาน่าบอท ก็เราหลบจริงๆนี่ น้ำขอโทษนะบอทที่ทำให้บอทเจ็บ"

"น้ำ"

เสียงหลงลอยละลิ่วปลิวไปกับสายลม

"เราสิต้องขอโทษน้ำที่ทำให้ซวย น้ำจะมาขอโทษเราทำไม"

"น้ำไม่เป็นไร น้ำทนได้ แต่น้ำไม่อยากให้บอทเจ็บ"

"เราก็ไม่อยากให้น้ำเจ็บ"

บอทเองพูดออกมาสายตาบอกอย่างนั้นจริงๆ ส่วนน้ำเม้มปากแน่นพยักหน้า ในใจมันยิ่งตีระรัวดีดดิ้นดีใจไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย ร่างกายต่อให้มันเจ็บปวดสักแค่ไหนแต่ถ้าใจมันมีความสุขความเจ็บนั้นก็ทุเลาเบาบางลง

ปลายฝนต้นหนาวร่างกายเริ่มสัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พัดเข้ามาเยือนกลิ่นอายของความแห้งแล้งหนาวเย็นพัดเข้ามาปะทะหน้า อากาศที่เย็นสบายไม่ร้อน ต้นไม้ใบหญ้ามันดูสวยมิติมันดูอ่อนลงนุ่มลง แสงตะวันมันก็ดูอ่อนโยนลงไม่แผดรังสีร้อนเหมือนที่ผ่านมา ร่างของเด็กชายสองคนเดินเคียงข้างกันบนทางลูกรังที่เริ่มมีฝุ่นฟุ้งขึ้นมา ทั้งสองเดินเคียงข้างหยอกล้อกันไปตลอดทาง

"น้ำตักน้ำเสร็จแล้วไปปักเบ็ดกันนะ เดี๋ยวเราไปขุดไส้เดือนก่อน"

พอกลับถึงบ้านก็แยกกันไปทำงานบ้านของตัวเอง น้ำเองมีน้องชายคอยช่วย แม่บุญช่วยยังอยู่ที่สถานีอนามัย ส่วนพ่อถาวรเองก็ยังไม่กลับจากโรงเรียนทั้งที่โรงเรียนเลิกแล้ว เห็นหินบอกว่าที่โรงเรียนมีประชุมเรื่องกีฬาสี พ่อถาวรเลยต้องอยู่รอทั้งที่เป็นแค่ภารโรง ส่วนแม่นิ่มออกไปหาหญ้ามาให้อีน้อย

"อย่าลืมเอาฟางให้อีกว้างนะหินพี่ไปปักเบ็ดก่อน นึ่งข้าวด้วยนะเดี๋ยวแม่กลับมาจะด่าเอา"

"รู้แล้วน่า"

เสียงน้องชายวัยเก้าขวบตอบหน้าตาดูไม่ได้เรื่องหรือทีท่าว่าจะใช้งานได้เลยแต่เขาก็ทำได้ ทำมาตั้งแต่อยู่ ป ๒

"โอ๊ย เจ็บว่ะน้ำ"

พอเอาก้นขึ้นนั่งบนเบาะของจักรยานบอทก็ร้องออกมา

"จะปั่นได้ไหมอ่ะบอท ไม่ไหวเราเดินไปนาใกล้ๆบ้านดีไหม"

น้ำเสนอความคิดเพราะตนก็เจ็บที่ก้นเหมือนกันทั้งที่ยังไม่ขึ้นนั่ง

"อืม นาพ่อใหญ่มานะเหรอ"

พอตกลงกันได้ก็เอาจักยานไปเก็บเดินตามกันลัดเลาะป่าชายทุ่งออกไป ทุ่งนาเขียวขจีมองออกไปสุดลูกหูลูกตาแสงแดดรำไรส่องประกายเจิดจ้าอยู่ ลมหนาวพัดเข้ามา บอทเองเคยบอกกับน้ำว่าน้ำคิดไปเองมันไม่ใช่ลมหนาวแค่ลมกำลังเปลี่ยนทิศ แต่น้ำเองรู้สึกได้ ชอบฤดูนี้เป็นพิเศษ แม้มันจะดูเหงาหงอย แต่มันแฝงอยู่ด้วยกลิ่นอายของความสุข สุขจากไหนไม่ทราบ แค่ได้กลิ่นหัวใจมันก็เป็นสุขแล้ว

"เราดูก้นหน่อยสิน้ำเป็นแผลไหม"

พอกลับมาถึงบ้านอาบน้ำกินข้าวเสร็จบอทก็มานอนอุตุอยู่ที่ห้องของน้ำหอบหนังสือมาอย่างทุกวัน

"เฮ้ย บ้าเหรอบอท"

เผลอร้องออกมา

"อายไรวะ น้ำก็ดูให้เราด้วยดิ ทายาให้หน่อยเป็นรอยแน่ๆไอ้อ้วนบ้าเอ้ย"

บอทไม่ได้สนใจท่าทางของน้ำ นอนคว่ำลงดึงกางเกงผ้ายืดออกเผยให้เห็นบั้นท้ายทั้งสองข้าง รอยแดงๆยาวพาดก้นนั้น

"โห เจ็บไหมบอท รอยมันเริ่มเขียวๆแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราไปเอายาหม่องมาทาให้"

น้ำลุกเดินออกไปจากห้องลงไปข้างล่างสักพักก็กลับขึ้นมาพรอ้มยาหม่องในมือ

"เบาๆนะน้ำ เจ็บ"

"อือ"

นิ้วมือก็บรรจงเกลี่ยยาหม่องทาให้ทั่วก้นเบาบางกลัวว่าเพื่อนรักจะเจ็บ เห็นแล้วก็สงสารไม่อยากเห็นเพื่อนเจ็บเลยแม้แต่น้อย บอทเองก็เคลิ้มหลับตาพริ้ม

"มาเราทำให้น้ำบ้าง"

บอทดึงกางเกงขึ้น น้ำเองลังเลอยู่ได้ไม่นานเพราะกลัวว่ามันจะผิดสังเกตไปรีบนอนคว่ำลงแล้วดึงกางเกงของตนออกเหมือนบอท

"ก้นน้ำนี่ขาวจังนะ มีรอยแบบนี้ไม่สวยเลย"

"นั่นแน่ จะทาก็รีบทาจะมาดูทำไมล่ะบอท"

"ก็มันขาวอ่ะ ก้นเราดิดำๆ"

"ใครจะมาดู มีแต่น้ำนี่ล่ะที่เห็น"

"ก็เราอยากให้น้ำเห็นเราแบบดีๆนี่"

"บอท บอทจะเป็นยังไงน้ำก็จะมอง น้ำก็พอใจที่ได้มอง"

เสียงขรึมเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว บอทเองยิ้มออกมา ไม่พูดอะไรอีกทายาหม่องลงไปบนก้นแผ่วเบาเช่นกัน

"ถ้าเรามีแฟน เราอยากมีแฟนให้ได้เหมือนน้ำจังนะ"

กระตุกหัวใจอีกครั้ง ยิ่งคิดยิ่งหวั่นไหว ยิ่งมาพูดกระตุกใจ น้ำเม้มปากแน่นระบายลมหายใจออกมา

"ทำไมล่ะบอท น้ำไม่เห็นจะมีอะไรดี"

"ใครบอก ทำไมน้ำไม่เป็นผู้หญิงนะ เราจะได้ขอเป็นแฟน"

"ไอ้บ้า ถ้าน้ำเป็นผู้หญิง เราก็คงไม่ได้มานอนด้วยกันแบบนี้หรอกนะ แล้วทำไมบอทไม่เป็นผู้หญิงล่ะ น้ำจะได้ขอเป็นแฟนบ้าง"

น้ำพูดออกมาแล้วจ้องตาเพื่อนรัก

"บ้าน้ำก็ เค้าเขินน้า"

ทำท่าทางตุ้งติ้งขึ้นมา น้ำเองหัวเราะออกมา บอทเองก็หัวเราะ

"แต่เราสัญญานะน้ำว่าเราจะรักน้ำแบบนี้ตลอดไป"

เอ่ยคำมั่นสัญญาออกมา คำพูดที่คนฟังสะอึกจารมันไว้ในใจทันทีที่ได้ยิน คำสัญญาที่แม้จะเป็นเพียงแค่คำพูดของเด็กชายอายุ ๑๖ปี แต่มันตราตรึงอยู่ในใจแล้วตราบนานเท่านาน
 
๒๑ กันยายน

กูรู้สึกดีมากเลยนะตอนที่มึงงอนกูเรื่องที่กูจะไปกับอีเล็ก ทำไมไม่รู้ กูรู้สึกว่ามึงห่วงกูมาก แค่นี้ก็รู้สึกดีมากแล้ว ยิ่งได้เห็นมึงงอนนอนอยู่ในห้องพยาบาล กูยิ่งรู้สึกดี นี่กูคงเป็นบ้าไปแล้ว แต่เสียใจอยู่อย่างเดียวที่ต้องโดนไอ้อ้วนตี ไม่อยากเห็นมึงเจ็บเลยว่ะ ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าใครจะผิดหรือถูก กูปวดใจเหลือเกิน รู้สึกอยากจะโดนตีอยู่คนเดียว ยิ่งเห็นรอยไม้เรียวบนก้นมึง กูอยากจะร้องไห้ เสียใจว่ะทั้งวันมีความสุขมาตลอดวัน มาเสียใจก็แค่เรื่องนี้ ถ้ามึงเจ็บนะ มึงรู้ไว้เลยกูเจ็บกว่ามึงหลายร้อยเท่านัก เพื่อนรัก คำสัญญาที่มึงให้ไว้กับกูกูจะจำมันไปจนวันตาย เช่นกันแม้กูจะไม่ได้พูดมันออกมา กูอยากจะบอกมึงเหลือเกิน ว่ากูก็รักมึงมาก มากเสียจนกูโมโหตัวเองที่ดูเหมือนมันจะมากเกินไป จำไว้นะเพื่อน กูจะรักมึงไปจนกว่ากูจะตาย
 
 
 
วิสัชนา ใจสิหนอเพราะถ้าร่างที่ไร้ใจก็เหมือนต้นไม้ที่ไร้รากแก้วดูดสารอาหาร รอวันเหี่ยวแห้งตายเช่นนั้นแล
เขียนโดย eiky  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 01-10-2010 00:30:25
จิ้มๆๆๆๆ  เห้อ ทำไมบรรยากาศดูเศร้าจัง  อยากได้เอ็นซี  บวก1ให้พี่อิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 01-10-2010 00:32:07
อย่าให้บรรยากาศมันเศร้านานนักนะคุณอิ๊ก หัวใจดวงน้อยๆของเค้าจะรับไม่ไหว คิคิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 01-10-2010 01:04:12
อย่างที่เคยบอกคุณอิ๊กไว้
ถ้าสุดท้ายได้คู่กัน เข้าใจกัน รักกัน
ดราม่าเต็มสตรีมตามสบายเลยคุณอิ๊ก หนักแค่ไหนไม่เคยหวั่น
ชอบนักล่ะเรื่องที่มันมีอารมณ์แอบซ่อนไว้ลึกๆในใจ
มันได้เห็นถึงสภาพจิตใจแต่ละคน
ถึงจะเป็นแค่ตัวละครมันก็สะท้อนให้เห็นอะไรๆได้นะ

********************

เหมือนบอทจะคิดอะไรเกินเพื่อนกับน้ำ แต่สุดท้าย เราว่ายังไม่ใช่ตอนนี้
ตอนนี้บอทยังไม่คิด คิดแค่ว่าน้ำเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ฉะนั้น ก็เลยให้ความสำคัญกับน้ำมากสุด

ชอบตรงปุจฉา วิสัชนา จัง
ขาด ใช้ 'หมอง นั่ง 'มาธิ
 :laugh:


 :กอด1: คุณอิ๊กให้กำลังใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 01-10-2010 01:10:30
บรรยากาศเศร้าๆ แบบนี้ จะเป็นไปอีกนานไหม
บอทจะเริ่มรู้บ้างหรือยังว่าน้ำคิดอย่างไรกับบอท
เศร้า  :sad4:
 :L2: :L2: :L2:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 01-10-2010 01:21:37
โอ๊ย~ บรรยากาศเรื่องนี้ทำไมดูเศร้าๆจัง  :sad4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-10-2010 02:18:12
บอกว่าจบไม่เศร้า แต่ไม่ใช่ อึมครึมตลอดเรื่องแล้วไปหวานตอนจบตอนเดียวนะ มีงอนแน่ๆ  o18
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 01-10-2010 02:28:29
บอกว่าจบไม่เศร้า แต่ไม่ใช่ อึมครึมตลอดเรื่องแล้วไปหวานตอนจบตอนเดียวนะ มีงอนแน่ๆ  o18
^
เห็นด้วยกับคุณหนึ่ง  :laugh:
 +1
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 01-10-2010 03:16:34
ยุคสมัย กาลเวลา และสังคม มันช่างเป็นอุปสรรคต่อความรักของผู้ชายกับผู้ชายจริงๆ นะคะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 01-10-2010 03:52:21
ทำไมบรรยากาศมันเหมาะแก่การดราม่ามากเลยล่ะคะ  :m15:

แต่คุณอิ๊กบอกว่าเรื่องนี้จบแบบแฮปปี้ แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ  :monkeysad:
อย่าเศร้ามากนะคะ สงสารน้ำอ่ะ  o7
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 01-10-2010 04:09:44
น่ารักแบบเศร้า มีแอบขำเล็กๆน้อยๆ   ขอบคุณมากเลยนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 01-10-2010 07:27:23
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 01-10-2010 08:05:19
ชอบจังขอรับ :กอด1:
อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนกับดูหนังเก่าๆเรื่องหนึ่ง

+ 1 จัดไปโลดขอรับ :a1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: littleFiNgeR ที่ 01-10-2010 09:21:35
บอทกับน้ำ... ชักออกอาการโลลิค่อนแล้วสิเรา รักเด็กค่าาาาาา

รอตอนต่อไปนะอิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 01-10-2010 09:57:58
สัญญากันแล้ว

สัญญาใจ

แต่ต้องมีอะไรให้พัดพราก

จากกันหรือเปล่านะ

ดูเศร้าๆ จัง บรรยากาศชวนไม่ไว้ใจ

 :m29: :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 01-10-2010 14:48:19
เง้อ ไม่เอาเศร้าน้าา
พูดเหมือนกับว่า เป็นผู้ชายแล้วจะคบกันเป็นแฟนไม่ได้งั้้นแหละ
สู้ๆนะน้ำ บอท : )
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 01-10-2010 16:05:06
แค่สามตอน...สนิมน้ำค้างก็...กลายเป็นสนิมหัวใจคนอ่านซะแล้ว
อ่านแล้ว....มันเหมือนมีอะไรเกาะอยู่ในใจจริง ๆ.... :impress:
บอท....ให้ความหวังน้ำโดยไม่รู้ตัว.....ชีวิตยังอีกยาวไกลนัก
วันหนึ่งถ้าบอท....เห็นคนอื่น....ดีและเทียบได้กับน้ำ....
วันนั้นน้ำคงเสียความรู้สึกสุด ๆ เพราะทั้งใจน้ำให้บอทไปหมดแล้ว :เฮ้อ:

เป็นอีกเรื่องที่น่าติดตาม  การบรรยายดีจ๊ะเห็นภาพชีวิตที่พี่ไม่เคยสัมผัส 
เป็นชีวิตที่สะอาด และห่างไกลจากสิ่งชั่วร้าย.....ชอบค่ะ
เออ....ครูฝ่ายปกครองเนี่ย...ดุจริง ๆ นะขอบอกกกกก... :try2:

 :L2: น้อง eiky กด + ให้เรื่องใหม่น้า...  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: gtm ที่ 01-10-2010 16:42:44
ชอบอะ เพื่อนรักเพื่อน แต่อย่าดราม่ามากแบบภูมินะไม่ไหว

ขอใสๆๆน่ารักๆแบบญี่ปุ่นได้ไหมคุณอิ๊ก เอาดราม่านิดๆก็พอ

ขอฉากหวานเยอะๆ แบบพระเอกหึงโหดได้ยิ่งดี
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: rose ที่ 01-10-2010 17:04:53
ชอบค่ะ

พึ่งตัดสินใจกดเข้ามาอ่าน

อ่านได้เรื่อยๆ

บีบอารมณ์นิดๆ

แต่ก็ชอบมากๆ

อยากจะรู้ ว่าน้ำกับบอทจะเป็นยังไง

 :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: som~ ที่ 01-10-2010 17:30:04
ติดตามค่ะ เป็นกำลังใจให้               :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 01-10-2010 17:51:56
ง่ายๆ  คำเดียวว่า  สวยงามคับพี่อิ๊ก
ถึงแม้ว่าเหตุการข้างหน้าจะเป็นอย่างไร  แต่เวลา ณ ปัจจุบันนี้สวยงามน่าจดจำ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: doudoh ที่ 01-10-2010 17:54:48
สนุกจังเลยคับ มาเป็นกำลังใจให้นะคับ  o13

+1 ให้นะคับ
 :o8:
น่าสงสารน้าม เตะบ็อทไปไกลๆเลย555+ (แกล่งเล่นเดี๊ยวโดนแฟนคับบ็อทเต๊ะ):m23:


หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 01-10-2010 18:42:11
ง่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

สนุกอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 01-10-2010 19:18:01
วันนี้มาต่อไหมคะคุณอิ๊กกี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 01-10-2010 19:24:25
วันนี้มาต่อไหมคะคุณอิ๊กกี้  :กอด1:

วันนี้งดนะครับ แต่ไปอ่านตอนพิเศษน้องภูมิได้เลย อิอิ คัดความหวาน เชียวน้า
จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 01-10-2010 22:25:45
อ่านไปสองตอนค่ะ สนุกจัง
เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 01-10-2010 22:34:28
มาอ่านแล้วเน้อ...


แว๊บหายตัว..........



ไปปั่นของตัวเองก่อน 555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 02-10-2010 00:32:37
บอกว่าจบไม่เศร้า แต่ไม่ใช่ อึมครึมตลอดเรื่องแล้วไปหวานตอนจบตอนเดียวนะ มีงอนแน่ๆ  o18

จะพยายามคร้าบพี่ แต่ขอบคุณมากที่สละเวลาเข้ามาอ่าน จะพยายามบิ้วให้สวยๆคร้าบ เหอๆ แต่ตอนท้ายนี่น่ากลัวนะเนี่ย

 
ยุคสมัย กาลเวลา และสังคม มันช่างเป็นอุปสรรคต่อความรักของผู้ชายกับผู้ชายจริงๆ นะคะ

จริงครับ ยิ่งสมัยก่อน แอ๊บบอยกันน่าดู อิอิ

ทำไมบรรยากาศมันเหมาะแก่การดราม่ามากเลยล่ะคะ  :m15:

แต่คุณอิ๊กบอกว่าเรื่องนี้จบแบบแฮปปี้ แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ  :monkeysad:
อย่าเศร้ามากนะคะ สงสารน้ำอ่ะ  o7

อารายน้า นี่เศร้าแล้วเหรอ ยังน้า สนิมยังไม่มาเลยคร้าบ นี่แค่เปิดเรื่องน้า อดใจรอหน่อยน้า อิอิ

น่ารักแบบเศร้า มีแอบขำเล็กๆน้อยๆ   ขอบคุณมากเลยนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ขอบคุณคร้าบ อย่าหนีกันไปไหนล่ะ

ชอบจังขอรับ :กอด1:
อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนกับดูหนังเก่าๆเรื่องหนึ่ง
ไม่เก่ามากหรอกครับ สมัยเพจเจอร์เอง 5555

บอทกับน้ำ... ชักออกอาการโลลิค่อนแล้วสิเรา รักเด็กค่าาาาาา

รอตอนต่อไปนะอิ๊กกี้

รักแต่เด็กเหรอคร้าบ แล้วคนเขียนอ่า มะรักหรา อิอิ รักกันๆ

เง้อ ไม่เอาเศร้าน้าา
พูดเหมือนกับว่า เป็นผู้ชายแล้วจะคบกันเป็นแฟนไม่ได้งั้้นแหละ
สู้ๆนะน้ำ บอท : )

เอ่อ........ เอาน่าๆ มาๆกอดๆๆ มาให้กอดทีนึงจะได้ขวัญไม่เสียน้า อิอิ

-----------

สำหรับพี่กานดา.......สนิมยังไม่ได้ขึ้นเลยน้า รอดูไปสนิมขึ้นใจแน่นอน เหอๆๆ แววซาดิส์+เอ็มออกอีกแล้ว

-----------

คุณ gtm***

น้องภูมินั่นไม่ได้ครึ่งของน้องโยเลยนะครับ อิอิ น้องภูมิยังสู้คนส่วนน้องโย หึหึ ลองไปอ่านดูน้า

คุณ rose***

ขอบคุณมากครับ

ติดตามค่ะ เป็นกำลังใจให้               :mc4: :mc4:

ขอบคุณอีกครั้งครับ

ง่ายๆ  คำเดียวว่า  สวยงามคับพี่อิ๊ก
ถึงแม้ว่าเหตุการข้างหน้าจะเป็นอย่างไร  แต่เวลา ณ ปัจจุบันนี้สวยงามน่าจดจำ

หือสวยหมายถึงน้ำป่ะส้มจี๊ด5555

สนุกจังเลยคับ มาเป็นกำลังใจให้นะคับ  o13

+1 ให้นะคับ
 

บวกยังไม่ได้น้า เดี๋ยวบวกให้เองครับ อิอิ

ง่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
สนุกอ่ะ

เดาว่าชอบนะคร้าบ ขอบคุณมากครับ

อ่านไปสองตอนค่ะ สนุกจัง
เป็นกำลังใจให้จ้า

ขอบคุณคร้าบ แทนคำขอบคุณ มากอดกันๆ อิอิ

ป้านัท***

นิยายเรื่องใหม่หนุกดีครับ ชอบๆๆ เดี๋ยวแว๊บไปอ่านเมือนกัน แหะๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 02-10-2010 01:14:33
เรื่องนี้ต้องดราม่าแน่ๆเลยอ่า มีแววจะเศร้าแต่ก็อยากอ่านต่อ อ้ากกก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓ ตุลาคม ๑, ๒๕๕๓ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 02-10-2010 03:02:39
แวะมา 1+ รอบดึกๆค่ะ  นี่ขนาดยังไม่สนิมนะเนี้ย

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดกลัวว่าจะบีบครั้นหัวใจจนอ่านไปเครียดไป อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 02-10-2010 15:04:12
บทที่ ๔

ปุจฉา อันหนามทิ่มตำเราเอาเข็มบ่งหนามนั้นออกแล้วความรักทิ่มแทงใจเราเอาอะไรบ่งออกฤๅ


พอถึงวันเข้าพรรษาเสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังก้องอยู่ทั่วสารทิศ เสียงดังคล้ายระเบิดย่อมๆนี่เอง ทางวัดบ้านใหญ่ที่ปีนี้ร่วมใจกันทำเขาวงกตขึ้นมา ชาวบ้านก็พากันไปรออยู่บนศาลาการเปรียญตั้งแต่เย็นแล้ว พระสงฆ์ก็ทำวัตรเย็นไปตามกิจวัตร ส่วนชาวบ้านก็เตรียมดอกไม้ธูปเทียนขึ้นไปรอฟังเทศน์อยู่บนศาลา สมัยก่อนคนแก่จะพาลูกหลานไปนั่งฟังพระเทศน์ด้วย เด็กก็ไปทั้งที่ฟังไม่รู้เรื่อง บางคนก็นอนอยู่ข้างๆตายาย เหมือนไปนอนให้พระท่านเทศน์กล่อมให้หลับ แต่เพิ่งมารู้ตอนโตว่าการที่ได้ไปนอนฟังเทศน์แบบนั้นเหมือนมันจะซึมซับเข้า ไปในส่วนลึกของจิตใจได้ไม่น้อยทีเดียว

“เอาดอกนั้นด้วยสิบอท มันไม่บานมาก”

พอตอนเลิกเรียนก็นั่งซ้อนท้ายรถเครื่องของเล็กไปยังหนองน้ำท้ายหมู่บ้านของ เล็ก หมู่บ้านของเล็กห่างออกไปจากหมู่บ้านของน้ำประมาณ ๘ กิโลเมตร ที่บ้านของเล็กรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อนำไปขายในตัวเมืองฐานะทางบ้านจึงดู เหมือนจะดีกว่าใครในห้อง เล็กพาทั้งสองคนลงเรือพายที่จอดเทียบท่าอยู่มีโซ่ล่ามเอาไว้ เล็กเองบอกว่าเป็นของที่บ้านเพราะมีกุญแจไขเอาเรือพายเบนหน้าออกสู่หนองน้ำ หนองน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่มีบัวหลวงขึ้นแซมอยู่กับผักตบชวาแถบริมฝั่ง ดอกบัวชูคอสล้างมีทั้งตูมทั้งบานทั้งเป็นฝักและที่เพิ่งพ้นจากน้ำ บอทเองเอาไม้ไผ่อันเล็กๆมีเงี่ยงตรงปลายคอยเกี่ยวเอาดอกบัวตามที่น้ำบอก

“ไม่มีใครมาเอาเหรอวะเล็ก ทำไมเลือเยอะจัง”

น้ำถามขึ้นเพลินเพลินกับการแกะเม็ดบัวจากฝักกิน

“มีดิ แต่ตรงนี้มันอยู่ไกลไป ไปดูฝั่งโน้นดิใบก็ไม่เหลือ มึงจะเอาไปเยอะไหมล่ะจะได้พาไปอีกที่”

“ไม่หรอก เอาแต่พอไหว้พระที่บ้านกับที่วัด”

“เออดี เพราะเอาไปเยอะมันกลับลำบาก”

เล็กบอกเพราะต้องขับรถเครื่องไปส่งทั้งสองคนอีก พอได้ดอกบัวตามที่ต้องการเล็กก็ขับรถไปส่งถึงที่บ้าน น้ำชวนให้เล็กอยู่ไหว้พระที่วัดด้วยแต่เล็กกลัวว่ามันจะค่ำเสียก่อนจึงไม่ ได้อยู่ด้วย

“อีเล็กนี่มันห้าวจริงๆเลยนะ ดูมันแต่งตัว ยังกะผู้ชาย”

บอทพูดขึ้นหลังจากที่เล็กกลับไปแล้ว

“ก็ดีนี่ เป็นเพื่อนเราจะได้ไม่หญิงมากไงบอท”

“ฮ่าๆ กลัวว่ามันจะไม่มีผัวอ่ะดิ”

“อ้าว ทำไมล่ะ ทำไมมันต้องมีผัว”

“ไม่รู้ดิ ก็เป็นผู้หญิงต้องมีผัว อย่างเราเป็นผู้ชาย สักวันก็ต้องมีเมีย”

น้ำพยักหน้าคิดตามไปด้วย จริงสินะเราเป็นผู้ชาย สักวันก็ต้องมีครอบครัว มีภาระหน้าที่ที่มากกว่าแค่การเรียน มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอีกมามายรออยู่เบื้องหน้า ยิ่งคิดยิ่งมองไม่เห็นวันพรุ่ง น้ำสบัดความคิดออกจากหัว เอาเถอะยังไงๆมันต้องดีกว่านี้สิ น้ำปลอบใจตัวเอง

“คิดอะไรอยู่เหรอน้ำ นิ่งเชียว”

บอทถามขึ้นเพราะเห็นว่าเพื่อนรักนิ่งไปนาน แววตาครุ่นคิดอยู่เหมือนมีอะไรในใจ

“อ้อ เปล่าหรอกบอท น้ำคิดเรื่อยเปื่อย บอท น้ำว่าบางทีน้ำอาจจะไม่แต่งงาน”

“อ้าว ทำไมล่ะน้ำ”

“ไม่รู้สิ เรายังเด็กอยู่นี่จะไปคิดทำไมเรื่องมีเมีย”

“ฮ่าๆๆ ถ้าน้ำไม่อยากมีเมีย มาเป็นเมียเราไหมล่ะ”

หันขวับทันที ไม่รู้ว่ารู้สึกอะไรอยู่ หรือคิดอะไรอยู่กันแน่ เพื่อนคนนี้พยายามปรับบีบใจให้มันไปตามลู่ตามทางของมัน แต่ดูคำพูดที่หลุดออกจากปากแต่ละคำสิยอกใจไปได้ไม่น้อยทีเดียว

“อย่าพูดเล่นนะบอท น้ำเอาจริงขึ้นมาซวยนะจะบอก”

พูดออกไปอย่างนั้นทั้งที่ใจกำลังเต้นระส่ำระสายอยู่ จังหวะของหัวใจที่เต้นแรงเร็วบีบอัดกันให้เลือดวิ่งพล่านไปทั้งกาย แก้มระบายสีออกมาอย่างชัดเจน

“ฮ่าๆๆ เอาดิ งั้นคืนนี้เป็นเมียเราเลยไหม”

บอทเองก็เล่นไม่เลิก น้ำเริ่มจะคุมตัวเองไม่อยู่ ถ้าอ้าปากพูดออกไปเสียงคงสั่นแววตาคงทำให้มันนิ่งไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจออกมา

“คิดมากน่าน้ำเราล้อเล่น แหมหน้าแดงเชียวนะ เราไปเอาฟางมาให้อีน้อยดีกว่า เอออย่าลืมเตรียมดอกบัวไว้ให้ผัวนะจ๊ะเมียจ๋า”

“บอท”

ตาขวางกัดฟันพูดเจ้าตัววิ่งหนีไปแล้ว น้ำเองพอบอทลับหลังไปก็แอบฉายยิ้มออกมา รู้สึกดีกับคำพูดเมื่อครู่อย่างประหลาด เหมือนดอกไม้บานกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ มันร้อนแผดเผาอย่างนั้นแต่ดอกไม้มันก็บานขึ้นได้ เพราะอะไรน้ำเองไม่รู้คำตอบ ไม่อยากเสาะแสวงหาว่าทำไม ทำไมหัวใจของตนถึงรู้สึกยินดีปรีดามากมายเช่นนี้

เสียงประทัดสลับกับเสียงกรีดร้องดังแว่วออกมาจากภายในวัดบ้านใหญ่ยิ่งเข้า ใกล้วัดมากเท่าไหร่เสียงนั้นดูเหมือนจะแจ่มชัดมากขึ้น น้ำนั่งซ้อนจักรยานที่บอทเป็นคนปั่นตรงไปยังวัด ในมือกำดอกบัวที่มัดด้วยตอกไม้ไผ่มีถุงธูปเทียนห้อยอยู่ด้วย หมู่บ้านของน้ำไม่ได้ทำเขาวงกตเช่นที่บ้านใหญ่ชาวบ้านจึงแห่มาที่บ้านใหญ่ เสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนที่ขี้เกียจจะไปไกลจากหมู่บ้านก็ไปไหว้พระที่วัดแทนเช่นเดียวกับแม่ บุญช่วยและแม่นิ่มที่แค่เดินไปไม่กี่สิบเมตรก็ถึงวัดประจำหมู่บ้านแล้ว

“โห ท่าทางคนจะเยอะนะน้ำ”

บอทเอ่ยขึ้นเสียงดังเอี้ยวคอมา

“รีบไหว้แล้วเรีบออกมาเถอะ น้ำไม่อยากอยู่นาน หนวกหู”

“ฮ่าๆ หนวกหูหรือว่ากลัวน้ำ เอาให้แน่”

“ทั้งสองนั่นล่ะ ไหนบอกจะไปดูเบ็ดอีกรอบไง ไม่อยากกลับดึกการบ้านฟิสิกส์ก็ยังไม่ได้ทำนะบอท”

“คร้าบ งั้นเหวี่ยงดอกบัวเข้าไปในเขาวงกตเลยดีไหมน้ำ เราจะได้ไม่ต้องเข้าไปให้เสียเวลา”

แทนคำตอบน้ำเอากำปั้นทุบเข้าไปที่กลางหลัง

“โอ๊ย โหดว่ะน้ำ”

“น้อยไปนะ ย้อนดีนัก”

บรรยากาศภายในวัดเป็นไปอย่างครึกครื้น บรรดาเด็กๆก็พากันเล่นประทัดอยู่ทุกมุมของเขาวงกต ไม้ระแนงถูกปักลงพื้นลานวัดเป็นวงกลมกว้าง ภายในก็มีผู้คนเดินวนหลงทางอยู่ เสียงประทัดจุดไล่ดังอื้ออึงแข่งกับเสียงกรีดร้อง เด็กผู้ชายก็จะแกล้งเด็กผู้หญิง แกล้งคนแก่ไม่ได้เพราะถ้าเผลอไปแกล้งนอกจากจะไม่กรีดร้องให้สมใจอยากแล้ว กลับจะโดนด่าล้วงลึกถึงบรรพชนเป็นได้ น้ำเดินตามหลังบอทไปไม่ยอมห่าง ยอมรับว่าใจเสาะในเรื่องเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงฟ้าร้อง ฟ้าฝ่า หรือแม้แต่เสียงที่กำลังดังอยู่ทั่วบริเวณวัดในตอนนี้ น้ำเองหวาดผวาแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่กลัว ไม่สะทกสะท้านเมื่อได้ยิน บอทเองรู้ดีและหาโอกาสแกล้งอยู่ตลอดเวลา

“ไม่แวะไปหาอีเอ๋หน่อยเหรอน้ำ เห็นมันเรียกอยู่นี่”

บอทจับแขนน้ำไว้ตอนออกมาจากเขาวงกต เสียงประทัดดังอื้ออึงให้น้ำประสาทเสียไปกลัวแต่ไม่อยากแสดงอาการอะไรออกมา มากนัก พอออกมาได้ก็เดินปรี่จะไปที่จอดจักรยานทันที

“ไม่เอาอ่ะ รีบกลับเถอะต้องไปดูเบ็ดอีกนี่บอทเดี๋ยวยังไงก็เจอมันที่โรงเรียน”

น้ำเดินนำหน้าไม่ยอมเหลียวหลังในใจยังหวาดๆเสียงประทัดอยู่อยากหนีไปให้พ้น จากบริเวณวัด บอทเองหัวเราะร่าอย่างพอใจเดินตามประชิดตัวไม่ยอมห่าง

“ใครน้าบอกไม่กลัว ฮ่าๆ รอเราด้วยดิน้ำจะรีบไปไหนยังไม่สองทุ่มเลย”

“ใครกลัว น้ำไม่ได้กลัว น้ำรำคาญต่างหาก เร็วๆได้ไหมบอท ถ้าไม่เร็วบอทไปเองนะน้ำไม่ไป”

เสียงแข็งห้วนขึ้นทันที แต่บอทเองไม่ได้กลัวแต่อย่างใดทำหน้าทะเล้นใส่อีกต่างหาก

“คร้าบ โหดุจังเว้ย”

บอทเองก็ไม่เคยขัดใจน้ำ ที่จริงไม่เคยงอนเลยเสียด้วยซ้ำ มีแค่เรื่องที่โดดเรียนวันนั้น เป็นครั้งแรกที่บอทรู้สึกน้อยใจไป ในยามวิกาลแม้จะเป็นวันสำคัญที่ชาวบ้านต่างมีกิจกรรมร่วมกันที่วัดกระนั้น ไม่เกินสามทุ่มทั่วทั้งหมู่บ้านก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงัด มีเพียงเสียงประทัด บั้งตุ้มดังแว่วมา บอทปั่นจักรยานแวะกลับไปที่บ้านก่อนเพื่อเขาอุปกรณ์คือหม้อแบตเตอรี่สำหรับ ส่องนำทางและข้องเพื่อใส่ปลา น้ำสะพายข้องไว้กับบ่านั่งซ้อนท้ายจักรยาน บอทเองเป็นคนเอาแบตเตอรี่ที่ชาร์จจนเต็มคล้องที่แขนเอาดวงไฟที่ห้อยด้วยสาย ผ้ายืดผูกไว้ที่กลางหน้าผากสายนั้นรัดแน่นพอดีกับขนาดของศรีษะ ท้องฟ้าโปร่งสว่างไสวไปด้วยหมู่ดาวน้อยใหญ่ ลมกำลังเปลี่ยนทิศพัดเอื่อยๆ อากาศยามค่ำคืนช่างแสนสบายเสียงล้อจักรยานกระทบกับพื้นดินลูกรังที่ขรุขระ ดังกึกกัก เสียงผิวปากดังแว่วออกมาจากคนปั่นจักรยาน น้ำเองหัวใจล่องลอยไปไกล ความรู้สึกที่แปลกประหลาดนั้นมันไม่ได้หายไปไหน แจ่มชัดขึ้นมาเสียด้วยซ้ำแต่ทว่าไม่ได้กลัวหรือหวั่นใจอะไรแล้ว เหราะความรู้สึกประหลาดนั้นบางทีมันก็มอบให้ซึ่งความสุข สุขมากมายเหลือเกินแค่ได้เพียงชิดใกล้เพื่อนรักคนนี้ ถ้าหากว่ามันสุขแม้มันจะผิดที่อาจจะคิดเลยเถิดไปไกล ก็จะขอเก็บความรู้สึกนั้นไว้ส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจก็แล้วกัน

“น้ำคืนนี้ไปนอนกับเรานะ”

พอจะบ่ายหน้าจะกลับบ้านหลังจากที่กู้เบ็ดคืนมาทั้งหมดแล้ว ปลาติดเบ็ดพอสมควรแม้ไม่มากเท่าตอนก่อนฝนจะตกแต่ก็ถือว่าพอทำกินไปหลายวัน บอทเอ่ยขึ้นไม่ได้เอี้ยวคอมาถามเหมือนเดิมคงเพราะแบ่งคันเบ็ดไปมัดไว้กับเอว ส่วนหนึ่งอีกส่วนแบ่งมาให้น้ำถือตอนนี้เองที่มีอะไรมาขวางกั้นระหว่างน้ำกับ บอท เพราะน้ำเอาคันเป็นที่มัดรวมกันไว้ด้านหน้า

“อืม แต่ต้องทำการบ้านด้วยนะ ป้านิ่มไม่ด่าเอาเหรอเดี๋ยวไปเปิดไฟกวนแก”

“เราก็มาทำการบ้านที่บ้านน้ำดิ ข่างล่างอ่ะเสร็จแล้วค่อยไปนอน”

“แล้วทำไมไม่นอนบ้านน้ำเลยล่ะบอท เดินไปเดินมา”

“นอนบ้านน้ำเดี๋ยวไอ้หินมันเห็นดิ ก็เราจะเล่นเป็นผัวเมียกันนี่คืนนี้อ่ะ”

พูดออกมาหน้าตาเฉย น้ำหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา อยากจะตะปบหลังเพื่อนรักหนักๆสักทีแต่ก็ถือเบ็ดอยู่เต็มกำมือไหนจะข้องไส่ปลาอีก

“พูดเหมือนทำเป็น เอาให้แน่เถอะบอท”

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมโต้ตอบออกไปอย่างนั้นทั้งที่ใจมันเต้นระรัวเต้น ดังจนเกรงว่าเพื่อนจะได้ยินเสียด้วยซ้ำแต่ก็ตอบออกไปแล้ว บอทหัวเราะออกมาทันที

“เป็นดิ วันก่อนเราดูหนังสือโป๊กับไอ้ไก่ พอได้ๆน้ำไม่ต้องห่วง ถ้าเราทำไม่เป็นน้ำก็ทำให้เราดิ ไม่เห็นยาก”

“ดูหนังสือโป๊ทำไมไม่บอกบอท ไปแอบดูมาเหรอ”

เบนประเด็นไปเพราะพูดเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้วเพราะกลัวว่าหัวใจจะวายตายเสียก่อน

“ก็ตอนที่น้ำไปห้องสมุดทำรายงานชีวะกับอีเล็กไง มันชวนไปดูที่หลังโรงอาหาร เดี๋ยววันหลังเรายืมมันมาดูกันสองคนนะน้ำ”

ไม่มีเสียงตอบออกมาเพราะตอนนี้หัวใจมันทำงานหนักเกินไปคิดอะไรไม่ออกหรอก มันเต้นแรงสูบฉีดเลือดเสียจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว หัวตื้อคอเริ่มแห้ง รู้สึกว่าตัวร้อนเป็นไฟเหมือนจะเป็นไข้ แต่บอทเองก็ยังไม่หยุดพูดพร่ำเพ้อไปเรื่อยๆจนถึงบ้านช่วยกันเก็บคันเบ็ดเอา ปลาขังในตุ่ม น้ำเองพยายามก้มหน้าไม่สบตา เพราะตอนนี้สายตามันคงปกปิดอะไรไม่ได้แล้ว ใจหนึ่งอยากให้มันเกิดขึ้นจริง ใจหนึ่งอยากให้บอทแค่คะนองปากพูดเล่นๆ

“ไปอาบน้ำด้วยกันป่ะน้ำ ไปอาบบ้านเราดีกว่าเงียบกว่าบ้านน้ำ”

หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะเดิมน้ำเงยหน้าขึ้นมองสายตาสั่นระริกแต่แค่สบตาอยู่ไม่กี่วินาทีก็หลุบสายตามองไปทางอื่นแก้เขิน

“ทำไมล่ะบอท ทำไมต้องอาบด้วยกัน”

เสียงสั่นจนสังเกตเห็นได้บอทฉายยิ้มออกมา

“อายเหรอน้ำ สั่นเชียวฮ่าๆๆ”

“งั้นไปอาบคนเดียวเลยไป”

เดินหนีไปบอทรีบคว้าข้อมือเอาไว้

“โอ๋ๆ งอนเหรอคร้าบที่รัก ไปถูหลังให้เราหน่อยดิ เหมือนมันมีสิว”

บอทเองก็ไม่ยอมแพ้ ด้วยวัยที่อยากรู้อยากเห็นหรือเพราะหนังสือกระตุ้นใจนั้นทำให้บอทเองก็อยาก ลองอยากรู้ และถ้าอยากทำอะไรขึ้นมาก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆเช่นกัน น้ำสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกกักมันเอาไว้เผื่อว่าบางทีจังหวะหัวใจจะเป็นปกติ ลง แต่ไม่เลยใจยิ่งเต้นระรัว ยิ่งสัมผัสจากมือของเพื่อนรัก มันเหมือนมีแรงส่งของพลังงานบางอย่างแผ่กระจายไปทั่วร่าง

“เร็วดิน้ำเหม็นเหงื่อจะแย่แล้วเนี่ย”

“บอทไปก่อน เดี๋ยวเราไปเอาเสื้อผ้าก่อนดิ”

บอทยิ้มออกมายอมปล่อยมือรีบเดินกลับบ้านทันที พูดออกไปแล้ว ตกลงใจไปแล้วแต่ใจทำไมมันไม่ยอมผ่อนจังหวะลงบ้างเลย กลับยิ่งเร่งระรัวเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว พยายามชั่งใจอยู่นานกว่าจะหยิบเสื้อผ้าเดินลงจากบ้านได้ ถอนหายใจออกมาหลายร้อยครั้งแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น อยากลอง ยิ่งกับเพื่อนรักที่ใจมันรู้สึกแปลกๆด้วยแล้ว อยากลอง น้ำตั้งคำถามให้กับตัวเองร้อยคำถาม ถามไปต่างๆนานาว่ามันสมควรหรือไม่ควรคล้อยตามเพื่อนรัก แต่สุดท้ายพาร่างเดินไปยืนอยู่ใต้ถุนบ้านของบอทแล้ว

“โหนึกว่าหลับ จะไปตามแล้วนะเนี่ย”

บอทเอ่ยขึ้นน้ำเสียงยังคงปกติเขานอนเปลือยช่วงบนใส่ผ้าขาวม้าเตรียมพร้อม นอนรออยู่ที่แคร่อย่างอารมณ์ดี ในใจของบอทเองก็เต้นระรัวแต่ด้วยเป็นคนที่คิดอะไรพูดออกไปอย่างนั้นเขาเอง จึงไม่มีอะไรต้องปิดบังความรู้สึกของตัวเอง

“ยังไม่อาบอีกเหรอบอท น้ำอุตส่าห์ถ่วงเวลา”

“ไม่อ่ะ รอน้ำไง ถ่วงเวาทำไมล่ะน้ำ ไหนๆน้ำก็ไปไหนไม่รอดหรอก”

“จะเอาจริงเหรอบอท”

เริ่มลังเลใจที่เป็นนายมันพยายามบีบให้ปากอ้าไปอย่างที่มันต้องการ

“ลองดูไงน้ำ น้ำกลัวเหรอ”

“ใครบอกว่ากลัว กลัวว่าบอทจะติดใจต่างหาก”

การเป็นคนปากไม่ตรงกับใจบางทีมันก็ดีนะ เรื่องบางเรื่องเราเก็บไว้ในใจมันดีกว่าการที่คิดอย่างไรพูดออกไปอย่างนั้น แต่น้ำตอนนี้เหมือนกำลังเอาชนะใจตัวเอง ทั้งๆที่รู้ว่ายิ่งไปท้าทายเพื่อนรัก เขายิ่งจะอยากลองทำ

“ติดใจก็ทำกันทุกคืนไง ไม่เห็นยาก”

“บ้าเหรอบอท”

หน้าแดงไม่ยอมหายบอทลุกขึ้นจากแคร่จูงแขนน้ำเดินเข้าห้องน้ำไป ไฟสีส้มในห้องน้ำที่มีตุ่มรองน้ำไว้สำหรับอาบน้ำและโถซ้วมซึมอยู่อีกผั่ง ส่องแสงสว่างพอที่จะให้เห็นว่าเด็กทั้งสองมีปฏิกริยาทางร่างกายที่เปลี่ยนไป จากสีหน้าที่แดงฉานทั้งสองคน เป้ากางเกงของน้ำที่นูนเด่นขึ้นมามันยากที่จะบังคับให้มันสงบลง มันดีดขึ้นมาเองตามแรงสูบฉีดของเลือด ส่วนบอทเองอวัยวะส่วนนั้นมันชูชันขึ้นมาอย่างยากจะปิดบังเพราะเขาพันเอวไว้ ด้วยผ้าขาวม้าเพียงเท่านั้น น้ำพยายามหลบตาเม้มปากแน่น ใจเต้นแรงจนแผ่นอกกระเพื่อมไหวอย่างเห็นได้ชัด บอทเองก็ไม่ต่างกัน บอทดึงแขนน้ำเข้าไปใกล้ๆนั่งลงบนปากตุ่ม น้ำขืนตัวไว้ในตอนแรกแต่ก็ปล่อยให้มันเลยตามเลยไป

“น้ำ”

เสียงสั่นลอดออกมาจากลำคอ บอทเองฉายแววตาแสดงความต้องการออกมา เด็กในวัยนี้เรื่องเพศถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระเปลี่ยนมานานแล้ว แต่ความรู้สึกอยากสัมผัสลิ้มลองรสชาติของมันเพิ่งจะมีแสดงอาการก็ช่วงเวลา นี้เอง บอทโอบเอวของน้ำเอาไว้เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเรียวเล็กที่ก้มหน้างุดอยู่ น้ำยอมสบสายตาจนได้ เหมือนมีแรงส่งของไฟฟ้าสถิตย์แค่เพียงสบตากันความวาบหวามก็แล่นไปสู่ใจ จ้องมองกันอยู่อย่างนั้นพยายามอ่านความในใจผ่านทางสายตา บอทดึงหน้าน้ำให้เข้ามาใกล้ๆ

“น้ำ”

เสียงนั้นยังก้องอยู่ในโสตประสาทที่เหมือนจะลอยละลิ่วไปไกลแสนไกลแล้ว เสียงที่แว่วแผ่วเบาลอยมากับสายลม กลิ่นลมหายใจมันจ่ออยู่แค่ปลายจมูก กลิ่นไอของลมหายใจถูกสูดเข้าไปในปอด ริมฝีปากหนาเผยอออกจากกัน สัมผัสแรกที่จงใจทำแค่พอแตะริมฝีปากเข้าหากันน้ำก็กระตุกร่างสั่นไหว หัวใจอ่อนละลายไป บอทเองดึงตัวน้ำให้เข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิมกระชับเอวประทับริมฝีปากเข้าหากัน น้ำเองก็ไม่ขืนตัวไว้แล้ว แรงส่งจากภายในกระตุ้นการกระทำเป็นอย่างดี ตอนแรกแค่เอาริมฝีปากเม้มอีกฝ่ายไปมาแต่พอเริ่มเอาลิ้นออกมาต่อสู้กันในโพรง ปากความแปลกใหม่หฤหรรษ์ก็เข้ามาแทนที่ ร่างเบียดร่างปากบดบี้ขยี้กัน บอทดึงเอาผ้าขาวม้าออกจากตัวดึงกางเกงดึงเสื้อน้ำออกจากร่างเหมือนกัน ร่างที่เปลือยเปล่าทั้งสองร่างกำลังก่ายกอดกัน ความต้องการจากภายในแสดงออกมาอย่างชัดเจน

“น้ำดูดให้เราหน่อยสิ”

บอทถอนหน้าออกจากน้ำส่งสายตาวิงวอน

“ทำไม่เป็น”

เสียงสั่นเครือออกมาสายตาวาบหวามนัก

“ดูดเหมือนไอติมไงน้ำ”

“บอททำให้เราดูก่อนดิ เดี๋ยวเราทำให้”

“อืม”

บอทเปลี่ยนให้น้ำนั่งลงบนปากตุ่มแทนแล้วโก่งโค้งลง ชั่งใจอยู่นานกับสิ่งที่จ่ออยู่ต่อหน้า สิ่งนี้หรือที่เราจะเอาปากเข้าไปครอบเอาลิ้นลงดูดเลีย แต่อารมณ์ที่กระพือดังไฟลามในทุ่งต้องสายลม มันจะไม่ดับมอดไปถ้าหากว่าพระพิรุณยังไม่โปรยปรายมาระงับดับมัน บอทยอมอ้าปากออกแล้วกลืนแท่งเนื้อนั้นเข้าไปในปากอย่างแผ่วเบา

“อา บอท”

น้ำตัวงอจิกหัวของเพื่อนรักเอาไว้แน่นหน้าตาบูดเบี้ยวเหมือนเจ็บปวดทรมาน เสียงครางที่ลอดคอออกมามันไม่ได้เจ็บปวดแต่อย่างใด แต่มันคือความหรรษาพึงใจกับสัมผัสอุ่นเปียกตรงหว่างขานั้น

“บอท น้ำ น้ำ ไม่ไหวแล้ว”

งอตัวลงมือยังจิกอยู่ที่เส้นผมของเพื่อนรักที่ไม่ยอมถอนปากออกง่ายๆร่าง ของน้ำกระตุกสั่นไหวทุกส่วนในร่างกายเกร็งแข็ง บอทเองยอมถอนปากออกมาบ้วนของเหลวที่ออกจาร่างของน้ำที่อมไว้ในปากทิ้ง

“โห เยอะมากน้ำ คาวว่ะ”

บอทเอาขันน้ำในตุ่มตักขึ้นมาบ้วนปากน้ำเองนั่งตัวเกร็งอยู่ ความรู้สึกประหลาดที่มีซ่อนอยู่เบื้องลึกของใจตอนนี้มันเด่นชัดขึ้นมา สิ่งที่ทำไม่ใช่แค่ความคะนองอยากรู้อยากลองแต่มันคือสัมผัสของบางอย่างใน หัวใจ

“ทำให้เราบ้างดิน้ำ”

บอทบอกแล้วนั่งลงปากตุ่ม น้ำเองก็ยอมทำแต่โดยดี ยิ่งเห็นหนั่นเนื้อนั้นของเพื่อนรักใจยิ่งหวิวสยิวเข้าไปในทรวง น้ำอ้าปากทำอย่างที่บอททำให้เมื่อครู่ ลากลิ้นผ่านอย่างแผ่วเบา

“อูยน้ำ เสียว”

บอทครางออกมาจากในลำคอกัดฟันแน่นตัวเริ่มเกร็ง พอกลืนท่อนเนื้อนั้นเข้าไปในปากก็ขยับไปมา เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องสอนมันเป็นเองทั้งที่ไม่เคยทำกับใครหรือดูสิ่ง ยั่วใจมาก่อน แค่คิดว่าอยากจะถนอมทุกส่วนมนร่างกายของเพื่อนรักคนนี้ให้ดีที่สุด ทำอย่างเต็มใจออกมาจากใจ บอทเกร็งตัวเอามือจิกหัวเหมือนกับน้ำ

“น้ำ น้ำ เราไม่ไหวแล้ว อ่า”

ร่างของบอทกระตุกสองสามทีของเหลวที่ปล่อยเข้าไปในโพรงปากของน้ำเขาไม่บ้วนทิ้งกลืนกินลงคอไปหมดแล้ว

“อัวะ”

รีบถอนปากออกจากหว่างขาของบอท อาเจียนออกมาทันที

“น้ำ”

“อ่า อ๊วะ อั๊วะ”

น้ำหูน้ำตาไหลออกมา กลิ่นคาวที่คลุ้งอยู่ในคอตีขึ้นจมูก น้ำนั่งลงกับพื้นมีบอทคอยลูบหลังให้ เอาของในท้องออกมาจนหมดไส้หมดพุงจึงยอมหยุด น้ำตาไหลออกมาเพราะแรงดันจากการอาเจียน

“ฮ่าๆ ใครให้กินล่ะน้ำ คาวจะตาย มาๆเราล้างตัวให้”

บอทหวัเราะอย่างอารมณ์ดี ส่วนน้ำได้แต่ส่ายหน้ายืนนิ่งให้บอทเป็นคนอาบน้ำให้

ราตรีในหน้าหนาวที่ใกล้เข้ามามันยาวนานกว่าเพลากลางวัน ราตรีที่มีแต่เราสองอยากให้มันยาวนานอย่างนี้ไปทุกฤดูกาล ถ้าหากมีแต่เราอยากให้อะไรๆมันยืนยาวนานไปหมดทุกอย่าง ดาราบนแผ่นฟ้าสีดำส่องแสงระยิบระยับ ทางช้างเผือกสีขาวนวลตาทอดยาวผ่านฟ้ามืดดำนั้น ใจเอยจะดาวดวงไหนหรืออีกกี่สิบทางช้างเผือกมาหล่อหลอมรวมกันมันยังไม่สว่าง เท่าความรู้สึกในใจที่เกิดขึ้นตอนนี้เลย


วิสัชนา ถ้ารักทิ่มแทงใจก็ให้เอารักนั้นบ่งออก แต่รักเอยหากได้ทิ่มแทงใจใครแล้วรู้ไว้เถิดมันไม่หายไปไหนหรอกหนา ต่อให้ควักใจออกมาบีบให้แตกสลายแต่รอยรักนั้นจะเจืออยู่ทุกอณูไม่ใช่หรือ



เขียนโดย eiky[/color]
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 02-10-2010 15:18:13
หวายยยยยยย แรกเริ่มสัมพันธ์ มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อๆไป  :z1: รออ่านช๊อตเต็มๆ ฟูลคอส
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 02-10-2010 15:48:54
หุหุ +1 และ รอตอนต่อไปโลดขอรับ :a1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 02-10-2010 15:57:16
ความรักที่เริ่มจากความเป็นเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดกันทั้งใจและกาย
ความสัมพันธ์ทางกาย ที่เริ่มเพราะความอยากรู้อยากลอง
และมีแรงขับมาจากความพึงพอใจลึกๆ ที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กัน
จะเป็นความผูกพันที่แนบแน่นไม่แคลนคลอนหรือเปล่า อยากรู้ต่อจ้ะ


แต่ป้าตะหงิดใจเล็กๆ ตอนที่เด็กกล่าวขวัญถึงครูปกครองอ่ะจ้ะ
เขาก็ทำตามหน้าที่ ตามกฎระบียบนี่จ๊ะ (สมัยก่อนมีตีจริงเจ็บจริงด้วยซี)
เม้นท์แบบนี้คงโดนแน่แล้วเรา
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 02-10-2010 16:47:18
ชอบมากเลยคะ กด+1 ให้เลยนะคะ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 02-10-2010 16:48:32
ขอเข้ามาอ่านด้วยคนครับ บรรยายได้สวยงามมาก แต่กลัวจบแบบตับระเบิดจัง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 02-10-2010 17:38:14
 :m25:
ดีใจจัง ตอนนี้เสิร์ฟออเดิร์ฟโดยไร้มาม่าเจือปน  o18
ยิ่งหวานกันเท่าไร ก็ยิ่งหวั่นว่าจะดราม่ามากเท่านั้น
กลัวจะเจอมาม่าชามใหญ่ๆสาดเข้าหน้าแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว  :monkeysad:


ปล.นี่มันตอนหวานนะ แล้วตูจะมาเศร้าทำมายยยยยยยย  :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 02-10-2010 18:01:27
อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงสมัยก่อน


ตอนเด็กๆชอบเอาหนังสือมรกตไปแอบดูที่โรงเรียนกับเพื่อนๆประจำ 55555555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 02-10-2010 18:04:59
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 02-10-2010 18:46:16
น้ำรู้ใจตัวเองแล้ว  ต่อไปเป็นหน้าที่ของบอทค้นใจตัวเองบ้าง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 02-10-2010 18:52:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 02-10-2010 18:58:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 :L2: :L2: :L2:
 :mc4: :mc4: :mc4:
 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 02-10-2010 19:06:36
บอทกับน้ำยังทำการบ้าน(ฟิสิกส์)กันไม่เสร็จเลยนะคะ จบตอนซะแล้ว  :laugh:

เริ่มต้นแล้วสิคะ...บ่วงรักสายสัมพันธ์ของสองเรา  :-[

เรื่องนี้ถึงไม่หวือหวาเหมือน Heroine แต่ก็แรงอยู่ในทีนะคะคุณอิ๊กกี้  o13

อ่านแล้วอยากรู้เรื่องราวต่อไปแล้วค่ะว่า "สนิม" มันเกิดขึ้นตอนไหนแล้วเกิดได้อย่างไร


********************

ไฟฟ้าสถิตย์   สถิต ไม่ต้องมี ย์ นะคะ ไฟฟ้าสถิต ก็พอค่ะ

กลิ่นไอลมหายใจ  กลิ่นอาย  นะคะ คำนี้เป็นคำซ้อน อายเป็นภาษาถิ่นแปลว่ากลิ่นค่ะ  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 02-10-2010 19:22:36
+1ให้กับตอนนี้ค่า เอิ๊กกกกกกกกกกก :-[ :jul1: :haun4: :pighaun: :z1: :m25:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: rose ที่ 02-10-2010 19:33:41
เรื่องนี้

ทำไม ...

กลิ่นมาม่ารสต้มยำ มันลอยมา!

 :z3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 02-10-2010 19:57:33
มีครั้งที่ 1 เดี๋ยวมันก้จะมีครั้งต่อๆำไปเอง
อยากรู้ความสัมพันธ์ของน้ำกับบอท
จริงๆแล้วบอทก้ดูเหมือนจะชอบน้ำอยู่รึเปล่า?
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 02-10-2010 20:11:03
นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นสินะ......

รอตอนต่อไปค่ะ พี่อิ๊กกี้
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 02-10-2010 20:25:47
เริ่มกันแล้วเหอเหอ
พี่อิ๊กอารมณ์เก่ากลับมาอีกแล้ว  555
ลื่นใหลลื่นปื้ดๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 02-10-2010 20:46:34
เริ่มแล้วสิ...ความสัมพันธ์เกินเพื่อน...
คนนึงอยากรู้อยากลอง........
ส่วนอีกคนทำเพราะมีใจหวั่นไหว....
ความรู้สึกต่างกัน...ให้น้ำถล่ำลึกลงไปอีก. :เฮ้อ:
บอทเอ๋ย....อย่าขยันหยอดนักเลย...ถ้าไม่คิดอะไร
เอ...รึคิด...เพื่อนกันมันหยอดกันแบบนี้บ่อย ๆ เหรอ :m28:
น่าสงสัยนะ...นายบอท...???????

 :L1: น้อง eiky    :pig4:
กด + ให้น้า....รักกัน ๆ จ๊ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 02-10-2010 20:59:47
มาอ่านด้วยคนนะจ้า
 :pig4:

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 02-10-2010 22:25:58
หว่า :o8:เขิลแทนอ่ะ แต่อ๊ะมันวันออกพรรษาไม่ใช่หรอ จะบาปมั้ยเนี้ย :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 02-10-2010 23:18:38
เอาคำว่าหรรษาออกด่วนค่ะ คำนี้ ไม่ถูกต้องกับสถานะเหตุการณ์ แน่ๆค่ะ
 
ทุกอย่างโอเค  อึมครึมแต่ พัฒนาการไวมาก
เด็กๆ อยากรู้อยากลองเสมอๆ
รักค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 03-10-2010 00:13:28
น้ำทำเพราะความรู้สึก
บอททำเพราะอยากลอง..และถ้าเข้าใจไม่ผิด เริ่มจะเกิดความรู้สึกอะไรในใจขึ้นมาบ้างแล้ว ใช่มั้ย?


ต้องเตรียมยาลดกรดแก้ย่อยแก้ท้องอืดไว้ให้เยอะ :a11:

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 03-10-2010 03:49:25
เรื่องนี้ดูมันครึ้ม ๆ เหมือนฝนจะตกอยู่ตลอดเวลา

จัดหนัก ๆ มาเลยนะ เอาให้ยิ่งกว่าภูมิบุญอีก

เอาแบบเจ็บปวดทรมาน เหมือนจะตายไ่ม่ตายเลยนะ



ชอบบรรยากาศท้องทุ่ง ธรรมชาติแบบนี้จัง

ตอนอยู่ ม.ปลาย เข้าห้องสมุดแล้วหาแต่นิยายที่ดำเนินเรื่อง

อยู่ต่างจังหวัดหรือในป่าอ่านอย่างเดียวเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 03-10-2010 17:26:48
ความสัมพันธ์เกินเพื่อนแล้ว
ต้องมีครั้งต่อไปอีกแน่
ขอให้บอทมีความรู้สึกอะไร
เกิดขึ้นบ้างเหอะ  :เฮ้อ:

ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น น้ำ
ก้อน่าสงสารเอามาก
อย่าถลำลึกไปอีกเลย...  :sad5:

  โอ้ว่าอนิจจาความรัก
เพิ่งประจักษ์ดังสายน้ำไหล
ตั้งแต่จะเชียวเป็นเกลียวไป
ไหนเลยจะไหลคืนมา

คืนนี้จะมาต่อไหมคับ พี่อิ๊ค? รอนะ  :L1:


หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 03-10-2010 20:11:47
คืนนี้จะมาต่อไหมคับ พี่อิ๊ค? รอนะ  :L1:


คืนนี้ไม่ต่อนะครับทุกคน พยายามนอนให้หลับ จากที่นอนไม่หลับมาหลายวัน(กลางคืนทำงาน) อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 03-10-2010 20:21:56
เริ่มต้นความสัมพันแระ แต่มีแววดราม่า ดราม่าแน่นอนยุแร้วแระยี่ห้อพี่อิ๊กกี้ 55
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 03-10-2010 20:45:33
ไม่มาต่อหรอคะ อย่างนั้นเจอกันคืนวันอังคารนะคะที่รัก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 03-10-2010 20:47:54
ไม่มาต่อหรอคะ อย่างนั้นเจอกันคืนวันอังคารนะคะที่รัก  :กอด1:

ว่าจะถามน้องมิหลายครั้งแล้ว ไปไหนอ่า ทิ้งกันไปตั้งหลายวัน อิอิ ไปอยู่หอ หรือว่าเรียนแถวองครักษ์แน่ๆ จริงไหม อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 03-10-2010 21:31:43
พี่อิ๊ก  จิ้มพี่อิ๊ก จุ๊บจุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 03-10-2010 22:31:58
ทุกวันเข้าบอร์ดก็จะมองหานิยายของ eiky  พอจบเรื่องนั้น คิดว่าจะไม่ได้อ่านนิยายของ eiky ซะแล้ว พอได้มาอ่านเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่ามีนิยายดีๆให้อ่านต่ออีกแล้ว
ขอบคุณ eiky มากๆนะคับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 04-10-2010 00:50:15
คุณ eiky หายไปไหนครับ ไม่มาต่อ ทั้ง 2 เรื่องเลย
งานหนักหรือว่าไม่สบายครับ
คิดถึงจัง
มาต่อไวๆ นะครับ จะรอ
 :call: :call: :call:
 :L2: :3123: :L2: :3123: :L2: :3123: :L2: :3123: :L2: :3123: :L2: :3123: :L2: :3123: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 04-10-2010 01:05:00
แวะมาดูพร้อมให้กำลังใจ :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: tiramisu ที่ 04-10-2010 11:10:49
และแล้ว....
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 04-10-2010 18:28:26
คืนนี้มาเฝ้ารอนะ

^^
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: som~ ที่ 04-10-2010 18:51:42
หึหึ  :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔ (ตุลาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 04-10-2010 18:59:15
คิดถึงครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 05-10-2010 01:58:46
บทที่ ๕


ปุจฉา  มีสิ่งหนึ่งที่เราค้านต้านทานมันไม่ได้ สิ่งนั้นคืออันใด


๖ ตุลาคม

เมื่อวานไม่ได้เขียนไดอารี่ ไม่รู้สิไม่มีเวลาเขียนเลย กูรีบตื่นมาตั้งแต่เช้า อายว่ะไม่อยากตื่นมาแล้วเจอหน้ามึง กูทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี เรื่องเมื่อคืนมันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเสียจนกูตั้งรับไม่ทัน เสียใจไหมที่ทำแบบนั้น จากใจจริงๆนะ ไม่เลยว่ะ กูดีใจเสียอีกที่เมื่อคืนได้ทำแบบนั้นกับมึง สำหรับมึงไม่รู้ว่าทำไปเพราะอยากรู้อยากลองเฉยๆหรือว่าเพราะอะไรอื่นอีก แต่สำหรับกูกูทำไปด้วยใจ ยังจำตอนที่กลับขึ้นมานอนได้ มึงยังกอดกูอยู่เหมือนเดิม กูคงไม่ได้เข้าข้างตัวเองไปใช่ไหม ว่าบางทีมึงอาจจะคิดเหมือนอย่างที่กูกำลังคิด พอแค่นี้ล่ะแม่เรียกแล้ว

เสียงกระดิ่งที่ห้อยอยู่คอวัวในคอกสั่นดังกุ๊งกิ้ง มันสั่นเพราะวัวเองสะบัดหน้าไล่การตอมของแมลงต่างๆ เพลาเช้าตรู่อากาศของวันนี้เย็นกว่าทุกวัน สัญญาณของหน้าหนาวก้าวย่างเข้ามาบอกแล้ว เสียงแม่บุญช่วยร้องเรียกน้ำให้ลงไปช่วยเอาน้ำให้อีกว้างวัวในคอกเพราะเห็นเดินกลับมาจากบ้านของแม่นิ่มนานแล้ว

"ทำไมวันนี้มาเร็ว ทุกทีเห็นแม่นิ่มต้องร้องปลุก"

แม่บุญช่วยเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าบุตรชาย

"เมื่อคืนนอนเร็วน่ะแม่ เออปลาดุกเมื่อคืนตัวเบ้อเร่อเลยนะแม่ คงเป็นแม่มันเบ็ดนี่เกือบหักแน่ะ น้ำขังแยกไว้เพราะกลัวปลาหมอมันจะแทงเอา"

เปลี่ยนเรื่องพูดเบี่ยงประเด็นไปให้มารดาไม่อยากรู้เรื่องเมื่อคืนมากนัก น้ำหยิบนั่นจับนี่ให้เป็นปกติมากที่สุด ตะวันเริ่มทอแสงสีเงินฉาบทั่วแผ่นฟ้าไล่ความมืดสลัวของตอนเช้ามืดไปแล้ว เสียงนกเสียงการ้องระงมอยู่ทั่วบริเวณ เสียงประจำวันของตอนเช้าตรู่ของแต่ละครัวเรือนใกล้เคียงดังขึ้นเป็นปกติอีกครา เหมือนกับเสียงของแม่นิ่มที่ร้องเรียกบุตรชายให้ตื่นจากหลับไหลจากภวังค์ราตรีที่ยาวนาน รู้ไหมแค่ได้ยินเสียงแม่นิ่มร้องเรียกชื่อของเพื่อนรักที่เพิ่งแกะมือออกจากอกมาไม่นาน หัวใจมันสั่นไหวเต้นแรงขึ้นมาทันที

"ไอ้บอท ตื่นได้แล้วจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน น้ำมันยังตื่นแล้วเลย อะไรกัน นอนก็นอนพร้อมกัน ไอ้บอท ไอ้บอด ตื่น"

"โอ๊ยแม่ บงบอดอะไรกันล่ะ ตาออกจะวิ้งๆขนาดนี้ โหตื่นแล้วๆ นอนมองเพดานอยู่"

เสียงลูกชายตอบรับลงมาจากบนเรือน น้ำเองแอบอมยิ้มที่ได้ยินเสียงบอทตอบออกมาแบบนั้น

"ไปเอาฟางมาให้อีน้อย"

"คร้าบคุณแม่นิ่ม ผมทำทุกวันล่ะคร้าบ ร้องเสียงดังแต่เช้านะแม่ ไม่อายแม่บุญช่วยบ้างเหรอ เดี๋ยวเขาก็หาว่ามีลูกชายขยันกว่าบ้านเขาอีกนะ"

"เออ ให้มันได้อย่างนี้ เขารู้กันหมดแล้วล่ะว่าลูกชายบ้านนี้มันขยัน ขยันเสียตัวเป็นขน"

"ฮ่าๆๆ ไม่เอาแล้ว ไปเอาฟางมาให้อีน้อยดีกว่า"

บอทคว้าจักรยานแล้วรีบปั่นออกจากบ้าน ผิวปากเหมือนเดิมทุกเช้า พอปั่นผ่านหน้าบ้านน้ำก็แวะก่อน น้ำเองรู้ตัวแล้วใจเต้นตึกตักหน้าระบายสีเลือดฝาดขึ้นมาทันที

"ไงครับที่รัก หนีกันมาเลยน้า ไม่ยอมปลุก ปล่อยให้ผัวนอนโดนแม่ด่าเลยน้า"

บอทพูดออกมาน้ำเองหัวใจแทบจะระเบิดออกมา เพิ่งรู้ว่าคนที่หัวใจเต้นผิดจังหวะมันคงไม่ต่างกันกับเขาตอนนี้ มันระริกระรัวเร็วจนหายใจตามไม่ทัน หน้าก็แดงฉานออกมาเหมือนเอาพู่กันแต้มชาดมาระบาย น้ำหันหน้ามาหาต้นเสียงแต่ไม่ได้สบตา

"ไม่มองหน้าสามีหน่อยเหรอจ๊ะ"

"บ้าแล้วบอท อย่าพูดไปเชียวเดี๋ยวแม่รู้"

ยอมมองหน้าสบตา แววตาหวานละมุนนั้นมันบาดใจเหลือเกิน ไรหนวดอ่อนๆเหนือริมฝีปากมันเป็นแผงปกคลุมอยู่บางๆ รอยยิ้มที่กระชากใจให้กระตุกไป เพิ่งจะสังเกตว่าเพื่อนรักมีรอยยิ้มมหาเสน่ห์ก็วันนี้เอง

"รู้ก็ดีสิ จะได้ให้แม่นิ่มมาสู่ขอเลย อิอิ รอกินข้าวด้วยนะ เดี๋ยวมากินด้วย"

บอทบ่ายหน้าจักรยานปั่นหนีไปทันที น้ำเองยืนนิ่งยิ้มออกมาหุบไม่ลง ดีใจ ปลื้มใจเหลือเกิน แววตาที่เพื่อนรักมอง ดวงตาที่ฉายประกายแบบนั้นออกมา เขาไม่ได้รังเกียจหรือรู้สึกอะไรอย่างที่คิดไปเลย เรื่องเมื่อคืนก่อนเกิดเหตุกับตอนนี้ เขาเคยมองยังไงเขาก็ฉายแววตาออกมาอยู่อย่างนั้น ใจละลาย มีความสุขเหลือเกิน ทำไมวันนี้ท้องฟ้ามันช่างโปร่งใสสบายตาจังนะ สีครามของท้องฟ้าที่แหงนมอง ทำไมมันช่างครามสดใสสวยงามเสียเหลือเกิน รอบกายมีแต่กลิ่นอายของความสดชื่นตลบอบอวลไปหมด นี่น่ะหรือเขาเรียกว่าความสุข ได้สัมผัสกับมันแล้วจากที่เคยอยู่แต่ในใจที่อึมครึมอับทึบมานาน วันนี้ฟ้าแห่งใจเปิดออกแล้ว ไม่รู้ว่าเพื่อนรักจะคิดไปไกลหรือใกล้แค่ไหน แต่พอใจแล้ว ไม่อยากรับรู้ว่าภายในใจของเขาจะคิดอย่างไร แค่นี้ก็พอเพียงแล้วที่จะหล่อเลี้ยงใจให้อยู่ต่อไปได้

"เป็นไรวะไอ้น้ำ ยิ้มทั้งวันเลย นี่มึงไปกินอะไรผิดมาป่ะเนี่ย"

เสียงเล็กปลุกให้ตื่นจากภวังค์ น้ำไม่แสดงอาการอะไรออกมามากนัก

"อ้าว กูจะมีความสุขบ้างไม่ได้หรือไงวะเล็ก กูนอนเยอะกูก็ตื่นมาสดชื่นเป็นเรื่องปกติดิวะ"

"เหรอ แต่หน้าตามึงเนี่ยเหมือนคนมีความรักเลยว่ะ ไม่เหมือนคนนอนเยอะเลยสักหน่อย ถ้าหน้าตาเหมือนคนนอนเยอะ โน่นหน้าเหมือนอีเดือนโน่น อีนั่นน่ะนอนเยอะของจริง นอนตั้งแต่สองทุ่ม"

เล็กเองก็ไม่ยอมแพ้พยายามสังเกตหน้าตาของเพื่อนสนิท

"แล้วไอ้บอทมันไปไหนวะ เลิกแถวเสร็จหายไปเลยนะมึง"

"อ้อ บอทไปบ้านจารย์แววน่ะ ไปช่วยขนชีท"

"กูว่ามึงต้องมีอะไรแปลกๆแน่ๆ ทำไมพูดถึงชื่อมันมึงต้องยิ้มด้วยวะไอ้น้ำ มึงรักมันเหรอ"

"เฮ้ย บ้ามึง พูดอะไรเนี่ย"

ทั้งที่พยายามจะไม่แสดงออก พยายามกดบีบความรู้สึกเอาไว้ในใจ แต่ทำไมความรู้สึกดีรู้สึกปลาบปลื้มปีติมันจึงล้นออกมา

"มึงไม่ต้องมาหลอกกูหรอกไอ้น้ำ กูรู้จักมึงดี จริงไหมล่ะ"

เล็กโพล่งออกมาตรงใจแทงเข้ากลางใจ น้ำสะอึกพูดไม่ออก พยายามเบนไปเรื่องอื่นแต่เล็กไม่ยอมหลงประเด็น

"ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้น กูไม่ได้รักมัน มึงเป็นบ้าเหรอเล็ก"

"กูไม่เชื่อ กูดูออกว่ามึงกำลังมีความรัก และจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้ เพราะวันๆกูเห็นมึงตัวติดกันกับไอ้บอทไม่มีคนอื่น อย่ามาหลอกกู"

"แล้วยังไง ถ้ากูจะรักมัน แล้วยังไง"

ทนไม่ไหว ไม่รู้จะหนีไปทางไหนดี สรรหาคำพูดหลอกล่อล้านแปดแต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่ยอมเชื่อพยายามจะเค้นเอาคำตอบให้ได้ ไม่อยากให้ใครรู้แต่ในเมื่อมันปิดไม่ได้จะให้ทำยังไง

"กูว่าแล้ว กูดูไม่ผิดไปจริงๆ มึงมานี่ไอ้น้ำ"

เล็กลากแขนน้ำเดินขึ้นอาคาร ๒ เดินตรงเข้าไปในห้องสมุดเพราะตอนเช้าๆไม่มีนักเรียนคนไหนจะขยันจัดจนเข้าห้องสมุดแต่เช้าเพื่อค้นคว้าหาตำราอ่าน มีแต่เด็กนักเรียน ม. ต้นบางคนที่มาคอยอ่านนิยายจากหนังสือพิมพ์ที่อาจารย์เวรประจำห้องสมุดจะเอามาใส่ไว้ให้อ่าน แต่นอกนั้นก็ไม่มีใคร

"ไหนมึงเล่าให้กูฟังซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น"

เล็กยังเค้นเอาคำตอบอยู่ ทำสีหน้าแววตาทำเหมือนนักสืบขึ้นมา

"อะไรของมึงอีเล็ก กูไม่รู้จะบอกอะไร มันเป็นแค่ความรู้สึก"

"มึงรักมันใช่ไหมล่ะ"

น้ำเม้มปาก ไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เขาเรียกว่าความรักหรืออะไร

"กูไม่รู้"

"กูสังเกตมึงกับมันมานานแล้ว มึงสองคนมันมีอะไรมากกว่าเพื่อนสนิท กูไม่แน่ใจหรอกจนวันนี้ มึงดูมีความสุขมากมึงรู้ตัวไหม"

"กูผิดปกติใช่ไหมเล็ก มึงอย่าไปบอกใครนะ ถือว่าเห็นแก่กู"

"กูรักมึงเหมือนกันนะน้ำ ถึงกูจะเป็นทอมกูก็รักเพื่อนเหมือนกันนะ ห้องเราไม่มีใครสังเกตหรอก พวกนี้มันโง่จะตาย วันๆคุยแต่เรื่องผัวๆเมียๆ มึงเองก็อย่าไปแสดงอาการออกให้มันมาก"

"ขอบใจว่ะเล็ก กูไม่รู้จริงๆว่าความรู้สึกแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร แต่เวลาที่กูอยู่กับมัน กูรู้สึกดีมาก มีความสุข กูไม่ได้ขออะไรมากนะ แค่อยู่อย่างนี้ไปจนจบ"

"แล้วมันล่ะน้ำ มันรู้สึกแบบมึงไหมล่ะ"

สะอึก พูดไม่ออก นั่นล่ะที่กลัวอยู่ นั่นล่ะที่ทำให้เครียดอยู่ ได้แต่เม้มปากแน่นเข้าหากันหน้าชาความรู้สึกในตอนนี้เหมือนตนเองเป็นผู้ร้ายที่กำลังโดนเจ้าหน้าสอบสวน ไม่ได้กล่าวโทษเพื่อนที่ซักไซ้รุกไล่อยู่ในตอนนี้ แต่ปากที่เอ่ยออกไปมันไม่ใช่ในสิ่งที่ใจอยากจะตอบ

"ไม่รู้สิเล็ก กูไม่รู้มึงอย่าซักกูมากได้ไหม กูไม่รู้จะตอบมึงยังไงดี"

"น้ำ มึงเป็นเพื่อนที่กูรักนะ มีอะไรมึงจะปิดกูได้เหรอ ทีกูยังเล่าทุกอย่างให้มึงฟัง ถ้าเห็นกูยังเป็นเพื่อนมึงอยู่ อย่าปิดกูได้ไหม กูไม่ได้ว่าหรืออะไรกับความรู้สึกของมึงที่มีต่อไอ้บอทมัน แต่กูแค่อยากรู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ เผื่อว่ากูจะทำอะไรให้มึงได้บ้าง"

เล็กเอ่ยออกมาเสียงเย็นขรึม สายตาจ้องมองเพื่อนที่นั่งหน้านิ่งสายตาดูวกวนสับสนอยู่ในตอนนี้

"มึงจะทำอะไรล่ะเล็ก มึงจะทำอะไรให้กู เพราะตัวกูเองยังไม่รู้เลยว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร กูรู้ว่ามึงเป็นเพื่อนรักกู แต่กูก็ไม่ได้ปิดมึง จริงที่กูรู้สึกประหลาดกับบอทมัน แต่กูอธิบายให้มึงฟังไม่ได้ว่ามันคืออะไร มันจะเป็นความรัก หรืออะไรก็ช่าง แต่มึงรู้ไว้กูไม่ได้จะปิดมึงหรือไม่อยากให้มึงรู้"

ความเงียบเข้ามาบดบังเล็กเองเหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าไล่ต้อนเพื่อนมากเกินไป เม้มปากเข้าหากันเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนเบาๆ

"เอาเถอะน้ำ กูขอโทษ กูก็เป็นอย่างนี้ล่ะ มึงอย่าถือสากูเลย กูแค่เป็นห่วง แต่น้ำมึงฟังกูนะ ถ้ามึงรักมัน ก็รักมันอย่าได้อาย หรือเกรงใจใคร มึงไม่ได้ผิดปกติหรือวิปริตผิดเพศ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง กูอยู่ข้างมึงเสมอเพื่อน"

น้ำมองหน้าเพื่อนสาวห้าวด้วยสายตาที่ชื่นชม ดีใจที่มีเพื่อนแบบนี้ ไม่คิดว่าเพื่อนต่างหมู่บ้านที่ตอนเรียน ม. ต้นแม้จะอยู่คนละห้องแต่พอมาเรียน ม. ปลายจะสนิทกันได้มากขนาดนี้

"ขอบใจว่ะเล็ก มึงอย่าเพิ่งไปอะไรกับบอทมันล่ะ กูกลัว"

"กลัวว่ามันจะไม่เหมือนเดิมน่ะเหรอ"

"อืม"

"เอาน่า กูดูมันออก มันรักมึงมากนะ แม้จะดูไม่ออกว่ามันเป็นรักแบบไหน เอาเถอะ ไปเรียนเถอะ"

สายลมของเหมันต์แรกพัดมาปะทะหน้า กลิ่นอายของฤดูที่ชื่นชอบกลิ่นของแมกไม้รายรอบพัดมาตามลมนั้น ชื่นใจ หวามในใจ วันนี้แม้จะลำบากใจในบางเรื่องแต่ก็นับว่าเป็นวันที่สุขใจมากวันหนึ่ง พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน พรุ่งนี้หรือวินาทีถัดไปจะเดินจะเป็นไปในทิศทางไหนก็เรื่องของมัน รู้แต่เพียงว่าตอนนี้มีความสุข ถ้าอย่างนั้นก็ขอเสพความสุขนี้ให้ได้นานๆก็พอ

"น้ำข้อนี้เราทำไม่ได้อ่ะ สอนวิธีทำหน่อยสิ"

บอทยื่นหน้ามาใกล้แม้ไม่ใกล้มากแต่กลิ่นลมหายใจนั้นมันแจ่มชัดนัก น้ำเอียงคอไปหาแล้วมองในสมุดจดของบอท

"ทำแบบนี้ เอ็กซ์คูณด้วยวาย แล้วเอาไปหารตัวแปร"

น้ำเองก็ยินดีปรีดาที่จะแสดงวิธีทำให้เพื่อนรักดู บอทเองเอามือวางที่บ่าของน้ำเช่นเคยเหมือนทุกครั้ง ไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครแคลงใจ แต่เจ้าของร่างกลับสั่นไหววาบหวามเข้าไปถึงใจ รู้ไหมแค่ได้นั่งใกล้ปล่อยให้ความเงียบมันเข้ามาแทรกผ่านก็ยังมีความสุขเพราะความเงียบนั้นมันทำให้ได้ยินเสียงเขาหายใจ เพราะความเงียบนั้นมันทำให้เราได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ในอกของคนที่นั่งข้างๆ แค่ได้ยินการเคลื่อนไหวของร่างกายก็เป็นสุขแล้ว

"เป็นไรน้ำเหม่อเชียว คิดถึงเรื่องเมื่อคืนเหรอ ไม่ต้องคิดหรอก เดี๋ยวคืนนี้เราจะยืมหนังสือโป๊ไอ้ไก่กลับไปดู เราไปทำเหมือนในหนังสือกันนะ"

น้ำหน้าแดงอายขึ้นมาแต่คนพูดไม่ได้มีอาการอะไรออกมาเลย

"บ้าเหรอบอท"

"ทำไมล่ะ น้ำเป็นเมียเราแล้วนะ จะปฏิเสธผัวเหรอจ๊ะเมียจ๋า"

"ใครบอกเป็นเมีย ยังไม่ได้อะไรกันสักหน่อย"

ตอบออกไปทั้งที่ยังอาย น้ำเองเป็นคนไม่ยอมใครง่ายๆ ที่เขาเรียกว่าปากดี ในใจกับสิ่งที่พูดออกไปมันไม่ตรงกันเลยแม้แต่น้อย ในใจเหมือนกลองที่โดนประโคมตีให้ดังสนั่นหวั่นไหว แต่คำพูดที่เผล่งออกมาท้าทายไม่ยอมกัน

"ก็คืนนี้ไงจ๊ะน้ำจ๋า อิอิ เราไปคุยกับไอ้ไก่ก่อนนะ น้ำเดินไปรอหน้าโรงเรียนนะ"

ต้นอโศกที่รายเรียงอยู่ตั้งแต่ประตูทางเข้าโรงเรียน ลู่ตามลมไปในทิศทางเดียวกันต้นสูงยาวทอดเงาไปตามพื้นถนนซีเมนต์ ทางเข้าโรงเรียนมีถนนเข้าโรงเรียนเป็นเลนเล็กๆสองเลน ตรงกลางก่ออิฐขึ้นเป็นกระถางปลูกดอกเฟื่องฟ้าเป็นแถวยาวไปจนถึงหน้าเสาธง มองจากหน้าโรงเรียนเข้าไปงามวิจิตร เด็กนักเรียนกำลังทยอยเดินออกจากโรงเรียนในตอนเย็น น้ำเองแม้อยากจะอ้าปากด่าบอทไปที่พูดออกมาแบบนั้นแต่ก็ได้แต่ยิ้มพึงพอใจเดินออกจากโรงเรียน ทั้งวันบอทยังเป็นเหมือนเดิม สิ่งที่เคยทำเคยพูดก็ยังทำเหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกเปลี่ยนไป เขาคงไม่รู้ว่ายิ่งเขาเหมือนเดิมเท่าใด น้ำเองยิ่งถลาจมดิ่งลงไปมากเท่านั้น แต่กระนั้นก็สุขใจ อิ่มในอกล้นออกจากทรวง ในชีวิตไม่เคยอ้อนวอนร้องขอสิ่งใดจากสิ่งศัดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนี้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงก็ขอให้ความสัมพันธ์ของสองเรามันเป็นไปอย่างนี้ตราบนานเท่านานด้วยเถิด

"น้ำเป็นไรอ่ะ เหมือนมีอะไรในใจป่ะเนี่ย แอบคิดอะไรกับเราป่าว"

บอทเอ่ยขึ้นตอนเดินกลับบ้านกันสองคนตามปกติ เพื่อนรักที่เดินเคียงข้างหน้าแดงเป็นลูกตำลึงไม่ยอมหาย ก้มหน้าไม่ยอมสบตา

"ปะ เปล่านี่บอท เหมือนน้ำจะเป็นหวัด"

ตอบอ้อมแอ้มไปไม่ยอมสบตา

"ไหนเราดูหน่อย ตัวร้อนป่าว"

บอทเองก็รู้ดีว่าน้ำอายเอามือเชยคางให้หันมามองน้ำเองแม้จะอายแต่เพื่อนรักทำถึงขนาดนี้จะมัวมาเอียงอายอยู่ก็กลัวว่าความในใจมันจะเผยออกมา น้ำยอมสบตาของบอท พลันแววตาก็นิ่งค้างอยู่สายตาที่มองประสานกันมันจ้องลึกลงไป แววตาที่ฉายแววออกมามันมีอะไรซ่อนแอบอยู่อย่างยากจะอธิบาย

"ก็ไม่เห็นตัวร้อนนี่ ทำไมหน้าแดงอ่ะ"

"บอท น้ำถามจริงๆนะ เรื่องเมื่อคืนน่ะ"

"หือ ทำไมครับที่รัก"

บอทเองก็ยังล้อเลียนอยู่ทำหน้าทะเล้นใส่ แต่น้ำเองเหมือนพยายามเก็บกดอารมณ์

"ไม่ตลกนะบอท น้ำไม่เล่นด้วยแล้วนะ"

น้ำเสียงเหมือนประชดเดินหนีไปก่อนแล้ว บอทเองยิ้มออกมารีบเดินตามคว้าข้อมือของน้ำเอาไว้

"น้ำ แล้วใครบอกว่าเราทำเล่นๆล่ะ"

"บอท"

หัวใจร่วงลงดิน เคยได้ยินแต่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับรู้สัมผัสว่ามันอย่างไร อาการมันเหมือนกระโดดลงจากหอสูงร่างกายลอยแน่นิ่งอยู่ในอากาศหัวใจหวิวหลุดลอยไปเหมือนลอยอยู่บนปุยเมฆ น้ำเม้มปากแน่น

"ฮ่าๆ ดูทำหน้าเข้า คิดมากน่า ปะรีบกลับเราจะได้ดูหนังสือโป๊กัน ดูซิว่าเขาทำกันยังไง"

แล้วเคยไหมที่ใจหล่นลงพื้นกระแทกหิน อาการมันเหมือนโดดลงจากที่สูงแล้วร่างกระตุกไหวด้วยแรงกระแทกนั้น ไม่เจ็บหรอกแต่มันชา ชาแปลบเข้าไปถึงหัวใจ

"บอทดูไปคนเดียวเถอะ น้ำจะช่วยน้องตักน้ำ"

ตวัดเสียงขึ้นแต่พยายามไม่ให้มันมากไป อาการที่ใจมันสื่อออกมาร่างกายมันควบคุมลำบาก สีหน้า ท่าทางมันช่างพ้องสอดคล้องไปกับนายใหญ่ของร่างคือหัวใจ

"น้ำ เป็นไรอ่ะ โกรธเราเหรอ"

"ไม่นี่บอท น้ำจะไปโกรธบอทเรื่องอะไร"

"น้ำ เรื่องเมื่อคืนน่ะ เราเต็มใจทำนะ"

น้ำนิ่งหยุดก้าวเดิน นิ่งอยากฟัง นิ่งเพราะคำพูดกระแทกหูกระชากใจ

"อืม แล้วไง"

"ก็อยากให้น้ำรู้ว่าน้ำรู้สึกยังไง เราเองก็รู้สึกอย่างนั้นนะ"

"บอท แล้วบอทรู้เหรอว่าน้ำรู้สึกยังไง"

ตาเบิกกว้างอารมณ์ที่เก็บกดมันเอาไว้นานฉายออกมาทางแววตา

"รู้ดิ ทำไมเราจะไม่รู้ รู้ว่าน้ำคิดยังไงกับเรา"

"คิดอะไรบอท พูดให้ดีๆนะ น้ำคิดอะไร"

ไม่มีคำตอบแต่เป็นรอยยิ้มที่ฉายออกมาทางมุมปาก

"ตอบมาสิบอท ว่าน้ำคิดอะไร อะไรที่บอทคิดว่าน้ำรู้สึกยังไง"

เหมือนมีหอกแทงปักอยู่ที่หลังแสบแปลบร้อนรนอยู่ อยากจะรู้ อยากจะกระจ่างใจ

"แน่ใจเหรอน้ำว่าอยากรู้ว่าเรารู้อะไร"

พอเขาย้อนกลับมาน้ำเองที่เป็นฝ่ายสะอึกพูดไม่ออก

"เอาเถอะบอท รีบกลับเถอะ"

เดินนำหน้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้บอทไม่ตามไปดึงข้อมือไว้ ปล่อยให้น้ำเดินห่างออกไปเจ้าตัวยังนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

"น้ำ เรารักน้ำนะ"

แล้วเคยไหมที่หัวใจร่วงลงพื้นเป็นครั้งที่สามติดกัน อาการมันร้ายแรงกว่าสองครั้งที่แล้ว เหมือนล้มทั้งยืน โสตประสาทดับวูบ เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่มันลอยละลิ่วแว่วดังอยู่ไกลๆ แผ่วเบาเหมือนลอยมากับลม เหมือนดังปุยนุ่นต้องลมลอยไปไม่มีทิศทาง หัวใจเอยก็กำลังเป็นเช่นนั้นอยู่ น้ำแน่นิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง เม้มปากแน่นจนกรามสั่นไหว

"บอท"

ครางเรียกชื่อออกมาแผ่วเบาเช่นกัน ดีใจหรือ ไม่รู้สิมันมากกว่านั้น มันมากกว่าดีใจแต่ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรดี อะไรหนอที่ทำให้ใจมันพองคับเต็มอก ดันลมในร่างให้ไล่ขึ้นมาอยู่ที่ลำคอจุกแน่นอยู่ในดวงตา พลันน้ำใสๆก็เอ่อนองออกมา

"อย่าบอกใครนะว่าเราคิดยังไงกับน้ำ ความลับนะน้ำ"

เสียงดังที่ตอนนี้มันกระซิบอยู่ข้างหูทำให้น้ำเม้มปากแน่นหันไปมองหน้าเจ้าของเสียง พร่ามัวไม่แจ่มชัดเพราะม่านน้ำตามาเอ่อนองออกมาบังตา

"ขี้แยอีกแล้วเด็กชายชลเนตร ฮ่าๆๆ อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย ใครรังแกมาเหรอคร้าบ ไหนบอก นายอภิพงศ์ซิ"

จะไม่ให้รักเพื่อนคนนี้ได้ยังไง จะไม่ให้ใจมันคิดเกินเลยได้อย่างไร สิ่งที่เขาพยายามทำหรือแสดงออกมาอยู่ทุกเวลาทุกนาที มันสะสมกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าตราตรึงอยู่ในใจไปหมดแล้ว คำพูดทุกคำ น้ำเสียงทุ้ม รอยยิ้มที่แสนจะเปี่ยมเสน่ห์นี้ จะไม่ให้รักได้อย่างไร รักไปแล้ว หมดใจแล้ว น้ำสะอึกน้ำตาตัวเองสุดจะกลั้น เอามือทุบไปที่บ่าของเพื่อนรัก

"อ้าว ไหงมาตีนายอภิพงศ์แบบนี้ล่ะเด็กชายชลเนตร เดี๋ยวเย็นนี้โดนทำโทษน้า"

เสียงหัวเราะของบอททำให้น้ำหยุดร้องไห้ได้ ที่น้ำตาไหลไม่ได้เสียใจหรือปวดใจแต่อย่างใด มันสุข รู้สึกสุขจนล้น มันล้นออกมาทางตา ไม่อยากจะรู้ว่าสิ่งที่เขาเอ่ยออกมามันจะจริงหรือแค่อยากจะปลอบใจ ไม่อยากรับรู้ว่าในใจของเพื่อนรักคิดอะไรอยู่ อยากรู้แค่นี้ แค่ได้ยินแค่นี้ ขอหล่อเลี้ยงหัวใจด้วยคำพูดเหล่านี้ ไหนๆก็รักเพื่อนไปแล้ว เข้าใจความรู้สึกของตัวเองแล้วว่ามันคืออะไร สิ่งที่เรียกมันมาตลอดว่าความรู้สึกที่ประหลาด ตอนนี้รับรู้แล้วว่ามันคือ ความรัก รักจากใจ รักหมดทั้งหัวใจ

ถ้าเราอยู่ในที่สวยงามสักที่หนึ่ง แวดล้อมไปด้วยแมกไม้เขียวขจีดอกไม้นานาพรรณอวดสีสันส่งกลิ่นหอมกระจายฟุ้งไปทั่ว ขอบฟ้าสีครามตัดกับปุยเมฆสีขาวแลดูนุ่มสบายลอยอยู่เป็นกลุ่มๆ รุ้งงามทอแสงหลากสีอยู่ปลายฟ้าทางด้านโน้น เสียงน้ำไหลเอื่อยๆอยู่ข้างๆกาย ลองหลับตาลงเราจะรู้ไหมว่าเราอยู่ในที่แห่งใด อันความสุขเสพได้ด้วยตาก็จริงแต่หากใจเราไม่รับรสรับรู้สัมผัสถึงมัน เราจะยินดีกับสิ่งที่เสพทางตาหรือ คิดว่าความสุขทุกทางผ่านมาที่ใจแล้ว ใจเราก็คัดกรองแยกแยะเอาว่าสิ่งที่กระทบโสตประสาททั้งหลายมันเป็นสุขหรือทุกข์ ถ้าหากสิ่งที่ได้ยินตอนนี้จะแยกให้มันเป็นทุกข์ ก็ทุกข์ จัดให้มันเป็นสุขเราก็สุข แต่อยู่กับสุขก็ดีกว่าทุกข์ เพราะฉะนั้นเราไม่พยายามแยกทุกอย่างให้มันเอนเอียงมาทางด้านสุขเสียมากกว่าทุกข์ล่ะ เราจะได้มีแต่สุขแม้ว่าเรื่องนั้นมันจะระคนไปด้วยทุกข์มากมายสักเพียงไหนก็ตาม


รอนรอนจะลับฟ้าอยู่ปลายทุ่ง      รุ่งรุ่งตะวันฉายในใจฉัน
เย็นเย็นสุริยะฉายต้นเหมันต์         ย่ำย่ำเห็นแสงจันทร์ฉายอยู่กลางใจ
อันลมปากแผ่วเบากระซิบหู        เสียงชายชู้ตรึงหวานรู้หรือไม่
อันคิมหันต์อบร้อนแรงเพียงใด    วสันต์ไซร้หลั่งเทมาก็ไม่ปาน
ละลิ่วลับลอยไปในอากาศ         ดังมวลธาตุแตกดับยากผสาน
ใจดวงน้อยปลิวลอยในวิมาน    แสนสำราญเริงใจได้ยินคำ


วิสัชนา สิ่งนั้นคือกาลเวลานั่นมิใช่หรือ


เขียนโดย eiky

ปล. ที่นานเพราะเกลาคำอยู่นะครับ เหอๆๆ อันนี้คือเกลาแล้วพยายามแล้วนะเนี่ย อย่าหัวเราะกันน้า จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 05-10-2010 02:10:13
 :z13: :z13: :z13:

หวานอ่าาาาา  :o8:
วัยใสนี่น่าอิจฉากันจริ๊ง หวานกันจังเลย  :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 05-10-2010 02:40:07
 :-[ หวานหยด มดขึ้นจอเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 05-10-2010 03:23:23
+1ก่อนอ่านค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 05-10-2010 03:39:29
อ่านตอนนี้มันก็มีความสุขดีอยู่หรอ แต่กลัวตอนที่สนิมมันขึ้นหนะสิ แอร๊ยยยยยยยยยยยยย


มาม่า อย่ายกมาทั้งลังนะคะ เอาแค่ซองสองซองพอ กลัวจะน้ำตาแตก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 05-10-2010 07:12:00
ตอนนี้หวานนนมากกกกกกก เขินแทนน้ำ ฮ่าๆๆๆ
แล้วบอทรักน้ำจริงป่าวอ่ะ เง้ออออออออ
แล้วตอนหน้าเค้าจะทำอะไรกัน  :z1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 05-10-2010 07:19:46
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 05-10-2010 09:13:10
รักแบบเพื่อนไม่เหมือนแฟน :o8:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 05-10-2010 09:17:39
บอทรักน้ำจริงจริงช่ายม้ายยยยยยยยยยยยยยย
เขินจัง หวานหวาน~ :o8:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 05-10-2010 10:28:56
แถมพริกขี้หนูสักเม็ด น้ำตาเล็ดไปทั้งชาติ    พี่อิ้กกี้ใจร้าย    เค้างอลพี่แล้ว     (ว่าแต่วงอลเรื่อรายงะ)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 05-10-2010 10:35:26
รักกันทั้งคู่แล้วใช่ไหมครับ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 05-10-2010 10:38:03
อุ้ยสมหวังแล้วอ่ะดีใจ อ่านไปก้อแอบเขิน

โกรธพี่อิ๊คแย้ว ทำเราแอบเขินตามน้ำ ฮ่าๆ

สมกับที่รอคอยจริงๆ หวานซะ น่ารักจริงๆ เลยคู่นี้

อยากจบเอาไว้แค่นี้ๆ แต่คนอย่างพี่อิ๊คตั้งทำร้ายจิตใจ

คนอ่านอยู่แร้ว ฮุฮุ รอต่อไปน้าส็จร้า

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 05-10-2010 11:52:38
หวานมาก อ่านเเล้วมีความสุข
เเต่ เเต่

กลัวค่ะว่าจะเศร้า อย่านะ
ชอบน้ำจัง ทั้งรักทั้งหลง
บอทอย่าทำน้ำเสียใจนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: som~ ที่ 05-10-2010 12:16:19
ตกลงว่ารักกันใช่ใใหมเเต่มันต้องมีอุปสรรคมั่งละ

คืนนี้ทำไรกันนะ          :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: thisispom ที่ 05-10-2010 12:32:41
หวานๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 05-10-2010 12:53:39
บอทมันแมนจริงๆ รักก็บอกรัก ตรงๆง่ายๆ แต่กลัวบทมันจะทิ้งนี่ทิ้งจริงเลยหรือเปล่าหว่า
เอาใจช่วยน้ำนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 05-10-2010 12:55:03
หวานนะ....แต่หวานแบบแปร่ง ๆ....
เพราะคนอ่านมีความหวาดระแวงอยู่ในใจ.... :o11:
บอทคงจะพูดจริงจากใจ...คงไม่หลอกน้ำ...ก็ดูเหมือนจะราบรื่นนะ....
ต่างคนต่างรักกัน....ต่างคนต่างผูกพันกัน....
แล้วสนิมมันเกาะกินใจน้ำได้ไง????.....
ตามต่อไป....ยังผวากับพฤติกรรมตาแทนทวีเรื่องโน้นอยู่...
เรื่องนี้เลยแอบระแวงบอท...ไม่ยุติธรรมเลยนิคนอ่าน  :m23:

 :L1: น้องน้ำ กะ น้อง eiky  :L2:
กด + ให้รักกัน ๆ จ้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 05-10-2010 14:37:46
หวาน ละมุนละไม ในหัวใจมากเลย น้องบอท น้องน้ำ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 05-10-2010 14:38:17
หวานกันจัง ตอนหน้าเอ็นซีม่ะ แต่ม่ะอยากให้ดราม่าเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 05-10-2010 14:50:42
ฮ่าๆๆๆๆ ทำไมทุกคนกลัวดราม่ากันจัง
อ้าว เฉลยเลย ไม่ดราม่าคร้าบ อีกนานมาก
เรื่องนี้อยากให้มันหวานๆในครึ่งแรก
ครึ่งหลังจะดราม่าเดี๋ยวมาบอกอีกที ตอนนี้อย่ากังวลใจนะครับ
อยากให้ทุกคนเห็นภาพบ้านนา แสงตะวันสวยๆ
เห็นเมนต์ของเพื่อนๆแต่ละคน แล้วอดขำไม่ได้เลย
อย่ากลัวน้า เค้าไม่ใจร้ายหรอกน่า
มีหัวใจคร้าบ แต่ออกจะซาดิสต์ไปนิดนึง อิอิ
รับประกันยังไม่ดราม่า เดี๋ยวถ้าจะดราม่า บอกเลยจะได้ทำใจกันเนอะ
แต่ห้ามหนีจากกันไปน้า จะพีเอ็มตามเลย ฮ่าๆๆๆ เริ่มน่ากลัวแระเรา  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 05-10-2010 15:00:52
ตามพี่เป็นเงาตามตัว  แบบหันหลังเจอะกันพอดี  รักพี่อิ้กกี้สุดๆ  สุดๆของสุดๆครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 05-10-2010 17:27:03

"ไงครับที่รัก หนีกันมาเลยน้า ไม่ยอมปลุก ปล่อยให้ผัวนอนโดนแม่ด่าเลยน้า"


แลดูมุ่งมั่นตั้งใจมาก  :laugh:

ช่วงนี้ดูเหมือนอะไรๆ ก็น่าจะราบรื่นดีนะคะ บอทก็รักน้ำ น้ำก็รักบอท แต่ไม่รู้วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

กลอนเพราะมากเลยค่ะ  o13 โดยเฉพาะบทแรกเข้าใจเล่นคำซ้ำต้นบาทนคะคุณอิ๊กกี้ น้องมิชอบมากเลย  :จุ๊บๆ: +1 เลยค่ะ  

จะ Darma หรือไม่ก็ไม่เป็นไรค่ะ น้องมิสู้ไม่ถอย จริงๆ บางครั้งความเป็น drama ของบางเรื่องมันก็ซ่อนอะไรอยู่ข้างในเยอะแยะเชียวนะคะ


************************

สะบาย ดูเหมือสระอะจะเกินมานะคะ สบาย ก็พอ

ซักไซร้ คำนี้ไม่ต้องใส่ ร้ ที่พยางค์หลังนะคะ ซักไซ้  เฉยๆ เพราะ ไซร้ เป็นคำที่เสริมสำหรับเน้นความหมายของคำหน้า  


     รอนรอนจะลับฟ้าอยู่ปลายทุ่ง      รุ่งรุ่งตะวันฉายในใจฉัน
เย็นเย็นสุริยะฉายต้นเหมันต์         ย่ำย่ำเห็นแสงจันฉายอยู่กลางใจ[/color]


จัน ลืมใส่ ทร์ ไปรึเปล่าคะ

ปล.

ว่าจะถามน้องมิหลายครั้งแล้ว ไปไหนอ่า ทิ้งกันไปตั้งหลายวัน อิอิ ไปอยู่หอ หรือว่าเรียนแถวองครักษ์แน่ๆ จริงไหม อิอิ


คนละนครค่ะ น้องมิเรียนที่นครปฐมค่ะ  :m13:
ว่าแต่คืนนี้มาต่อไหมคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 05-10-2010 19:26:52
ไม่ดราม่าจริงนะพี่อิ๊ก   (จริง)
ได้รับคำยืนยันอย่างนี้หายใจทั่วท้องหน่อย    (โหส้มคิดมาก)
ก็พี่อิ๊กทำอึมครึมซะขนาดนั้น       (ไม้ได้อึมครึมซักหน่อย  บรรยายธรรมชาติของท้องนาสว่างซะขนาดนั้)
สว่างที่ใหน  รักเพื่อนเพื่อนรักซะขนาดนั้น แล้วยังเกริ่นนำแบบนั้นอีก   (555 หัวเราะกลบเกลื่อน)
เห็นป่าวแก้ตัวไม่ออก    (ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่ดราม่าช่วงนี้  แต่ตอ่ไปเตรียมกระดาษทิชชู่คนละ 1 คันรถ 10 ล้อ)
ว่าแล้วเห็นมั๊ยละ       (5555)
อันนี้คิดเองนะคับไม่เกี่ยวกับพี่อิ๊ก   
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-10-2010 19:42:42
ใจตรงกันแล้ว  :impress2: หวังว่าจะมีบทหวานๆให้อ่านอีกนะ
ไม่เอาบทโศกเน้อ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 05-10-2010 23:29:24
ชอบเรื่องนี้มากๆคับ แต่อย่าเศร้านะคับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 06-10-2010 00:23:18
ยี่ห้อ eiky นี่
กลางเรื่องต้องมีเสียน้ำตาแน่ๆ ยังฝังใจกะเอ-โยอยู่เลย ปวดใจ ปวดตับมาก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๕ (ตุลาคม ๕, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 06-10-2010 04:43:52
บทที่ ๖

ปุจฉา นามธรรมสิ่งใดที่ไวกว่าแสงมีบ้างไหม

ตะวันรอนแสงแดดกล้า ตะวันราแสงแดดโรย ยามเย็นลมพัดโชย สายฝนโปรยชุ่มฉ่ำใจ เพลาเย็นแล้วท้องฟ้าที่งามวิจิตรถูกระบายแต่งแต้มที่สีส้มแดงอยู่ปลายขอบฟ้าทางทิศประจิม เงาของยอดไม้ดูยาวทะมึนทาบไปกับสิ่งต่างๆ และในเวลานี้ชาวบ้านเกือบทุกคนจะอยู่ที่ท้องไร่ท้องนาบ้างหาปูปลา บ้างหาหญ้าหาฟางมาให้สัตว์เลี้ยงของตน เด็กชายสองคนที่เดินกลับบ้านจากโรงเรียนมาด้วยกันแลดูมีความสุขทั้งสองคน วัดจากรอยยิ้มที่ฉายอยู่บนดวงหน้า แม้จะไม่ได้ยิ้มอย่ตลอดเวลาแต่การที่อมยิ้มไว้แต่มันแสดงออกมาทางสายตาแทน ช่างเป็นสุขเหลือเกิน

"ไปดูที่บ้านเรานะน้ำ แม่ไม่อยู่หรอก"

เสียงบอทเอ่ยขึ้นคราวนี้หันมาสบตาเพื่อนรักที่เดินเคียงข้างกันมา

"ไม่รอดูตอนกลางคืนล่ะบอท เดี๋ยวต้องไปนาอีกนี่"

"ดูมันตอนนี้ล่ะ เราใจร้อน ดูแป๊บเดียว เดี๋ยวตอนกลางคืนค่อยมาดูอีกรอบ"

ไม่มีคำตอบนอกการการพยักหน้า น้ำยอมทำตามความประสงค์ของเพื่อนรัก เดินตามขึ้นเรือนไปทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า บอทจูงแขนน้ำให้เดินตามไปยังเสื่อตรงที่นอนของตนที่เมื่อคืนนอนก่ายกอดกันอยู่ บอทนั่งลงอย่างรีบเร่งแล้วเปิดกระเป๋านักเรียนออก หยิบหนังสือที่ห่อปกสีน้ำตาลด้วยกระดาษหนาอย่างดีออกมาจากกระเป๋า ใจเริ่มเต้นตึกตักเพราะถือเป็นครั้งแรกสำหรับน้ำที่จะได้ดูหนังสือประเภทนี้ เสียงใจที่เต้นดังกว่าปกติสูบฉีดเลือดให้ไปหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าจนแดงระเรื่อออกมา ส่วนบอทเองใจเต้นเหมือนกันแต่ก็เคยดูมาก่อนแล้วจึงเต้นแรงไม่เท่ากับน้ำ ร่างสองร่างนั่งเบียดลงข้างๆกันบนเสื่อ พอเปิดหนังสือออกดูก็เหมือนกับพยายามกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากลำบากทั้งสองคน หน้าแดงแล้ว มือเริ่มสั่นปฏิกริยาตอบรับในร่างกายทำงานเป็นอย่างดี บอทเปิดหนังสือไปเรื่อยๆ น้ำเองเหงื่อกาฬเริ่มผุดออกตามดวงหน้า หนังสือที่มีภาพของชายหญิงกำลังประกอบกิจกรรมรักกัน ท่วงท่าลีลาหรืออวัยวะของสงวนไม่มีปิดบัง

"พอเถอะบอท อย่าดูเลย"

น้ำเอ่ยขึ้นเสียงสั่นระริก เม้มปากแน่น บอทเองหันมามองหน้าเพื่อนรัก

"น้ำ เราทำกันแบบนี้ดูไหม"

"บ้าเหรอบอท ของผู้ชายมันจะแหย่เข้าไปตรงไหนล่ะ"

อายหน้าแดงก้มหน้างุดลงไม่ยอมสบตา

"นี่ไง เราเคยดูแล้ว"

บอทรีบเปิดหนังสือไปแผ่นถัดไปเป็นรูปการร่วมรักของชายหญิงคู่เดิมแต่มันเป็นการสอดใส่ทางช่องทางพิเศษ น้ำยิ่งสั่นไปใหญ่

"ไม่เอาอ่ะ น้ำกลัว"

"กลัวไรล่ะน้ำ น้ำเป็นแฟนเรานะ"

คำๆนี้มันก้องขึ้นสะท้อนกลับไปมาในหัวของน้ำ "เป็นแฟนเรานะ" ดีใจ ปลื้มใจรู้สึกเป็นสุขมากมายเหลือเกิน บอทเองก็เอาหน้ามาประชิดอยู่แทบคางของน้ำลมหายใจร้อนมันรดมาอย่างจงใจ

"บอท"

บอทเองเผยอปากออกแล้วยื่นหน้าไปประกบริมฝีปากกับน้ำทันที น้ำเองก็ไม่ขัดขืน ความวาบหวามในใจมันดันออกมา มือไม้ก็ป่ายตามตัวกอดบ่าของเพื่อนรักเอาไว้ บอทเองก็โอบกอดตรงสะโพกให้น้ำล้มตัวลงนอนบนเสื่อ ร่างสองร่างทับกันบดบี้เหมือนจะหล่อหลอมให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน รสของจุมพิศมันหวานรัญจวนใจยิ่งนัก หัวใจเตลิดเปิดเปิงไปไกลแสนไกล แต่ก่อนที่จะล่วงเลยไปมากกว่านี้น้ำขืนตัวดันร่างของบอทออกจากกาย

"คืนนี้ค่อยมาต่อได้ไหมบอท น้ำกลัวว่าใครจะมาเห็น"

สายตาวิงวอนขอร้อง บอทเองนิ่งคิดอยู่ก่อนจะพยักหน้า

"โห กำลังได้ที่เลยอ่ะน้ำ ไม่ลงเลยนะเนี่ย"

"รู้แล้ว เดี๋ยวคืนนี้ค่อยทำ"

"คร้าบ ที่รักงั้นคืนนี้เราจะจัดหนักๆหลายรอบเลยดีไหม"

หัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่น้ำถลึงตาใส่

"รอบเดียวก็พอ แน่ใจเหรอบอทว่าทำเป็น"

"อ้าว ไม่มั่นใจผัวเหรอจ๊ะเมียจ๋า ของแบบนี้มันต้องลอง งั้นเรามาทำกันตอนอาบน้ำดีไหม อาบดึกๆ"

"เดี๋ยวแม่ก็สงสัยเอาหรอก"

"เราก็ไปกู้เบ็ดเหมือนเดิมไง กลับค่ำๆ หรือน้ำอยากจะลองทำที่ทุ่งนาดู"

"บ้าเหรอบอท อายผีสางนางไม้บ้างดิ"

"ฮ่าๆ ไปตักน้ำดีกว่า เมื่อไหร่จะค่ำน้า"

บอทผิวปากอย่างอามรมณ์ดีลุกจากเสื่อไป น้ำเองมองตามแผ่นหลังนั้นในใจก็หวิวสะท้าน น้ำลุกจากเสื่อแล้วกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อไปตักน้ำเช่นกัน การตักน้ำตอนนั้นจะตักน้ำใช้ในบ่อขุดซึ่งแต่ละชายคาที่พอมีฐานะหน่อยก็จะจ้างคนมาขุดบ่อเอาไว้เอาซีเมนต์หล่อเป็นท่อวงกลมขนาดใหญ่เรียงกันลงไปสูงจากบนพื้น บ่อขุดค่อนข้างลึกประมาณ ๒๐ เมตรได้จากพื้นดิน มีคานไม้ใหญ่ๆขึงด้วยรอกเพื่อใช้ถึงดึงน้ำขึ้นจากบ่อ เด็กๆทุกคนมือไม้ไม่มีนุ่มเรียบเนียนเหมือนเด็กในเมือง ส่วนใหญ่มือจะด้านเพราะกรำงานหนักตั้งแต่เล็กๆ จำได้ว่าซักผ้าเป็นตั้งแต่อยู่ประถมสาม ทำกับข้าวเป็นตั้งแต่ประถมห้า งานบ้านอื่นๆก็ไม่ต้องห่วงถือเป็นแรงให้พ่อกับแม่ได้อีกแรง น้ำมีหินคอยช่วยทำงานบ้าน แต่เรื่องตักน้ำยังไม่ให้หินทำเพราะมันหนักเกินไป น้ำตักน้ำช่วยบอทก่อนจนเต็มทุกตุ่มในบ้านของบอท เพราะบ้านของบอทเองไม่มีบ่อ พอเสร็จจากบ้านบอทก็จะมาตักใส่ตุ่มบ้านของน้ำ ตักน้ำเสร็จก็ไปเอาฟางมาไว้ให้วัวในคอก ไปเอาฟืนตรงหัวนาเพื่อที่จะก่อสุมไฟไล่แมลงให้มันในตอนเย็น เตรียมกับข้าวไว้แล้วให้หินเป็นคนทำ ส่วนน้ำเองจะออกไปวางเบ็ดกับบอทแล้วค่อยกลับมาดูหินอีกที ส่วนบอทต้องกลับมารีบทำกับข้าวไว้ให้แม่นิ่ม บางวันกลับไม่ทันแม่นิ่มก็ไม่ว่าเพราะรู้ว่าลูกชายไปวางเบ็ด

แสงแดดอ่อนกำลังลงมากแล้วมองไปไม่เห็นดวงตะวันบนปลายฟ้าทางด้านทิศตะวันตกแล้ว มีเหลือเพียงแสดงสีส้มแดงจัดที่ฉาบฟ้าทิศโน้นอยู่ ก้อนเมฆลอยสูงขึ้นมาก สูงจนมองเห็นเป็นปุยขาวๆอยู่ไกลลิบลับ น้ำเดินตามบอทไปตามคันนา บอทเองก็วางเบ็ดหาที่เหมาะๆน้ำไม่ตื้นเกินไปหรือลึกเกินไป ต้องไม่รกเกินหรือดูโล่งไปเลือกที่คิดว่าปลาน่าจะติดเบ็ด ทำด้วยความชำนาญเพราะทำมาตั้งแต่เด็ก ปากก็ผิวไปเป็นจังหวะเพลง น้ำเองก็ฮัมเพลงตามจังหวะผิวปากนั้น

"บอท พ่อน้ำจะออกรถมอร์ไซค์ น่าจะสิ้นเดือนนี้นะ เวลาไปไหนมาไหนเราจะได้ขับมอร์ไซค์ไปไง"

พอวางเบ็ดเสร็จก็เดินกลับวกดูอีกรอบเผื่อว่าจะมีปลาหิวเหยื่อมาติดเบ็ด น้ำเอ่ยขึ้นเพราะเห็นพ่อถาวรปรึกษากับแม่บุญช่วยเมื่อคืนก่อน

"จริงดิ น้ำนี่โชคดีจริงๆนะ แม่เราคงไม่มีปัญญาออกหรอกมอร์ไซค์น่ะ ค่าซ่อมจักรยานยังบ่นแล้วบ่นอีก"

"โชคดีอะไรล่ะบอท ก็แค่มอร์ไซค์ อีกอย่างถ้าน้ำได้ใช้บอทเองก็ต้องได้ใช้อยู่แล้ว"

พยายามทำให้เพื่อนรักรู้สึกดีขึ้น เพราะนอกจากบอทจะไม่เคยเห็นหน้าผู้เป็นบิดาแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของบอทก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากนัก เพราะแม่นิ่มเป็นคนหาเงินเลี้ยงดูเพียงคนเดียว รายได้หลักมาจากการทำนารอขายข้าวในตอนสิ้นปีเท่านั้น ค่าใช้จ่ายในแต่ละวันก็ต้องกระเบียดกระเสียร บ่นเป็นประจำว่าบอทใช้เงินเปลือง พ่อถาวรและแม่บุญช่วยก็เห็นใจคอยช่วยเหลืออยู่เป็นประจำไม่ได้ปล่อยให้ลำบากมากมายนัก

"ขอบใจนะน้ำ แต่ไม่เอาหรอกเผื่อไปทำรถน้ำพังพ่อถาวรเอาตายเลย"

บอทหัวเราะออกมาเพราะรู้ดีถึงความดุของพ่อถาวรเป็นอย่างดี

"ก็ขับดีๆสิบอท ไม่พังหรอก"

"เออ เราแวะไปเอาใบมะตูมนายายสายไหม เผื่อเอาไปกินกับน้ำพริก"

"อืมไปดิ"

บอทเปลี่ยนเรื่องไม่อยากให้ใครมาสงสารเห็นใจตัวเองมากนัก แม้จะเป็นเพื่อนที่รักมากอย่างน้ำก็ตามและถึงแม้น้ำเองจะรู้ถึงสถานภาพทางครอบครัวเป็นอย่างดี แต่ในใจลึกๆก็ยังมีปมอยู่ ปมที่ไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย

"น้ำไปเรียกแม่นิ่มมากินข้าวหน่อยสิ"

พอตอนเย็นหลังจากทำกิจการงานบ้านเสร็จหมดแล้วก็รอให้พ่อแม่กลับมาจากที่ทำงาน แม่บุญช่วยก็มาดูกับข้าวที่ลูกชายเตรียมไว้มีการแก้ไขปรุงรสกันใหม่นิดหน่อย พอถึงเวลาอาหารเย็นถ้าฝนไม่ตกหรือไม่มีเหตุอันใดที่ไม่พ่อถาวรหรือแม่บุญช่วยต้องไปธุระก็จะเรียกแม่นิ่มกับบอทมากินข้าวที่บ้านด้วยทุกเย็นเป็นเรื่องปกติ แม่นิ่มจะถือถ้วยน้ำพริกหรือแกงมาด้วย ส่วนบอทก็จะอุ้มก่องข้าวตามหลังมา วันนี้หินทำนึ่งปลาช่อนกับปลาหมอใส่ยอดผักนานาชนิดที่พอหาได้แถวบ้าน มีทั้งชะอมยอดมะยม ดอกโสนยอดมะระ ส่วนน้ำพริกแม่บุญช่วยจะเป็นคนมาทำเองเพราะบอกว่าต้องตำใหม่ๆมันถึงจะหอม

"ข้าวออกรวงแล้วรึแม่นิ่ม จะทำข้าวเม่าไหมปีนี้"

พ่อถาวรเอ่ยถามขึ้นระหว่างล้อมวงกินข้าวเย็น

"นาหัวดอนออกรวงแล้วล่ะพ่อถา ปีนี้ว่าจะชวนแม่บุญทำอยู่นะ จะได้เอาไปวัดกัน"

"อยากกินอยู่พอดีเลยแม่นิ่ม ถ้ามันพอทำบอกด้วยนะ นาเรามันยังไม่ออกรวงเลย"

นาของแม่นิ่มมีเยอะกว่าบ้านของน้ำ มีถึงสามที่ด้วยกัน ส่วนน้ำเองมีที่นาอยู่สิบกว่าไร่แถมยังเป็นที่นาลุ่มติดห้วย เวลาน้ำมาต้องรีบไปเปิดคูน้ำให้น้ำระบายออกเพราะไม่อย่างนั้นน้ำจะท่วมข้าวเสียหายหมด ส่วนแม่นิ่มที่นาถือว่าเป็นพื้นที่ดินที่ให้ผลผลิตดี ที่นาแต่ละที่มีไม่ต่ำกว่าสามสิบไร่ เวลาทำนาทีใช้เวลานานกว่าคนอื่นเขา ว่าจ้างบ้างหรือไปลงแขกขอแรงเขา แต่พ่อถาวรกับแม่บุญช่วยก็คอยไปช่วยประจำไม่ได้คิดค่าแรงหรือคิดเล้กคิดน้อยอะไร เพราะที่บ้านของน้ำมีรถไถนา แค่ขอให้แม่นิ่มเติมน้ำมันให้บ้าง ส่วนคนไถก็บอทกับน้ำนั่นเอง

"ปีนี้ข้าวงามนะแม่นิ่ม วันก่อนไปนาหัวดอนมาเห็นข้าวแม่นิ่มแล้วน่าดีใจ"

"โอ๊ย พ่อถาทำมาจนจะหัวหงอกก็เพิ่งเห็นปีนี้ล่ะที่มันพอจะได้ลืมตาอ้าปาก ถ้าขายข้าวได้เยอะจะได้ส่งให้ไอ้บอทมันเรียนสูงๆ จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนแม่มัน"

"ดีๆแม่นิ่ม แล้วเรียนเป็นไงล่ะไอ้บอท สู้ไอ้น้ำได้ไหม"

หันไปหาบอทที่กำลังเคี้ยวข้าวเหนียวอยู่อย่างเอร็ดอร่อย

"โหพ่อถา สู้ไม่ได้หรอก น้ำมันเก่ง เนี่ยผมต้องให้น้ำคอยสอนการบ้านอยู่ตลอดล่ะ"

"อืม ดีๆมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ไอ้น้ำมันได้หัวทางพ่อมัน"

คุยโวกลางวงข้าว แม่บุญช่วยก็สัพยอกสามีหัวเราะสนุกสนานกันอยู่ พอกินข้าวเสร็จก็ไปกู้เบ็ดคืน คืนนี้บอทเองเอ้อระเหยไม่ได้รีบร้อนเหมือนทุกวัน เพราะมีจุดประสงค์ในใจ น้ำเองก็รู้ดี แต่ทำไมใจมันคิดไปเร็วกว่าความเป็นจริง ทั้งที่ตอนนี้นอนดูโทรทัศน์อยู่กับหิน พ่อถาวรกำลังสานสวิงอยู่บนแคร่นอกบ้าน แม่บุญช่วยก็เหมือนกำลังดูเอกสารจากอนามัย ส่วนแม่นิ่มก็นั่งเหลาตอกอยู่ เสียงผู้ใหญ่คุยกันจอแจ น้ำเองคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน ใจสั่นหวั่นไหวไป

"เป็นไรพี่น้ำ เรียกตั้งนาน เหม่ออะไรอ่ะ"

หินร้องเรียกตั้งหลายครั้งแต่น้ำยังเหม่ออยู่

"อะไรหิน"

"พี่บอทเรียก ใจลอยนะพี่"

"ลอยอะไรล่ะ กูคิดนั่นคิดนี่บ้างดิวะ"

น้ำโวยใส่น้องแล้วเดินออกจากบ้านมาหาบอทที่เตรียมตัวพร้อมแล้ว

"ไปกันยังน้ำ จะสองทุ่มแล้ว"

บอทถามแล้วพยักหน้าให้

"เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อก่อน"

"เร็วนะคร้าบ ผัวใจร้อน"

บอทเองยังยียวนกวนใจได้ตลอดเวลา น้ำเองอายหน้าแดงเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนเป็นเสื้อแขนยาวป้องกันยุงหรือแมลงในเวลาค่ำคืน พอเดินออกมาก็นั่งซ้อนท้ายจักรยาน บอทเองก็ปั่นออกตัวไปทันที

"จับเอวดิน้ำ ไม่เห็นกอดผัวเลย"

บอทเอี้ยวคอมาบอก

"ให้พ้นตรงนี้ก่อนดิ เดี๋ยวใครมาเห็น"

"กลัวไรวะ เห็นก็ช่างมันดิ เพื่อนกันกอดกันไม่ได้ไง"

นั่นสินะทั้งที่แต่ก่อนกอดกันตลอดไม่ว่าจะไปไหน คนเห็นจนเป็นเรื่องปกติชินสายตาไปแล้ว แต่ทำไมตอนนี้ความรู้สึกหวาดระแวงว่าใครจะเอาเรื่องนี้ไปพูดหรือนินทามันถึงมีมากเหลือเกิน น้ำนิ่งเงียบไปไม่โต้แย้ง แต่เอามือค่อยๆเอื้อมไปจับที่เอวของบอท ใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครา แปลกเสียจริงทั้งที่เคยจับก่ายกอดกันมามากมายนับครั้งไม่ถ้วนแค่มือแตะโดนเอวแค่นี้ถึงกับสั่นไหวไปได้มากถึงเพียงนี้ แต่ในความหวั่นไหวนั้นมันอุ่นอย่างประหลาด พอบอทปั่นจักรยานออกมาห่างจากหมู่บ้านไกลพอสมควร ไม่มีแสงไฟหรือเสียงของใครอื่นใด ได้ยินเพียงเสียงของล้อจักรยานกระทบพื้นดินลูกรังกับเสียงหายใจหอบเหนื่อยของบอท น้ำเอาหน้าไปแนบกับแผ่นหลังนั้นเบียดอกเข้าหาให้เสียงหัวใจที่เต้นแรงดังไปถึงใจของคนที่กำลังปั่นจักรยานอยู่ บอทเองก็จับแฮนด์จักรยานไว้มือหนึ่งอีกมือก็เอื้อมมาโอบกระชับมือของน้ำให้กอดรัดตัวเองแน่นขึ้น หวานใจอิ่มใจเหลือเกิน น้ำเองเม้มปากแน่นไม่เคยรู้สึกสุขใจมากเท่านี้มาก่อน ไม่มีวันไหนที่จะหัวใจเต้นแรงได้เท่านี้สองแขนโอบรัดเอวของเพื่อนที่รักไว้แน่น แน่นกว่าเดิม

"โหน้ำ วันนี้ปลาติดเบ็ดตรึมเลยอ่ะ หนักไหม"

เดินวนอยู่สองรอบได้ปลามาเกือบเต็มข้อง น้ำเดินตามหลังอยู่ไม่ได้บ่นอะไรออกมา เพราะไม่ว่าจะแบกหินหรือแบกท่อนซุงก็คงไม่รู้สึกหนัก เพราะใจมันสุขจะให้ดำน้ำลุยไฟก็จะไม่ปริปากบ่นออกมาเลยสักคำ

"ไม่หนัก วันนี้โชคดีเนอะ ปลาตัวใหญ่ๆทั้งนั้น"

"อิอิ มันคงรู้ว่าวันนี้เราจะเป็นผัวเมียกันจริงจัง มันเลยมาฉลองให้เราไงน้ำ"

"บ้าเหรอบอท ยังไม่ลืมอีกเหรอเรื่องนั้นน่ะ"

"โอ๊ย ไม่มีทางคร้าบคุณน้ำ ใครจะไปลืมง่ายๆ"

"หมกมุ่นเหลือเกินนะ"

"ไม่ได้หมกมุ่น เขาเรียกตั้งใจ อิอิ น้ำเตรียมตัวพร้อมยังอ่ะ"

"เตรียมตัวอะไรล่ะ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย"

"อ้าว ก็คืนนี้เราจะแหย่น้ำนะ อิอิ"

"ไม่คุยแล้ว เปลี่ยนเรื่องได้ไหมบอท ไม่งั้นให้ถือข้องนะ"

"คร้าบ คุณเมียดุจังเลย"

ยังล้อเลียนอยู่น้ำเองก็ยังอายไม่เลิก ไม่เคยชินทั้งที่เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด เรื่องยียวนกวนประสาท แต่ก่อนชินแต่ตอนนี้มันหวิวทุกคราที่ได้ยิน หน้าแดงทุกครั้งที่เขามองมาด้วยสายตาแบบนั้น

ราตรีในคืนที่ฟ้ามืดมิดต้นเหมันต์ แสงดาววาววับอยู่บนฟากฟ้าทะมึนกว้าง มองไปทางหมู่บ้านเห็นแสงไฟสาดส่องขึ้นเป็นม่านสีขาวๆไม่สว่างจ้ามากนักแต่พอรู้ว่าเป็นแหล่งชุมชน แมกไม้ใบหญ้าลู่ตามลม อากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะ ร่างของเด็กชายสองคนกำลังเดินตามกันไปที่จอดจักรยาน คนหนึ่งมัดคันเบ็ดกับเชือกไว้ที่หลัง อีกคนสะพายข้องเดินหลังโก่งเพราะความหนักของข้องตามหลังห่างไม่ถึงก้าว

"กลับเถอะน้ำหนาวแล้ว"

"อืม หน้าหนาวปีนี้มาเร็วเนอะ"

"ดีสิ เราจะได้นอนกอดน้ำทุกคืน"

อีกครั้งกับคำพูดตามปกติวิสัยของบอท แต่ทำให้คนฟังใจลอยดีดขึ้นไปบนฟ้า แลลงมาเห็นแสงระยับแวววับแห่งใจ น้ำยิ้มออกมาในความมืด

"ทำไมเงียบล่ะน้ำ ไม่อยากให้เรากอดเหรอ"

"อยากสิ แต่กอดเฉยๆนะ กอดเหมือนแต่ก่อน"

"ไม่รับประกันนะเรื่องนี้ ฮ่าๆๆ เป็นผัวเมียกันแล้วนี่น้ำ ผัวมีก็ต้องมีกิจกรรมกันดิ"

"บ้า"

มันเขินนะแต่มันสุขเหลือเกิน ฟังกี่ทีก็ไม่รู้จักเบื่อ อันตอนรักน้ำต้มมะระยังว่าหวานเห็นจะจริงก็ตอนนี้

"เอาปลาไปขังก่อนแล้วค่อยไปอาบน้ำ แม่นอนยัง"

บอทเองเริ่มกระซิบกระซาบทำหน้าตาเหมือนกำลังทำอะไรที่ผิดอยู่

"อืม นอนแล้วล่ะป่านนี้จะสี่ทุ่มแล้ว"

"ไปอาบน้ำบ้านเรานะ"

เสียงที่กระซิบออกมาจากคอทำให้น้ำอดที่จะกลั้นหัวเราะไม่ได้

"พูดธรรมดาก็ได้นี่บอท ทำไมต้องกระซิบ"

"อ้าว ก็กลัวแม่ตื่นไง"

"บอทไปรอที่บ้านก่อน เดี๋ยวน้ำเอาเสื้อผ้าก่อน"

"เร็วนะจ๊ะที่รัก"

บอททำหน้าทะเล้นใส่ก่อนจะเดินข้ามรั้วไม้เก่าๆไปยังบ้านของตัวเอง น้ำเองใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ กลัวขึ้นมา ในใจเหมือนเอาแมลงเป็นล้านตัวมาบินวนเวียนอยู่ เดินไปเดินมาไม่รู้จะหยิบจับสิ่งไหนก่อนหลัง พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกตั้งสติ พอหยิบเอาเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนได้ก็เดินข้ามรั้วไปยังบ้านของบอท มองหาอยู่นานแต่ไม่เห็นร่างของเพื่อนรักที่ปกติจะนอนรออยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้าน แต่วันนี้ไม่อยู่ที่แคร่

"น้้ำๆ ทางนี้"

เสียงร้องเรียกที่แผ่วเบามาจากทางห้องน้ำ น้ำเดินไปตามเสียงนั้น

"ทำไมไม่เปิดไฟล่ะบอท มืด"

"เรากลัวน้ำอาย"

"เดี๋ยวแม่นิ่มลุกมาเข้าห้องน้ำนั่นล่ะจะซวย"

น้ำบอกบอทเองพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปเปิดไฟหลอดกลมสีส้มให้ส่องสว่างขึ้น

"เข้ามาดิ"

บอทจูงมือน้ำเข้าไปในห้องน้ำ น้ำเองก็เริ่มสั่นก้มหน้าลง ในมือของบอทมีหนังสือเล่มเดิมเมื่อตอนเย็น

"จะดูอีกเหรอ"

น้ำถามออกไปเสียงสั่น

"ดูดิ จะได้คึกๆ"

"น้ำกลัวว่ะบอท"

"ไม่ต้องกลัวนะครับที่รัก"

บอทเบียดกายเข้าหาโอบเอวของน้ำไว้ จ้องหน้าระบายลมหายใจอุ่นออกมารดหน้า น้ำหน้าแดงเลือดพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที บอทเอาหน้าผากแนบหน้าผาก จมูกชิดจมูก เผยอริมฝีปากขึ้นก่อนที่จะค่อยๆประทับมันเข้าหากัน ทั้งสองหลับตาพริ้มสัมผัสจากปากอ่อนไหวมือไม้เริ่มขยับ เสื้อผ้าในกายถูกถอดออกจากร่าง ทั้งสองทำอย่างที่ทำเมื่อคืน ผลัดเปลี่ยนกัน

"ลองทำแบบในหนังสือนะน้ำ"

เสียงก็ยังคงสั่นเครืออยู่หน้าแดงตาหวานฉ่ำ น้ำพยักหน้า บอทเองจ่อแก่นกายเข้ากับบั้นท้ายของน้ำ พยายามดันให้มันเข้าไปในร่างของน้ำ

"มันไม่เข้าอ่ะน้ำ เอาสบู่มาทำให้มันลื่นดีไหม"

"อืม มันจะแสบไหมอ่ะบอท"

"ไม่หรอกน้ำ ลองดู"

พอเอาน้ำลูบเอาก้อนสบู่ทาให้ลื่น น้ำเองก็โก่งโค้งพิงตุ่มไว้ ส่วนบอทเองก็จ่อลำเข้าประชิด

"อ๊ะ เจ็บบอท น้ำเจ็บ"

"มันเข้าไปแล้วน้ำ อ่าแน่นมาก"

"เอาออกเถอะ น้ำเจ็บ"

บอกว่าเจ็บคือเจ็บจริงๆไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ เพราะปกติเป็นคนที่อดทนไม่บ่นอะไรออกมาง่ายๆ แต่ครานี้เจ็บแสบแปลบอยู่ตรงบั้นท้าย

"เอาสบู่ทาใหม่นะน้ำ เราจะทำเบาๆนะ"

เสียงที่นุ่มปลอบโยนอยู่ทำให้หัวใจอ่อนเอนไปตาม ไม่พูดอะไรออกมา บอทพยายามอีกครั้ง น้ำเองแม้จะเจ็บจนน้ำตาเล็ดแต่ก็กัดฟันแน่น ยอมทุกอย่างแล้ว แสบเจ็บลึงเข้าไปในร่าง พอได้ที่บอทเองก็เริ่มขยับเอว เหมือนรู้ดีว่าเพื่อนรักก็เจ็บเอื้อมมือไปคลึงหนั่นเนื้อของน้ำ น้ำเองก็มีอารมณ์อยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากที่จะปลุกอารมณ์ให้คุขึ้นมาอีก เนื้อเสียดเนื้อ ร่างเบียดร่าง ปากประกบปาก เสียงครางออกมาจากคอเบาๆเพราะเกรงว่าใครจะมาได้ยิน

"อ๊ะ บอทน้ำไม่ไหวแล้ว"

น้ำครางออกมากระซิบบอก

"รอเราด้วย เมียจ๋า รอผัวด้วย อ๊ะ อ๊ะ"

บอทเร่งการขยับของเอว ส่วนน้ำกระตุกร่างไปก่อนแล้ว ช่องด้านหลังบีบรัดแน่นบอทเองก็กระตุกร่างตามมาติดๆ สองร่างก่ายกอดแนบแน่นมีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังแว่วแผ่วระบายลมออกมาจากอก

"เอาออกได้ไหมบอท น้ำแสบ"

"แสบเหรอน้ำ มาล้างก่อน แต่เสียวมากนะ อิอิ"

"บอทเสียวน่ะสิ แต่น้ำแสบ"

บอทยอมถอดถอนส่วนที่แข็งแกร่งกำยำออกจาร่างกายของน้ำ เอาน้ำราดล้างให้

"อ๊ากก"

เผลอร้องออกมาเต้นไปอีกทาง น้ำที่ราดไหลลงร่องก้นมันกระทบเข้าโดยตรงกับช่องนั้นที่เพิ่งถอดถอยแก่นกายของบอทออกมา หน้าตาของน้ำเหยเกแลดูเจ็บปวด

"เจ็บมากเหรอน้ำ"

"แสบอ่ะ แสบ"

ทำท่าเหมือนขยาดน้ำ บอทเองก็ทำหน้าเสียไม่รู้จะทำอย่างไรดี

"ทนเอาหน่อยนะน้ำ มันจะได้ไม่สกปรก"

พยายามเข้าไปปลอบ น้ำเองกัดฟัน ยอมตักน้ำราดตัวแม้มปากแน่นจนน้ำตาไหลออกมา พอร่างกายมันเริ่มชินก็ไม่ได้แสบมากเหมือนตอนที่โดนน้ำใหม่ๆ อดทนอาบน้ำจนเสร็จ

"จะไปไหนล่ะนั่นน่ะ"

บอทร้องขึ้นเพราะเห็นน้ำกำลังเดินตรงไปยังเรือนของตน

"กลับไปนอนห้องดิ"

"น้ำ มานี่"

บอทเข้าไปดึงแขนน้ำไว้กระตุกให้ร่างนั้นเข้าหาตัว

"น้ำเป็นเมียเราแล้วนะ โดยสมบูรณ์ อย่าคิดไปนอนที่อื่นที่ไม่มีผัวนอนด้วย"

"เอ่อ"

"ไม่ต้องเถียง ขึ้นบ้านได้แล้ว"

เป็นคำสั่งที่ออกจะดูตลกๆแต่น้ำเองแอบอมยิ้มออกมา ไม่รู้ทำไมรู้สึกสุขใจเหลือเกิน สุขใจจนไม่รู้จะสรรหาคำใดมาบรรยายดี ร่างอุ่นใต้ผ้าห่มขี้งาผืนใหญ่ก่ายกอดกัน ไออุ่นจากร่างแผ่กระจายแทรกซึมมอบความอุ่นวาบหวามให้กันและกัน เท่านี้เองความรู้สึกดีๆที่ต้องการ เท่านี้เองที่ใจมันเพรียกเรียกหามานาน

วิสัชนา สิ่งนั้นคือใจเรานั่นแลที่ไปไวกว่าแสง แรงกว่าไฟ

เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 06-10-2010 06:33:35
โห มือใหม่ทั้งคู่ สงสารน้ำจริงๆ คงแสบน่าดูเจอสบู่เข้าไปอีก เพราะรักคำเดียวแท้ๆ
พรุ่งนี้จะเป้นไข้มั้ยนั้น  :z10:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 06-10-2010 06:59:03
 :m25:
smแบบไม่ได้ตั้งใจเลยคู่นี้
ตอนนี้กำลังซดน้ำตาลกันอยู่ อีกไม่นานคงได้ซดมาม่าแทนแล้วสินะ

หวานๆนานๆหน่อยก็ได้นะคะคุณอิ๊ก  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 06-10-2010 07:02:56
 :impress2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 06-10-2010 08:10:22
อ่านเรื่องนี้ ด้วยสภาพการ และความเป็นอยู่ของตัวละคร
เหมือนได้เดินย้อนกลับไปในอดีต มีความสุขจริงๆ
สุขกับการผูกพันชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ที่ไร้การปรุงแต่ง
เพียงแต่เราไม่ได้สุขใจเพราะมีใครเคียงกายแบบบอทกับน้ำ
คุณอิ๊กสัญญาแล้วเด้อ ว่าจะไม่มีมาม่าน่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 06-10-2010 08:24:16
แวะมาอ่านสองตอนรวดขอรับ
ชอบมากมาย :o8:

+ 1 จัดไปโลด :a1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 06-10-2010 10:33:20
คุณอิ๊กกี้ใจร้ายจัง เล่นสบู่เลย คงแสบน่าดู
ให้ไปแอบหยิบน้ำมันมะกอกแม่นิ่มหรือแม่บุญช่วยมาก็ไม่ได้  :laugh:

มาบ่อยๆ นะคะฉาก NC แบบนี้น่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 06-10-2010 10:49:54
ตื่นเต้นแทน รู้สึกเหมือนแอบเล่นไฟตอนเด็กๆแล้วกลัวแม่มาเจอเลยอ่ะ
แต่ต่างกันตรงที่สมัยนี้เค้าดันเล่นเพื่อนแทน  :-[
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: som~ ที่ 06-10-2010 10:56:30
สงสารน้ำนะ  เเต่... :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 06-10-2010 11:12:02
ตอนนี้ เอาไปเลย 10 เต็ม 10  :pighaun:

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 06-10-2010 11:17:00
อู้ว...เรียบร้องโรงเรียนบอท... :-[
หลังจากนี้ก็ขอให้ 2 คนนี้รักกันนานน๊าน นานนาน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 06-10-2010 12:08:53
ไม่รู้จะบอกอย่างไร
 o13 o13 o13
 :L2: :L2: :L2:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 06-10-2010 12:15:28
หวานกันจัง แต่ยี่ห้อพี่อิ๊กกี้ดราม่าปวดตับยุแร้ว หวังว่าคงไม่มาเร็วๆนี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 06-10-2010 14:56:17
ตามาอ่านแล้วน๊า eiky
เริ่มมาหวานๆแบบนี้ กลัวจังเลย แบบว่าหวานน่ารักใจลอยไปแล้ว แต่ก็พลิกเป็นดราม่าน้ำตาร่วง...หุหุ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 06-10-2010 15:31:59
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดตาบอท ไวไฟจริงเชียว


แอร๊ยยยยยยยยยยอ่านแล้วมีความสุข แต่ก็กลัวสนิม 555+
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 06-10-2010 15:36:02
และแล้ว....ผู้ใหญ่ชาวเล้า...ก็พากันส่ง น้ำ กะ บอทเข้าหอ....
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว....ขอให้รักกันยืนยงนะนู๋นะ..... :call:

ชีวิตที่สงบและเรียบง่ายใคร ๆ ก็ปรารถนาเนอะ.....
ถ้าเราไม่ติดวัตถุนิยม...แสงสีเสียงก็คงจะดี.....
คงจะมีความสุขมากกว่าทุกวันนี้....เพราะไม่ต้องดิ้นรน
เพื่อให้ได้มา.... :เฮ้อ: รอไปก่อนตัวกิเลศเยอะจัด...

 :L1: น้อง eiky รักกัน ๆ นะจ๊ะ :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 06-10-2010 15:55:28
ไม่ค่อยอยากเชื่อคุณอิ๊กเลยอ่ะ
ไม่รู้เราระแวงระแวดระวังไปเองหรือเปล่า
แต่..ทำไมก็ไม่รู้สึกบอทจะรักน้ำด้วยความรู้สึกเดียวกับที่น้ำรักบอทก็ไม่รู้
บอท รักเพราะน้ำเป็นเพื่อน ที่สนิทมาก (อันนี้แน่นอน)
บวกกับ อยากจะลอง เรื่องแบบนั้น ด้วยเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเด็กวัยนั้น
และ เมื่อบอทรู้สึกว่าน้ำเป็นของบอทแล้ว บางที ถ้าต่อไปจะมีหวงบ้างอะไรบางอาจจะไม่แปลก

แต่น้ำสิ  รักไปแล้ว รักเพราะรัก เต็มๆเลยด้วย
ความดราม่ามันจะต้องมาผ่านความรู้สึกของน้ำแน่เลย
ต่อไปข้างหน้า..ซักวัน..เมื่อมีจุดเปลี่ยน..อาจเร็วๆนี้เมื่อยังเรียนมัธยม
หรือเมื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัย และขอเดาไว้เลย ว่าคนที่เปลี่ยนไป ต้องเป็นบอท แน่ๆ

ตอนนี้มีหวาน แต่ทั้งหมดทั้งปวง ลงมติไม่ไว้วางใจคุณอิ๊ก..จริงจัง
:m29:

(ดิฉันพูดมากเพ้อเจอตลอด..  :laugh: สมควรจบการคอมเม้นท์ได้แล้ว)

 :กอด1:คุณอิ๊ก เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ   แอบฮาตรงมีPMตามด้วยอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 06-10-2010 17:50:39
ยังไงก้อพยายามจะเชื่อ ไม่อยากไว้ใจพี่อิ๊ค
ต้องดูรีพายคนอื่นก่อนก่อน ถึงอ่าน ฮ่าๆ

ชอบตอนนี้มาก คำพูดแต่แรงโดนใจ
แต่ก้อไม่วางใจอยู่ดี กลัวๆๆ

บอกตรง กลัวมากๆ กลัวว่าความสุข
จะหายภายในยิบตาเดียว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 06-10-2010 18:16:29
บอทกับน้ำนี่หาปลาเก่งนะ  หากันทุกวันเลย
ดูแล้วบอทนี่ขี้เล่นจัง แต่ดูแล้วรักน้ำมากนะ
น้ำนี่จริงจังกับชีวิตจังเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 06-10-2010 19:05:11
พี่อิ้กกี้ น่ากลัวโค่ตรๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   โคตรของความน่ากลัว  พี่แกชอบกินดราม่าเป็นอาหารแทนข้าวสารเสก  (อะยังงัยนี่)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 06-10-2010 19:37:07
รักน้ำ จริงใจกับบอท ยอมได้ทุกอย่าง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 06-10-2010 19:54:38
คนอย่างคุณอิ๊ก ไม่มีทางที่จะไม่มีมาม่า ฮ่าๆๆๆๆ o18

แต่ตอนนี้ อร๊ายยยยยยยย :oo1: :o8: :-[
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 06-10-2010 21:03:30
หวังว่าความหวานยังคงอยู่ ไม่เศร้าไปมากนะคับ :3123:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 06-10-2010 22:05:20
ง่า
เราไม่ได้อ่านอีกตั้ง3วันอะ
พรุ่งนี้ไปเข้าค่าย
คอยดูนะ
กลับมาจะอ่านให้สมใจเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 06-10-2010 23:24:41
โว่ววว ปิดตาแทบไม่ทันเลยพี่ 555
ขอให้ความสุขอยู่กับน้ำและบอทนานนาน พี่อิ๊กกี้อย่าแกล้งนะ  o9


หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 07-10-2010 02:50:20
สงสัยคราวนี้บอทขอน้ำทุกวันแน่ ๆๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 07-10-2010 04:45:52
 :เฮ้อ:บอกตรง กลัวมากๆ กลัวว่าความสุขจะหายไป   :serius2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 07-10-2010 09:24:28
5555555  อ่านรีพลายแล้วขำนิ... :m20:
ไม่มีใครไว้ใจน้อง eiky กันส๊ากกกกคน...น่าสงสารนิ... :monkeysad:
ความจริงน้อง eiky คงจะส่งสัญญาณเตือนภัย....
คนอ่านล่วงหน้า.....จากนั้นก็วิญญาณใครวิญญาณมัน...
ตามกลับกันเองนะครับท่าน....... :m2:

น้อง eiky พี่เหมือนช่วยไหมเนี่ย....ตั้งใจช่วยจริง ๆ น้า :impress:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 07-10-2010 12:39:34
 :call: มีความสุขกันนานๆนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 07-10-2010 15:13:12
5555555  อ่านรีพลายแล้วขำนิ... :m20:
ไม่มีใครไว้ใจน้อง eiky กันส๊ากกกกคน...น่าสงสารนิ... :monkeysad:
ความจริงน้อง eiky คงจะส่งสัญญาณเตือนภัย....
คนอ่านล่วงหน้า.....จากนั้นก็วิญญาณใครวิญญาณมัน...
ตามกลับกันเองนะครับท่าน....... :m2:

น้อง eiky พี่เหมือนช่วยไหมเนี่ย....ตั้งใจช่วยจริง ๆ น้า :impress:


เหอๆๆๆ ทุกคนบอกว่าผมใจร้ายน้า แต่ดูแต่ละเมนต์ ฮ่าๆๆๆ น่ากลัวอ่า
ขู่กันทุกคนเลยน้า แงๆๆๆ โดนรังแก
มันไม่เศร้าหรอกครับ จะไม่ยอมเศร้าจนกว่าผมจะบอกอีกที ตอนนั้นค่อยทำใจกันน้า
อย่าเพิ่งมาระแวงกัน ปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศบ้านนาก่อนน้า
เหอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๖ (ตุลาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 07-10-2010 15:15:04
บทที่ ๗

ปุจฉา อันแก้วนั้นเป็นสนิมได้หรือไม่

ครั้นตอนเช้าจะยันกายลุกจากที่นอนน้ำเองรู้สึกแปลบปลาบปวดที่บั้นท้าย สะดุ้งตื่นโดยไม่มีอาการงัวเงียหลงเหลืออยู่เลย ช่องเล็กๆทางด้านหลังไม่น่าเชื่อว่าจะยอมให้แท่งแก่นกายที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ยอมผ่านเข้าไปได้ พอมันผ่านเข้าไปได้ร่างกายมันเหมือนฟ้องว่ามันเจ็บ แต่มาฟ้องเอาเมื่อข้ามคืนไปแล้ว น้ำเม้มปากแน่นครางออกมา

"หือ น้ำเจ็บเหรอ"

บอทเองก็ตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคราง

"อืม เจ็บอ่ะบอท ทำไมมันปวดตุบๆ"

"มันยังไม่ชินมั้ง เดี๋ยวคงชิน"

"ฮึ ใช่สิ งั้นคืนนี้น้ำแหย่บอทบ้างนะ"

"เว้ย ไม่ได้ เราเป็นผัวนะน้ำ เมียจะมาแหย่ผัวได้ยังไง"

พูดหน้าตาเฉยฉายรอยยิ้มออกมา พอเห็นรอยยิ้มนั้นก็โกรธไม่ลง หวานละมุน จะดีแค่ไหนถ้าเราตื่นมาแล้วเห็นรอยยิ้มอันเป็นที่รัก ของผู้ที่เป็นดวงใจฉายแววอยู่ต่อหน้า จะดีแค่ไหนถ้าแค่ได้ลืมตาในตอนอุษาสางแล้วเห็นไรฟันเรียงรายเป็นระเบียบฉาย แววอยู่อย่างนี้ สุขใจแต่เช้า น้ำอายลุกออกจากที่นอนแม้จะเจ็บแต่ก็ใช่ว่าจะเดินไม่ได้ ยอมเดินขาถ่างลงจากเรือนมาเพราะรู้ดีว่าเพื่อนรักต้องล้อเลียนอย่างแน่นอน

"มึงเป็นไรวะน้ำ ทำไมเดินแปลกๆ"

พอไปโรงเรียนเพื่อนรักอีกคนก็ถาม ช่างสังเกตในทุกๆเรื่อง

"เจ็บขาดิมึง"

"เจ็บขาหรือว่าเจ็บก้นวะ"

"อีเล็ก"

"ฮ่าๆๆ ดูทำหน้าเข้า แหมกูรู้หรอกมึง ไหนเล่าให้ฟังซิ เมื่อคืนทำไรกัน"

"บ้าเหรอมึง กูล้มเมื่อเช้าก้นกระแทกพื้นมันเลยขัดๆนิดหน่อย"

แก้ตัวไปพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด

"อ๊ะๆ เมื่อกี้บอกเจ็บขา ยังไงน้ำ อย่ามาหลอกกู มึงเสร็จไอ้บอทแล้วใช่ไหม"

"โว้ย อะไรวะ บอกล้มก็ล้มสิมึง"

โวยวายขึ้นพยายามกลบเกลื่อนไม่อยากให้ใครรู้ เรื่องบางเรื่องเพื่อนรักแค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องรู้

"อ้าว โวยวายใส่กูอีก มึงไม่บอก กูไปถามไอ้บอทเองก็ได้"

"อย่านะเล็ก อะไรวะทำไมมึงอยากจะรู้มากจัง วุ่นวายไปไหมมึง"

"ไอ้น้ำ ทำไมกูจะรู้ไม่ได้ ในเมื่อมึงเป็นเพื่อนกู แหมทีกูไปกับหญิงมากูยังเล่าทุกฉาก อะไรวะแค่นี้ก็ปิดบังเพื่อน กูก็อยากรู้เป็นวิทยาทานเว้ย จะได้รู้ว่าผู้ชายกับผู้ชายมันทำกันยังไง"

ที่จริงแล้วเล็กเองมีอะไรก็ไม่เคยปิดบังน้ำเลยแม้แต่เรื่องเดียว ความที่เป็นคนเปิดเผยของเล็กมันกินใจของน้ำมากพอสมควร แม้แต่เรื่องเพศซึ่งน่าแปลกที่เล็กเองไม่เคยอาย น้ำเองต่างหากที่เป็นคนอาย ไม่รู้จะเริ่มยังไง ไม่ใช่อยากจะปิดแต่เรื่องแบบนี้ เรื่องของคนสองคนบนเตียง ใครจะเล่าออกไปได้

"กูพร้อมแล้วเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง"

ยอมพูดออกไปพร้อมกับการถ่ายถอนลมหายใจออกมา

"กูไม่ได้อยากรู้รายละเอียดอะไรมากหรอกมึง แค่อยากรู้ว่ามึงสองคนลึกซึ้งกันแล้วใช่ไหมแค่นั้นเอง"

เล็กเสียงอ่อนลงมากจ้องมองหน้าของเพื่อนรักที่ก้มหน้ามองพื้นดินอยู่

"อืม"

"ก็แค่นั้น มึงดีใจไหมน้ำ"

"ดีใจอะไร ดีใจที่โดนบอทมันแหย่น่ะเหรอ หรือดีใจที่ได้มีอะไรกับมัน"

น้ำเองก็เริ่มที่จะมีอารมณ์เพราะเพื่อนสาวห้าวเริ่มซักไซ้ไล่กวดเข้ามาทุกที

"ดีใจที่ได้รักมันน่ะ"

นิ่งเม้มปากแน่นอยู่ ดีใจสิ ดีใจมาก มันมากกว่าการดีใจ

"อืม กูไม่รู้หรอกเล็กว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าตอนนี้กูมีความสุขมาก"

สายตาที่ทอดยาวมองลอดใต้อาคาร ๒ ไปมันเหม่อมองไปไกลแสนไกล ในแววตานั้นมันมีความในใจฉายออกมามากมาย มากเกินกว่าที่เพื่อนคนนี้จะคาดเดาออก

"กูดีใจด้วยนะน้ำ มึงมีความสุขก็ก็รู้สึกดี งั้นคราวนี้มึงมาเชียร์กูนะ กูจะจีบน้องฝน ม. ๒"

"หา อะไรของมึง แล้วอีอ้อยล่ะ"

น้ำร้องออกมาเสียงดัง แม้ดังไม่มากแต่สีหน้าท่าทางทำให้เล็กหัวเราะออกมาได้

"โอ๊ย อีห่านั่นมันมีผัวไปแล้ว กูแหย่มันไม่ได้นี่หว่า จีบน้องฝนนี่ล่ะน่ารักสะดุดตา"

"เออ เอาเข้าไป ทำไมมึงไม่หาอะไรที่แหย่มึงได้บ้างล่ะเล็ก เผื่อมึงจะชอบ"

"ไอ้น้ำ"

ผลักหัวน้ำหงายไปทันที ไม่ได้โกรธกันแต่อย่างใด เพราะน้ำหัวเราะออกมา เวลาเล็กจวนตัวมักจะทำแบบนี้ประจำ

ปลายเดือนตุลาคมเหมันตฤดูเข้ามาเยือนแล้ว ลมที่พัดเอาความหนาวเย็นแห้งแล้งเข้ามามันพัดไล่ก้อนเมฆาที่ก่อให้เกิดฝนตี ตัวลอยขึ้นสูง พื้นดินเริ่มแห้งมีฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วคราใดที่ลมหนาวพัดมาอันฝุ่นนั้นก็จะ กระจายตัวพัดตามกันมาเป็นเกลียว ต้องคอยหลบคอยหลีกฝุ่นนั้นกันเป็นแถบ ผิวตัวเริ่มตึงแตกเป็นขุย เสื้อกันหนาวหลากสีสันเริ่มถูกนำเอาออกมาซักเตรียมไว้ใส่ไปโรงเรียน น้ำเองก็เตรียมเสื้อไหมพรมที่ญาติฝ่ายแม่บุญช่วยเอามาฝากจากอเมริกา น่าประหลาดทั้งที่มีญาติอยู่ไกลถึงอเมริกาแต่ก็หาได้ปลื้มปีติอะไรกับเขามาก นัก เพราะนานๆญาติกลับมาที กลับมาแต่ละครั้งก็โอ่คุยโวตามประสา นี่เองกระมังที่น้ำไม่ค่อยจะยินดีเพราะเป็นคนไม่ชอบคนขี้โอ่ แต่ไปอยู่ที่โน่นก็ไปใช้แรงงานเขา น้ำเองไม่เคยมีความคิดที่จะออกห่างบ้านเกิดเมืองนอนแต่อย่างใด อยากจะอยู่ที่นี่เพื่อ พัฒนาบ้านเกิดให้เจริญรุ่งเรือง ส่วนบอทเองเสื้อกันหนาวก็ได้จากญาติของน้ำเหมือนกันเพราะแม่นิ่มเป็นเพื่อน สนิทกับญาติของน้ำ มีศักดิ์เป็นยายของน้ำเพราะเป็นน้องสาวของยายอีกทีหนึ่ง ความสนิทไม่มากเหมือนแต่ก่อนตอนที่ยังไม่ไปอยู่อเมริกา แต่ก็ยังนับว่าเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

ครั้นลมหนาวมาเวลาจะอาบน้ำไปโรงเรียนตอนเช้าก็เหมือนจะเป็นช่วงที่ทรมาน มากที่สุด ความเย็นของน้ำที่กักเก็บไว้ในตุ่มมันเย็นจัดบวกกับอากาศภายนอก เวลาจะอาบน้ำครั้งหนึ่งต้องยืนนิ่งทำใจอยู่นานเหมือนกำลังสวดมนต์รวบรวมความ กล้า เอาน้ำเทใส่เท้าก่อน ลูบหน้าแล้วตักจ้วงเอาๆ ตัวชาขนตามตัวชี้ชันจนเหมือนหนังไก่โดนน้ำร้อนลวก ไม่ฟอกสบู่แค่ล้างหน้าอย่างเดียว ถ้าจะมามัวฟอกสบู่คงได้แข็งตายกันพอดี ตอนเย็นค่อยดีหน่อยเพราะมีเวลาต้มน้ำอาบ แต่การอาบน้ำอุ่นมันดีเฉพาะตอนที่อาบเท่านั้นแต่พอตัวแห้ง ตัวก็แตกแห้งเป็นขุยเยอะกว่าการอาบน้ำเย็น

สำหรับน้ำการทนอาบน้ำเย็นในตอนเช้าไม่ใช่เรื่องทรมานมากแต่ประการใด เพราะมารู้ทีหลังว่าพอเราทำตัวให้มันชินกับความหนาวเย็น ทนอาบให้พอเท่าที่จะทนได้ พออาบน้ำเสร็จความอุ่นในเลือดมันกลับแผ่ออกมาจากกาย อุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด

"น้ำเย็นนี้ไปเอาปลาที่นาห้วยไหม น้ำน่าจะน้อยแล้วนะลมจัดขนาดนี้"

บอทเอ่ยชวนขึ้นตอนเย็นกลับจากโรงเรียน

"อืมไปดิ บอททำไมปากแตกอ่ะ อย่าไปเลียมันดิ"

พอเหลือบไปเห็นริมฝีปากของบอทก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้เพราะมันแตกแห้งจนเห็นได้ชัด

"มันรำคาญอ่ะ แตกอยู่ได้ ทำไมปากน้ำไม่แตกอ่ะ"

"ก็น้ำทาสีผึ้ง แม่เอาให้เมื่อเช้า"

"อ้าว แล้วไม่ยอมบอกนะ ปล่อยให้ผัวปากแตกเลือดซิบๆอยู่ได้"

"มีเวลาว่างไหมล่ะคุณผัวน่ะ ก็เห็นเล่นแต่ตะกร้อนี่ จะเอาให้ทาก็กลัวโดนเพื่อนล้อ"

น้ำสัพยอก บอทเองก็หัวเราะแต่อ้าปากได้ไม่กว้างเหมือนเดิม พอกลับถึงบ้านก็ทำงานบ้านเหมือนเดิม แต่น้ำไม่ต้องตักมากเหมือนหน้าร้อน เพราะปริมาณการใช้น้ำในแต่ละวันมันลดลงเพราะความหนาว

ข้าวออกรวงแล้วดอกข้าวสีขาวสลับแซมกับรวงข้าวสีเขียวสดมองไปละลานตาทั่ว ทั้งท้องทุ่ง กลิ่นหอมของดอกข้าวลอยโชยมาตามลมปะทะจมูก แสงแดดรำไรสีส้มอ่อนๆลามเลียผิวหน้าผิวกายอยู่ ฟ้าสีครามจางๆเปิดกว้างไม่มีก้อนเมฆสักก้อนบดบัง มองขึ้นไปแลดูสูงไม่อาจวัดได้ ลมกลางทุ่งนาพัดไม่แรงเหมือนอยู่ในหมู่บ้าน คงเพราะเป็นพื้นที่กว้างกว่า ลมพัดเรื่อยๆเอื่อยๆเย็นสบาย ร่างของเด็กชายสองคนนั่งซ้อนรถจักรยานผ่านท้องทุ่งเขียวขจีตรงไปยังนา ช่างสวยงามจับใจ รถเครื่องในวันปกติพ่อถาวรเอาไปใช้ พอเวลาค่ำน้ำก็จะเป็นคนเอาลงไปนาหรือเข้าไปในไร่แตงโมที่ปลูกตอนหมดหน้านา ซึ่งตอนนี้ปลูกงาเอาไว้เต็มพื้นที่

"สวยจังนะน้ำ"

บอทปั่นจักรยานขึ้นไปจอดไว้บนคูห้วย แสงอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนคล้อยต่ำลงกระทบกับสายน้ำในห้วยส่องประกายระยิบ น้ำในห้วยในฤดูหนาวไม่ขุ่น ใสจนแลเห็นจอกแหนในน้ำ แต่กลิ่นของน้ำมันคาวๆเพราะฤดูนี้ปลาในห้วยมักจะเป็นโรค ชาวบ้านไม่นิยมกินกัน จะหันไปหาปลาที่ทามมากกว่าจากห้วย ที่ปลาเป็นโรคก็ไม่ใช่เพราะอะไร ก็เพราะปุ๋ยเคมีที่ชาวนาพากันหว่านลงไปในนาข้าวตอนข้าวทั้งท้องนั่นเอง พอฝนสุดท้ายปุ๋ยมันก็ไหลลงไปรวมกันในห้วยสะสมเป็นพิษปลาจึงตายลอยเป็นแพทุก ปี

"อืม สวยดี"

น้ำสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกหลับตาพยายามจำสิ่งที่มองเห็นเมื่อครู่ให้ได้ นานที่สุด ดึงมันออกมาจากมโนความคิดให้ฉายอยู่ในความทรงจำ ลมหนาวพัดยอดหญ้า ถึงเพลายามเย็นๆ น้ำใสในห้วยเล่น ฝูงปลาปูแหวกว่ายกัน ที่ชอบบรรยากาศของหน้าหนาว เพราะรู้สึกว่ามวลอากาศรอบกายมันบางเบา เวลาสูดลมหายใจเข้าไปในปอดมันรู้สึกโปร่งโล่งสบาย แม้อากาศมันจะแห้งแล้ง แต่โดยรวมก็เป็นสุขกับฤดูนี้มากที่สุด อีกทั้งมีเพื่อนรักที่คอยเคียงข้างกาย จะหาสุขใดมาเสมอเหมือนไปไม่มี

"โหดูปลานาใครวะน้ำเยอะว่ะ"

บอทร้องขึ้นเมื่อเดินไปตามคันนา ปกติเวลาฤดูเก็บเกี่ยวน้ำในนาจะลดลงอย่างรวดเร็วปลาที่หนีลงห้วยไม่ทันก็จะ รวมกลุ่มกันอยู่ตามพื้นที่ลุ่มที่สุดของนาแปลงนั้น ส่วนมากจะเป็นตามมุม ข้างๆนาของบอทเป็นนาของคนที่อยู่อีกหมู่บ้าน เคยเห็นคุยกับพ่อถาวรบ้างแต่ไม่มากนัก พ่อถาวรเคยบอกว่ามันเป็นส่วยทำนาไม่เป็น ไม่รู้ทำไมถึงว่าเขาไปแบบนั้นแต่ตอนหลังจึงมารู้ว่าตอนเก็บเกี่ยวเขาเองจะ เกี่ยวข้าวไม่ละเอียดคือเก็บไปไม่หมด เหมือนกับไม่ได้ใส่ใจกับรวงข้าวที่หล่นลงบนพื้นเท่าใดนัก แต่ถ้าเป็นพ่อถาวรรวงข้าวแต่ละรวงมีค่ามากไม่ยอมให้เล็ดลอดสายตาไปได้ อันคนเราถ้าเขาทำอะไรที่แตกต่างหรือคิดอะไรที่ผิดแผกไปจากเราเขาก็ประหลาดไป เสียงหางปลาตีน้ำเบียดเสียดแย่งที่กันในนาดังจ๋อมแจ๋ม บอทถอดรองเท้าแตะออกแล้วค่อยๆย่องลงไปในนานั้น น้ำเองก็ทำตาม

"ปลาตะเพียนน้ำ โหตัวเบ้อเร่อเลย"

บอทร้องออกมาอย่างดีใจ น้ำเองก็รีบปรี่ไปอีกด้าน

"โห เขาไม่มาเอาเหรอ รีบเอาเถอะบอทเดี๋ยวมันมาเจอ"

จะเรียกว่าขโมยก็ไม่แปลกเพราะทั้งสองเข้าไปในที่นาคนอื่นโดยไม่ได้ขอ อนุญาตแต่พอวันหลังกลับมาดูอีกรอบน้ำแห้งขอดไปหมดแล้วปลาก็ตายอยู่อย่างนั้น เหมือนกับว่าเขาไม่ได้มาสนใจจะเอาจริงๆ

"หวานปากเลยคืนนี้ เอาไปนึ่งกินเนอะน้ำเนอะ"

"เอาไปตากแดดไว้ปิ้งกินก็ดีนะบอท"

ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน โคลนตมเปรอะเปื้อนตามแขนขา พอได้ปลาในจำนวนที่ต้องการแล้วก็พากันเดินลงห้วยไปล้างแขาขาออก ปลาตะเพียนที่คัดเอาแต่ตัวโตๆ ส่วนตัวเล็กๆก็จับมาปล่อยที่ห้วย หรือโยนข้ามฝั่งไปในนาของน้ำเอง เพราะนาของน้ำแปลงที่ติดห้วยพ่อถาวรขุดบ่อขนาดกว้างไว้ให้ปลาอยู่ เก็บเอาไว้วิดน้ำออกตอนเวลาหน้าร้อน ทั้งสองทำอยู่อย่างนั้นจนค่ำล้างตัวเสร็จจึงพากันกลับบ้าน ขากลับก็แวะเก็บดอกโสนที่ขึ้นอยู่ริมห้วยกลับไปนึ่งใส่ปลาตะเพียนด้วย

"น้ำ ทำไมตัวน้ำไม่แตกอ่ะ ทาอะไร"

พอกินข้าวเสร็จก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เพราะจะอาบด้วยกันเหมือนวันก่อนๆกลัวว่าผู้ใหญ่จะสงสัย ทั้งสองอดใจรอที่จะมานอนด้วยกันเท่านั้นในแต่ละคืน ส่วนเวลาปกติก็ทำตัวให้เหมือนเดิมมากที่สุด บอทเองทำอย่างง่ายดาย ส่วนน้ำต้องพยายามรวบรวมสมาธิมากหน่อยแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

"ก็ทาซิตร้าไง น้ำเอามาให้ทาเอาไหม เพิ่งซื้อมา"

สมัยนั้นครีมยี่ห้อนี้มีเพียงสีเหลืองเท่านั้น ขวดเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มแต่ราคาก็นับว่าแพงสำหรับเด็กมัธยมที่ไม่มีรายได้เป็น ของตัวเอง อีกครีมที่นิยมใช้กันคือ สปริงซองที่มักจะแถมลิปมันทากันปากแตก แต่ถ้าใครทาไปโรงเรียนไม่พ้นต้องโดนเพื่อนล้อเลียนลบออกแทบไม่ทัน โดยเฉพาะเพื่อนผู้ชายด้วยกันเพราะมันลิปมันก็จริงแต่สีของมันก็แปร๊ดไม่ยอม น้อยหน้าเช่นกัน น้ำเดินกลับไปที่บ้านของตัวเอง สักพักก็เดินกลับมาพร้อมกับขวดครีมที่บอกกับสมุดหนังสือเรียน

"ทาให้หน่อยดิเมียจ๋า"

บอทออดอ้อน น้ำเองถลึงตาใส่ ถึงแม้แม่นิ่มจะนั่งเหลาตอกอยู่ที่บ้านของตนแต่ก็กลัวว่าจะมาเห็น

"ไม่เอา เดี๋ยวแม่นิ่มมาเห็น"

"ไม่เห็นเป็นไรเลย ทาหลังใครจะมีปัญญาทาเอง"

ยกเหตุผลมาอ้าง น้ำเองก็นิ่งคิดอยู่ จริงของบอท ทาหลังใครจะไปเอื้อมทาถึงอีกอย่างไม่ใช่ว่าไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้กัน ทำให้กันมาตั้งแต่เด็กแม่นิ่มเองคงไม่ว่าหรือสงสัย

"นอนลงดิ ข้างหน้าทาเองนะ"

"คร้าบ"

เทเนื้อครีมลงบนอุ้งมือลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของเพื่อนรักแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าแผ่นหลังนั้นจะบอบช้ำเสียหาย สัมผัสที่อ่อนละมุนทำให้คนนอนคว่ำอยู่แกล้งครางออกมา

"ทาเองเลยบอท"

"อ้าวเมียจ๋า ก็ผัวเสียวนี่คร้าบ"

"อย่ามาพูดดี เอาไปทาเอง"

น้ำยื่นขวดครีมให้บอทแล้วหันหลังหน้างออยู่

"โอ๋ๆ เมียงอนเหรอคร้าบ ถ้างอนคืนนี้ผวัทำโทษน้า"

"บ้าเหรอบอท กล้าทำเหรอ ทำดิจะร้องดังๆให้แม่นิ่มตื่นมาดูเลย"

ท้าทายออกไปทั้งที่ใจมันแอบดีใจ พักหลังมาไม่แสบร้อนเหมือนตอนแรกแล้ว ทำรักกันบ่อยแทบจะทุกวัน ยิ่งทำยิ่งรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นขึ้น

"เรามีวิธี"

"ทำไง"

"ไม่บอก รอดูคืนนี้ดิน้ำจ๋า"

ยียวนกวนใจได้ทุกวัน แต่สิ่งนี้เองที่ทำให้น้ำเปลี่ยนความรู้สึกจากเพื่อนสนิทมาเป็นความรักที่ ผุดขึ้นกลางใจตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันสังเกต พอรู้สึกตัวก็รักเข้าไปเต็มใจแล้ว อันความรู้สึกของคนเรามันค่อยๆแทรกซึมเข้าสู่ใจวันละน้อย ตอนนั้นบอกกับตัวเองว่าไม่ใช่ มันแค่รู้สึกแปลกๆไป แต่ตอนนีั้มันเป็นอื่นไปไม่ได้แล้วนอกจากรัก

เสียงลมพัดในตอนค่ำดังอื้ออึง ยิ่งดึกลมยิ่งแรงเสียงลมกระแทกฝาบ้านยิ่งดังหวีดหวิว ถ้าบ้านไหนมีฝาบ้านทำด้วยไม้ไผ่สานขัดแตะกันบ้านนั้นจะทนหนาวเป็นพิเศษ ถ้ายิ่งเป็นคนนอนยากแล้วหน้าหนาวนับว่าทรมานที่สุดเพราะเสียงลมตีฝาบ้านดัง อยู่ตลอดเวลาทำให้รบกวนการนอน แต่บางบ้านที่มีคนแก่ก็จะลงมาสร้างเพิงไว้ตรงลานบ้าน หาฟืนมาสุมไฟแล้วนั่งล้อมวงกันผิงไฟ เอาข้าวเหนียวมาจี่กินเล่นเพลิดเพลินกันไปอีกแบบ

"หนาวว่ะน้ำคืนนี้ทำไมมันหนาวจังวะ"

บอทครางขึ้นทั้งที่เพิ่งจะเริ่มเข้านอนกันหลังจากพยายามดูหนังเตรียมสอบเสร็จ

"ให้น้ำไปเอาผ้าห่มที่บ้านมาอีกไหมล่ะ จะได้อุ่นๆ"

"อืม ก็ดี นอนแบบนี้นอนไม่หลับแน่ๆ"

"พาน้ำลงไปหน่อยดิ จะได้ช่วยกันหอบมา"

ยอมลุกขึ้นจากผ้าห่มขี้งา เวลานอนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเยอะชิ้นอะไรมากนักมีเพียงกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด แขนยาว น้ำเดินนำหน้าตัวสั่นลงจากเรือน บอทเองก็กอดอกตัวเองเดินปากสั่นรีบวิ่งข้ามรั้วไปยังบ้านของน้ำ พอน้ำขึ้นไปเอาผ้าห่มลงมาก็พากันหอบกลับกันคนละด้าน ผ้าห่มของน้ำเป็นผ้าฝ้ายเย็บอย่างดีข้างในยัดสำลีทำให้หนาหนักกว่าผ้าห่มขี้ งาของบอทต้องออกแรงหอบกันสองคนเพราะถ้าน้ำหอบมาคนเดียวคงมีหวังเหงื่อท่วม กายก่อน ตอนซักก็ต้องใช้วิธีเหยียบเอาเพราะเวลาโดนน้ำยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

"อุ่นแน่ๆ"

บอทร้องขึ้นเดินนำหน้าขึ้นเรือนไป แม่นิ่มหลับไปแล้ว พอกลับถึงที่นอนก็ห่มผ้าห่มขี้งาก่อนชั้นแรกทับด้วยผ้าห่มของน้ำ

"โห อุ่นดีจังไม่หนาวแล้ว"

"ไม่หนาวก็อย่าเบียดดิบอท"

น้ำพูดออกไปอย่างนั้นเองเพราะรอจังหวะให้บอทสวมกอดอยู่ทุกเวลา

"ไม่ได้หรอกนะเมียจ๋า ผัวบอกแล้วนี่ว่าคืนนี้จะทำอีก"

"บ้าเหรอ จะทำยังไงหนาวจะตาย"

"เอาน่ามีวิธีก็แล้วกัน เราได้น้ำมันมะกอกมา อิอิ ลองดูไหม"

"เอ้ย ไม่เอาลองมั่วซั่ว"

"อ้าว หรือจะให้แหย่แบบไม่มีอะไรหล่อลื่นหรือจ๊ะเมียจ๋า"

"ไม่เอา เอาซิตร้าดีกว่า"

บอทหัวเราะออกมาในลำคอ น้ำเองก็อายแต่ด้วยเงาของราตรีมันซ่อนสีหน้าเอาไว้จึงดูไม่ออกมาก น้ำนอนหันหลังให้เล่นตัวอยู่แต่บอทสวมกอดเข้าด้านหลังล้วงมือเข้าไปในเสื้อ ลูบไล้ร่างของน้ำอย่างแผ่วเบา สะโพกก็ดันเบียดเข้าหาบั้นท้ายของน้ำ ปากซุกลงตรงคอตวัดลิ้นลามเลียไปทั่วโหนกคอ กกหู น้ำเองเม้มริมฝีปากเอาไว้ไม่ให้เสียงมันเล็ดลอดออกมา มือของบอทยังทำงานอยู่ไม่ยอมนิ่งล้วงเข้าไปในกางเกงคลึงท่อนเนื้อนั้นให้ ตื่นตัว น้ำเองก็เอี้ยวคอกลับมาประกบปากเข้าหาบอท เสียงหายใจเริ่มหนักหน่วงลมที่ปล่อยออกมาจากปอดมันร้อนเหมือนลีลารักในตอน นี้ บอทเองหยิบขวดโลชั่นเลลงบนมือทาไปที่ช่องด้านหลังของน้ำ ดันหน้าขาเข้าหาบั้นท้าย น้ำเองก็ยกขาข้างหนึ่งขึ้นอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

"อือ"

ร้องไม่ออกเพราะเอาหน้าซุกกับหมอนไว้ บอทเองดันแก่นกายเข้าไปมิดด้ามแล้ว จากที่หนาวเย็นกลับเป็นร้อนแรง เหงื่อกาฬผุดขึ้นกลางคืนหนาวใต้ผ้าห่มอุ่น

"เรารักน้ำนะ"

เสียงกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหู จังหวะบดบี้ที่หนักหน่วงแน่นอัดเข้าไปในร่าง ไม่เจ็บแต่หวามอย่างประหลาด น้ำเองก็เป็นสุข ทั้งทางกายและทางใจ ได้ยินคำบอกรักผ่านโสตประสาทมาแผ่ซ่านเข้าถึงหัวใจมันชื่นฉ่ำ ต่อให้หนาวเหน็บสักเพียงใด ก็จะยอมอดทนเพื่อให้ได้มาซึ่งรักนี้ ตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าบอทเองก็รู้สึกไปในทางเดียวกัน นั่นมันยิ่งทำให้หัวใจของน้ำพองโตคับอกมากขึ้นกว่าเดิม

วิสัชนา อันแก้วนั้นแม้ให้แช่น้ำไว้สักสิบปี ตากลมไว้อีกร้อยปี แก้วนั้นก็ไม่มีวันเป็นสนิมได้หรอกนา


เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 07-10-2010 15:22:55
แล้วความสุขมันจะผ่านไปไวเหมือนลมตดมั้ย?
 :laugh:
แซวคุณอิ๊กเล่นอ่ะ

แค่รู้สึกว่าช่วงเวลาความสุขของน้ำมันคงสั้น

แต่เรื่องบรรยากาศบ้านนา คุณอิ๊กบรรยายดีเยี่ยมนะ
นึกภาพตามแล้วเรายังอยากไปซึมซับบรรยากาศแบบนั้นบ้างซักครั้งจัง
แต่ที่ไม่ได้พูดถึงเพราะ จิตใจมันจดจ่อว่า .. มันจะดราม่า เมื่อไหร่?  มากกว่าน่ะ
 :m18:
 

คุณอิ๊ก พักผ่อนเยอะๆนะคะ พักผ่อนให้ได้มากที่สุดเท่าที่คุณอิ๊กจะทำได้
สมองจะได้โล่ง อารมณ์ก็จะดีไง

นอนน้อยแล้วหงุดหงิดง่ายรู้ซึ้งเลยล่ะว่ามันเป็นไง
เหวี่ยงได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจอย่าได้แคร์สื่อใด..
ไม่รู้คุณอิ๊กเป็นเหมือนเราหรือเปล่านะ? แต่คาดว่าคงใกล้เคียงกัน..

 :กอด1: ให้กำลังใจ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 07-10-2010 15:24:55
ใกล้จะทุบบ่อน้ำตาแฟนคลับรึยังครับ eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 07-10-2010 15:28:56
จิ้มๆๆๆๆๆ  หว๊านหวาน  อย่าลืมน่ะพี่อิ๊กกี้จะดราม่ากรุณาบอกด้วย  55
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 07-10-2010 15:35:26
ขอเสพความหวาน ๆ มันส์ ๆ ฮา ๆ ก่อน มาม่ายังไม่อยากกิน 555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-10-2010 16:01:45
สมัยนั้นครีมยี่ห้อนี้มีเพียงสีเหลืองเท่า นั้น ขวดเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มแต่ราคาก็นับว่าแพงสำหรับเด็กมัธยมที่ไม่มีรายได้เป็น ของตัวเอง อีกครีมที่นิยมใช้กันคือ สปริงซองที่มักจะแถมลิปมันทากันปากแตก แต่ถ้าใครทาไปโรงเรียนไม่พ้นต้องโดนเพื่อนล้อเลียนลบออกแทบไม่ทัน โดยเฉพาะเพื่อนผู้ชายด้วยกันเพราะมันลิปมันก็จริงแต่สีของมันก็แปร๊ดไม่ยอม น้อยหน้าเช่นกัน

 :laugh: กรี๊ดดดดดดดดดด เค้าทันเด้ เช็คอายุปะเนี่ย งานนี้
รอบนี้แหย่ใช้น้ำมันมะกอก หรือสปริงซองล่ะ  :-[
แต่ไม่เอามาม่านะ  :serius2: ถ้าจะมาม่าได้โปรดแจ้งล่วงหน้าวักสามวัน แล้วจะส่งใบลาไว้  :jul3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 07-10-2010 16:10:13
ไม่อยากจะนึกถึงตอนที่น้ำเสียใจเลยอ่า

บอทคงไม่ทำให้น้ำเสียใจหรอกนะ แล้วที่บ้านอีกถ้ารู้จะเป็นไงน๊อ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 07-10-2010 16:43:36
คุณอิ๊กคะ โปรดเห็นใจแฟนๆนะคะ ทุกคนล้วนแต่ไม่อยากกินมาม่าค่ะ
หูย อ่านตอนนี้แล้วนึกภาพ สมัยก่อนไปเอา "ปลาข่อน" แบบนี้แหละสนุกมากเลย
เอ่อ คุณอิ๊กเผลอไปมั้ง คำว่าวิทยาทาน "ทาน" ป็น ท.ทหารค่ะ ไม่ใช่ ธ.ธง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 07-10-2010 16:56:56
บรรยายท้องทุ่งนาออกมาสวบมากนะครับพี่อิ๊ก
ชาวบ้านแถบนั้นคงจะอยู่กันแบบมีความสุข
เด็กๆคงมีความสุขที่ไม่ต้องเรียนพิเศษ  ห้าห้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 07-10-2010 17:04:52
 :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 07-10-2010 17:30:59
มันจะหวายซึ้ง กินใจไปถึงไหนหละนิ

พอหวานก็หวานซะ ........แต่พอขมขื่น ขึ้นมา น้ำตาคงตกใน แน่ๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: Natavishi ที่ 07-10-2010 17:45:49
นิยาย รัก บ้าน ๆๆ  น่ารักดี น่ะ   อ่านแล้ว  คิด ถึง อดีต จัง  (หรือว่า กู แก ว่ะ )
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 07-10-2010 18:05:46
บอทนี่นะ หื่นใช่ย่อย~
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 07-10-2010 18:13:59
ซิตร้ารุ่นนั้น เกิดไม่ทันอ่ะคุณอิ๊ก  :m20: :m20:

ช่วงนี้คุณอิ๊กกักตุนน้ำตาล  o18
อีกไม่นาน คาดว่าคงเปลี่ยนมากักตุนมาม่าแทน  :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: som~ ที่ 07-10-2010 19:01:03
 :เฮ้อ:  :เฮ้อ:    มันหวานกันจริงๆ    ไม่อยากนึกถึงตอนมาม่าเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 07-10-2010 19:05:09
เดี๋ยวนี้คุณอิ๊กกี้เปลี่ยนเวลามาลงจากช่วงค่ำๆ มาเป็นช่วงบ่ายๆ แทนแล้วหรอคะเนี่ย

แอบเห็นคุณอิ๊กกี้ปูทางให้ตัวละคร "โกอินเตอร์" ด้วย  o18 ร้ายกาจจริงๆ

ช่วงนี้ทั้งหวาน ทั้ง NC ถี่ดีนะคะเนี่ย แฟนๆ ชอบ  :impress2:


"ไม่เอา เอาซิตร้าดีกว่า"

สงสัยน้ำคงอยากให้สีผิวบริเวณนั้นของตัวเองและของบอทเป็นสีขาวอมชมพูแน่ๆ เลย  :laugh:

รอตอนต่อไปนะคะ คุณอิ๊กกี้  :กอด1:


**************************


ถึงเพลายามเย็นๆ น้ำไสในห้วยเล่น

ตรงนี้หมายถึง เมื่อถึงเวลาเย็นน้ำในห้วยใส น่าลงไปเล่นรึเปล่าคะ ถ้าใช่ น้ำใส ต้องใช้ ใ นะคะ

เหมันต์ฤดู คำนี้แปลว่าฤดูหนาวใช่ไหมคะ ซึ่งคำว่าเหมันต์ และ ฤดู ทั้งสองคำนี้เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต การนำคำจากภาษาบาลีหรือสันสกฤตตั้งแต่สองคำขึ้นไปมารวมกันเรียกว่าคำสมาส ดังนั้นพอมาสมาสกันไม่ต้องใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตระหว่างคำนะคะ เขียนว่า เหมันตฤดู ไปเลย ทำนองเดียวกับการเขียนชื่อปริญญาน่ะค่ะ เช่น วิทยาศาสตรบัณฑิต วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต หรือการเขียนชื่อ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในอดีตที่ไม่มีการใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตก็เพราะเหตุนี้ค่ะ  

ผูกพันธ์ คำนี้ไม่ต้องมี ธ์ นะคะ ผูกพัน เฉยๆ คือทั้งผูกและพันคนสองคนเอาไว้ด้วยกันน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 07-10-2010 19:15:19
ขอบคุณครับกับบทบรรยายอันสวยงาม เห็นภาพตามไปด้วยเลยครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: gtm ที่ 07-10-2010 19:31:11
ขีดเส้นใต้ว่า หวานมากอะ ณ จุดณี้

ถ้าจะดราม่าเอาแบบครอบครัวรู้แล้วกีดกัน ยังดีกว่าดราม่าเพราะมือที่3

แบบภูมินะ ที่มีอีพีท มาคอยรังควาน ไอนั้นรับไม่ได้นะ555+

ปล.มีสั่งคนแต่งอีก อิอิ เอาตามนี้นะคุณอิ๊กดราม่าพองาม

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2010 19:47:07
เลิศค่ะนิยายเรื่องนี้
เเต่อ่านเเล้วกลัวค่ะ กินมาม่ามาหลายซองเเล้ว
ขอเป็นวั้นเส้นกุ๊งกิ๊งละกานค่ะ

อิอิ ขอบคุณค่ะ เยี่ยมเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 07-10-2010 20:07:03
ความสุขมักผ่านไปรวดเร็ว ได้แต่หวังว่ารักนี้จะยั่งยืนไปตลอดกาล :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: Milk ที่ 07-10-2010 20:41:03
โลชั่นสปริงซอง อยากบอกตอนเด็กๆทาบ่อย

บรรยายซะเห็นภาพบรรยากาศบ้านนา

 :laugh:มีแต่คนกลัวได้กินมาม่า

และเราก็กลัวกลัวเหมือนกัน 5555555555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 07-10-2010 20:48:22
น่าอิจฉาคนที่เติบโตมากับธรรมชาติ....ถึงจะเหนื่อยยากแต่ก็ยังคงมีความสุขเสมอ...
ตอนนี้...อ่านแล้วมีความสุขจังเลย.....ท้องทุ่งก็สวย...ความรักก็หวานนนน...
แล้ว...ความรักระหว่างเพื่อน....น้ำกับเล็กก็สวยงามและจริงใจ...
เพื่อนแท้....จะอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจให้กันตลอดไป.....
น้ำกับบอท....หวานกันเยอะ ๆ น้า....คนอ่านมีความสุขไปด้วยจริง ๆ.. :-[

 :pig4: น้อง eiky  อย่าหงุดหงิดบ่อยน้า...เดี๋ยวแก่เร็ว..... :L1:
อ้อ....พักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะจ๊ะ...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 07-10-2010 21:55:14
+1 เป็นกำลังใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 07-10-2010 22:02:16
ชอบเวลา eiky บรรยายธรรมชาติบ้านนาจัง..
คิดถึงสมัยเด็กเลย อากาศเย็น สดชื่นๆ ตอนเช้าในหน้าหนาว...คิดถึงเวลานั้นจัง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 07-10-2010 22:59:19
คิดถึงจังเลย รักแบบเด็กๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 07-10-2010 23:36:53
อย่าให้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยย เฮ้ออ
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 08-10-2010 02:54:01
อ่านแล้วนึกถึงสมัยเด็กๆเชียวหละ หน้าหนาวก้หนาวมากกไอ้ลิปสปริงซองฝาลายส้มดำแท่งเขียวๆ ทาแล้วแดงได้จัยแดงได้ทั้งวัน 55555555555

อ่านแล้วมีความสุขนึกถึงบรรยากาศท้องทุ่งบ้านนาแถวสุพันบ้านเกิดเลย แต่เดี๋ยวนี้ก้หาใช้จะเป็นแบบแต่ก่อน แต่ก็ยังพอมีบรรยากาศประมาณนี้หลงเหลืออยู่บ้าน




แต่ก็นะ กลัวมาม่า  มันกำลังจะมาแล้วชิม........................................
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 08-10-2010 03:43:55
ซิตร้ากะสปริงซองแถมลิปมัน เค้าก็ทันนะฮ่าๆๆๆ คิดถึงอดูด เอ้ยยย อดีต :laugh:
คิดถึงบ้านเลย บ้านอยู่แค่อยุธยาแท้ๆแต่ไม่ค่อยได้กลับ :เฮ้อ:

ไม่อยากกินมาม่าอ่ะคุณอิ๊ก  :z3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 08-10-2010 16:08:12
เคยใช้แต่อันนี้ ชอบ หอมมาก ย่าก็ใช้ เลยชอบไปนอนกอดย่า อิอิ

(http://www.ruamchaiproducts.co.th/wp-content/uploads/2008/08/springsong-powder.jpg)

บอทน่ารักดีอ่ะ จริงใจและตรงดี ไม่ปิดบังตัวเอง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๗ (ตุลาคม ๗, ๒๕๕๓) หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 08-10-2010 16:11:50
บทที่ ๘


ปุจฉา ทราบไหมว่าหัวใจของคนเราเต้นกี่ครั้งต่อนาที

แม่นิ่มกับแม่บุญช่วยกำลังง่วนอยู่กับการทำข้าวเม่าอยู่ลานหน้าบ้านของ น้ำ แม่นิ่มเป็นคนคัดรวงข้าวที่จะเอามาทำเห็นบอกว่าข้าวต้องไม่สุกเหลืองเกินไป หรืออ่อนยังเป็นน้ำนมข้าวอยู่ เพราะถ้าข้าวสุกเกินไปข้าวเม่าจะแข็งกินไม่อร่อย แต่ถ้าข้าวอ่อนเป็นน้ำนมเวลาตำเอาเปลือกข้าวออกข้าวก็จะเป็นเม็ดไม่สวยเวลา ตำจะเละจับกันเป็นก้อนหรือที่เรียกว่าขี้หนู พอคัดเสร็จก็เอารวงข้าวมาวางเรียงรายไว้ในกระด้งเหยียบยีเอาเมล็ดข้าวออก จากรวง การทำข้าวเม่าต้องตำเอาด้วยครงไม้ขนาดใหญ่ คนในพื้นที่เรียกว่าครกมอง ทำมาจากท่อนไม้ขนาดใหญ่คว้านตรงกลางให้เป็นแอ่งไม่ตื้นหรือลึกจนเกินไป สมัยก่อนที่ยังไม่มีโรงสีแม่บุญช่วยบอกว่าก็จะพากันมาตำข้าวทุกเย็นที่ลาน บ้าน ตำแต่พอกินในวันถัดไปหนุ่มสาวก็อาศัยเกี้ยวพาราสีกันในช่วงนี้ เหนือครกมองมีคานไม้เตี้ยเพื่อที่จะทำกระเดื่องเป็นสากเอาไว้เหยียบตรงปลาย ของไม้เวลาตำข้าว แต่คราวนี้แม่บุญช่วยไมได้เหยียบกระเดื่องเพราะบอกว่าข้าวเม่าจะเละไป จึงเอาสากไม้ขนาดใหญ่ขนาดจับได้สองมือมาตำเอา และคนที่ตำคือน้ำกับบอทนั่นเอง พอตำจนได้ที่ก็จะเอามาใส่กระด้งฝัดเอาเปลือกข้าวออกจากเมล็ด พอลงมือตำกลิ่นหอมของข้าวก็ลอยขึ้นปะทะจมูก เมล็ดข้าวอ่อนสีเขียวแลดูน่าทาน

"อย่าตำแรงมากสิน้ำเดี๋ยวมันเละ"

แม่บุญช่วยร้องมาบอกเพราะยิ่งตำเหมือนจะยิ่งสะใจอยู่ในที พอได้ข้าวเม่าตามจำนวนที่ต้องการแม่นิ่มก็เอามะพร้าวกึ่งอ่อนกึ่งแกที่ไปขอ มาจากวัดมาผ่า ขูดเอาเนื้อมะพร้าวมาโรยแบ่งเก็บไว้ไปวัดในวันพรุ่งนี้ด้วย

"อร่อยดีนะน้ำ"

บอทบอกแล้วเคี้ยวข้าวเม่าอยู่หมุบหมับ

"บอทพาน้ำไปเอาย่านางมาให้ป้าหน่อยสิ พ่อถาเขาได้หน่อไม้ไผ่ตงมาจะเอามาแกงให้กินกัน"

แม่บุญช่วยร้องบอก บอทเองขานรับแล้วหันไปพยักหน้าให้น้ำ

"ไปเอาที่ไหนล่ะแม่ค่ำแล้วนะ"

น้ำพยักหน้าตอบรับกับบอทแต่ก็ยังหันไปถามแม่บุญช่วยอยู่ดี

"ไปดูหัวนายายสาสิน้ำ เอาหม้อแบตไปด้วย เออ แวะสวนเก็บน้ำเต้ามาด้วยนะ"

แม่บุญช่วยสั่งเสร็จสรรพแล้วหันไปคุยกับแม่นิ่มต่อ น้ำทำหน้าซีดเหมือนตกใจแต่ก็แอบดีใจที่จะได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนรักสุดหัวใจ กันสองต่อสอง

"หนาวจะตาย มืดแล้วด้วย"

น้ำบ่นออกมา บอทกลับหัวเราะร่าถูกใจ

"บ่นอะไรคร้าบคุณน้ำ ยังไม่มืดหรอกน่า กลัวก็บอกมาเถอะน่า"

"บ้าใครกลัว แค่ไม่อยากไปหัวนายายสาแค่นั้นเอง"

"ฮ่าๆๆ ไหนบอกไม่กลัว เอาน่า เรามาด้วยจะกลัวอะไร"

บอทปลอบใจแล้วออกแรงถีบจักรยานให้เร็วกว่าเดิม ถนนหนทางในหน้าหนาวเวลาแค่ไม่ถึงหกโมงเย็นก็ดูเหมือนจะร้างจากการสัญจรของ ผู้คนแล้ว ลมหนาวพัดตีเกลียวฝุ่นตลบอบอวลขึ้นทั้งหน้าและหลัง อากาศก็หนาวเย็นแม้จะใส่เสื้อกันหนาวมาทั้งสองคน กระนั้นน้ำก็ยังไม่วายเบียดกายเข้าหาคนปั่นจักรยานจนตัวติดกัน

"กลัวเหรอน้ำ"

บอทถามออกมา ไม่ได้เอี้ยวหน้ามามองเหมือนเดิม เพราะเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น น้ำไม่ได้ตอบคำถามเพราะร่มไม้ครึ้มดำทะมึนเบื้องหน้าที่ทำให้เด็กทั้งสองคน หวาดกลัว ต้นตะแบกต้นใหญ่ที่ยืนต้นตระหง่านอยู่ริมทางไม่ไกลนี้ขึ้นชื่อลือชากันว่าผี ดุ ทั้งที่ไม่เคยเห็น แต่เสียงเล่าลือก็หนาหู ลือจนกลัวตามๆกันไป ถ้าหากใครคนหนึ่งเจอมากับตัวแล้วไปบอกต่อ เรื่องราวมันแพร่กระจายข้ามหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้สื่อชนิด อื่น มีเรื่องเล่าว่ามีหนุ่มคนหนึ่งปั่นจักรยานไปจีบสาวที่หมู่บ้านข้างๆ ขาไปไม่มีอะไรแต่ขากลับพอปั่นมาถึงใต้ร่มตะแบกรู้สึกหนักเหมือนมีคนมาดึง ท้ายรถจักรยานเอาไว้ หันไปมองก็ไม่มีอะไรแต่พอออกแรงถีบจัรยานไปอีกก็ยังหนัก คราวนี้ได้ยินเป็นเสียงเหมือนคนเอากิ่งไม้มาผูกไว้กับท้ายรถจักรยานลากพื้น อยู่ดังแกรกๆ ชายหนุ่มเริ่มรู้ตัวว่าตนเองได้เจอดีเข้าแล้วไม่กล้าหันไปมอง ได้แต่เหลือบตาไปมองที่ข้างๆรถ ใจหล่นหายไปหมดเรี่ยวแรง เพราะสิ่งที่เขาได้ยินลากดินลูกรังบนถนนมามันคือเส้นผมของหญิงสาวที่ยาวดกดำ แผ่กระจายเต็มพื้นถนน นั่นคือเรื่องเล่าขาน สำหรับชายคนนั้นเห็นเรื่องเล่ายังเล่าต่อไปอีกว่าเขาได้ไปบวชในวัดป่า เพราะพอตื่นขึ้นมาผมได้ละทิ้งศีรษะเขาหมดหัวเลย บวชโดยไม่ต้องปลงผมนั่นเอง

"เวลาไม่พบเจอ จะเพ้อไม่สดใส ยังไงก็ต้องไปให้เห็นหน้าบ้านเธอ เธอเองจะคิดมีใจตรงกันหรือเปล่า อย่าให้เป็นเราที่คิดไปเองฝ่ายเดียว"

อยู่ดีๆบอทก็แหกปากร้องเพลงออกมา น้ำสะดุ้งในตอนแรก แต่ก็ทำตามโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่คุยกันแต่ช่วยกันแหกปากร้องเพลงออกมาเสียงดังแข่งกับเสียงลมที่ตียอด ตะแบกอื้ออึงอยู่ เงาของต้นตะแบกในเวลาค่ำคืนมันดำมืดน่ากลัว ไม่น่าจะแปลกใจที่ใครๆต่างก็ไม่กล้าผ่านต้นไม้ต้นนี้ในยามวิกาล เพราะแม้ตอนกลางวันเวลาผ่านมาด้วยใบที่หนาใหญ่ไม่มีแสงแดดลอดผ่านใบมันลงมา ได้เลย อีกทั้งตรงโคนของต้นตะแบกจะมีรอยเจาะรูตรงกลางเผาเอายางของมันไปทำเป็นขี้ ไต้เพื่อจุดไฟ รอยไหม้ดำเก่าน่ากลัวอยู่กลางลำต้นรอยดำนั้นยิ่งเพิ่มความน่าสะพรึงกลัวให้ กับต้นตะแบกในตำนานอีกเป็นเท่าตัว

"โว้ย หนาวโว้ย"

บอทแหกปากร้องออกมา

"เออ หนาวโว้ย"

น้ำเองก็เอาบ้างมือกอดเอวบอทแน่นจากปกติเวลาซ้อนท้ายจักรยานจะมองไปตาม ข้างทางดูอะไรเพลิดเพลินตา แต่ตอนนี้จ้องมองแผ่นหลังของเพื่อนรักตาไม่ยอมวอกแวกไปไหน ส่วนบอทเองก็เร่งฝีเท้าอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อยจากที่หนาวๆอยู่กลับเป็นร้อน ขึ้นมา เหงื่อเริ่มซึมออกตามดวงหน้าทั้งที่อากาศรอบกายหนาวเหน็บ

"ห่าเอ้ย เหนื่อยแทบตาย"

บอทบ่นออกมาพอไปถึงหัวนายายสา หอบแฮ่กๆ น้ำเองก็เดินมาจับมือเอาไว้

"กลัวเหรอน้ำ ฮ่าๆๆ หน้าซีดเชียว"

"แหมบอทเองก็เถอะ รีบไปเอาดีกว่าจะได้รีบกลับ"

น้ำเร่งทันทีเพราะยังกลัวอยู่ บอทเอาไฟส่องหาเถาย่านางพอเห็นก็รีบดึงเอาได้พอสมควรก็เดินต่อไปยังสวนของ น้ำที่อยู่ไม่ไกลจากหัวนายายสาเพื่อเอาลูกน้ำเต้าอ่อน ขากลับก็ทำเหมือนเดิมคือแหกปากร้องเพลงเสียงดัง ไม่รู้ว่าเสียงที่เปล่งออกมามันช่วยอะไรได้บ้าง แต่รู้ว่ามันทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว เวลาไปไหนมาไหนที่เปลี่ยวๆมักจะใช้วิธีนี้ ได้ผลนะแม้ใจจะยังกลัวอยู่แต่ก็ยังรู้สึกอุ่นใจกว่าเดินดุ่มๆไม่สีเสียงอัน ใด พอปั่นจักรยานจะผ่านใต้ร่มตะแบก

"แคว่ก ตุ๊บ"

"เชี่ย เฮ้ย"

ยังไปไม่ทันพ้นเงาของต้นตะแบกเสียงเหมือนกิ่งไม้ขนาดใหญ่หล่นลงจากปลาย ของต้นตะแบกกระแทกพื้นเสียงดัง แต่ไม่มีแม้เงาของกิ่งไม้นั้นบนถนน  หัวใจของเด็กทั้งสองกระเจิดกระเจิงไป จักรยานเสียหลักเพราะเกร็งตัวแต่ไม่ถึงกับล้ม ทั้งน้ำและบอทสบถออกมาเสียงดัง รู้สึกว่าทุกรูขุมขนในร่างกายมันชี้ชันขึ้นพร้อมกัน

"เฮ้ย จะเอายังไงวะ กูไม่กลัวมึงหรอก ผีก็อยู่ส่วนผี อย่ามายุ่งกับคน"

บอทแหกปากออกมาเสียงดังหน้าตาตื่นขนตามตัวชี้ชันจนรู้สึกเจ็บ

"กูมีไม้นะมึง เข้ามาเลยกูจะฟาดให้หัวแตกเลย"

น้ำเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ในใจกลัวจนหัวใจบีบหดเล็กลงแต่ปากยังดีอยู่ ไม่มีแม้แต่เสียงลม มันเงียบอย่างประหลาด เงียบจนขนลุกไม่ยอมลง เสียงที่ว่ามันมาจากไหน หันไปมองมีเพียงความว่างเปล่า ลมก็นิ่งเหลือเกินทั้งที่ก่อนหน้านี้กระพือกัดเอาเป็นเอาตาย

"อยากได้บุญเดี๋ยวกูทำไปให้ แต่จะมาหลอกกันแบบนี้เดี๋ยวกูแช่งไม่ให้ไปเกิดเลยนี่"

ตะเบ็งเสียงออกไปคอขึ้นเอ็น น้ำสะกิดบอกบอทให้รีบกลับเพราะเห็นว่าท่าจะไม่ดีแล้ว พอกลับถึงบ้านก็เล่าให้แม่ทั้งสองฟัง

"มันเฮี้ยนจริงๆ รีบไปอาบน้ำลูก เดี๋ยวให้พ่อถาเอาพระมาให้ใส่นอน"

"นี่ขนาดไปกันสองคนนะมันยังไม่วาย อีปากแดงนี่มันชักจะขึ้นหน้าไปทุกวัน อย่าให้กูไปจัดการนะมึง"

แม่นิ่มพูดออกมาสายตาโกรธแค้นแทนเด็กสองคนที่ตัวสั่นนั่งอยู่ข้างๆกัน แม่นิ่มนั่นก็ขึ้นชื่อเรื่องใจนักเลงเพราะถ้าไม่อย่างนั้นคงเลี้ยงลูกชายให้ เติบใหญ่มาขนาดนี้ไม่ได้ แม่บุญช่วยเคยเล่าให้ฟังว่าเคยไปหาเห็ดกับแม่นิ่มสองคนที่หัวดง อยู่ๆก็มีลมพัดยอดไม้ เหมือนมีลิงค่างตัวใหญ่กระโดดจากยอดไม้ต้นนั้นไปต้นนี้ พอมองขึ้นไปก็ไม่มีอะไร แม่นิ่มร้องด่าเสียหาย ไม่พอยังคว้าเอากิ่งไม้ปาใส่อีก น่าขันที่เสียงนั้นเงียบลงแถมยังได้เห็ดกลับเต็มกระบุง

"น้ำ เราอาบด้วยนะ กลัว"

บอทเองพูดออกมาหน้าตาไม่ได้บอกเลยว่ากลัว แต้น้ำเองยังกลัวอยู่มากได้แต่พยักหน้า บอทนั้นเป็นคนดวงแข็งเพราะเกิดวันอังคาร เรื่องกลัวนั้นมีแต่ไม่มาก แต่น้ำเองเกิดวันศุกร์นับว่าขัวญอ่อนกว่าบอทมาก เรื่องกลัวมาก่อนบอทแต่ทำเป็นปากดีไม่ยอมรับง่ายๆ

"น่ากลัวว่ะน้ำเกิดมายังไม่เคยเจอผีหลอก ดีนะที่ไปกะน้ำ ไม่งั้นหัวโกร๋นแน่ๆ"

บอททำท่าสั่นส่ายหน้า น้ำเองก็คิดหวนไปถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เคยได้ยินแต่คนเล่าเรื่องผีแต่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอกับตัวเอง แม้จะไม่เห็นกันจะจะแต่ก็นับว่าสร้างความหวาดผวาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

"รีบอาบน้ำเถอะบอท เดี๋ยวไปเอาพระมาแขวนนอน"

"อืม"

"เอ๊ะ บอทจะมากอดทำไมล่ะรีบอาบสิ"

ปากเออออไปกับน้ำแต่ตัวเบียดเข้าหาแล้ว น้ำเองขืนตัวออกบอทไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

"ก็เรากลัวนี่น้ำ กอดให้หายกลัวหน่อยดิ"

"บ้าเหรอ ยิ่งหนาวๆอยู่รีบอาบสิจะได้ไปนอนกอดให้สมใจ"

"อิอิ งั้นคืนนี้ให้ผัวทำอีกน้า"

ทำเป็นเล่นไปเสียทุกเรื่อง น้ำได้แต่ค้อนวงใหญ่ไม่พูดอะไรออกมาอีก พออาบน้ำเสร็จก็มานั่งที่แคร่บ้านน้ำ พ่อถาวรก็เรียกให้ขึ้นไปบนบ้าน นั่งพับเพียบลงใต้หิ้งพระ เด็กทั้งสองก็ทำตาม พ่อถาวรหลับตาพนมมือสวดอะไรขมุบขมิบอยู่

"เอาไปคนละองค์ ไม่มีอะไรหรอกลูก มันคงรำคาญที่เราไปร้องเพลงเสียงดัง"

พ่อถาวรเองก็พูดติดตลกยื่นพระเครื่ององค์เล็กๆพร้อมสายห้อยให้เด็กทั้งสอง

"โหพ่อ ถ้าไม่ร้องเพลงมันยิ่งน่ากลัวดิ"

"คราวหลังน่ะ ถ้าเจอให้ท่องนะโม แผ่เมตตาให้เขา เขาก็จะไม่มาวุ่นวาย"

"โอย คิดไม่ทันหรอกพ่อถา เวลานั้นเยี่ยวไม่แตกก็บุญหัวแล้ว"

บอทพูดออกมาทำหน้าทะเล้นพ่อถาวรหัวเราะชอบใจ พอเสร็จก็พากันลงมากินข้าว แม่บุญช่วยแกงหน่อไม้ไผ่ตงใส่ลูกน้ำเต้าอ่อน กลิ่นย่านางหอมฉุยลอยมาเตะจมูก ส่วนแม่นิ่มก็เอาหมกปลาดุกมาเสริม อันหมกปลาดุกนานั้นกลิ่นหอมด้วยเครื่องเทศไม่มันเยิ้มเหมือนปลาดุกเลี้ยง วิธีทำก็จะเอาปลาดุกมาหั่นเป็นแว่นไม่บางมากหนามาก โขลกเครื่องแกงได้แก่หัวหอม กระเทียม ตะไคร้ใบมะกรูดพริกแห้งผิวมะกรูด ตำให้พอหยาบๆแล้วเอาไปคลุกรวมกันกับเนื้อปลาดุกปรุงรสแล้วห่อด้วยใบตองเอาไป นึ่งจนเนื้อปลายุ่ยไม่เหนียวก็เป็นอันใช้ได้

"บ๊ะ อีปากแดงนี่มันเอาใหญ่แล้วนะ ไปสองคนยังไม่วาย เดี๋ยวต้องให้หลวงพ่อไปจัดการหน่อยแล้ว"

พ่อถาวรเอ่ยขึ้นกลางวงข้าว หินเองก็เอาพระเครื่องมาแขวนคอเหมือนกัน เพราะรู้ว่าน้ำจะไม่มานอนที่บ้าน คืนนี้ต้องไปเบียดแม่บุญช่วยกับพ่อถาวรแน่

"เรื่องทางโลกนะพ่อ อย่าไปให้หลวงพ่อท่ามายุ่งเลย พรุ่งนี้จะใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้มันก็น่าจะพอ"

แม่บุญช่วยแย้ง

"ไม่ได้นะแม่บุญ หลวงพ่อไม่ไป ชั้นนี่ล่ะจะไปเอง คอยดูซิจะไปถลกผ้าถุงใส่มัน ทีนี้มันยังจะกล้าดีอีกไหมอีปากแดง"

"โหแม่ อย่าเลยไม่ใช่แต่อีปากแดงหรอกที่จะกลัว เจ้าที่เจ้าทางแถวนั้นคงหนีกันหมด"

บอทเอ่ยขึ้นคราวนี้เสียงหัวเราะดังครืนขึ้น พ่อถาวรเองหัวเราะชอบใจ ความสุขของชีวิตชนบทไม่ต้องวิเศษอะไรมากมาย ได้นั่งกินข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน อากาศหนาวก็โอบกอดซึ่งกันและกัน ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าอะไรมากมาย แค่หล่อเลี้ยงชีวิตให้มีความสุข เติมเต็มให้กันไปในทุกวันเท่านี้เองที่ชีวิตมนุษย์เราต้องการ บางบ้านใหญ่โตเพรียบพร้อมทุกสิ่ง แต่แค่เวลากินข้าวเย็นมีเพียงลูกนั่งกินกันตามลำพัง แต่กระนั้นเขาเองก็อาจจะเป็นสุขก็ได้เพราะมาตรฐานความสุขของคนเราไม่เหมือน กัน พอกินข้าวเสร็จพ่อถาวรก็ให้เด็กทั้งสามคนหาฟืนมาก่อที่ลานหน้าบ้าน หามแคร่ออกไปวางใกล้ๆ หินเองไปหอบผ้าห่มผืนเล็กลงมานั่งผิงไฟกันอยู่ อีตูบไอ้ด่างก็มานอนคลอเคลียอยู่ใกล้ๆไม่ยอมห่าง คุยกัน จี่ข้าวกินอย่างมีความสุขก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน

"กลัวอยู่เหรอน้ำ"

บอทกระซิบถามขึ้นกระชับอ้อมแขนกอดร่างของน้ำ

"อืม คิดอ่ะ"

"หันหน้ามาดิ"

น้ำหันหน้ามาตามคำของบอท พอหน้ามาประชิดกันบอทก็ยิ้มออกมา น้ำเองเอาหน้าซุกไปตรงบ่าของบอท

"ไม่ต้องกลัวนะน้ำ เราอยู่นี่น้ำไม่ต้องกลัว"

"อือ แล้วบอทไม่กลัวเหรอ"

"ฮื่อ ไม่กลัวหรอก รู้ไหมถ้าเราไปไหนกับน้ำเราไม่เคยกลัวอะไรเลย"

วาบหวามเข้าไปในใจ น้ำเม้มปากตื้นตันใจโอบร่างของบอทแน่นเช่นกัน หน้าอกชนหน้าอก ร่างสองร่างก่ายกอดกันใต้ผ้าห่มอุ่นสองผื้นทับซ้อนกัน ไออุ่นของร่างกายถ่ายเทความอุ่นจากทรวงอกให้กันและกัน สุขใจ อิ่มเอิบใจ

"คืนนี้เราทำอีกไหมน้ำ"

"ไม่เอาอ่ะ นอนกอดเฉยๆได้ไหม เอาทุกวันมันจะหลวมนะบอท"

"ฮ่าๆๆ กลัวด้วยเหรอ หลวมก็รักนะน้ำ"

"บ้า นอนๆ หมกหมุ่นนะบอท"

กระซิบคุยกันเสียงเบาเพราะกลัวว่าแม่นิ่มจะตื่น เสียงลมยังพัดอื้ออึงอยู่ ความหนาวเย็นแผ่เข้าปกคลุมทุกพื้นที่ เสียงหวีดหวิวที่ดังมาทุกขณะยิ่งทำให้ขวัญผวาไปได้ไม่น้อย เสียงกิ่งมะม่วงอกร่องข้างบ้านเสียดสีกับฝาบ้านเหมือนมีคนเอาเล็บมากรีด แม้จะมีพระที่ห้อยแขวนคออยู่แต่ก็ยังเบียดกายเข้าหา ใจหนึ่งกลัวอีกใจช่างอบอุ่นแสนสุข เสียงระบายลมหายใจของเพื่อนที่รักเริ่มที่จะสม่ำเสมอ ริมฝีปากที่จ่อติดกับหน้าผากก็ยังอยู่อย่างนั้น

"น้ำรักบอทนะ รักเหลือเกิน"

ครางออกมาแทบไม่ได้ยินเสียง ยื่นริมฝีปากออกไปจูบตรงหน้าอกของบอท หลับตาลงด้วยความสุขที่ฉาบเคลือบไปทั้งดวงใจ

พอไปโรงเรียนเพื่อนๆทั้งห้องก็พากันรุมเข้ามาถามใหญ่ ไม่รู้ว่ารู้เรื่องกันได้อย่างไร น้ำกับบอทก็เล่าอย่างที่เห็น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังหนาหูอยู่เป็นวัน แต่ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ได้กลัวแล้ว เวลาไปไหนมาไหนก็คอยติดสอยห้อยตามกันไปตลอดเวลา แทบจะไม่มีนาทีไหนที่จะแยกห่างกันเลย นอนก็นอนด้วยกัน เดินไปโรงเรียนด้วยกัน นั่งเรียนข้างกัน กินข้าวเที่ยงด้วยกัน ยกเว้นแต่เวลาที่บอทเล่นตะกร้อ น้ำจะแยกไปเล่นบาสหรือไม่ก็เปตองกับเล็กและเพื่อนๆอีกกลุ่ม เวลากลับบ้านก็เดินกลับด้วยกัน ทำงานบ้านช่วยกัน ไปนา ไปสวนด้วยกัน บางวันอาบน้ำด้วยกัน กิจวัตรมันเป็นอยู่อย่างนี้ ท่านเอยแล้วหัวใจใครมันจะหักห้ามไม่ให้รักไหว บอทเองก็รักน้ำสารภาพออกมาแล้ว น้ำเองก็รักบอทหมดใจพูดออกไปแล้ว วันข้างหน้าไม่มีใครมองเห็น เราดูไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ว่าวันนี้ตอนนี้รักคนตรงหน้านี้หมดใจ แล้วใยเราจะไปคิดพะวงกับวันที่เรามองยังไม่แจ้ง จงกอบเอาโกยเอาความสุขนี้สั่งสมไว้ในใจหล่อเลี้ยงให้มันชื่นบานให้ยาวนานที่ สุดเท่าที่เราจะทำได้ไม่ดีกว่าหรือ

พอข้าวออกรวงแล้วระยะเวลาไม่นานจากรวงข้าวสีเขียวกลับกลายเป็นสีเหลือง ทองทั่วทั้งท้องทุ่ง เวลาไปนาหาปลาในตอนเย็นแสงสุริยายามเย็นสาดแสงทองส้มฉายทาบท้องทุ่งงามจับ จิตร รวงข้าวสีทองที่พอต้องแสงส่องประกาบระยับเหมือนเป็นทุ่งแห่งทอง ทุ่งนาที่โปรยปรายไปด้วยทองคำนั่นแล ตอนนี้บอทจะเอาตาข่ายไปดักปลาในห้วย คนในพื้นที่เรียกตาข่ายดักปลานี้ว่า มอง ขึงกั้นทางไหลของน้ำเอาไว้จะไปดูตาข่ายก็ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนกับตอนเย็น เท่านั้น เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัว ชาวบ้านก็เตรียมตัวกันลงเกี่ยวข้าวกันทุกครัวเรือน บ้านไหนมีลูกชายก็จะเริ่มเหลาไม้ทำเป็นว่าว มีทั้งว่าวปักเป้า ว่าวจุฬา น้ำกับบอทเองไม่ได้สนใจทำแล้วเพราะหน้าที่การงานที่รัดตัว แต่หินเองอ้อนวอนให้พ่อถาวรทำให้จนได้ เพลากลางคืนเวลาว่าวจุฬาขึ้นอยู่เหนือท้องฟ้า ลมพัดเสียงดัง อื้ออืดๆอยู่ ดังไกลไปหลายกิโลเมตร อันเสียงของว่าวที่จะดังดีไม่ดีนี้ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้ทำว่าวด้วย พ่อถาวรเหลาไม้ไผ่อย่างดี เอากระกาษถุงใส่ปูนซีเมนต์มาทำเป็นตัวว่าวเพราะทนลมกว่ากระดาษปกติ เอาครั่งมาลนไฟโอบไว้ที่ใบลานเล็กๆหรือแผ่นของไม้ที่เหลาอย่างบางที่สุดเพื่อ ทำให้เกิดเสียงอยู่ตรงกลางลำของว่าว เสียงว่าวของหินเองดังไม่น้อยหน้าใคร

"จะลงเกี่ยวข้าวแล้ว ขี้เกียจเนอะน้ำ"

บอทบ่นขึ้นมาหลังจากขึ้นจากน้ำกู้มองดักปลา

"ก็บอทนาเยอะนี่ ดีเสียอีกเวลาขายข้าวจะได้มีเงินเยอะๆ"

"ก็จริงอยู่หรอก แต่ตอนทำนี่ทำไมมันขี้เกียจจังวะ"

"ก็คิดถึงตอนขายข้าวดิ จะได้ไม่ขี้เกียจ"

"ฮ่าๆ ให้คิดถึงเงินว่างั้น"

"หรือไม่จริงล่ะ มันต้องมีแรงจูงใจดิ"

"ไม่หรอกน้ำ เงินไม่สำคัญหรอก แต่แรงจูงใจของเราก็เราจะได้นอนนาด้วยกันไง แรงจูงใจของเราคือน้ำ เราจะได้นอนกอดน้ำไม่ต้องกลัวแม่ระแวงไง"

หัวใจละลายสั่นไหวไปใบหน้าระบายสีแดงระเรื่อขึ้นมา ไม่มีวันไหนที่หัวใจจะเต้นเป็นปกติ ยิ่งรักยิ่งใกล้หัวใจยิ่งอ่อนระทวย ไม่รู้ว่าคำที่เอ่ยมันเป็นเพียงลมปากหรืออย่างไร แต่หัวใจดวงนี้มันอ่อนยอมให้หมดแล้ว สำหรับบอทเองคิดอย่างนั้นจริงๆ เขาเองก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน เกิดมามีน้ำอยู่เคียงข้างกายตลอดเวลาจนถึงเดี๋ยวนี้ จะให้ปันใจไปรักใครอื่นคงไม่มี ไม่เคยแล

สำหรับฤดูเก็บเกี่ยวนั้นตอนเกี่ยวข้าวไม่จำเป็นต้องไปนอนนา นอนนาในความหมายของบอทคือช่วงที่เก็บเกี่ยวเสร็จจะมีการตากข้าวให้แห้งก่อน แล้วเอาไปรวมกันที่ลานเพื่อทำการตีข้าวเอาแต่เมล็ด สำหรับนาของบอทเนื่องจากมีถึงสามนาจึงใช้เวลาในการเก็บเกี่ยวค่อนข้าง นานกว่าครอบครัวอื่น อีกทั้งหัวเรือใหญ่ไม่มี อาศัยแต่แรงของแม่นิ่มคนเดียว มีเพื่อนบ้านไปช่วยบ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยทุกวัน สำหรับนาของน้ำพ่อถาจ้างคนเกี่ยวเสร็จภายในไม่เกินสองวัน ขนขึ้นมาตากที่นาติดบ้านตีก็ตีไม่เกินสามวัน อาศัยแรงของน้ำกับบอทนั่นเอง พอเสร็จจากนาของตัวเองก็ไปช่วยแม่นิ่ม แต่ก็ไม่ได้ไปช่วยทุกวันเพราะต้องทำงานประจำ แต่เนื่องด้วยชุมชนแห่งนี้พยาบาลไม่จำเป็นต้องประจำที่สถานีอนามัยตลอดเวลา ถ้าถึงฤดูทำนาชาวบ้านจะรู้ว่าต้องตามแม่บุญช่วยได้ที่ไหนถ้าเกิดมีใครเจ็บ ป่วยขึ้นมา เพราะฉะนั้นแม่บุญช่วยจึงไปขลุกอยู่แต่กับแม่นิ่มที่นา

น้ำกับบอทเองสายสัมพันธ์ที่สานถักทอมัดตรึงตราแน่นหนา ความรู้สึกของทั้งสองคนเป็นไปในทางเดียวกัน รู้แล้วว่ารักรักจากใจ หยิบยื่นความรักความผูกพันมอบให้กันอยู่ตลอดเวลา แม้ต่อหน้าผู้คนจะยังทำตัวปกติเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรกันมากมายนัก ยังคงเป็นเพื่อนรักกันอย่างที่ทุกคนเคยเห็น มีคนรู้อยู่แต่เล็กเพื่อนสนิทอีกคนที่เฝ้ามองดูความผูกพันของคนทั้งสองอยู่ ไม่ห่าง มันไปไกลเกินกว่าเพื่อนแล้วทั้งสองคนรู้ดี ความรักที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นด้วยความผูกพันแน่นหนา ถ้ามันจะแปรเปลี่ยนไป ตอนนี้ยังมองไม่เห็นสิ่งที่จะมาทำให้รักจากใจสองดวงที่เกี่ยวเกาะกันนี้ออก จากกันเลย ยังไม่มีเลย

วิสัชนา หัวใจคนเราปกติเต้นโดยเฉลี่ยประมาณ ๗๒ ครั้งต่อนาที


เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 08-10-2010 16:21:37
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 08-10-2010 16:22:57
เออ อีปากแดง มันผีอะไรอะ เค้าไม่รู้ ใครรู้เฉลยหน่อย แต่เรื่องตำข้าว เหยียบยีข้าว นี่แถวบ้านเรียก "นวดข้าว"
ไอ้ครกไว้ตำที่บ้านก็บยังมีอยู่  :laugh: แอร๊ยยยส์ คิดถึงสมัยก่อน ตอนจับปลาลูกคลัก  :z1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 08-10-2010 16:31:25
เออ อีปากแดง มันผีอะไรอะ เค้าไม่รู้ ใครรู้เฉลยหน่อย แต่เรื่องตำข้าว เหยียบยีข้าว นี่แถวบ้านเรียก "นวดข้าว"
ไอ้ครกไว้ตำที่บ้านก็บยังมีอยู่  :laugh: แอร๊ยยยส์ คิดถึงสมัยก่อน ตอนจับปลาลูกคลัก  :z1:

มีเรื่องเล่าอ่ะครับพี่ Poes  อันนี้ไม่ได้เมคนะ เหอๆๆ ตอนเขียนนี่ขนลุกเลย เขาบอกว่าอีปากแดงเป็นลูกสาวของอีกหมู่บ้านมารักกับผู้ชายของหมู่บ้านนี้ นัดพรอดรักกันที่ต้นตะแบก คือเจอกันครึ่งทาง ด้วยความที่รักมากอยากให้ตัวเองสวยๆจึงทาปากแดงไป พอไปเจอคนรักก็ได้เสียกัน ฝ่ายชายบอกว่าจะให้พ่อแม่ไปสู่ขอแต่เอาไปเอามา ดันไปแต่งกับสาวอีกหมู่บ้าน เธอเสียใจมากจึงมาผูกคอตายที่ใต้ต้นตะแบก สมัยก่อนตอนที่ผมยังไม่เกิดแม่เล่าว่าเฮี้ยนมาก เธอจะหลอกเฉพาะผู้ชาย อิอิ

เรื่องจากบ้านนอกนะครับ ที่จริงมีหลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องผีๆ เดี๋ยวจะพยายามโยงใส่ให้ได้ขนลุกกัน อิอิ
จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 08-10-2010 16:41:31
หวานกันจังเลย  ดูแล้วน้ำรักบอท บอทรักน้ำ เหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะก็คงไม่พ้นพุหญิงหรือพ่อแม่  บวก1ให้กำลังใจจร้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 08-10-2010 16:42:51
สวีทก้เอาซะจนมดขึ้น ว่าแต่อย่าดราม่าซะจนคนอ่านจิตตกนะ...~
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 08-10-2010 16:45:53
โอนอ่อนตามคุณอิ๊ก ซาบซึ้งกับความหวานก่อนก็ได้  :-[

เนื้อเรื่องนี้กำลังอินกับอารมณ์บ้านนา
แต่ปุจฉาวิสัชนานี่มาแบบวิทยาศาตร์ทุกกระเบียดเลย
 :laugh:


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 08-10-2010 17:13:50
มีผีด้วยเหรอครับช่วงนี้  ถามจริงนะครับผีมีจริงเหรอ
ข้าวม่าวเคยกินครับ  อร่อยดี แต่เห็นที่ซื้อมากินมันจะเหนียวๆนะครับ
เวลาทำเต้าต้องหุงด้วยป่าวครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: som~ ที่ 08-10-2010 17:53:46
หวานกันจริง     อยากให้เป็นเเบบนี้ตลอดไป
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 08-10-2010 18:32:30
สนุกๆๆๆๆอีกแล้วแต่ปนเศร้าๆไงชอบกลอ่ะ เหมือนแบบว่าอ่านตอนมีความสุขตอนเสียให้พอแล้วต่อไปนี้เราจะพาคุณๆไปยังแดนมาม่าแล้ว


กรี๊ดดดดดดด

+1 นะคะ อ่านแล้วหนาวเลยเริ่มได้บรรยากาศแล้วเนอะๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 08-10-2010 18:48:00
อ่านแล้วคิดถึงบรรยากาศสมัยเด็กๆ หน้าหนาวมาสุมไฟล้อมวงกันหน้าบ้าน
พอตอนฤดูเก็บเกี่ยว ก็ทำว่าวเล่นกัน นั่นมันชีวิตเค้าเลยอ่ะ คิดถึงอดีตอีกแล้ว :a11:

ขอให้น้ำรักบอท บอทรักน้ำตลอดไปนะ มาม่าอย่ามาเร็วนัก หรือถ้ามาเร็วก็จงไปเร็วๆด้วยนะ o7
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 08-10-2010 18:56:57
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 08-10-2010 19:00:36
แวะมาบอกว่า รัก มั่ง 555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 08-10-2010 19:11:27
eiky หวาน ชิลล์ๆแบบนี้ก็ท่าจะดีแล้วเน้อ...อิอิ อย่าให้มีตะกอนสนิมขึ้นมาเกาะกินใจเลย o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 08-10-2010 20:00:29
ใกล้แล้วซินะ ที่จะ......
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 08-10-2010 21:06:50
อยากเห็นทุ่งนา
ลมเย็นๆ ไรงี้
ขอบคุณค่ะคุนอิ๊ก เขียนนิยาย ได้บรรยากาศมากเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 08-10-2010 21:27:28
นึกถึงสมัยก่อนตอนเด็ก ๆ....เคยไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด
สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า....ตอนกลางคืนอาศัยตะเกียงเจ้าพายุให้แสงสว่าง
ความจริงถ้าไม่มีแขกมา...อยู่กันเองจะใช้แค่ตะเกียงดวงเล็ก ๆ เท่านั้น
เราไปเจอแบบนี้...ก็ขึ้ขึ้นขมองเหมือนกันเพราะมันมืดมากกกกก....
มองอะไรก็ไม่ค่อยเห็น....ส่วนใหญ่จะล้อมวงกันอยู่กลางบ้าน....
แล้วแปลกเนอะ....เรื่องเล่าเรื่องผีเนี่ยมันติดอันดับท๊อปเท็นจริง ๆ...
มืดเมื่อไหร่...ล้อมวงเมื่อไหร่...พวกพี่ ๆที่มากประสบการณ์ทั้งหลาย...
ก็จะมาถ่ายทอดเรื่องสยองให้น้อง ๆ ฟัง....ไอ้เราก็นั่งฟังไประแวงหลังไป...
กลัวจะมีพวกที่ไม่ใช่พวกเข้ามาอิงแอบแนบชิดในการฟังด้วย.....  o21
แล้วที่ต้องทนอยู่....ทนฟัง....ไม่ใช่อะไรหรอกค๊าบบบ....ก็ตรงนี้มันสว่างที่สุดในบ้าน....
ก็เลยต้องยอมฟัง....แล้วเก็บไปคิดเป็นการบ้านก่อนนอน...ทำไมตูฟังครูสอนมันไม่จำแม่นแบบนี้หว่า...
โทษที...แล้วตอนนอนเค้าจะดับตะเกียงหมดไม่เหลือความสว่างให้หัวใจดวงน้อย ๆ เลยสักดวง :sad5:
ตื่นมากลางดึกทีไร...ไม่กล้าลืมตาสักที....เพราะลืมตามาก็มองไม่เห็นอะไร..ขอย้ำมืดสุด ๆ
พร่ำมาเยอะ....อยากจะบอกว่ากลัว...แต่ก็ประทับใจกับชีวิตที่ได้เจอ... :laugh:

น้อง eiky ปลุกอารมณ์และฟื้นความทรงจำเก่า ๆ ที่เราก็ลืมกันไปแล้ว...
เมื่อคิดถึง....สิ่งดี ๆ ความสุขก็กลับมาหาเรา  :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 08-10-2010 21:38:35
ตอนนี้ยังมองไม่เห็นสิ่งที่จะมาทำให้รักจากใจสองดวงที่เกี่ยวเกาะกันนี้ออก จากกันเลย ยังไม่มีเลย
ขอเปลี่ยนเป็น ไม่ว่าตอนนี้หรือตลอดไป จะดีกว่าไหม
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: tonpor ที่ 08-10-2010 21:48:39
พี่อิ๊กทิ้งญี่ปุ่นง่า แต่น้ำกะหนุกดีคัฟ555+
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 08-10-2010 21:52:37
แหงะ เรื่อง....น่ากลัวมากอ่ะพี่ ไม่ไหวอ่ะ อ่านแล้วคิดตามแทบช็อค บรื๊ยส์~~~~
แต่ตอนหวานหวาน ชอบน้าา น่ารักดีอ่ะ
อยู่ด้วยกันเเบบนี้ มีความสุขในทุกๆวันเนอะ
ขอบคุณนะพี่อิ๊กกี้ : )
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 08-10-2010 23:17:56
วันนี้มาดึก เฮอๆ
คุณอิ๊กกี้นี่นับวันฝีมือในการเขียนสื่อความยิ่งพัฒนานะคะ  o13 อ่านแล้วนอกจากจะสัมผัสถึงบรรยากาศท้องทุ้งแล้วยังขนลุกตามไปด้วย  o22
ขอแบบนี้ตอนเดียวพอนะคะ ไม่ไหว น้องมิยิ่งไม่มี "บอท" คอยให้ซุกไซ้ด้วย ถ้า darma มาเลยค่ะสู้ไม่ถอย แต่เรื่อง "ผี" นี่ขอลาค่ะ :sad4:


***********************

ศรีษะ  คำนี้สระอีอยู่ที่ ศ นะคะ ต้องเขียนว่า ศีรษะ


 เอาคั่งมาลนไฟโอบไว้ที่ใบลานเล็กๆหรือแผ่นของไม้ที่เหลาอย่างบางที่สุดเพื่อทำให้เกิดเสียงอยู่ตรงกลางลำของว่าว


เห็นหลายๆ คนสับสนกับคำ คั่ง ครั่ง และ คลั่ง ขออนุญาตอธิบายตรงนี้รวมไปเลยนะคะ

คั่ง หมายถึง ออกัน ประดังกัน ติดค้างทับถมอยู่   เช่น คั่งค้าง คับคั่ง เลือดคั่งในสมอง
ถ้าหมายถึงหลงใหลจนไม่ได้สติ เช่น คลั่งไคล้ บ้าคลั่ง  ต้อง คลั่ง  นี้นะคะ
ถ้าจะหมายถึงยางหรือชันชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสารที่ขับถ่ายออกจากตัวเพลี้ยต้องเขียนว่า ครั่ง นะคะ
ครั่ง อีกความหมายเป็นชื่อกล้วยไม้พันธุ์หนึ่งค่ะ เรียกว่าเอื้องครั่ง

สายสัมพัน คำนี้ต้องเติม ธ์ ด้วยนะคะ เป็น สายสัมพันธ์  แต่ ผูกพัน ไม่ต้องมี ธ์  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 08-10-2010 23:34:37
เออ อีปากแดง มันผีอะไรอะ เค้าไม่รู้ ใครรู้เฉลยหน่อย แต่เรื่องตำข้าว เหยียบยีข้าว นี่แถวบ้านเรียก "นวดข้าว"
ไอ้ครกไว้ตำที่บ้านก็บยังมีอยู่  :laugh: แอร๊ยยยส์ คิดถึงสมัยก่อน ตอนจับปลาลูกคลัก  :z1:

มีเรื่องเล่าอ่ะครับพี่ Poes  อันนี้ไม่ได้เมคนะ เหอๆๆ ตอนเขียนนี่ขนลุกเลย เขาบอกว่าอีปากแดงเป็นลูกสาวของอีกหมู่บ้านมารักกับผู้ชายของหมู่บ้านนี้ นัดพรอดรักกันที่ต้นตะแบก คือเจอกันครึ่งทาง ด้วยความที่รักมากอยากให้ตัวเองสวยๆจึงทาปากแดงไป พอไปเจอคนรักก็ได้เสียกัน ฝ่ายชายบอกว่าจะให้พ่อแม่ไปสู่ขอแต่เอาไปเอามา ดันไปแต่งกับสาวอีกหมู่บ้าน เธอเสียใจมากจึงมาผูกคอตายที่ใต้ต้นตะแบก สมัยก่อนตอนที่ผมยังไม่เกิดแม่เล่าว่าเฮี้ยนมาก เธอจะหลอกเฉพาะผู้ชาย อิอิ

เรื่องจากบ้านนอกนะครับ ที่จริงมีหลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องผีๆ เดี๋ยวจะพยายามโยงใส่ให้ได้ขนลุกกัน อิอิ
จุ๊บๆๆ

โอเค แล้วจะมาอ่านจ้า ตอนแรกนึกว่าพวก "ผีกล้า" แถวบ้านเรียกงี้ แต่คงไม่ใช่ สงสัยเราคงจะบ้านนอกกันคนละที่  :laugh:
กลัวจะรุ่นเดียวกันจังเลย เขียนมานี่แบบทันนะ  :z1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 08-10-2010 23:50:18
โอ๊ยยย อ่านแล้วนึกถึงบ้านนอกจังงง

อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนี้ แต่กลับไปตอนนี้มันก็ไม่เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 08-10-2010 23:52:27

โอเค แล้วจะมาอ่านจ้า ตอนแรกนึกว่าพวก "ผีกล้า" แถวบ้านเรียกงี้ แต่คงไม่ใช่ สงสัยเราคงจะบ้านนอกกันคนละที่  :laugh:
กลัวจะรุ่นเดียวกันจังเลย เขียนมานี่แบบทันนะ  :z1:

อ่า แสดงว่าเรายังเป็นวัยรุ่นด้วยกันทั้งคู่ชิมิ อิอิ เค้าเพิ่งจบมาเมื่อไม่นาน นาน นาน เท่าไหร่น้า เหอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 09-10-2010 03:59:36
กลับมาอ่าน ตะกี้จิ้มปุ๊ป หลับปั๊ป  :m23:

คุณอิ๊กทิ้งคำตอนท้ายเหมือนจะไว้ให้คนอ่านนั่งมองซองมาม่าเล่นๆซะงั้นนะคะ  :monkeysad:
เหมือนกับว่าต้องมีใครคนหนึ่งจำเป็นต้องแยกจากเลย ซึ่งคิดว่าอาจเป็นบอท เพราะบอทอยู่กับแม่แค่สองคนมีสิทธิ์ได้ย้ายแยกจากน้ำสูงกว่าครอบครัวน้ำเยอะ  :sad4:
คิดฟุ้งซ่านไปไกลเลยตู  :serius2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 09-10-2010 16:56:57
มาแอบดูว่าคุณอิ๊กกี้มาต่อรึยัง จะห้าโมงเย็นแล้ว  :m22:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 09-10-2010 17:25:55
มาแอบดูว่าคุณอิ๊กกี้มาต่อรึยัง จะห้าโมงเย็นแล้ว  :m22:

วันนี้มาส่งใบลาเน้อ เหอๆๆ เพิ่งจะตื่น คงเขียนไม่ทันครับ เอาไว้พรุ่งนี้จะมาต่อให้น้า
จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 09-10-2010 17:32:54
 :L2: รับแซ่บจ้า  :L2:
นี่ก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกันค่ะ แต่ยังไม่อยากนอนง่า  :sad2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 09-10-2010 17:33:18
มาแอบดูว่าคุณอิ๊กกี้มาต่อรึยัง จะห้าโมงเย็นแล้ว  :m22:

วันนี้มาส่งใบลาเน้อ เหอๆๆ เพิ่งจะตื่น คงเขียนไม่ทันครับ เอาไว้พรุ่งนี้จะมาต่อให้น้า
จุ๊บๆๆ

ไม่เป็นไรค่ะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะที่รัก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 09-10-2010 17:48:29
ที่แท้เรื่องนี้มีเบื้องหลัง
รักกันให้มั่นคงนะ เอาใจช่วย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-10-2010 18:04:04

โอเค แล้วจะมาอ่านจ้า ตอนแรกนึกว่าพวก "ผีกล้า" แถวบ้านเรียกงี้ แต่คงไม่ใช่ สงสัยเราคงจะบ้านนอกกันคนละที่  :laugh:
กลัวจะรุ่นเดียวกันจังเลย เขียนมานี่แบบทันนะ  :z1:

อ่า แสดงว่าเรายังเป็นวัยรุ่นด้วยกันทั้งคู่ชิมิ อิอิ เค้าเพิ่งจบมาเมื่อไม่นาน นาน นาน เท่าไหร่น้า เหอๆๆๆ


ว้ายยยยยยย หลายนานเลย  :m20: เค้าเพิ่งจบมาได้สองปีเอง
ว่าแต่เรื่องนี้จะให้มีมาม่าจริงหรอ อย่าให้ถึงกะต้องหลั่งน้ำตาเลย พอดีหมอห้ามรับประทานมาม่า มันไม่ดีต่อสุขภาพ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 10-10-2010 09:08:20
555
มาแอบดูว่าคุณอิ๊กกี้มาต่อรึยัง จะห้าโมงเย็นแล้ว  :m22:

วันนี้มาส่งใบลาเน้อ เหอๆๆ เพิ่งจะตื่น คงเขียนไม่ทันครับ เอาไว้พรุ่งนี้จะมาต่อให้น้า
จุ๊บๆๆ

โอเค แล้วจะมาอ่านจ้า ตอนแรกนึกว่าพวก "ผีกล้า" แถวบ้านเรียกงี้ แต่คงไม่ใช่ สงสัยเราคงจะบ้านนอกกันคนละที่  :laugh:
กลัวจะรุ่นเดียวกันจังเลย เขียนมานี่แบบทันนะ  :z1:

อ่า แสดงว่าเรายังเป็นวัยรุ่นด้วยกันทั้งคู่ชิมิ อิอิ เค้าเพิ่งจบมาเมื่อไม่นาน นาน นาน เท่าไหร่น้า เหอๆๆๆ


ว้ายยยยยยย หลายนานเลย  :m20: เค้าเพิ่งจบมาได้สองปีเอง
ว่าแต่เรื่องนี้จะให้มีมาม่าจริงหรอ อย่าให้ถึงกะต้องหลั่งน้ำตาเลย พอดีหมอห้ามรับประทานมาม่า มันไม่ดีต่อสุขภาพ



แวะมาขำ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 10-10-2010 10:07:53
เห้ออ คาดเดาว่า บอทคงจะไปได้หญิงแล้วลืมน้ำ โอ๊ยยย ฟุ้งซ่าน ยิ่งอ่านก็กลัวเศร้า แต่ก็ยังรอทุกวันเนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 10-10-2010 17:08:12
เข้ามาคอยตอนใหม่ค่ะ  :3129:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๘ (ตุลาคม ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 10-10-2010 17:27:27
บทที่ ๙


ปุจฉา อันขอบฟ้าสิ้นสุดลงที่ใดหนอ

๒๗ ตุลาคม

ไม่ได้เขียนไดอารี่มานาน ไม่ว่างเลย ช่วงเวลาที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเลยว่ามันมีแต่สิ่งดีๆที่ผ่านเข้ามในชีวิตช่วงนี้ มีความสุขมาก มากจริงๆ ตอนแรกกูคิดว่ากูจะคิดไปเองฝ่ายเดียวเสียอีกที่แอบรักมึง แต่พอรู้ว่ามึงเองก็รู้สึกเหมือนกันกับกู ดีใจว่ะ ดีใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะรักกันได้มากขนาดนี้ มันมากเสียจนอยากให้มันอยู่แบบนี้ตลอดไป รู้ไหมว่าเวลามีมึงอยู่ข้างๆชีวิตนี้กูไม่ขออะไรอีกแล้ว เวลาที่ได้ยินเสียงมึงกูรู้สึกมีพลังขึ้นมา เวลาที่ได้กลิ่นกายมึงหัวใจกูเต้นแรง กูรักมึงมากนะ นี่ก็ใกล้จะถึงวันเกิดกูแล้ว ไม่อยากได้อะไรเป็นพิเศษว่ะ แต่อยากอยู่กับมึงแค่สองคนเท่านั้นพอ ตอนนี้ที่โรงเรียนก็เรื่อยๆ มีความสุขดีว่ะมีความสุขที่ไม่มีใครรู้เรื่องของเรา นอกจากอีเล็ก อยากเขียนไว้เยอะๆนะความรู้สึกดีๆที่มีกับมึง แต่คิดอะไรไม่ออกเลยว่ะ มันเต็มใจล้นใจเหลือเกิน ไปล่ะมึงเรียกแล้ว

ลมหนาวที่พัดเข้ามาตั้งแต่ตอนกลางเดือนทำให้น้ำในนาแห้งแล้ว พื้นดินเริ่มแตกระแหง ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มการเก็บเกี่ยวเต็มที่แล้ว เพราะถ้าข้าวสุกแล้วปล่อยไว้นานต้นข้าวจะแห้งกรอบรวงข้าวจะหักออกจากต้นข้าว ทำให้ลำบากในการเก็บเกี่ยว ใครที่พอหาเพื่อนบ้านมาลงแขกได้ก็จะไปขอแรงมา อย่างเช่นแม่นิ่มได้ไปช่วยเพื่อนบ้านเอาไว้หลายเจ้าแล้วตอนที่นาของตนน้ำยังไม่แห้ง พอถึงคิวของนาตัวเองในวันเสาร์นี้ก็ไปขอแรงเพื่อนบ้านมาช่วยเกี่ยว นาของน้ำยังไม่ได้ลงเกี่ยวข้าวเพราะน้ำยังไม่แห้งดีรออีกสักหนึ่งอาทิตย์พ่อถาวรจึงจะจ้างคนมาช่วยเกี่ยวและขนขึ้นมาลานตรงท้ายบ้าน พอตีข้าวเสร็จก็จะได้เก็บฟางไว้ที่เก็บเลย

ตอนเลิกเรียนงานบ้านก็ยังคงเดิม แต่มีกิจกรรมเพิ่มมาอีกอย่างคือการหาหญ้าให้วัวในคอก เพราะแม่นิ่มและแม่บุญช่วยต่างก็ไปเกี่ยวข้าวอยู่ที่นาทั้งวันไม่มีเวลาจะหาหญ้า จะมีก็ตอนค่ำเกี่ยวเอาฟางข้าวมาหอบสองหอบ หญ้าในหน้าหนาวจะอาศัยหญ้าตามสวนตามไร่เพราะในนาหญ้ายังไม่ขึ้น เย็นนี้ก็เช่นกันบอทร้องเรียกน้ำอยู่ใต้ถุนบ้าน พอเลิกเรียนมาก็ทำงานบ้านพอเสร็จน้ำก็ขึ้นมาเขียนไดอารี่ข้างบนบ้าน ส่วนหินก็ไปเก็บผักเอามาไว้เตรียมทำกับข้าวเย็น

"พี่น้ำเก็บผักกระโดนมาด้วยนะ จะทำลาบปลาดุก"

น้องชายบอกพี่ชายก่อนที่น้ำจะนั่งซ้อนรถเครื่องที่บอทเป็นคนขับ พอถึงหน้านาพ่อถาวรเองก็จะเอารถเครื่องไปที่โรงเรียนในตอนเช้า เอากลับมาจอดทิ้งไว้ที่บ้านในอนเย็นแล้วก็รีบลงนาไปช่วยแม่บุญช่วยกับแม่นิ่ม น้ำจึงมีโอกาสได้ใช้รถเครื่องก็ตอนเลิกเรียนนี่เอง ส่วนคนขับก็เป็นบอททุกที

"รีบไปเถอะบอท วันนี้การบ้านเยอะต้องรีบกลับมาทำ"

น้ำใส่กางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตเก่าๆตัวเดิมที่เคยใส่เวลาไปเกี่ยวหญ้า บอทเองก็เช่นกัน ทั้งสองบึ่งรถไปยังไร่ของน้ำพอเกี่ยวหญ้าใส่กระสอบปุ๋ยพอแล้วก็กลับขากลับจะลำบากหน่อยเพราะน้ำต้องเอากระสอบอุ้มไว้และเอายัดไว้ด้านหน้าบอทอีกกระสอบจะ กระดุกกระดิกตัวไม่ได้แต่จากไร่มาที่บ้านใช้เวลาไม่นานมากนักพอกลับถึงบ้าน ก็ลงไปนาต่อไปดูตาข่ายดักปลา ลมหนาวพัดสายน้ำในห้วยกระเพื่อมเป็นคลื่นลูกเล็กใหญ่ บอทกับน้ำลงไปลอยคออยู่ในห้วยแล้ว แสงแดดยามเย็นสาดแสงเย็นนวลตามากระทบพื้นน้ำที่มีร่างของเด็กสองคนลอยคออยู่นั้นแวววับจับตา เสียงหัวเราะหยอกล้อกันดังมาเป็นระยะ พอขึ้นจากน้ำก็เดินไปตามริมห้วยหาเก็บยอดผักบุ้งนากลับบ้านด้วย ปลาที่ติดตาข่ายส่วนมากเป็นปลาหมอตัวเขื่องๆกับปลารากกล้วย ขนาดก็พอใช้ได้ส่วนมากปลารากกล้วยจะนิยมนำไปประกอบอาหารโดยการทอดเนื่องจาก ตัวเล็กเรียวยาวก้างไม่แข็ง ถ้าทอดกรอบสามารถกินได้ทั้งตัว

"นาน้ำข้าวเหลืองสุกแล้วนี่พ่อถาจะเกี่ยววันไหน"

บอทถามขึ้นตอนเดินผ่านนาของน้ำไปยังรถเครื่องที่จอดไว้ปลายนา

"คงอาทิตย์หน้าล่ะ กำลังหาคนอยู่"

"ดีจังนะ พ่อถามีเงินจ้างคน เราสิต้องทำเองกับแม่ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่"

ระบายออกมาสายตามองออกไปไกลแสนไกล น้ำเองรู้ดีว่าเพื่อนมีปมด้อยในเรื่องนี้ไม่อยากจะซ้ำเติม แต่อยากให้กำลังใจเสียมากกว่า

"ก็รีบจ้างคนให้เสร็จแล้วก็ไปช่วยบอทกับแม่นิ่มไง"

"พ่อแม่ของน้ำดีกับเรามากเลยนะ ไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี"

น้ำเสียงยิ่งสลดลงอีก น้ำเดินไปบีบบ่าเพื่อน

"ก็แค่บอทเป็นเพื่อนรักเราตลอดไปแค่นี้ก็พอไง"

บอทหันมาจ้องตาคู่งามสีน้ำตามยามเมื่อต้องแสงอัสดงของดวงอาทิตย์สุดท้ายของวัน มันงามระยับน้ำตาลอ่อนทอประกายทองออกมา บอทฉายรอยยิ้มออกมา

"แค่เพื่อนเองเหรอน้ำ ไม่ให้เป็นแฟนเหรอ"

น้ำยิ้มออกมาตีบ่าเพื่อนไปทีหนึ่ง

"บ้าเหรอบอท พูดอะไรก็ไม่รู้ เขินนะ"

"อ้าว หรือไม่อยากให้เราเป็นแฟนเหรอน้ำ หรือเราเป็นได้แค่เพื่อน"

จี้จะเอาคำตอบให้ได้ น้ำเองเม้มปากแน่น

"บอทไม่รู้ตัวเหรอว่าบอทเป็นมากกว่าเพื่อน บอทคือทุกอย่างของน้ำ แต่น้ำไม่ได้เรียกร้องอะไร แค่นี้น้ำก็มีความสุขมากแล้ว"

คำพูดที่ลอยออกไปจากปากผ่านลมหนาวมันแว่วไปกระทบหู คนฟังฉายรอยยิ้มออกมา

"แต่เราไม่เอาแค่นี้นะ เราอยากจะเป็นแฟนของน้ำ เราจะอยู่ด้วยกันจนแก่จนตายจากกันไปข้างนึงเลย"

"บอท"

มันสุขใจชื่นฉ่ำใจเหลือคณา รื้นน้ำตาเอ่อออกมา กินใจหวายวาบเข้าไปในกลางทรวง

"เรารักน้ำนะ รักมาก"

แสงใดในโลกนี้จะสว่างจ้าส่องประกายเจิดจ้าได้เท่าแสงที่ฉายออกจากใจ ความหวานใดในใต้หล้าจะวาบหวานซาบซ่านได้เท่าลมปากคนชายคนรัก รักเหลือเกิน

"แค่นี้ก็ร้องไห้เหรอน้ำ ฮ่าๆๆ เเราพูดจริงนะเนี่ย"

"บอท น้ำขอกอดหน่อย"

พูดออกไปเสียงสั่น ปากระริกไหวอยู่พยายามกลั้นแรงดันจากภายในเอาไว้ไม่ให้มันพวยพุ่งออกมา

"หือ"

บอทดึงตัวของน้ำเข้าไปสวมกอดแน่น

"คนดีอย่าร้องนะ เรารักน้ำนะ รักทุกวัน น้ำคืออากาศที่เราหายใจ"

พลันน้ำตาก็ทะลักไหลออกมา กอดร่างของบอทเอาไว้แน่น ให้ความรู้สึกถ่ายทอดความในใจ ให้ความอุ่นจากกายบอกรักคนที่กอด ลมหนาวพัดบางเบาในตอนหัวค่ำแสงสุริยากำลังจะลับฟ้า แสงสีส้มแดงระบายอยู่ทั่วทั้งฟ้าเงาของเด็กชายสองคนถูกฉายทาบทับไปยังแผ่น ท้องทุ่งรวงทองเงายาวที่กอดรัดกันอยู่ฉายออกมาท่ามกลางบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติสวยงาม งามจับใจ เหมือนในภาพวาด

"เออไอ้น้ำ นามึงเสร็จแล้วใช่ไหมวะ แล้วของไอ้บอทล่ะ"

เล็กถามขึ้นตอนกลางวันหลังจากเรียนเสร็จกำลังเดินไปที่สนามบาสฯ ส่วนบอทเดินไปที่สนามตะกร้อที่อยู่ข้างกัน หน้าหนาวน้ำเองชอบทุกอย่าง ทั้งบรรยากาศ สายลม แสงอาทิตย์ แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ชอบคือดอกกระถินณรงค์ สีเหลืองเป็นพวงอยู่เต็มต้นรายล้อมไปทั่วทั้งโรงเรียน สีเหลืองสวยจับอยู่เต็มต้น แต่กลิ่นของมันเคยทำให้น้ำเวียนหัวเป็นลมล้มพับมาแล้ว ถ้าใครเห็นเด็กชายคนหนึ่งเอาพันคอผืนโตมามัดปิดจมูกไว้อย่าได้สงสัยเพราะดอกของต้นไม้ชนิดนี้นั่นเอง บอทเองก็เคยแกล้งน้ำโดยหักเอาดอกกระถินณรงค์ไปซุกไว้ที่โต๊ะเรียนเป็นกำใหญ่ น้ำเองพอเห็นก็งอนไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว เพื่อนๆในห้องทุกคนก็รู้พักหลังมาไม่มีใครแกล้งแล้วเพราะเห็นท่าทางของน้ำ ที่ท่าทางจะไม่ไหวจริงๆกับดอกไม้ชนิดนี้

"ของกูเสร็จแล้ว บอทยัง"

"เหรอ เสาร์อาทิตย์นี้กูว่าจะไปช่วย"

"จริงเหรอ ไปดิมึงกูจะได้ต้มปลาให้กิน"

"โห ขอเป็นผัดเผ็ดปลาไหลได้ไหมวะ เปรี้ยวปาก"

"ได้ดิมึง บอทมันคงดีใจที่มึงจะไปช่วย"

"เอ้ย ไม่ใช่กูคนเดียว อีเอ๋ กับไอ้ไก่ก็จะไปพวกมันนาเสร็จหมดแล้ว"

"ขอบใจนะเล็ก"

น้ำพูดออกมาจากใจ เพื่อนๆเองก็รู้ว่าบอทเองไม่มีพ่ออยู่กับแม่สองคน ทั้งนายังเยอะกว่าคนอื่นเขาอีก ตอนเรียนมัธยมต้นเคยมีคนล้อเลียนบอท แต่คนที่เดือดคือน้ำถึงขั้นต่อยตีกันเลย จากนั้นมาจึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก

"เพื่อนกันไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วยวะ มึงเตรียมปลาไหลไว้ก็แล้วกัน"

พอถึงวันเสาร์เพื่อนๆก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่บ้านของบอทแต่เช้า เล็กกับเอ๋จะค้างด้วยที่นา แต่ซุ้มยังไม่ได้ทำเพราะนาแรกของบอทเพิ่งจะเก็บเกี่ยวเสร็จ ตอนกลางวันจ้างให้เขาไปขนไปรวมกันที่นาท้ายบ้าน ซุ้มนอนนาที่สร้างเป็นเพิงขึ้นใช้นอนเฝ้ากองข้าวเวลากลางคืน ส่วนมากบอทกับน้ำจะเป็นคนไปนอนเฝ้า ทำโดยเอาไม้ไผ่มาก่อเป็นโครงปลายต่ำทางเข้าทำสูงขึ้นหน่อย เอาซังข้าวมามัดโดยรอบให้หนาๆกันลม มุงด้วยซังข้าวหนาอีกเช่นกันกันน้ำค้างในเวลากลางคืน พอเสร็จก็เอาซังข้าวปูรองเอาเสื่อที่สานด้วยกกมาปูทับอีกที

"โห อีเอ๋มึงจะห่อไปไหนเนี่ย ไม่เห็นอะไรเลยว่ะ เห็นแต่ตา"

บอทร้องขึ้นเมื่อเห็นหน้าเพื่อนชายที่กระเดียดออกไปทางหญิงห่อตัวห่อหน้ามิดชิดราวกับจะไม่ให้แสงหรือแม้แต่ลมพัดผ่านเข้าไปกระทบร่างได้เลย

"ไม่ได้หรอกย่ะ เดี๋ยวดำ โบกครีมมาเรียบร้อย"

"เวอร์แล้วมึง ห่อดีแค่ไหนก็ไม่มีใครขอดูของมึงหรอกอีเอ๋"

เล็กเสริมอีกคนเสียงหัวเราะดังก้องขึ้นมา

"อีเล็ก ของดีไม่จำเป็นต้องไปโชว์ใครนี่ยะ ทำไมล่ะ ผิวชั้น ชั้นจะดูแลมันก็เรื่องของชั้น พวกแกไม่ดูแลรักษาก็ช่างพวกแกสิ"

"จ้า แม่คนสวย สวยอยู่คนเดียวมึงนี่ล่ะ เร็วรีบไปสอยมะละกอ"

ไก่ร้องบอกก่อนที่จะลากแขนให้เดินตามไปสอยมะละกอเพื่อทำกินกันในตอนบ่าย ตอนเช้าต่างคนต่างกินข้าวมาแล้วจากบ้าน ตอนบ่ายๆค่อยกินข้าวเที่ยงกัน ส่วนตอนตะวันโพล้เพล้ค่อยออกไปหาปลาไหลมาไว้ผัดเผ็ดกินในตอนค่ำ คนที่ไปหาก็เป็นบอทกับน้ำ ส่วนเพื่อนๆก็ทำงานต่อไป

ท้องฟ้าที่เปิดกว้างครามสดใสตั้งแต่เช้าแสดงให้รู้ว่าวันนี้แดดในตอนกลางวันจะต้องร้อนเปรี้ยงแน่นอน แม้จะเป็นหน้าหนาวแต่ตอนกลางวันก็ร้อนจัดอยู่ดี พอถึงนาก็พากันลงเกี่ยวข้าว เล็กเอาวิทยุทรานซิสเตอร์มาจากบ้านใช้ถ่านไฟฉายก้อนใหญ่ๆใส่เพื่อฟังวิทยุ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ช่อง ส่วนมากจะเปิดหมอลำ แต่เล็กก็จัดแจงทำเสาอากาศให้ยาวขึ้นมาอีกเตรียมมาจากบ้าน วิทยุจึงรับช่องที่ตนเองอยากฟังได้ พอเกี่ยวข้าวไปก็คุยกันหยอกล้อกันอยู่อย่างสนุกสนาน เสียงวิทยุแว่วไปตามลม วันที่ทุกคนมาช่วยกันแบบนี้การทำงานจึงรุดคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว พอบ่ายโมงน้ำกับบอทก็ขึ้นจากนาไปก่อนใคร เพราะต้องไปหาปลามาทำกับข้าวเที่ยงมาเลี้ยงเพื่อนๆ ที่หาปลาคือบ่อที่ขุดไว้ตรงหัวนาเป็นหลุมขนาดกว้าง บอทฉวยแหติดมือไปน้ำเองก็ถือข้องตามไปด้วย

"โหต้มปลาช่อน น่ากินว่ะ อีเอ๋มึงตำอร่อยๆนะส้มตำน่ะ"

พอถึงเวลาพักก็ขึ้นมาช่วยกันทำกับข้าว เล็กมาส่องดูเพื่อนทั้งสองที่กำลังต้มน้ำรอใส่ปลาช่อนที่หั่นเป็นแว่นๆเตรียมไว้

"ไม่ต้องห่วงค่า ลูกแม่ค้าขายส้มตำมาเอง เตรียมเลียเล็บได้เลยอีเล็ก"

"กูจะรอ รีบๆเถอะหิวแล้ว"

"ไอ้ไก่มึงมาปรุงหน่อยดิ มึงทำต้มปลาอร่อย"

น้ำเรียกเพื่อนมาปรุงรสให้เพราะเพื่อนคนนี้มีชื่อในเรื่องทำอาหาร ไปที่ไหนมีแต่คนวานร้องขอให้ปรุงให้ ต้มปลาช่อนทำแบบง่ายๆ เน้นกินร้อนๆไม่พิธีรีตองอะไรมาก ใส่หัวหอมกระเทียมตะไคร้ลงไปรอในหม้อ ใส่มะขามเปียกใส่เกลือ รอให้น้ำเดือดก็เอาปลาช่อนที่หั่นเป็นแว่นๆลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลาน้ำตาล และที่ขาดไม่ได้คือผงชูรส ตบท้ายด้วยใบกะเพราสวนที่ปลูกไว้แทบทุกนาเพื่อเอาไว้ทำอาหารกินกัน ใบกะเพรานามันหอมแรงกว่าใบกะเพราบ้าน ใบเล็กๆไม่ใหญ่มากต้นก็ออกสีม่วงๆ แต่กลิ่นหอมกลบทุกอย่างในหม้อ เอ๋เองก็กำลังง่วนอยู่กับการปรุงส้มตำที่ตนเองภูมิใจนำเสนอ ผู้ใหญ่ขึ้นจากนาแล้ว ปูพื้นด้วยใบตองตักอาหารออกมาวางเรียงราย เสร็จแล้วก็ลงมือกินกัน

"ขอบใจมากนะลูกที่มาช่วย"

แม่นิ่มเอ่ยขึ้นตอนจะเริ่มลงมือกินข้าว

"ไม่เป็นไรค่าแม่ พวกหนูเต็มใจ"

เอ๋จีบปากจีบคอพูดออกไป แล้วจ้วงส้มตำฝีมือตัวเองต่อ มีแต่คนชมว่าอร่อย เจ้าตัวก็หน้าบานคุยจ้ออยู่

"เต็มใจนะแม่บ่นนั่นบ่นนี่ ร้อนบ้าง คันบ้าง"

"แหมอีเล็ก ก็คนผิวอ่อนบางอย่างเอ๋น่ะมาให้ทำแบบนี้ก็มีบ้างนะยะ"

"จ้าแม่ผิวอ่อนบาง"

เพื่อนๆร้องขึ้นพร้อมกัน เอ่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เสียงหัวเราะดังทั่งทั้งท้องทุ่ง พอกินข้าวเสร็จก็พักไม่ถึงชั่วโมงก็ลงนาต่อ ระหว่างเกี่ยวข้าวไม่มีใครอู้ไปพัก มีนั่งกินน้ำบ้างแต่ไม่นาน งานจึงเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว พอเย็นผู้ใหญ่กลับกันไปแล้ว

"ไอ้ไก่มึงไม่นอนเหรอวะ"

เล็กถามขึ้นตอนที่เดินรวมกลุ่มกันไปที่บ่อ

"นอนก็ได้วะ กูกลัวอีเอ๋มันจะกินกูอ่ะดิ"

"ฮ่าๆ ไอ้บ้า กูอยู่มึงไม่ต้องกลัวหรอกน่า มึงจะกินมันเหรออีเอ๋"

เล็กร้องไปถามเอ๋ที่เดินสะดีดสะดิ้งตามหลังน้ำกับบอทไป

"ว้าย กล่าวหา น่ากินตายล่ะมึงน่ะไอ้ไก่ แต่ถ้ามึงอยากจะกินกูก็ไม่ว่าน้า"

"ถุย"

เสียงครากถุยดังออกมาพร้อมกันสี่เสียง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ หยอกล้อกันจนไปถึงบ่อขุด บอทกับน้ำเป็นคนลงเอาอีจู้หรือที่ดักปลาไหลไปวางไว้ตรงริมบ่อ ที่ดักคือดักเผื่อพรุ่งนี้เช้า แต่ถ้าจะเอาปลาไหลตอนนี้ต้องเอาเหล็กแหลมแทงเอาตามผนังบ่อ บอทเองชำนาญในด้านนี้แทงไปแทงมาก็ได้ปลาไหลสองตัว ขนาดก็ย่อมๆไม่ใหญ่มาก เพื่อนๆก็ให้กำลังใจอยู่บนริมปากบ่อ ทำท่าขยะแขยงเมื่อเห็นตัวปลาไหล นับเป็นเรื่องปกติ แต่พอผัดเผ็ดมาเสร็จแทบจะลืมท่าทางที่ทำไปเสียสิ้น พอได้ปลาไหลกับปลาหมอมาก็ให้ไก่เอาไปจัดการ ส่วนบอทกับน้ำรวมถึงเล็กก็ไปช่วยกันทำซุ้มเพื่อนนอนคืนนี้ เอ๋เป็นคนไปเกี่ยวซังข้าวมาให้ บ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ยอมไปทำแต่โดยดี พอได้ซังข้าวตามที่ต้องการก็มาช่วยเพื่อนๆทำซุ้มกันจนเสร็จ พอเสร็จไก่ก็ทำผัดเผ็ดเสร็จพอดี พากันรอข้าวเหนียวที่หินจะเอามาส่งให้ พอหินมาก็พากันกินข้าว มีหินนั่งกินด้วย เสียงคุยกันอย่างสนุกสนาน แสงสว่างที่ใช้คือไฟจากหม้อแบตเตอร์รี่ที่ชาร์จมาจนเต็ม

"น้ำ ท่าทางไอ้บอทมันรักมึงมากนะ นี่จะมีอะไรมาพรากพวกมึงออกจากกันไหมเนี่ย"

เล็กถามขึ้นตอนที่อยู่กันสองคน เพื่อนอีกสามคนเดินตามบอทไปเกี่ยวข้าวต่ออีกก่อนจะไปอาบน้ำที่บ่อ

"ไม่รู้ดิมึง กูเองก็รักมันมาก"

"อืม คิดเผื่อไว้หน่อยก็ดีนะมึง พ่อแม่มึงยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอ"

เล็กพูดสะกิดใจ น้ำระบายลมหายใจออกมาครุ่นคิดอยู่ สีหน้าแววตาแสดงความหนักใจออกมา

"เอาน่ามึงกูพุดไปอย่างนั้นล่ะ พ่อแม่มึงเขารักมึงเขาต้องเข้าใจล่ะ"

"อืม เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอกเล็ก เพราะยังไงกูก็คิดว่ากูจะรักมันจนวันตาย"

"น้ำ"

ร้องออกมาเสียงหลงเพราะคำพูดของน้ำมันสอดคล้องกับสีหน้าสายตาที่จ้องมองตอซังข้าวอยู่ ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของน้ำอีก แสงจันทราฉายแสงนวลตาออกมาพอให้เห็นต้นข้าว เสียงร้องเพลงขับขานกล่อมท้องทุ่งดังแว่วผสานกับเสียงของว่าวจุฬาที่ขึ้นลอยลมอยู่เหนือท้องฟ้างามประดับประดาไปด้วยอัญมณียามค่ำคืน ระยิบพราวระยับทาทั่วแผ่นฟ้า ดึกพอสมควรจึงพากันไปอาบน้ำมานอน แต่ก่อนนอนก็พากันล้อมวงจี่ข้าวกินกันก่อน ไก่เอากีตาร์โปร่งมาดีดด้วย พากันร้องเพลงอยู่จนดึกดื่นกว่าจะนอน

"ถ้าเธอเลือกอยู่กับเขา ตัวฉันคุกเข่าสั่นไหว ใจนักเลงมันปวดร้าวเจียนตาย ปล่อยเธอไปตามใจเะอต้องการ จะยอมให้สั่งและตัดสิน ว่าฉันต้องถูกทอดทิ้ง เรานั้นมันไม่อาจฝืนความจริงได้แต่ยิ้มอวยพรให้ไปดี"

เสียงร้องเพลงดังขึ้นแข่งกับเสียงลม ทุกคนไปซุกร่างรวมกันในซุ้มร้องเพลงอย่างสนุกสนานพอเหนื่อยอ่อนก็พากันนอน

เสาร์อาทิตย์ผ่านไป พอไปโรงเรียนก็เรียนตามปกติ เพื่อนๆทุกคนในห้องเริ่มจะสนิทกันมากขึ้น ทำงานเกี่ยวกับการเรียนก็ช่วยเหลือกัน ทำงานนอกช่วยเหลือเพื่อนก็เต็มใจทำ น้ำใจที่ได้จากเพื่อนช่างงดงามนักมันยังตราตรึงอยู่ในใจไม่มีวันสร่างซา

"เหนื่อยไหมน้ำ ที่ต้องไปช่วยเราตีข้าวทุกคืนน่ะ"

บอทถามขึ้นในตอนเย็นก่อนจะออกไปนา ต้นเดือนพฤศจิกายนแล้ว นาหัวดอนของบอทเกี่ยวข้าวเสร็จหมดแล้วขนมารวมกันไว้ที่นาท้ายบ้าน เหลืออีกสองนาคือนาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างห้วยกับหมู่บ้านกับอีกนาที่ขนข้าวมากองรวมกันนี่เอง นาท้ายบ้านจะเกี่ยวเป็นที่สุดท้าย เกี่ยวไปตีไปมีแม่นิ่มเป็นคนเกี่ยวข้าวในตอนกลางวัน มีน้ำกับบอทมาตีในเวลาลางคืน

"ไม่เหนือยหรอกบอท ถ้าทำอะไรกับบอทไม่ว่าจะหนักแค่ไหนน้ำไม่เหนื่อยหรอก เพราะบอทคือแรงใจของเราไง"

"ขอบใจนะน้ำ ถ้าเหนื่อยบอกเรานะ เราไม่อยากเห็นน้ำเหนื่อย พรุ่งนี้วันเกิดน้ำนี่ เรามีอะไรให้"

บอทพูดขึ้นแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงกำของบางอย่างไว้ในมือ น้ำเองสอดสายตามองที่มือนั้นอยากรู้อยากเห็น

"อะไรอ่ะบอท"

"มันไม่มีค่าอะไรหรอกนะ เราทำเอง อยากทำให้น้ำ คนที่เรารักหมดหัวใจ"

ไม่ได้อยากจะหวั่นไหว แต่ร่างมันสั่นหัวใจมันร้องหวั่นไหวอยู่ ปากสั่นรื้นน้ำตาเจ้ากรรมมันคลอออกมา บอทยื่นสิ่งนั้นในมือให้น้ำ วัสดุเล็กๆขัดจนขึ้นเงาเป็นรูปหัวใจมีสายเชือกร้อยมันอยู่

"กะลาอ่ะน้ำ ไม่มีค่านะเราให้น้ำได้แค่นี้่ล่ะ"

น้ำเอามือขึ้นปิดปากบอทไว้ ส่ายหน้าเบาๆน้ำตาไหลพรากออกมา

"ต่อให้มันเป็นแค่เศษฟาง บอทรู้ไว้นะมันมีค่าสำหรับน้ำมาก ไม่ว่าจะอะไรเพราะถ้าบอทให้น้ำด้วยใจ น้ำก็จะรับมันมาด้วยใจ"

กะลามะพร้าวขัดจนขึ้นเงารูปหัวใจ สลักชื่อตัวอักษรของคนทั้งสองไว้ข้างกัน น้ำกำมันไว้ในมือเอามาแนบอก ใจเต้นสั่นไหวโผเข้ากอดเพื่อนรักไว้ ในใจมันดีดคับพองโตแน่นอกไปหมด สุขใจอิ่มในทรวงเหลือเกิน

สองร่างยืนตีข้าวเคียงกันอยู่บนแท่นตีข้าวรอบกายเป็นเม็ดข้าวเปลือกสีเหลืองทองกองอยู่เต็ม เหงื่อกาฬที่ผุดไหลออกมาไล่ความเหน็บหนาวออกไปจากกายได้ การตีข้าวนี้ใช้ค้อนสองท่อนมัดติดกันด้วยเชือก เวลาตีก็เอาค้อนไปเกี่ยวมัดข้าวมาตีลงกับไม้ตีจนมั่นใจว่าเม็ดข้าวหลุดออก หมดจากมัดข้าวจึงทิ้งฟาง การจับไม้ตีข้าวถ้าจับเบาเหยาะแหยะไปมือจะพองเจ็บทั้งฝ่ามือ ต้องกำให้แน่นหนา มือของเด็กวัยรุ่นในละแวกนั้นจะหาเอานุ่มนวลนั้นคงไม่มี ทั้งหญิงทั้งชายฝ่ามือด้านหนากันไปทุกคน

เพลากลางดึกก็ไปอาบน้ำกันที่บ่อหยอกล้อเล่นกันอย่างคุ้นเคย พอมานอนก็กอดก่ายกันอย่างเป็นสุขต่อให้งานหนักสักแค่ไหน มือด้านหนาสักเท่าใดไม่ได้หวั่น ทำได้เท่าที่แรงมี จะกลัวทำไมในเมื่อข้างกายมีดวงใจอีกดวงคอยมอบกำลังใจให้แก่กันไม่มีวันหมด สร้อยคอกะลามะพร้าวห้อยอยู่ที่คอของน้ำ รักมันเหลือเกินรักเหมือนเจ้าของคนที่ให้มา จะรักมันอย่างนี้ไปตลอด ไม่ยอมให้อะไรมาพรากเราสองออกจากกันได้ ขอให้รักนี้มันยืนยงอยู่นิรันคร์ด้วยเถิด

ดารดาษกลาดเกลื่อนเต็มน่านฟ้า ฤๅเทวดาเสกสรรค์บรรจงแต่ง

แสงระยิบพราวระยับขับฉายแสง   วับวามแวมทอแสงแข่งกับใจ

เคียงข้างสองกายแหงนมองฟ้า   ห่มู่ดาราโอบล้อมไม่สั่นไหว

เธอคือแรงฉันคือลมที่หายใจ     สุขในใจตราบฟ้าชั่วรันดร์


วิสัชนา สิ้นสุดลงที่ใจเรานี่ไง ขอบฟ้ากว้างแค่ไหน ใจเรากว้างใหญ่กว่ามิใช่ฤๅ


เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 10-10-2010 17:53:05
มาอ่านแว้วววววววววววววววววววว คุณอิ๊ก อ่านก่อน กลับมาเม้น ชั่วครู่  :z2:

***********************

สารภาพ คุณอิ๊ก อย่าหาว่าเรากระแดะเลยนะ
อ่านเรื่องนี้แล้วต้องไปเปิดกูเกิ้ลจริงๆล่ะ
มันได้ความรู้ท้องถิ่นด้วย..
หลายต่อหลายอย่างที่ไม่รู้จักเลย หรือได้ยินแต่ชื่อไม่เคยเห็น หรือบางอย่างเคยเห็นแต่ก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร
เช่นพวกผัก ว่าว ..
ชอบจัง อ่านแล้วพยายามจะนึกภาพตามนะ คงจะรู้สึกดีไม่ใช่น้อยเลยล่ะ
บางที..เจอแต่หน้ากากเข้าหากันทุกวัน มันก็เบื่อ.. ไอ้ครั้นจะใสๆใส่คนพวกนั้น หึหึ .. อย่าดีกว่า 


ตัดเข้าเรื่องบอทกับน้ำ..
อ่านแล้วกระบวนการคิดทำงานหนักเลย คิดไม่ออกว่าอะไรจะเป็นตัวแปรให้ดราม่า..
สารพัดคาดเดา..  :laugh:
(ตอนนี้คล้อยตามคุณอิ๊กไปเรียบร้อยแล้ว กำลังอินช่วงสวีทกัน)




 :กอด1:   ให้กำลังใจคุณอิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 10-10-2010 18:16:02
เฮ้อ.................


จะมีอะไรมาพรากสองคนออกจากกันอีกรึ eiky  

รัก eiky  เหมือนกันเน้อ ...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 10-10-2010 19:19:52
หวานเหลือเกินนะคะตอนนี้ หวานทั้งเนื้อเรื่อง หวานทั้งกลอนตอนท้ายเรื่อง

อ่านแล้วเหงาเลยค่ะ อยากมีใครสักคนมานั่งดูดาวเป็นเพื่อนแบบในกลอน  :sad4:

 :จุ๊บๆ: +1 ให้กับกลอนหวานๆ ค่ะ


*********************

หวานทราบซ่าน ทราบ แปลว่ารู้ แต่ถ้าจะให้หมายถึงความหวานแล่นไปทั่วร่างกายต้อง หวานซาบช่าน นะคะ
ใบกระเพราะ มันคือใบอะไรหรอคะ ทีแรกเข้าใจว่าต้องเป็นใบกะเพราแน่ๆ แต่เห็นคุณอิ๊กกี้สะกด กระเพราะ ตลอดเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: salawinyeen ที่ 10-10-2010 19:22:12
เริศมา่กก  อ่านทีเดียว 9 ตอน รวดครับ ชอบมากๆ  เป็นกำลังใจให้ครับ พี่อิ๊กก ^^

By เด็กม.ปลายคนนึง :n1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 10-10-2010 19:35:47
ยังคงหวานอยู่~ อ่านทีไร เสียวทุกทีว่ามันจะดราม่าเมื่อไหร่~
อะไรจะมาเป็นตัวแปรนะ?
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 10-10-2010 19:55:46
มึจุดประเด็นให้แอบเสียว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 10-10-2010 20:27:58
รักเพื่อนๆกลุ่มนี้จังเลย  ชอบที่พี่เล็กพูดจัง "เพื่อนกันไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วยวะ "
อบอุ่นดีนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 10-10-2010 20:40:51
ชอบๆๆๆๆๆๆ ครับ เห็นภาพตามได้ทุกๆตอน
ขอบคุณมากสำหรับความงามที่มอบให้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 10-10-2010 20:51:28
ชอบแนวนี้นะ อ่านไปหวานๆ แต่ก็เสียวสีข้าง กลัวมาม่า
เพลงเก่าได้อีกเนอะ  :m20: ยังงัยก็อยากให้เป็นแบบนี้เรื่อยๆ

ชอบจัง  น้ำคืออากาศที่เราหายใจ  :-[
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 10-10-2010 20:55:18
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: Pororo ที่ 10-10-2010 21:04:36
หว๊านหวานน มาต่อเร็วๆน้า คุณอิ๊กกี้ เรื่องนี้คนละแนวกับน้องญี่ปุ่นเลยเนอะ รู้สึกจะมีแต่คนกลัวดราม่า:)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 10-10-2010 21:25:52
หวานกันจังเลยน๊า อิชชี่ อิชชี่ แต่ยังแอบเสียวอยู่ดีนะคุณอิ๊ก
เฮ้อออ กลายเป็นโรคกลัวมาม่าคุณอิ๊กไปแระ  :sad4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 10-10-2010 21:27:21
ซาบซึ้งอ่ะ..แต่อย่าได้พรากจากกันจะดีกว่านะ eiky  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 10-10-2010 21:31:23
หว้านนนนนนนนนนนหวานเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 10-10-2010 21:36:25
หวานนนนคร๊าบบบ.....หวานมากกกก.....
นับวันยิ่งแต่จะมีความสุขเพิ่มพูนขึ้นทุกที.....
น้ำจะรักบอทตลอดไป....หวังว่าบอทก็คงเช่นกันนะ..
อ่านเรื่องนี้...ได้เรียนรู้วิถีชีวิตขึ้นอีกมาก....
เป็นมนต์รักลูกทุ่งก็ว่าได้นะเรื่องนี้.... :-[

 :L1: น้องน้ำ กะ น้อง eiky  :L1:
กด + ให้กำลังใจจ้า.....
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 10-10-2010 22:12:16
นั่นสิ แอบกลัวใจไรท์เตอร์ยังไงก็ไม่รู้
ขอให้หวานตลอดเรื่องไปเลยได้มั้ยอ่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 10-10-2010 22:29:12
โหผผมหายไปนานกลับมาอ่านรวดเดียวเลย

หวานได้อีก

แต่แอบเสียวจังเลยอ่ะ

กลัวใจคุณอิ๊กจังเลย

บอทกะน้ำสู้ๆๆน๊าอย่าให้คุณอิ๊กแกล้งนะ o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 10-10-2010 22:47:37
ชอบเรื่องนี้จังเลย
ขอบคุณคนแต่งมากๆนะคับ o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 10-10-2010 22:55:58
แวะมาป่วน ชวนฉลองหน้าที่เก้า ให้ eiky 55 รินแจกไปโลด
(http://img708.imageshack.us/img708/3717/josecuervoplatino.jpg)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 10-10-2010 23:11:48
ไปตั้งกะประโยคนี้ล่ะ "กะลาอ่ะน้ำ ไม่มีค่านะเราให้น้ำได้แค่นี้่ล่ะ"   :m15:
รักบริสุทธิ์ที่หาไม่ค่อยได้ในปัจจุบัน อย่ามาม่านะคุณอิคเค้ากลัว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 11-10-2010 07:29:27
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 11-10-2010 16:11:43
กลัวใจตัวเองคะ ถ้าอ่านไปแล้วเจอดราม่าหนักๆ จัดๆ แบบเรื่องที่แล้วของคุณอิ๊ก จะต้องหยุดอ่านอีกหรือเปล่า

ชอบให้คนแต่ง  แต่งได้ตามใจอยาก
แต่จะทนเห็นตัวละคร  เป็นผู้ถูกกระทำหนักๆ  บางทีก็ตามอ่านไม่ไหว

อ่านเรื่องนี้  แล้วมันหอมอวล  กลิ่นไอท้องทุ่ง  งามน้ำใสใจจริงของคนพื้นบ้าน
ภาพในความคิด  มันเลยดูสว่าง ใส  อบอุ่น  มีความสุข
อึดอัดด้วยรักที่แปลกแยก  แต่จะสมหวังในรักแรกของเด็กอายุแค่ 15-16  ดูท่าจะเป็นเรื่องยากจริงๆ

สนิมที่เกิดจากน้ำค้าง  กัดกร่อนเหล็กจนผุผังได้  แล้วถ้าเกิดสนิมในใจขึ้นมา  แล้วไม่ขัดถูทำความสะอาดให้ทันท่วงที  คงไม่พ้นเหมือนตายทั้งเป็นแน่ๆ  อ่านไปก็ระแวงไป  ว่าอะไร  คือ บ่อเกิดแห่งสนิมนั้น :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 11-10-2010 17:51:43
แวะมาป่วน ชวนฉลองหน้าที่เก้า ให้ eiky 55 รินแจกไปโลด
(http://img708.imageshack.us/img708/3717/josecuervoplatino.jpg)


โหป้า ขอเบอร์เบิ้นได้ไหมอ่า อิอิ ขอเบอร์เบิ้นออนเดอะร็อกแก้วคร้าบ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 11-10-2010 17:54:57
^
^
^
พี่อิ๊กขี้เมา  5555555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 11-10-2010 18:22:15
บทที่ ๑๐

ปุจฉา ใบไม้ที่ร่วงหล่นหลุดหายจากกิ่งก้าน ใยเรามองมันจึงยิ้มออกมา

๒๖ พฤศจิกายน

รู้ตัวอีกทีนี่มันปลายเดือนพฤศจิแล้วเหรอวะ ยุ่งจนลืมวันลืมคืน วันเกิดกูเพิ่งผ่านมาเมื่อวานได้ของขวัญจากมึงด้วยล่ะ ดีใจมากไม่เคยคิดเลยว่าจะได้อะไรเป็นของขวัญ ยิ่งจากคนที่กูรักอย่างมึง แต่ได้มาก็ดีนะ กูมีความสุขมาก ใครบอกมึงว่ามันเป็นแค่กะลาขัดเงา มันคือดวงใจของมึงต่างหาก มันมีค่ากว่าเพชรพลอยเสียอีก กูสัญญากูจะเก็บมันไว้อย่างดี ส่วนวันเกิดมึงปีหน้าเดี๋ยวกูก็มีของให้เหมือนกัน เวลามันผ่านไปเร็วจังเนอะเวลาที่เรามีความสุข ลืมเขียนตอนวันลอยกระทงไปเลยว่ะ ไม่ใช่มันไม่พิเศษนะ แต่กูเป็นสุข สุขเสียจนลืมไปเลยว่าเขียนไดอารี่อยู่ เอาเป็นว่าเขียนคร่าวๆละกันนะ เผื่อวันหลังมาเปิดอ่านจะได้ย้อนความทรงจำได้ว่าวันลอยกระทงปีนี้เป็นวันพิเศษอีกวันของกูกับมึง ก็ไม่มีอะไรมากตอนแรกว่าจะไปลอยบ้านใหญ่กับอีเอ๋กับไอ้ไก่ แต่มึงบอกว่าไปลอยที่ห้วยกันสองคนเรา กูก็เห็นดีด้วยนะ เพราะรู้สึกอยากอยู่แต่กับมึง ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งอยากเห็นหน้าแต่มึงคนเดียว กูคงบ้าไปแล้ว มึงไปตัดเอากาบหมากมาทำเป็นเรือ กูก็ไปขโมยดอกไม้ป้าสายมา อิอิ แกคงไม่ด่าหรอกถือว่าช่วยกันบูชาเจ้าแม่คงคา เป็นอีกวันที่กูได้กอดเอวมึงซ้อนท้ายรถมอร์ไซค์ไปที่ห้วย ให้ตายเถอะจะกอดอีกกี่ทีจะซบมึงอีกกี่หนกูก็ไม่เคยเบื่อ ถ้าทำได้นะอยากจะเอาตัวเข้าไปในตัวมึงเลยล่ะ ฮ่าๆๆ กูคงบ้าไปแล้วจริงๆ ยังจำได้เลยที่เราตัดเส้นผมที่กระหม่อมมาคนละหยิบ มึงยังแกล้งกูตัดออกมาเป็นกำหัวแหว่งเลยนะ แต่ไม่โกรธหรอกมึงมันชอบแกล้งกูอยู่แล้วนี่ มึงส่องไฟจากหม้อแบตให้กูตัดเล็บให้มึง กูรู้สึกดีมากว่ะ รู้สึกดีจนประหลาด ไม่รู้ว่ามึงอธิษฐานอะไรไปนะ แต่กู "ขอให้คนที่อยู่ข้างกายลูกคนนี้เป็นคนเดียวที่ลูกจะรักและขอให้เขารักลูก อย่างที่ลูกรักด้วยเถิด" นี่คือคำอธิษฐานของกู แต่เขาบอกไม่ให้บอกใครนี่หว่า แต่คงไม่เป็นไรในเมื่อมึงไม่รู้นี่นะ กูขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ ขอให้เรารักกันตลอดไปเรื่องวันข้างหน้ามองไม่เห็นไม่อยากจะคิด ไม่สนใจ แค่ตอนนี้เรารักกัน ทุกๆวันที่ผ่านไปเรายังรักกัน วันพรุ่งนี้มันก็จะเหมือนกับวันนี้ กูเชื่ออย่างนั้น เอาล่ะต้องไปตีข้าวกับมึงแล้ว เดี๋ยวว่างจริงๆค่อยมาเขียน สัญญาว่าจะเขียนให้เยอะๆเลย

เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาที่หัวใจมันรู้สึกสุขทุกวินาทีที่เรากำลังใช้มันอยู่ทำไมมันถึงรู้สึกว่ามันสั้นแสนสั้น แค่หลับไปในอ้อมกอดคนรักตื่นมาก็เหมือนว่ามันจะผ่านไปไม่นานกอดยังไม่พอเลย ทั้งที่มันผ่านมานานแสนนานแล้ว แต่เวลาที่เราทุกข์บอบช้ำทำไมแต่ละวินาทีเหมือนว่าเข็มนาฬิกามันถูกห้อยไว้ด้วยก้อนหิน มันเดินเชื่องช้า แต่ละวินาทีมันแสนเจ็บปวด มาคิดดูดีๆแล้วเวลาเรามีเท่าๆกัน ใจเราเองที่ยึดไปติดไปกับสิ่งหวานสิ่งขมนั้น ห้ามไม่ได้หรอกนะเวลาเราเป็นทุกข์ที่จะไม่ให้เสียใจและเหมือนเวลาแต่ละนาทีมันเชื่องช้า และก็หยุดมันไม่ได้หรอกนะถ้าหากคิดว่าเวลามันแสนจะเดินผ่านไปเร็วแสนเร็วในวันที่เราเป็นสุข มันเป็นสัจธรรมจริงไหม

คืนนี้แม่นิ่มมานั่งคัดฟางด้วย น้ำกับบอทจึงไม่ได้หวานกันอย่างเคยต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาตีข้าวคุยกันบ้างแต่ไม่มากนัก คอยมองตากันตลอดเวลาไม่อยากให้แม่นิ่มจับได้ รอเวลาที่แม่นิ่มกลับบ้านไปนอนถึงเวลานั้นค่อยมาหวานกันใหม่

"แม่ไปนอนก่อนล่ะลูก อย่านอนดึกนักล่ะได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น"

แม่นิ่มลุกขึ้นจากการแกะมัดข้าวยีดูในฟางอีกรอบว่ามีเม็ดข้าวหลงเหลืออยู่หรือไม่ถ้ามีเหลือก็จะเอามือรูดออกไม่ให้หลงเหลือสักเม็ดเดียว

"ไม่รีบก็ไม่เสร็จสักทีสิแม่ แม่ไปนอนเถอะเดี๋ยวง่วงแล้วจะนอน"

บอทพูดออกไปหันมายิ้มให้น้ำ น้ำเองก็ตั้งหน้าตั้งตาตีข้าวไม่ได้สนใจมากนัก พยายามเก็บรอยยิ้มเอาไว้ พอแม่นิ่มกลับบ้านไปแล้ว บอทก็เลิกตีข้าวดึงแขนน้ำให้เดินตามไป

"ไปอาบน้ำกันป่ะน้ำ คันแล้ว"

"ไม่ต่อให้เสร็จกองนี้ก่อนเหรอบอท นี่เพิ่งจะสามทุ่มเองนะ"

"ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจแล้วอยากจะนอนกอดน้ำแล้ว"

"บ้า"

อายม้วนไป น้ำต้องยอมเดินตามบอทไปอาบน้ำที่บ่อขุดปลายนาถือถังน้ำไปด้วย ส่วนบอทถือผ้าขาวม้ากับสบู่ติดมือไป ลมหนาวปลายเดือนพฤศจิกายนดูเหมือนจะเป็นลมที่พัดพาเอาความหนาวเหน็บมามากกว่าตอนต้นเดือนเสียอีก น้ำในบ่อพอประทังความหนาวเย็นไปได้บ้าง ไม่เหมือนน้ำในตุ่มที่เย็นยะเยือก น้ำในบ่อมันจะอุ่นคงเพราะมันยังเก็บความร้อนจากแดดไว้ได้บ้าง ทั้งสองรีบอาบน้ำถูหลังให้กันก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้ารีบเดินกลับมาที่ซุ้ม น้ำเอาซิตร้าทาตัวให้บอทแล้วหันมาทาตัวเองเพราะถ้าไม่ทามันจะแตกแสบ บางทีอาจจะมีเลือดซึมออกมาจากรอยแตกนั้น พอตกดึกลมดูเหมือนจะสงบลงแล้วมีเพียงหยาดน้ำค้างที่พร่างพราวลงมาจากฟากฟ้า ให้สรรพสิ่งใต้ฟ้านั้นหนาวเย็นยะเยือก น้ำค้างบางคืนตกหนักมากพอตื่นเช้ามาจะรู้สึกเหมือนว่าเมื่อคืนฝนได้เทลงมาแต่หาใช่ไม่เพราะมันเป็นน้ำค้างนั่นเอง บอทเองกระชับกอดร่างของน้ำไว้ในอกมีผ้าห่มขี้งาคลุมอยู่อีกชั้น

"หนาวจังนะน้ำ"

"อืม น้ำค้างคงลง"

"เราไม่ได้ทำรักกันนานแล้วนะน้ำ แม่อยู่ตลอด คืนนี้เราทำอีกไหม"

"ไม่เอา มันหนาวกอดเฉยๆได้ไหมอ่ะบอท"

น้ำอ้อนวอนปากขยับพูดอยู่ปลายคางของบอท เจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆตอบรับไม่อยากจะฝืนใจ เห็นด้วยกับน้ำว่ามันหนาวเกินไปแค่กอดกันให้ร่างกายอุ่นก็มีความสุขแล้ว

พอเดือนพฤศจิกายนจะล่วงพ้นผ่านไปแต่ปลายเดือนมีงานใหญ่ประจำปี นั่นคืองานทอดกฐินที่ปีนี้ผู้ใหญ่มาเศรษฐีประจำหมู่บ้านปักต้นกฐินเอาไว้ ได้ข่าวว่าจ้างหมอลำมาเป็นมหรสพสมโภชตอนกลางคืนด้วย ด้วยชื่อของคณะหมอลำที่โด่งดังมาจากจังหวัดขอนแก่น ชื่อเสียงของงานกฐินปีนี้จึงแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านใกล้เคียงในตำบลต่างก็พากันตั้งหน้าตั้งตาจะมาดูหมอลำในคืนวันงาน ส่วนเด็กนักเรียนเองไม่ต้องห่วงเรื่องงานกฐินกล่าวขานไปมากกว่าเรื่องใดๆเสียอีก ต่างคนก็ต่างนัดหมายกันว่าจะไปกับใครไปกี่โมง นัดเจอที่ไหน ส่วนเพื่อนๆในห้องต่างก็สนใจอยู่ไม่น้อย เอ๋กับไก่รวมทั้งเล็กตั้งใจจะมานอนค้างที่บ้านของน้ำ แต่การดูหมอลำในแต่ละครั้งก็เล่นเอาถึงสว่างเพราะฉะนั้นหมายว่าจะนอนคงไม่ได้นอนแต่อย่างใด

ตอนกลางวันชาวบ้านก็พากันแห่ต้นกฐินรอบหมู่บ้าน ข้ามไปบ้านใหญ่ด้วย ระยะทางในการแห่จุดประสงค์ก็เพื่อจะประกาศอย่างเป็นทางการว่าบ้านนี้มีงานบุญ ซึ่งบุญกฐินถือว่าเป็นบุญใหญ่ที่สุดประจำปี ต้องปักต้นกฐินไว้ล่วงหน้า วัดละต้นเท่านั้นตามหลักปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา เสียงกลองยาวแห่ขับกล่อมไปกับพิณแคนดังปลุกใจให้เด็กนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนไม่เป็นอันเรียน พอได้ยินเสียงกลองก็ต่างหันหน้าเข้าหากัน ใจมันไปไกลถึงคืนนี้เสียแล้ว

"เดี๋ยวกูไปรับนะอีเอ๋ ทุ่มครึ่งนะมึง ลีลามากมึงมาเอง"

เล็กร้องบอกเอ๋ตอนเลิกโรงเรียน

"ค่า คืนนี้ล่ะเอ๋จะสวยสะพรั่ง เพื่อได้ชายสักคน อิอิ"

"คงได้แต่ขี้เมาหน้าเวทีหมอลำนั่นล่ะมึง เตรียมเงินไปซื้อเหล้าขาวให้พวกมันกินด้วยล่ะ"

"เวรไก่ มึงอย่าเมาละกัน เดี๋ยวกูจับทำผัวเลยนี่ปากดีนัก"

เสียงหยอกล้อกันดังออกมาจากโรงเรียน ต้นอโศกที่เรียงแถวเป็นทิวยาวลู่ไปตามลม อากาศหนาวเย็นเช่นเคย ลมหนาวก็พัดหอบเอาฝุ่นคลุ้งกระจายอยู่ทั่วบริเวณบนบ้านแต่ละบ้านมีฝุ่นหนาเป็นนิ้วต้องรอปีใหม่ถึงจะทำความสะอาดบ้านกันขนานใหญ่ ตอนหน้าหนาวก็ปัดกวาดบ้างเพราะทำยังไงฝุ่นก็ไม่ยอมหมดไปเสียที

"ทำไมมันชอบดูกันจังนะหมอลำ คนเยอะจะตายน่ารำคาญ"

บอทบ่นขึ้นระหว่างทางไปเกี่ยวหญ้าที่สวนของน้ำ

"อ้าว พูดเหมือนไม่อยากไปดูงั้นล่ะบอท"

"เฉยๆอ่ะน้ำ อยากจะไปตีข้าวใหเสร็จมากกว่า"

"ก็แวะไปแป๊บเดียวไง เดี๋ยวค่อยกลับมาตีข้าวต่อ"

"อืม น้ำว่าไงก็ว่างั้นอ่ะ"

"แปลกคน มีแต่คนเขาอยากจะไปดูหมอลำ"

น้ำบ่นออกมาตามลมไม่ได้ตั้งใให้บอทได้ยิน

"ใจจริงก็อยากไปนะน้ำ แต่คิดว่าอยากอยู่กับน้ำมากกว่า ดูอะไรมันก็ไม่มีความสุขเท่ามองหน้าน้ำหรอก"

ช่างเสกสรรปั้นแต่งคำออกมาพูด น้ำยิ้มออกมาใจละลาย ไม่รู้จะกี่ร้อยครั้งแล้ว ได้ยินทีไรใจหายมลายไปกับลมทุกที แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มออกมาเดินหนีไปเสีย เพราะอายจนไม่รู้จะไปท่าไหนแล้ว

พอตะวันคล้อยลงต่ำชาวบ้านที่วันนี้ต่างหยุดการทำนามาวันหนึ่งเพื่อช่วยงานบุญกันตั้งแต่เมื่อคืน ต่างก็อาบน้ำผลัดผ้าแต่งตัวสวยๆงัดเอาชุดที่อยู่ในตู้ออกมาใส่เกือบทุกผู้ทุกคน บริเวณงานคือบ้านของผู้ใหญ่มาที่อยู่ติดชายป่าละเมาะเหนือหมู่บ้านไม่ห่างจากบ้านของบอทกับน้ำมากนัก มีผู้คนมาขายของ ก็จะมีลูกข่างหลากสีสันเวลาเล่นก็หมุนให้มันเกิดเสียงอ๊อดแอ๊ด มีข้าวเกรียบแผ่นโตที่ย่างกันให้เห็นจะจะ ตอนเป็นเด็กตื่นตาตื่นใจกับขนมชนิดนี้มากไม่อยากจะเชื่อว่าแป้งแข็งๆแผ่นเท่าฝ่ามือแต่พอเอาไปย่างไฟมันจะขยายออกใหญ่โตได้ขนาดนั้น มีลูกชิ้น กล้วยแขกทอด น้ำอัดลมใส่ถุง และที่ขาดไม่ได้ถั่วต้ม แม่นิ่มกับแม่บุญช่วยกลับมาในตอนเย็นเพื่ออาบน้ำผลัดผ้าออกไปช่วยงานอีกรอบ ส่วนพ่อถาวรประจำอยู่ที่งานตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แวะมาอาบในตอนเช้าไม่ต้องไปโรงเรียนเพราะผู้ใหญ่มามีลูกชายเป็นรองครูใหญ่ ชื่อครูวิชิตสอนวิชาคณิตศาสตร์กับวิชาสลน(จำไม่ได้ว่าชื่อเต็มมันคืออะไร)อยู่ที่โรงเรียน จึงอาศัยอภิสิทธิ์ไม่ต้องไปโรงเรียนแต่ให้มาช่วยงานที่บ้านแทน ส่วนหินก็อาบน้ำแต่งตัวไปกับเพื่อนข้างบ้านตั้งแต่แก่ต้นกฐินยังไม่กลับมาบ้านเลย

"ทำไรกินกันดีน้ำ แม่นะแม่ไปไม่สนลูกเลย"

บอทบ่นขึ้นเมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว เดินมานั่งที่แคร่หน้าบ้านของน้ำ

"บอทอยากกินอะไรล่ะ หมกปลาไหม"

"ฮื่อ เบื่อกินแต่ปลาทุกวัน"

"อ้าวก็มันมีแต่ปลานี่ หรือจะกินอ่อมกบ"

"เออ อ่อมกบก็น่าจะดี"

"น้ำไม่ฆ่ากบนะแต่เดี๋ยวทำให้"

"คร้าบ พ่อนักบุญ มาๆเดี๋ยวเราทำเอง"

อ่อมกบที่ว่าไม่เหมือนแกงอ่อมที่เขาทำขายกัน วิธีทำก็เอากบมาชำแหละแล้วสับเป็นชิ้นเล็กๆเอาไปคั่วกับเครื่องเทศมีหัวหอม กระเทียมพริกแดงตะไคร้โขลกให้ละเอียดใส่เกลือนิดหน่อยถ้ามีเม็ดพริกไทยก็ทุบลงไปสักสองสามเม็ดพอเป็นกลิ่น คั่วจนหอมปรุงรสแล้วเอาน้ำเติมให้กะว่าเนื้อกบจะเปื่อยยุ่ยไม่เหนียวพอกิน รอจนเดือดชิมดูอีกรอบถ้าใช้ได้ก็เอาใบชะพลูลงไปปิดฝาหม้อเป็นอันใช้ได้ น้ำเป็นคนไปเก็บใบชะพลูที่ริมรั้วมาให้แล้วมาตำเครื่องเทศ ส่วนบอทเป็นคนแร่เนื้อกบแล้วสับเตรียมไว้ให้น้ำเป็นคนปรุง พอดีกับเพื่อนทั้งสามมาถึง

"โห ทำไรวะน้ำหอมเชียว"

เล็กเดินปรี่เข้ามาหาหลังจากที่จอดรถเครื่องไว้มิดชิดดีแล้ว

"ว้าย อ่อมกบ บ้านมากค่า"

"ตอแหล แหมวันก่อนกูเห็นเลียจานเลยนะต้มส้มกบน่ะ"

เล็กดอดขึ้นเอ๋ทำหน้าอายๆ

"ว้าย ก็มีบ้าง ใกล้เสร็จยังอ่ะน้ำ หอมยั่วน้ำลายดีจัง"

"กูว่าแล้ว มึงกับไอ้ไก่ไปซื้อส้มตำพี่นางมาหน่อยดิ จะมาจวกกินแต่ของเขาหัดออกกับบ้าง"

เล็กบอกแล้วล้วงเงินให้เพื่อนทั้งสอง

"ต๊าย ไอ้ไก้มันจะไม่คิดอะไรเหรอ ชั้นน่ะไม่ได้คิดนะ"

เอ๋จีบปากจีบคอพูดขึ้น

"มึงจเดินดีๆหรือให้กูถีบ อีเอ๋"

ไก่ทำท่ารำคาญขึ้นง้างเท้าทำท่าจะทำอย่างที่พูดจริงๆ

"ว้ายอย่านะคะผัวขา เดี๋ยวคืนนี้เมียไม่ทำให้นะ"

"อีเอ๋"

พูดแล้ววิ่งหนีไปแล้วไก่วิ่งตามเพื่อนๆที่เหลือก็หัวเราะกันลั่น รู้ไหมความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายไม่ว่ามันจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่ความทรงจำนี้มันยังแจ่มชัดอยู่ ไม่มีสื่อทันสมัยให้ต้องแยกปลีกตัวออกจากเพื่อน ไม่ต้องไปปาร์ตี้สังสรรค์กันมากมายนัก ไม่มีสิ่งของหรูหรามาอวดอ้างกัน แต่ทำไมความทรงจำกลิ่นโคลนสาบควายมันถึงติดแน่นอยู่ไม่มีทางลบเลือน พอซื้อส้มตำมาเสริมอีกอย่าง เอ๋ซื้อไก่ย่างมาด้วยไม้หนึ่ง ทุกคนก็เริ่มลงมือกินข้าว พอเสร็จน้ำกับบอทก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปดูหมอลำกับเพื่อนๆ

เทวีหันหลังให้ป่ามีลานกว้างเบื้องหน้าให้คนไปปูเสื่อนั่งดู คณะฟ้าสีคราม ชื่อเสียงดังระบือไกลไปหลายจังหวัด จึงไม่แปลกใจที่ต่างบ้านต่างอำเภอจะพากันแห่แหนมาดู บางคนมีรถกระบะ หรือรถหกล้อก็ว่าจ้างกันมา คนเยอะเต็มพื้นที่เสียงอึกทึกครึกโครมอยู่ เสียงดนตรีดังขึ้นจากบนเวที ทุกสายตาก็หันไปมองอย่างใจจดใจจ่อ หมอลำแบบนี้เรียกว่าลำเพลิน คือมีการเดินกลอนด้วยเพลงหรือลำ การดำเนินเรื่องไปเร็วเหมือนกระตุ้นคนดูอยู่ตลอดเวลา ฉากแสงสีเสียงตื่นตาตื่นใจ

"ไก่พาเอ๋ไปหน้าเวทีหน่อยสิ นะนะ อยากดูหางเครื่องใกล้ๆ"

เอ๋จับแขนไก่เขย่าอยู่

"ไม่เอา เดี๋ยวเขาจะตีกัน"

"ไม่ได้ไปตรงนั้น ไปข้างๆลำโพงโน่น ชอบคนนั้นอ่ะ"

ทำท่าอายออกมาสายตามองไปยังหางเครื่องหนุ่มบนเวที

"พามันไปหน่อยสิไอ้ไก่ สงสารมันเผื่อมันจะได้มีผัวกับเขาเสียที มึงไม่อยากให้มันมีผัวเหรอมันจะได้ไม่มายุ่งกับมึง"

เล็กบุ้ยปากให้ไก่ทำตามคำเรียกร้องของเอ๋

"เออๆ อีนี่ สั่นเชียวนะพอเห็นผู้ชายน่ะ"

"แหมมันก็มีบ้าง อิอิ น่ารักที่สุดเลยอ่ะไก่"

"มึงไม่ต้องพูดมากจะไปไม่ไป"

ไก่ยังขู่อยู่เอ๋รีบลุกเดินนำหน้าไปก่อนทันที

"ดูมันนะ"

เล็กหัวเราะตามหลังเพื่อนทั้งสองที่เดินตามกันไปหน้าเวทีแล้ว ที่ไหนมีหมอลำที่นั่นจะต้องมีเด็กวัยรุ่นตีกัน ไม่รู้ทำไมเหมือนกันบางคนตั้งใจมาเพื่อตีกันโดยเฉพาะ จนเจ้าภาพบางคนต้องออกกฏว่าถ้าใครตีกันในงานเขา ต้องรับผิดชอบค่าจ้างหมอลำทั้งหมดหรือไม่ก็กึ่งหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังไม่วายนัดกันออกไปตีตามทุ่งเสียนั่น หมอลำดำเนินต่อไปได้สักพักทางหน้าเวทีก็อื้ออึงวิ่งไล่กัน

"เฮ้ย ดีกันแล้วว่ะน้ำ"

เล็กลุกขึ้นจากเสื่อยืนมอง

"แล้วอีเอ๋กับไอ้ไก่ล่ะมึง"

น้ำร้องขึ้นเป้นห่วงเพื่อนทั้งสอง

"เดี๋ยวกูไปดูเอง อ้าว ไอ้ไก่นี่ ห่าเอ้ย"

เล็กมองไปตามคนที่วิ่งหนีคนที่กรูกันเข้าหา จำได้ว่าคนที่วิ่งหนีนั้นคือไก่ที่มีเอ๋วิ่งตามอยู่ ทั้งสามคนลุกขึ้นจากที่วิ่งไปหาทันที

"มีอะไรกัน"

เล็กวิ่งเร็วกว่าไปดักหน้าไว้ ชายหนุ่มจำนวนมากวิ่งตามมาพ้นจากบริเวณงานไปแล้ว บนเวทีก็ประกาศให้ผู้คนอยู่ในความสงบดำเนินการละเล่นต่อไป

"กวนตีนนะมึง จะหนีไปไหนวะ"

เสียงชายหนุ่มที่วิ่งมาสี่ห้าคนเกรี้ยวกราดขึ้น เล็กวิ่งไปดักหน้าไว้ในมือของชายหนุ่มก็มีขวดมีไม้เต็มกำลัง

"มีอะไร มึงเก่งมาจากไหนมาตีคนบ้านนี้ มึงอยากตายเหรอ"

"อีห่า มึงปากดีนะ มึงไม่เกี่ยวถอยไป"

"ทำไมจะไม่เกี่ยว นี่เพื่อนกู มึงจะเอาอะไรมาเอากับกู"

"อีเล็ก"

เสียงร้องออกมาจากกลุ่มของชายหนุ่ม

"อ้าว ไอ้ต้นมึงเป็นเพื่อนพวกนี้เหรอวะ"

"เฮ้ย อย่าไปยุ่งกะมันเลยว่ะไปเถอะๆ"

เด็กคนนั้นดึงแขนเพื่อนๆให้กนีจากการวิวาท

"เดี๋ยวไอ้ต้น พวกนี้บ้านไหน ทำไมกูไม่เคยเห็นหน้า"

เล็กกร้าวเสียงใส่กลุ่มผู้ชายไม่ได้เกรงหรือกวาดกลัวแต่อย่างใด

"เอ่อ บ้านหัวตะพานมึง" ตอบออกมาอ้อมแอ้ม

"อ้อ มึงรู้จักพ่อกำธรไหม ถ้าไม่รู้จักไปถามพ่อมึงดู"

"หา ลูกพ่อกำธรเหรอ"

"เออ กูนี่ล่ะลุกพ่อกำธร หรือมึงยังอยากมีเรื่องอยู่ ไปให้พ้นหน้ากูเลยนะ"

ปรี่เข้าหา กลุ่มชายพวกนั้นถอยกรูหนีไปทันที

"ไม่มีอะไรแล้ว ไปกลับเถอะกูหมดอารมณ์ มึงไปทำอีท่าไหนวะไอ้ไก่ ไปกวนตีนมันได้ ไอ้ต้น่ะมันสิงห์ดมกาวนะมึง ดีนะที่มันเห็นแก่หน้ากู"

เล็กหันมาถามคนต้นเรื่อง เอ๋วิ่งตามมาหอบแห่กๆอยู่ใกล้ พ่อของเล็กนับเป็นคนมีหน้ามีตาทางสังคมอยู่ไม่น้อยเพราะเป็นพ่อค้าคนกลางที่ไปคอยซื้อข้าวเปลือก ทุกบ้านในอำเภอจึงรู้จักหน้าค่าตาเป็นอย่างดี ที่ไม่อยากจะมีเรื่องด้วยเพราะถ้าพ่อของเล็กเต้นไปตามลูกบ้านนั้นก็ถือว่าซวยไป

"กวนห่าอะไรล่ะมึง มันผลักอกกูหาว่ากูไปมองเด็กมัน อีห่านั่นใครจะไปมอง"

"นั่นสิเล็ก พวกนี้มันบ้า อีนั่นนะก็แรดเต้นอยู่หน้าเวทีใครจะไปเอา"

"เออ หมดเรื่องแล้วกลับเถอะ กูไม่ดูต่อแล้ว อย่าให้เจ้าถาพเขามาจับได้ล่ะมึง มีปัญญาจะจ่ายค่าหมอลำเขาไหม"

"งั้นไปตีข้าวช่วยกูล่ะกัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว"

บอทเอ่ยขึ้น

"โห ไอ้บอท มึงนี่ตลอดเลยนะ เออ ไปก็ไป งั้นมึงต้มไก่เลี้ยงเลย อีเอ๋ ไปซื้อเหล้าขาวมาดิ ไปกินที่นาก็ได้โว้ย"

ข้อสรุปคือไปช่วยบอทตีข้าว คืนนั้นก็ทำได้แค่ฟังเสียงหมอลำที่ลอยมาตามลมเพราะเกิดเหตุเสียก่อน แต่ดูเหมือนทุกคนจะร้อนใจอยู่แต่ตอนแรกพอเหล้าขาวเข้าปากไปก็เปลี่ยนท่าที บอทกับน้ำไปจับไก่ในเล้ามาต้มให้เพื่อนๆกิน พอสุกก็ยกไปทั้งหม้อเดินไปที่นาท้ายบ้าน

"เออ แปลกดีเหมือนกัน บอกแม่มาดูหมอลำแต่มาฟังลำเอาท้ายบ้าน ฮ่าๆๆ ไปๆไอ้ไก่มึงตีข้าวให้ได้เยอะกว่าใคร โทษฐานซ่านัก"

เล็กบอกแล้วยกแก้วเหล้าขาวกระดกลงคอ หลับตาปี๋หน้าเริ่มแดงก่ำ พอเริ่มเมาก็ไปออกแรงตีข้าวให้เหงื่อออก พอรู้สึกเหมือนจะสร่างก็มายกอีก วนเวียนกันทำอยู่อย่างนั้น เสียงคุยกันเสียงหัวเราะดังแข่งกับเสียงหมอลำจากในบ้านที่ดังแว่วออกมา

"อ้าว ไอ้ไก่ ห่าเมาไปแล้วมึง"

เอ๋ไปตีหน้าเพื่อนเบาๆเมื่อเห็นคอพับอยู่กับพื้น

"ครายมาว กูม่ายมาว หนายอาวมาอีกจอกดิ"

"ต๊าย พูดยังไม่รู้เรื่องจะกระแดะเอาอีกจอก เดี๋ยวเถอะมึง ได้เป็นผัวกูแน่"

ตั้งใจพูดขู่ให้เพื่อนกลัว

"เออ เป็นก็เป็น มาเลยเมียจ๋า ผัวพร้อมแล้ว"

"โหมึง จะเอากันอีกคู่แล้วว่างั้น"

เล็กโพล่งขึ้น น้ำหันขวับทันที

"เออ อีเอ๋มึงลากมันไปในซุ้มไป ไม่มีใครไปดูคู่ผัวตัวเมียคู่มใหม่หรอก"

เล็กพูดออ้อมไปเพราะสายตาของน้ำแสดงความไม่พอใจออกมา

"โหมึง มันไม่รู้หรอกน่า กูขอโทษเมาแล้วปากพล่อยไปหน่อย"

"เออ มึงระวังหน่อยสิเล็ก กูไว้ใจมึงนะ"

"คร้าบ คุณน้ำ มาๆดื่มให้กูหน่อย"

เล็กกอดคอน้ำเมาเต็มที่แล้ว กลิ่นเหล้าขาวหึ่งออกมาตามลมหายใจ บอทเองก็เริ่มเมาตีข้าวอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำเองก็เมา สรุปกอดคอกันนอนอยู่ตรงกองข้าวนั่นเอง น้ำค้างที่พร่างพราวลงมาทำให้ทั้งสามคนลากกันเข้าไปนอนในซุ้มเบียดกัน แน่นอยู่ในนั้นจนเช้า

พอเช้าแม่นิ่มก็มาปลุกให้ตื่นกัน ตะวันโด่งสาดส่องไล่หยาดน้ำค้างให้แห้งเหือดไปหมดแล้ว

"เมื่อคืนไม่ได้ไปดูหมอลำกันเหรอลูก พากันมาตีข้าวอยู่นี่ขยันกันจริง"

"ไปแป๊บเดียวแม่ ไม่สนุกเลยมาที่นี่ดีกว่า"

เล็กตอบแก้เก้อไปก่อน

"เออนั่นสิเมื่อคืนมีคนตีกันด้วยนะ อย่าให้รู้นะว่าใครจะให้มันจ่ายค่าหมอลำให้เข็ด เด็กสมัยนี้เอะอะอะไรก็ตีกัน ไม่เข้าใจจริงๆ"

มองหน้ากันทั้งห้าคน

"นั่นสิแม่ เสียดายหมอลำอยู่นี่ ตั้งใจมาฟังนะเนี่ย"

"โอละหนอ ฟ้าเอ๋ยฟ้าฮ้องฮ่าวเสียงยาวยาวของผู้เฒ่าแห่งคิดฮ่ำ ละคิดนำเด้คิดนำแต่บักหล่าไปหางานอยู่กรุงก้วง"

เสียงลำดังขึ้นจากปากแม่นิ่ม เด็กทั้งห้าคนมองตาปริบๆ ลำที่แม่นิ่มลำออกมาเขาเรียกว่าลำล่อง คือจะลำประกอบกับแคนเพียงอย่างเดียว เน้นเสียงของคนลำเองว่าเสียงดีมากน้อยเพียงใหน เป็นลำที่ไม่ค่อยได้ยินตามยุคสมัยนี้แล้ว แม่นิ่มลำต่อไปเรื่อยๆ แม้จะไม่มีแคนขับกล่อมแต่น้ำเสียงของแม่นิ่มก็กินใจได้ไม่น้อย เนื้อหาของลำก็เกี่ยวกับมารดาที่คิดถึงบุตรที่ไปหางานทำที่เมืองหลวง เสียงลำที่โหยหวนชวนให้ขนลุก เล็กน้ำตาคลอออกมา ส่วนเอ๋ถึงกับร้องไห้ออกมา น้ำเองก็น้ำตาซึมไม่เคยฟัง

"แม่เป็นหมอลำเก่าเด้ลูก เสียงยังใช้ได้อยู่ใช่ไหม"

หัวเราะออกมาเด็กๆพากันปาดน้ำตากันเป็นแถบ ต่างคนก็ต่างอายกัน มนต์เสน่ห์ของท้องทุ่งตราตรึงอยู่ในใจ กลิ่นอายของความสุขตลบอบอวลไปทั่ว งานที่ว่าหนักไปสำหรับเด็กวัยรุ่นแต่ถ้ามองในแง่ดี งานหนักนี้คือที่รวมจิตใจฝึกให้เราไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งหนใดถ้าเราเข้มแข็งไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคเชื่อว่าสักวันแสงสุริยาฉาย มันจะส่องแสงงามนั้นมาโปรดเราให้เห็นทางไปเอง

วิสัชนา เพราะตาเราไม่ได้มองที่ใบไม้ร่วงหรอกหนา แต่ตาเรามองผ่านมันไปเห็นแค่ใบหน้าของคนที่รักลอยเด่นอยู่นั่นไง

http://www.youtube.com/v/04cxcHc8YUQ?fs=1&amp;hl=en_US

ไม่รู้จะได้ไหมนะ ลองฟังดูครับ ศิลปะอีกแขนง อิอิ

เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 11-10-2010 18:48:31
หวานกันตลอดๆๆ  ว่าเอ๋กะไก่นิมีสิทธิลุ้นม่ะ  55
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: salawinyeen ที่ 11-10-2010 18:53:10
 :n1: Like+1 ครับ พึ่งเคยฟังหมอลำ เพราะดีครับ ^^

เป็นกำลังใจให้พี่อิ๊กครับ :)

ฺBy เด็กม.ปลายคนหนึ่ง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๙ (ตุลาคม ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 11-10-2010 18:58:17
อ่านแล้วซึ้งมากกก
แอบช็อคไปเหมือนกันตอนที่เล็กทักเรื่องครอบครัว
สู้ๆนะ น้ำกับบอท

ของที่ทำให้ด้วยใจสินะ มีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมดเลย
ชอบเรื่องนี้มาก จะรอตอนต่อไปค่า
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: som~ ที่ 11-10-2010 19:02:02
ชอบค่ะ  ให้ความรู้สึกที่เป็นบ้านนอกเลยถึงจะไม่ทันสมัยเหมือนกรุงเทพเเต่มีความสุขที่ใจ


ติดตามต่อจ๊ะ    เป็นกำลังใจให้        :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 11-10-2010 19:12:43
ออนซอนเด้เสียงหมอลำ ทำเอาน้ำตาไหล
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 11-10-2010 19:30:34
ยังคงหวานกันอยู่
อ่านแล้วแอบเชียร์เอ๋กับไก่นะ 555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 11-10-2010 19:48:18
เจ๊เล็กขาใหญ่
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 11-10-2010 19:56:18
เอาของมาฝาก รับเอาไปสิจ๊ะ eiky เอามาให้แทนเตกีล่า พลาติโน่ 555
(http://www.abk6-cognac.com/upload/images/ABK6%20COGNAC%20XO.jpg)




แต่ปรกติป้าชอบแบบนี้มากกว่า กร๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาก
(http://wineme.net/pic/merlot2.jpg)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 11-10-2010 19:56:27
พี่เอ่กับพี่ไก่นี่จะรอดกันมั๊ยน๊า  อิอิ  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 11-10-2010 21:53:57
ให้มันรู้บ้างว่า แถวนี้ถิ่นเจ๊เล็ก  :laugh:


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 11-10-2010 22:55:05
สลน น่าจะเป็นสร้างเสริมลักษณะนิสัย ใช่ป่าวไม่รู้นะครับ

มันนานมากแล้วด้วยจำไม่ค่อยได้

แต่หวานอ่ะแล้วก็ยังเสียวสีข้างอยู่เลยครับ

เหอะๆ

คุณอิ๊กชอบแกล้งให้น้ำตาซึม
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 11-10-2010 23:14:09
อ่านเรื่องได้อะไรกว่าที่คิดเยอะมาก :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 12-10-2010 00:56:00
อ่านตอนนี้แล้วคิดถึงชีวิตมัธยมจริงๆ ค่ะ
สนุกสนานเฮอา ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจมาก
คิดถึงวันเวลาเก่าๆ จังเลยนะคะ
(บ่นเป็นยายแก่เลย :m26:)

ปล. ป้านัทของฝากป้าผิด concept ของเรื่องไปรึเปล่าคะ มันต้องขวดนี้ถึงจะเข้ากับบรรยากาศ
(http://image.ohozaa.com/ir/0t10s.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=d2f2d38ae7f6e98fc2a8c9e00962ba5c)


***********************
สมโภชน์ ไม่ต้องมี น์ นะคะ สมโภช เฉยๆ ถ้า โภชน์ คำนี้แปลว่าอาหารค่ะ
พิญ คำนี้ใช้ ณ สะกดนะคะ ต้องเขียนเป็น พิณ ค่ะ
กฏ คำนี้หมายถึงข้อห้ามปฏิบัติต้องใช้ ฎ สะกดนะคะ เขียนว่า กฎ ค่ะ แต่ถ้าเป็นปรากฏ ใช้ ฏ ค่ะ
เห็นหน้าคร่าตา คำนี้ไม่ต้องมีเสียงควบกล้ำนะคะ เห็นหน้าค่าตา เฉยๆ ถ้า คร่า หมายถึง ฉุดรากอย่างไม่ปรานี
เนื้อเต้นไปตามลูก ปกติ "เนื้อเต้น" จะใช้กับความเปรียบกับกิริยาอาการที่แสดงความดีใจมาก เช่น ดีใจจนเนื้อเต้น ในสถานการณ์นี้น่าจะใช้เพียง "เต้นไปตามลูก" ก็พอค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 12-10-2010 01:29:03
เอาของมาฝาก รับเอาไปสิจ๊ะ eiky เอามาให้แทนเตกีล่า พลาติโน่ 555
(http://www.abk6-cognac.com/upload/images/ABK6%20COGNAC%20XO.jpg)

แต่ปรกติป้าชอบแบบนี้มากกว่า กร๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาก
(http://wineme.net/pic/merlot2.jpg)


ปล. ป้านัทของฝากป้าผิด concept ของเรื่องไปรึเปล่าคะ มันต้องขวดนี้ถึงจะเข้ากับบรรยากาศ
(http://image.ohozaa.com/ir/0t10s.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=d2f2d38ae7f6e98fc2a8c9e00962ba5c)


เอิ้กกกกก มาวววว น้ำลายไหยทั้งสองขวดเลยอ่า เหอๆๆๆๆ กรึ๊บเบอร์เบิ้นของป้าก่อน ตบด้วยเหล้า 40 ดีกรีสักจอก อึ๋ยยยย เปรี้ยวปากแระ เหอๆๆๆ

ขอบคุณมากน้องมิ เดี๋ยวไปแก้น้า ทำไมภาษาไทยนี่ละเอียดอ่อนจังเนอะ เหอๆๆ ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยและยังจะเขียนผิดต่อไปถ้าน้องมิไม่บอก มามะ จุ๊บๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 12-10-2010 02:05:49
ง่ะ ทู้หน้านี้ไม่เหมาะกับเด็ก  :m20:

ฟังลำแล้วนึกถึงตอนไปขอนแก่นครั้งแรก

ฟังคนเค้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ใครพูดด้วยก็ยิ้มอย่างเดียวว

แต่ตอนนี้ฟังออกแล้วว(ถ้าคำไม่ยากเกินไป) เพราะไปบ่อย

อาหารในเรื่องเคยกินหมดเลยนะ เล่าให้เพื่อนฟัง

มันบอกหน้าตาเมิงไม่น่ากินแบบนี้เลย เกาหลีเชี้ยไรเนี่ยย


อยากรู้สาเหตุที่เรื่องจะพลิกแผลงจัง

ตอนแรกแอบคิดไปว่าบอทจะติดเด็กในวงหมอลำ เห็นเด็กบ้านนอกเป็นกัน  :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 12-10-2010 08:27:07
หวานกันตลอดอ่ะ คิคิ :o8:
แต่อีกคู่ก็น่าลุ้นดีจัง :impress2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) &#
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 12-10-2010 08:53:15
 o13 แปะโป้งไว้ก่อนค่ะ
เคลียร์งานหมดเเมื่อไหร่แล้วจะรีบมาอ่านนะคะ  :bye2:



ปล.ไปๆมาๆ นิยายเรื่องนี้เรทสูงมากเลยนะคะคุณอิ๊ก 20+ ยังเอาไม่อยู่  :laugh:
ไม่ใช่เรทวาบหวิวรุนแรงอะไรนะคะ แต่เป็นเรทอายุคนอ่านค่ะ  :m20: :m20:

ปล.แถมคำเตือนของนิยายเรื่องนี้ค่ะ
คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่20ปีขึ้นไป เนื่องจากอาจมีฉาก มุกและบรรยากาศ ที่อาจทำให้ผู้อ่านที่เกิดไม่ทันนั้นรู้สึกมึนงงได้ ผู้อ่านเยาวชนที่อายุต่ำกว่า20ปี ควรให้ผู้ปกครองให้คำแนะนำ!

  :jul3:

(me/ :z6:โดนถีบออกจากกระทู้)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 12-10-2010 12:50:16
อยากได้ตอนพิเศษ

ไก่+เอ๋

ฮ่าๆ แอบเชียร์คู่นี้

น่ารักดี อิอิ


พยายามหาทางมาอ่านอ่านจนได้

ยุ่งมากมายๆ ช่วงเน้ เห้ออ


ป.ล. อยากได้ฉาดราม่า ฮ่าๆ
อยากมีอะไรให้ตื่นเต้นบ้าง นิดนึง

 :z1:  :z1:  :z1:



หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 12-10-2010 13:58:05
เพลงหมอลำนี่ความหมายส่วนใหญ่จะกินใจมากๆเลยอ่ะ พูดถึงถิ่นกำเนิด ฟังกี่ทีก็ยิ่งรักบ้านขึ้นมาเลย  ขอบคุณ eiky ที่นำศิลปะดีๆมาเตือนใจไม่ให้ลืม o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๐ (ตุลาคม ๑๑, ๒๕๕๓) หน้า ๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 12-10-2010 18:18:36
บทที่ ๑๑

ปุจฉา        จะมีที่ใดอีกหรือไม่ในใต้หล้า   ใต้ผืนฟ้าสีครามงามสดใส
                              ที่ซึ่งจะอยู่สุขได้ทั้งกายใจ        ที่ซึ่งให้กำเนิดหล่อเลี้ยงเรา

ฤดูกาลสอบกลางภาคล่วงพ้นไปแล้ว น้ำเองไม่ได้วิตกกังวลใจแต่อย่างใดเพราะทำข้อสอบได้ ส่วนบอทเองก็ไม่ได้วิตกกังวลใจเหมือนกันแม้จะทำข้อสอบไม่ได้ เพราะต่างคนต่างมีจุดมุ่งหมายในชีวิตเอาไว้แล้ว น้ำเองอยากจะเรียนทางด้านการเกษตรตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยในฝัน วาดหวังเอาไว้ว่าอยากจะมีสวนกล้วยไม้เป็นของตัวเอง เวลาว่างก็พยายามค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากในห้องสมุด ในสมัยนั้นอินเทอร์เน็ทยังไม่แพร่หลายเท่าไหร่นัก หน่วยความจำก็ใช้แผ่นฟล๊อบปี้ดิสก์เป็นแผ่นดำสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาก คอมพิวเตอร์ก็มีแต่ในห้องคอมฯเท่านั้นและอาจารย์ก็หวงมาก เพราะเวลาเรียนคอมฯกันก็จะพากันเล่นแต่เกมมาริโอ้ นับเป็นเกมที่ตื่นตาตื่นใจมากในสมัยนั้น พากันเฮฮากับตัวการ์ตูนที่มันวิ่งกระโดดข้ามอุปสรรคไม่ได้ เรียนน่ะหรือไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นักหรอก ส่วนบอทเองอยากจะเป็นปลัดอำเภอเพื่อจะได้มาพัฒนาถิ่นที่อยู่ของตนให้เจริญ ก้าวหน้า ตั้งใจว่าจะเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง

"เมื่อไหร่จะจบเนอะน้ำเนอะ จะได้ไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯเสียที"

บอทเอ่ยขึ้นในตอนเย็นระหว่างที่กำลังตีข้าวให้บอทอยู่ กลางเดือนธันวาคมแล้ว นาของชาวบ้านในระแวกนั้นเสร็จหมดแล้วเหลือเพียงนาของแม่นิ่มคนเดียว ตอนกลางวันแม่บุญช่วยจะมาช่วยเกี่ยวข้าวที่เหลืออยู่ในนาท้ายบ้านเกือบทุกวันที่ไม่มีงานที่สถานีอนามัย มีเพื่อนบ้านมาช่วยบ้างแต่ก็ไม่ทุกวันเพราะต่างคนก็ต่างมีหน้าที่การงานเป็นของตนเอง ข้าวที่เกี่ยวลำต้นมันกรอบทำให้เกี่ยวลำบากเพราะตอนกลางคืนเจอน้ำค้าง ตอนกลางวันเจอทั้งแดดทั้งลมลำต้นของข้าวจึงกรอบข้าวหักคอรวงเสียเป็นส่วนใหญ่ น้ำเองไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยแต่ละวันที่ไปจะมีความสุขเสมอที่ได้ช่วย ทางบ้านของน้ำเองก็ไม่เคยห้ามเพราะอยากให้แสดงน้ำใจให้กับแม่นิ่มกับบอทให้มาก เพราะพ่อถาวรกับแม่บุญช่วยเห็นตอนที่แม่นิ่มเสียพ่อของบอทไปแล้วสงสารจับใจ อีกทั้งแม่นิ่มเองเป็นคนยึดมั่นในความรักมากผ่านมาจะ๑๗ปีแต่ไม่เคยชายตาให้ชายอื่นใด นิสัยมั่นคงในทุกอย่างนี้ติดมาให้บอทมาด้วย บอทเองก็เป็นคนหนักแน่นแม้จะขี้เล่นไปบ้าง แต่พูดคำไหนคำนั้น ตั้งใจสิ่งไหนแล้วไม่มีวันเลิกล้มความตั้งใจ เฉกเช่นรักน้ำแล้วเขาเองก็ไม่เคยแลมองใครอื่น หรือเกรงกลัวต่อคำครหาใดๆว่าเป็นชายรักชาย สนใจอยู่แค่ความรู้สึกของตนเองและทะนุถนอมมันให้ดีที่สุด

เดือนธันวาคมมีงานบุญต่างๆมากมายทั้งงานบวชงานทำบุญหาญาติที่ล่วงลับหรือ ชาวบ้านเรียกว่างานแจกข้าวหมายถึงการอุทิศส่วนกุศลให้ญาตินั่นเอง งานแจกข้าวทำได้หลายครัวเรือนไม่เหมือนงานกฐินแต่จุดประสงค์ก็อันเดียวกันนั่นเอง แต่เนื่องด้วยกฐินเป็นบุญใหญ่วัดหนึ่งปักได้แค่ต้นเดียวปีละครั้ง ดังนั้นงานแจกข้าวจึงเป็นเหมือนกฐินขนาดย่อยที่ทำได้หลายครั้งในวัดเดียว งานแจกข้าวกับงานบวชนิยมจ้างมหรสพเป็นหนังกลางแปลง โปรแกรมหนังแผ่นพับจะติดไว้กำแพงวัดก่อนวันงานเป็นอาทิตย์เพื่อดึงดูดใจชาวบ้าน โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่จะหาโอกาสออกจากบ้านมาพบปะสังสรรค์หรือเกี้ยวพาราสีกัน

"เรื่องนี้น่าดูเนอะบอท รักออกแบบไม่ได้ น่าจะสนุก"

พอเดินผ่านไปโรงเรียนน้ำกับบอทก็ยืนดูแผ่นปิดโปรแกรมหนังอยู่มี ๕ เรื่องด้วยกันไม่รวมหนังแถมซึ่งเรียกว่าหนังผู้ใหญ่จะฉายตอนประมาณจวนจะรุ่ง ก็หนังโป๊ดีๆนี่เองเพราะตอนนั้นเด็กๆจะทนไม่ไหวนอนกันหมดแล้ว แต่บางคนก็ไม่ได้สนใจหนังที่ติดประกาศไว้เลยตั้งใจมาดูหนังผู้ใหญ่โดยเฉพาะ

"เราว่าเฉินหลงน่าดูกว่าอีกนะน้ำ"

บอทจ้องมองอยู่แต่แผ่นปิดหนังเรื่อง ใหญ่เต็มฟัด หรือ Who am I ทีแปะอยู่ข้างกัน

"อืมน่าจะฉายติดกันเนอะจะได้นอนไม่ดึก"

"อ้าวน้ำไม่รอดูหนังผู้ใหญ่หรอกเหรอ อิอิ เราว่าเราจะรอดู"

"นะจะรอดูแต่เรื่องเดียวว่างั้น ไม่เอาหรอกมันดึก"

"ก็กลับไปนอนก่อนแล้วตั้งนาฬิกาปลุกไว้ไงน้ำ แล้วค่อยออกมาดูกัน"

"มาดูคนเดียวเถอะ บ้า บาปนะบอทนี่มันในวัดนะ"

"โหน้ำ ก็เขาฉายให้ดูอ่ะ นานๆได้ดูที"

"หนังสือโป๊ไอ้ไก่ไม่พออีกเหรอ"

"ก็อยากดูแบบภาพเคลื่อนไหวบ้างอ่ะน้ำ"

น้ำขี้เกียจจะเถียงจึงเดินหนีไปก่อน ส่วนบอทก็วิ่งตามมา เดือนธันวาคมลมไม่แรงในตอนเช้าท้องฟ้าครามโปร่งสดใสบรรยากาศดีมากทีเดียว น่าประหลาดที่เด็กผู้ชายหน้าหนาวจะแลดูผุดผ่องกว่าเด็กผู้หญิง ทั้งที่การดูแลตัวเองไม่ได้ดีเท่า ใบหน้าผิวพรรณดูสดใสขึ้นมา แต่ถ้าเด็กผู้หญิงจะเป็นหน้าร้อนที่ดูผุดผาด ที่เขาว่าดูช้างให้ดูหน้าหนาว ดูสาวให้ดูหน้าร้อนนั้นเห็นท่าจะจริง

"สองตัวนี่มันเป็นไรวะ ดูเหมือนคนโกรธกันเลยว่ะน้ำตั้งแต่วันที่ไปดูหมอลำแล้วนะ ผิดสังเกต"

เล็กบุ้ยปากไปทางเอ๋ที่พอเห็นไก่นั่งอยู่ในกลุ่มจะเดินมาแต่ก็เดินหนีไปเสีย แววตานักสืบของเล็กฉายแววออกมาอีกครั้ง

"ทำไมล่ะ กูก็เห็นมันปกติดีนี่มึง"

"ไม่นะ กูว่ามันต้องมีอะไรกันแน่ๆ มึงดูไอ้ไก่ดิพักหลังนะหลบหน้าตลอด"

"มันได้กันแล้วอ่ะดิอีเล็ก"

บอทโพล่งออกมา

"เออว่ะ กูว่าใช่ตอนนั้นแน่ๆ"

"เฮ้ยมึงอย่าไปปรักปรำมัน อีเอ๋น่ะมันพอทนได้หรอกนะ แต่ไอ้ไก่นี่สิกลัวมันจะอาย"

น้ำพูดออกมาเข้าใจหัวอกของเพื่อนเป็นอย่างดี

"อายไรวะ เดี๋ยวนี้เขามีกันถมไป หัวโบราณนะมึงไอ้น้ำ"

"อ้าวอีเล็ก มันจะได้กันไม่ได้กันไม่ต้องไปซักมันมากหรอกมึง ปล่อยๆมันไปเถอะ บางทีคนมันจะรักกันมึงนั่นล่ะจะไปทำให้มันเกลียดกัน"

"ทำไมเราไม่ช่วยให้สองคนนี้เขารักกันอ่ะน้ำ"

บอทพูดขึ้นมาลอยๆแต่น้ำกับเล็กมองหน้ากัน

"เออ พูดเข้าท่านี่มึง ทำไงดีวะ"

สรุปเลยช่วยกันวางแผนเพื่อให้เพื่อนสองคนรักกัน ทั้งที่ยังไม่ได้ถามความในว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

"ถ้างั้นมึงชวนไอ้ไก่ไปดูหนังนะ ส่วนกูจะชวนอีเอ๋เอง อย่าบอกมันล่ะว่าใครจะไปด้วย"

เล็กบอกแผนออกมาคุยกันอยู่สามคนก่อนที่เอ๋จะเดินทำหน้าเหรอราลงมาจากอาคาร

"น้ำจารย์พรเรียก"

เอ๋บอกแล้วนั่งลงข้างๆเล็กสายตาก็สอดส่ายมองหาใครคนหนึ่ง

"มีไรวะ"

"คงเรื่องจะไปแข่งขันตอบปัญหาที่อำเภออาทิตย์หน้านี่ล่ะมั้ง"

"เหรอ อืม"

น้ำลุกจากที่ไป อาจารย์พรสอนวิชาภาษาอังกฤษ น้ำเองมีแววถนัดกว่าเพื่อนในห้องจึงเป็นที่หมายตาของอาจารย์ถือเป็นเรื่องปกติ

"อะไรนะครับจารย์ ให้ร้องเพลงเหรอครับ จะดีเหรอครับ"

ร้องออกมาเสียงหลง หน้าตายิ่งกว่าโดนผีหลอก

"อุ๊ยดูทำท่าเข้า เอานี่เพลงเอาไปเลือกเอา ฝึกให้ทันนะน้ำ ไม่ต้องเอาให้ชนะหรอก เอาแค่ให้เขารู้ว่าเราส่งเด็กเข้าร่วมก็พอ"

"กลัวเขาจะหัวเราะเอาน่ะสิจารย์ โหไม่ให้ผมไปตอบคำถามล่ะครับ"

"ตอบก็ตอบจ๊ะ ร้องเพลงด้วย ครูไม่รู้จะมองหาใคร ม ๖ ก็เล่นตัวไม่อยากไปยุ่งกับอาจารย์ตุ้มเขา ช่วยครูหน่อยนะน้ำ"

น่าประหลาดทั้งที่สอนวิชาเดียวกันแต่ไม่ถูกกัน คงเพราะอาจารย์พรสอน ม ต้นกับ ม สี่ ส่วนอาจารย์ตุ้มสอน ม ๕ กับ ม ๖ น้ำลำบากใจรับเทปคลาสเซ็ตมาจากมืออาจาย์พร พอเดินกลับลงไปหาเพื่อนก็ทำหน้าเศร้า

"เป็นไรวะน้ำ จารย์พรให้แกทำไรวะ"

เล็กถามขึ้นเพราะช่างสังเกต

"ร้องเพลงน่ะสิมึง"

"หา มึงเนี่ยนะจะไปร้องเพลง ตลกแดกล่ะ"

"กูก็ว่างั้นล่ะ อายเขาเปล่าๆว่ะ เซ็งว่ะ"

"เอาน่าน้ำ จารย์เขาเห็นความสามารถน่ะดิเขาถึงเรียกไป"

บอทพูดปลอบใจแต่น้ำเองไม่ได้ซาบซึ้งแต่อย่างใด หน้ามุ่ยอยู่

"เพลงใครวะ"

เล็กหยิบม้วนเทปไปจากมือของน้ำมาพลิกดู

"Celine Dion มันผู้หญิงนี่หว่าน้ำ ทำไมจารย์เขาให้ร้องเพลงผู้หญิงวะ"

"ไม่รู้โว้ย คอยดูนะกูจะแหกปากให้อายขายขี้หน้าเขาเลย ห่ารู้อยู่ว่ากูฟังแต่หมอลำอะไรวะ"

น้ำสบถออกสีหน้าสีตาไม่ได้เป็นสุขเลย บอทเองได้แต่ปลอบอยู่ สักพักไก่ก็วิ่งมากับเดือนหน้าตาตื่น

"น้ำๆ มึงได้ไปร้องเพลงใช่ไหม"

เดือนถามกระหืดกระหอบ

"เออ"

"กูได้ยิน ม ๖ เขาคุยกันว่ะกับจารย์ตุ้มในห้องสมุด"

"ว่าไงเดือน มันคุยกันว่าไง"

เล็กทำตาโตอยากรู้ขึ้นมา ไม่ได้มีแต่เล็กแต่ดูเหมือนทุกคนในโต๊ะ

"ก็จารย์ตุ้มน่ะนินทามึงน่ะสิ เขาว่าไม่มีปัญญาหาเด็กที่ร้องดีกว่านี้แล้วเหรอ กูก็เดือดแทน อะไรวะ ถ้าเด็กมันดีจริงไม่ส่งเองวะ นิสัยเสีย"

"โห อีนี่ น่าเกลียดว่ะ อย่าไปยอมมันนะน้ำ เดี๋ยวกูเอาเครื่องเล่นที่บ้านมาให้ ทำให้มันอายไปเลย ดูถูกดีนัก"

สมัยนั้นเวลาครูหรือรุ่นพี่พูดจาไม่ถูกหูหรือสอนไม่ดีจะพากันด่าทอตั้งแง่ แต่พอโตขึ้นมาสิ่งนี้มันไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดแบบนั้นพูดแบบนั้นออกไปได้อย่างไร อาจารย์เขาอุตส่าห์สั่งสอนให้ได้ความรู้แต่กลับไปด่าว่าเขาเสียอย่างนั้น

"ไม่เป็นไรที่บ้านกูมี"

น้ำกัดฟันกรอด สายตาเพื่อนๆหวาดไปเหมือนกันเพราะรู้ดีว่าเวลาโกรธน้ำไม่เอาใครเลย มุทะลุดุดันมากกว่าบอทเสียอีก พอกลับบ้านก็เอาเทปขึ้นไปเปิดไว้บนไว้แล้วลงมาทำงานบ้านตามปกติ พยายามฟังเพลงที่ชอบ Celine Dion อัลบั้ม Let's talk about love นั้นนับว่าเป้นเพลงที่ร้องยากเพราะตัวนักร้องเองมีเสียงที่สูงพลังปอดก็มากมาย น้ำไปสะดุดใจอยู่กับเพลงหนึ่ง ชื่อเพลง Us พอทำงานบ้านเสร็จก็ไปอ่านเนื้อร้องถือไปเกี่ยวหญ้ากับบอทด้วยพยายามท่องให้ได้ก่อนค่อยมาจับทำนองเอาทีหลัง เวลาทำอะไรก็ฮัมเป็นเนื้อเพลงออกมา บอทเองก็คอยยิ้มให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

"เราเชื่อว่าน้ำทำได้นะ สู้นะน้ำอย่าให้เขามาดูถูกได้"

"ขอบใจนะบอท น้ำจะพยายาม ไม่ยอมง่ายๆหรอก คอยดูนะ"

สายตามุ่งมั่นเหลือเกิน น้ำเองไม่ใช่เสียงจะดีเด่อะไรมากมาย เพราะไม่รู้วิธีเปล่งเสียงให้ถูกตามหลักร้องเพลง พอไปโรงเรียนก็ไปร้องให้เพื่อนๆฟัง เพื่อนๆก็ช่วยกันแนะนำ

"น้ำมึงร้องเต็มเสียงออกมาเลย อย่าไปเลียนเสียงผู้หญิงกูว่าน่าจะโอเคกว่านะ"

เล็กบอกทุกคนก็เห็นด้วย น้ำพยักหน้ายืนอยู่หน้าห้องในคาบแนะแนว ที่ไม่มีใครมาแนะแนวอย่างว่าเพราะจะปล่อยให้เล่นตามอิสระเสรี น้ำสูดลมหายใจเข้าปอดใหม่แล้วเปล่งเสียงออกมาเป็นเสียงของเขาเอง เพราะตอนแรกพยายามบีบเสียงให้เหมือนนักร้องร้องจนคอขึ้นเป็นเอ็น แต่พอร้องด้วยน้ำเสียงทุ้มๆของตัวเองเพื่อนๆก็นิ่งฟัง

"แบบนี้ล่ะน้ำ ดีๆ เพิ่มพลังตรงท่อนฮุกหน่อย ตุ้มก็ตุ้มเถอะ"

เพื่อนๆร้องออกมา น้ำค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง พยายามฝึกฝนทุกเวลา ท่อนที่ใช้พลังเสียงเยอะหน่อยก็พยายามจับเสียงขึ้นให้ถูกจังหวะ

พอวันศุกร์หนังกลางแปลงมาตั้งแล้วที่ลานวัด บรรยากาศของงานบุญนี่มันคึกคักจริงๆไม่ว่าจะเป็นงานไหนเมื่อไหร่ มีร้านขายลูกชิ้นที่เอารถเข็นใส่มาขายมีเตาอั้งโล่ก่อไฟแดงย่างลูกชิ้นอยู่ กลิ่นหอมยั่วยวนใจ มีถั่วต้มเหมือนเคย พอเล็กรับเอ๋มาที่บ้านของน้ำก็พากันเดินไปวัดก่อน ให้บอทรอไก่แล้วไปวัดทีหลัง

"ทำไมมึงดูหงอยๆวะอีเอ๋ ไม่ได้กินผู้ชายเหรอ"

เล็กแหย่ตอนเดินเข้าวัด

"กินอะไรล่ะมึง กูก็เป็นของกูแบบนี้ล่ะ"

"ทำเหมือนทะเลาะกับแฟน ว่าแต่มึงมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมกูไม่รู้"

"บ้าเหรอน้ำ กูจะมีแฟนที่ไหนก็อยู่แต่กับพวกมึง"

"ไอ้ไก่ไง เห็นวันนั้นลากกันเข้าซุ้ม ไม่ใช่ได้กันแล้วเหรอ"

เล็กโพล่งขึ้น เอ๋หน้างอค้อนใส่ทันที

"บ้าเหรออีเล็ก กูไม่ได้มีอะไรกับมันนะ"

"อย่ามาปิด ปิดได้แม้กระทั่งเพื่อนเหรออีเอ๋ มึงปิดกูไม่ได้หรอก"

นักสืบประจำกลุ่มเริ่มรุกไล่ เอ๋เดินนำหน้าไปทำสีหน้าไม่ถูก

"ไม่มีใครเขาว่าอะไรมึงหรอกเอ๋ รักกันชอบกันก็ดีกว่าเกลียดกันนี่ จริงไหม"

น้ำพยายามเป็นกลางให้มากที่สุด ทั้งที่ใจก็อยากจะรู้ไม่ต่างจากเล็ก

"กูไม่รู้ว่ะ เหมือนกูจะชอบมัน และมันก็ตีตัวออกห่างกู มึงก็เห็น"

ยอมพูดออกมาเสียงลอดออกมาจาคอเบาบางแทบไม่ได้ยิน

"มึงคุยกับมันแล้วเหรอมึงถึงรู้ว่ามันไม่ได้ชอบ"

"ไม่ต้องคุยก็รู้มึง ของแบบนี้"

ระบายออกมาจากใจสายตาทอดมองไปในความมืด

"เอาน่าเดี๋ยวกูจัดการให้"

เล็กพูดแล้วตบบ่าเอ๋ เอ๋ทำท่าจะอ้าปากถามแต่เล็กเดินไปซื้อถั่วต้มกับลูกชิ้นแล้ว ส่วนน้ำก็ยักไหล่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง พอบอทกับไก่เดินตามมาตอนแรกไก่ทำท่าผงะเมื่อเห็นหน้าเอ๋ แต่ก็โดนบังคับให้เข้าไปในนั่งในเสื่อที่ปูใต้ต้นมะขามกลางลานวัดติดกับเอ๋ ส่วนเพื่อนๆก็เริ่มถอยออกห่าง

"กูไปฉี่ก่อนนะ"

เอ๋ทนความอึดอัดไม่ไหวดูหนังไม่รู้เรื่องเพราะใจมันจดจ่อแต่คนที่นั่งอยู่ข้างกาย เอ๋ลุกไปแล้วไม่ฟังเสียงใคร เวลาไปฉี่ต้องเดินออกไปนอกวัดเพราะคนเฒ่าคนแก่บอกว่าถ้าฉี่ใส่วัดจะเป็นกลากเกลื้อน ซึ่งปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็ก แต่พอโตมาก็เห็นว่าเป็นกุศโลบายเพื่อไม่ให้เราหมิ่นศาสนสถานนั่นเอง

"ไอ้ไก่มึงมานี่"

เล็กลากแขนไก่ให้เดินตามออกไป ตอนแรกจะไม่ยอมแต่ก็ยอมแต่โดยดี

"อีเอ๋เดี๋ยวก่อน"

เล็กร้องเรียกเอาไว้ เอ่หยุดกึกลงหันมา พอเห็นว่าใครตามมาก็สะอึกทำหน้าไม่ถูก

"มึงสองคนคุยกันก่อนดิ มีอะไรก็ให้คุยกัน อย่ามามึนตึงใส่กันเพื่อนๆเขาไม่สบายใจ"

"เอ้อ"

ไก่ได้แต่ครางออกมาพูดอะไรไม่ออกเอ๋เองก็ก้มหน้าอยู่ เล็กเดินออกมายืนอยู่ห่างๆ เพราะกลัวว่าจะไม่คุยกัน

"ไก่ เรื่องวันนั้นเรา ขอโทษนะ"

ยอมพูดออกมาไม่มองหน้า

"มึงทำทำไมวะเอ๋ มึงก็รู้กูเป็นผู้ชาย กูไม่ได้ชอบกะเทย"

พอสะกิดโดนใจก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมาจากที่อัดอั้นไว้ในใจมานาน

"ก็มึงบอกว่ามึงจะยอมเป็นผัวกูนี่ กูจะรู้เหรอ"

ตอบอ้อมแอ้มไป

"อีห่า กูล้อเล่น มึงเอาจริงเลยนะ"

"กูคิดว่ามึงพูดจริงนี่ กูจะไปรู้เหรอ"

"ฮึ"

"กูขอโทษ"

ไก่ไม่พูดอะไรจะหันหลังกลับ

"แต่กูชอบมึงนะไก่"

เอ๋พูดออกมาพอพูดเสร็จก็เม้มปากแน่นรอดูปฏิกริยาของเพื่อน ไก่หันขวับมาทันที

"มึงเป็นบ้าเหรออีเอ๋ มึงเป็นผู้ชายกูก็เป็นผู้ชาย มันเป็นไปไม่ได้หรอก"

"กูรู้ แต่รักมึงคิดว่ามันแบ่งเพศแบ่งวรรณะกันได้ด้วยเหรอไก่ กูชอบมึงแค่นั้นที่กูอยากบอกให้มึงรู้ มึงจะเกลียดกูโกรธกูก็เรื่องของมึง กูถือว่ากูได้พูดมันไปแล้ว"

เอ๋สะบัดหน้าเดินหนีไป ไก่ยืนตัวชาหูชาอยู่ เล็กเดินเข้ามาหาแต่ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก

คืนก่อนวันที่จะไปแข่งขันทักษะทางวิชาการน้ำได้ไปขอให้แม่นิ่มลำให้ฟังอีกรอบ พยายามจับจังหวะลีลาท่าทางการลำของแม่นิ่มแล้วเอาไปลองปรับกับเพลงที่จะร้อง มันไม่ได้เข้ากันหรอกแต่ไม่อยากจะตามใครไม่อยากจะซ้ำแบบใครน้ำคิดแบบนี้ พอวันที่ไปแข่งขันทักษะทางการเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอน้ำก็นั่งรถสองแถวของโรงเรียนไปกับรุ่นพี่รุ่นน้อง มีเพื่อนห้องเดียวกันอีกคนหนึ่งคือเดือนที่ไปแข่งตอบปัญหาวิชาภาษาไทยทั้งคู่นั่งติดกันไปในรถ

"น้ำเลือกเพลงยากไปหน่อยไหมจ๊ะ จะร้องได้เหรอ จะอายเขาหรือเปล่าเนี่ย"

เสียงอาจารย์ตุ้มถากถางขึ้น น้ำได้แต่สูดหายใจเข้าปอดไม่ชอบแต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรออกไป

"ก็ส่งไปอย่างงั้นล่ะค่ะพี่ตุ้ม ให้รู้ว่าเราเข้าร่วมกิจกรรม ไม่แน่เผื่อน้ำจะร้องได้ดีก็ได้นะคะ"

อาจารย์พรก็ไม่ยอมแพ้สายตาฟาดฟันกันอยู่

"จะรอดูค่ะ แต่ไม่เข้าไปเชียร์ใกล้ๆนะคะ กลัวหลบไม่ทัน"

คำพูดแต่ละคำบันทึกเข้าไปในสมองของน้ำเรียบร้อยแล้ว เก็บมันไว้ให้เป็นแรงผลักใจให้ทำให้ได้เพื่อลบคำปรามาสของหลายๆคน นักเรียนที่นั่งอัดกันมาในรถก็หัวเราะไปตามอาจารย์ตุ้มยิ่งเพิ่มความโกรธ แค้นในใจให้น้ำเพิ่มมากขึ้น เดือนได้แต่จับมือน้ำไว้บีบเบาๆให้กำลังใจ

"น้ำเราแข่งเสร็จเดี๋ยวมาเชียร์นะ ห้องเราต้องทำให้ได้อย่ายอมแพ้นะน้ำ"

เดือนบอกก่อนจะเดินแยกไปกับกลุ่มนักเรียนที่จะไปแข่งทักษะภาษาไทยที่อีกตึกหนึ่ง น้ำพยักหน้าให้เดือน โรงเรียนประจำอำเภอมีนักเรียนเกือบสี่พันคนแตกต่างกับโรงเรียนของน้ำเหมือนดินกับฟ้าเลยทีเดียว พื้นที่ในโรงเรียนก็มีน้อยนิดไม่มีห้องเรียนเป็นของตัวเองต้อเดินวนเรียนตามคาบวิชาเอาเนื่องจากจำนวนนักเรียนที่เยอะกว่าจำนวนของห้องเรียนนั่นเอง สายตานักเรียนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักเรียนในเมืองมองนักเรียนโรงเรียนอื่นอย่างเหยียดหยันหัวเราะคิกคัก เวลาเดินผ่านกลุ่มนักเรียนเจ้าภาพไปรู้สึกตัวลีบเล็กลงมาก อายนะแต่พอเราโตขึ้นมองกลับย้อนไป ไม่รู้จะไปอายอะไรไม่ใช่เรื่องเลย

พอถึงเวลาแข่งขันอาจารย์พรก็เดินมาหาน้ำให้พร

"ทำให้เต็มที่นะน้ำไม่ต้องตื่นเต้น ครูไม่ได้คาดหวังอะไรแค่อยากให้เราเต็มที่กับมันพอ"

น้ำพนมมือขึ้นหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกๆ รู้สึกขนตามตัวเริ่มตั้งชันหัวใจเต้นระส่ำระสายไม่เป็นจังหวะ ความตื่นเต้นเข้ามาครอบงำร่างกาย

"เอาวะน้ำ ลองสักตั้ง"

บอกกับตัวเองก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวทีเมื่อเสียงประกาศของพิธีกรจบลง เสียงปรบมือดังเปาะแปะเหมือนไม่เต็มใจจะปรบมือให้ น้ำมองลงไปเบื้องล่างใจก็สั่นไหวมือสั่นขึ้นมา คนดูเยอะพอสมควรเพราะการเรียนการสอนได้มีการงดไปแล้วสำหรับโรงเรียนเจ้าภาพนักเรียนทั้งหมดจึงไม่มีที่ไปมาออกันอยู่ที่หอประชุม

"สงสัยนักร้องจะตื่นเต้น อ้าวนักเรียนปรบมือให้เพื่อนหน่อย"

พิธรกรเห็นน้ำยืนนิ่งอยู่นานจึงส่งสัญญาณให้นักเรียนที่อยู่ด้านล่างปรบ มือแต่ไม่เลยมันกลายเป็นเสียงโห่เสียงหัวเราะเยาะ น้ำเม้มปากแน่นสายตาฉายแววออกมา สูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

"I want to know why
 You're letting this die
Without the the blink of an eye
You say that you need time
I say you'll be fine"    

เสียงทั้งห้องประชุมเงียบกริบลง เสียงทุ้มๆของน้ำเปล่งออกไปเต็มเสียง เอาไมโครโฟนออกห่างจากปากพอสมควร พอได้ร้องเข้าจริงๆก็ไม่อยากทำให้ตัวเองเสียใจเพราะจะมาว่าทีหลังว่าทำไมไม่ทำแบบนี้ ไม่ร้องอย่างนี้ น้ำเองใส่พลังเสียงออกไปเต็มที่เวลาร้องก็เอามือแตะตรงข้างๆหน้าผากบ้างหน้าอกบ้างตามแต่อารมณ์ของเพลงในขณะนั้น

"You say it doesn't matter
Then tell me what does
And why that isn't what
You've been thinking of
You say it's never easy
Then tell me what was
Is it never worth the pain
Could you believe it was
When life keeps living
That's what life keeps giving
To us"

น้ำลงท้ายประโยคด้วยการเล่นลูกคออย่างที่แม่นิ่มลำให้ดู ทำได้ดีพอสมควร ไม่มีเสียงโห่ดังมากระทบหูอีก มีแต่เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว พอลงจากเวทีอาจารย์พรก็เดินมากอดน้ำ

"เก่งมากน้ำ เก่งมาก"

วันนั้นได้รางวัลชนะเลิศมาลบคำครหาทั้งหลายทั้งปวงสร้างความปลาบปลื้มให้ตัวน้ำเองทั้งยังเพื่อนทั้งห้องอีกด้วย

วิสัชนา    อันที่นั้นคือสถานแห่งแหล่งกำเนิด   ทำให้เพลิดเพลินใจให้หายเหงา
           อยู่กับดินกินกับหญ้าเพียงสองเรา   ไม่มีเศร้าผูกพันธ์ทั้งกายใจ



http://www.youtube.com/v/Vx8iyyHRYMs?fs=1&amp;hl=en_US

เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 12-10-2010 18:56:06
 :z13:จิ่มค่ะ
กำลังอ่านตอนที่10อยู่เลย ตอนที่11มาแว้ว
ไวได้ใจมากค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 12-10-2010 19:05:36
 o13 เก่งมาน้ำ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เป็นกำลังใจให้เอ๋นะ!
ไก่นี่ ผู้ ช คบกันแล้วไง~ น้ำกับบอทก้คบกันอยู่นะ
กำลังสงสัยว่าคู่น้ำกับบอทจุดหักเหมันคือตอนไปเรียนที่ กทม. รึเปล่า... :serius2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 12-10-2010 19:17:59
แผ่น Floppy disk นึกว่าจะเป็นขนาด 5.25 ซะอีก อิอิ

เอาใจช่วยไก่กับเอ๋นะค๊าบบบ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: salawinyeen ที่ 12-10-2010 19:21:16
เริศครับพี่อิ๊ก   ชอบมาก   เป็นยิ่งกว่านิยายรักอีกอ่ะครับ เป็นกำลังใจให้นะครับอยากอ่านต่อแล้ว

ความจริงวันนี้ไปข้างเดินเล่นเซ็นลาดมานั่งรถกลับบ้านมาก็คิดถึงแต่ น้ำ กับ บอท 5555.

By เด็กม.ปลายคนนึง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 12-10-2010 19:33:38
เหมือนคนอ่านทู้นี้จะรู้ว่าน้ำจะชนะเตรียมเหล้ามาเปิดกันเพียบเลย :laugh: ชนค่ะชน :mc4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 12-10-2010 20:11:00
Celi Dion  เพลงเพราะหลายเพลงเลยนะคับ  Hero Mariah Carey ก็เพราะนะคับ  We Belong Together  อันนี้ก็เพราะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 12-10-2010 20:15:36
มาต่อเร็วๆน้า
เรื่องนี้สนุกมาก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 12-10-2010 20:27:14
สงสารเอ๋อ่ะ  ไก่ก็น่ะ  ส่วนบอทกะน้ำกลัวจะดราม่าจังแต่หายห่วงนิดๆที่บอกว่าบอทเปงคนจริงจรัง  สู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 12-10-2010 20:47:49
เหมือนเอ๋กับไก่จะเป็นดราม่าเบาๆที่คุณอิ๊กส่งมาเตือนล่วงหน้ายังไงยังนั้นเลยเนอะ   :laugh:

o13 เก่งมาน้ำ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เป็นกำลังใจให้เอ๋นะ!
ไก่นี่ ผู้ ช คบกันแล้วไง~ น้ำกับบอทก้คบกันอยู่นะ
กำลังสงสัยว่าคู่น้ำกับบอทจุดหักเหมันคือตอนไปเรียนที่ กทม. รึเปล่า... :serius2:
นั่นสิเนอะ  คิดเหมือนกันเลย จุดเปลี่ยนจะเป็นช่วงมหาวิทยาลัยหรือเปล่าหนอ?

ตอนนี้คนอ่านเหมือนคิดไปเองว่าทั้งพ่อแม่น้ำและแม่บอทก็รับรู้ได้ว่าบอทกับน้ำอาจไม่ใช่แค่เพื่อน แต่พ่อแม่ไม่ได้กระโตกกระตากอะไร..
ย้ำว่าแค่เป็นสิ่งที่คนอ่านรู้สึกไปเอง นะคะคุณอิ๊ก


 :กอด1:คุณอิ๊กให้กำลังใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 12-10-2010 20:57:30
 :L1:กำลังใจสำหรับคนเก่ง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 12-10-2010 21:14:34
ตอนสมัยเรียนป้าก็เอกอุในเรื่องประกวดร้องเพลงน้า....

ชนะทุึกปีด้วยล่ะ 555


คิดถึงเมื่อวันวาน กร๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 12-10-2010 21:20:50
ไม่คิดว่าคุณอิ๊กกี้จะให้เอ๋กับไก่จะมีอะไรกันจริงๆ นะคะเนี่ย ผิดคาด  :laugh:

พออ่านตอนนี้แล้วเรื่อง "ความเปลี่ยนแปลง" ที่น้องมิเคยมั่นใจกลับไม่มั่นใจขึ้นมาแล้ว

คุณอิ๊กกี้รีบมาต่อนะคะ อยากรู้ว่าเรื่องต่อแล้วค่ะ  :กอด1:

*****************************

อินเตอร์เน็ท คำนี้ราชบัณฑิตยสถานกำหนดให้เขียนว่า อินเทอร์เน็ท นะคะ
  

โรงเรียนประจำอำเภอมีนักเรียนเกือบสี่พันคนแตกต่างกับโรงเรียนของน้ำเหมือนหน้ามือกับหลังมืดเลยทีเดียว


หน้ามือเป็นหลังมือ เป็นความเปรียบที่บอกความแตกต่างถูกต้องแล้วค่ะ แต่ต้องเป็นความแตกต่างที่เกิดจากความความเปลี่ยนแปลง ในกรณีเป็นการเปรียบเทียบความต่างทางด้านกายภาพของสถานที่สองที่ ใช้ต่างกันราวฟ้ากับดิน จะเห็นภาพมากกว่านะคะ

ดูช้างให้ดูหน้าหนาว ดูสาวให้ดูหน้าร้อน สำนวนนี้น้องมิก็ยังไม่ทราบที่มาแน่นอน แต่มั่นใจว่า ช้าง ในสำนวนนี้ไม่น่าจะเป็นความเปรียบที่หมายถึงผู้ชายแน่นอนนะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 12-10-2010 22:18:56
โว้ว ฟังเเล้วขนลุกเพลงนี้ พลังเสียงสุดยอดดด
สมควรที่คนดูจะเงียบแหะ 55555
น้ำเก่งจัง :D

มีคู่ใหม่รึเปล่าน้าา เอ๋กับไก่
ฮิ้ว เอาใจช่วยให้ผ่่านกำแพงในหัวใจไก่นะจ๊ะ

ขอบคุณพี่อิ๊กกี้นะคะ
ปล. คิดถึงญี่ปุ่นม๊ากมากก อิอิ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 12-10-2010 23:01:11
อ่านตอนนี้แล้วมันเหมือนมีสัญญาณเืตือนอะไรรึป่าวเนี๊ยะ

สงสารเอ๋เหมือนกันนะ

เอ๋สู้ๆๆ น้ำกับบอทอย่ายอมให้คุณอิ๊กกี้แกล้งเล่นง่ายๆนะ
 o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 12-10-2010 23:54:46
เบาๆค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 13-10-2010 08:46:07
เบาๆค่ะ

เอ แบบนี้แสดงว่าเจ๊พร้อมแล้วเหรอคร้าบที่จะรับแบบหนักๆ อิอิ อดใจแป๊บน้า เดี๋ยวจัดหนักให้
จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 13-10-2010 11:55:33
ขอหนักๆแบบ  เอาทุกท่วงท่าอะ   มะช่ายดราม่า   ม่ามา ก็ม่ายเอา  เอาแบบเลือดวายหมดตัวอะครับ   หึๆๆๆ 



รักจังเวลาตังไม่มี
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 13-10-2010 12:16:24
ยังตามลุ้นอยู่  ว่าจุดหักเหของบอทกับน้ำ คือการเรียนต่อหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 13-10-2010 12:24:50
เบาๆค่ะ

เอ แบบนี้แสดงว่าเจ๊พร้อมแล้วเหรอคร้าบที่จะรับแบบหนักๆ อิอิ อดใจแป๊บน้า เดี๋ยวจัดหนักให้
จุ๊บๆๆ

จัดมาเลยค่ะตุณอิ๊กกี้ เต็มที่เลย
น้องมิไม่เคยหวั่น...แม้วัน"มาม่า"  
:laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 13-10-2010 14:48:22
 o13 น้องน้ำ.....อนาคตคงไปไกล......
มิใช่ธรรมดาแน่นอน....ดูแล้วน้องน้ำเป็นคนมีมานะ...
มีความตั้งใจสูงและเด็ดขาด....ส่วนบอท...????....
อีกคนที่แน่คือน้องเล็ก....คนจริงเลยนะเนี่ย...
รอดูอนาคตของน้อง ๆ ต่อไป.... :really2:

อ่านแล้วเป็นนิยายที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทั้งบรรยากาศ
และเนื้อหาที่ชวนติดตาม...
 :L2: น้อง eiky   :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 13-10-2010 20:05:12
วันนี้คุณอิ๊กกี้คงไม่มาต่อแน่เลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 13-10-2010 21:23:04
น่าจะเป็นเช่นนั้นแล น้องมิเอ๋ย.............
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 13-10-2010 22:16:09
วันนี้คุณอิ๊กกี้คงไม่มาต่อแน่เลย
น่าจะเป็นเช่นนั้นแล น้องมิเอ๋ย.............

อ่า เดี๋ยวมน้าแป๊บนึงกำลังยืนด่าเพื่อนร่วมงานอยู่ปรี๊ดแตก อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: salawinyeen ที่ 13-10-2010 22:42:31
นั้งรอมานานแล้วน๊า TT  ไม่มาซะที
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 13-10-2010 23:11:14
บทที่ ๑๒
ปล ช่วงนี้จะหนืดนิดหน่อยนะครับ เหมือนเรื่องจะไม่เดินไปไหนมาไหน ทนอ่านหน่อยน้า เดี๋ยวจะเข้าเรื่องเมื่อไหร่จะบอกล่วงหน้า ตอนนี้อยากจะบรรยายสภาพบ้านนอกให้เพื่อนๆอ่านไปพลางๆก่อน จุ๊บๆๆ


ปุจฉา หากเวลารักเปรียบดังสวรรค์อยู่กลางอก แลนรกนั้นเปรียบกับสิ่งใดฤๅ

อุษาสางสาดส่องพื้นสนามฟุตบอลหน้าโรงเรียนประกายแดดทอระยับแวววาวอยู่ หญ้าที่ขึ้นเป็นหย่อมๆสีเขียวออกเหลืองซีดๆเพราะขาดน้ำขึ้นอยู่เป็นกระจุกแลไปเห็นเนินดินชัดเจน ฝุ่นที่ปลิวคลุ้งกระจายไปด้วยแรงลมกลางฤดูเหมันต์ทำให้ไม่มีนักเรียนคนไหนลงไปเล่นเตะฟุตบอลเหมือนแต่ก่อน แต่จะย้ายฝั่งมาทางสนามบาสกับสนามตะกร้อแทนเพราะเป็นพื้นปูนซีเมนต์ อากาศในตอนรุ่งอรุณยังคงตลบอบอวลไปด้วยความหนาวเย็นที่แสงสุริยาแม้จะเพิ่งไล่ความหนาวในราตรีอันยาวนานไปได้ไม่นาน คาบเรียนแรกครูนักเรียนส่วนมากจะพากันลงมาเรียนมาสอนกันที่สนาม ใครมาถึงก่อนมีสิทธิ์ก่อน นั่งกับพื้นไม่กลัวเลอะกลัวเปื้อน ให้แดดยามเช้ามอบความอบอุ่นให้ บางห้องไปนั่งเรียนที่ถนนคอนกรีตที่เพิ่งจะสร้างเสร็จเมื่อตอนต้นปี เป็นถนนเส้นเล็กๆรอบบริเวณโรงเรียน เพราะฉะนั้นห้องเรียนต่างๆจึงไม่ต้องแย่งที่ผิงแดดกันแล้ว ห้องของน้ำเองก็จับจองพื้นที่ตรงถนนหลังโรงเรียนอาจารย์แววสอนเรื่องเซ็ทอยู่แต่เป็นแค่การอธิบายคร่าวๆใครมีอะไรถามก็ถามเพราะจะทำตัวอย่างให้ดูก็คงไม่ได้ นักเรียนนั่งหลังพิงกันฟังอาจารย์แววอธิบายไปอย่างเป็นสุข มันอบอุ่นไม่ใช่เฉพาะจากแสงแดดเพียงเท่านั้นแต่มันอุ่นมาจากความรู้สึกด้วย หลับตาลงคราใดภาพเหล่านั้นยังตราตรึงติดอยู่ในความทรงจำไม่สร่างซา

"อีกแล้วว่ะนังตุ้มนี่มันเป็นอะไรมากป่ะวะ รุ่นพี่ ม ๖ ไม่ให้แสดงให้เราแสดงแทน อะไรวะ"

เล็กบ่นหน้าตาท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างมาก เดือนเองก็ทำท่าเดียวกัน

"แล้วจารย์พรว่าไงมึง"

"จะว่าไงน้ำ เค้าก็เออออตามน่ะสิ อะไรวะ ม ๕ ให้เล่นละคร ส่วนเราให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลย เกินไปว่ะ"

เล็กเองแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดออกมา เพราะได้รับมอบหมายให้จัดการแสดงและรับผิดชอบคิวงานวันคริสมาสต์ทั้งหมด เพิ่งจะได้รู้เมื่อตอนอาจารย์เรียกประชุมคาบแนะนวนี่เอง

"เดี๋ยวลองไปคุยกับจารย์พรดูก่อนมึงอย่าเพิ่งโวยวายไป"

น้ำพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพื่อนๆไว้ เพราะทุกคนในห้องต่างเห็นพ้องต้องกันไปกับเล็ก

"ครูว่าท่าจะไม่ได้แล้วล่ะน้ำ ครูตุ้มเขาบอกมาแบบนี้"

"ทำไมล่ะครับจารย์ ให้เราเป็นคนดูแลงานทั้งหมดเองเลยมันหนักไปนะครับ ทั้งที่เราเพิ่งอยู่ ม ๔ เอง"

"ครูแย้งแล้วนะน้ำ แต่ทำไงได้ครูตุ้มเธอเป็นหัวหน้าฝ่าย"

"งั้นผมจะไปคุยกับครูตุ้มเองครับ"

"อืม ลองดูน้ำแต่มีอะไรค่อยๆคุยนะ เก็บอารมณ์ไว้หน่อย เราก็รู้อยู่ว่าครูตุ้มแกเป็นคนยังไง"

อาจารย์พรเตือน น้ำเดินออกมาจากห้องพร้อมกับเล็กและเดือน รวมถึงหัวหน้าห้องที่เซื่องซึมไม่ได้สนใจหรือร้อนใจแต่อย่างใด ติ๊กเองเป็นคนง่ายๆอะไรก็ได้โดนลากมาถึงยอมมา น้ำเดินนำหน้าเพื่อนไปห้องภาษาอังกฤษเพื่อคุยกับครูตุ้ม

"มีอะไรน้ำ"

ปลายเสียงตวัดขึ้น

"ผมมาถามจารย์เรื่องงานวันคริสมาสต์น่ะครับ"

"ว่าไง ก็ตามที่ครูบอกไปนั่นล่ะพวกเรามีปัญหาอะไรเหรอ"

"คือที่จารย์จะให้ ม ๔ เป็นเจ้าภาพน่ะครับ ทางเราเห็นว่ายังไม่พร้อม อีกอย่างคนเราก็น้อยกว่าพี่ ม ๕ กับ ม ๖ ถ้าจะให้เป็นเจ้าภาพจริงเราขอเป็นปีหน้าได้ไหมครับ"

น้ำอธิบายออกไป แต่อาจารย์ตุ้มทำสีหน้าไม่สนใจ

"ก็ลองดูไงน้ำ ครูเชื่อฝีมือพวกเธอนะเนี่ยถึงยอมให้จัดงานเอง แต่ก่อนไม่เคยมีนะครูช่วยตลอด ปีนี้เห็นห้องพวกเธอมาแรงก็อยากให้แสดงฝีมือ เอาตามนั้น"

เหมือนเป็นประกาศิตน้ำเม้มปากแน่น ไม่เคยรู้สึกเกลียดชังครูคนไหนมาก่อน แต่เพิ่งจะรู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้านี้ไม่น่าเคารพเอาเสียเลย วันเวลานั้นตอนนั้นเนื่องด้วยวุฒิภาวะของเรายังน้อย อารมณ์ที่แสดงออกมาคิดดีแล้วว่าทำถูกทำควรแล้ว แต่พอมองย้อนกลับไปได้แต่ส่ายหน้ารู้สึกผิด บางอย่างที่เรามั่นใจแล้วว่าทำถูกแต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ความคิดของเราที่เชื่อเหลือเกินมั่นใจเหลือเกินว่าดีแล้วควรแล้วแต่มันก็ไม่ใช่ ถามว่าเสียใจไหมที่ทำลงไปอย่างนั้น เสียใจนะ แต่ถามกลับว่าแล้วทำไมถึงทำให้เราเข้าใจไปแบบนั้น มนุษย์เรามีหนทางสื่อสารอธิบายกันมากมายหลากหลายวิธี ทำไมไม่ทำให้กระจ่างใจตั้งแต่ตอนนั้นว่าทำไม ให้ทำแบบนั้นเพื่ออะไร เอาเป็นว่ายอมรับว่ามีอคติกับอาจารย์ผู้สอนซึ่งมันไม่ดีเลย ทำให้เราเรียนหนังสือไม่ได้ดีเท่าที่ควร อันไหนควรถามก็ไม่ถามเก็บงำเอาไว้ในใจเพราะคิดว่าไม่ชอบคนสอน แนวคิดแบบนี้ถือว่าเป็นแนวคิดขาลงดิ่งลงเหวอย่างแน่นอน

มีคำด่าทอที่ไม่เหมาะสมออกมาจากปากมากมาย ขอข้ามไป แต่บทสรุปคือหลีกเลี่ยงงานนี้ไม่ได้ต้องยอมทำตามที่อาจารย์ตุ้มต้องการ ความรู้สึกในตอนนั้นคืองานวันคริสมาสต์ทุกปีตั้งแต่เข้าเรียนชั้น ม ๑ มาอาจารย์ประจำภาควิชาจะเกณฑ์เอารุ่นพี่ ม ๖ มาเป็นแรงหลักในการจัดงาน แต่แผนงานทุกอย่างรวมถึงแม่งานคือภาควิชาภาษาอังกฤษเอง ไม่เคยมีโยนให้ชั้นไหนชั้นหนึ่งทำเอง แต่ถ้าจะมองในแง่ดีอาจารย์อาจจะลองให้พิสูจน์ฝีมือดูว่ามีศักยภาพทางมากน้อยเพียงใด อย่างน้อยมันก็ดีกับตัวนักเรียนเองในอนาคต

"พวกแกๆ นี่ ไปฟังไอ้พวกชาติชั่ว ม ๖ มันนินทาเรา"

ฝนเพื่อนในห้องวิ่งกระหืดกระหอบร้องไห้เข้ามาหาเพื่อนๆ

"มันว่าอะไร"

เสียงทุกคนดังขึ้น

"พวกมันบอกว่าพวกเราไม่มีปัญญาทำหรอกสงสัยงานจะล่ม มันเป็นแผนอาจารย์ตุ้มกับพวก ม ๖ มันเห็นว่าห้องเราคนน้อยบอกอะไรก็ไม่ฟัง"

"ทำไมทำแบบนี้ เลวที่สุด"

"ใจร้ายจังเลย เป็นครูอยู่หรือเปล่า"

อยากเห็นเรื่องแบบนี้แต่ในนิยายเพียงเท่านั้นไม่เคยคิดว่าจะเจอเองกับตัว ไม่ได้สิ้นความเคารพศัทราไปเสียหมด แต่กำลังใจที่เคยมีมันถดถอยลงไปมาก

"กูจะไปฉะกับพวกมันให้รู้เรื่อง ไม่ต้องทำมันแล้ว ให้มันล่มไปนั่นล่ะ"

เล็กร้องขึ้นสีหน้าสีตาโกรธแค้นไม่ต่างจากคนอื่น

"ไม่ต้องทำอะไรนะพวกเรา ช่างหัวมัน จะทำอะไรก็ทำ"

"นี่พวกแก ถ้าเราไม่ทำ พวกมันจะยิ่งไม่เยาะเย้ยเราเหรอ นี่มันเป็นแผนของพวกมันไม่ใช่เหรอ ทำไมเราไม่ทำให้มันได้ ให้พวกมันพูดไม่ออก"

หัวหน้าห้องเอ่ยขึ้นจากที่นั่งนิ่งฟังมานาน ทุกคนหันไปมอง

"จะทำยังไงทันล่ะไอ้ติ๊ก อีกแค่อาทิตย์เดียว ใครมันจะไปทำทันวะ ปีก่อนเตรียมงานกันเป็นเดือน"

"พวกเราก็ทำเท่าที่ทำได้สิ" กาญจน์พูด

"อืมกูก็เห็นด้วยกับไอ้ติ๊กนะเว้ย ทำไมพวกเราต้องยอมแพ้ ให้คนอื่นมาดูถูกพวกเราวะ"

บอทเอ่ยขึ้นสีหน้าจริงจัง

"นั่นสิ อย่างวาดรูปอีเอ๋ก็กินขาดไม่มีใครเทียบ พวกเราก็ทำฉากขึ้นมาเอง อย่างเรื่องการแสดง เดี๋ยวกูเขียนบทให้ พิธีกรกูรับเองกับเดือน ส่วนการแสดงเราก็เล่นสักเรื่องก็พอ"

น้ำเอ่ยออกมา ทุกคนมองหน้ากัน สรุปทั้งวันคุยกันเรื่องจัดการรับมือกับงานที่จะมีขึ้นในอีกไม่ถึงอาทิตย์ยังไงดี น้ำเป็นคนเขียนบทละคร ตกลงกันว่าจะเล่นเรื่องซินเดอเรล่า โดยให้บอทเป็นเจ้าชาย ฝนเป็นเจ้าหญิง เอ๋เป็นนางร้าย กาญจน์เป็นแม่เลี้ยง ไก่เป็นองครักษ์ ส่วนน้ำกับเดือนเป็นพิธีกร เล็กเองเป็นผู้กำกับเวที

"นี่พวกเรา ไหนๆจะทำแล้วทำให้มันเกิดเลยดีไหมล่ะ เต้นอีกสักเพลงไหม"

เอ๋เสนอความคิด

"เยอะไปไหมมึง"

เล็กเอ่ยขึ้น ชักสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ

"ไม่เยอะหรอกมึง ทำให้คนอ้าปากค้างหน่อยสิจะเป็นไรไป เดี๋ยวกูเต้นเอง"

"คนเดียวนี่นะ"

"บ้าเหรอ เอาไอ้ติ๊กมาเต้นด้วยสิหัวหน้าอ่ะ"

"เฮ้ย กูเต้นไม่เป็น"

"เว้ย เต้นๆไปก็เป็นเองล่ะย่ะ ไม่ต้องอะไรมากมาย"

"ห้องเราคนน้อยว่ะมึง นักแสดงมันก็ไม่พอกันอยู่แล้ว"

"ก็แสดงคนละสองอย่างสิ จะกลัวอะไร พอแสดงรายการนี้เสร็จก็ให้รุ่นน้องมาคั่นสักรายการค่อยว่ากันใหม่"

"อืม กูก็ว่าดีว่ะเล็ก"

น้ำเห็นด้วย สรุปจึงมีการเต้นเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งรายการ คนที่เต้นก็เล็กเอง เอ๋ แล้วก็กาญจน์ โดยให้เล็กแต่งตัวเป็นผู้ชายส่วนอีกสองคนแต่งตัวเป็นผู้หญิง ช่างน่าขันแท้ๆทั้งที่เอ๋เป็นผู้ชายเล็กเป็นผู้หญิงแต่สลับตำแหน่งกันเสียได้ ส่วนหัวหน้าห้องรับเป็นลุงซานต้าไป การฝึกซ้อมก็ทำกันอย่างจริงจังต่างคนต่างช่วยเหลือกัน เพื่อนที่อยู่บ้านไกลก็มานอนค้างบ้านเพื่อนที่อยู่ใกล้ เล็กมานอนค้างบ้านของฝน ส่วนพวกผู้ชายคนที่ไม่มีรถเครื่องก็มานอนบ้านไก่กับบ้านติ๊กเพราะใกล้โรงเรียนกว่า น้ำเองก็ตั้งหน้าตั้งตาเขียนบทละครขึ้นมาคร่าวๆ ส่วนเอ๋เองก็วาดฉากหลังเป็นรูปกวางเรนเดียร์เรียงต่อกันสี่ตัวมีซานตาครอสที่ทำขึ้นจากโฟมระบายสีแดงสดเอาสำลีติดขอบเสื้อกับหมวก เอ๋เองมีฝีมือด้านนี้อยู่แล้วจึงไม่ต้องห่วง ส่วนเรื่องชุดเนื่องจากฝนมีน้าสาวเป็นนักร้องคาเฟ่เก่ามีชุดเก็บไว้ที่บ้านหลายชุด ทุกอย่างแลดูจะราบรื่นดีเว้นแต่การซ้อมเต้น เพราะหลายวันแล้วยังเต้นไม่เข้าขากันเท่าไหร่นัก แต่เอาไปเอามาก็พยายามทำจนได้

วันงานมาถึงแล้วคาบเช้าให้มีการเรียนการสอนตามปกติ แต่ชั้นเรียนของน้ำได้ขออนุญาตอาจารย์เป็นพิเศษเพื่อทำการเตรียมตัว เล็กเองไปขอร้องให้พ่อของตัวเองซื้อขนมมาแจกน้องๆด้วยพ่อของเล็กก็ใจดีให้คนไปเหมาขนมมาจากอำเภอหลายถุง

"โห เอาให้แจ่มไปเลยนะพวกเรา ดูถูกกันดีนัก"

พอใกล้ถึงเวลาแสดงก็มารวมตัวกัน ทุกอย่างพร้อมแล้ว น้ำเองลงไปกับเดือนเป็นคนแรกเพราะเป็นพิธีกร ตอนแรกก็เขินไมโครโฟนอยู่แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะโห่ฮามาจากบริเวณรุ่นพี่น้ำเองก็ฮึดสู้ขึ้นมาพยักหน้าให้เดือน

"กราบเรียนท่านผู้อำนวยการ คณะครูอาจารย์ และสวัสดีครับเพื่อนๆน้องๆทุกคน วันนี้เป็นวันคริสมาสต์นะครับ บางคนอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ ในเมื่อเราเป็นพุธเราไปเกี่ยวอะไรกับเขา คืออย่างงี้นะครับ เพราะเราเรียนวิชาภาษาอังกฤษซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน วันนี้ ชั้น ม ๔ ของเราได้รับมอบหมายให้จัดงานนะครับ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย"

"ค่ะตามที่น้ำบอกไปนะคะ วันนี้เราได้เชิญลุงซานต้าบินลัดฟ้ามาจากขั้วโลกเหนือเลยนะคะ ไหนค้าคุณลุง มาแจกขนมเด็กๆหน่อยค่า"

เดือนเองก็ไม่ยอมแพ้ ตอนแรกยืนเกาะกันอยู่หน้าเวทีหลังชนกำแพงเพราะเขิน แต่เอาไปเอามาอยู่ตรงกลางโถงชั้นล่างของอาคารเรียนหลังใหม่แล้ว น้ำเอาขนมไปหว่านโปรยให้น้องๆ เด็กๆพอเห็นขนมก็ตะครุบกันใหญ่

"ครับ ไหนใครได้ขนมบ้างเอ่ย ออกมานี่เลยครับ เรามาเล่นเกมกันก่อนจะรับชมการแสดง"

มีการปาขนมออกจากมือจ้าละหวั่น เด็กต่างจังหวัดนั้นจะอายเกี่ยวกับการทำกิจกรรมต่อหน้าสาธารณชนมากกว่าเด็กในเมือง ไม่รู้ทำไมจนปัจจุบันกลับไปโรงเรียนก็ยังเห็นว่าเด็กสมัยใหม่ก็ยังอายเขินกันอยู่ การเป็นพิธีกรของทั้งสองเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดีเพราะต่อให้กันไม่มีสะดุด พอการแสดงเริ่มขึ้นเปิดด้วยเต้นของเอ๋กาญจน์และเล็ก เต้นเพลงของโดมปกรณ์ ลัม เพลง อันตราย พอเสียงดนตรีดังขึ้นเหมือนว่าทั้งสามคนจะใส่ลีลาออกเสต็ปไปเต็มที่เสียงเด็กนักเรียน ชั้น ม ต้นกรี๊ดดังสนั่นหวั่นไหว ตอนซ้อมพากันซ้อมแบบแข็งๆไม่ค่อยเข้ากันแต่พอเต้นจริงเต้นออกมาดีมาก เพราะเล็กเต้นเป็นผู้ชายให้ผู้หญิงปลอมอย่างเอ๋กับหญิงแท้อย่างกาญจน์เต้นยั่วทำได้ดีมากทั้งสามคน เสียงกรี๊ดไม่ยอมลงง่ายๆแม้การแสดงจะจบไปแล้ว พิธีกรรีบมาคั่นรายการด้วยการเล่นเกมเพราะต่อไปนักเต้นอย่างเอ๋กับกาญจน์ต้องไปแสดงละครต่อ พอได้รับสัญญาณจากเพื่อนที่คอยอยู่หลังเวทีทั้งห้องที่คอยมาเป็นกำลังใจให้กัน มาคอยรุดฉากปิดเปิดม่านให้ถือหางชุดราตรียาวให้นางเอก ทุกคนช่วยกันอย่างเต็มที่ การแสดงเริ่มขึ้นแล้ว ฝนแสดงเป็นนางซินได้สมบทบาทมากตีหน้าใสซื่อ ส่วนเอ๋แผดเสียงโดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟนเลย บทจำไม่ได้แต่ไม่มีสะดุด เสียงฮือฮาดังไม่ขาดสาย พอการแสดงจบลง ผู้อำนวยการได้มากล่าวชมเชยการจัดงาน อาจารย์พรเองก็เดินมาชม

"เก่งมากทุกๆคน ครูดีใจมาก"

แต่ไม่มีนักเรียนคนไหนปริปากอะไรออกไปสักคนต่างรีบกลับไปที่ห้องของตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้า มองหน้ากันแล้วยิ้มให้กัน พยักหน้าให้กันอ่านใจกันจากทางสายตาเท่านั้นพอ ไม่ได้ต้องการคำเยินยอจากใคร แค่ไม่อยากให้ใครมาสบประมาท และวันนี้ทุกสายตาก็ได้ประจักษ์แล้วว่าชั้น ม ๔ ที่แม้จะมีนักเรียนหลงมาเรียนแค่ ๒๐ คน แต่ศักยภาพไม่ได้น้อยหน้าใคร

"บอทหล่อนะบนเวทีน่ะ"

พอกลับมาบ้านก็ตรงดิ่งไปนาของบอทเพื่อตีข้าวต่อ

"แล้วตอนนี้ไม่หล่อเหรอน้ำ"

"หล่อคร้าบ หล่อมากจับใจเลยล่ะ"

"งั้นคืนนี้จะทำอะไรคนหล่อดีล่ะน้ำ"

"นอนกอดไง"

"ฮื่อ กอดได้กอดดี กอดทั้งปี ทำอย่างอื่นบ้างดิ"

"เอาไว้วันอื่นค่อยทำได้ไหมอ่ะ วันนี้เหนื่อย เออ บอทวันนี้ไปอาบน้ำบ้านนะ จะได้ทำการบ้านด้วย ค่อยมานอนที่นี่"

"คร้าบ แต่เรานอนไม่หลับหรอกนะน้ำ"

"ทำไมล่ะบอท"

"ก็เราไม่ได้ทำมาหลายวันแล้วอ่ะน้ำ มันไม่ออกมันอึดอัด"

"ฮึ โน่นเลย ไปรีดออกเลย หมกมุ่นนะบอท"

"ฮ่าๆ ก้อยุ่ใกล้น้ำล่ะถึงเป็น"

หยอกล้อกันอย่างมีความสุข นาของบอทเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วกว่าจะเสร็จก็ปาไปจะข้ามปีเสีย เหลือเพียงนาเดียวจริงๆในละแวกนี้ แต่แม่นิ่มบอกว่าค่อยๆทำไปไม่ได้รีบเว้นเสียแต่ว่าฝนจะตกลงมา ถ้าแบบนั้นค่อยว่ากันใหม่ และเป็นอย่างที่แม่นิ่มพูดจริงๆ ตอนกลางคืนระหว่างที่น้ำกับบอทกำลังตีข้าวอยู่ฝนหลงฤดูก็เทลงมาต้องรีบหาเอาผ้ายางมาคลุมกองข้าวไว้ แม่นิ่มเองก็วิ่งออกมาจากบ้านมาช่วยอีกแรง ข้าวเปียกไปไม่เยอะเท่าไหร่นักเพราะคลุมไว้ทัน พอเสร็จก็พากันกลับไปนอนที่บ้านเพราะซุ้มนอนตอนฝนตกไม่ปลอดภัยเพราะสิงห์สาราสัตว์ต่างๆก็จะหลบฝนมาซ่อนตัวอยู่ในซุ้มด้วยเช่นกัน

๒๕ ธันวาคม

ไม่น่าเชื่อนะว่าอีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีแล้ว เร็วเหมือนกันนะเหมือนเพิ่งจะเข้าเรียนชั้น ม ปลายเอง กูไม่เข้าใจครูโรงเรียนนี้เลยว่ะ ตั้งแต่ตอนไปแข่งร้องเพลงบ้าบอนั่นแล้ว ตอนแรกคิดว่ากูคงไม่ถูกหูถูกตาเขาแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ คงไม่ใช่แค่กูคนเดียวพวกเขาคงเกลียดห้องเรา ชั้นเรา ๒๐ คนเรา แกะดำอย่างพวกเรา โกรธนะไม่รู้สิไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ เป็นครูแท้ๆ ไม่ได้มีจรรยาบรรณเลย รู้ว่ามันไม่ดีนะที่จะพูดแบบนี้คิดแบบนี้ แต่นี่มันไดอารี่ของกู ทำไมล่ะในเมื่อทำให้กูกับทุกคนรู้สึกไปได้แบบนี้ จะขอโทษนะจะก้มลงกราบเลยล่ะถ้าได้คำอธิบายที่ดีพอว่าทำไม สิ่งเดียวที่ทำให้อยากเรียนที่นี่ต่อคือเพื่อนๆทุกคน วันนี้พวกเราทำให้เห็นว่าเรารักกันไม่ว่าใครจะมองยังไง เสียใจนะที่มีครูหรือรุ่นพี่ รุ่นน้องมองไม่ดี หาว่าไม่เอาถ่าน แต่ไม่เป็นไรแค่พวกเรารักกันก็พอ วันนี้มึงเล่นเป็นเจ้าชาย หล่อมากนะ กูนี่ใจสั่นเลยล่ะ อดใจที่จะจ้องมองมึงไม่ได้ ทั้งที่ได้กอดได้มองอยู่ทุกวัน ยิ่งนานวันยิ่งรักมึงมากนะบอท รักมากกว่าเดิมเสียอีก เอาเป็นว่าวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี มีความสุขดี และยิ่งสุขที่ได้อยู่กับมึงเพียงสองคน รักมึงว่ะ รักมึงเหมือนทุกวัน

ผีเสื้อน้อยกรีดปีกงามบนอากาศ    วิไลลาศหยาดฟ้าดังสวรรค์

ทิศประจิมฉายแสงท้ายของตะวัน    กลางเหมันต์หนาวสั่นกลางฤดี

ดอกหญ้าบานรับน้ำค้างอยู่กลางทุ่ง   ตอนย่ำรุ่งฟ้าสางเสียงปีกษี

กระพือปีกเรียกขานก้องไพรี     ส่วนเรานี้ก่ายกอดยอดดวงใจ


วิสัชนา แลนรกนั้นก็เวลาที่โดนเขาหักอกให้ดวงใจมันทุกข์ตรมขมช้ำกับรักที่ยังปักอยู่กลางอกนั่นไง มิใช่หรือ

เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 13-10-2010 23:14:56
^
^
^

 ^ูู^    :z13:   eiky  555


เพราะมีครูประเภทนี้อยู่ทำให้ระบบการศึกษารวนและล้าหลังมากๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๑ (ตุลาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: salawinyeen ที่ 13-10-2010 23:46:43
วันนี้อยากฆ่าพี่ อิ๊ก ให้รอนานมากกว่าจะมาต่อ

รออ่านตอนต่อไปอยู่นะครับ

^^ By เด็ก ม.ปลายคนหนึ่ง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๒ (ตุลาคม ๑๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 14-10-2010 00:52:18
บทที่ ๑๓

ปุจฉา สิ่งที่ตาแลเห็น สิ่งที่กายสัมผัส สิ่งที่โสตประสาทรู้สึก สิ่งใดสัมพันธ์โยงใยกับใจเรามากที่สุด

ปีใหม่เข้ามาเยือนแล้ว บรรยากาศตามหมู่บ้านเริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ชาวบ้านต่างเตรียมทำความสะอาดเช็ดถูบ้านกันขนานใหญ่เพื่อต้อนรับวันปีใหม่ ซึ่งการทำความสะอาดบ้านจะทำในตอนกลางวัน เริ่มจากตื่นมาทำบุญตักบาตรแต่เช้าเพื่อความเป็นศิริมงคล ทำกับข้าวกับปลาอย่างดีให้คนในครอบครัวได้กินกัน ช่วยกันปัดกวาดฝุ่นที่เหมันตฤดูพัดหอบขึ้นไปบนบ้าน เพลากลางคืนก็มีการสังสรรค์กันที่ศาลากลางหมู่บ้านซึ่งจะจัดงานขึ้นเป็นประจำทุกปี มีการจับฉลากของขวัญและละเล่นเกม โดยจะให้ชาวบ้านนำของขวัญไปร่วมกันจับฉลาก ปีนั้นรู้สึกจะกำหนดราคาขั้นต่ำของของขวัญอยู่ที่ ๒๐ บาท มีเรื่องตลกจากการจับของขวัญในปีนั้นคือมีป้าคนหนึ่งซื้อน้ำปลาแท้ซึ่งสมัยนั้นขวดละประมาณ ๑๘ บาทแต่ราคายังไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้จึงซื้อลูกอมใส่เพิ่มเข้าไปอีก ๒ บาทเพื่อให้ครบตามข้อกำหนด เอาขวดน้ำปลาใส่กล่องเหล้านอกที่ลูกชายนำมาจากเมืองกรุง แต่ไม่ได้ห่อด้วยกระดาษเหมือนคนอื่นๆแต่อย่างใด พอถึงเวลาจับฉลากปรากฏว่าชายหนุ่มขี้เหล้าประจำหมู่บ้านจับได้ของขวัญของป้าแก ชายหนุ่มดีใจมากชูกล่องขึ้นเขย่าดีใจอยู่ ขวดหลุดออกจากกล่องแตกกระจายส่งกลิ่นของน้ำปลาแท้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณศาลากลางหมู่บ้าน ชายหนุ่มคนนั้นจึงได้ฉายาไอ้ยมน้ำปลาแท้ไปโดยปริยาย

น้ำกับบอทเองไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับงานรื่นเริงนี้เลย เพราะข้าวของบอทยังตีไม่เสร็จแม้แม่นิ่มเองจะขอร้องให้พักบ้างแต่ทั้งสองก็ไม่ยอม จุดประสงค์คือการที่จะได้อยู่ด้วยกัน แม้ฉากหลังจะเป็นการตรำทำงานหนักสักเพียงใด แต่อย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกันได้ยืนเคียงข้างกัน ได้เฝ้ามองใบหน้านั้นซึ่งกันและกันไม่ยอมห่าง แค่นี้เองที่ต้องการ

"น้ำนึ่งไก่กินไหม เนี่ยเราว่าจะขอเบียร์แม่สักสี่ขวด"

บอทเอ่ยขึ้นตอนเย็นก่อนจะออกไปนา

"อืมเอาดิบอท น้ำอยากกินนึ่งไก่เหมือนกัน"

"เดี๋ยวขอไก่อีสาวแม่ ปีใหม่ทั้งทีกินให้หนำใจไปเลย"

บอทว่าแล้วก็เดินไปหาแม่นิ่มที่บ้านของน้ำกำลังโพทนาเกี่ยวกับงานวันปีใหม่อยู่ลานหน้าบ้านช่วยกันห่อของขวัญกับแม่บุญช่วยอยู่ ของขวัญส่วนมากจะซื้อพวกของใช้เอาไปจับฉลาก สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอง พ่อถาวรเองขับรถเครื่องออกไปซื้อให้ถึงในอำเภอ บอทไปสักพักก็กลับมายิ้มหน้าระรื่นเห็นไรฟันเรียงกันขาววับ

"จัดการเลยน้ำ ไปจับไก่อีสาวกัน"

บอทยิ้มแฉ่งมาตั้งแต่ยังไม่ข้าวรั้วบ้านมา ทั้งสองช่วยกันไปจับไก่สาวตัวรุ่นๆมาตัวหนึ่ง บอทเป็นคนเชือดเหมือนเคยส่วนน้ำช่วยต้มน้ำแล้วก็ตำเครื่องเทศรอ วิธีทำนึ่งไก่ก็ไม่ยากเย็นนักเอาลังถึงมาตั้งไฟรอให้น้ำเดือดเอาไก่ที่คลุกกับเครื่องเทศใส่ไปในชามนึ่งเหมือนนึ่งขนมตาลแต่ใช้เวลานึ่งนานหน่อยเพราะไก่จะได้เปื่อยไม่เหนียว ระหว่างรอนึ่งไก่บอทก็ไปซื้อเบียร์ช้างสี่ขวดร้อยมาเก็บไว้ในตุ่มดินเผาพอจะกินค่อยออกไปซื้อน้ำแข็งอีกรอบหนึ่ง เพราะปีนั้นบ้านน้ำเองยังไม่ได้ซื้อตู้เย็น

"พวกอีเล็กมันทำอะไรอยู่นะป่านนี้"

น้ำเอ่ยขึ้นตอนช่วยกันถือชามใส่ไก่นึ่งหอมฉุยไปยังนา ส่วนบอทก็หอบหิ้วเอาเบียร์กับน้ำแข็งตามไป

"มันก็คงกินเบียร์เหมือนเรานี่ล่ะน้ำ"

"อืม เร็วจังนะบอท แป๊บเดียวปีใหม่แล้วอ่ะ รู้สึกว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย"

"ก็เรามีความสุขไงน้ำ มันเร็วแบบนี้ล่ะ เออน้ำ คืนนี้ขอนะ"

ทำตาแวววาวขึ้นมา น้ำเองยิ้มอายๆแต่ก็พยักหน้า แม้จะเป็นวันที่ทุกคนหยุดการบ้านการเรือนเพื่อไปสังสรรค์กันแต่เด็กทั้งสองต่างพากันไปตีข้าวอยู่นา เหลือไม่มากแล้วคงไม่เกินอาทิตย์ก็น่าจะเสร็จ ตีข้าวสลับกับการกินไก่นึ่งแกล้มเบียร์

"น้ำ ไปอาบน้ำกันเถอะดึกแล้ว"

บอทเอ่ยขึ้นดวงตาหวานฉ่ำเพราะกึ่มเบียร์ น้ำเองก็เช่นกัน เดินตามกันไปยังบ่อปลายนา อากาศยังหนาวเย็นอยู่แม้จะไม่มีลมแต่น้ำค้างก็ยังพร่างพราวลงมาจากฟากฟ้า

"โหย หนาวว่ะ สร่างเลย"

บอทครางออกมา น้ำเองก็ตัวสั่นรีบอาบน้ำแล้วเดินกลับมายังซุ้ม

"น้ำ ช่วยกินเบียร์หน่อยดิ ให้เรากินคนเดียวเดี๋ยวก็เมาทำอะไรน้ำไม่ได้หรอก"

"ดีสิ น้ำจะได้ไม่เจ็บตัว"

"อ้าว ไม่ได้นะน้ำ สัญญาแล้วนะ ไหนบอกเราจะมาทำรักกันข้ามปีไง"

หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ น้ำเองฟาดไปที่บ่าของบอทเขินอายหน้าแดงระเรื่ออยู่

"ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วน้ำ"

บอทครางออกมาเบียดกายเข้าหาทันที น้ำหันหน้าไปมองจ้องตากับบอท

"อืม"

ทั้งสองโผเข้าหากันประกบริมฝีปากเข้าหากันอย่างเร่าร้อน ด้วยแรงอัดในใจ ด้วยฤทธิ์ของน้ำเมา ร่างหนึ่งคร่อมก่ายป่ายมือกอด ร่างหนึ่งชูยอดอกสั่นไหว มือกระหวัดเกี่ยวเลี้ยวลากลงไป จงอยปากไซร้ซุกซอกลงหลืบเร้น ลากลิ้นผ่านจุดหวานจุดอ่อนไหว แลดวงใจเต้นสั่นร้อนระริก มือจิกหัวอ้าปากครางซ่านเซ็น แลมองเห็นเพียงดารารายรอบตัว ร่างสองร่างปลดเปลื้องซึ่งอาภรณ์ ปากถ่ายถอนจากจุดนั้นละเลงไปทั่ว อกแนบอกกายแนบกายไม่ห่างตัว ละเลงรัวระริกร้อนระเริงใจ ดันแก่นท่อนแสนรักเข้าในร่าง มือแหวกทางปากประกบไม่ให้ไหว เนื้อร้อนเนื้อเบียดเข้าร่างช่องภายใน ใจต่อใจผสานรักไม่วางวาย

แสงดาราที่ส่องประกายระยับอยู่บนท้องฟ้าสีดำมืดนั้น สาดแสงลงมาให้คนเบื้อล่างได้แหงนหน้าขึ้นมองเชยชมอยู่ แพรดำผืนใหญ่ที่โรยไปด้วยเกร็ดอัญมณีทั่วทั้งผืนฟ้าน่าดูยิ่งนัก เสียงนับจากสิบร่นลงมาหาหลักศูนย์ดังแว่วออกมาจากข้างในหมู่บ้าน ลมนิ่งไม่ไหวติง น้ำค้างยังพร่างพราว ร่างสองร่างเหงื่อชุ่มไปทั้งดวงหน้า ก่ายกอดกันอยู่อย่างนั้น

"บอทรักน้ำนะ"

กระซิบเสียงขึ้นทำลายความเงียบสงัดของคืนวันปีใหม่ที่เพิ่งผ่านเข้ามาได้ไม่กี่นาที กระซิบบอกแล้วพรมจูบทั่วใบหน้า

"น้ำก็รักบอท"

สังเกตไหมว่าแต่ละวินาทีมันไม่เคยรีรอที่จะเดินต่อไป วาระสำคัญของใครบางคนถ้าเราเวลารอโอกาสที่จะเอ่ยหรือจะทำมัน รอทำไมในเมื่อเวลามันยังไม่เคยคอยถ้าเราเลย น้ำกอดบอทไว้แน่นในอกระบายลมหายใจออกมาอย่างเปี่ยมสุข มือก็ลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่เปล่าเปลือย รักเหลือเกิน รักจนหมดใจ

ปีใหม่ล่วงไปแล้วพอขึ้นเดือนแรกของปีก็ต้องรีบอ่านหนังสือเตรียมสอบ นาของบอทเสร็จแล้ว วันที่ขนข้าวเปลือกขึ้นเก็บในยุ้งก็เลี้ยงต้มไก่ ต้มปลาคนที่มาช่วย เหมือนงานบุญขนาดย่อมๆนั่นเอง สอบกลางภาคใช้เวลาไม่กี่วันในสัปดาห์แรกของเดือน ที่ครูอาจารย์กำหนดวันไว้แบบนี้เหมือนจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง คือเหมือนไม่ให้นักเรียนฉลองปีใหม่หรือไหลไปตามเทศกาลจนลืมหน้าที่ของตน น้ำเองก็ทำข้อสอบได้ตามปกติ ส่วนบอทเหมือนกันกับเล็ก ทำได้ไม่ได้แต่ไม่เคยปริปากเหมือนจะรู้ศักยภาพของตนเองดี

"ขนาดเป็นคนไทยนะเนี่ย ทำไมรู้สึกว่าวิชานี้มันยากกว่าใครวะ"

เล็กบ่นก่อนจะกลับบ้าน

"มันละเอียดอ่อนมึง เป็นคนไทยสิเราต้องเอาให้แตกฉาน"

"โว้ย สมองกูนี่สิจะแตกก่อน อะไรวะคำเป็นคำตาย กูนี่ล่ะจะตายก่อน"

เล็กร้องออกมาอย่างอารมณ์ดีบอทเองก็คล้อยตาม

"มึงดูชีวะของไอ้ต้าสิ ห่าไปขุดมาจากไหนมาออกก็ไม่รู้"

"เออกูก็ทำไม่ได้"

น้ำบอกเพราะรู้สึกว่าวิชานี้ค่อนข้างจะยากแม้จะท่องจำมาเป็นอย่างดี

"จะผ่านไหมกู คอยซ่อมเอาละกัน เอออีเอ๋ ปีนี้บุญเดือนสามบ้านมึงเขาจ้างอะไรวะ"

เล็กหันไปหาเอ๋ที่ทำหน้าเหรอหรายืนอยู่ใกล้ๆไก่ สองคนนี้เหมือนจะมึนตึงกันอยู่แต่ก็ไม่มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว คุยกันบ้างแต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่เหมือนเดิม

"เฉลิมพลคืนสอง คืนแรกหมอลำหมู่ คืนสุดท้ายเป็นหนังมั้ง"

เอ๋บอกที่เรียงลำดับออกมาแบบนี้ก็เอาที่เป็นที่สนใจที่สุดขึ้นต้น งานบุญเดือนสามหรืองานนมัสการพระธาตุที่วัดบ้านใหญ่จัดขึ้นทุกปี และแต่ละปีก็จัดยิ่งใหญ่เพราะพระธาตุวัดบ้านใหญ่เป็นศาสนสถานที่ทางกรมศิลป์มาขึ้นทะเบียนไว้ มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งหมู่บ้านเสียอีก เห็นแม่ของเอ๋เคยเล่าให้ฟังว่ามีมาตั้งแต่สมัยขอม เพราะถัดไปจากวัดบ้านใหญ่คือดอนกู่ ที่เรียกว่าดอนคือเป็นเนินป่าละเมาะมีต้นยางนาต้นใหญ่ๆขึ้นเรียงรายรกครึ้ม ที่น่าสนใจคือมีก้อนหินศิลาขนาดใหญ่แผ่นสี่เหลี่ยมขนาดที่คนห้าสิบคนยกไม่ขึ้นแต่ก้อนหินนั้นมันขึ้นไปอยู่บนยอดยางนา น่าอัศจรรย์นักแต่ไม่นานมานี้ก้อนหินนั้นได้ตกลงจากยอดยางแล้ว งานบุญเดือนสามถือเป็นงานใหญ่ที่สุดในตำบล พิธีเปิดจะเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดมาเปิดงาน มีการให้ทำบุญเข้าไปนมัสการพระธาตุตลอดทั้งวัน ส่วนเวลากลางคืนก็จะมีมหรสพตลอดทั้งคืนเช่นกัน ทุกปีจะว่าจ้างหมอลำคณะดังๆมาไม่คืนใดก็คืนหนึ่งเพื่อดึงดูประชาชนในระแวกใกล้เคียงให้มาดู

"เดี๋ยวบอกพ่อมึงเตรียมลาบเนื้อไว้ด้วยนะ พ่อสอนนี่ทำลาบเลือดอร่อยเหาะกว่าใคร"

เล็กบอกแล้วทำตาเป็นประกาย

"สาโทล่ะมึงอีเอ๋ ปีนี้ทำป่ะวะ"

บอทถามขึ้น สาโทถือว่าเป็นหัวใจหลักของงานแม้จะผิดกฏหมายแต่ชาวบ้านก็ยังทำกันอยู่ทุกครัวเรือนในเพราะถือว่าทำกินในบ้าน ทำเฉพาะเวลามีงานเทศกาลที่สำคัญเท่านั้น

"ทำดิมึง เนี่ยใกล้วันกูว่าจะไปปั้นอยู่ ปีนี้แม่กูบอกว่าข้าวดีหวานแน่ๆ"

"อยากกินแล้วว่ะ"

หัวข้อสนทนานี้ดูเหมือนจะโด่งดังกว่าหัวข้ออื่นๆในช่วงนี้ แต่ห้องของน้ำก็ได้รับมอบหมายงานให้ทำอีกรอบ คราวนี้จากผู้อำนวยการโรงเรียนเลย

"อะไรนะไอ้ติ๊ก ให้เราไปรำในงานเปิดพระธาตุเหรอ บ้าไปแล้ว ผอ"

เดือนร้องออกมาหน้าซีดเซียว เพื่อนๆทุกคนก็ไม่ต่างกัน

"โว้ย นี่มันจะอะไรกันหนักหนาวะ ห้องอื่นไม่มีเลยหรือไงทำไมอะไรๆก็ห้องเรา ชั้นเราวะ"

เล็กโวยวายขึ้น เพื่อนๆทุกคนก็อยู่ในอาการเดียวกัน

"กูว่าแปลกแล้วนะ พวกมึงว่าไหม อะไรวะ ทำไมให้เราทำแต่งานแบบนี้ มึงก็รู้ถ้าพลาดมาไม่ใช่แต่เรานะที่จะเสียหน้า ชื่อโรงเรียนเลยนะมึง"

เอ๋ให้ความเห็นบ้าง เพื่อนๆก็เห็นด้วย สรุปทั้งวันไม่ยอมเรียนกัน ต่างเครียดอยู่แต่เรื่องนี้

"ไปปรึกษาจารย์นางน้อยดีกว่าป่ะ ดีกว่ามาเครียดเอง"

น้ำออกความเห็น

"คาบต่อไปคาบจารย์นางน้อยนี่ รอแกมาก่อนดิน้ำค่อยถามทีเดียวเลย จะเอาไงวะ กูเริ่มไม่ไหวแล้วนะ ห่ามาเรียนนะโว้ย ไม่ได้มาทำกิจกรรมเพื่อสังคม"

ไก่ร้องขึ้นโวยวายเสียงดัง พอถึงคาบแนะแนวอาจารย์นางน้อยก็เดินเข้ามาในห้องจริงๆ อาจารย์นางน้อยคือครูที่ปรึกษา มีคนเดียวตั้งแต่เข้า ม ๔ จนจบ ม ๖

"เรื่องไปรำน่ะจารย์ทำไมอ่ะคะ ทำไมเราต้องทำอีกแล้ว"

เดือนถามขึ้นเป็นคนแรกเพื่อนๆทุกคนก็แสดงสีหน้าท่าทางออกไปเหมือนกัน

"อ๋อ นักเรียนจ๊ะ อย่าไปคิดมาก ผอ เขาเห็นเราแสดงในงานวันคริสมาสตร์ไงจ๊ะ ท่านเห็นว่าพวกเรามีความสามารถ จึงอยากให้ช่วยงานเขาหน่อย ดีออกนะครูว่า พวกเธอจะได้ทำให้ใครบางคนได้เห็นว่าเราน่ะ เริ่ด"

อาจารย์นางน้อยทำหน้าทำตาออกมา ปกติเป็นคนค่อนข้างอารมณ์ดีและเล่นกับนักเรียนที่ปรึกษาของตน เอ๋เคยบอกว่าอาจารย์นางน้อยกะเทยยังอาย เพราะบางทีทำจริตจะก้านเกินกะเทยเสียอีก ทั้งที่เป็นคนสวยถือว่าเป็นอาจารย์หญิงที่สวยที่สุดในโรงเรียนถ้าไม่ไปเทียบกับอาจารย์บลที่สอนภาษาไทย รายนั้นจะตัวสูงระหงษ์เสียงดุดัน แต่อาจารย์นางน้อยจะตัวเล็กๆขาวๆแต่ก็แต่งงานแล้วสามีทำงานเป็นวิศวกรอยู่ที่เมืองจันท์

"จะดีเหรอจารย์ถ้าขายหน้าเขาขึ้นมา โรงเรียนนะจะอายไม่ใช่แต่เรา"

น้ำให้ความเห็นบ้าง

"ว้าย ทำไมต้องอายล่ะคะน้ำ นี่พวกเราน่ะต้องเชื่อมั่นในตัวพวกเราเองสิ ดูอย่าง ม ๖ สิทำท่าเป็นเด็กเรียนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผอ ท่านแลไหม ไม่ค่า ม ๕ อีก ไม่เอาอ่าวทั้งกิจกรรมทั้งเรียน พวกเราน่ะดีแล้ว เรียนไม่เก่งไม่สนค่า เอากิจกรรมเราต้องเริ่ด เอาล่ะอย่าคิดมาก เรามีเวลาซ้อมอีกไม่มากนักนะ เริ่มคุยกันได้แล้วว่าจะทำยังไงกันดี"

สรุปก็ต้องยอม มาคิดย้อนหลังไปต้องไปกราบขอบคุณผู้อำนวยการ และอาจารย์ที่ยัดงานเหล่านี้ให้ เพราะเหมือนมันเป็นทักษะอีกอย่างที่ได้ติดตัวมา ทักษะที่นักเรียนชั้นอื่นคงไม่มีโอกาสที่จะได้ไป

"รำเพลงจินตหราดีไหมแก"

กาญจน์เสนอ

"เพลงไรล่ะ รักสลายดอกฝ้ายบ้านน่ะเหรอ"

"เพลงเดียวไม่พอหรอกมึง ถ้าจะเอาให้เกิดสองเพลงไปเลย"

ฝนออกความเห็นบ้าง สรุปลงมติกันที่สองเพลง ของจินตหราทั้งสองเพลง คือเพลงมออีแดง กับรักสลายดอกฝ้ายบาน เล็กมีเทปตามเคย มีการตกลงกันว่าจะรำแบบคู่ชายหญิง๑๐คู่ โดยคู่ของเอ๋กับเล็กก็ทำเหมือนเคยคือให้เล็กแต่งเป็นผู้ชายส่วนเอ๋แต่งเป็นผู้หญิง การฝึกซ้อมเริ่มขึ้นทันทีที่ห้องพยาบาลเพราะอาจารย์นางน้อยประจำอยู่ห้องนั้นคิดท่ารำก่อนในวันแรก รอเทปจากเล็กตอนแรกเพื่อนๆก็อิดออดเพราะมันเป็นงานใหญ่ อีกอย่างคนที่ดูจะไม่มีแต่นักเรียนแต่มันคือคนทั้งตำบล แต่ก็โดนขาใหญ่อย่างเล็กบังคับรวมถึงเดือนด้วยทุกคนจึงยอมร่วมมือกัน

"เอาวะพวกเรา กอดคอกันต้องเกิดเท่านั้น อย่าได้อาย"

เล็กพูดออกมาแล้วคิดท่ารำกันต่อไป ยิ่งใกล้วันยิ่งตื่นเต้นกันไปใหญ่เพราะทาง ผอ เองก็เหมือนมากดดันคอยถามว่าไปถึงไหนแล้วฝากความหวังไว้นะ อะไรเทือกนี้ เครียดมากเหมือนกันแต่ก็พยายามซักซ้อมกันอยู่ไม่ยอมแพ้

"ชุดล่ะแก ใส่ชุดอะไรดี"

เอ๋ร้องขึ้นมาเมื่อซ้อมเสร็จนั่งรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นมะม่วงนักเรียนชั้นอื่นกลับบ้านกันไปหมดแล้ว

"เออนั่นดิ มัวแต่ซ้อมไม่คิดเรื่องชุดเลย"

เดือนร้องออกมา

"ผู้ชายก็ใส่โสร่งกับเสื้อม่อฮ่อมดิ ผู้หญิงเดี๋ยวให้ไอ้ไก่ไปยืมน้ามัน น้ามันมีคณะรำอยู่ไม่ใช่เหรอ"

หัวหน้าห้องเสนอความเห็น

"เออใช่ งั้นเอาตามนี้"

เพื่อนๆเห็นด้วย พอเลิกโรงเรียนน้ำกับบอทก็ไปกับไก่ไปขอยืมเสื้อรำของน้าของไก่ คณะรำคือกลุ่มของสาววัยรุ่นประจำแต่ละหมู่บ้านที่จะมารวมตัวกันฝึกรำตอนเดือนห้าถึงเดือนหก จะมีประเพณีบุญบั้งไฟคณะรำของน้าไก่ก็จะตระเวนไปชิงรางวัลตามหมู่บ้านต่างๆ คณะรำค่อนข้างใหญ่เพราะรวมหญิงสาวทั้งแม่ลุกอ่อนสาววัยรุ่นสาวแรกรุ่นมารวมตัวกัน พอไปยืมน้าของไก่ก็ไม่ว่าอะไรให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี การเตรียมตัวแม้จะไม่พร้อมเต็มร้อยแต่ด้วยความมุ่งมั่น แม่นิ่มเองงัดเอาโสร่งผ้าไหมมาให้บอทกับน้ำใส่คนละผืนตัวที่บอทใส่สีเปลือกมังคุดกับสีแดงเลือดนกเป็นพื้นหลัก ส่วนของน้ำเป็นสีเขียวปีกแมลงทับกับสีน้ำเงินเป็นพื้นหลักตัดเล่นสีตามแบบฉบับของโสร่ง ส่วนเสื้อม่อฮ่อมติ๊กเป็นคนไปจัดหายืมมาจากผู้ใหญ่บ้านได้ครบกันทุกคน วันงานมาถึงทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านของเดือน พ่อเดือนทำลาบให้กินอิ่มหนำสำราญกันไปทุกคน พิธีเปิดงานมีขึ้นในตอน ๙ โมงเช้า พอแต่งตัวเสร็จก็เดินออกไปรวมกับเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆที่มาร่วมงาน แต่แยกไปอยู่ต่างหากไม่ยอมหันไปมองใครแม้นักเรียนจะพากันชี้นิ้วบุ้ยปากดูอยู่ก็ตาม

"จะดูห่าไรวะ ทีให้แสดงไม่แสดงนะพวกเปรต แหมทีกูทำนี่บอกเลยนะว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนมัน"

เล็กบ่นออกมา

"นั่นดิ เวลาได้หน้านี่แบกกันมารับแต่ไกลเลย แต่พอจะให้ทำไม่เอาสักคน"

"เอาน่า อย่าไปว่าพวกมันเลย พวกเราทำพวกเราก็ได้เองล่ะ ใครๆดูเขาก็รู้"

ติ๊กเอ่ยออกมา อาจารย์นางน้อยเดินมาหายิ้มแป้นมาแต่ไกล

"ว่าไงค้าเด็กๆ เต็มที่เลยนะท่านผู้ว่าก็มา เกิดค่ะเกิด"

"จารย์เวลาประกาศประกาศเขาจะบอกว่าเป็นชั้น ม ๔ หรือว่าประกาศว่ามาจากโรงเรียน"

เดือนถามหน้าตาเอาจริงเอาจัง

"ก็ประกาศว่ามาจากโรงเรียนล่ะเดือน เดี๋ยวครูจะไปกระซิบบอก ผอ ว่าให้เพิ่มเข้าไปหน่อย ไม่ต้องห่วงค่าเด็กๆ ครูก็หมั่นอีพวกแบกหน้ามารับแต่เรื่องเรื่องดีๆ แต่เวลาให้ทำเกี่ยงกันเหมือนกันค่า"

อาจารย์นางน้อยพูดโดนใจทุกคน พอถึงเวลา ผอ ก็ประกาศอย่างที่อาจารย์นางน้อยบอกจริงๆ คือนักเรียนชั้น ม ๔ จากโรงเรียนของเรา แค่นี้ทุกคนก็ยิ้มออกมา ทุกคนไปยืนเรียงแถวกันตามที่ซักซ้อมมาเพลงแรกก็เริ่มบรรเลงขึ้น ท่ารำไม่ได้วิเศษแปลกใหม่แต่อย่างใด ผู้ชายก็มือไม้แข็ง แต่ผู้หญิงก็รำได้อ่อนหวาน กระนั้นก็ได้รับคำชมจากท่านผู้ว่า ที่ตลกคือคู่ของน้ำกับจอยที่รำไม่เข้าพวก เพื่อนเขาหันไปทางซ้ายสองคนก็หันไปทางขวา แม้จะกระซิบถามกันเวลารำว่าคนมองอะไรแต่ก็ไม่ได้สังเกตรำต่อจนจบ

"ไอ้น้ำ อีจอย มึงไม่รู้ตัวเลยเหรอว่ารำไม่เหมือนเพื่อน"

เสียงเล็กดังขึ้นตอนรำเสร็จ

"จริงเหรอวะ กูไม่ยักสังเกต ถึงว่าคนมองกันใหญ่เลย"

"ฮ่าๆ ดังอยู่สองคนนะมึง"

เหตุการณ์หลายอย่างโยงใยความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเข้าด้วยกัน ตอนที่เรียนรู้สึกรักเพื่อนๆมาก รักมากแม้ปัจจุบันก็ยังรำลึกถึงความหลังครั้งก่อนอยู่ แต่น่าประหลาดพอโตขึ้นต่างคนต่างแยกย้ายไปตามหนทางชีวิตของแต่ละคน เพื่อนที่เคยรักมากก็ดูจะห่างกันออกไป ห่างกันเสียจนไม่คิดว่าจะเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่กระนั้นก็ตามความทรงจำที่งดงามมันก็ยังคงอยู่และเชื่อว่ามันอยู่ในใจของเพื่อนทุกคนไม่ได้ลบเลือนไปไหนเลย

วิสัชนา ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสใดๆถ้าหากเราพึงใจจะมอง จะสัมผัส จะรับรู้กลิ่นเหล่านั้น ทุกอย่างล้วยโยงใยไปหาใจมิใช่ฤๅ


เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 14-10-2010 01:32:51
ตอนที่13หมายความว่าไงครับเนี๊ยะตอนท้าย

อ่านแล้วเสียวๆๆไงกะไม่รู้ครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-10-2010 02:06:03
ทำไมท้ายๆดูเหมือนจะเศร้า แว่วๆก็การจากลาจังเลย  :z10:
มาเก็บสองตอนรวด  :m23:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 14-10-2010 04:48:40
เหตุการณ์หลายอย่างโยงใยความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเข้าด้วยกัน ตอนที่เรียนรู้สึกรักเพื่อนๆมาก รักมากแม้ปัจจุบันก็ยังรำลึกถึงความหลังครั้งก่อนอยู่ แต่น่าประหลาดพอโตขึ้นต่างคนต่างแยกย้ายไปตามหนทางชีวิตของแต่ละคน เพื่อนที่เคยรักมากก็ดูจะห่างกันออกไป ห่างกันเสียจนไม่คิดว่าจะเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่กระนั้นก็ตามความทรงจำที่งดงามมันก็ยังคงอยู่และเชื่อว่ามันอยู่ในใจของเพื่อนทุกคนไม่ได้ลบเลือนไปไหนเลย



 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 14-10-2010 07:34:13
ปิดท้ายได้กลิ่นมาม่ามาแต่ไกลเลยค่ะคุณอิ๊ก  :o12:

จากลา ใครลาใครจาก หวังว่าจะไม่ใช่บอทน้ำนะคะ  :sad4:


ชอบภาษาคุณอิ๊กในเรื่องนี้จังค่ะ ภาษาสวย แต่อ่านแล้วรู้สึกว่าเข้าใจง่ายเป็นกันเอง สวยแบบน่าติดตามไม่ได้สวยจนเว่อร์แล้วอ่านไม่รู้เรื่อง  o8
ชอบค่ะ  o13
+1 จ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 14-10-2010 09:34:53
เริ่มรู้สึกว่ามีกลิ่นมาม่าลอยโชยมา...
อย่าเพิ่งนะ ยังไม่พร้อมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 14-10-2010 10:00:19
ให้รับรู้และสัมผัสความรักด้วยหัวใจกระนั้นรึ อิก

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 14-10-2010 10:10:51
อ๊ากกกกก ไม่เอามาม่า!!!
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 14-10-2010 11:25:13
คุณอิ๊กกำลังต้มมาม่าเหร๋อ ได้กลิ่นลอยมาแต่ไกลเลย
เลิกต้มนะยังไม่หิวอ่ะ อย่าเพิ่งมาม่าเลย :serius2: :z3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 14-10-2010 12:15:28
แหมคุณอิ๊กกี้ร้ายกาจขึ้นทุกวันนะคะ แอบเขียนบทอัศจรรย์ฉากร่วมรักของน้ำกับบอทให้มีสัมผัสเหมือนเป็นกลอนเลยนะคะ

กลอนตอนท้ายตอนที่ 12 ก็ยังเพราะเหมือนเดิมนะคะ  o13 จริงๆ อย่างนี้ต้อง  :จุ๊บๆ: +1 ให้อีกรอบ

รักมากแม้ปัจจุบันก็ยังรำลึกถึงความหลังครั้งก่อนอยู่ แต่น่าประหลาดพอโตขึ้นต่างคนต่างแยกย้ายไปตามหนทางชีวิตของแต่ละคน เพื่อนที่เคยรักมากก็ดูจะห่างกันออกไป ห่างกันเสียจนไม่คิดว่าจะเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่กระนั้นก็ตามความทรงจำที่งดงามมันก็ยังคงอยู่และเชื่อว่ามันอยู่ในใจของเพื่อนทุกคนไม่ได้ลบเลือนไปไหนเลย


ใช่ค่ะ มันเป็นอย่างที่คุณอิ๊กกี้บอกไว้จริงๆ พอห่างกันมันเหมือนหมดเรื่องต้องคุยกันไปปริยาย จะคุยกันก็ได้แค่ถามทุกข์สุขเท่านั้น มันไม่มีเรื่องสัพเพเหระมาคุยเหมือนเมื่อก่อน ไม่รู้ทำไม

ปล.

ถ้าไม่ไปเทียบกับอาจารย์บลที่สอนภาษาไทย รายนั้นจะตัวสูงระหงษ์เสียงดุดัน


ภาพลักษณ์ครูภาษาไทยทำไมมันช่างแย่ขนาดนี้ อย่างนี้ปฏิวัติวงการครูภาษาไทยแล้ว    :laugh:


**********************

ตอนที่ 12
คริสมาสต์ คำนี้ ต์ อยู่ที่พยางค์แรกนะคะ ต้องเขียนว่าคริสต์มาส
ศัทรา คำนี้เราไปรับเอาศัพท์ภาษาสันสกฤต ศฺรทฺธา มาใช้ เวลาเขียนเป็นคำไทยก็ยังคงรักษารูปคำแบบเดิมไว้เลยเขียนว่า ศรัทธา นะคะ
พุธ ถ้าเขียนแบบนี้จะหมายถึงชื่อดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง อีกความหมายหมายถึงชื่อวันนะคะ แต่ถ้าจะหมายถึงชื่อศาสนาต้อง พุทธ นะคะ

ตอนที่ 13
จงอยปาก คำนี้ต้องมีสระอะด้วยนะคะ ต้องเขียนว่าจะงอยปาก แต่ใช้คำนี้แล้วรู้สึกเหมือนน้ำโดนนกจิกหน้าอกอยู่เลยค่ะ
เกร็ดอัญมณี คำนี้ความหมายแรกหมายถึงสายน้ำขนาดเล็กที่เชื่อมสายน้ำขนาดใหญ่ อีกความหมายคือเรื่องย่อยๆ หรือส่วนเบ็ดเตล็ด แต่ถ้าจะให้หมายถึงส่วนอัญมณีเม็ดเล็กๆ  ต้องใช้ เกล็ดอัญมณี นะคะ
กฏหมาย ถ้า กฎ อยู่หน้าคำ เหมือนกฎหมาย กฎเกณฑ์ ต้องใช้ ฎ สะกดเท่านั้นนะคะ แต่ถ้า กฏ อยู่หลังคำเหมือน ปรากฏ ถึงใช้ ฏ สะกดนะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 14-10-2010 12:51:58
อิอิ สองตอนรวด งงตัวเองเหมือนกันว่าพลาดตอนที่แล้วไปได้ไง
ย้อนดูตัวเองตอนม.ปลายทำให้รู้ว่านับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดอ่ะ
เดินจับมือกัน ทุกข์สุขด้วยกัน
หัวเราะร้องไห้ด้วยกันมานานเท่าไหร่ ฉันไม่เคยลืมจากใจ
วันที่เรายิ้ม วันที่ทะเลาะ
ภาพวันและคืนเหล่านั้น จะยังงดงามไม่เคยเปลี่ยนไป

ยังคงเป็นดั่งเหมือนกับเมื่อวาน
อยู่ในส่วนลึกความทรงจำ
แต่ต่างกันแค่เพียง ในตอนนี้

ฉันนั้นไม่ได้มีเธออยู่ข้างๆ เหมือนวันที่เราเคยเดินข้ามผ่าน
ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างมาด้วยกัน
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ
ที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน...เพราะเธอ

เพลงและของขวัญ ตั๋วจากโรงหนัง
จดหมายที่ส่งให้กันในวันที่ห่าง ฉันนั้นยังคงเก็บไว้
วันที่เหนื่อยล้า ถ้อยคำที่ปลอบใจ
ภาพวันและคืนเหล่านั้น จะยังงดงามไม่เคยเปลี่ยนไป

ยังคงเป็นดั่งเหมือนกับเมื่อวาน
อยู่ในส่วนลึกความทรงจำ
แต่ต่างกันแค่เพียง ในตอนนี้

ฉันนั้นไม่ได้มีเธออยู่ข้างๆ เหมือนวันที่เราเคยเดินข้ามผ่าน
ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างมาด้วยกัน
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ
แต่ก็เคยเกิดขึ้นกับฉัน...เพราะเธอ

ไม่รู้ว่าเธอ ไม่รู้ว่าจะได้ยินเพลงนี้รึยัง
อยากจะให้เธอช่วยมารับฟังว่าฉันนั้น คิดถึง...

ฉันนั้นไม่ได้มีเธออยู่ข้างๆ เหมือนวันที่เราเคยเดินข้ามผ่าน
ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างผ่านมาด้วยกัน
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ
แต่ก็เคยเกิดขึ้นกับฉัน...เพราะเธอ
ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ได้ผ่านมาด้วยกัน
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ
แต่ก็เคยเกิดขึ้นกับฉัน...เพราะเธอ
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ (เพราะเธอ)

 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 14-10-2010 13:06:27
 :m13:คิดในทางที่ดี....เด็กผงาดได้เพราะผู้ใหญ่ผลักดัน....
คิดแบบไม่ดี...เหมือนผู้ใหญ่โยนภาระมาให้เด็กว่าม๊ะ... :m16:
ความจริง....ผอ.กับครูน่าจะเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กมากกว่านี้นะ....
เพื่อนสนิทในวัยเรียน...น้อยคนที่ยังคบหากันอยู่....
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า....การคบหากันในวัยเยาว์นั้น...
มันสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีอะไรเคลือบแฝง....ความรู้สึกดี ๆ
จึงยังฝังแน่นอยู่ในจิตใจ...ต่อให้ไม่ได้พบกันอีกเลยก็เถอะ :กอด1:

 :L1: น้อง eiky  :pig4:  :pig4: สำหรับสองตอน...
รักกัน ๆ นะจ๊ะ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 14-10-2010 13:19:39
มีแววดราม่า  เหอะๆทำใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 14-10-2010 14:13:26
ทำให้นึกถึงเพื่อนตอน ม.3

5555+

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 14-10-2010 15:25:50
เริ่มรู้สึกว่ามีกลิ่นมาม่าลอยโชยมา...
อย่าเพิ่งนะ ยังไม่พร้อมมมมมมมมมมม

หืออารายน้า ได้กลิ่นอะไรน้า ยังหรอกคร้าบ ยังไม่ได้ต้มาม่า โหนะคนเราลงท้ายนิดหน่อยคิดไปโน่นแระ เดี๋ยวแจ้งล่วงหนห้า ไม่ต้องกลัวน้า

แหมคุณอิ๊กกี้ร้ายกาจขึ้นทุกวันนะคะ แอบเขียนบทอัศจรรย์ฉากร่วมรักของน้ำกับบอทให้มีสัมผัสเหมือนเป็นกลอนเลยนะคะ

แหะๆ พยายามทำให้มันแปลกๆอ่ะน้องมิ เขียนแต่กลอนเดี๋ยวกลัวน้องมิจะหนี แต่เอ๊ะ น้องมิบอกแล้วนี่เนอะว่าไม่กลัว มาม่าเหมือนคนอื่น อิอิ ชื่นจายๆ

อิอิ สองตอนรวด งงตัวเองเหมือนกันว่าพลาดตอนที่แล้วไปได้ไง
ย้อนดูตัวเองตอนม.ปลายทำให้รู้ว่านับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดอ่ะ
เดินจับมือกัน ทุกข์สุขด้วยกัน
หัวเราะร้องไห้ด้วยกันมานานเท่าไหร่ ฉันไม่เคยลืมจากใจ
วันที่เรายิ้ม วันที่ทะเลาะ
ภาพวันและคืนเหล่านั้น จะยังงดงามไม่เคยเปลี่ยนไป

ยังคงเป็นดั่งเหมือนกับเมื่อวาน
อยู่ในส่วนลึกความทรงจำ
แต่ต่างกันแค่เพียง ในตอนนี้

ฉันนั้นไม่ได้มีเธออยู่ข้างๆ เหมือนวันที่เราเคยเดินข้ามผ่าน
ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างมาด้วยกัน
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ
ที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน...เพราะเธอ

เพลงและของขวัญ ตั๋วจากโรงหนัง
จดหมายที่ส่งให้กันในวันที่ห่าง ฉันนั้นยังคงเก็บไว้
วันที่เหนื่อยล้า ถ้อยคำที่ปลอบใจ
ภาพวันและคืนเหล่านั้น จะยังงดงามไม่เคยเปลี่ยนไป

ยังคงเป็นดั่งเหมือนกับเมื่อวาน
อยู่ในส่วนลึกความทรงจำ
แต่ต่างกันแค่เพียง ในตอนนี้

ฉันนั้นไม่ได้มีเธออยู่ข้างๆ เหมือนวันที่เราเคยเดินข้ามผ่าน
ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างมาด้วยกัน
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ
แต่ก็เคยเกิดขึ้นกับฉัน...เพราะเธอ

ไม่รู้ว่าเธอ ไม่รู้ว่าจะได้ยินเพลงนี้รึยัง
อยากจะให้เธอช่วยมารับฟังว่าฉันนั้น คิดถึง...

ฉันนั้นไม่ได้มีเธออยู่ข้างๆ เหมือนวันที่เราเคยเดินข้ามผ่าน
ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างผ่านมาด้วยกัน
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ
แต่ก็เคยเกิดขึ้นกับฉัน...เพราะเธอ
ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ได้ผ่านมาด้วยกัน
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ
แต่ก็เคยเกิดขึ้นกับฉัน...เพราะเธอ
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ (เพราะเธอ)

 :L1: :L1: :L1:

อันนี้เพลงหรือเปล่าคร้าบ เพลงไรอ่าอยากฟังบ้างจัง จุ๊บๆ

:m13:คิดในทางที่ดี....เด็กผงาดได้เพราะผู้ใหญ่ผลักดัน....
คิดแบบไม่ดี...เหมือนผู้ใหญ่โยนภาระมาให้เด็กว่าม๊ะ... :m16:


พี่กานดา ตอนนั้นน่ะเกลียดครูจริงๆนะ เป็นหัวโจกเลยล่ะ แต่พอเราโตขึ้นมา เอาเป็นว่าแค่ก้าวพ้นรั้วโรงเรียน ไม่ได้กลับไปใส่ชุดนักเรียนเหมือนอย่างเดิมแล้ว ทำแบบนั้นมันไม่ดีเลยจริงๆ พอทุกวันนี้เวลาเจอหน้าครูก็จะทำตัวสนิทสนมเป็นพิเศษ ฮ่าๆๆ พยายามลบล้าง

ทำให้นึกถึงเพื่อนตอน ม.3


น้องจิมมี่เรียนอยู่ช่ายไหม อย่าไปเกลียดครูเหมือนพี่อิ๊กน้า อิอิ เดี๋ยวเรียนมะเก่งเหมือนพี่อิ๊ก ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 14-10-2010 16:07:58
โฮ่ๆๆๆ อ่านสองตอนรวดเลยยยยย

เหอะๆอาจารย์ตุ้มนี่ ตอนเรียนม.ปลายก็เหมือนกึ่งๆจะเจออะไรที่ใกล้เคียงแบบนี้อยู่นะ
อ่านแล้วนึกย้อนเรื่องตัวเอง
ขึ้นได้อีก ณ จุดนั้น


แต่อาจารย์นางน้อยนี่  :laugh: ชอบอ่ะ ชอบอาจารย์นางน้อย
แต่ว่า..เหมือนองค์อาจารย์น้องญี่ปุ่นมาลงเลย


ชอบเพลงที่คุณlasomมาแปะเนื้ออ่ะ นึกถึงเรียนม.ปลายจริงๆนะ ที่สุดจริงๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 14-10-2010 17:21:12
คุณอิ้กกี้ชอบแกล้ง  เด็กๆๆค้า   โดยเฉพาะเด็กน่าจิ้ม  แกเล็งไว้ตั้งแต่กลิ่นโชยมา


ต้มน้ำไว้นานๆๆระวังจะถูกโยนใส่ไม่รู้ตัว   บอกว่าเด่วบอกๆๆ   จัดมาแบบไม่ทันตั้งตัว  หัวใจวายตายได้คุณพี่




แค่นี้ก็ซึ้งจนน้ำตาไหลพรากๆๆๆๆหมดตัวแล้ว  ทั้งเลือดทั้งน้ำ   ปวดตับจัง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 14-10-2010 18:26:48
บทที่ ๑๔

ปุจฉา เสียงที่พึงใจ กลิ่นที่พึงใจ สัมผัสที่พึงกาย มีวันที่จะแปรเปลี่ยนไปได้ไหมหนอ

งานบุญเดือนสามปีนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ทางเข้าวัดประดับประดาไปด้วยผ้าหลากสีม้วนเกี่ยวด้วยลวดทำเป็นดอกไม้ช่อใหญ่เรียงรายกันระโยงระยางจากทางเข้าถึงกำแพงวัด ภายในวัดเองก็ประดับประดาไปด้วยดอกดาวเรืองในกระถางบานชูช่อสีเหลืองอร่ามไปทั่วบริเวณ ร้านขายของต่างๆทางวัดให้ออกมาขายภายนอกกำแพงวัดเพราะเนื้อที่ภายในวัดไม่เพียงพอ ผู้คนที่หลั่งไหลมาจากทุกสารทิศเพื่อมานมัสการองค์พระธาตุและรอดูมหรสพสมโภชในตอนกลางคืนหนาแน่นยิ่งนัก ยิ่งคืนที่มีคณะของเฉลิมพล มาลาคำ หมอลำชื่อดังนั้นแทบจะไม่มีที่ให้เดิน ผู้คนมากหน้าหลายตาแออัดกันอยู่ในบริเวณวัด ภายนอกเองมีชิงช้าสวรรค์ติดไฟแสงสีเป็นวงกลมใหญ่อยู่กลางทุ่งนาข้างๆวัด มีร้านรวงต่างๆมากมายเรียงแถวยาวออกไปจนนอกหมู่บ้าน ทั้งเอ๋ เดือน ติ๊กและฝนที่มีบ้านอยู่บ้านใหญ่นั้นก็เปิดบ้านต้อนรับเพื่อนๆในห้องเป็นอย่างดี แต่วันที่มีหมอลำคณะเฉลิมพลก็จะยกข้าวของไปรวมกันที่บ้านของเดือนเพราะบ้านของเดือนอยู่ไม่ห่างจากวัดเท่าไหร่นัก น้ำกับบอทขอรถเครื่องของพ่อถาวรไปใช้ขับมาจอดไว้ที่บ้านของเดือน พ่อถาวรเองก็ไม่ได้ว่าอะไร

"โหหวานว่ะอีเอ๋"

บอทร้องขึ้นหลังจากยกขันใส่สาโทเข้าปาก

"เอาอีกหน่อยไอ้ไก่"

ยื่นไปให้ไก่ด้วย รายนั้นก็ไม่ปฏิเสธ

"อย่าเมานะเว้ยบอท เดี๋ยวไม่มีคนขับรถนะ"

น้ำบอก บอทยิ้มแต่ก็ยกขันต่อไป สาโทที่ดีนั้นต้องหวานออกขมปะแล่มๆไม่เปรี้ยวหรือขมจัด กินแค่ขันสองขันหน้าก็แดงเดินไม่ตรงแล้ว น้ำเองก็ยกขันเหมือนกันคุยกับเดือนแล้วว่าถ้ากลับไม่ไหวก็จะค้างที่บ้านของเดือนเพราะเพื่อนๆส่วนใหญ่ก็ค้างกัน เพราะขากลับอันตรายทั้งมืดและยังมีวัยรุ่นจากต่างบ้านมาคอยดักทำร้าย ไม่มีใครแนะนำให้เดินทางในตอนกลางคืนเพียงลำพังหรือเป็นคู่ก็ตาม

"เมื่อไหร่มันจะออกวะเฉลิมพลน่ะ สี่ทุ่มแล้วนะมึง"

เล็กร้องขึ้นเพราะจากการฟังเสียงอยู่ในบ้านของเดือนไม่มีทีท่าว่าเจ้าของคณะจะออกมาเลย เล็กนั่งอยู่กลางวงสาโทหน้าแดงก่ำอยู่ติดกับน้ำ

"มันออกดึกๆนี่ เดี๋ยวให้อีเอ๋เดินไปดู ไปดิเอ๋ ไอ้ไก่พามันไปหน่อย"

บอทร้องบอกเอ๋ รายนั้นหน้าหักงอลงทันที ไก่เองก็ทำหน้าเหรอหรา

"มึงไม่ไปวะไอ้บอท กูขี้เกียจ"

"อ้าว กูเมานี่หว่า ไอ้นี่ เดี๋ยวไปมองหน้าใครเขาจะต่อยเอา"

"กูก็เมา"

"อย่าพูดมากไอ้ไก่ มึงนั่นล่ะพามันไป ไปกับอีเอ๋ปลอดภัยโว้ย เพราะมีแต่คนเขากลัวมัน เพราะมันมีหน้าเป็นอาวุธ"

"อีเล็ก มึงหน้าตาดีนักนี่ ฮึกูไปเองก็ได้"

เอ๋งอนลุกไปแล้ว ไก่ยังนิ่งอยู่ บอทเอาไหล่ไปกระแทกให้ไก่ลุกตามเอ๋ไป ตอนแรกไม่ยอม เอาไปเอามาก็ยอมลุกไปแต่โดยดี

"มึงนี่ไปวุ่นวายกับมันจริงๆนะเล็ก"

น้ำกระซิบว่าเล็กเพราะกลัวว่าจะมีคนรู้เรื่องของเอ๋กับไก่

"ฮ่าๆ ก็อยากให้มันรักกันนี่น้ำ ดีกว่ามาทำท่างอนกันแบบนี้เห็นแล้วหมั่นไส้"

"เอามาอีกซิไอ้บอท"

เล็กหันไปพยักหน้าให้บอทเทเหล้าสาโทมาให้ รายนั้นหน้าแดงก่ำแล้วน้ำเองก็ไม่ต่างกัน พอเสียงเพลงแว่วมาเป็นเสียงที่คุ้นหูเหมือนเคยฟังในวิทยุ เดือนก็บอกให้เพื่อนเตรียมตัวออกไปดูเฉลิมพล

"มึงไม่รออีเอ๋กับไอ้ไก่ก่อนเหรอเดือน"

เล็กถามเพราะทุกคนเตรียมตัวลุกไปแล้ว

"คงเจอมันระหว่างทางล่ะ เร็วเดี๋ยวเข้าไม่ได้คนเยอะนะมึง"

เดือนบอกแล้วเดินนำหน้าเพื่อนๆไป พอเดินไปจะเข้าวัดก็เห็นเอ๋กับไก่กำลังเดินจ้ำมาพอดี

"คนเยอะมากแก จะเบียดเข้าไปได้หรือเปล่าไม่รู้ เห็นเฉลิมพลตัวเท่ามด"

เอ๋ร้องบอกมาแต่ไกล

"รู้จักกูน้อยไป กูเจ้าถิ่นนะมึง"

ฝนบอกบ้างทำหน้าเชิดขึ้นเดินนำบ้าง พากันเดินลัดเลาะเข้าไปในลานวัด ผู้คนคราคร่ำออแน่นกันไปหมด อากาศที่หนาวเย็นกลับร้อนอบอ้าวขึ้นมาทันที

"มึงดูๆ"

เล็กสะกิดให้น้ำหันไปมองเอ๋กับไก่ที่เดินรั้งท้ายสุด

"เฮ้ย จับมือกันว่ะ ร้ายนะเนี่ย"

"กูบอกแล้ว หึหึ รักกันแต่ทำเป็นเกลียดกันเหมือนใครก็ไม่รู้"

"หยุดเลยอีเล็ก กูไม่ได้ทำเป็นเกลียดกัน แค่กูไม่อยากให้ใครรู้"

"อ้าว กูไม่ได้ว่ามึงซะหน่อยร้อนตัวนะมึง"

เล็กทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินต่อไป น้ำเองก็เริ่มร้อนๆหนาวๆแต่ยังไงก็เชื่อใจเพื่อนคนนี้อยู่ พอเข้าไปในบริเวณที่คณะหมอลำตั้งเวทีได้ก็เล่นเอาแทบแย่เพราะต้องเบียดเสียดคนฝ่าเข้าไป บริเวณเวทีอยู่ติดกำแพงหลังวัด พื้นที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลยแถมยังมีต้นสักทองขึ้นเต็มอยู่บริเวณนั้น ถือว่าลำบากทุลักทุเลเลยกว่าจะเข้าไปถึงหน้าเวที ตอนแรกเพื่อนๆบอกเอาพอเห็นก็พอ แต่ฝนกับเดือนไม่ยอมต้องเข้าไปให้ได้กลิ่นเฉลิมพลว่าอย่างนั้น พอนั่งดูอยู่ดึกพอสมควรจากการร้องหมอลำเปลี่ยนเป็นการลำเรื่องต่อกลอนแทน เพื่อนบางคนก็หลับไปแล้ว นอนทั้งที่อยู่หน้าเวทีหน้าลำโพงขยายเสียงที่ดังอึกทึกครึกโครมอย่างนั้น

"ง่วงว่ะเดือนกลับไปนอนนะ"

น้ำบอกเดือนที่กำลังตาเป็นประกายแหงนคอมองหมอลำบนเวที

"จะนอนแล้วเหรอน้ำ ไปนอนที่บ้านกูนะ เดี๋ยวพาไป ไอ้บอทมันแดกเยอะน่ะสิเหล้าน่ะ คอพับไปแล้ว"

เดือนหันมามองบอทที่นั่งคอพับอยู่ข้างๆน้ำ พอตกลงกันว่าจะไปนอนที่บ้านของเดือนเล็กเองก็ออกมาด้วย เพื่อนที่นอนอยู่ก็โดนปลุกให้ตื่นเดินตามกันออกมา เหลืออยู่ไม่กี่คน เอ๋กับไก่ก็นั่งติดกันตัวบิดไปมาอยู่

"เออว่ะ พอเดินออกมาทำไมมันไม่ง่วงวะ กินสาโทต่อดีกว่าไหม"

น้ำบอกเพราะตอนเดินออกมาหน้าปะทะอากาศที่เย็นยะเยือกความง่วงอาการเมาก็ ดูเหมือนจะสร่าง พอทุกคนเห็นดีด้วยก็พากันซื้อส้มตำไก่ย่างลูกชิ้นเข้าไปกินอีกรอบดึก ตั้งวงกันอีกรอบสรุปคราวนี้เอาจนสว่างจนเอ๋กับไก่และเพื่อนๆที่เหลือเดิน ตามออกมา

อรุณรุ่งสาดแสงมาเยือนแล้ว เสียงดนตรีในวัดยังดังแว่วออกมาอยู่ พ่อแม่ของเดือนกลับมาตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง พอเห็นลูกๆนั่งกินเหล้ากันอยู่ก็ไม่นอนมาคุยด้วย นึ่งข้าวเหนียวทำลาบให้กินอีกรอบ พอเสียงหมอลำเงียบลงประมาณ ๗ โมงเช้าทุกคนก็รวมตัวกันเดินออกไปนมัสการพระธาตุ

"แน่นท้องว่ะน้ำ"

บอทบ่นออกมาระหว่างเดินไปยังลานวัดอีกรอบ บรรยากาศในวัดตอนนี้เหมือนวัดร้าง มีเพียงเศษขยะปลิวว่อนอยู่ทั่วบริเวณ มองโดยรอบนึกภาพเมื่อคืนไม่ออกเลยว่าคนเป็นพันๆหมื่นๆเข้ามาแออัดยัดเยียดกันในนี้ได้อย่างไร

"กินเยอะน่ะสิบอท เดี๋ยวกลับไปบ้านค่อยกินยา ทนไหวไหม"

"พอไหว คงกินลาบเยอะไปหน่อย ท้องเลยอืด"

สีหน้าไม่ได้ต่างกันเลยแต่ละคน ตาปรือหน้ามันแผล่บ เดินตามกันขึ้นไปบนลานพระธาตุแยกกันไปตามสี่มุม พอกราบพระธาตุเสร็จก็ไปตักบาตรเหรียญบาท เสียงหัวเราะดังออกมาเพราะกาญจน์ถือจานใส่เหรียญมาแล้วยกขึ้นเหนือหัวทำปากขมุบขมิบอยู่สักพักก็เทเหรียญทั้งหมดลงในบาตรอันแรก

"ทำไมทำแบบนั้นวะมึง"

"โอ๊ย เหมือนกันนั่นล่ะ ให้พระท่านไปแบ่งกันเอง"

ดูพูดเข้าเพื่อนๆพากันหัวเราะออกมาเสียงดัง เริ่มวันใหม่ด้วยเสียงหัวเราะที่สดใสร่าเริง พอสายน้ำกับบอทก็แยกกลับบ้าน เพื่อนๆทุกคนก็กลับกันไปหมดแล้ว

"ไปนอนที่นาหัวดอนดีกว่านะบอท นอนที่บ้านคงนอนไม่หลับหรอก"

น้ำเอ่ยปากชวนเพราะนาตอนนี้เก็บเกี่ยวเสร็จหมดแล้ว ในตอนกลางวันลมโกรกเย็นสบาย บอทเองก็เห็นดีด้วย แต่ต้องเอารถเครื่องกลับไปให้พ่อถาวรใช้ก่อนแล้วค่อยปั่นจักยานออกไป วันนี้แม่นิ่มกับแม่บุญช่วยไม่ว่าอะไรที่ทั้งสองจะไม่ทำงานหรือไปนอนกลางวันที่นา เพราะเท่าที่ผ่านมาเด็กสองคนนี้ไม่เคยอู้งาน นานๆปล่อยเที่ยวบ้าง

เสียงลมพัดแกรกรากลู่ซังข้าว นกกาเหว่าร้องขานอยู่ปลายไม้ ลมพัดไอแดดมาบรรเทาหนาวให้ผ่อนคลาย สองร่างกายนอนเหยียดอยู่เคียงกัน พลิกซ้ายหันไปก็เจอหน้า พลิกขวาหันมามีทุ่งกว้าง สุขใจแล้วพึงใจแล้ว ตื่นก็เห็นหน้า นิทราก็ฝันถึง

เดือนกุมภาพันธ์ผ่านเข้ามาแล้ว มีอยู่วันหนึ่งที่นักเรียนหลายคนให้ความสำคัญกับมัน ๑๔ กุมภาพันธ์ คนที่มีความรักเหมือนกับว่าวันนี้จะเป็นวันแต่งงานหรือวันหมั้น ส่วนคนที่แอบรักรุ่นพี่รุ่นน้องอยู่ก็จะเป็นวันสารภาพรัก ให้ความสำคัญกับมันมากกว่าการสอบไล่ประจำปีตอนปลายเดือนเสียอีก น้ำเองไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรเพราะบอทเคยบอกว่า

"มันก็แค่วันหนึ่งล่ะน้ำ วันแห่งความรักของเรากับน้ำคือทุกๆวันต่างหาก เพราะไม่มีวันไหนที่เราจะไม่รักน้ำ"

แล้วจะให้ไปเรียกร้องเอาวันเอาคืนแห่งความรักเพื่ออะไรในเมื่อได้ยินเสียงคนที่รักพูดออกมาแบบนี้ สุขมันเต็มมันอัดแน่นอยู่ในใจสำหรับความรักที่มีให้กัน

"น้ำก็รักบอททุกวันเหมือนกัน ไม่มีวันไหน วินาทีไหนที่จะไม่รัก"

น้ำเองก็เผยความในใจออกมาไม่มีปิดไม่มีซ่อน รู้สึกอย่างไรก็บอกแต่สำหรับบอทเท่านั้น แต่คนอื่นก็ทำตัวให้เป็นปกติ ไม่ได้กลัวว่าใครอื่นจะรับไม่ได้ ไม่ได้ใส่ใจว่าชาวบ้านหรือเพื่อนๆจะครหาว่ากล่าว แต่ที่ไม่อยากให้ใครรู้เพราะไม่อยากให้ความหนักใจเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นเข้ามาเสียดแทงความรักที่บริสุทธิ์ ความรักที่มันไม่ด่างไม่มีรอย อยากจะเก็บความรู้สึกแบบนี้ไว้ให้มันสะสมเก็บให้มันเป็นความทรงจำที่ดีไปตลอดในแต่ละวินาที ในแต่ละความทรงจำให้มันนานที่สุดเท่าที่จะนานได้

"มึงเอาดอกไม้มาให้สาวคนไหนวะไอ้ไก่"

เล็กถามขึ้นแม้ในมือตัวเองจะมีกุหลาบแดงที่ลงทุนขับรถเครื่องออกไปซื้อมาจากในอำเภอ

"มีคนให้ว่ะ"

"อย่ามาโกหกกูเห็นมึงถือมาจากบ้าน กุหลาบปลูกเองนี่"

เล็กเองยังทำตัวเป็นนักสืบอยู่ไม่หาย สายตาพยายามสอดส่องมองความผิดปกติทุกอย่างที่เพื่อนแสดงออกมา

"โว้ย แล้วมึงล่ะอีเล็ก แหมหอบใหญ่เชียวนะมึง"

ไก่เองเหมือนจนทางไปเลยหันแขวะเล็กบ้าง

"กูจะเอาไปให้น้องฝน ม ๒ ไง อย่างกูน่ะไม่ปิดหรอกมึง กูเปิดเผย"

"เออ เปิดก็เปิดไปดิมึง คนอื่นเขาใช่ว่าอยากจะเปิดเหมือนมึง รักใครจำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครเขารู้ด้วยเหรอเล็ก"

คราวนี้น้ำเป็นคนพูดออกมา เล็กหน้าเจื่อนลงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที แม้เล็กเองจะใจใหญ่เป็นนักเลงไม่เคยเกรงกลัวใครแต่มีเพียงคนเดียวที่เล็กยังเกรงใจไว้หน้าอยู่ คือน้ำนั่นเอง ยังเป็นอยู่แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว

"เออ ช่วยกันเข้าไป เอาดอกไม้ไปให้น้องฝนดีกว่า ขี้เกียจคุยกับพวกแอบ อีแอบ"

"อีเล็ก"

เล็กวิ่งไปแล้ว ไก่กับน้ำร้องออกมาพร้อมกัน พอเลิกโรงเรียนถึงรู้ว่าดอกกุหลาบปลูกเองกับมือสีขาวอมชมพูนั้นไก่มันเอามาให้ใคร จะเป็นใครล่ะก็เอ๋นั่นเอง เอ๋แอบเอากุหลาบเก็บไว้ในกระเป๋าอย่างมิดชิด แต่ด้วยความหวงหรืออะไรก็ไม่ทราบทำห้เอ๋พะวงกับกุหลาบในกระเป๋ามากเกินไป เล็กนั่นเองที่เป็นคนจับผิดพอความแตกเอ๋อายหน้าแดงรีบวิ่งหนีกลับบ้านไปเสีย

"บอทไม่มีดอกไม้อะไรให้น้ำบ้างเหรอ อยากได้เหมือนกันนะ"

น้ำเอ่ยขึ้นเล่นๆตอนกำลังจะก้าวออกจากโรงเรียน บอทไม่ตอบแต่วิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียนเพียงไม่กี่ก้าว ข้างๆถนนคอนกรีตเป็นแปลงดอกเทียนใบเหลืองๆเขียวๆปลูกเป็นแถวเรียงรายกันอยู่ บอทคว้าเอาดอกเทียนที่เป็นพวงห้อยระย้าอยู่มาพวงหนึ่ง

"อ่ะ ให้น้ำ แฟนเรา"

ดอกเทียนสีม่วงอ่อนๆดอกเล็กบานห้อยย้อยลงมา ไม่เคยแลไม่เคยสนใจมอง กลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนกับกลิ่นของโอวัลตินในตอนเช้า น้ำยิ้มรับเอามาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อนักเรียน

"โห ลงทุนมากเลยนะบอท"

"แหะๆ หาได้แค่นี้อ่ะ"

"น้ำไม่ได้อยากได้หรอก ล้อเล่น น้ำไม่อยากได้อะไรจากบอทหรอก นอกจากหัวใจกับความรักของบอท"

หยอดคำพูดหวานออกไป บอทหัวเราะร่า

"น้ำได้มันไปหมดแล้วนี่ ไม่เหลือแล้ว เนี่ยไม่มีเหลือไว้ให้แม้แต่ตัวเอง"

ยามเย็นแสงแดดที่ทอแสงส้มทองเป็นประกายระยับอยู่จากปลายฟ้าทางด้านทิศประจิม ทอแสงผ่านทาบร่างสองร่างที่กำลังเดินเคียงกันออกจากโรงเรียน เงายาวทาบไปกับรั้วของโรงเรียน ดอกเทียนสีม่วงอ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อติดกับอกด้านขวาแม้จะไม่ตรงกับอกทางซ้ายแต่มันกินใจเหลือเกิน ดอกน้อยๆเป็นพวงสีม่วงอ่อนๆบานสะพรั่งอยู่เต็มใจ รู้ไหมว่าเก็บไว้อยู่ในไดอารี่จนถึงวันนี้

ฤดูการสอบไล่มาถึงแล้ว ทางโรงเรียนจัดให้มีการสอบในต้นเดือนมีนาคมอาทิตย์หนึ่งเต็มๆ น้ำเองอ่านหนังสือดึกทุกคืนบอทเองก็อ่านด้วยได้อานิสงไปด้วยเพราะหลังจากเกรดออกมาแล้วบอททำเกรดได้ดีกว่าเท่าที่เคยเรียนมาเลยก็ว่าได้ ส่วนน้ำยังคงรักษามาตรฐานของตนเอาไว้ได้ วันสำคัญอีกวันหนึ่งคือวันเกิดของบอท ๑๒ มีนาคม สอบเสร็จพอดี น้ำเองลงทุนนั่งรถเครื่องไปกับเล็กถึงในอำเภอหาซื้อเชือกหนังกับจี้เงินรูปหยดน้ำเล้กๆมา สายหนังเส้นเล็กสี่สายถักเกี่ยวพันกันแน่นหนา ร้อยด้วยจี้เงินรูปหยดน้ำเอาใส่ตลับยาหม่องตราถ้วยทองตลับใหญ่ที่น้ำเองคว้านเอาเนื้อยาเก็บใส่อีกกระปุกหนึ่งที่ไม่ใช่ตลับยาหม่องเก็บไว้แล้วเขียนฉลากแปะเอาไว้ว่า "ยาหม่อง"

"ปิดเทอมแล้วสินะ โหกูคิดถึงมึงแน่เลยไอ้น้ำ ไอ้บอท"

เล็กบอกในวันสุดท้ายของการเรียนการสอน

"มึงก็มาหากูที่บ้านดิ เออไหนบอกจะไปทามกันวะ พรุ่งนี้ใช่ไหม"

"กูมาหาได้แค่ช่วงก่อนปลายเดือนล่ะน้ำ เดี๋ยวกูก็ลงกรุงเทพฯไปเที่ยวซะหน่อยเออ พ่อกูให้คนลงหาปลาด้วยล่ะมึง พวกเราไปเล่นน้ำกันเฉยๆ"

"น่าอิจฉามึงเนอะ ปิดเทอมก็ลงไปเที่ยวกรุงเทพฯ อย่าลืมของฝากล่ะมึง"

"เวลาจบมึงไปเรียนรามฯ มึงก็ไปอยู่กับกูดิ พี่กูอยู่บางกะปิ เราจะได้ไปเรียนด้วยกันไง"

เล็กเอ่ยอย่างดีใจตกลงกันไว้แล้วว่าพอจบจะพากันไปเรียนต่อที่รามฯ แต่น้ำเองยังสองจิตสองใจเพราะอยากจะเอ็นฯเข้า ม เกษตรให้ได้ก่อน

"แต่น้ำมันจะเอ็นฯนี่มึง"

บอทพูดแล้วมองหน้าน้ำ ในสายตาฉายแววห่วงใยออกมา

"ไม่เห็นเป็นไรเลยมึง พอไปเรียนเกษตรมึงก็เทียวเอาดิวะ กรุงเทพฯนะมึงไม่ใช่บ้านเรา เขามีรถเมล์ตลอดเวลานั่นล่ะ กลัวไรวะ"

"เอาเถอะ ตกลงพรุ่งนี้รวมตัวกันที่ไหนวะ"

น้ำเองก็อึดอัดใจ อนาคตที่มองยังไม่เห็น ไม่อยากพูดหรือคิดให้มันหนักใจ ให้มันบั่นทอนความรู้สึกเป็นสุขในตอนนี้ เปลี่ยนเรื่องไป เล็กกับบอทเองก็รู้ดีว่าน้ำอึดอัดใจ

"บ้านกูไง จะได้เดินไป"

เล็กบอกมองหน้าบอทเหมือนกำลังคุยกันทางสายตา

"ทำหน้าเครียดไปได้น้ำ อีกตั้งนานกว่าจะจบ ป่ะกลับบ้าน"

บอทตบบ่าน้ำเบาๆ น้ำเองก็พยักหน้ายอมเดินออกจากโรงเรียนสะบัดความคิดที่กำลังดำมืดทะมึนออกจากหัว

"บอท เดี๋ยวสิ"

น้ำดึงข้อมือบอทไว้เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นพยอมที่ผ่านทุกวัน ตอนช่วงก่อนหน้าหนาวพยอมจะออกดอกบานสะพรั่งขาวโพลนไปทั้งต้นแทบมองไม่เห็นใบ กลิ่นหอมเย็นส่งกลิ่นคลุ้งกระจายไปไกลลอยลมห่างไปหลายร้อยเมตร แต่ตอนนี้มันมีแต่ใบสีเขียวกับผลของพยอมที่เหมือนกับผลของต้นตะแบก หรือยางนาคือเป็นเหมือนลูกปิ่นเวลาลมพัดร่วงลงจากต้นปลิวไปไกล

"หือ อะไรน้ำ"

บอทหันมายักคิ้วขึ้นสูงมองหน้าน้ำ น้ำเองยิ้มออกมาล้วงเอาตลับยาหม่องในกระเป๋ากางเกงแล้วดันให้บอทหันหน้าไป เอามือกำตลับนั้นล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของบอท บอทเองไม่ได้สะดุ้งหรือมีปฏิกริยาอะไรเพราะเคยชินกับมือหรืออวัยวะทุกส่วนใน ร่างกายของน้ำเป็นอย่างดีแล้ว

"สุขสันต์วันเกิดนะบอท"

กระซิบออกไปใกล้ๆหู บอทยิ้มพราวออกมา

"ฮ่าๆๆ ทำลับลมคมในจังนะน้ำ อะไรอ่ะ"

"เดี๋ยวค่อยเปิด ไม่มีราคาอะไรหรอก"

"นะ ของเราให้น้ำมันยังแค่กะลาขัด ไม่เกี่ยวหรอกน้ำ ขอบใจมาก"

บอทล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วหยิบเอาตลับยาหม่องออกมาดู ยิ้มพราวอยู่ทั้งดวงหน้า

"เอ๊ะบอท บอกว่าอย่าเพิ่งเปิดดู"

น้ำร้องเสียงหลงหน้าแดงขึ้นมา

"โหน้ำ แพงแน่เลยอ่ะ ไม่จำเป็นเลย"

บอทหยิบสร้อยคอที่ถักด้วยสายหนังแล้วพิจารณาดูอยู่

"ไม่แพงหรอก เก็บไว้ก็ได้นะถ้าไม่ใส่"

พูดออกไปอ้อมแอ้มก้มหน้าเอียงอายอยู่

"ใส่ดิ จะเก็บไว้ทำไม ในเมื่อแฟนเราให้มา"

บอทยิ้มแล้วแกะที่คล้องออกสวมเข้าที่คอตัวเอง

"ดูของที่เราให้น้ำดิ กับของที่น้ำให้เรา ฮ่าๆๆ แตกต่างกันมาก"

"อย่าพูดแบบนี้ดิบอท สำหรับบอท มันยังมีค่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำถ้าเทียบกับที่บอทรักน้ำ"

"น้ำ"

ครางออกมายื่นมือมากุมมือของน้ำเอาไว้

"น้ำเองก็มีค่าสำหรับเรามากนะ มีค่ามากกว่าทุกอย่างในโลกนี้"

น้ำเม้มปากแน่นรื้นน้ำตาเคลือบออกมาทั้งตาทำให้ตาเป็นแววส่องประกายเมื่อต้องกับแสงอ่อนโรยแรงของดวงตะวัน เหมือนพลอยทอแสงระยับอยู่ บอทเองฉายยิ้มออกมาแววตาบอกสิ่งที่พูดนั้นออกมาจากใจ

ทับดอกไม้ในสมุดเขียนจดฝัน    ผ่านคืนวันดอกไม้ก็โรยรา

แต่ใจฉันผูกพันธ์ถวิลหา       ไม่เคยราโรยไปใจรักเธอ

ดอกเทียนม่วงสีอ่อนยังเด่นชัด    แจ่มจำรัสอยู่ในใจให้พร่ำเพ้อ

กลิ่นจะจางสีจะซีดแต่คือเธอ       ที่เสมอเหมือนดวงใจหทัยกานต์



วิสัชนา  หากโลกนี้มีสิ่งใดเที่ยงแล้ว ฤๅ รูป รส กลิ่น เสียง ก็จะเที่ยงเช่นกันแล


เขียนโดย eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 14-10-2010 18:31:22
  :z13: :z13: :z13:

หวานนนนนนนนนน  :-[
ช่วยด้วยค่ะ มดขึ้นคอมแว้ววว   o18:
แต่หวานๆแบบนี้ก็ดีค่ะ ดีกว่าได้กินมาม่า ช่วงนี้กินเจของดมาม่านะคะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 14-10-2010 18:38:02
จิ้มพี่อิ๊กกี้   อ่านกลอนแล้วกลัวบอทเปลี่ยนจัง  จุดหักเหคงตอนเข้ามหาลัยแน่เลย  เศร้าบาดคอแน่
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 14-10-2010 20:36:41
วันนี้คุณอิ๊กกี้ "ฟิต" จังนะคะ วันนี้มาต่อให้ตั้งสองตอน อ่านกันจุใจเลยค่ะ  :กอด1:
อ่านจากกลอนหลายๆ บทที่เขียนแล้ว ดูท่าคุณอิ๊กกี้คงเป็นคนโรแมนติกน่าดูนะคะเนี่ย
รออ่านความรักที่หวานหยดของบอทกับน้ำตอนต่อไปนะคะ เอ....หรือว่าจะมีคู่ของไก่กับเอ๋แทรกมาด้วยหว่า :fox2:  


***************************

หน้ามันแผล่บ คำนี้ออกเสียงเป็นเสียงวรรณยุกต์เอกก็จริงนะคะ แต่ก็สะกดด้วยเสียงสระแอะ และยังมีเสียงตัวสะกดอีก จึงต้องตัดรูป ะ ท้ายคำเพื่อไม่ให้รุงรังเวลาใส่รูปตัวสะกด สระ ะ ก็เปลี่ยนรูปไปเป็นไม้ไต่คู้ พอมีไม้ไต่คู้แล้วก็ไม่นิยมใส่รูปวรรณยุกต์อีกต่อไป ดังนั้นคำนี้จึงต้องเขียนว่า แผล็บ นะคะ  
อานิสง คำนี้อย่าลืมใส่ ส์ ไว้ที่ท้ายคำนะคะ ต้องเป็น อานิสงส์ ค่ะ

กลิ่นหอมเย็นส่งกลิ่นคลุ้งกระจายไปไกลลอยลมห่างไปหลายร้อยเมตร


คลุ้ง แปลว่า กลิ่นกระจาย ตลบ ไปทั่วถูกต้องแล้วค่ะ แต่ใช้กับกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์นะคะ ถ้าเป็นกลิ่นหอมกระจายต้องใช้ ฟุ้ง ค่ะ


ทับดอกไม้ในสมุดเขียนจดฝัน    ผ่านคืนวันดอกไม้ก็โรยรา
แต่ใจฉันผูกพันธ์ถวิลหา       ไม่เคยราโรยไปใจรักเธอ


คำนี้ไม่ต้องมี ธ์ นะคะ ผูกพัน กันเฉยๆ คือทั้งผูกและพันคนสองคนไว้ด้วยกัน แต่ สัมพันธ์ ต้องมี ธ์ นะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 14-10-2010 20:51:50
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 14-10-2010 22:41:25
หวานๆๆๆๆมากๆๆๆๆ
ซึ้งค่ะ
เเต่ก็กลัวว่าจะเศร้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 14-10-2010 22:46:27
ของที่คนรักเรามอบให้ด้วยใจต่อให้เป็นเพียงก้อนหินแค่ก้อนเดียวมันก็มีค่ายิ่งกว่าเพชรพลอย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) &#
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 15-10-2010 00:28:45
ชอบมากกก อ่านแล้วเขินเองอยู่หน้าคอม 555
น่ารักอ่ะพี่ คู่นี้ หวานกันได้อีก อิอิ
ขอบคุณนะคะ พี่อิ๊กกี้

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 15-10-2010 08:31:41
ตอนนี้หวานจิงจิ๊งงงงงงงงงงง (จิงๆก้หวานกันทุกตอน)
แต่ว่า มาอ่านตอนจบ วิสัชนา...
ให้ฟีลว่าเดี๋ยวพอเข้ากทม.มานั่นแหละจุดหักเห มันต้องมีอะไรแน่ๆเลย...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 15-10-2010 08:46:33
น่าร๊ากกกก หวานกันจริงหวานกันจัง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: ~EnSlAvE_tO_dEsIrE~ ที่ 15-10-2010 10:27:36
ชอบภาษาการเขียนของคนแต่งมากเลยค่ะ

อ่านลื่นภาษาสวยและให้ความรู้สึกแบบในชนบทดีค่ะ

เนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ แต่ไม่เอาดราม่านะค่ะ เพราะเป็นคนอ่อนไหวง่ายค่ะ :monkeysad:

เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: tiramisu ที่ 15-10-2010 10:28:47
แต่งกลอนเก่งจังคับ


ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 15-10-2010 11:13:52
 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 15-10-2010 12:34:26
ลงท้ายในตอนล่าสุดนี้ ว่าด้วยเรื่องอนิจจังของทุกสรรพสิ่ง
ก็ให้กลัวว่า ที่กำลังหวานชื่นรื่นกลิ่นหอมราวพะยอมที่หอมหวาน
จะปลาสนาการหายกลายเป็นขมซะจริงๆค่ะอิ๊ก
(แต่ก็ต้องยอมรับล่ะนะ ใดใดในโลกล้วน   อนิจจัง...ฯ)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 15-10-2010 12:57:06
 :o8:หวานซึ้งตรึงใจ....นับวันความหวานยิ่งเพิ่มมากขึ้น...
ชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์...ไม่มีอะไรมาแผ่วพาน...ความหวานก็ยังคงอยู่....
ชอบกลอนนะจ๊ะ  อ่านแล้วบอกถึงความรู้สึกของน้ำได้ดี :m1:
ส่วน วิสัชนาน่ะ...เป็นแนวคิดของบอทเหรอจ๊ะ น้อง eiky  :m21:

 :L1: น้อง eiky คนขยัน :pig4:
กด + ให้ความหวานกับกลอนเพราะ ๆ  รักกัน ๆ นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 15-10-2010 18:34:08
 :L2: :L2: วันนี้มาส่งใบลาคร้าบ แหะๆ แถวอ่อนนุชฝนตกอ่า นอนตื่นตอน แว้กกก ๖ โมงเย็น เหอๆๆ เขียนมะทันอ่า เดี๋ยวคืนนี้จะพยายามน้า จุ๊บๆๆ :กอด1: :กอด1:

ปล เหมือนว่าเพื่อนๆกำลังเดาความเปลี่ยนแปลงกันอยู่น้า อิอิ ใครเดาถูกให้จุ๊บๆๆๆ ยังหรอกน้า มาม่ายังไม่ได้ไปซื้อเลยอย่ากลัวน้า ช่วงนี้กินทองหยิบทองหยอดไปก่อน อิอิ แบบหวานไม่เม้ม จัดหวานก่อนเนะ อิอิ

มีคนถามว่าเวลาจะมาม่าไม่บอกล่วงหน้า บอกแน่นอนคร้าบ เพราะเรื่องนี้เพื่อนๆอ่านไม่มากเท่าไหร่ คนที่อ่านคือคนที่ให้กำลังใจผมมาตลอด เพราะฉะนั้น เราได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว เหอๆๆ อยู่กลางแม่น้ำยมุนาแล้วน้า กำลังจะออกคงคา แว้กกก ว่าไปโน่น
เอาเป้นว่าผมไม่แกล้งคนอ่านแล้วเนะ อย่ากลัว ไม่มาม่า ถ้าจะมาม่าจะบอกล่วงหน้า สักสอง ชม ดีไหม อิอิ

จุ๊บๆๆๆ ช่วงนี้กินลองกองวันละโลจะแจ่มใสขึ้นไหมอ่า อิอิ รู้แต่ว่าเล็บดำเหมือนไปทำนามาเลยตรู เหอๆๆ


รักกันๆๆ รักน้าแสดงออก :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 15-10-2010 19:15:26
:L2: :L2: วันนี้มาส่งใบลาคร้าบ แหะๆ แถวอ่อนนุชฝนตกอ่า นอนตื่นตอน แว้กกก ๖ โมงเย็น เหอๆๆ เขียนมะทันอ่า เดี๋ยวคืนนี้จะพยายามน้า จุ๊บๆๆ :กอด1: :กอด1:


กำลังจะเข้ามาดูอยู่พอดีเลยค่ะ
ไม่เป็นไรนะคะ พรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ
 :กอด1:

ใช่ค่ะ ตกมันทั้งวันเลย เฉอะแฉะมาก เซ็งมากค่ะเวลาต้องออกไปข้างนอกเนี่ย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: meiji ที่ 15-10-2010 22:43:00
โว้ว พี่อิ๊กกี้ กินมาม่าไม่ค่อยดีต่อสุขภาพนะพี่
ถ้ากินก็อย่ากินนานน้าา แล้วก็นานนานกินทีด้วย 555
ปล. กินลองกองมากมากระวังไม่สบายน้าพี่ : )
เลิฟ เลิฟ พี่อิ๊กกี้เช่นกัน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 16-10-2010 16:55:50
ตกไปหน้า 2 แล้ว 

วันนี้มานั่งรอตั้งแต่หัววัน
:laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 16-10-2010 17:07:21
ตกไปหน้า 2 แล้ว 

วันนี้มานั่งรอตั้งแต่หัววัน
:laugh:

รอแป๊บน้าน้องมิ กำลังเร่งมือคร้าบ นอนดีมากมาย ฝนนี่เนอะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 16-10-2010 18:32:16
บทที่๑๕

ปุจฉา อันสิ่งใดที่เราไม่พึงจะอาย

เหมันต์พ้นพัดผ่านล่วงลมหนาว         อบร้อนอ้าวคิมหันต์พัดให้หรรษา

ร้อนเล่นน้ำแสนสดใสเย็นอุรา            แลนภาฟ้าเปิดกว้างให้เห็นใจ

ปลายมีนานภาสูงร้อนอากาศ            วิปลาสแดดร้อนให้เหงื่อไหล

ต้นเมษาแดดยิ่งร้อนเผาผลาญไป       ลงน้ำใสในห้วยหนองแสนสำราญ


พอปิดเทอมใหญ่เล็กก็แวะมาหาบ้างในบางวันก่อนที่จะลงกรุงเทพฯ เล็กมาก็ไม่ได้ทำอะไรมากออกไปยิงกิ้งก่าขุดแย้ พาไปหาไข่มดแดงหรืองมปลาในบ่อ เล็กเองก็ชื่ชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้วไม่มีเกี่ยง หน้าร้อนหรือหน้าแล้งไม่ใช่จนหนทางทำมาหากินหรือหาของป่า ธรรมชาติที่รายล้อมตัวได้รังสรรค์ไว้ให้อย่างวิจิตรแล้ว เราเองต้องเอาประยุกต์ปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันของเราเอง เข้าป่าไปมีผักมีกิ้งก่ามีของป่ามากมายให้เอามาทำกิน ในนาก็มีปูนาหอยโข่งหอยขมให้ขุดเพราะในหน้าร้อนพวกกบเขียน หอยจะจำศีลโดยอยู่ในหลุมลึก อย่างเวลาไปหากบต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันเพราะต้องตระเวนไปตามที่เคยเป็นที่ลุ่มตอนหน้าน้ำ ต้องอาศัยประสบการณ์ในการหาที่อยู่ของกบ ขุดลงไปเป็นเมตรถึงจะได้ตัวกบ ถ้าโชคร้ายหน่อยก็จะเจองู แต่ถ้างูที่เจอเป็นงูเห่าวันนั้นถือเป็นลาภเลยทีเดียว

"วันนี้ไปขุดปูเหรอน้ำ"

เสียงเล็กถามขึ้นเสียงใสในตอนเช้า มาขลุกอยู่ที่บ้านน้ำตั้งแต่เช้าแล้วกินข้าวเช้าด้วยกัน พ่อถาวรออกไปไร่เพื่อเตรียมที่ปลูกแตงโม ส่วนแม่บุญช่วยไปอนามัย หินเองเอาวัวออกไปผูกไว้ที่นาหัวดอนกับแม่นิ่ม เพราะหน้าแล้งนี้หญ้าที่ใช้เกี่ยวจะไม่ค่อยมีต้องอาศัยหญ้าตามท้องนาเวลาไปเอาก็เอาเสียมไปดายหญ้าเอามาล้างน้ำแล้วค่อยเอามาให้วัวกินในตอนเย็น ส่วนตอนกลางวันก็เอาไปล่ามไปผูกไว้กับนาคอยตักน้ำให้มันกินสองครั้งต่อวัน

"อือ ไปนาห้วยมึง เดี๋ยวกูพาไปงมหอยด้วย"

"กูจะดำไหมมึง คืนนี้กูต้องลงกรุงเทพฯแล้วนะน้ำ"

"อ้าว ไปคืนนี้เหรอ กลับเมื่อไหร่วะมึง"

บอทร้องถามขึ้นกำลังเตรียมอุปกรณ์

"คงใกล้ๆเปิดเทอมล่ะมึง กูคงขาวจั๊วะเลยล่ะ ฮ่าๆๆ คอยดูนะน้องฝนต้องหันมาแลกู"

"อ้าวตกลงมันยังไม่แลมึงเหรอวะ"

"มันอายว่ะ ที่มีทอมไปจีบมัน แต่เดี๋ยวคงชินไปเองล่ะมึง"

"กูเอาใจช่วย"

น้ำบอกแล้วเดินไปหาบอทช่วยกันเตรียมอุปกรณ์

"กูต้องคิดถึงมึงแน่เลยเล็ก เคยเจอมึงทุกวัน แต่ต้องไม่เจอมึงเกือบสองเดือนแน่ะ"

น้ำทำตาละห้อยรู้สึกใจหายไปจริงๆ เพราะเล็กเองนับเป็นเพื่อนที่สนิทมากคนหนึ่งถ้าไม่นับรวมกับบอท เจอหน้าทุกวันยกเว้นวันหยุด

"แหมมึง มันแค่แป๊บเดียวล่ะน่า อย่างน้อยมึงก็มีไอ้บอทอยู่เป็นเพื่อน กูดิไปอยู่กับพี่ก็จริงแต่พี่กูก็ต้องทำงาน กูนั่นล่ะจะเหงาไม่มีเพื่อนคุย"

เล็กเองก็ทำสีหน้าหดหู่ขึ้นมา

"เว้ยคุยอะไรกันวะ ปิดเทอมแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมาเจอกันใหม่อยู่ดี ว่าแต่อย่าลืมของที่ฝากที่ให้ซื้อนะมึง"

บอทขัดจังหวะเล็กค่อยมีสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย

"ของอะไรบอท"

"จะอะไรล่ะน้ำ ไอ้นี่มันหมกมุ่นจะเอาแต่หนังสือโป๊"

น้ำเองไม่ตอบแต่หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที แกล้งเป็นหยิบจับทำอย่างอื่นไปเสีย

การขุดปูหน้าแล้งนั้นเป็นการหาปูอีกวิธีหนึ่งไม่ต่างไปจากการถากหอยขม ขุดปูนาหน้าแล้งถือเป็นความลำบากไม่น้อยไปกว่าการไปหากบ เพราะปูจะขุดหลุมลงไปลึกเช่นกันยิ่งตัวใหญ่ยิ่งขุดลงไปลึก แต่ที่ว่าลำบากนั้นเพราะกบจะหาได้ตามบ่อที่แม้น้ำจะน้อยแต่ก็ยังพอมีความชื้นทำให้เวลาขุดแม้จะอยู่ลึกแต่ก็ไม่ลำบาก แต่ทว่าปูนาจะขุดรูอยู่กลางทุ่งนาที่หน้าดินแห้งแข็งแตกระแหงแล้ว เวลาจะขุดต้องทนขุดเอาหน้าดินที่แข็งออกก่อนกว่าจะได้ปูมาแต่ละตัวก็ลำบากไม่ใช่เล่น แต่ปูหน้าแล้งจะมีมันปูเยอะเวลาเอาไปตำทำเป็นแกงอ่อมใส่ยอดผักอร่อยหอมฉุยทีเดียว หรือเอาไปเผาไฟตำเป็นน้ำพริกอันนั้นก็อร่อย หน้าแล้งมีอีกอย่างที่น่าสนใจคือผักติ้ว ประมาณปลายมีนาคม ต้นเมษายนใบเก่าของต้นผักติ้วจะหล่นหายเกลี้ยงต้น พอถึงช่วงเวลาผลิดอกก็บานสะพรั่ง ดอกของต้นติ้วมีลักษณะคล้ายดอกซากุระที่เห็นตามหนังสือ ดอกเล็กสีขาวอมชมพูบานสะพรั่งเต็มต้น ดอกของผักติ้วสามารถเอามาปรุงเป็นอาหารกินได้เช่นเดียวกับยอดอ่อนของผักติ้วเอง มีรสเปรี้ยวเจือนิดๆ ส่วนมากเอาไปแกงใส่ปลาหรือไข่มดแดงใช้ความเปรี้ยวแทนน้ำมะขามเปียกได้ หรือไม่ก็เอามากินสดๆหรือตำรวมกับน้ำพริกกิน ส่วนหอยขมที่ไปถากมาก็จะเอามาแช่น้ำไว้คืนสองคืนให้หอยคายดินออกมาค่อยเอามาทำกิน ที่เรียกว่าถากนั้นเพราะหอยขมจะอยู่ไม่ลึกมากจากพื้นดินเท่าไหร่นักเวลาไปหา แค่เอาเสียมไปถากๆเอาก็ได้หอยขมมาแล้ว หอยขมหน้าแล้งจะตัวอ้วนพีกว่าหน้าน้ำบางตัวมีไข่ด้วย

"อยากกินก้อยแย้ว่ะมึง"

เล็กร้องขึ้นหลังจากมานั่งพักที่กระท่อมปลายนา กรอกน้ำขวดที่กรอกมาจากบ้านเข้าปากดัวกระหาย

"กูกับบอทไปหามาไว้ขังอยู่ในข้องที่บ้านกลับไปค่อยไปทำกินดิ"

"เออดีเลย จะได้แวะสอยมะม่วงนาใครไม่รู้ตอนมาเห็นเป็นพวงเลย"

"นายยายสีอ่ะดิ แกไม่หวงหรอกเอาได้ ทำน้ำปลาหวานกินด้วยไหมล่ะเห็นแม่กูบ่นๆอยากกินอยู่"

น้ำเอ่ยขึ้น เล็กเองก็ดีใจออกนอกหน้า ที่ชอบมาหาน้ำเพราะได้ทำนั่นทำนี่กินกันไม่ขาดปาก ของที่ทำกินแม้จะไม่ได้วิเศษอะไรมากแถมยังเป็นแนวพื้นบ้านเสียด้วยซ้ำแต่มัน ก็มีความสุข ความสุขที่หาไม่ซื้อไม่ได้ตามร้านสะดวกซื้อหรือเก็บได้รายทาง

"เออน้ำ อีเอ๋กับไอ้ไก่น่ะมันก็ไม่ได้ไปไหนนี่ ว่างๆไม่ไปหามันล่ะ"

เล็กเอ่ยขึ้นขณะกำลังย่างแย้เพื่อจะทำก้อยแย้อย่างที่อยากกิน วิธีทำก็ไม่ยากเย็นอะไรนัก เอาแย้มาย่างให้แห้ง ซอยหอมแดงพริกสดสับมะม่วงดิบพอแย้ได้ที่ก็เอามาสับแล้วเอาไปตำโขลกรวมกันไม่ละเอียดมากแค่พอเข้าน้ำเข้าเนื้อปรุงรสกินกับข้าวเหนียวร้อนๆอร่อยเหาะ

"มันคงมีเวลาคุยกับกูหรอกนะ เดี๋ยวนี้เปิดตัวแล้วนี่ หวานกันซะขนาดนั้น"

"แหมแล้วมึงกับไอ้บอทล่ะ ไม่น้อยหน้ากันหรอกวะ"

"กูกับบอทก็ไม่มีใครรู้นี่มึง ทำอะไรก็ก็ระวังจะหวานกันก็ส่วนตัวโว้ยไม่ประเจิดประเจ้อ"

น้ำเสียงที่สูงขึ้น สายตาที่มองมายังเล็กทำให้เล็กรู้สึกตัวหน้าเสียไป

"เอ้ยมึงกูล้อเล่น แหมขึ้นเสียงไปได้"

น้ำเองก็เหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว หลุบสายตาลง

"เออ กูไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน"

"เอาน่ามึง อย่าไปคิดมากเลย กูแหย่ๆมึงเล่นแค่นั้นล่ะ พอกูไปกรุงเทพฯกูก็ไม่ได้แหย่มึงอีกแล้วนะ"

"อืม"

น้ำทำเสียงสลดลง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงได้รู้สึกไม่พอใจมากขนาดนี้ทั้งที่รู้ดีว่าเพื่อนไม่มีทางปากโป้ง พอหน้าร้อนตอนบ่ายแก่ๆ เสียงหริ่งเรไรจั๊กจั่นจะดังกึงก้องะงมอยู่ทั่วทั้งป่า บางทีก็น่ารำคาญบางทีฟังไปฟังมาก็เพลินหูดี เหมือนมโหรีที่ขับกล่อมป่าทั้งป่าให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่ความร้อนอบอ้าวทำให้พื้นที่ทั้งบริเวณแห้งแล้งดินแตกระแหง ไอแดดในตอนสายระยับตาอยู่ แม้ในป่าไม้เองก็ร้อนน้ำในหนองในห้วยลดระดับลงอย่างรวดเร็ว จั๊กจั่นนี่ก็กินได้ นิยมเอามาตำเป็นน้ำพริกกินกับผักกระโดนหรือผักเม็ก วิธีไปดักจั๊กจั่นก็เอาไม้ไผ่ยาวๆติดครั่งไว้ปลายไม้พอเห็นตัวจั๊กจั่นก็เอาไปแตะ แต่น้ำกับบอทไม่นิยมเพราะจั๊กจั่นไม่มีเนื้อหนังอะไรให้กินเลย หาตั๊กแตนยังกินอร่อยกว่าอีก

แม่นิ่มกับแม่บุญช่วยไปตัดต้นกกที่ห้วยเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆที่พอหน้าแล้งจะทอเสื่อต้นกกกัน การไปเอาต้นกกนี้ก็สนุกไปอีกแบบ เพราะนอกจากจะเอาต้นกกแล้วน้ำกับบอทก็ช่วยกันงมหอยขมกับทอดแหหาปลาในห้วย เอาข้าวห่อไปกินกันด้วย ส่วนวัวให้พ่อถาวรกับหินเป็นคนดูแล

"ปีนี้คงได้หลายผืนนะแม่บุญ กกงามๆทั้งนั้น"

แม่นิ่มเอ่ยขึ้นหลังจากขึ้นมาพักกินข้าวตอนบ่ายกันที่กระท่อมปลายคูห้วย ตรงที่น้ำกับบอทมาหลบฝนกันวันนั้น น้ำกับบอทตัวเปียกอยู่เพราะลงลมหอยกับทอดแหวันนี้โชคดีได้ปลาตะเพียนตัวใหญ่กับปลาช่อนสองสามตัว

"ปีนี้ว่าจะย้อมสีน้ำเงินกับสีแดงนะแม่นิ่ม ปีที่แล้วไม่ได้ย้อมสีอะไรเลยเสื่อมันไม่น่านั่ง"

"อืมดีเหมือนกันจะได้ฝากพ่อถาออกไปซื้อให้ที่อำเภอ"

วิธีการทอเสื่อต้นกกก็ไม่ได้ง่ายหรือยากลำบากมากนัก เป็นกิจกรรมที่พวกแม่บ้นหรือลูกเด็กเล็กแดงทำกันในตอนกลางวันเพราะออกไปไหนไม่ได้ด้วยแดดที่ร้อนจัด ส่วนมากกางที่ทอเสื่อไว้ใต้ถุนบ้านเอาเส้นด้ายชนิดแข็งแรงมาขึงมีฟืมหรือที่ทอวางขวางอยู่ การย้อมสีต้นกกก็สนุกเพาะเวลาย้อมสีกกเสร็จก็จะเอาเสื้อผ้าเก่าๆลงมามัดเป็นลวดลายด้วยเชือกเอาลงไปย้อมพอเสร็จแกะเชือกออกก็เหมือนได้เสื้อใหม่มาอีกตัว

"น้ำวันนี้ไปหาไอ้ไก่ไหม ชวนมันไปทอดแหที่ห้วยบ้านใหญ่"

บอทเอ่ยขึ้นตอนช่วงใกล้สงกรานต์

"อืมก็ดี จะได้แวะไปหาอีเอ๋ด้วย ไม่ได้เจอนานแล้ว"

ตอนกลางวันกิจกรรมมีให้ทำเยอะแยะไปหมด เนื่องจากไม่ได้เรียน ไม่ว่าจะเข้าป่าไปที่ไร่ช่วยพ่อถาวรขุดไร่จะปลูกแตงโม ไปหาฟืน เผาถ่าน ออกไปห้วยหาปลาหาหอย กิจกรรมมีให้ทำอยู่ทุกที่ทุกเวลาขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะทำมันหรือไม่ พอยืมรถจากพ่อถาวรได้ก็เตรียมอุปกรณ์ตรงดิ่งไปหาไก่ที่บ้าน รายนั้นยินดีมากที่จะได้ไปบ้านใหญ่ เพราะจุดประสงค์คือจะได้ไปหาเอ๋ เอ๋กำลังนั่งทอเสื่อต้นกกอยู่กับแม่พอเห็นเพื่อนๆมาหาก็ดีใจ ยิ้มมากเป็นพิเศษกับไก่

"เออพอดีเลย ห้วยตรงวังอีเย็นน้ำลงพอดี ปลาเยอะยังไม่มีใครไปกวน"

เอ๋บอกยิ้มระริกอย่างดีใจ วัง คือห้วงน้ำวนตอนฤดูน้ำหลาก ที่มีชื่อเรียกเป็นอีนั่นอีนี่ก็เนื่องจากมีประวัติไม่รู้ว่าจากรุ่นไหน ประวัติก็คือการไปพลัดตกน้ำตายอยู่ที่วังนั้น ใครตายที่ไหนก็ได้ชื่อวังเป็นเจ้าของไป

"งั้นกูเอาหม้อไปด้วยดีกว่าเนอะ เผื่อจะได้กินข้าวที่โน่นเลย"

เอ๋บอกแล้วเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือใส่ในตะกร้าไม่ไผ่ พอเรียบร้อยเตรียมพรอ้มกันแล้วก็ตรงไปยังวังอีเย็น รถเครื่องของน้ำจอดไว้ที่บ้านของเอ๋ แล้วให้ไก่เอารถไถนาที่ทำเป็นที่นั่งเหมือนเกวียนมารั้งท้าย ชาวบ้านเรียกว่ารถอีแต๊ก รถอีแต๊กเป็นของพ่อเอ๋ซึ่งตอนนี้ไม่อยู่บ้านไปหาปลาที่ทาม รถอีแต๊กขนของได้หลายอย่าง ไก่เป็นคนขับตรงไปยังวังอีเย็น แดดร้อนกลางเดือนเมษายนถือว่าร้อนแรงมากกว่าเดือนไหนๆ มองไปกลางทุ่งนาก็ระยิบระยับอยู่ด้วยไอของแดด ซังข้าวลู่ลงกับพื้นดินต้นไม้ใบหญ้าดูเหมือนเหี่ยวแห้งลงไม่มีชีวิตชีวาหรือชวนมองแต่อย่างใด

"นี่น้ำสงกรานต์น่ะกูชวนอีฝนกับอีเดือนไว้ ไปทามกันนะมึงจะได้ไปหาปลากินข้าวกัน"

เอ๋หันหน้ามาบอกน้ำระหว่างเดินทาง เสียงรถอีแต๊กดังสนั่นหวั่นไหวเวลาคุยกันต้องตะโกนแหกปากเสียงดัง น้ำพยักหน้าแล้วหันไปหาบอทที่กำลังมองดูนาอยู่อย่างเพลิดเพลิน

"ไปดิมึง วันไหนล่ะ วันแรก วันสอง หรือวันสาม"

บอทหันไปถามเอ๋บ้าง

"วันแรกดีกว่า วันสองเผื่อจะไปทำอย่างอื่น"

พอตกลงกันได้ก็คุยเรื่องอื่น เรื่องเล็กบ้างเรื่องเพื่อนคนนั้นคนนี้บ้าง แต่เอาไปเอามาหัวข้อสนทนาก็หนีไม่พ้นครูที่โรงเรียน นินทานั่นเอง ยิ่งนินทายิ่งมันในอารมณ์

"นี่เมื่อวานกูเห็นไอ้ต้าซ้อนมอร์ไซค์ไปกับอีต้อย ม หก มึง ตัวนี่ติดกันเชียว"

"ที่ไหนวะ"

"ทางไปนากูนั่นล่ะ กูไปดายหญ้า พวกนั้นคงไม่เห็น แหมปากนะว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้ก็สมภารกินไก่วัดดีๆนี่เอง"

"อย่าเพิ่งพูดไปแก เขาอาจจะมีอะไรคุยกันก็ได้"

"โอ๊ย มันจะคุยอะไร เรื่องใต้สะดือล่ะสิ หัวงูนะไอ้ต้าน่ะ"

ไก่ร้องขึ้นบ้าง ระหว่างเตรียมตัวลงน้ำจะทอดแห

"ช่างหัวมันสิ มันทำยังไงได้อย่างนั้นล่ะ"

น้ำบอกแล้วเปลี่ยนประเด็นไปหาคนอื่นบ้าง สรุปทั้งวันก็นินทากันอยู่อย่างนั้น พอบ่ายแก่ๆก็มาทำอาหารกินกัน โดยคนที่ลงทอดแหคือน้ำกับไก่ ส่วนบอทไปหาไข่มดแดงกับเอ๋ เอ๋เป็นคนที่ทำมาหากินเก่งมาก ไปนาได้ปลาได้หอย เข้าป่าได้เห็ดได้หน่อไม้ กลางคืนก็ออกไปส่องตั๊กแตนหานั่นหานี่อยู่ไม่หยุด วันนั้นจึงได้ไข่มดแดงมาถังใหญ่ ส่วนน้ำกับไก่ก็ได้ปลาเยอะพอสมควรเพราะบริเวณนั้นยังไม่มีใครมากวน อาหารก็มีก้อยไข่มดแดงปลาช่อนเผากับส้มตำฝีมือเอ๋ ทุกคนดูมีความสุขหัวเราะหยอกล้อกันตลอดเวลา เอ๋กับไก่ดูไม่ปิดบังบอทกับน้ำแล้วว่ามีใจให้กัน คอยหยอกเอินกันอยู่ ส่วนน้ำกับบอทก็ทำตัวปกติ ไม่อยากให้ใครรู้ ไม่รู้ทำไม

พอวันว่างไม่มีอะไรทำก็ออกไปทุ่งนาเฝ้าวัวที่เอาไปผูกไว้ ตอนกลางวันก็พากันนอนอยู่ที่กระท่อมหัวนา แต่นอนไปได้ไม่นานก็ต้องพากันออกไปหากิ้งก่า หาไข่มดแดงตามประสาคนที่ไม่เคยอยู่นิ่ง แดดร้อนนับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอีก บ่อน้ำก็แห้งขอดลงไปถึงก้นบ่อ ต้นไม้ใบหญ้าก็เหี่ยวแห้งใบสีเหลืองๆแดงๆ แต่มีต้นไม้อยู่ชนิดหนึ่งที่แม้จะแห้งแล้งเท่าไหร่แต่กลับผลิยอดแตกใบเขียวชะอุ่มอยู่ ผักหวานนั่นเอง ผักหวานไม่ขึ้นที่ชื้นจะชอบขึ้นตามป่าไม้โปร่งๆ ใบของมันนิยมนำมาต้มแกงกินใส่เห็ดใส่ปลา หรือแม้แต่แกงกินเฉยๆก็ยังอร่อย

"น้ำวันนี้เข้าดอนไปหาผักหวานกันไหม"

บอทเอ่ยปากชวนขึ้นวันหนึ่งตอนที่ไปเฝ้าวัวที่นากันสองคน

"อืม ดีเลยจะได้แวะหาไข่มดแดงด้วย"

พอตกลงกันได้ก็เตรียมอุปกรณ์มีถังน้ำกับมีดพร้าด้ามใหญ่ ทั้งสองเดินตามกันเข้าป่าไป ในถังมีน้ำอยู่ก้นถังเวลาได้มดแดงก็จะตัดมาทั้งรังเอายีใส่ลงไปในถังไล่มดแดงออกให้หมดเหลือไว้แต่ไข่กับตัวอ่อนของมดแดง เริ่มต้นด้วยการหารังมดแดง พอเจอบอทก็ตัดมาใส่ถังเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายเพราะมดแดงกัด ต้องรีบไปปัดออกให้กันเพราะไม่อย่างนั้นตัวจะเปื่อย พอได้ไข่มดแดงตามที่ต้องการแล้วก็ตรงไปยังดอนที่ว่า มีต้นติ้วต้นตะแบกป่าขึ้นอยู่เรียงราย พื้นดินแห้งแต่เป็นทรายขาวบางส่วน บางส่วนก็เป็นเหมือนโขดหินเหมือนกับว่าที่นี่เคยเป็นทะเลมาก่อน ทรายขาวสะอาดตา ขาวจนน้ำต้องเอาใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองเพื่อเอาไปกรอกขวดย้อมสี

"สวยจังบอท ไม่เคยเห็นเลยอ่ะ"

น้ำร้องขึ้นสายตาระยับอยู่ เดินเข้าไปนั่งหลบแดดใต้ร่มตะแบกป่าต้นใหญ่ บอทเองก็เดินตามมา

"เนอะ สวยดี ตรงนี้คนไม่ค่อยมาหรอก ดูยอดผักหวานดิน้ำเยอะเลย"

บอทบุ้ยปากไปทางต้นผักหวานที่ขึ้นอยู่ไม่ไกลจากตรงที่นั่งมากนัก

"รีบเก็บเถอะ จะได้ไปทำกินหิวแล้ว"

น้ำทำท่าจะลุกขึ้นแต่บอทฉวยมือเอาไว้

"เดี๋ยวสิน้ำ พักก่อนดิ ร้อน"

แรงดึงทำให้น้ำเซไปนั่งบนตักของบอท พอนั่งลงก็สะดุ้ง

"อะไรบอท คึกแต่หัววันเลยนะ"

"ก็อยู่ใกล้น้ำนี่ เนี่ยจับดูดิ"

บทอบอกพลางจับเอามือของน้ำไปวางที่เป้ากางเกงของตน

"บ้าเหรอบอท เดี๋ยวเจ้าป่าเจ้าเขาโกรธเอา ไม่เอาๆ"

"โอ๊ย ร้อนจะตายเจ้าป่าเจ้าเขาไปเล่นน้ำกันหมดแล้วล่ะน้ำ นะนะ เราลองทกันที่นี่ดีไหม เปลี่ยนบรรยากาศ"

"บ้าเหรอบอท ไม่เอา"

หน้าแดงก่ำหัวใจเต้นแรงสูบฉีดเลือดให้ไปหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย น้ำเองก็ขัดขืนอยู่เพราะกลัวว่าจะผิดผี แม่บุญช่วยเคยเล่าว่าแต่ก่อนหัวนาของแม่นิ่มเคยเป็นสนามม้ามาก่อน ยายของบอทเคยไปฉี่ที่หัวนา แค่ฉี่แต่เสียสติเป็นบ้าไปเลย น้ำเองจึงฝังใจตั้งแต่เด็ก อ้อนวอนบอทอยู่นานจึงยอม

"ฮ่าๆๆ กลัวไปได้ ไม่ทำก็ได้หรอก แหมยกเรื่องมาเล่าซะ ยายเราเขาคิดมากไปเองต่างหาก"

บอทหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีก่อนจะลุกตามน้ำไปเก็บผักหวาน

"แต่คืนนี้น้ำไม่รอดนะ จะจัดให้สองชุดเลย ขัดขืนดีนัก"

"บ้า"

น้ำเขินหน้าแดงใจสั่นอยู่ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งใจสั่น ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งหวั่นไหว ยิ่งนานวันยิ่งผูกพันรักแน่นขึ้นไปทุกที


วิสัชนา สิ่งที่ไม่พึงที่จะอายคือตัวตนของเรานั่นแล สิ่งใดในโลกจะอายย่อมเป็นได้ แต่ถ้าอายตัวตนของตัวเองแล้วเราจะหล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำเนินต่อไปยังไงฤๅ


ปล แฮ่กๆๆๆ โหปั่นแทบตาย ไม่ค่อยไหลเท่าไหร่น้า พยายามจะเขียนให้ดีๆยาวๆ มาได้แค่นี้เอง ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามนะครับ ช่วงนี้อาจจะน่าเบื่อไปหน่อยที่พล่ามเรื่องบ้านนอกคอกหาให้ฟัง แต่อีกไม่นานน้าเดี๋ยวเรามาเข้าเรื่องกัน ว่าทำไม ถึงได้ชื่อเรื่องว่าสนิมน้ำค้าง อิอิ จุ๊บๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๓, ๑๔ (ตุลาคม ๑๔, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 16-10-2010 18:33:58
จิ้ม........


อยากรู้เร็วๆจังว่าทำไมต้องสนิมน้ำค้าง

เคยได้ยินแต่คาวน้ำค้าง


แต่ไม่เอาเศร้ามากได้ไหมอ่าส์ อ่านแล้วโรคจิตแบบว่าจำไปฝันบ้าง นั่งเพ้อบ้างอะไรบ้าง ยิ่งเครียดยิ่งจิต อ่อนๆว่างๆต้องไปพบจิตแพทย์หน่อยและ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 16-10-2010 18:36:13
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 16-10-2010 18:49:43

อยากรู้เร็วๆจังว่าทำไมต้องสนิมน้ำค้าง

เคยได้ยินแต่คาวน้ำค้าง


แต่ไม่เอาเศร้ามากได้ไหมอ่าส์ อ่านแล้วโรคจิตแบบว่าจำไปฝันบ้าง นั่งเพ้อบ้างอะไรบ้าง ยิ่งเครียดยิ่งจิต อ่อนๆว่างๆต้องไปพบจิตแพทย์หน่อยและ

คุณแม่บ้าน คาวน้ำค้างจริงหรา แหะๆๆๆ เค้าคิดลึกน้า เค้าก็อ่อน แต่อ่อนเวลาอาบน้ำ แว้กกกก ไม่เศร้ามากหรอกครับ ผมกำลังพัฒนาการเขียนแนวใหม่ ที่พยายามเขียนให้คนอ่านเห็นภาพชัดเจน ทรีดีแล้วจิ้นตาม ตัดฉับ อะไรประมาณนี้ แว้กกก โอ๋ๆๆ ไม่กลัวน้า


พี่โรซีน ชอบคุณคร้าบ อยากได้ดอก Forget me not อ่า อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 16-10-2010 19:17:27
เอาแล้วๆๆๆอ่านตอนที่14ค้างคาใจกับประโยคนี้จังเลย

"น้ำได้มันไปหมดแล้วนี่ ไม่เหลือแล้ว เนี่ยไม่มีเหลือไว้ให้แม้แต่ตัวเอง"

พออ่านบทที่15 ตอนที่คุณอิ๊กพูดว่าเราจะมาว่า ว่าทำไม ถึงได้ชื่อเรื่องว่าสนิมน้ำค้าง

เตรียมกินมาม่าแล้วยังเนี๊ยะ o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 16-10-2010 19:53:23
มานั่งรอตอนใหม่จ้า

ปล.ถึงจะเปลี่ยนแนวการเขียนก็จะไปตามอ่าน แต่ถ้ามีการตัดฉับๆ
ระวังข้างหลังไว้ให้ดี o18
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 16-10-2010 19:55:49
แปะโป้งลงชื่อไว้  o13
เดี๋ยวมาอ่านค่ะ

 :กอด1:กอดคุณอิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 16-10-2010 20:35:18
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/6/6d/Mysotidium.jpg)


อยากได้ก็เลยเอามาฝากน่ะ






แต่อันนี้ อยากกินเฉย ๆ 555
(http://www.thaitambon.com/thailand/Nan/550104/0425163213/AJ07PB280103a.jpg)

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 16-10-2010 20:51:43
สงสัยต้องเตรียมตัวรับมือกับมาม่าซะแล้ว...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 16-10-2010 20:56:32
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/6/6d/Mysotidium.jpg)


อยากได้ก็เลยเอามาฝากน่ะ

แต่อันนี้ อยากกินเฉย ๆ 555
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/350/4350/images/exit2158.jpg)


แว้กกกก ถูกใจมากมาย แต่เหล้าอะไรอ่ะป้า แลดูน่ากิน ฮ่าๆๆ ว่าแล้วคืนนี้ไปซื้อเบียร์มากินดีกว่า
คนข้างบนป้าอ่ะน่ากลัวมากกกกกก ถือมีดขู่ด้วยอ่า อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 16-10-2010 21:11:17
หายไปไม่กี่วัน..ได้ตามเก็บ 5 ตอนรวดเลย..

อ่านๆไปแล้วรู้สึกเหมือนเป็นการมาเล่าย้อนความหลังของน้ำ จากไดอารี่ที่เคยเขียนเอาไว้...
เหมือนน้ำกับบอทจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยอ่า....

แต่ยังไงก็ตาม ณ.ช่วงเวลาตอนนี้ อ่านแล้วมีความสุขดีจัง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 16-10-2010 21:12:24
อืม อยากรู้เหมือนกันว่า เเปลว่าอะไร

รอตอนต่อค่ะ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 16-10-2010 21:17:13
ปล แฮ่กๆๆๆ โหปั่นแทบตาย ไม่ค่อยไหลเท่าไหร่น้า พยายามจะเขียนให้ดีๆยาวๆ มาได้แค่นี้เอง ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามนะครับ ช่วงนี้อาจจะน่าเบื่อไปหน่อยที่พล่ามเรื่องบ้านนอกคอกหาให้ฟัง แต่อีกไม่นานน้าเดี๋ยวเรามาเข้าเรื่องกัน ว่าทำไม ถึงได้ชื่อเรื่องว่าสนิมน้ำค้าง อิอิ จุ๊บๆๆๆ

เรารู้นะว่าจากตอนแรกมาจนถึงช่วงนี้ของเรื่อง คุณอิ๊กเขียนอย่างมีความสุข
เพราะได้รำลึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่เรารู้สึกดีๆและมีความสุขลึกๆอยู่ในใจ(ถ้าเดาผิด ก็ขออภัยเด้อค่ะ)
ก็ชีวิตในวัยใดจะมีความสุขเท่ากับวัยเด็ก ชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ ชีวิตชนบทที่อยู่อย่างเรียบง่าย อยู่แบบรวยน้ำใจ
ไม่มีการแข่งขันชิงดีชิงเด่นฟาดฟันแบบเอาเป็นเอาตาย ชีวิตที่ผูกพันกับเพื่อนๆ ที่รักกันโดยไม่มีเงื่อนไข รักบริสุทธิ์จริงๆ

เอ่อ...คุณอิ๊กคะว่าแต่ว่าคนที่เล่าความหลังแบบมีความสุขนี่ แหะ แหะ เริ่มเข้าสู่วัย.........รึเปล่า
ก็วัยเกือบจะใกล้กับดิฉันกระมัง เพราะดิฉันเองก็รู้สึกมีความสุขเหมือนกันที่ได้อ่านเรื่องแบบนี้
แล้วกิจกรรมแบบน้ำ บอท และเพื่อนๆทำน่ะ เกือบทุกอย่างก็เคยทำเหมือนกันแหละจ้ะ

แล้วก็หลังจากพาเราไปสุขใจกับธรรมชาติในท้องถิ่นของเรา และวิถีชีวิตแบบท้องถิ่นของเรา จนเราเพลินแล้ว
อย่าบอกนะว่าต่อไปจะพาเราเข้าสู่โหมดเศร้าเคล้าน้ำตาน่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 16-10-2010 21:40:50
คุณนายแก้วรำลึกความหลังเหรอค่ะ 555 

คำว่าวัย..................  เปลี่ยนเป็นสูงวัยเลยดีไหมค่ะ

(ล้อเล่น.. คาดว่าคุณนายแก้วกับเดี้ยน ก็คงพอ ๆ กัน รึเปล่า ไม่รู้)




eiky ป้าหารูปสาโทมาลงแต่ทำไมมาแค่ครึ่งรูปไม่รู้ค่ะ เดียวจะตามไปแก้ให้น่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 17-10-2010 01:35:37
มาเอาตีหนึ่งกว่าเลย :laugh: แอบมาอ่านนะคะเนี่ย ยังปั่นรายงานไม่เสร็จเลย
แต่แอบมาอ่านสนิมน้ำค้างคลายเครียดก่อน เพราะตอนนี้เครียดมาก  :z3:

แหมน้องมิก็คิดว่าจะได้อ่านฉากรักท่ามกลางสายลม แสงแดด และ แมกไม้ซะอีก  :z1:

เนื้อเรื่องช่วงนี้ โดยเฉพาะในตอนนี้บรรยายภาพวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัด อ่านแล้วสบายใจดีนะคะตอนนี้
ขอชื่นชมนะคะว่าฝีมือการเขียนบรรยายและการพรรณนาของคุณอิ๊กกี้พัฒนาขึ้นจริงๆ นะคะ
ไม่มากไปจนเยิ่นเย้อ ไม่น้อยไปจนขาดรายละเอียด อ่านแล้วคนอ่านสามารถจินตนาการภาพตามได้จริงๆ  o13

********************

จั๊กจั่น คำนี้เราออกเสียงเป็นเสียงตรีก็จริงนะคะ แต่เขากำหนดให้เขียนเป็น จักจั่น นะคะ


"นี่เมื่อวานกูเห็นไอ้ต้าซ้อนมอร์ไซค์ไปกับอีต้อย ม หก มึง ตัวนี่ติดกันเชียว"
"ที่ไหนวะ"
"ทางไปนากูนั่นล่ะ กูไปดายหญ้า พวกนั้นคงไม่เห็น แหมปากนะว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้ก็สมภารกินไก่วัดดีๆนี่เอง"

สมภารกินไก่วัด สำนวนนี้หมายถึง ชายที่มีตำแหน่งหน้าที่ที่คอยทำทีจะเข้าหาหญิงที่เป็นบุคคลในบังคับบัญชาหรือในสายงานของตน สำนวนนี้มันมีนัยของความหมายว่าฝ่ายชายต้องมีอำนาจมากกว่าฝ่ายหญิง ดังนั้นในบริบทนี้น่าจะใช้สำนวนว่า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง  เพราะตัวละครเอ๋ได้บอกให้รู้ว่าต้าหรือต้อยเคยว่าเอ๋เรื่องพฤติกรรมทำนองนี้มาก่อนแล้ว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 17-10-2010 01:53:29
อย่าเพิ่งเข้าโหมดเศร้านะ ยังอยากอ่านแนวท้องทุ่ง ใสๆไปก่อน คึคึ  :z2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 17-10-2010 10:07:15
พี่แก้ว อิอิ ผมไม่ยอมรับน้า ไม่ยอมเด็ดขาดว่าผมมีอายุ เหอๆๆ ยังได้อยู่ๆ เราน่าจะรุ่นๆเดียวกันล่ะครับ แต่ผมว่าเขาเรียกรุ่นเราว่า วัยคนกำลังทำงาน หรือวัยหนุ่มสาว (ฉกรรจ์) อิอิ ผมว่าผมดีใจนะที่เกิดทันวัยนี้ไม่ทันสมัยเกินไป วัตถุไม่มาก ความโบราณกับเครื่องไม้เครื่องมือแม้มันไม่สะดวกมาก แต่มันมีความทรงจำที่ดีจังเลยเนอะ ผมน่ะไปทำงานใส่กางเกงยีนส์ตัดขา สก๊อยไปเลย เหอๆๆ ยังแอ๊บเด็กได้อยู่น้า

ป้านัท ขอไหใหญ่ๆเลยนะคร้าบ อิอิ มาๆ ยกๆ

น้องมิคร้าบ ไอ้ต้ามันเป็นครูสอน ชีวะอ่า ใช้อันนี้ได้ไหม อันนี้เรื่องจริงนะ อิอิ แต่ชื่อไม่จริง

พี่ หนึ่ง จะบรรยายแบบนี้ไปสักพักล่ะครับ ยังไม่อยากแกะซอง ไวไว วองสีแดงๆอ่ะ ชอบเอามาขยำกินเล่นอร่อยน้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 17-10-2010 11:24:57
^
^
^
555

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 17-10-2010 12:16:48
ชอบเรื่องนี้ก็ตรงที่บรรยายชีวิตต่างจังหวัดให้ฟังเนี้ยล่ะ มีไรให้ทำเยอะมากก
อยู่กรุงเทพมาทั้งชีวิตมันน่าเบื่อออก อยากลองไปตามรอยบอทกับน้ำดูบ้างจังคุณอิค
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 17-10-2010 12:39:35

น้องมิคร้าบ ไอ้ต้ามันเป็นครูสอน ชีวะอ่า ใช้อันนี้ได้ไหม อันนี้เรื่องจริงนะ อิอิ แต่ชื่อไม่จริง


ถ้าเป็นอย่งนั้นก็เข้าทำนอง สมภารกินไก่วัด ล่ะค่ะ นึกว่าต้าเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกับพวกของน้ำ เห็นเรียกกันแบบสนิทเชียว

ปล. แอบ(http://image.ohozaa.com/i9/sequence011.gif) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=324c6d04ab29b982ca425d6428cb604e)เล็กน้อยถึงปานกลาง

วันนี้มาต่อไหมคะคุณอิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 17-10-2010 12:42:55
คุณนายแก้วรำลึกความหลังเหรอค่ะ 555 

คำว่าวัย..................  เปลี่ยนเป็นสูงวัยเลยดีไหมค่ะ

(ล้อเล่น.. คาดว่าคุณนายแก้วกับเดี้ยน ก็คงพอ ๆ กัน รึเปล่า ไม่รู้)




eiky ป้าหารูปสาโทมาลงแต่ทำไมมาแค่ครึ่งรูปไม่รู้ค่ะ เดียวจะตามไปแก้ให้น่ะค่ะ

ไม่เป็นไรค่ะคุณนายนัท พูดจริงๆก็ได้ ความแ...มันเป็นอะไรที่ต้องทำใจยอมรับอ่ะค่ะคุณนาย
ถ้าไม่พอกัน ดิชั้นอาจล่วงหน้าไปก่อนแล้วหลายปีก็ได้นา
พอคุณอิ๊กมาเล่าอะไรแบบนี้เลยถูกใจจ้ะ
มาเล่าอีกไวๆนะคะคุณอิ๊ก แม้จะอ่านไปน้ำตาย้อยไปก็ยินดีอ่านจ้ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 17-10-2010 14:11:11
บทที่ ๑๖

ปุจฉา  อันกบเขียดหน้าแล้งนั้นเหตุใดจึงดำรงชีวิตอยู่ได้ในรูเล็กเพียงเท่านั้น

พอเปิดเทอมต่างก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอเพื่อนๆที่โรงเรียน คนที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวตามที่ต่างๆหรือลงไปกรุงเทพฯก็มีเรื่องมาอวดมาเล่า ให้เพื่อนๆฟัง อย่างเล็กเพิ่งจะกลับมาก่อนหน้าเปิดเทอมแค่สามวัน พอมาถึงก็ตรงมาหาน้ำที่บ้านทันที

“โหเล็ก มึงขาวขึ้นมากเลยนะ”

น้ำร้องทักขึ้นเพราะเห็นผิวพรรณของเล็กขาวนวลขึ้นจนผิดหูผิดตา

“แหมมึงก็แต่ละวันกูหมกตัวอบตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้ขาวได้ยังไง คิดๆแล้วไปทำไมก็ไม่รู้ กูไม่เห็นได้ไปไหนเลย”

“อ้าว แสดงว่าของฝากมึงก็ไม่ได้ซื้อมาให้กูอ่ะดิ”

บอททวงของทันที

“ซื้อดิมึง โหเห็นแก่ได้นะไอ้บอท ตอนกลางคืนน่ะกูออกมาเดินตะวันนา แต่ไม่มีหรอกมึงเพิ่งรู้ตลาดนัดวันเสาร์หน้าหอพี่กูนี่เองมันขายกันเกลื่อน”

เล็กบอกแล้วล้วงเอาถุงกระดาษสีน้ำตาลออกมายื่นให้บอท รายนั้นคว้าหมับไปทันที

“คิดเงินนะมึง ไม่ใช่ฟรี ห่าแพงฉิบหาย”

“โห อีนี่เท่าไหร่วะ”

“กันเองกูคิดสองร้อย”

“เออๆ ไหนกูต้องดูก่อนว่ามันดีสมราคาหรือเปล่า”

“เอ๊ะ ไอ้นี่ไม่รู้โว้ยซื้อมาแล้วไม่มีคืนนะมึง”

บอทรีบถือถุงกระดาษขึ้นบ้านไปทันที ไม่สนใจใคร

“อ่ะน้ำนี่ของมึง”

“อะไรวะ ความจริงมึงไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากกูก็ได้นะเล็กเปลืองเปล่าๆ”

“เอาน่ามึง เสื้อยืด คนละตัวกับไอ้บอท”

“ขอบใจมากเล็ก แล้วมึงแวะไปหาใครมายัง”

“มึงนี่ล่ะคนแรก หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”

“กูนึ่งปลาเอาไว้ รอแป๊บเดียวเดี๋ยวกูตำน้ำพริกแมงแคงให้กิน เพิ่งไปจับมาเมื่อเช้ากับบอท”

แมลงแคงเป็นแมลงชนิดหนึ่งมีกลิ่นหอมแรง แต่มีพิษเพราะฉี่ของมันสามารถไหม้ผิวหนังเวลาโดนมือหรือตัวจะแสบร้อน ถ้าเข้าตาตาอาจจะบอดได้ แมลงแคงชอบอยู่ที่ยอดของลิ้นจี่ป่าเกาะกันเป็นกลุ่มเวลาไปจับต้องเอาถุง พลาสติกห่อมือให้ดีไม่อย่างนั้นมือจะลวกไหม้เป็นสีน้ำตาล แต่พอเอามาคั่วไฟอ่อนๆตำทำเป็นน้ำพริกก็หอมอร่อยดีทีเดียว

“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเราจะขึ้นชั้น ม ๕ แล้ว รู้สึกไวเนอะ”

เล็กพูดขึ้นระหว่างกินข้าว วันนี้แม่บุญช่วยออกไปอนามัยแล้ว พ่อถาวรก็ไปโรงเรียนเตรียมทำความสะอาดหลายที่ ส่วนหินกับแม่นิ่มเอาวัวออกไปผูกที่นาตั้งแต่ตอนเช้าเช่นกัน

“นั่นดิ กูยังรู้สึกว่าไม่ได้ความรู้อะไรของ ม ๔ เลยสักวิชา เอะอะจะเลื่อนชั้นแล้ว ไรวะ”

“ก็เวลาเรียนสนใจที่ไหนล่ะคุณ อภิพงศ์ สนใจแต่ไอ้เล่มที่อยู่ห่อสีน้ำตาลนั่นล่ะ”

เสียงหัวเราะของเล็กกับน้ำดังขึ้น บอททำหน้าเหรอหราไม่รู้ไม่ชี้

"เออน้ำ แล้วไอ้ไก่กับอีเอ๋เป็นไงบ้าง ตกลงมันเป็นผัวเมียกันจริงๆแล้วดิ"

"คิดว่างั้นนะ เห็นหวานกันซะเดี๋ยวนี้ไม่มีอายกูสองคนเลย"

"ดีออกกูว่า มึงสองคนนั่นล่ะจะอายอะไร"

"ไม่ได้หรอกเล็ก มึงก็รู้ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก พ่อแม่กูคงปิดได้ไม่นาน แต่กูก็ยังไม่อยากให้ท่านรู้"

น้ำระบายความในใจออกมา บอทเองก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว

"ที่จริงนะ แม่กูน่ะไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก ห่วงแต่พ่อถานี่ล่ะ ดุ"

บอทเอ่ยออกมามองหน้าน้ำแล้วยิ้มแห้งๆ

"เอาเถอะมึง อย่าไปคิดมากเลย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด กูว่าใครมันก็ไม่มีอิทธิพลกับความรักของมึงสองคนหรอก ตราบใดที่มึงสองคนยังรักกันอยู่ ไม่มีใครมาทำอะไรพวกมึงได้หรอก เชื่อกู"

เล็กพูดออกมา น้ำมองหน้าบอทถ่ายทอดความในใจผ่านออกไปทางสายตา บอทเองก็พยักหน้ายิ้มให้ ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยบอทเองก็รักมั่นอยู่กับน้ำ วันนี้ทำมันให้ดี รักกันให้มาก วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ไม่ยอมแพ้จะฝ่าฟันไปให้ถึงที่สุดเท่านั้นก็พอ

พอวันเปิดเทอมเพื่อนๆก็จับกลุ่มกันอยู่ใต้ต้นมะม่วงต้นประจำ คุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ผ่านมาเกือบสองเดือน บางคนใส่เสื้อผ้าใหม่ รองเท้าใหม่ บางคนก็ยังใส่ชุดเดิม แต่สมัยนั้นไม่มีนักเรียนคนไหนนิยมเสื้อผ้าใหม่ เพราะมันดูเชย สีเสื้อใหม่ที่ขาวจนออกสีฟ้าทำให้เพื่อนๆหัวเราะเอาได้ เพราะฉะนั้นวิธีที่จะทำให้มันเป็นสีขาวออกนวลก็คือใส่วันเสาร์อาทิตย์ไปกรำ แดดทำงานหนักแล้วก็แช่น้ำไว้นานๆข้ามคืน ทำสักสองสามอาทิตย์เสื้อใหม่ก็จะเปลี่ยนสี แต่พอใส่จนมันสีนวลๆเสร็จก็พากันเอาครามมาลงให้มันเป็นสีฟ้าอ่อนๆ ความนิยมแต่ละสมัยไม่เหมือนกัน ตอนนั้นไม่มีใครอวดอ้างของใหม่กันเลย

“ไอ้ไก่มึงดูนั่น เด็ก ม ๔ เหรอวะ ได้ข่าวน้องมันมาจากบ้านนาฮ่อมเหรอ น่ารักดีนะ”

เล็กสะกิดไก่ที่กำลังจ้อกับเพื่อนเรื่องปิดเทอมให้หันไปดู เปิดเทอมใหม่ขึ้นชั้นใหม่ มีนักเรียนใหม่เข้ามากันหลายคน นักเรียนเก่าที่จบชั้น ม ต้นที่นี่บางคนก็เรียนต่อชั้นม ปลายที่นี่ บางคนก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำอำเภอ เสียงคุยกันจอแจสำหรับนักเรียนเก่า แต่สำหรับนักเรียนใหม่ที่มาจากต่างหมู่บ้านก็จะจับกลุ่มกันอยู่เงียบๆเหมือน ยังตื่นๆอยู่

“เออ น่ารักว่ะ”

ไก่เออออตามเอ๋มองตาเขียวทันทีไม่มีใครสังเกต น้ำสะกิดแขนเอ๋ให้รักษาอาการหน่อย พอรู้ตัวก็เชิดหน้าหนี

“ไม่เห็นสวยเลย ท่าทางแรดออก”

เอ๋พูดออกมา ไก่ถึงรู้ตัวว่ามีคนหึงอยู่ ทำหน้าเปลี่ยนสีแทบไม่ทัน

“อ๋อ อีนั่นน่ะเหรอมันชื่อนก แรดจริงๆนั่นล่ะ กูรู้จัก เด็กบ้านกูฟาดมาหมดแล้วมั้ง”

กาญจน์พูดขึ้น คราวนี้ประเด็นร้อนก็เริ่มต้นขึ้น เพื่อนๆไม่ได้สนใจมองเด็กคนนั้นแล้ว ต่างหันมาฟังกาญจน์เล่าอย่างออกรส

“จริงเหรอวะ หน้าตาท่าทางเหมือนจะเรียบร้อยเลยนะมึง เม้าท์น้องมันหรือเปล่าอีกาญจน์”

เล็กเอ่ยขึ้นทำหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“เรียบร้อยแล้วทุกคนน่ะสิ กูจะมาหลอกพวกมึงทำไม ตอนหมอลำที่บ้านโคกนะ อีนี่น่ะควงคนนั้นคนนี้ กูล่ะกลัวบาปแทนมัน ขนาดในวัดมันก็ไม่สน เห็นเด็กบ้านกูบอกว่านางลีลาจัดมาก พอมีอะไรกับใครเสร็จนางบอกว่าไม่มีข้อผูกมัดกันนะ เห็นบอกว่าล่าแต้มเหมือนเด็กในกรุงเทพฯเลยนะมึง”

“โห แรดขนาดนั้นเลยเหรอ ขนาดอีเอ๋ ในวัดมันยังเว้นบ้าง แสดงว่าอีเอ๋ยังเป็นคนดีอยู่”

ฝนพูดขึ้นเพื่อนๆก็หัวเราะชอบใจ

“อีบ้า อย่างชั้นน่ะเลือกนะยะ ยังเกรงกลัวต่อบาปอยู่นะ”

“จ้าแม่คนดี ดีแตกน่ะสิมึง”

“ค่า ก็กูมันแรดสงบ แต่ก็รบไม่ขาด”

เพื่อนๆหัวเราะเสียงดัง ห้องเรียนยังเป็นห้องเดิมไม่ได้ย้ายไปไหน อาจารย์นางน้อยบอกว่าใช้ห้องนี้ไปจนกว่าจะจบเพราะรุ่นนี้คนน้อย ไม่อยากให้ย้ายไปย้ายมาแต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร เต็มใจที่จะอยู่ห้องเดิม แค่เพียงสัปดาห์แรกทุกอย่างก็กลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม ทั้งการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนใหม่ก็ดูเหมือนจะคุ้นกับสถานที่ดีแล้ว นักเรียนเก่าก็ต่างคุยกันอย่างสนุกสนานกับงานประจำปีที่กำลังจะมีขึ้นในต้น เดือนมิถุนายน คืองานบุญบั้งไฟ แต่ละหมู่บ้านจะจัดงานขึ้นประมาณเดือน พฤษภาคม ถึงกลางมิถุนายนเท่านั้น บ้านใหญ่จัดงานก่อนบ้านของน้ำ และอีกอย่างโรงเรียนต้องมีคณะลำไปช่วยงานแต่ละหมู่บ้านในตำบลด้วย ตอนเลิกเรียนจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม ต้นกับเด็กชั้น ม ๔ บางคนฝึกรำกันอยู่ใต้ถุนอาคารเรียนใหม่ที่ใช้เป็นหอประชุม

“ไอ้บอท กูว่าอีนั่นมันมองมึงว่ะ”

เล็กสะกิดบอบอทตอนเดินไปกินน้ำที่โรงอาหารเพราะต้องผ่านบริเวณที่เขาฝึกรำกัน

“หือใครวะ”

“อีนกไง โหดูทำท่าเข้า ระวังไว้เถอะมึง”

“มองมึงหรือเปล่าอีเล็ก”

“มึงคอยดูเถอะ”

พอตอนเดินกลับมาเหมือนอาจารย์ปล่อยให้นางรำพักกินน้ำกันเพราแห็นเด็กนักเรียนวิ่งแย่งกันไปเข้าคิวกินน้ำที่โรงอาหาร

“พี่คะ พี่ชื่อบอทใช่ไหมคะ”

น้องนกเดินตรงมาหาบอทกับเล็กยิ้มหวานทำท่าเอียงอายมาแต่ไกล

“อ้อ ครับ มีอะไรเหรอน้อง”

บอททำหน้างงๆ แต่เล็กอมยิ้มอยู่

“คือหนูปลื้มพี่น่ะค่ะพี่บอท ตอนเย็นเลิกเรียนแล้วพี่กลับบ้านเลยเหรอคะ”

“เอ่อ ครับพี่กลับเลย”

“ตอนเย็นเดินออกไปพร้อมกันไหมคะ”

เล็กยิ้มออกมาทันที

“น้อง เพื่อนพี่น่ะ มันมีเมียแล้วนะ ถ้าเป็นพี่น่ะพอไปส่งได้เอาไหมน้องนก”

เล็กทำตากรุ้มกริ่มน้องเขาทำหน้าถอดสีไปทันที

“ใครคะ พี่มีเมียแล้วเหรอ”

ทำหน้าตาเหมือนไม่เชื่อ บอทมองหน้าเล็กทันที

“จ๊ะ มีแล้ว มีมันดุด้วยนะ”

“ใครอ่ะคะพี่ เรียนที่นี่หรือเปล่า”

“น้องอย่ารู้เลย รู้แต่ว่ามันมีเจ้าของแล้วเป็นพอ”

เล็กบอกแล้วสะกิดให้บอทรีบเดินหนีไป พอพ้นหน้าน้องเขาก็หัวเราะกันเสียงดัง

“โห มึงดูตามันนะเหมือนจะแดกมึงเข้าไปทั้งตัวอย่างนั้นล่ะ”

“เวอร์มึง”

“ลองไปบอกไอ้น้ำดิ ว่ามันจะทำหน้ายังไง”

“เฮ้ย จะดีเหรอมึงกูไม่อยากจะมีเรื่อง มึงก็รู้มันเป็นคนใจร้อนอยู่เดี๋ยวกูซวย”

“ก็จะให้มึงซวยไง ฮ่าๆๆ หล่อไม่เลือกสถานที่ดีนัก ระวังเถอะมึงน้ำมันจะแหกอกเอา”

“อย่านะมึงอีเล็ก เดี๋ยวกูเตะเลยนี่”

เล็กวิ่งหนีไปแล้ว บอทวิ่งตามขึ้นอาคารเรียนไป แต่เล็กก็ไม่ได้บอกเพราะบอทถลึงตาใส่อยู่ น้ำเองก็ไม่ได้สนใจ แต่พอตอนเดินกลับบ้าน น้องนกก็มาดักรอบอทที่ทางออกโรงเรียน

“พี่บอทคะ ไหนคะแฟนพี่บอท”

น้ำหันขวับไปมองหน้าน้องนกแล้วหันมามองบอทที่ยิ้มกริ่มอยู่

“อ้อ แฟนพี่เรียนคนละที่กันน่ะครับน้อง”

“แสดงว่าเขาก็ไม่รู้สิคะว่าพี่จะทำอะไร”

“หือ น้องหมายถึงอะไรครับ”

“ก็ถ้าพี่จะเดินกับหนู แฟนพี่เขาก็ไม่รู้สิคะ”

“หึหึ น้องครับ ถึงแฟนเพื่อนพี่ไม่รู้ แต่พี่ว่ามันก็ไม่นอกใจหรอก จริงไหมบอท”

เสียงเขียวหันขวับไปมอง บอทหัวเราะออกมา

“ไม่หรอกน้ำ ไม่มีทางนอกใจ”

“โห รักแฟนจังนะคะ น่าอิจฉาจัง”

“รักมากครับ รักคนเดียวไม่คิดจะไปรักใครอื่นอีกแล้ว ไปนะน้อง โชคดีครับ”

บอทบอกแล้วเดินนำหน้าไป น้ำเองก็เดินตาม น้องนกมองอยู่ทำปากจิ๊จ๊ะไม่พอใจ

“เสน่ห์แรงนะคุณอภิพงศ์”

“แหมน้ำ เสน่ห์แรงอะไรล่ะ ไม่มองใครหรอกน่า มองแต่คุณชลเนตรคนเดียวนี่ล่ะคร้าบ”

“ให้มันแน่ อย่าให้รู้นะว่าไปมองคนอื่น”

“คร้าบ กลัวแล้วคร้าบ คนนี้ดีจะตายจะไปมองคนอื่นทำไม”

"มันก็ไม่แน่หรอกนะ น้ำไม่ใช่ผู้หญิงนี่"

"อ้าว ฮ่าๆ ไม่ใช่แล้วไงอ่ะคร้าบคุณชลเนตร ก็นายอภิพงศ์มันรักไปแล้วนี่นา"

"สาธุ ถ้าพูดไม่จริงขอให้เป็นหมันเลยนี่"

"ไม่มีทางเพราะเราพูดเรื่องจริง น้ำเชื่อใจเรานะ ว่าเรารักน้ำคนเดียว เราไม่สนใจใครหรอก เราเกิด เราโตมากับน้ำ น้ำรักเรา เรารักน้ำแค่นี้ก็พอแล้ว จะชายจะหญิงเราก็ไม่สน เพราะเรามั่นใจว่าน้ำคือคนที่จะทำให้เรามีความสุขไปทั้งชีวิต"

บอทปากหวานแล้วแหย่เอวของน้ำ ทั้งสองเดินกลับบานพร้อมกันเช่นเคย แต่ที่ไม่เหมือนเคยคือใจของน้ำ ใจที่มันเริ่มมีเรื่องเข้ามากระทบให้ต้องคิด ใจหนึ่งเคลิบเคลิ้มไปกับคำหวานพี่พรั่งพรูออกมาจากปากของคนที่เรียกตัวเอง ว่าคนรัก พอใจพึงใจที่ได้ยิน ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หนก็ยังใจเต้นแรงอยู่ทุกคราที่ได้ยิน เลือดที่ฉีดอัดขึ้นมาระเรื่ออยู่บนพวงแก้มทั้งสองแดงออกมา จริงอย่างที่บอทบอก วันนี้เรารักกัน ทำไมต้องคิดไปไกลถึงวันพรุ่งนี้ วันนี้รักกันพรุ่งนี้ก็ต้องรักกัน ความรักไม่ใช่น้ำในขวดที่พอยกกรอกปากดื่มกินแก้กระหายมันจะหมดจะหายไป แต่ความรักถ้ายิ่งดื่มกินเข้าไปรักมันยิ่งทำให้เราสดชื่นมีชีวิตชีวา

๒๕ พฤษภาคม

กูลืมอะไรไปหรือเปล่าวะบอท กูลืมไปหรือเปล่าว่าเราสองคนเป็นเด็กผู้ชาย วันหนึ่งข้างหน้าความที่เราเป็นผู้ชายเกรงว่าเราสองคนต่างคนต่างจะแยกมีหน ทางต่างกันออกไป สักวันเราต้องโตกว่านี้ สักวัน เฮ้ย ไม่คิดแล้ว ทำไมต้องมาคิดเรื่องที่มายังไม่ถึงตัววะกู ถึงมึงหรือกูจะแยกมีครอบครัวไป ไม่สิสำหรับกูคงไม่มีแล้ว สำหรับกูหัวใจนี้ไม่คิดว่ามันจะรักใครอย่างที่รักมึงได้อีกแล้ว แต่สำหรับมึง ถ้าวันนั้นมันมีขึ้นมาจริงๆ กูจะทำยังไงวะ เอาเถอะ ไม่คิดแล้วแค่คิดแค่นี้กูก็สั่นแล้ว ได้แต่ภาวนาอย่าให้มันมีวันนั้นเลยนะ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันปกติดี กูไม่อยากให้อะไรมันมารบกวนหรอก พยายามทำใจให้ลืมมันซะ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ส่วนอีนกนั่นแรดจริงๆ อีห่ากูยืนหัวโด่อยู่ทั้งคน อยากจะตอกหน้ามันไปเหลือเกิน ว่ากูนี่ล่ะเมียมึง อยากจะลองแย่งดูไหม อะไรวะเด็กผู้หญิงสมัยนี้ แต่เอ๊ะ มันก็สมัยเรานี่หว่า ทำไมมันแรงได้ใจขนาดนี้วะ มันมาเรียนหรือมาหาผัวกันแน่วะ อีห่า

วิสัชนา เพราะกบเขียดนั้นอยู่อย่างพอตัว แม้จะหิว แม้จะหนาวก็อดทนเพื่อรอฝนใหม่ น้ำใหม่นั่นแล

Have you ever been in love?
love tht brought you to hell and heaven,
Have you ever been in pain?
pain that you can't touch your love,
Have you ever been deserved?
deserved what you're looking for,
Have you ever been surrender?
surrender to what line above.

Ps. ทำไมช่วงนี้ฝนตกทุกวันเลยเนอะ อากาศมันน่านอนเสียจริง ขอบคุณทุกคำแนะนำติชมนะครับ อากาสไม่ค่อยน่าไว้ใจดูแลสุขภาพด้วยน้า เดี๋ยวเขียนตอนหวานๆ มาให้อ่านกันครับ จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 17-10-2010 14:17:26
 :z13: จิ้มคุณอิ๊กค่ะ
ผู้หญิงคนนี้  :z6: กระเด็นไปนอกโลกเถอะแก!!!   :fire: :fire:
ขออย่างเดียวค่ะ จุดเปลี่ยน ขออย่าให้เป็นชะนีนกนี่เลย  :serius2:  เป็นอย่างอื่นรับได้ไม่ว่ากันค่ะ  :sad4:

ปล.ฝนตกบ่อยก็ไม่ค่อยดีนะคะ หนึ่งคือตอนเช้าไม่ค่อยอยากจะตื่น สองตากผ้าแล้วไม่ค่อยจะแห้ง -*-

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 17-10-2010 14:23:57
อ่านไปอ่านมา
เค้าคิดแ้ล้วว่า
เค้าไม่พร้อมสำหรับดราม่าจริงๆ
โอ้ยยยย ทำใจไม่ได้
ต้องเสียน้ำตาอีกแน่ๆ
จัดเบาๆ พอได้มิค๊าาาคุณอิ๊กก กลัวจะขาดใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 17-10-2010 14:27:20
น้องน้ำคิดมากละ เเล้วผู้หญิงนี่กล้ามากค่ะ
เเฟนเค้าอยู่ข้างๆนี่ละคร้า

ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๕ (ตุลาคม ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 17-10-2010 14:49:12
พี่แก้ว อิอิ ผมไม่ยอมรับน้า ไม่ยอมเด็ดขาดว่าผมมีอายุ เหอๆๆ ยังได้อยู่ๆ เราน่าจะรุ่นๆเดียวกันล่ะครับ แต่ผมว่าเขาเรียกรุ่นเราว่า วัยคนกำลังทำงาน หรือวัยหนุ่มสาว (ฉกรรจ์) อิอิ ผมว่าผมดีใจนะที่เกิดทันวัยนี้ไม่ทันสมัยเกินไป วัตถุไม่มาก ความโบราณกับเครื่องไม้เครื่องมือแม้มันไม่สะดวกมาก แต่มันมีความทรงจำที่ดีจังเลยเนอะ ผมน่ะไปทำงานใส่กางเกงยีนส์ตัดขา สก๊อยไปเลย เหอๆๆ ยังแอ๊บเด็กได้อยู่น้า

คุณอิ๊กคะ เท่าที่อ่านมาน่ะรู้เลยค่ะว่า วัยคุณอิ๊กยังไม่ถือว่ามีอายุหรอกค่ะ  เอาเป็นว่า พี่แก้วนี่(อ๊ายอายนะเรียกตัวเองว่าพี่เนี่ย)
อายุออกจะเลยวัยฉกรรจ์ไปแล้วแหละ แต่ใจยังฉกรรจ์ปิ๊งๆอยู่นะ หุ หุ (น่าจะวัยเดียวกับอาจารย์นางน้อยรึเปล่าไม่รู้เด้อ)
คนที่วัยน่าจะใกล้กัน สงสัยจะเป็นคุณนายนัทอ่ะค่ะ
อย่าค่ะ อย่าบอกนะว่า ยัยนกคือผู้ที่จะมาทำให้บอทเปลี่ยนไป แล้วหนูน้ำจะต้องชอกช้ำใจ ถ้างั้นก็คงต้องเตรียมทำใจใช่ไหมคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 17-10-2010 14:50:11
เรื่องสิวๆ อย่าได้ไปใส่ใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 17-10-2010 15:10:54
แต่เค้าอยากกินมาม่าอ่ะ  ของโปรด ชอบ.....
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: som~ ที่ 17-10-2010 15:13:36
น้ำอย่าได้เเคร์เลยเเค่นี้เอง เเต่พอไปกรุงเทพฯเเล้วระวังเถอะ    เค้าไม่อยากกินมาม่า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 17-10-2010 15:22:12
เอ่อ...

ไม่มีไรจะพูดครับ

ใกล้ได้เวลากินมาม่าแล้วหรือครับเนี๊ยะ o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 17-10-2010 15:22:33
เกลียดจริงๆชะนีแบบบนี้ เรื่องไหนๆชะนีมาแนวนี้ตลอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ไม่งั้นก็เก้งกวางขาวีน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 17-10-2010 16:34:28
ท่าทางน้องนกนี่ออกตัวแรงจริง..
หวังว่าบอทกับน้ำจะผ่านอุปสรรคแรกไปได้ง่ายๆนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 17-10-2010 16:55:46
มาแล้วววววว คุณอิ๊ก แปะไว้ก่อนเดี๋ยวกลับมามาเม้นท์

( :m31: หงุดหงิดๆ จะอ่านๆ มีคนมาขัดแข้งขัดขาตลอดเลย )
 (:a2: ได้อ่านจนจบสงบสุขซักที)



อ่านตอนก่อนหน้านั้น ที่ยังไม่ได้อ่าน ก็สวีทหวานกันดีอยู่หรอก
แต่พออ่านเจอน้องนก  :m29:
สถานการณ์เริ่มไม่น่าไว้วางใจแล้วล่ะคุณอิ๊ก เรารู้สึกแบบนั้น
เหมือนน้องนกจะเป็นด่านที่1 คงมาแบบเบาๆ แต่ก็ต้องส่งผลอะไรให้น้ำกับบอทบ้าง
คิดว่าคุณอิ๊กคงไม่จัดหนักตอนนี้หรอก ฮ่าๆๆๆๆๆ

 :กอด1: คุณอิ๊กให้กำลังใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 17-10-2010 17:04:08
เรื่องสิวๆ อย่าได้ไปใส่ใจ

ถูกคร้าบ ชะนีน้อยนางนี้ไม่ได้เป็นประเด็นหรอกนะครับ เขารักกันมั่นคงขนาดนั้น

ขำพี่แก้ว ถ้ารุ่นอาจารย์นางน้อยนี่ แสดงว่าสวยนะครับ อิอิ เพราะนางยังสวยสะพรั่งอยู่ อิอิ อยู่เมืองจันท์นี่เองนะ

อ่านเมนตืมาเพิ่งเห็น ของคุณ ซอมบี้นี่ล่ะ วะฮ่าฮ่า มีคนเป็นทีมเค้าแล้วหนึ่งขา แว้กกกก ดีใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 17-10-2010 20:26:48
เรื่องสิวๆ อย่าได้ไปใส่ใจ

ถูกคร้าบ ชะนีน้อยนางนี้ไม่ได้เป็นประเด็นหรอกนะครับ เขารักกันมั่นคงขนาดนั้น


แหม!!! คนเขียนเค้าแบไต๋ออกมาซะละ เลยไม่ต้องลุ้นกันต่อเลย  :laugh:

รออ่านตอนที่กล่าวถึงงานบุญบั้งไฟนะคะ อยากรู้เหมือนกันว่างานเขามีอะไรกันบ้าง ไม่เคยไปเที่ยวงานนี้เลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 17-10-2010 21:30:17
เสริมความหวานกันไปเรื่อย ๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน....
น้องน้ำอย่าคิดมากเรื่องของอนาคต...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด....
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด...เมื่อหันกลับมามอง..จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง....
ตอนนี้น้ำมีบอท....และบอทมีน้ำเท่านั้นพอเนอะ... :give2:

อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นนะ...ชอบจ้า...
 :pig4: น้อง eiky  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 17-10-2010 21:50:34
มารอตอนต่อไป :z2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 18-10-2010 10:36:45
ไม่อยากกินมาม่าาาาาาาาาาา T^T
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 18-10-2010 14:26:06
เรื่องสิวๆ อย่าได้ไปใส่ใจ

ถูกคร้าบ ชะนีน้อยนางนี้ไม่ได้เป็นประเด็นหรอกนะครับ เขารักกันมั่นคงขนาดนั้น

ขำพี่แก้ว ถ้ารุ่นอาจารย์นางน้อยนี่ แสดงว่าสวยนะครับ อิอิ เพราะนางยังสวยสะพรั่งอยู่ อิอิ อยู่เมืองจันท์นี่เองนะ

อ่านเมนตืมาเพิ่งเห็น ของคุณ ซอมบี้นี่ล่ะ วะฮ่าฮ่า มีคนเป็นทีมเค้าแล้วหนึ่งขา แว้กกกก ดีใจ

ไม่รู้อ้ะ เดาเอา ถ้าคุณอิ๊ก อยู่ในวัยของบอทของน้ำ ก็เป็นลูกศิษย์คุณครูนางน้อยไง พี่เลยลองเทียบดู เพราะดูๆตาม
สภาวการณ์ต่างๆน่ะจ้ะ  เอ๊ะ.. รึพี่จะเลยไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะ ณ ปัจจุบันมันเลยเวลาสะพรั่งมานานแล้วอะดี๊ หุ หุ หุ
เอิ่ม..ถ้ายัยนกไม่ใช่บุคคลผู้ซึ่งทำให้บอทเปลี่ยนไป แล้วอะไรเป็นตัวทำปฏิกิริยาให้เกิดสนิมในน้ำค้างกันล่ะ
อยากรู้ไวๆจังคุณอิ๊ก


หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 18-10-2010 15:32:35
"เอาเถอะมึง อย่าไปคิดมากเลย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด กูว่าใครมันก็ไม่มีอิทธิพลกับความรักของมึงสองคนหรอก ตราบใดที่มึงสองคนยังรักกันอยู่ ไม่มีใครมาทำอะไรพวกมึงได้หรอก เชื่อกู"

ชอบท่อนนี้ของเล็ก
แต่แอบกลัว ใจน้ำจัง ดูเริ่มจะสั่นไหว  :serius2: ถ้าใจไม่มั่นคง เกิดมีเรื่องมากระทบ ถึงจะไม่เป็นความจริงอาจจะเป๋ได้ และตอนนั้น มาม่าอาจจะซองแตก

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

แต่เมื่อก่อนชอบกิน ช้างน้อย ซองเล็กๆ ขยำๆ ให้ข้างในแตกก่อน แล้วค่อยฉีกซอง กินหลังห้องเรียน แซ่บเน้  :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 18-10-2010 17:30:18
บทที่ ๑๗

ปุจฉา ดวงตาเปรียบดังหน้าต่างของหัวใจ แล้วสิ่งใดเปรียบได้กับประตูของหัวใจ

ปีนี้บ้านของน้ำจัดงานบุญบั้งไฟก่อนบ้านใหญ่ น้ำกับบอทเอ่ยปากชวนเพื่อนๆต่างหมู่บ้านมาที่บ้านของตนในวันงาน งานประเพณีบุญบั้งไฟนี้มีกันสองวัน ส่วนใหญ่จะนิยมจัดขึ้นในวันเสาร์อาทิตย์ ทุกปีจะมีผ้าป่าสามัคคีจากกรุงเทพฯมาเป็นสองถึงสามรถบัส ปีนี้เห็นพ่อถาวรบอกว่าจะมีรถบัสมาถึงสามคัน ตอนกลางคืนในคืนวันแห่จะมีหมอลำซิ่งเป็นมหรสพสมโภช ส่วนตอนกลางวันในวันจุดจะก็มีหมอลำซิ่งอีก ซึ่งงานบุญบั้งไฟนับว่าเป็นงานค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว งานวันแรกตอนเช้าถึงตอนกลางวันจะไม่มีอะไรมาก ส่วนมากแต่ละบ้านก็รอรับขบวนผ้าป่าจากกรุงเทพฯ ใครที่มีลูกหลานไปทำงานทำการอยู่ที่กรุงเทพฯก็จะตั้งหน้าตั้งตารอรับรถบัส ส่วนใครที่ไม่มีลูกหลานก็จะเปิดบ้านรับแขกเพราะชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆจะมากิน ต้องเรียกว่ากินเพราะมีการล้มวัวเพื่อเลี้ยงคนเลยทีเดียว ถ้าบ้านไหนมีหน้ามีตาเพื่อนฝูงเยอะหน่อยก็ซื้อเนื้อเป็นตัว แต่ถ้าบ้านไหนไม่ค่อยมีเพื่อนต่างหมู่บ้านก็ซื้อไม่เยอะ การล้มวัวนี้จะเป็นการลงขันกันวัวหนึ่งตัวอาจจะลงขันกันถึงห้าถึงหกครัวเรือน อย่างบ้านของน้ำเนื่องด้วยมารดาเป็นนางพยาบาล พ่อเป็นภารโรงถือว่าเหมาวัวเป็นตัวเลยก็ว่าได้ งานนี้เป็นงานบุญกินฟรีตลอดงาน ทั้งเหล้ายาปลาปิ้งมีไม่อั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องสิ้นเปลืองกันโดยที่ไม่ได้อะไร แต่พอมาตอนหลังรู้มาว่าเวลาบ้านอื่นเขามีงานบุญบั้งไฟ พ่อถาวรเองก็ไปอีกอย่างเหมือนมันเป็นการกระชับความสัมพันธ์อีกทางหนึ่งนั่นเอง บ่ายคล้อยของวันแรกก็จะมีการแห่บั้งไฟซึ่งเป็นขบวนนางรำจากคณะรำต่างๆมาอวดมาประชันแข่งขันกัน มีการมอบรางวัลเป็นเงินสด ถ้าหมู่บ้านไหนโก้หน่อยก็อาจจะมีถ้วยรางวัลให้ เหมือนหมู่บ้านของน้ำเองมีถ้วยรางวัลถึงสามใบ ที่รู้เพราะพ่อถาวรของน้ำเองเป็นคนไปจัดหามา

ส่วนตอนกลางคืนของวันแห่บั้งไฟก็จะมีมหรสพตลอดทั้งคืน งานนี้เป็นงานสกปรกอย่างที่แม่บุญช่วยบอกไม่เหมือนสงกรานต์ที่สาดน้ำล้างกันท่าเดียว แต่งานนี้ถ้าปีไหนฝนตกตอนวันงานพอดีก็นับว่าเป็นโชคถือเป็นฤกษ์ดีเพราะจุดประสงค์ของงานประเพณีบุญบั้งไฟคือการบูชาพญาแถนเพื่อทำการขอฝนให้ตกต้องตามฤดูการ ถ้าฝนตกลงมาทำให้เป็นเลนเป็นโคลน พวกที่เมาเหล้าหรือที่เรียกว่าขี้เหล้าก็จะสนุกสนานกับการหามกันลงโคลนตมไป เล่นอยู่อย่างนั้นถึงเช้า พอเช้าวันจุดบั้งไฟก็เล่นกันอีก สองวันนี้ไม่ต้องอาบน้ำกันเลยก็ว่าได้

ส่วนวันจุดบั้งไฟก็จะออกไปรวมกันที่นาใกล้ๆหมู่บ้าน มีฐานจุดบั้งไฟอยู่ห่างออกไป การจุดบั้งไฟมาพร้อมกับการพนันขันแข่ง มีการจับเวลาว่าบั้งไฟของใครจะขึ้นสูงและลอยตัวอยู่ในอากาศนานกว่ากัน ใครได้เวลาเยอะสุดก็ได้เงินรางวัลไป แต่การจุดบั้งไฟก็อันตรายปีนั้นที่จังหวัดมีคนตายเพราะการจุดบั้งไฟนี้หลายคนเพราะบั้งไฟเกิดเปลี่ยนทิศแทนที่จะขึ้นไปบนฟ้าแต่กลับหันมาทางคนเสีย

"อีเล็กมึงแวะมารับกูหน่อยสิ วันเสาร์น่ะ"

เอ๋ร้องบอกเล็กตอนเย็นวันศุกร์

"อ้าว มึงไม่ให้ผัวมึงมารับวะ ไอ้ไก่ก็มีรถเครื่อง มึงไปรับมันหน่อยสิไอ้ไก่"

เล็กโพล่งขึ้นกลางวง เพื่อนๆเห็นเป็นเรื่องตลกเพราะไม่คิดว่าจะเป็นจริงจัง เพราะคนที่รู้ก็มีอยู่ไม่กี่คน เอ๋อายหน้าแดง ส่วนไก่ทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน

"ผัวขา มารับน้องเอ๋หน่อยนะคะ"

เอ๋ก็เล่นไปตามน้ำไม่อยากจะให้ใครสงสัย

"เออ น้ำ รวมตัวกันกี่โมงล่ะ"

กาญจน์ถามขึ้น

"เอาสิบโมงก็ได้มึง แม่นิ่มทำเหล้าไหไว้ด้วยนะ หวานเชียว"

"มีข้าวหมากไหมมึง อยากกิน"

ฝนถามบ้าง น้ำพยักหน้า เรื่องการทำเหล้าไหและข้าวหมากนี้แม่นิ่มเองก็ไม่น้อยหน้าใคร แตเวลาทำต้องแอบถึงที่สุด เพราะถ้าตำรวจรู้ถือว่าซวยไปโดนจับเข้าตะรางไปได้ง่ายๆ แม่นิ่มเอาไหเหล้าไปซ่อนไว้ที่กระท่อมเก็บฟางท้ายบ้านไม่มีใครรู้นอกจากพ่อถาวรกับแม่บุญช่วย เพราะแม้แต่บอทเองก็ไม่รู้ว่าแม่ของตนเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน

"ไอ้บอท กูว่าอีนั่นมันตอดไม่เลิกนะมึง ดูมันสิหน้าด้านจริงๆ กะจะแดกมึงให้ได้ว่างั้น"

เดือนบุ้ยปากไปทางน้องนกที่ยิ้มหวานมาแต่ไกลแต่ไม่กล้าเข้ามาเพราะรู้กิตติศัพท์ของห้องนี้ชั้นนี้ดีว่าปากร้ายเพียงใด

"กูก็เซ็งว่ะ ใครจะไปแดกลงวะ ขนาดบอกแล้วนะว่ามีเมียแล้วมันยังไม่สน"

บอทเองก็ทำหน้าเซ็งส่ายหน้าอยู่

"ให้กูช่วยไหมล่ะมึง"

ฝนเอ่ยขึ้นทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน

"มึงจะทำยังไง"

ถามขึ้นพร้อมกันอีก

"ก็ให้กูแสดงละครเป็นแฟนไอ้บอทสิมึง ง่ายจะตาย แค่นี้มันก็ไม่กล้าเข้ามาวอแวแล้วล่ะ มันรู้จักกูดี"

ฝนเองเป็นคนแรง หน้าตาสะสวยผิวขาวผมหยิกโดยไม่ต้องดัด ผิวถือว่าขาวกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขา เรื่องหาเรื่องคนนี่ก็ไม่ได้น้อยหน้า พอๆกับเล็ก

"เออ น่าจะสนุกว่ะ เอาเลยมึง"

เล็กบอกแล้วหันมามองทางน้ำที่นั่งนิ่งอยู่ น้ำเองพยักหน้าไม่รู้จะแสดงอาการอะไรออกมาดี

"อุ๊ย บอทอ่ะ พาฝนไปกินน้ำหน่อยสิจ๊ะ"

ฝนเองก็ได้ใจนัก พูดจบเริ่มเล่นเลยเกาะแขนบอทจูงลากไปทางโรงอาหาร ส่วนเพื่อนก็อมยิ้มกลั้นหัวเราะกันอยู่

"พี่บอทคะ ไหนบอกแฟนเรียนคนละโรงเรียนไงคะ นี่"

น้องนกเองดูเป็นคนกล้ามาก แต่เท่าที่สังเกตจะกล้าเฉพาะเรื่องแบบนี้แต่เวลาให้ออกไปหน้าเสาธงหรือไปหน้าหอประชุมเวลาอาจารย์เรียกแทบจะเอาอะไรมางัดออกไปเพราะอาย

"อุ๊ย หญิงจ๋า พี่นี่ล่ะแฟนบอท ทำไมจ๊ะ อ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าเราชอบบอท ว้าย บอทอ่ะบอกแล้วอย่าไปหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ตายจริงน้องเขาเยเข้าใจผิด อยากกินเลยเห็นไหม"

เน้นคำสุดท้ายแล้วถลึงตาใส่น้องนก ฝนเองเป็นคนที่ตาโตมากเวลาถลึงตาหรือตกใจตาจะเด่นกว่าอะไรบนดวงหน้า

"ก็คนมันหล่อนี่จ๊ะ ทำไงได้ ไปกินน้ำเถอะที่รัก"

ไม่ยอมแพ้เช่นกัน น้องนกทำหน้าไม่ถูก

"อ๊ะๆ อย่าคิดอะไรไปไกลนะคะหญิง ถ้าจะงัดกับพี่คิดให้ดีนะคะ"

ฝนหันมาพูดย้ำตอกตะปูปิดฝาโลงให้เรียบร้อย น้องนกวิ่งตัวสั่นไปหาเพื่อนๆที่ลุ้นอยู่ เป็นกันทั้งก๊วน

"โห มึงแน่มากฝน"

บอทเอ่ยปากชม

"ไม่รู้ล่ะ มึงเลี้ยงสาโทกูเยอะๆด้วย ลาบอีกนะมึง"

"เรื่องแค่นี้สบายมาก"

พอขากลับบ้านบอทมาเล่าให้น้ำฟังน้ำเองถึงกับหัวเราะออกมา

"ดีจังอีฝน ไม่ต้องออกแรงเลยนะเนี่ย"

"อีเด็กนี่ก็แปลกเนอะ ไม่เล่นด้วยก็ยังมาวอแวอยู่นั่นล่ะ"

"ก็คนมันจะเอานี่บอท ของๆใครมันไม่สนใจหรอก อย่าไปเล่นกับมันเชียวล่ะ"

"คร้าบ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ท่าทางจะหลวมแล้วนะนั่นน่ะ"

"บ้า บอทไปว่าเขา มันไม่ดีหลวมไม่หลวมก็อย่าไปวุ่นวายดิ"

"อิอิ อ้าวก็พูดจริงนี่ ของเรานะยังฟิตๆแน่นๆอยู่เลย ไม่เอาคนอื่นหรอก"

"บ้า"

หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที น้ำเองหัวใจสั่นไหวอยู่ แม้ตอนที่ฝนออกตัวว่าจะช่วยกันท่าให้ ใจนั้นก็ยังไหว ทั้งที่รู้ว่าไม่มีอะไรแต่ทำใจไม่ได้อยู่ดีที่เห็นคนอื่นมาเกาะแข้งเกาะขาบอท

ฝนแรกของปีตกลงตั้งแต่กลางเดือนเมษายนหลังจากสงกรานต์ แต่ตอนนั้นตกแค่ไม่นาน ต้นเดือนมิถุนายนสายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาพอสมควร ที่ไหนพอมีน้ำขังก็ไปเพาะกล้าข้าวเอาไว้แล้วเตรียมตัวที่จะทำนาต่อไป เพราะพอหลังจากงานบุญบั้งไฟฝนก็จะเทลงมาไม่ลืมหูลืมตา กล้าใครโตก่อนก็ได้ปักดำก่อน พ่อถาวรกับแม่นิ่มเองก็ไปจัดการเรียบร้อยล้วที่นาแม่นิ่ม บอทกับน้ำเองนั่นล่ะที่เป็นคนไปไถให้ กล้าเริ่มตั้งต้นแล้วรอแค่น้ำมาก็หว่านปุ๋ยเร่งให้โตแล้วค่อยไปถอนมาปักดำ

พอเดินกลับบ้านผ่านหน้าบ้านของยายหน่องคนที่ไปอยู่อเมริกา ก็เห็นคนแน่นบ้านไปหมด มีแม่นิ่มกับแม่บุญช่วยอยู่ด้วย

"อ้าวน้ำ บอท เลิกโรงเรียนแล้วเหรอลูก นี่ไงยายหน่อง ไอ้น้ำน่ะ อยากเห็นไม่ใช่เหรอ"

แม่บุญช่วยร้องทักออกมา น้ำหยุดเดินและเดินเข้าไปในบ้านพร้อมบอท

"โตไวจังนะ พอโตขึ้นแล้วมันหล่อนะเนี่ย ทั้งสองคน คนไหนน้ำ คนไหนบอท"

น้ำกับบอทยกมือไหว้แทบไม่ทัน ไม่ใช่ไหว้คนเดียวทั้งบ้าน เพราะตระกูลของยายหน่องมีลูกเจ็ดคน ไปอยู่อเมริกากันห้าคน อีกสองคนเป็นนายธนาคารเสียคนหนึ่งประจำสาขาใหญ่ของธนาคารที่มีสัญลักษณ์เป็นชฏาทองอยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนอีกคนเป็นตำรวจยศจ่าโท อยู่ที่กรุงเทพฯด้วยเช่นกัน บ้านหลังนี้จึงปล่อยทิ้งว่างไว้ไม่มีคนอยู่

"ไอ้นี่น้ำ ไอ้นี่บอท"

แม่นิ่มเป็นคนแจง ยายหน่องหยักหน้ายิ้มให้

"ท่าทางเอาการเอางานนะเนี่ย ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะลูก กับมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวค่อยขึ้นมาคุยกับยาย หมูๆเอาขนมกับเสื้อมาให้หลานหน่อยซิ"

ยายหน่องร้องเรียกลูกสาว สักพักก็เดินออกมาพร้อมห่อขนมขนาดใหญ่กับเสื้อยืดคนละตัว น้ำกับบอทยกมือไหว้

"โห น่ากินว่ะน้ำ ขนมนอกเชียวนะ"

"อืม เดี๋ยวเก็บไว้ให้พวกนั้นกินด้วยดีกว่า"

ทั้งสองเดินกลับบ้านไปแล้วดีใจกับของที่ได้ เสื้อยืดสีขาวสกรีนลายชื่อเมืองแอลเอสีสดใสทั้งสองตัวใส่ได้พอเหมาะพอดี คืนนั้นทั้งพ่อถาวรและแม่บุญช่วยรวมถึงแม่นิ่มก็ขลุกอยู่บ้านยายหน่องทั้ง คืนไม่รู้ว่ากลับมาเมื่อไหร่เพราะน้ำไปนอนกับบอทหาข้าวหาปลากินกันเอง จนรุ่งเช้าสะดุ้งตื่นเพราะเสียงจอแจดังอยู่ใต้ถุนบ้านแต่เช้า เสียงแม่นิ่มกับแม่บุญช่วยนั่นเองทั้งสองเตรียมตัวไปวัดทำบุญกันแต่เรียกกัน คุยกันเหมือนคุยกันกับคนสักสิบคน

"โหแม่เอะอะอะไรแต่เช้า"

บอทเดินลงมาจากบนเรือนพอเห็นว่ามีแต่แม่นิ่มกับแม่บุญช่วยกำลังเตรียม ข้าวต้มมัด กับขนมใส่ไส้รวมถึงอาหารคาวหวานใส่ลงในตะกร้าก็เอ่ยขึ้น

"อะไรล่ะไอ้บอท นี่มันจะสายแล้ว พอดีเลยไปเอาแตงโมที่ไร่ให้แม่หน่อย"

"อ้าว ได้ทีใช้เลยนะแม่ เอามาเมื่อวานไม่ใช่เหรอแตงโมน่ะ"

"มันลูกเล็ก ลูกที่แม่เอากิ่งไม้คลุมไว้น่ะ เอาลูกนั้นล่ะ"

สรุปก็ต้องปลุกน้ำให้ออกไปไร่ไปเอาแตงโมด้วยกัน แต่ไปเร็วมาเร็วหน่อยเพราะพ่อถาวรให้ใช้รถเครื่อง ตอนเช้ายังไม่มีธุระไปไหน และคงอยู่บ้านทั้งวันเพราะแขกเหรื่อคงมาเต็มบ้านตั้งแต่เช้า บอทเอากระสอบปุ๋ยไปใส่แตงโมที่ไร่ได้แตงโมกลับมาหลายลูกมีแต่ลูกเขื่องๆ ลูกโตสุดก็ผ่าเอาไปวัด ก่อนหน้างานบุญต้องช่วยกันไปหาหญ้ามาเตรียมไว้ให้วัวในคอกให้พอเพียงสำหรับ สองวัน หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จน้ำเองก็ขลุกอยู่แต่กับบอทที่บ้านรอเพื่อนของตนมาเหมือนกัน เตรียมอาหารการกินเอาไว้เต็มที่เหล้าสาโทก็ไปเอามาเตรียมใส่กระติกไว้แล้ว ส่วนข้าวหมากก็อยู่บนชานใส่ไว้ในกระด้ง ผลหมากรากไม้ที่ได้มาจากบ้านยายนิ่มรวมทั้งพ่อถาวรออกไปซื้อมาเตียมไว้ทั้ง เงาะ มังคุดและทุเรียนก็แบ่งไว้ให้สองบ้านเพื่อรับรองแขกของใครของมัน งานนี้พ่อถาวรลงทุนไปหลายอยู่เหมือนกัน

"น้ำอีเล็กกับอีเอ๋มาแล้ว"

บอทร้องบอกน้ำที่กำลังจัดของใส่ถาดสังกะสีเตรียมลงมาให้เพื่อน

"แล้วอีฝนกับอีกาญน์ล่ะมึง"

"เดี๋ยวมันตามมา มันแวะบ้านไอ้ไก่ก่อน คิดว่าเราน่าจะมารวมตัวกันที่นี่ ไอ้ไก่ญาติมันเต็มบ้านไม่สะดวกว่ะ"

เล็กบอกแล้วหาที่จอดรถ ส่วนเอ๋เองก็ปรี่ขึ้นบ้านมาโผเข้าหาข้าวหมากก่อนสิ่งอื่น

"หวานดีมึง"

"ไอ้ติ๊กล่ะ"

"มันไปรับไอ้ต้อม คงลากอีเดือนมาด้วยล่ะ"

"อืม มึงอย่าเพิ่งล่วงหน้าไปก่อนเพื่อนดิ เดี๋ยวก็อิ่มก่อนหรอกมึง ไปหั่นเนื้อโน่น เพื่อนมาจะได้ทำกันเลย"

น้ำบอกเพราะเห็นเอ๋กำลังจะจ้วงอีกห่อ

"โห ของกินเยอะนี่หว่า มีขนมนอกด้วยนะมึง"

เล็กร้องขึ้นหลังจากเห็นน้ำกับเอ๋ยกถาดใส่ของกินลงไป

"ของยายหน่อง เขามาจากเมกา กูกับบอทได้เสื้อคนละตัวด้วยนะ"

"จริงดิ โหใส่เสื้อนอกเลยนะมึง"

"แหม เสื้อนอกมันก็ทำจากผ้าเหมือนกันนั่นล่ะ สีสวยสู้ของมึงไม่ได้หรอก มันสีขาวเปื้อนง่าย"

"เออ ไหนเนื้ออ่ะกูจะได้หั่นรอ"

เล็กบอกแล้วนั่งบนแคร่อย่างทะมัดทะแมง

"บ้านมึงนี่คนเยอะดีนะน้ำ มีครูมาด้วย"

"เป็นเรื่องปกติมึง กูถึงไม่อยากไปบ้านไง คนเยอะขี้เกียจยกมือไหว้คน"

"เขาจะมาวุ่นวายกับเราไหมล่ะ"

"บ้าดิมึง พ่อกูเขารู้ ไม่หรอก หั่นๆ เดี๋ยวพวกนั้นมาจะได้เอาสาโทมาให้ชิม"

ทั้งสี่คนช่วยกันหั่นเนื้อเตรียมไว้ทำลาบ เอ๋เองก็ไปปรุงต้มเครื่องใน จนเพื่อนๆมากันครบแล้วถึงลงมือปรุง โดยคนที่ปรุงก็เป็นไก่เช่นเคย

"โหใบส่องฟ้างามๆทั้งนั้นเลย ตอนผ่านมากูเห็นยอดมะตูมอ่อนตรงท้ายโรงเรียนประถมน่ะมึงจะเอาไหมจะได้ไปเอา"

ติ๊กร้องบอก ใบส่องฟ้าเป็นพรรณไม้ชนิดหนึ่งกลิ่นฉุนแรง กลิ่นคล้ายๆเครื่องพะโล้ใบสีเขียวสดขึ้นตามป่าหรือหัวนาเอามากินกับน้ำพริก หรือลาบช่วยดับกลิ่นคาวได้เป็นอย่างดี ติ๊กกับเดือนอาสาไปเก็บยอดมะตูมที่โรงเรียนประถมมาให้ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็ล่วงหน้าไปก่อน มีลาบ ต้มแซ่บเครื่องใน ขนมจีนน้ำยาปลาช่อน ที่สำคัญเหล้าสาโทและข้าวหมาก กินไปคุยเรื่องคนนั้นคนนี้สนุกสนาน จนบ่ายคล้อย บางคนกินแล้วง่วงก็ไปงีบที่ใต้ต้นมะม่วงปูเสื่อนอนกัน ตื่นขึ้นมาก็มากินใหม่ พอเสียงกลองยาวเริ่มดังแว่วมาตอนประมาณสีโมงเย็นก็พากันเตรียมตัวออกไปดูเขาแห่บั้งไฟ กรอกเหล้าสาโทใส่ขวดน้ำอัดลมไปด้วยสองสามขวด พากันสีดำที่ติดตามก้นหม้อมาทาหน้าให้เข้ากับรรยากาศ

"ว้าย ไอ้บ้ามาทาทำไมเยอะแยะ ชั้นก็ไม่สวยน่ะสิ"

เอ๋ขาประจำร้องขึ้นเมื่อติ๊กเอาถ่านที่ติดอยู่เต็มมือมาลูบหน้าขาววอกของเอ๋

"อีนี่ เขาทากันทั้งนั้น จะมาสวยมางามอะไรตอนนี้"

"ว่าไม่ได้หรอกนะมึง เผื่อเจอใครเข้าตา"

"แหมตลอดเวลานะมึง"

ประโยคท้ายเสียงเบาบางลงเพราะกลัวว่าไก่ะได้ยิน เมื่อพร้อมแล้วก็ออกไปยังวัด ขบวนนางรำคณะต่างๆตั้งแถวยาว หางแถวไปทางโรงเรียน ปีนี้มีคณะรำมาร่วมงานถึง ๗ คณะรวมคณะของโรงเรียนด้วย พอเสียงกลองยาวเสียงพิณดังขึ้นก็พากันฟ้อนรำอย่างสนุกสนาน ไปคอยมั่วตามหลังคณะนางรำ

"ไปคณะของโรงเรียนกันดีกว่ามึง"

เดือนชวน แต่เพื่อนๆส่ายหน้ากันทุกคน

"ไม่อยากไปยุ่งมึง โน่นไปฟ้อนกับคณะกลองตุ้มกลุ่มแม่บ้าน หมู่ ๘ ดีกว่า เฮ้ย นั่นป้ากู ไปๆ"

น้ำร้องขึ้นแล้วพาเพื่อนๆเข้าไปร่วมฟ้อนกลองตุ้มกับป้าของตัวเอง การฟ้อนกลองตุ้มจะตีอยู่จังหวะเดียว ไม่ได้หวังเอารางวัลอะไรกับเขา เสียงตีกลอง ตุ้ม ตุ้ม วิธีฟ้อนรำก็ทำมือไปตามเสียงกลอง ดูแล้วน่าขันนัก แต่พวกแม่บ้านรุ่นป้าๆจะนิยมฟ้อนกลองตุ้มกันแต่งหน้าแต่งตัวแบบลืมแก่ไปเลยทีเดียว

"อ้าว น้ำ มาๆกินเบียร์กับป้า พี่ยนต์เขามาจากกรุงเทพฯ"

พอเห็นหน้าหลานก็ร้องเรียกกอดคอให้เข้าไปกินเบียร์

"ไหนล่ะป้าพี่ยนต์น่ะ น้ำจะไถเบียร์กิน"

น้ำพูดติดตลกแต่ป้ากวักมือเรียกลูกชายที่คอยถ่ายรูปแม่ของตนอยู่ไม่ไกลให้เข้ามาหา

"ดีพี่ยนต์ โหหล่อขึ้นตั้งเยอะแน่ะ จำไม่ได้นะเนี่ย"

"พูดแบบนี้มึงจะไถเบียร์กูใช่ไหม ไปๆไปเอา"

น้ำยิ้มออกมาสรุปก็ได้เบียร์ช้างมาครึ่งโหลให้เพื่อนช่วยกันถือ คณะมั่วซั่วของน้ำและเพื่อนก็วนเวียนอยู่กับคณะกลองตุ้มไม่ได้ไปไหนไกล

"เฮ้ย มึงดูไอ้ต้าดิ แหมแอบจับมือกันนะมึง"

เดือนบุ้ยปากไปทางครูสอนชีวะ ที่เรียกไอ้แบบนี้เพราะมีเหตุตอนที่เข้าเรียนชั้น ม ๔ ใหม่ๆพออาจารย์ต้าเดินเข้ามาในห้องเห็นนักเรียนชั้น ม ๔ มีแค่ ๒๐ คนก็เบะปากแล้วก็พูดจาถากถางไปตามประสา แต่ที่ไม่นับถือกันเพราะเขาเคยพูดว่ารุ่นนี้เป็นแกะดำของโรงเรียน ที่อื่นไม่เอาแล้วถึงต้องมาเรียนที่นี่ แต่สิ่งนั้นมันล่วงเลยมาแล้ว ตอนนี้ไม่ได้คิดติดใจอะไรเพราะเขาเองก็ได้รับผลกรรมของเขาไปแล้ว เนื่องด้วยทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัด เด็กนักเรียนที่คั่วด้วยเกิดท้องขึ้นมา จำเป็นต้องออกจากการเป็นครู พอหลายปีให้หลังได้ยินจากเพื่อนว่าครูต้าเองไปเป็นยามอยู่แถวชลบุรี ได้ฟังแล้วก็น่าสงสาร เรียนจบครูมาแท้ๆแต่ด้วยประวัติคงเสียหรือแกประชดชีวิตก็ไม่อาจทราบได้

"อุ๊ยน้ำ ใครวะมึงหล่อมาก"

ลากเสียงท้ายประโยค เมื่อเอ๋แลไปเห็นชายหนุ่มที่คงเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ

"ไหน อ้อ น้ากูเองมึง เป็นนายธนาคารอยู่กรุงเทพฯ"

"ต๊าย หล่อ คงจะแซ่บนะมึง"

"อีห่า เมียเขาเดินตามนั่นมึงไม่เห็นเหรอ"

"อ้าว ทำไมล่ะ จะกินผัวเขานี่ไม่ได้กินเมียเขา"

พูดหน้าตาเฉย เชิดหน้าใส่น้ำหันไปมองคอแทบหักสายตาแสดงอาการออกมาอย่างปิดบังไม่ได้

"เออดี กูจะไปบอกไอ้ไก่"

"บ้ามึง กูล้อเล่นไปอย่างนั้นล่ะ ไปเอาสาโทดีกว่า เบียร์ขมแล้ว"

เดินหนีไปทันที น้ำส่ายหน้าไม่ได้ถือสาหาความเพราะรู้ว่าเอ๋เป็นคนดีแต่พูดไม่ทำจริงจังอะไร

"นี่พวกมึง ไม่ต้องกลับบ้านหรอกกูว่า คืนนี้อยู่ดูหมอลำซิ่งด้วยกันเลย พรุ่งนี้เย็นค่อยกลับ"

บอทเอ่ยเมื่อการแห่บั้งไฟเสร็จลง คณะที่ชนะได้รางวัลที่หนึ่งก็คณะน้าของไก่การรำเป็นไปอย่างพร้อมเพรียงทั้งเสียงกลองเสียงพิณระทึกใจยิ่งนัก ส่วนที่ได้ที่สองเป็นคณะมาจากบ้านโพนทัน ส่วนคณะจากโรงเรียนได้รางวัลพิเศษ

"เออ ดีเหมือนกันขึ้เกียจกลับบ้าน"

เล็กเอ่ยขึ้นแล้วเดินขึ้นเรือนไปเอาถาดข้าวหมากลงมาแจกเพื่อนๆ

"แต่กูยังไม่ได้บอกแม่เลยมึง เดี๋ยวกลับไปทำงนบ้านช่วยแม่ก่อนเดี๋ยวกลับมา"

เดือนแจงเหตุผล เพราะบ้านของเดือนกับพวกที่อยู่บ้านใหญ่ไม่ไกลจากบ้านของน้ำมากนัก กลับไปอาบน้ำทำงานบ้านก่อนแล้วค่อยกลับมาก็ไม่สาย แต่คนที่อยู่บ้านไกล มีเล็ก กาญจน์ กรุง ต่างพากันอยู่ที่บ้านของบอทเพราะกลับลำบาก ที่จริงหลังจากแห่บั่งไฟเสร็จป้าของน้ำพาทุกคนไปแห่กลองตุ้มในบ้านระแวกวัดรวมมาถึงบ้านของน้ำด้วยเพื่อไถกินเหล้ากินขนมฟรี

"โอ้หะโอละโอ้หะโอ ขอเหล้าเด็ดละเพิ่นให้เหล้าโท ขอเหล้าโทนำเพิ่นจักแก้ว เพิ่นให้แล้วก็จะให้พร ให้ลูกเจ้าดก ให้กกขาใหญ่ ให้เส้นขนดก ตกลงลากดิน โอ้หะโอละโอ้หะโอ"

"ให้พรอะไรวะมึงให้เส้นขนดก ประหลาดแท้"

เล็กถามขึ้นทำหน้าแสยง น้ำเองก็ตอบไม่ได้แต่มารู้ภายหลังว่ามันเป็นคำคล้องจองเพื่อให้บรรยากาศรื่นเริงขึ้นเท่านั้นเอง งานบุญบั้งไฟมีประจำทุกปี แต่ละปีกลิ่นอายไม่เหมือนกัน แต่ละปีความรู้สึกแตกต่างกัน แต่จำได้ว่าปีนั้นสนุกและมีความสุขมากที่สุดเท่าที่ชีวิตและความทรงจำจะระลึกย้อนกลับไปได้

วิสัชนา ถ้าดวงตาทั้งสองคือหน้าต่างแห่งใจ ปากนั้นไม่ใช่ฤๅคือประตูของใจ จะอ้าปากเปิดรับสิ่งใดเข้ามาในใจ หรือจะปิดปากไม่รับสิ่งใดเข้ามาในใจ

เขียนโดย eiky


ปล บรรยายไปเรื่อยๆนะคร้าบ ไม่เน้นอะไรมากมาย ตอนนี้อ่านแบบสบายใจได้ และคงอีกหลายตอน ไม่ต้องกลัวน้า กลิ่นมันยังไม่มาหรอกคร้าบ ผมเองไม่ชอบ มาม่า ชอบ ไวไวซองแดงมาดกว่า แซ่บบบบบ กว่า ขอบอก ฮ่าๆๆๆๆ

ขอบคุณทุกเมนต์นะครับ :กอด1: อ่านแล้วอบอุ่นจัง อบอุ่นจริงๆเหมือนเจอเพื่อนเก่า เวอร์ไปไหม แต่จริงๆนะ รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ :L2:

ปล พิเศษ น้องมิเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปเรียนแล้วเหรอครับ แต่ก่อนเห็นมาได้เฉพาะคืนวัน พฤหัสถึงเย็นวันอาทิตย์ ดีใจๆ อิอิ :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 18-10-2010 17:53:10
จิ้มจ่ะ.........................
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 18-10-2010 18:34:03
ชอบตอนน้องน้ำไปไถเบียร์พี่กินฟรีจัง ดูฮาๆดี
อยากลองหาโอกาสไปงานบุญบั้งไฟดูบ้างจังน่าจะสนุกไม่ใช่น้อย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 18-10-2010 18:37:51
ชอบตอนน้องน้ำไปไถเบียร์พี่กินฟรีจัง ดูฮาๆดี
อยากลองหาโอกาสไปงานบุญบั้งไฟดูบ้างจังน่าจะสนุกไม่ใช่น้อย

หรือจะจัดทริปดี น้องลาส้ม อิอิ ครายจาไปยกมือขึ้น อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 18-10-2010 18:46:27
โห รอบนี้มายาวถูกใจมาก  o13 ว่าแต่ฝนนี้แค่ช่วยเพื่อนพอนะ อย่ามากไปกว่านี้ เสียงทุกทางกลัวน้องน้ำช้ำใจ  :impress2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 18-10-2010 19:01:49
ถึง  คุณอิ้กกี้ที่รัก


รักตายละ


คิดถึงคิดตึ้งงงงง    อ่านแล้วเสียวไปตามๆกัน   คืออ่านแล้วมีความสุข แต่คิดว่าพอถึงดราม่า   กรุเตรียมผ้าเช็ดหน้า

ไว้ได้เลยยยยย



ขอบคุณสำหรับ ทุกอย่างที่ให้มา ขอบคุณที่เรามีเรา  เออ  ออกทะเลแล้ว   5555


เอาเป็นว่า   มีความสุข   จนคำสุดท้าย  เลยเหอะ  รักกันๆ  แค่สองคำเธอให้ฉันฉันให้เธอ  (เวอร์ไปไหมคนดี)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 18-10-2010 19:45:23
จะมาม่า ไวไว ยำยำ อะไรก้ไม่อยากได้ทั้งน้านนนนนนนนนนนนนน
ขอให้น้ำหับบอทรักกันอย่างสงบสุขเถอะ...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๖ (ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 18-10-2010 20:48:53
ชีวิตต่างจังหวัดน่าสนุกนะคะ มีเทศกาลรื่นเริงอยู่หลายเทศกาลเลย
อยู่ในกรุงเทพฯ ไม่มีเทศกาล บรรยากาศ ภาพสายสัมพันธ์ของคนในชุมชนแบบนี้เลย


ปล พิเศษ น้องมิเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปเรียนแล้วเหรอครับ แต่ก่อนเห็นมาได้เฉพาะคืนวัน พฤหัสถึงเย็นวันอาทิตย์ ดีใจๆ อิอิ :L2: :กอด1:

ช่วงนี้ปิดเทอมค่ะ ไม่ต้องไปเข้าชั้นเรียน ปั่นแต่รายงาน สงสัยอาจารย์คงคิดว่าปิดเทอมเดี๋ยวเด็กๆ ไม่มีอะไรทำแล้วจะเบื่อ เลยกองรายงานมาให้ซะ...:sad4:

ปล. แลดูแฟนๆ นิยายเรื่องนี้จะกลัวฉากดราม่ากันจังเลยนะคะ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 18-10-2010 20:53:03
ไวไว อร่อยแค่ไหนก็ไม่เอา --*
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 18-10-2010 21:05:48
อ่านแล้วอยากไปจุดบั้งไฟบ้างเน้ออ....ท่าจะสนุกดีแท้...

พูดถึงสาโทแล้วเปรี้ยวปาก น้ำลายสอ... o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 18-10-2010 21:41:28
จะมาม่า แึค่ไหน อีป้า แก่ ๆ บ่อยั่น เพราะ ร้องสะใจไปแล้ว กับเรื่อง ให้รักนำทางใจ 555

เรื่องนั้นเรื่องเดียว ทำป้า เผาเต่า ปี่แตก ไป 3 วัน จนคนข้าง ๆ มันถาม ว่า ทำไมงานเครียดมากเหรอ

พักร้อนไหม แล้วคุณ ๆ คิดว่าดิชั้นจะตอบความจริงเหรอ 555 ว่า อ่านนิยายแล้วจิตตก

ผลพวงคือ คนข้าง ๆ เอาใจสารพัด งานบ้านทำให้หมดทุกอย่าง เป็นคุณนายนอนชี้นิ้ว ไป 3 วัน

แต่วันที่ 4 ความแตก 555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: salawinyeen ที่ 18-10-2010 21:56:09
อ่านรวดหลายตอนเลย ฮ่าๆ  ^^

ชอบครับ รออ่านต่ออยู่นะ

By DekMorPai
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 19-10-2010 01:03:31
บรรยากาศดูคึกครื้นดีจังคุณอิ๊ก น่าสนุกดี
ทั้งบรรยากาศ ทั้งอาหาร เอามาหลอกล่อให้เบนความสนใจจากมาม่าตลอด  :laugh:


อย่างที่คุณอิ๊กเคยบอกไว้ว่าไม่นิยมความพลัดพราก (ซึ่งคนอ่านก็ไม่นิยมความพลัดพรากเช่นกัน ถ้าไม่จำเป็น คริคริ)
ฉะนั้น ดราม่าแค่ไหน จัดหนักได้เลย  ไม่หวั่น!
 :a1:

แต่ตอนนี้เกิดความสงสัย เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองและเดาร้อยแปดถึงจุดเปลี่ยนให้ดราม่า..
 :a3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 19-10-2010 01:33:58
เสียวแปลกๆๆ

หวานอ่ะมันหวานอยู่นะ

แต่ก็ยังเสียวแปลกๆ

ิอิอิ o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 19-10-2010 01:35:17
เอามาม่าไปบริจาคชาวบ้านตามจังหวัดที่น้ำท่วมกันก่อนนะคะคุณอิ๊ก  อย่าเพิ่งเอามาแจกชาวเล้าค่ะ ยังไม่อยากกินค่ะ  :laugh:
ช่วงนี้กินเจ งดมาม่าสักระยะค่ะ  :m20:

คุณอิ๊กอัพบ่อยมาก ชอบๆ  :L1:
 :กอด1:ขอบคุณค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 19-10-2010 09:47:42
อ่านแล้วอยากไปเที่ยวมั่งจัง  o13
ไม่เคยไปไหนไกลจากภาคกลางเลย  :เฮ้อ:

 :กอด1:คุณอิ๊ก :L2: :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 19-10-2010 18:49:42
มารอตอนใหม่ค่ะคุณอิ๊กกี้ วันนี้มาต่อไหมคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 19-10-2010 18:57:55
มารอตอนใหม่ค่ะคุณอิ๊กกี้ วันนี้มาต่อไหมคะ  :กอด1:

น้องมิคร้าบ วันนี้คงไม่ทันอ่ะ พยายามเขียนแต่เขียนผิดเขียนถูก เลยพักก่อน พรุ่งนี้น้ากะว่าน่าจะลงหลังเที่ยงคืน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 19-10-2010 19:04:37
กรรม รอต่อไป 555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 19-10-2010 19:16:26
มารอตอนใหม่ค่ะคุณอิ๊กกี้ วันนี้มาต่อไหมคะ  :กอด1:

น้องมิคร้าบ วันนี้คงไม่ทันอ่ะ พยายามเขียนแต่เขียนผิดเขียนถูก เลยพักก่อน พรุ่งนี้น้ากะว่าน่าจะลงหลังเที่ยงคืน

โอเค รับทราบค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 19-10-2010 19:28:34
จะมาม่า จะไวไว หรือยำยำ ก็จะอ่านเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 19-10-2010 20:47:41
กว่าจะเข้ามาอ่านอีกได้
เลือดแถบกระเด็นๆ
ยุ่งมากๆเลย แงะ

มาอ่านต่อแล้วนะ 55
แอบเสียวม่าม่า และไวไวหก
เดี๋ยวมันจะลวกซะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 19-10-2010 21:54:17
น้องน้ำจ๋า.......ญาติเยอะจัง...น่ากลัวยังไงไม่รู้...
จะเป็นตัวแปรให้น้ำกับบอทต้องห่างกันไหมอ่ะ....... :confuse:
ต้องสะสมความหวานเอาไว้มาก ๆ หน่อย...เอ๊า..ฮึบ ๆ .. :z2:

อ่านไป...ซึมซับบรรยากาศดี ๆ ไป...มีความสุขจัง...
 :pig4: น้อง eiky  :L1:
รักกัน ๆ น้า.....
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 19-10-2010 22:16:12
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๗ (ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 20-10-2010 01:40:39
บทที่ ๑๘

ปุจฉา สิ่งใดมองไม่เห็นด้วยตาแต่สัมผัสมันได้ด้วยหัวใจ

ตอนกลางคืนที่ลานวัดมีวงหมอลำซิ่งมาตั้งวงตั้งแต่ตอนแห่บั้งไฟตั้งแต่เย็นแล้ว พอประมาณสองทุ่มกว่าๆเสียงดนตรีก็ดังแว่วออกมาจากในวัด หมอลำซิ่งนี้แตกต่างจากหมอลำหมู่ที่มากันเป็นคณะใหญ่ เพราะหมอลำซิ่งเองจะมีคนร้องชายหญิงฝ่ายละคนเท่านั้นหางเครื่องอีกสี่ห้าคน สมัยก่อนแม่นิ่มบอกว่าหมอลำซิ่งจะมีนักร้องฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงแล้วก็หมอแคนเท่านั้นเวลาไปลำที่ไหนก็จะขี่ม้าไป ผ่านหมู่บ้านไหนคนก็จะมามุงดูด้วยความตื่นเต้น ถือว่าโด่งดังเหมือนดารามากในสมัยนั้น เวลาลำก็ลำบนแคร่ไม้ไผ่ธรรมดาไม่ได้มีเวทีอะไร แต่ปัจจุบันวงหมอลำซิ่งก็จัดทำเวทีใหญ่โตไม่น้อยหน้าหมอลำหมู่เลย ที่จริงไม่น่าว่าจะเรียกว่าหมอลำ เพราะจะร้องเพลงอย่างเดียวตั้งแต่เปิดการแสดงจนรุ่งสาง ร้องเพลงคนนั้นคนนี้แล้วก็เกี้ยวพาราสีกันแต่ผู้คนก็ชอบดูเพราะถูกใจพวกขี้เมาเป็นยิ่งนัก

"อีพวกนั้นทำไมยังไม่มาวะ เสียงดนตรีขึ้นแล้ว โอ๊ยคัน"

กาญจน์ทำท่าตัวสั่นนั่งไม่ติดแคร่

"เกินไปอีกาญจน์ รออีกหน่อย เต้นให้ถึงเช้านะมึง"

กรุงเอ่ยขึ้นจากปกติเป็นคนไม่ค่อยพูด

"เจอกันค่า รู้จักกาญจนาพร ศรวิชัยน้อยไป"

"อีบ้า ชื่อใครวะ หมอลำเหรอ"

เล็กหัวเราะขึ้นแล้วยกขันสาโทเข้าปาก

"ไม่รู้โว้ย พูดไปงั้นล่ะ ว่าแต่น้ำมีเบียร์อีกไหม เอามายกสักขวดซิ"

"มีเดี๋ยวไปเอามาให้"

เมื่อตอนต้นปีที่บ้านของน้ำซื้อตู้เย็นขนาดหกคิวมีโครงการว่าจะออกรถกระบะอีกปีหน้าเพราะพ่อถาวรจะร่วมกู้กับกองทุนของทางโรงเรียน บ้านแม่นิ่มเวลามีอะไรแช่เย็นก็จะเอาไปฝากที่ตู้เย็นบ้านของน้ำเวลาจะใช้ค่อยมาเอา เสียงแขกเหรื่อยังจอแจกันอยู่หน้าบ้านของน้ำทั้งครูชั้นประถม เพื่อนๆของพ่อถาวรและแม่บุญช่วยจากต่างบ้าน น้ำไปชะเง้อคอมองอยู่รั้งข้างบ้าน พอดีเห็นน้องชายจึงกวักมือเรียก

"หินๆ หยิบเบียร์ให้พี่สองขวดดิ"

"ทำไมไม่มาเอาเองล่ะพี่น้ำ"

"คนเยอะกูขี้เกียจคุย เร็วๆอย่าพูดมาก"

หินสะบัดหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมเดินเข้าไปในบ้านหยิบเบียร์มาให้พี่ชายแต่โดยดี สักพักเพื่อนคนอื่นๆก็มารวมตัวกัน หาข้าวหาปลามาให้เพื่อนๆกินกะว่ากินเสร็จจะออกไปวัดกัน แต่ฝนก็เทลงมา

"อ้าวฝนตกว่ะ เซ็งเลย"

เดือนบ่นเพราะดูท่าฝนจะตกลงมาหนักเอาการ

"เดี๋ยวมันก็หยุดมึง มาเล่นไพ่กันดีไหม เล่นไพ่กินสาโทกัน"

เอ๋ออกความคิดเพราะตอนนั้นไม่มีกิจกรรมอะไรทำแล้ว

"เออดีเหมือนกัน ใครจะเป็นจ้าว"

"เวียนกันสิมึง จะได้กินกันทุกคน"

บอทบอกแล้วพาเพื่อนๆขึ้นไปตั้งวงบนบ้าน เสียงเฮฮาแข่งกับฝน มีการกินสาโทกันจนชนิดที่หน้าแดงไปตามๆกัน สายฝนที่โปรยปรายกระหน่ำลงมากระทบหลังคาสังกะสีมันช่างน่าฟังยิ่งนัก เสียงดังสม่ำเสมอไม่น่ารำคาญแต่อย่างใด ยิ่งเวลานอนแล้วฝนตกฟังเสียงนั้นยิ่งทำให้หลับสนิทเคลิบเคลิ้มไปได้ แม้จะไม่ชอบหน้าฝนเท่าใดนักแต่ก็มีสิ่งนี้เองที่ชอบ ยิ่งได้นอนกอดคนที่รักความสุขมันก็อยู่แค่นี้เอง

พอฝนหยุดก็พากันออกไปดูหมอลำซิ่งเอ๋กับกาญจน์เต้นไปตั้งแต่ออกจากบ้านเพราะเมา ทุกคนต่างเมากันถ้วนหน้า เดินผ่านหน้าบ้านยายหน่อง น้าคนที่เป็นตำรวจก็เรียกน้ำไปให้เงินไปซื้อเบียร์แจกเพื่อนๆอีก ลาภลอยมาแต่ไกล พอไปถึงวัดก็พากันไปอยู่ใต้ต้นมะขามไม่เข้าใกล้หน้าเวทีมากนักเพราะหน้าเวทีถูกจับจองไปด้วยพวกขี้เหล้าแน่นขนัดอยู่ เล่นกันรุนแรงจนบางทีคิดว่าทะเลาะกัน คนแก่กับลูกเด็กเล็กแดงก็นั่งอยู่ไกลๆ พอไปยืนใต้ต้นมะขามได้ก็เต้นกันกระหน่ำไม่มีใครยอมใคร การเต้นก็จะเน้นเต้นแบบลูกทุ่งไม่ได้ออกเสตปลีลาเหมือนการไปเที่ยวตามผับตามบาร์ เต้นเอามันเต้นยังไงก็ได้ให้ข้ามคืน สาโทหมดไปแล้วแต่เบียร์มีให้กินไม่ขาดเพราะน้ำกับบอทเองคอยไปไถบรรดาญาติที่มาจากเมืองกรุง

พอรุ่งเช้าก็ลากกันกลับมานอนกองรวมกันอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้านของบอท มีบางส่วนขึ้นไปนอนบนบ้าน แม่นิ่มก็ไม่ว่าอะไรใจดีทำกับข้าวให้กินตอนเช้าอีกต่างหาก

"กูจะมีแรงเต้นไหมเนี่ย โอยปวดตัว"

เดือนอวดครวญในตอนเช้าเพราะเมื่อคืนส่ายมากไปหน่อย

"ไหวสิมึง ไม่ไหวก็นอนเฝ้าบ้านนี่ล่ะ"

"ว้ายตาย มึงสินอนน่ะไอ้ติ๊ก แค่นี้สิวสิว เอาสาโทมาเพิ่มพลังให้มันหน่อยสิน้ำ อีนี่พอเหล้าเข้าปากก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม"

เอ๋บอกเพื่อนๆพากันหัวเราะ เดือนเองก็มองหาแต่สาโท วันจุดบั้งไฟจะเริ่มจุดกันประมาณสายๆ สถานที่จุดก็ที่นาท้ายหมู่บ้านที่ตอนนี้มีร้านค้าตั้งแถวกันเรียงรายแล้ว เวทีหมอลำซิ่งหันหน้าเข้ามาทางหมู่บ้านตั้งใจจะก่อกวนพวกที่ไม่ออกมาดูให้อยู่ติดบ้านไม่ได้ บั้งไฟที่มาแข่งขันไม่ได้มีเฉพาะแต่บั้งไฟของบ้านตัวเองเท่านั้น หมู่บ้านในระแวกใกล้เคียงหรืออำเภอที่ทำบั้งไฟล่ารางวัลก็แห่มาร่วมแข่งขัน มีพิธีกรภาคสนามคอยพูดนั่นพูดนี่ให้บรรยากาศแลดูอึกทึกครึกโครมไปอีกเท่าตัว วันจุดบั้งไฟนี้ชาวบ้านจะไม่มีใครออกไปทุ่งนากัน เหมือนเป็นที่รู้กันว่ามันอันตราย ส่วนมากก็จะออกมาดูบั้งไฟและหมอลำซิ่ง เสียงดนตรีเริ่มกระหึ่มดังขึ้นประมาณสิบโมง เพื่อนๆของน้ำยังงัวเงียหน้าตาแลดูไม่น่าจะไหว แต่พอกินข้าวเสร็จก็พากันเดินตามกันออกไปทุ่งนา

"แดดร้อนว่ะมึง เต้นไปก็ไม่สนุกหรอกกูว่า กลับไปนอนก่อนดีไหม เย็นๆค่อยออกมา"

ฝนเสนอความคิดอีกครั้ง

"แป๊บสิมึง ไปนั่งกินส้มตำเผ็ดๆก่อนค่อยกลับไปนอน เออแต่แดดร้อนจริงๆนั่นล่ะ"

เดือนเห็นด้วย สรุปพากันไปกินส้มตำกับน้าเพ็ญที่ขายของอยู่ที่โรงเรียนและสนิทกันกับห้องของน้ำเป็นอย่างดี สั่งพิเศษคือเผ็ดแบบลืมผัวเห็นกาญจน์บอก เผ็ดยังไงให้ลืมผัวก็ให้จำนวนพริกเยอะกว่าเส้นมะละกอ น้าเพ็ญเองก็รู้กันจัดมาตามคำขอ พอกินก็น้ำหูน้ำตาไหลกันทุกคน นั่งดูเขาร้องเพลงอยู่สักพักก็กลับเข้ามานอน พอแดดร่มลมตกประมาณสี่โมงเย็นก็พากันออกไปใหม่อีกรอบ คราวนี้เต้นกันกระจาย น้ำกับบอทเองก็คอยมองหาญาติตลอดเจอใครก็เข้าไปไถขอเบียร์ น้ำเองญาติเยอะทั้งป้า น้า อา ลุง มองไปทางไหนก็เจอ ส่วนบอทญาติไม่เยอะน้ำจึงเป็นคนออกโรงเอง ได้เบียร์มาพอสมควรเมากันหน้าแดงทุกคนกว่าจะแยกย้ายกันกลับก็มืดพอดี

"น้ำขึ้นไปหายายหน่องหน่อยสิ เห็นเค้าถามหา"

แม่บุญช่วยบอกน้ำตอนค่ำหลังจากที่กินข้าวเสร็จ บอทกลับไปอาบน้ำที่บ้านส่วนน้ำเองก็อาบน้ำเสร็จกำลังจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

"มีอะไรเหรอแม่"

"ก็เขาอยากคุย ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามานานก็อยากคุยกับหลานบ้างสิ"

"อืม เดี๋ยวน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ว่าแต่แม่ไปโม้อะไรไว้เยอะป่ะเนี่ย"

"โม้อะไร ไม่มีหรอก ไปๆรีบไปเดี๋ยวแกจะรอนาน"

น้ำดักคอมารดาไว้เพราะรู้ดีว่ารายนี้ขาโม้เยินยอลูกชายเสียจนน้ำเองรู้สึกว่ามันเกินจริง พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินขึ้นไปยังบ้านยายหน่อง ลูกหลานเขานั่งกันอยู่เต็มบ้าน ตอนแรกชักไม่แน่ใจที่จะเดินเข้าบ้าน เพราะเป็นคนไม่ค่อยชอบสถานที่ที่มีคนจอแจกันอยู่มากนักแม้จะเป็นญาติก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะได้เจอหน้ากันทุกวัน

"อ้าวมาแล้วเหรอน้ำ มาๆมานั่งกับยายหน่อย"

"ครับ"

น้ำหลุบตาลงก้มตัวเดินไปนั่งที่โต๊ะหน้าบ้านของยายหน่อง ตอนนั้นมีน้าอ้วนกับยายหน่องนั่งอยู่ ส่วนข้างในบ้านก็จอแจคุยกันเสียงดังอยู่

"เห็นแม่บุญบอกว่าเราเรียนดีเหรอ"

คิดไว้ไม่มีผิดว่าแม่ของตนต้องโม้แตกกระจายข่าวเอาไว้แน่ๆ

"ไม่เก่งมากหรอกครับ น้ำพอไปได้"

"น้ำจบ ม ๖ แล้วอยากเรียนต่อที่ไหน"

น้าอ้วนถามขึ้น

"น้ำว่าจะลองเอ็นฯเข้า ม เกษตรน่ะครับน้าอ้วน"

"อืม ดีๆ ไม่อยากไปเรียนที่เมกาเหรอ"

เหมือนหูแว่วน้ำทำตาโตขึ้นมามองหน้าญาติทั้งสอง

"อยากไปเรียนที่เมกาไหมล่ะ ตาพลกับน้องพลอยก็เรียนอยู่นะ"

ชื่อที่เอ่ยคือลูกของน้าอ้วนเอง น้ำเม้มปากแน่นใจเต้นแรง

"ยังไม่ได้คิดเลยครับ น้ำว่าถ้าน้ำไปเรียนไกลๆค่าใช้จ่ายก็เยอะสงสารพ่อกับแม่ ไหนจะน้องอีก"

"เข้าท่าๆ แต่เราไปเรียนที่โน่นเราก็ทำงานไปด้วยสิน้ำ ตาพลกับน้องพลอยก็ทำอยู่ร้านอาหารไทย ไม่หนักหรอก"

น้ำสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึก ไม่รู้ทำไมรู้สึกหวั่นไหว แม้ในใจจะค้านไม่ว่ายังไงก็จะไม่ไป จะไม่ไปจากที่นี่ ไม่ไปจากพ่อแม่ จะไม่หนีจากบอทคนที่รักสุดใจไปไหน พอกลับจากบ้านยายหน่องน้ำก็ดูเหมือนครุ่นคิดใบหน้าเครียด

"เป็นอะไรไปน้ำ หน้าเครียดเชียว"

บอทถามขึ้นก่อนเข้านอน

"อ้อ ไม่มีอะไรหรอกคงมึนสาโทน่ะบอท นอนเถอะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนอีก"

"สองสามวันมานี่เราไม่ได้กอดกันเลยเนอะ คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว"

พอตัวถึงฟูกบอทก็เบียดกายเข้ากอดกอดร่างของน้ำไว้ น้ำเองกระชับมือของบอทให้แน่นกับอก

"น้ำก็คิดถึงบอท คิดถึงมาก"

พยายามสะบัดความคิดที่วิ่งเข้ามาให้หลุดไปจากหัว เรื่องในวันข้างหน้ามันยังไม่เกิดอย่าเพิ่งไปคิด ความปรารถนาดีของญาตินั้นซึ้งใจนักแต่บางอย่างมันก็ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายกว่าว่าจะอยู่หรือไป คนที่กำลังกอดร่างอยู่นี้นี่เองที่เป็นปัจจัยสำคัญให้น้ำตัดสินใจได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่ต้องลังเล

พอหน้าเทศกาลผ่านพ้นไปฤดูการปักดำก็รออยู่ไม่มีเวลามากพอให้นิ่งเฉยอยู่ได้ น้ำกับบอทไปโรงเรียนตามปกติ พอเลิกเรียนก็รีบลงไปไถนาไว้ให้พ่อถาวรกับแม่นิ่ม อยู่จนค่ำมืดค่อยกลับบ้าน ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปนาแต่เช้า การปักดำนี่ลำบากกว่าการเก็บเกี่ยวเพราะเวลาปักดำต้นกล้าต้องลงไปแช่ในน้ำทั้งวัน ก้มอยู่อย่างนั้นหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน แดดร้อนก็ไม่หวั่นฝนตกก็ไม่ถอย ถ้าช้านายิ่งจะเสร็จช้ากว่าคนอื่นเขาต้องรีบทำ จ้างวานได้ก็ทำหาแรงให้เพื่อนบ้านมาลงแขกช่วยได้ก็ต้องรีบเร่ง นาของน้ำเสร็จไปตั้งแต่อาทิตย์แรกเพราะพ่อถาวรจ้างคนช่วย พอเสร็จจากนาของตนก็ไปช่วยขลุกอยู่แต่นาของแม่นิ่มที่มีถึงสามนา พระพิรุณโปรยปรายลงมาเกือบทุกวันทั้งเช้ากลางวันเย็น พื้นดินก็ชื้นแฉะไปด้วยน้ำเจิ่งนอง ในป่าเองมีเห็ดต่างๆ มีผลหมากรากไม้ละลานตาอยู่ มีลูกลำดวนเป็นพวงสีม่วงแก่ระย้าอยู่เต็มต้น ลูกเงาะป่า ลิ้นจี่ป่า เห็ดก็มีมากมายหลายชนิด นับว่าลืมกุ้งหอยปูปลาไปได้เลยทีเดียว

"กูล่ะเบื่อฝน จะตกทำไมเนี่ย มาโรงเรียนลำบากว่ะ"

เล็กบ่นแต่เช้าพอเจอหน้าน้ำกับบอทที่เดินกางร่มมาด้วยกันแม้จะถือร่มคนละอันแต่ก็เดินตัวติดกันไม่ยอมห่าง

"หน้าฝนนี่มึง ฝนมันก็ต้องตกดิวะ เออไหนบอกจะเอาเม็ดบัวมาให้กู"

น้ำทวงที่เล็กกับเพื่อนที่อยู่บ้านไกลบ่นกันเพราะเวลามาโรงเรียนจะเอารองเท้าถุงเท้ารวมทั้งกระโปรงนักเรียนใส่ในกระเป๋ามาเอาถุงพลาสติกใบใหญ่ห่ออีกทีหนึ่ง ใส่กางเกงขาสั้นเอาผ้ายางกันฝนคลุมตัวมาลำบากยากเข็ญถ้าวันไหนฝนตกแต่เช้า วันนั้นต้องรีบมาจอดรถที่บ้านเพื่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นกระโปรงสวมรองเท้าให้ถูกระเบียบ

"อยู่ในกระเป๋า นี่น้ำมึงทำการบ้านของอาจารย์แววมาป่าววะลอกหน่อย"

"ถึงห้องแล้วค่อยลอกดิมึง กูก็ยังไม่ได้ลอก"

บอทบอกแล้วยิ้มแหยๆให้น้ำ

"บอกให้หัดทำก็ไม่ยอมเห็นไหมจะลอกท่าเดียว"

"อ้าวน้ำเก่งอยู่แล้วนี่ จะทำไปทำไมอ่ะ ยังไงน้ำก็ไม่ไปไหนจากบอทอยู่แล้วนี่"

ตอกย้ำความรู้สึกให้มั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมว่าจะไม่ไปไหน จะไม่ไปไหนจริงๆ ยิ่งนานวันยิ่งผูกพันธ์ ยิ่งอยู่ใกล้หัวใจมันยิ่งหลอมรวมกัน บางอย่างไม่ต้องพูดแค่มองตากันก็เข้าใจแล้ว จะให้หนีไปไหนได้ จะให้ต้องพลัดพรากจากกันไปที่แห่งใดอีก คงไม่ยอม ไม่มีทาง

"เรียงความวันสุนทรภู่ ทำไมต้องบังคับด้วยวะจารย์บลน่ะ กูยิ่งเขียนไม่เก่งอยู่ด้วย"

หลังจากคาบวิชาภาษาไทยวิชาสุดท้ายก่อนพักกลางวันเดือนเองก็บ่นออกมา

"คงไม่ค่อยมีใครส่งมั้งแก เอาน่าส่งๆไปเถอะจารย์บลบอกว่ามันเป็นคะแนนด้วยนี่"

"นั่นล่ะตัวปัญหาจะให้เริ่มเขียนยังไงดีวะ สุทรภู่ประดู่ชัย อะไรงี้เหรอ"

"บ้ามึง เขียนเอาประวัติรวมๆกันไปสิ ผสมกับความคิดของตนเอง ยกมาสักเรื่อง สักวรรคก็ได้ในบทกลอนน่ะ"

น้ำอธิบายแต่เดือนเองยังทำหน้าเซ็งอยู่

"น้ำนี่เก่งเนอะ เรียนก็เก่ง เราว่าน้ำเอ็นฯติดแหงๆเลยอ่ะ"

"พอกันล่ะมึง หนังสือกูไม่ค่อยได้อ่านไปแต่นา แต่มึงก็เก่งเลขกว่ากูนี่ เลขน่ะมึงก็รู้ว่ากูไม่ค่อยถนัด"

พอขึ้นชั้น ม ๕ ก็เริ่มพากันคิดเรื่องเรียนต่อแต่คุยกันซีเรียสไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เฮฮากันไปเรื่องอื่นเสีย รุ่นนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องเอ็นฯสักเท่าไรนัก รด ก็ไม่เรียนเพราะคิดว่าเสียเวลาเรียน ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนอย่างที่บอกไว้เลย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น เอาแต่เพื่อนกับอาจารย์นางน้อย และตอน ม ๕ เองมีอาจารย์บลสอดแทรกเข้ามา แม้ภายนอกจะดูเข้มงวดกับการสอน แต่นอกเวลาเรียนกลับเห็นว่าเป็นที่ปรึกษาที่ดีมากคนหนึ่ง

"น้ำ ครูว่าเธอมีพรสวรรค์ในการเขียนนะ อย่าทิ้งนะน้ำลองเขียนไปเรื่อยๆ ลองส่งไปให้สำนักพิมพ์เขาอ่านดู พยายามอ่านหนังสือของนักเขียนมีชื่อให้เยอะๆ ในห้องสมุดก็มี เราจะได้พัฒนาฝีมือ"

อาจารย์บลบอกหลังจากที่น้ำไปส่งเรียงความหลังจากที่กวาดตาอ่านไม่นานอาจารย์บลก็เอ่ยขึ้น

"โหจารย์ผมเขียนดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ"

"ครูไม่ได้บอกว่าเธอเขียนดีนี่น้ำ ครูบอกว่าสำนวนการเขียนของเธอมันแปลกดีไม่ซ้ำใคร มันน่าสนใจ ถ้าเธอฝึกฝนให้มากๆ มันจะเป็นผลดีกับตัวเธอนะ"

"ครับ ผมจะพยายาม"

น้ำยิ้มออกมาในใจรู้สึกประหลาด เรื่องเรียนมีคนชมมาเยอะแล้วแต่ไม่เคยรู้สึกดีใจแบบนี้มาก่อน เรื่องเขียนหนังสือไม่เคยติดอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย ที่เขียนเรียงความไปเขียนออกแนวประชดประชันอาจารย์บลเสียอีก เพราะเปิดหัวเรียงความมาก็บอกว่า "เคยนึกบ้างไหมว่าถ้าภาษาเราไม่มีบทกลอน ไม่มีทำนองเสนาะ ภาษาไทยเราจะน่าอ่าน น่าฟังไหม แล้วเคยนึกไหมว่าใครเป็นต้นความคิดหรือครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้แขนงนี้ อาจจะมีมานมนานแล้ว แต่ในที่นี่จะกล่าวถึงสุนทรภู่ เราเรียนบทกลอนกาพท์เห่เรือของท่าน เคยถามตัวเองไหมว่าเราได้อะไรจากการท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองอยู่ ท่องเพราะกลัวอาจารย์คนสอน หรือท่องเพราะต้องการเรียนให้ได้คะแนนดีๆเพียงเท่านั้น ถ้าเราตั้งใจอ่านและทำความเข้าใจในแต่ละบทแต่ละบาทของบทกลอนเราจะเห็นได้ว่าท่านเองได้ให้แง่คิดต่างๆไว้มากมาย แง่คิดที่ไม่เคยล้าสมัยไปเลยไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ เห็นจะจริงตามคำท่านสุนทรภู่ทุกถ้อยคำ"

การเขียนเรียงความแนวนี้ไม่เคยมีมาก่อนในโรงเรียนมัธยมของน้ำ นับว่าเป็นเรียงความที่แปลกแหวกแนวเขียนไปในแนวเสียดสี พอวันสุนทรภู่มาถึง น้ำเองก็ได้รับรางวัลที่สาม แต่น่าประหลาดที่รางวัลที่สามอย่างน้ำกลับได้เป็นคนไปอ่านเรียงความของตนต่อหน้าเพื่อนๆนักเรียน ทั้งที่คนที่ได้ที่หนึ่งและสองไม่ได้รับเกียรตินี้ พออ่านเพื่อนๆก็ฮือฮา นอกจากกิจกรรมการประกวดเรียงความบทกลอนแล้ว ยังมีการประกวดจัดบอร์ดของห้องต่างๆ ซึ่งห้องของน้ำเองเอ๋ก็จัดการกับฝน จัดได้อย่างน่าทึ่งเพราะเอาผ้าขาวม้าสีสันสดใสมันมัดลวดทำเป็นดอกไม้ประดับประดาอยู่ ใครเห็นก็ร้องออกมาเพราะจับใจเหลือเกิน ห้องของน้ำเองมีการแต่งกายเป็นนางในวรรคดีอยู่หลายคน มีกาญจน์แต่งเป็นนางผีเสื้อสมุทร ฝนแต่งเป็นนางวันทอง ติ๊กแต่งเป็นพระอภัยมณี ได้รางวัลกันทั้งสามคน นับเป็นอีกงานที่สร้างชื่อเสียงให้โดยเฉพาะอาจารย์นางน้อยที่หน้าบานเชิดกว่าใคร

"ต้องให้ได้อย่างนี้น้ำ เป็นไงล่ะ ยุคมืด เป็นไงล่ะแกะดำ ฮ่าๆ ห้องกูกวาดมาทุกรางวัล กลอนมึงก็ได้ที่หนึ่ง อีเดือนก็ได้ที่สอง สะใจว่ะ ไหนจะบอร์ดอีก เรียงความ แต่งกายอีก โว้ยสะใจ"

เอ๋กรี๊ดออกมาเมื่อมารวมตัวกันที่ห้อง วันนั้นเป็นอีกวันหนึ่งที่เห็นเพื่อนๆทุกคนรวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แววตาที่โดนกดดันกระแนะกระแหนมาโดยตลอดมันฉายแววมีค่าออกมาจากดวงตาของเพื่อนทุกคน ย้อนหวนกลับไป ความรักความผูหพันธ์เหล่านั้นอยากให้มันเป็นเหมือนหินผาจังเลย หินผาที่โดนแม้แสงสุริยันกล้า ฤๅวายุร้ายก็กร่อนได้เพียงน้อยนิด ทำไมความผูกพันธ์ของคนเรามันไม่เป็นอย่างนั้นบ้าง มันเลือนหายไปไหนเสียแล้ว หรือว่ามันยังอยู่ที่เดิมแต่เราเองที่เป็นคนเดินหนีห่างมันออกมาไกลแสนไกล

หลับตาลงฟังเสียงฝนสาดซัด    เหมือนจะพัดพาใจน้อยให้ลอยลิ่ว

ลืมตาขึ้นกลางดึกก็ใจหวิว       เหมือนหินกิ่วลมกร่อนกัดเซาะไป

ย่ำเท้าไปในโคลนตมรู้สึกชื้น    สะดุ้งตื่นจากหลับฝันก็หวั่นไหว

วาดมือไปในอากาศก็แสนไกล   ดังใจลอยบนอากาศสุดคาดเอย



วิสัชนา สิ่งนั้นใช่ความรักไม่ใช่ฤๅ

เขียนโดย อิ๊กกี้

ปล เบื่อไหมครับกับการบรรยายซ้ำไปซ้ำมา แต่คงอีกไม่นานน้า ใจเย็นๆ เดี๋ยวเรามาค่อยๆระทึกไปพรอ้มๆกัน เรื่องนี้สัญญาว่าจะจัดหนักๆแล้วจะไม่เขียนแนวเศร้าอีก แต่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะตายจากกัน คนเขียนเองรังเกียจนิยายแบบนี้ มันมีความเจ็บปวดอื่นอีกที่เจ็บกว่าการแค่ตายหายจากกัน อิอิ แววตาเอ็ม+เอส ส่องประกาย วิ้งๆๆๆ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 20-10-2010 01:44:07
 o18 แอบย่องมาดึกๆดื่นๆนะคะคุณอิ๊ก


น้ำจะได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาหรือนี่ ไม่แน่ๆ
อ่านจบเดาเพิ่มอีกเป็นร้อย ฮ่าๆๆๆ

บรรยายมาได้อีกเรื่อยๆล่ะ อ่านยังไม่เบื่อ
ชอบด้วย อ่านจบรอบแรก รอบสองกูเกิ้ลกระจาย

 
รับรู้ถึงออร่าSMในตัวคุณอิ๊กเปล่งประกายมาแต่ไกลเลย   :laugh:
โดยส่วนตัวคนอ่านชอบอ่านนิยายเชิงดราม่านะแต่ขอแบบตอนจบให้ได้คู่กันหน่อยเหอะ
เพราะยังไงก็ยังคงเป็นนิยายอ่ะ รู้สึกแบบนั้น
มันไม่เหมือนความจริงที่ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องยอมรับให้ได้และยอมรับให้ไหว ..
เพราะถ้าไม่ไหวคุณก็ไม่มีชีวิตรอดบนโลกนี้หรอก - -"
และพูดถึงความเจ็บปวดเหรอ..
อะไรก็ไม่สนุกเท่าการทรมานให้ตายทั้งเป็นมั้ง
ยิ่งกรณีคนที่ทำอะไรเลวร้ายไว้สารพัดแล้วถูกเอาคืนแบบสาสมนะ แซ่บ!
ถ้าสำนึกได้ก็ควรค่าแก่การถูกให้อภัย
แต่ถ้าไม่..




 :-[ วันนี้เหมือนพล่ามเกินขอบเขตเนื้อเรื่องแหะ ไร้สาระ อย่าได้ใส่ใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 20-10-2010 02:08:55
o18 แอบย่องมาดึกๆดื่นๆนะคะคุณอิ๊ก


น้ำจะได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาหรือนี่ ไม่แน่ๆ
อ่านจบเดาเพิ่มอีกเป็นร้อย ฮ่าๆๆๆ

บรรยายมาได้อีกเรื่อยๆล่ะ อ่านยังไม่เบื่อ
ชอบด้วย อ่านจบรอบแรก รอบสองกูเกิ้ลกระจาย

 
รับรู้ถึงออร่าSMในตัวคุณอิ๊กเปล่งประกายมาแต่ไกลเลย   :laugh:
โดยส่วนตัวคนอ่านชอบอ่านนิยายเชิงดราม่านะแต่ขอแบบตอนจบให้ได้คู่กันหน่อยเหอะ
เพราะยังไงก็ยังคงเป็นนิยายอ่ะ รู้สึกแบบนั้น
มันไม่เหมือนความจริงที่ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องยอมรับให้ได้และยอมรับให้ไหว ..
เพราะถ้าไม่ไหวคุณก็ไม่มีชีวิตรอดบนโลกนี้หรอก - -"
และพูดถึงความเจ็บปวดเหรอ..
อะไรก็ไม่สนุกเท่าการทรมานให้ตายทั้งเป็นมั้ง
ยิ่งกรณีคนที่ทำอะไรเลวร้ายไว้สารพัดแล้วถูกเอาคืนแบบสาสมนะ แซ่บ!
ถ้าสำนึกได้ก็ควรค่าแก่การถูกให้อภัย
แต่ถ้าไม่..
 :-[ วันนี้เหมือนพล่ามเกินขอบเขตเนื้อเรื่องแหะ ไร้สาระ อย่าได้ใส่ใจ

แสดงว่าคนอ่านก็นอนดึกนะเนี่ย 5555 ผมทำงานคร้าบ ทำงานเสร็จเลยมานั่งปั่น เดี๋ยวไปปั่นคุณพี่เฟียตต่อ อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 20-10-2010 02:19:55
 :z3: จะจัดหนักเลยหรอ กลัวนะเนี่ย จะหนักช่วงไหน ถ้าหายไปก็อย่าเคืองกันนา  :laugh: รอให้คลี่คลายแล้วจะกลับมา อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 20-10-2010 02:47:38
:z3: จะจัดหนักเลยหรอ กลัวนะเนี่ย จะหนักช่วงไหน ถ้าหายไปก็อย่าเคืองกันนา  :laugh: รอให้คลี่คลายแล้วจะกลับมา อิอิ

แอ่ะ ไม่ว่ากันคร้าบพี่หนึ่ง แต่ขออะไรได้ไหม ช่วงจัดหนักยังไม่ต้องอ่าน แต่มาโยนดอกไม้ทิ้งให้กันสักช่อสองช่อได้ไหมอ่า อิอิ
จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 20-10-2010 04:40:55
อ่านแล้วนึกถึงบ้านนอกจัง เทศกาลต่าง ๆ สนุกสุด ๆ ป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ แต่งตัวกันลืมโลกจริง ๆ

ไปกินบ้านนู้นทีบ้านนี่ที เพราะแต่ละบ้านก็จะเตรียมอาหารไว้รับแขก



เอ่อพี่อิ๊กค๊าบบ ดอกไม้ที่บอทเอาให้น้ำวันวาเลนไทน์น่าจะเป็นดอกเทียนทองมากกว่านะครับ

ถ้าดอกเทียนบางพันธุ์จะมีลักษณะคล้ายดอกกล้วยไม้ บางพันธุ์จะเหมือนดอกกุหลาบหรือมะลิซ้อนมีหลากสี

ต้นจะใสคล้ายกับต้นกระสังมีขนอ่อน ๆ ความสูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร



รถอิแต๊กนี่บ้านพี่ก็เรียกรถอีแต๊กด้วยหรอ นึกว่าจะเรียกเฉพาะแถวบ้านเพียว

เพราะเวลาเห็นออกรายการทีวีทางภาคอิสานจะเรียกรถอิต๊อก สรุปภาคอิสานก็เรียก 2 อย่าง

ส่วนที่นั่งที่เหมือนเกวียน บ้านเพียวเรียก "สาลี่" อ่ะ เรียกเหมือนกันมั้ยย

ถ้าเอาเครื่องรถอิแต๊กไปใส่รถคันใหญ่คล้ายรถ 6 ล้อ ก็เรียกรถอีแต๋น อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 20-10-2010 10:25:48
จัดหนักเลยหรอ....ขอเวลาทำไปทำใจก่อนได้มั้ยเนี่ยยยยย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 20-10-2010 10:37:13
ถ้าขอเดาพี่อิ๊กจะว่าไหม  ขอเดาว่าตอนหักเหคือบอทไปนอนกะพุหญิงเพราะโดนมอมแล้วน้ำหนีไปเมืองนอก  55 เดาเข้าไป
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 20-10-2010 11:24:40
ถึงพี่อิ้ก สุดหล่อ



เด่วว่างๆจะพาไป จัดดราม่าสักยก สองยก



5555+

จัดพี่อิ้กกี้เป็นของตอบแทน หึๆๆๆๆๆๆ โทษฐานน่ารักเกินเหตุ (SM อยู่ใหน  จัดมาโล้ดด)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 20-10-2010 13:22:02
อ่านแล้วนึกถึงบ้านนอกจัง เทศกาลต่าง ๆ สนุกสุด ๆ ป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ แต่งตัวกันลืมโลกจริง ๆ

ไปกินบ้านนู้นทีบ้านนี่ที เพราะแต่ละบ้านก็จะเตรียมอาหารไว้รับแขก



เอ่อพี่อิ๊กค๊าบบ ดอกไม้ที่บอทเอาให้น้ำวันวาเลนไทน์น่าจะเป็นดอกเทียนทองมากกว่านะครับ

ถ้าดอกเทียนบางพันธุ์จะมีลักษณะคล้ายดอกกล้วยไม้ บางพันธุ์จะเหมือนดอกกุหลาบหรือมะลิซ้อนมีหลากสี

ต้นจะใสคล้ายกับต้นกระสังมีขนอ่อน ๆ ความสูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร



รถอิแต๊กนี่บ้านพี่ก็เรียกรถอีแต๊กด้วยหรอ นึกว่าจะเรียกเฉพาะแถวบ้านเพียว

เพราะเวลาเห็นออกรายการทีวีทางภาคอิสานจะเรียกรถอิต๊อก สรุปภาคอิสานก็เรียก 2 อย่าง

ส่วนที่นั่งที่เหมือนเกวียน บ้านเพียวเรียก "สาลี่" อ่ะ เรียกเหมือนกันมั้ยย

ถ้าเอาเครื่องรถอิแต๊กไปใส่รถคันใหญ่คล้ายรถ 6 ล้อ ก็เรียกรถอีแต๋น อิอิ
พี่มาตามเก็บความรู้เอากับเม้นท์ ๆ ทั้งหลาย...พี่เกิดมานานแต่ความรู้น้อยก็งี่แหละ...

สรุปน้องน้ำทิ้งบอทใช่ไหม????....เราก็หลงจับผิดเจ้าบอทอยู่ด้ายยย...
สงสัยต้องหันไปเอาใจเจ้าบอทมาก ๆ หน่อย...ซะแล้วววว... :m13:

เออ...อ่านนิยายน้อง eiky ไม่เศร้ามากหรอกค่า....อ่านแล้ว...แค่ซึม ๆ สมองเบลอ ๆ
เพื่อนฝูงไม่ค่อยกล้าคุยด้วย....เพราะบางครั้งชีก็ออกอาการเหมือนคนเมายา...
เจ้านายเอง...ถ้าพูดไม่ถูกหูก็มีสิทธิโดนชีกระโดดงับหูเอาได้....แค่นั้นเองนิ :m18:
จัดมาน้อง eiky อย่าให้เสียของ....เดี๋ยวพี่ไประบายต่อที่ทำงานเองงง... o11
ตามเก็บความหวานต่อไป....ฮึบ ๆ... :z2:

 :L1: น้องน้ำ กะ น้อง eiky  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 20-10-2010 13:48:19
แอบเข้ามาตอนกลางวันถึงรู้ว่าคุณอิ๊กกี้ก็แอบมาลงตอนดึกๆ
แต่ก็ดีนะคะตื่นมาก็ได้อ่านเลยไม่ต้องคอยนาน :laugh:

น้ำจะ "โกอินเตอร์" หรอคะเนี่ย ไปตั้งอเมริกา ถ้าไปจริงไม่รู้ว่าจะมีหนุ่มผมทองมาจีบรึเปล่านะ o3

กลอนท้ายตอนๆ นี้เศร้าจังนะคะ แต่ก็เพราะเหมือนเดิมนะคะ  :จุ๊บๆ: +1 ให้กลอนเพราะๆ ค่ะ

รออ่านฉากเรียกน้ำตาของคุณอิ๊กกี้อย่าใจจดจ่อยิ่งค่ะ  :กอด1:


***********************

ผูกพันธ์ คำนี้ไม่ต้องใส่ ธ์ นะคะ ผูกพัน กันเฉยๆ ผูกและพันคนสองคนไว้ด้วยกัน
กาพท์เห่เรือ คำนี้ต้องเป็น ย์ กาพย์เห่เรือค่ะ
แต่เท่าที่จำได้สุนทรภู่ไม่เคยแต่งกาพย์เห่เรือนะคะ มีแต่บทเห่กล่อมพระบรรทม 
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 21-10-2010 01:13:00
ท่าทางจะมีความห่างไกลต้องมาแยกสองคนนี้แล้วละมั้ง... :z10:

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 21-10-2010 01:35:50
เค้ากลัวอ่ะคุณอิ๊ก :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 21-10-2010 13:16:22
 :m22: แอบเข้ามาดู นึกวาสคุณอิ๊กกี้จะแอบมาต่อเหมือนเมื่อวาน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 21-10-2010 17:36:58
อ่านแล้วนึกถึงบ้านนอกจัง เทศกาลต่าง ๆ สนุกสุด ๆ ป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ แต่งตัวกันลืมโลกจริง ๆ

ไปกินบ้านนู้นทีบ้านนี่ที เพราะแต่ละบ้านก็จะเตรียมอาหารไว้รับแขก



เอ่อพี่อิ๊กค๊าบบ ดอกไม้ที่บอทเอาให้น้ำวันวาเลนไทน์น่าจะเป็นดอกเทียนทองมากกว่านะครับ

ถ้าดอกเทียนบางพันธุ์จะมีลักษณะคล้ายดอกกล้วยไม้ บางพันธุ์จะเหมือนดอกกุหลาบหรือมะลิซ้อนมีหลากสี

ต้นจะใสคล้ายกับต้นกระสังมีขนอ่อน ๆ ความสูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร

รถอิแต๊กนี่บ้านพี่ก็เรียกรถอีแต๊กด้วยหรอ นึกว่าจะเรียกเฉพาะแถวบ้านเพียว

เพราะเวลาเห็นออกรายการทีวีทางภาคอิสานจะเรียกรถอิต๊อก สรุปภาคอิสานก็เรียก 2 อย่าง

ส่วนที่นั่งที่เหมือนเกวียน บ้านเพียวเรียก "สาลี่" อ่ะ เรียกเหมือนกันมั้ยย

ถ้าเอาเครื่องรถอิแต๊กไปใส่รถคันใหญ่คล้ายรถ 6 ล้อ ก็เรียกรถอีแต๋น อิอิ

ฮ่าๆๆ อยู่ไหนนิ เรียกเหมือนกันเลย ดอกไม้ใช่ๆ ดอกเทียนทอง อิอิ เห็นเพื่อนๆเรียกแต่ดอกเทียนๆ พี่เองก็จำไม่ค่อยได้หรอกครับ ได้ประโยชน์จากเพื่อน ไม่เข้าใจอะไรก็โทรไปถาม อิอิ อีคนที่รับบทเอ๋นั่นล่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 21-10-2010 17:59:31
บทที่ ๑๙

ปุจฉา ทำไมดอกไม้แห้งดอกนั้นถึงมีค่ามากกว่าเพชรพลอย เก็บมันไว้อย่างดีไม่ให้บอบช้ำ ทั้งที่มันเป็นแค่กิ่งก้านแห้งๆของดอกไม้แค่นั้นเอง

๓๐ กรกฏาคม

ทำไมอะไรๆเหมือนมันผ่านไปเร็วจังนะหลายๆอย่างเลย กูมีความสุขนะ มีความสุขมาก มีคนบอกว่าเวลาที่เรามีความสุขเวลามันมักจะผ่านไปเร็วเสมอ คงจะจริง ทุกวันกูมีมึงอยู่เคียงข้าง เรานอนด้วยกันทุกคืน กูกอดมึงนอนทุกคืน ต่อไปมันจะเป็นยังไงนะ คิดไม่ออกเลย เรื่องยายหน่องที่ถามกูเรื่องไปเรียนต่อที่โน่น กูตัดสินใจตั้งนานแล้วล่ะเลยไม่ได้บอกมึง กูคงไม่ไปหรอก ไม่ใช่ไม่เห็นแก่อนาคตตัวเอง กูไม่ได้อะไรมากมายกับมันนัก ไม่ได้อยากร่ำรวยหรือมีหน้ามีตาอะไร แค่อยากมีความสุข จนถึงตอนนี้กูยังไม่แน่ใจเลยว่ากูจะสอบเอ็นฯหรือเปล่า ไม่รู้สิ ตอนนี้แค่คิดว่าเรียนที่ไหนก็ได้ แค่จบมาให้ได้แลกกับกระดาษแผ่นหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นกูอยากเรียนที่ไหนหรืออยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีมึง ไม่ว่าจะเป็นแค่รามฯ แต่ก็ก็พอใจ มาคิดๆดูแล้วคนเรามันไม่ได้วัดกันด้วยสถานที่เรียนหรอกจริงไหม สิ่งที่เราทำมันตอนเราเรียนจบต่างหากที่เขาวัดกัน มึงยังรักกูดีอยู่ กูก็ยังรักมึงมาก เราไม่เคยทะเลาะกันเลยแม้จะมีงอนกันบ้าง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เรารักกันมากขึ้น กูคิดว่าแค่นี้กูก็โชคดีมากแล้วที่เกิดมาครั้งหนึ่งแล้วได้สัมผัสกับคำว่า "รัก" รักจริงๆ รักจากใจ ช่วงนี้ทำนาเหนื่อยมาก แต่คงจะเสร็จเร็วๆนี้ เห็นพ่อกับแม่แล้วสงสาร แล้วแบบนี้จะให้กูหนีไปไหนได้ ไม่อยากคิดแล้ว เรื่องในวันข้างหน้าช่างหัวมัน แค่ตอนนี้กูมีความสุขอยู่กับมึง ช่วยพ่อแม่ทำงานเป็นพอ


หัวใจเต้นเนื้อหนั่นสั่นระริกร้อน  ดุจดังกรจับต้องไฟให้ร้อนรน

คิดถึงวันที่สิ้นเขาแล้วเราจน     โลกมืดมนหนทางไปหาไม่มี

กอดร่างไว้ในอกประคบรัก      จำหลักร่างฝังในทรวงให้สุขศรี

จะเนิ่นนานแสนนานเท่าทวี     แค่ใจนี้ผูกกันไว้อย่าให้คลาย


ต้นเดือนสิงหาคมแล้ว ข้าวในนาของบางคนที่ปักดำเสร็จก่อนเริ่มตั้งต้นใบเขียวขจี ลมไหวพัดยอดข้าวให้เอนไปตามแรงนั้น ลมที่หอบเอาเมฆฝนดำตั้งเค้ามาทางทิศประจิมในทุกเย็น เมฆก้อนใหญ่ที่บดบังแสงสุดท้ายแห่งวัน แสงสุริยันที่รักและหลงไหลฉายแสงออกมาไม่ได้เพราะเมฆบัง นาของบอทยังเหลืออีกนาหนึ่งใกล้บ้าน แต่ก็อีกไม่นานก็คงเสร็จเพราะเพื่อนบ้านต่างก็มาลงแขกช่วยกันเป็นประจำเพราะด้วยเห็นอกเห็นใจแม่นิ่มที่ตรากตรำทำงานหนักเพียงลำพังเวลาที่บอทเองไปโรงเรียนจะมีเพียงแม่บุญช่วยที่มาขลุกช่วยงานอยู่ งานที่อนามัยก็ไปบ้างแต่ส่วนใหญ่จะมาอยู่ที่นาของแม่นิ่ม เพราะแม่บุญช่วยเคยบอกว่า คนเราเกิดมาต้องช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกัน ในวันข้างหน้าตัวเราเอง เราก็ไม่รู้ลิขิตไม่ได้ เก็บเกี่ยวน้ำใจเพื่อนบ้านเอาไว้ใช้เวลาที่เราอับจน

"เออมึงได้ข่าวอีนกนั่นไหม มันไม่เรียนแล้วนะ"

เดือนเอ่ยขึ้นตอนนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ที่ใต้ต้นมะม่วง

"อ้าวทำไมล่ะ วันก่อนยังเห็นมันอยู่เลย"

กาญจน์ถามด้วยน้ำเสียงสูง

"ก็มันท้องน่ะสิ จับผู้ชายแถวบ้านได้มั้ง เห็นน้องๆมันเม้าท์กัน"

"กูว่าแล้ว เห็นไหมไอ้บอทเกือบซวย"

"อ้าว เกี่ยวไรกะกูวะ กูไม่ได้แลมันซะหน่อย"

"นั่นล่ะ มันหาผู้ชายจับอยู่นะกูว่า ได้ข่าวไอ้ผู้ชายคนนั้นเป็นเด็กเรียนด้วยนะ ไม่รู้ไปพลาดท่าเสียทีมันยังไง"

วงสนทนาก็เปิดประเด็นด้วยเรื่องชู้สาว

"เออมึง ไอ้ต้ากะอีน้อยอ่ะ มึงสังเกตไหมว่าอีน้อยมันดูอวบๆไป กูว่าท้องแหงๆ"

เล็กออกความเห็น

"อย่าไปพูดไปมึง ไม่ดี"

น้ำเองแย้งเอาไว้เพราะยิ่งพูดเหมือนจะยิ่งมัน

"จริงนะมึง วันก่อนกูเดินผ่านแถวบ้านมัน เห็นอ้วกใหญ่เลย แพ้ท้องแน่ๆ"

เดือนสนับสนุนหลักความคิดของเล็ก

"แล้วพ่อแม่อีน้อยไม่ว่าเอาเหรอวะ"

"จะว่าได้ไงอยากได้ลูกเขยครูจนตัวสั่น ไม่อยากจะเมาท์ รู้เห็นเป็นใจน่ะสิ เปิดบ้านให้ไอ้ต้าไปนอนกะลูกสาว ไม่กลัวขี้ปากชาวบ้าน"

ฝนเองก็เมาท์ออกรสออกชาติ กว่าจะแยกย้ายกันไปเรียนได้ก็เผาไปหลายคนเหมือนกัน ช่วงชีวิต ม ๕ ดูเหมือนว่าทุกคนจะตั้งใจเรียนกันมากขึ้น แต่ไม่ใช่หรอกทำท่าเรียนมากกว่า จะเน้นไปทางกิจกรรมต่างๆเสียมากกว่า หลบเรียนเอย ไปเที่ยวตามทาม ฝายน้ำล้นเอย แล้วเวลาหลบเรียนก็หลบกันไปทั้งห้อง เพราะมีกันอยู่แค่ ๒๐ คน เวลากลับมาโรงเรียนก็โดนอาจารย์ฝ่ายปกครองเฆี่ยนกันไปทุกคน

"น้ำที่ยายหน่องบอกน่ะ เราสนใจหรือเปล่า ถ้าสนใจแม่จะได้บอกยายหน่องไป จะได้เตรียมตัวทัน"

แม่บุญช่วยเอ่ยขึ้นในตอนเย็นหลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว น้ำลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทพอได้ยินก็ถึงกับสะอึกหน้าสลดลง

"ไม่อยากไปอ่ะแม่ อยากอยู่ที่นี่ อยากเรียนที่เมืองไทยนี่ล่ะ ไปโน่นไม่รู้จะไปกินอยู่ยังไง"

"เดี๋ยวมันก็ชินเองล่ะ ไปเรียนเมืองนอกจะได้อนาคตดีๆ"

พอถาวรเสริม แต่น้ำเองยังยืนยันคำเดิม

"อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยแม่ น้ำยังไม่อยากคิด เรียนเมืองไทยก็เป็นเจ้าคนนายคนได้เหมือนกันล่ะ"

"ไอ้ลูกคนนี้นี่ หัวรั้นจริง"

"แหมพ่อ ถ้าไปอยู่โน่นก็ต้องไปรบกวนยายหน่อง อีกอย่างพ่อกับแม่ก็ต้องเสียเงินเยอะขึ้น ไหนจะหินต้องเรียนอีกนะ น้ำไม่อยากไปไหนไกลจากพ่อกับแม่น่ะ อย่าให้น้ำต้องไปเลย"

พยายามอ้อนวอน แม่บุญช่วยเองก็นิ่งเงียบไป เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าลูกโตแล้วมีความคิดความอ่านเป็นของตนแล้ว ครั้นจะบังคับให้ทำตามใจตนเหมือนครั้งยังเป็นเด็กก็คงจะยาก อันลูกที่เกิดในอุทรนั้นเลี้ยงให้เติบใหญ่มาได้แต่ตัวเท่านั้นแล สิ่งใดดีสิ่งใดงามก็คอยเติมคอยป้ายให้ ส่วนความคิดความอ่านมันขึ้นอยู่กับตัวของลูกเอง

"อืม งั้นค่อยมาคุยกันใหม่"

แม่บุญช่วยเอ่ยออกมา เอามือแตะแขนผู้เป็นสามีเอาไว้เพราะเห็นสีหน้าของลูกชายแล้วท่าทางจะไม่ยอมง่ายๆ

"เป็นไรน้ำ หน้าตาไม่ดีเลย มีอะไรกับที่บ้านเหรอ"

บอทถามขึ้นตอนที่ออกไปวางเบ็ดเหมือนเคย กิจกรรมที่คล้ายๆกันวนเวียนมาซ้ำกันทุกปี หน้าน้ำมาปลามีก็ออกไปหาปลา หน้าน้ำลดก็เข้าป่าหาของกินในป่า หน้าแล้งก็ไปพึ่งบุญบารมีของธรรมชาติกลางทุ่งนาอันแห้งแล้ง ว่าจะพอมีอะไรเหลือให้พอหล่อเลี้ยงชีวิตไปได้หรือไม่ อันปูนา หอย ปลายังพอมีให้หาได้อยู่ถ้าตราบใดที่เราไม่ตักตวงเอาจากธรรมชาติมากจนเกินไป เกินไปจนมันหมดมันหายไปจากท้องทุ่งนานี้เสีย

"ไม่มีอะไรหรอกบอท ก็เรื่องเรียนต่อนั่นล่ะ เครียดเรื่องเอ็นฯ"

เฉไฉไปไม่อยากให้เพื่อนรักและคนรักในร่างเดียวกันคิดมากไปตามตน

"น้ำเริ่มอ่านหนังสือแล้วเหรอ"

"อืม ก็เปิดๆดูบ้าง"

"น้ำเก่งนี่นะ เราคงไปเรียนแค่รามฯล่ะ เรียนรามฯก็ไม่รู้จะจบหรือเปล่า"

สายตาที่มองต้นข้าวในยามวิกาลนั้นพอจะเดาออกว่าคิดอะไรอยู่

"เราก็ไปอยู่ด้วยกันไงบอท ไม่ว่าบอทจะไปไหน น้ำจะไปด้วยตลอดล่ะ"

บอทหันมายิ้ม คำหวานที่คอยเติมให้กันช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจที่กำลังห่อเหี่ยว เหมือนแสงดาวในคืนเดือนแรมที่คอยส่องนำทางให้กันและกัน

"ขอบใจนะน้ำ เรารักน้ำจังเลย ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งรักมาก"

"ให้จริงเถอะ กลัวว่าบอทจะเบื่อซะก่อนอ่ะดิ"

"ไม่มีทาง น้ำนั่นล่ะจะเบื่อเรา"

คืนที่ไร้ซึ่งแสงระยับพราวของมวลหมู่ดวงดารา มีเพียงแต่เมฆครึ้มดำทะมึนอยู่ แสงวาบแปลบปลาบเป็นสัญญาณให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนห่าใหญ่ก็คงเทลงมา ร่างของเด็กชายวัยรุ่นสองคนกำลังเร่งมือปักเป็ดแล้วเดินวนอีกรอบ เพราะยิ่งฟ้าคะนองมากเท่าไหร่เหมือนจะกระตุ้นให้ปลาออกหาเหยื่อมากเท่านั้น โดยเฉพาะปลาช่อนที่จะคึกกว่าปลาชนิดอื่น

"กลับเถอะบอทฝนลงเม็ดแล้ว"

น้ำร้องบอกบอทที่กำลังปลดปลาช่อนออกจากเบ็ดใส่ในข้อง

"อืม เดี๋ยวคันนี้ก่อน"

พูดยังไม่ทันขาดคำฝนก็เทกระหน่ำลงมา จะวิ่งไปหลบที่ไหนก็ไม่ได้ต้องยืนตากฝนตัวเปียกปอนทั้งสองคน

"หลบที่กระท่อมก่อนน้ำ"

บอทวิ่งนำหน้าตรงไปยังกระท่อมหลังเดิมที่เคยหลบฝน น้ำเองก็วิ่งตาม ภาพเดิมเมื่อปีที่แล้วฉายวนมาอีกรอบ เด็กสองคนที่ลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูโตเป็นหนุ่มขึ้น สภาพทางจิตใจก็เปลี่ยนไป ไม่ได้แอบชอบแอบแอบรักหรือคิดไปเองฝ่ายเดียวเหมือนปีที่แล้ว น้ำเบียดกายเข้าหาบอททันทีไม่มีเอียงอาย

"หนาวเหรอน้ำ"

"อืม เย็นอ่ะ"

"มา เดี๋ยวเรากอด"

ไม่ขัดขืนไม่อายแต่หน้าก็ยังแดงระเรื่อขึ้นมาเพราะลมหายใจอุ่นนั้นมันรดมาที่ใบหน้า กลิ่นของลมหายใจที่สูดเข้าไปเต็มรัก

"น้ำ"

บอทเรียกเสียงกระเส่า แววตาหวานฉ่ำ น้ำเองเงยหน้าขึ้นมองสบตาหวานคู่นั้นไม่หลบสายตา

"หือ"

แค่ครางออกมาเพราะบอททาบริมฝีปากลงกับปากของน้ำที่เผยอออกรอรับแล้ว สายฝนที่สาดเท แสงปลาบที่หักเห เห็นร่างสองเคียงคู่ชัดเจน เสื้อยังคงอยู่ตามเดิมเพียงแต่กางเกงร่นออกจากเอวไปอยู่ที่หน้าขา

"พอเถอะบอท เดี๋ยวฟ้าฝ่า"

น้ำร้องออกมาเพราะสายฟ้าแปลบปลาบน่ากลัวเหลือเกิน

"เราหลบอยู่ในกระท่อมฟ้ามองไม่เห็นหรอกน้ำ"

ค้านไม่ได้ต้านไม่ไหว แรงเสียดทานที่ร่ำร้องอยู่ในใจ โหยหาปรารถนาแรงแห่งใจ มือไม้ป่ายเกาะเรือนร่าง เสียงครางลอดเย้ยเยาะเสียงฟ้านั้น สุขกระสันหรรษาสนใจไม่ แรงอัดแรงกระตุ้นจากภายใน สองร่างไซร้ฤๅจะกลัวเสียงฟ้าครืน ปากบดบี้ขยี้รักให้สมอยาก ยิ่งรักมากยิ่งโถมหาไม่หวั่นไหว ยิ่งร้อนแรงถลาลึกล้ำเข้าในกาย แตกสลายมลายสิ้นทั้งอินทรีย์

"อายผีสางนางไม้ว่ะบอท"

น้ำพูดอายๆหลังจากดึงกางเกงขึ้นใส่เหมือนเดิม ส่วนบอทเองก็หัวเราะชอบใจอยู่

"เอาน่า ผีสางท่านเข้าใจ คนรักกันนี่นา ทำไงได้มันอดใจไม่ได้นี่"

"กลับเถอะ รอคงสว่างพอดี"

น้ำไม่ยอมมองหน้าบอทเพราะอาย แม้จะชินที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ไม่ชินกับการทำอะไรแบบนี้นอกสถานที่ ละอายแก่ใจลึกๆข้างใน

เสนห์ของวสันตฤดูคือเสียงของสายฝนกระทบหลังคา อีกทั้งแสงวูบวาบแปลบปลาบนั้นก็งามจับใจ แสงแฟลชที่ไม่มีกล้องหรือแสงไฟใดในโลกจะสวยงามเท่า ยังมีความเย็นสบายที่ไม่ถึงกับหนาว เย็นแค่พอให้ร่างได้เบียดเข้าหาร่างของคนที่รัก แต่ดวงดารานั้นดูเหมือนจะหม่นหมองไปเสียสิ้นเพราะไม่ได้ฉายแสงแวววาวให้ชื่นชมเท่าใดนักเหมือนมันโดนบดบังรัศมีไปด้วยม่านชั้นหมู่เมฆา

กิจกรรมต่างๆผ่านไปเช่นเคย ทั้งการเรียน งานบ้านทุกอย่างยังวนเวียนทำอยู่เหมือนเดิม ไปโรงเรียนด้วยกัน กลับบ้านด้วยกัน นอนด้วยกัน ตัวติดกันเกือบ ๒๔ ชั่วโมง มนุษย์เราความทรงจำในวัยเด็กมันติดตรึงตราเหนียวแน่นกว่าทุกวัย คราใดที่เราระลึกย้อนกลับไปหวนคิดถึงความหลัง ภาพเหล่านั้นแม้จะลางเลือนแต่ก็นับว่ายังติดอยู่ในความทรงจำ แต่กระนั้นโดยส่วนตัวคิดว่าความทรงจำในวัยรุ่นยิ่งเฉพาะตอนเรียนมัธยมปลาย มันเป็นช่วงเวลาที่ความจำหรือสมองทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องหัวใจ

"นี่พวกเรา ปลายปีหลังสอบเสร็จไปเที่ยวกันไหม ไปทั้งหมดห้องเรานี่ล่ะ"

เล็กเสนอความคิดขึ้นเมื่อตอนคาบแนะแนวรวมกลุ่มกันอยู่แปลงเกษตร คาบแนะแนวแต่ให้ปลูกผักบุ้ง ผักบุ้งที่ปลูกไม่โตสักทีเพราะไม่ได้รับการเอาใจใส่ที่ดี

"เออดีเหมือนกัน ไปไหนดีแก"

เดือนเองก็เห็นดีด้วย

"ไปที่สวยๆน่ะ อุบลไหม"

"ต๊าย ไปดูผาแต้มนั่นน่ะเหรอ ไม่เอาย่ะไม่ระทึก"

เอ๋ สะดีดสะดิ้งจีบปากจีบคอพูดเหมือนเคย

"ไปผามออีแดงไหมล่ะมึง ไปส่องใกล้ๆกูจะได้ถีบตกผา จะได้เปลี่ยนชื่อซะที เป็นผามออีเอ๋"

"ว้าย บอทใจร้าย กล้าทำกับคนสวยแบบนี้เหรอ"

"สวยน้อยน่ะสิ กูว่าไปภูกระดึงไหมมึง เห็นมีคนบอกว่าสวย ไปค้างสักคืน"

"เออ ดีๆ อยากไปเหมือนกัน"

หัวข้อสนทนาก็เป็นการตกลงกันว่าจะไปเที่ยวภูกระดึง จัดทริปยังไง ไปรถใคร ไปกันกี่คน คนละเท่าไหร่ มีการวางแผนไว้เรียบร้อย ฝนกับเดือนจะเป็นธุระให้เรื่องรถตู้ ส่วนค่าใช้จ่ายก็รอถามค่ารถว่าเขาจะเรียกเท่าไหร่แล้วค่อยมาตกลงกันอีกที ทั้งที่มันเพิ่งจะกลางเดือนสิงหาคมผ่านวันแม่มาไม่นาน แต่ทริปที่ว่ามันคือหลังเดือนมกราคม

"เราไม่รู้จะได้ไปหรือเปล่านะน้ำ"

บอทเอ่ยขึ้นตอนเดินกลับจากโรงเรียน

"ทำไมล่ะบอท น้ำไปบอทก็ต้องไปดิ เราจะห่างกันได้ไง"

"อืม กลัวแม่บ่นอ่ะ ยิ่งหาว่าใช้เงินเปลืองอยู่ด้วย"

"ไม่ต้องห่วงหรอกบอทเรื่องแม่นิ่มอ่ะ เดี๋ยวน้ำช่วยออกค่ารถ"

"ไม่ดีหรอกน้ำ เรารบกวนน้ำทุกเรื่องเลย เกรงใจ"

"บอท น้ำเป็นใครล่ะ น้ำสำคัญกับบอทไหม"

เสียงเข้มขึ้นจ้องมองเอาคำตอบ

"น้ำเป็นแฟนเราไง สำคัญสำหรับเรามากด้วย"

"ถ้าน้ำสำคัญ บอทจะมาเกรงใจอะไรน้ำล่ะ ในเมื่อเราแบ่งปันกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ล่ะน้ำไปไหนบอทต้องไปด้วย ไม่มีข้อแม้"

ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา บอทเองทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะยิ้มดีใจหรือหนักใจดี

"คร้าบ คุณแฟน"

แต่ก่อนที่จะผ่านปีนี้ไปได้ก็อีกตั้งนานแสนนาน นานพอที่จะทำให้เรื่องการไปเที่ยวภูกระดึงซาลงไปมากจนเกือบลืมไปเลยว่ามีทริปจะไปเที่ยวกัน เพราะกิจกรรมต่างๆที่ร่วมทำกับโรงเรียนมันมีมากมายนัก อย่างกีฬาสีอาจารย์ก็มอบหมายใหเป็นคนจัดการทุกอย่าง ทั้งที่มีรุ่นพี่ ม ๖ อยู่แต่อาจารย์ก็ไม่ได้สนใจ บางทีนึกขึ้นมาก็เกรงใจรุ่นพี่เหมือนกันเหมือนว่าข้ามหน้าข้ามตากันไป แต่ตอนนั้นทำทุกอย่างเพื่อให้ชั้นเรียนของตัวเองเด่นขึ้นมาเพื่อลบคำครหาของใครหลายคน รอยยิ้มเยาะนั้นมันเป็นแรงผลักดันให้ทำและกิจกรรมทุกอย่างก็ออกมาได้ด้วยดี มีเสียงชมมากกว่าเสียงติ กีฬาสีก็จัดการทำกองเชียร์ขึ้นมา ลงทุนออกเงินกันไปจ้างเครื่องเสียงมาเปิดในงานทั้งสามวันทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่งตัวกันไม่มีอาย รุ่นน้องเองก็ชอบใจเพราะกีฬาสีแต่ละปีต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไม่รวมกลุ่มกันแต่ ปีนี้พิเศษหน่อยนักเรียนจึงอยากมาเชียร์กีฬากันมากเป็นพิเศษ

"น้ำมึงดูบาสหน่อยสิ สีแสดจะแพ้แล้วเดี๋ยวกูเชียร์ไอ้บอทเอง"

เล็กบอกหลังจากวิ่งกระหืดกระหอบมาจากสนามบาสฯ น้ำเองก็กำลังเชียร์บอทที่กำลังแข่งตระกร้ออยู่ โรงเรียนนี้มีเพียง ๔ สี สี ม่วง ฟ้า ชมพู แสด ห้อง ม ๕ อยู่สีม่วงกัน ๕ คน ที่เหลืออยู่สีแสดหมดไม่รู้ว่าแบ่งสีกันยังไง อีกอย่างพวกที่อยู่สีม่วงก็ไม่ไปประจำสีของตนมาขลุกอยู่แต่กับสีแสด

"น้องมันสู้พี่ ม ๖ ไม่ได้หรอกมึงไปเชียร์มันหน่อย"

"ไปเดือน ฝากด้วยนะเล็ก บอทมันชนะอยู่แล้วล่ะแต่ไม่อยากให้ไม่มีกองเชียร์"

น้ำบอกแล้วหอบอุปกรณ์การเชียร์ตรงไปยังสนามบาสฯ พอไปถึงก็ส่งเสียงให้กำลังใจน้องๆที่กำลังแข่งบาสฯกับรุ่นพี่อยู่ แม้จะไม่ชนะแต่กองเชียร์กินขาด กีฬาสีจบไปอย่างราบรื่นได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ดูเหมือนรุ่นน้องจะจำรุ่นพี่รุ่นนี้ได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆเพราะเป็นนักกิจกรรมตัวยง ปัจจุบันเวลาเจอหน้ากันรุ่นน้องก็จะเข้ามาทักทาย ตัวเราเองที่ทำหน้าเหรอหราไม่รู้จักรุ่นน้องเอง

"แป๊บเดียวเองนะพวกเราก็อยู่ ม ๕ แล้ว แป๊บๆจะสอบอีกแล้ว อีกแค่ปีเดียวก็จะจบแล้วว่ะ เฮ้อ"

กาญจน์เอ่ยขึ้นหลังจากงานกีฬาสีจบลง มานั่งรวมกันกับพื้นสนามบอลรอให้คนมารับเครื่องเสียงคืน

"นั่นสิ พอจบก็ต้องแยกกันไปเนอะ คงคิดถึงพวกมึงมากเลย"

ฝนทำหน้าซึ้ง ต่างมองหน้ากัน

"เว้ย มาซึ้งอะไรกันตอนนี้วะ เพิ่งจะอยู่ ม ๕ พวก ม ๖ กูไม่เห็นพวกมันซึ้งแบบนี้เลย"

เล็กร้องขึ้นไม่อยากเห็นใครทำหน้าสลดใส่

"ก็พวกมันไม่เหมือนเรานี่มึง"

"ใช่ ไม่มีใครเหมือนห้องเราหรอก"

สรุปก็ไม่ได้ซึ้งอะไรกันมากเปิดเพลงรอคนมารับเครื่องเสียงคืน แล้วก็พากันเต้นอย่างสนุกสนาน ตะวันรอนลงต่ำจะลับขอบฟ้าอยู่แล้ว วันนี้ท้องฟ้าโปร่งกลิ่นดินกลิ่นหญ้ายังตลบอบอวลอยู่ทั่วบริเวณ แสงสุดท้ายของวันสาดสีแดงส้มทาบไปทั่วทั้งบริเวณ เงาของร่างกลุ่มคน ๒๐ คนกำลังเต้นกันอย่างสนุกสนานข้างๆสนามฟุตบอล ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยว ขอมีเวลาส่วนตัวกับเพื่อนที่รัก เป็นภาพแห่งความทรงจำที่งดงามเหลือคณา เวลาเหงา เวลาท้อ หลับตาลงครั้งใดคิดหวนกลับคืนไป ก็ระบายรอยยิ้มออกมาได้ทุกครั้งไปมันเป็นเหมือนขุมแห่งพลังใจที่ดึงมาใช้ได้อย่างไม่มีวันหมดสิ้น ขอบคุณเพื่อนๆทุกคน ขอบคุณกลิ่นดินกลิ่นหญ้าเหล่านั้นที่ยังจำได้อย่างแม่นยำ ขอบคุณวันคืนเก่าๆที่มีเรา ที่เรารักกัน ไม่เคยคิดว่าจะลืม ภาพเหล่านั้นมันไม่ได้ติดอยู่ที่สมองส่วนความจำแต่มันติดอยู่ที่ใจ ติดอยู่แน่นหนาเหลือเกิน ขอบคุณจริงๆ

วิสัชนา เพราะดอกไม้นั้นมันมีค่าทางใจ ท่าที่หาอะไรมาทดแทนไม่ได้นั่งไง

เขียนโดย อิ๊กกี้

ปล เริ่มหนืดแล้วใช่ไหมครับ ผมเองก็เรียบเรียงไม่ถูกเหมือนกัน ฮ่าๆๆ พยายามเปิดไดอารี่ออกอ่าน แต่รู้สึกช่วงนี้จะเพ้อถึงคนที่แอบชอบอยู่ เรื่องเด่นๆเขียนไว้ไม่เยอะเท่าไหร่นัก ดีนะที่ยังมีคนคบพอให้ได้โทรศัพท์ไปถาม อิอิ คาดว่าน่าจะไม่เกินสามตอนนะครับ เราจะจัดไปตามคำขอ ไวไวช้างน้อยอ่ะ อิอิ

ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับ อ่านเรื่องนี้เครียดก็ ข้ามไปหาน้องญี่ปุ่นน้า แล้วค่อยกลับมาอ่านใหม่ เขียนเรื่องนั้นไว้กันเรื่องหนักๆนี่ล่ะครับจุดประสงค์หลัก อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 21-10-2010 18:00:19
จิ้มก่อนค่ำๆมาอ่านนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๘ (ตุลาคม ๒๐, ๒๕๕๓) หน้า ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 21-10-2010 18:01:43
ใกล้ถึงจุดหักเหของเรื่องแล้วเหรอ อยากรู้จัง ใครจะเป็นคนเปลี่ยนก่อนนะ

เจอคำผิดอีกคำค่ะ ละแวก ค่ะ ไม่ใช่ ระแวก

ยังไม่เบื่อหรอกค่ะ อ่านเรื่องเล่าความหลังน่ะสุขใจดีออก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 21-10-2010 18:15:01
ใกล้ถึงจุดหักเหของเรื่องแล้วเหรอ อยากรู้จัง ใครจะเป็นคนเปลี่ยนก่อนนะ

เจอคำผิดอีกคำค่ะ ละแวก ค่ะ ไม่ใช่ ระแวก

ยังไม่เบื่อหรอกค่ะ อ่านเรื่องเล่าความหลังน่ะสุขใจดีออก


พี่แก้ว อ่า เค้าหามะเจออ่า มันอยู่ตรงหนายชอบจริงๆเขียนผิด อิอิ เขินจังเนะ แต่ดีใจจริงๆมีคนมาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ อิอิ ขอบคุณคร้าบ เดี๋ยวรอน้องมิมาเขียนเส้นให้แดงเถือก อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 21-10-2010 19:20:47
นึกว่าวันนี้คุณอิ๊กกี้ไม่มาต่อเสียแล้ว

จะเข้าสู่ห้วงแห่งความเศร้าแล้วหรอคะ แสดงว่าเรื่องจะก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว น่าติดตามค่ะ อยากรู้ค่ะว่าใครเปลี่ยนกันแน่ เพราะต่างคนต่างก็บอกว่าไม่เปลี่ยนใจ
คุณอิ๊กกี้ขาฉากอัศจรรย์แบบมีสัมผัสก็สวยดีนะคะ แต่บางทีก็...แบบว่า...อยากอ่านแบบที่เร่าร้อนเหมือนภูมิบุญกับโตโต้อีกอะค่ะ :o8: เอาเป็นว่าตามแต่บรรยากาศในเรื่องกับอารมณ์ตัวละครจะพาไปแล้วกันนะคะ


เดี๋ยวรอน้องมิมาเขียนเส้นให้แดงเถือก อิอิ

แหม ไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้น ตอนนี้นอกจากละแวกของพี่แก้วแล้วก็
สุริยันต์ คำนี้ไม่ต้องมี ต์ นะคะ สุริยัน เฉยๆ ส่วน ยันต์ หมายถึง ผ้ายันต์ ลงยันต์  พวกนั้น
อ๊วก คำนี้เป็นเสียงโท พยัญชนะต้นเป็นอักษรกลาง สามารถประสมรูปวรรณยุกต์ได้ทั้งสี่รูปนะคะ ดันนั้นออกเสียงโทก็ใส่รูปวรรณยุกต์โทไปได้เลยค่ะเป็น อ้วก  นะคะ
กระสันต์ คำนี้ไม่ต้องมี ต์ นะคะ กระสัน เฉยๆ เพราะ สันต์ แปลว่าสงบ แต่ กระสัน แปลว่า  คนึง คิดผูกพันอยู่ มีจิตใจจดจ่ออยู่  เป็นคนละคำกันนะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 21-10-2010 19:22:57
เห้อ รอวันรับประทานมาม่า หวังว่าคงไม่หนักจนเกินไป ช่วงนี้แทบทุกเรื่องมาม่าทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 21-10-2010 19:23:42
พี่อิ๊กจะจัดหนักแล้วเหรอ
ไม่ปล่อยให้มันสบายๆไปอย่างนี้ก่อนเหรอครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 21-10-2010 19:32:00
 :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 21-10-2010 21:10:11
สองคนนี้เค้าน่ารักน๊า...เค้ารักกันน๊าา..

จะจัดมาม่าแล้วเหรอ eiky.... กลัวเศร้าอ่าาา
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 21-10-2010 21:30:20
เหมือนจะได้กลิ่นมาม่าโชยมา :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 21-10-2010 21:57:23
ใกล้ถึงจุดหักเหของเรื่องแล้วเหรอ อยากรู้จัง ใครจะเป็นคนเปลี่ยนก่อนนะ

เจอคำผิดอีกคำค่ะ ละแวก ค่ะ ไม่ใช่ ระแวก

ยังไม่เบื่อหรอกค่ะ อ่านเรื่องเล่าความหลังน่ะสุขใจดีออก


พี่แก้ว อ่า เค้าหามะเจออ่า มันอยู่ตรงหนายชอบจริงๆเขียนผิด อิอิ เขินจังเนะ แต่ดีใจจริงๆมีคนมาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ อิอิ ขอบคุณคร้าบ เดี๋ยวรอน้องมิมาเขียนเส้นให้แดงเถือก อิอิ

อยู่ตรงนี้จ้ะ...
".... บั้งไฟที่มาแข่งขันไม่ได้มีเฉพาะแต่บั้งไฟของบ้านตัวเองเท่านั้น หมู่บ้านใน ระแวก ใกล้เคียงหรืออำเภอที่ทำบั้งไฟล่ารางวัลก็แห่มาร่วมแข่งขัน มีพิธีกรภาคสนามคอยพูดนั่นพูดนี่ให้บรรยากาศแลดูอึกทึกครึกโครมไปอีกเท่าตัว..."

เขินทามมาย ถ้าไม่รักกันจริงไม่ชี้แนะ หรือเติมเต็มให้กันหรอกจ้ะ พี่ยังชอบแอบน้องมิ แล้วก็แอบชื่นชมน้องเค้าเลย ที่ช่วยแก้คำผิดให้ไรเตอร์หลายๆคน น้องเค้าเนี่ยยอดเยี่ยมจริงๆ
ความเผลอไผลเป็นกันได้ทุกคนจ้ะ









หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 21-10-2010 23:50:31
แล้วจะเตรียมกะละมังมารอรับมาม่าต้มยำน้ำข้นคลั่กนะคุณอิ๊ก  o18

มามะขอ :กอด1:ทีนึง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 22-10-2010 00:42:15
ตอนนี้มี Outdoor ด้วยยย  :m3: :z1:


เพียวอยู่กำแพงเพชรคับ พี่อิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 22-10-2010 12:10:51
เอ่อ

ที่กลัวชักกลัวน้ำแฮะ

มาม่าจะมาแล้วหรอ

ไม่ไหวน๊า  แต่ก็จะอ่านะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 22-10-2010 12:37:38
อ่านแล้ว....ประทับใจในความรักและผูกพันของเหล่าเพื่อน ๆ ทั้งหลาย
เป็นเด็กกิจกรรมเต็มตัวเลยนะเนี่ย....เสียดายไม่มีผู้ใหญ่สนับสนุนนิ....
ค่อย ๆ ใกล้วาระที่ต้องจากลาแล้วซิ....แล้ว...น้ำไปไหนบอทต้องไปด้วยน่ะ
มันจะคงอยู่ไปได้นานแค่ไหน......ตามติดและติดตามด้วยใจจรดจ่อนะ :impress:

 :กอด1: น้องน้ำ กะ น้อง eiky  :L2:
กด + ให้กำลังใจจ้า......
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 22-10-2010 20:03:00
คืนนี้มาต่อไหมคะคุณอิ๊กกี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 22-10-2010 20:18:24
คืนนี้มาต่อไหมคะคุณอิ๊กกี้  :กอด1:

น้องมิ พี่อิ๊กเป็นหวัดอ่ะครับ ขอลาหยุดสักสองวันน้า หัวมันตื้อๆ น้ำมูกไหลตลอดเลยอ่า

จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 22-10-2010 21:24:34

น้องมิ พี่อิ๊กเป็นหวัดอ่ะครับ ขอลาหยุดสักสองวันน้า หัวมันตื้อๆ น้ำมูกไหลตลอดเลยอ่า

จุ๊บๆๆ


ไม่เป็นไรนะคะ ยังไงพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ หายไวๆ นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 23-10-2010 00:03:03
คุณอิคเค้ากลัวแบบความแตกแล้วโดนพ่อแม่จับแยกเพราะอายคนในหมู่บ้านไรแบบเนี้ยอ่ะ
ยิ่งถ้ารักกันมากๆแบบนี้กลัวคิดสั้นกันด้วยอ่ะ จากเป็นแบบนี้ไม่ชอบเลย

p.s ทู้คุณอิคเม้นโคตรยากเลย :serius2:บางทีที่ไม่ได้เม้นก็เพราะมันเม้นไม่ได้อ่ะ
p.s เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยรอคุณอิคจัดทริปบุญบั้งไฟ : 222222:
p.s กินยากับพักผ่อนเยอะนะ :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 23-10-2010 00:42:00
คุณอิ๊กพักผ่อนเยอะๆนะ ไม่ต้องรีบมา คนอ่านรออ่านได้  ไม่ได้หนีหายไปไหน :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๑๙ (ตุลาคม ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 23-10-2010 08:34:37
บทที่ ๒๐

ปุจฉา โบราณท่านว่ารู้หน้าไม่รู้ใจใช่จริงหรือ

ดอกพยอมหอมกรุ่นดอกสีขาว บานร่วงพราวเต็มพื้นเหมือนสวนสวรรค์ กลิ่นหอมไกลลอยละล่องถึงฝั่งนั้น ต้นเหมันต์พฤกษาบานในใจแสนงดงาม ดอกพยอมที่บานสะพรั่งอยู่เต็มบริเวณหลังโรงเรียนนั้นส่งกลิ่นหอมเย็นลอยมากับลม เปิดหน้าต่างรับลมที่หอบเอากลิ่นนี้มามันทำให้สดชื่นได้เหมือนกัน ยิ่งเวลาเรียนวิชาที่เราไม่ชอบหรือยาก ทำท่าสนใจแต่มองออกไปมองต้นพยอมที่อยู่ข้างๆอาคารเรียนมันช่างน่ามองกว่าการเรียนเสียนี่กระไร วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนจะเลื่อนเป็นปี ตอนเรียนชั้น ม ๕ ไม่ได้คิดอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องอนาคต สนุกไปวันๆ เวลาเรียนก็แอบทำนั่นทำนี่กันตลอดเวลา ทั้งเล่นไพ่ใต้โต๊ะ ดูหนังสือโป๊ เขียนด่าอาจารย์สอนฟิสิกส์ ลอกการบ้าน นินทาชาวบ้านด้วยการทำท่าจดในสมุดแต่เนื้อความคือการนินทาทั้งนั้น สรุปไม่มีเรื่องไหนจำเริญหูจำเริญตาสักเรื่อง แต่กระนั้นชีวิตช่วงนั้นเวลานั้นมันช่างมีความสุขเสียจริง ในแต่ละวันไม่ต้องคิดอะไรมากมายนัก พอเวลาไปเรียนก็เล่นอยู่แต่กับเพื่อนๆ เวลากลับบ้านมาก็รีบทำงานบ้านให้เสร็จ

สำหรับน้ำเองเริ่มที่จะเขียนบทความ ร่างโครงเรื่องเอาไว้เรื่อยๆ ความคิดในช่วงเวลานั้นมันช่างแล่นได้ดีจริงๆ เวลาเขียนคือเวลาก่อนนอนโดยมีบอทนั่งๆนอนๆอยู่ข้างๆไม่ห่างไปไหนไกล อ่านหนังสือเตรียมสอบบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนต่อที่รามฯ พอมีเวลาว่างค่อยไปลงเรียนวิธีเลี้ยงกล้วยไม้ คิดเอาไว้อย่างนั้นตั้งความฝันเอาไว้อย่างนั้น

"น้ำ วันเกิดน้ำปีนี้บอทไม่มีอะไรพิเศษให้น้ำนะ"

เหมือนตื่นจากฝัน นี่มันหน้าหนาวอีกแล้วหรือ รวดเร็วยิ่งนัก อีกไม่กี่วันน้ำก็จะมีอายุครบ ๑๗ ปี ลมหนาวที่พัดผ่านมาไม่ได้ทำให้ใจสั่นไหวไปได้เลย มีเพียงกายที่หนาวสั่นแต่กระนั้นก็มีร่างของคนรักยืนอยู่เบื้องหน้าพอให้ได้เบียดกายเข้าหาเมื่อรู้สึกหนาว

"น้ำไม่ได้อยากได้อะไรนี่บอท แค่บอทรักน้ำอย่างนี้ก็พอ"

"บอทรักน้ำอยู่แล้ว รักมาก"

บอทยื่นกำดอกกระดุมเงินกำใหญ่ให้น้ำ เนินดินตรงหัวนาของน้ำนั้นมีลานดอกกระดุมเงินขึ้นอยู่เต็มละลานตาไปหมด สีขาวอมเทาดอกกลมๆปูเหมือนพรมคลุมทั่วทั้งบริเวณ อากาศที่อบอวลไปด้วยความหนาวเย็น แดดที่อุ่นไม่ร้อนมากทำให้น้ำโผเข้ากอดร่างของบอท

"ขอบคุณนะบอท ขอบคุณที่รักน้ำมาตลอด น้ำก็รักบอทนะรักมาก"

ตื้นตันใจ ปลาบปลื้มยินดีเหลือเกิน ได้ยินกี่ครั้งได้ฟังกี่หนก็ไม่เคยเบื่อ ยิ่งได้ยินได้ฟังยิ่งสะสมเข้าไปไว้ในใจ ลมหนาวพัดมาปะทะร่างแต่ความหนาวนั้นมันเหมือนจะลามเลียอยู่แค่ร่างกายภายนอก มันเข้าไปไม่ถึงใจ ใจที่อุ่นไปด้วยไอแห่งรัก

เดือนธันวาคมลมหนาวพัดถาโถมโหมกระหน่ำ ความชื้นความชุ่มฉ่ำเหมือนเลือนหาย ลมแรงพัดไอน้ำคลุ้งกระจาย คลื่นซัดทรายขอบห้วยตลิ่งพัง กลางคืนเย็นหนาวเหน็บด้วยน้ำค้าง ตอนรุ่งสางเปียกแฉะชื้นที่พื้นนั่น มีสองร่างก่ายกอดเบียดเสียดกัน สิบเหมันต์ ร้อยคิมหันต์ ก็ไม่กลัว

"เรารักน้ำนะ รักมาก"

"น้ำก็รักบอทนะ รักมาก"

มกราฟ้าเปิดเมฆสดใส เป็นปุยใยโปร่งแสงแสนสำราญ ยิ่งมองฟ้านอนดูดาวกอดผสาน แสนเนิ่นนานนับดาวที่รายเรียง ดอกตะแบก ดอกจำปา ดอกโสน บานแย้มโผล่รับขวัญวันปีใหม่ รุ่งอรุณแสนงามเบิกฟ้าใส เริ่มปีใหม่ด้วยใจที่เบิกบาน

"น้ำรู้ไหม ว่ายิ่งเราโตขึ้น ความคิดบางอย่างก็เปลี่ยนไปนะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่เล็กจนโต คือความรักที่มีให้น้ำ ไม่รู้ว่าเราบอกน้ำไปกี่ครั้งแล้ว แต่อยากให้น้ำรู้ไว้นะ ว่าเรารักน้ำ น้ำคือดวงใจของเรา"

เดือนแห่งรักศฤงคารย่างเข้ามา กุมภาพ้นกุมภาพันรักผูกแน่น ผ่านร้อนฝนทนหนาวกี่สิบแล้ง ใจที่รักยังคงแกร่งไม่อ่อนตาม รักเจ้าเหลือรักเจ้าล้มเต็มดวงจิต ยิ่งพินิจยิ่งผูกพันเกี่ยวดวงกานต์ วันคืนพ้นเดือนล่วงเลยปีพ้นผ่าน ให้คืนวานถนอมรักไว้ดูแลกัน

"เย็นนี้ไปรวมตัวกันที่บ้านไอ้น้ำนะพวกมึง เตรียมเสื้อหนาวไปเยอะๆล่ะ กูได้ข่าวว่าที่ภูกระดึงหนาวมาก ๑๐ องศาได้มั๊ง"

เล็กประกาศบอกเพื่อนในห้องสำหรับคนที่จะไปเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน มีทั้งหมด ๑๒ คน ไปจ้างรถตู้ครูหมูจากโรงเรียนประถมที่อยู่บ้านเดียวกับเดือน ครูหมูคิดค่ารถสามพันบาทไปกลับและค้างหนึ่งคืน นับว่าเป็นค่าจ้างที่ไม่แพงเกินไปสำหรับเด็กมัธยมปลายที่หาเงินเองยังไม่เป็น เฉลี่ยค่าใช้จ่ายแล้วตกคนละประมาณ ๕๐๐ บาทรวมค่าเสบียงที่เตรียมกันไปด้วย

"กี๋โมงนะมึง"

ไก่ถามขึ้นเดินรวมกลุ่มกันออกมาจากโรงเรียน หลบแดดตามร่มเงาของต้นอโศกที่รายเรียงทอดเงายาวทาบไปตามพื้น

"รถออกตีสองมึง กูว่าคืนนี้กูจะมานอนบ้านได้น้ำเลย"

"เออดีเหมือนกัน กูว่านอนบ้านกูคงยาวว่ะมึง"

"กูว่าพวกเราไปรวมตัวกันตั้งแต่คืนนี้ดีกว่า จะได้ไม่มีใครพลาด ไปเล่นไพ่กัน"

เอ๋เสนอความคิด เพื่อนๆทุกคนก็เห็นด้วย สรุปไปรวมตัวกันที่บ้านน้ำตั้งแต่ตอนค่ำ เสร็จจากงานบ้านของแต่ละคนก็ทยอยกันไป เตรียมพร้อมกันอยู่หน้าบ้านของน้ำ

"โอ้โห อีเอ๋ ไปภูกระดึงนะมึงไม่ได้ไปไซบีเรีย อีนี่ดูมันแต่งตัว"

เล็กร้องออกมาเมื่อเห็นเอ๋ย่างกรายลงจากรถของไก่ ทั้งเสื้อกันหนาวสองสามตัวเอย ผ้าพันคอที่ออกจะโอเวอร์ไปหน่อย หมวกไหมพรมถุงมือรองเท้า กระเป๋าใบใหญ่ สีสันไม่ยอมแพ้ใครเลยจริงๆ

"แหมมึง ก็มีบ้างนานๆที เออ กล้องน่ะ เอาไปกี่อันยะ"

"ของกูอันนึง ของไอ้ติ๊กอันนึง"

"นี่อีฝน ลิปมันแกน่ะสีสวยได้แค่นี้เหรอ"

หันไปแว้ดใส่เพื่อน

"ทำไมยะ ใครจะไปเอาสีแปร๋นเหมือนแกล่ะ อีบ้าเดี๋ยวช้างก็ไล่เหยียบเอาพอดี"

จิกกัดกันอยู่ไม่มีใครยอมใคร พอเริ่มดึกบริเวณนั้นก็เงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใด เว้นแต่เสียงของลมที่ตีใบกล้วยอยู่ดังอื้ออึง ทุกคนนั่งสงบนิ่งเพราะบางคนก็หลับไปน้ำเอาผ้าห่มขี้งามาให้เพื่อนๆห่มกันหนาวกัน จุดกองไฟจี่ข้าวกัน คนที่ยังไม่ง่วงก็นั่งคุยกันอยู่เบาๆ

"รถมาแล้วมึง ลุกๆ"

ติ๊กร้องบอกเพื่อนๆให้ตื่นเพราะรถของครูหมูสาดไฟมาแต่ไกล พอตื่นกันก็เข้าไปทักทายครูหมู ส่วนแม่บุญช่วยลงมาส่งเด็กๆขึ้นรถ ตอนแรกก็คิดอยู่นานกว่าจะยอมอนุญาตให้ไปเพราะยังเด็กนักที่จะไปเที่ยวเตร่ห่างหูห่างตาแบบนั้น แต่น้ำเองบอกว่ารถของคนที่พาไปคือครูหมูซึ่งรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี แม่บุญช่วยกับแม่นิ่มถึงสบายใจ เด็กๆมาลาแม่บุญช่วยกันทุกคนแล้วค่อยขึ้นรถนั่งเบียดกันพอให้หายหนาวได้บ้าง

"นานไหมคะครูหมูกว่าจะไปถึงเมืองเลยน่ะ"

กาญจน์ยื่นหน้าไปถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากที่

"หกโมงเช้าน่าจะถึง"

"พอดีล่ะ จะได้แวะกินข้าวก่อนขึ้น เขาบอกทางขึ้นทรหดมากนะมึง"

กรุงเอ่ยมาจากหลังรถ

"ถ้างั้นกูว่าแวะซื้ออะไรตอดไปตามทางดีกว่าไหมมึง ถึงแล้วจะได้ขึ้นเลย จะได้ไม่เสียเวลา"

เดือนเสนอความคิดเพื่อนๆก็เห็นตาม สรุปซื้อไก่ย่างข้าวเหนียว ข้าวหลาม ขนมตามรายทางที่เขาขายกินกันอยู่บนรถ คุยกันไปตลอดทาง เอ๋เองเป็นคนสร้างสีสันให้บรรยากาศภายในรถไม่เงียบเหงา เสียงหัวเราะดังไปตลอดทาง ไปถึงภูกระดึงเกือบเจ็ดโมง แต่อากาศบริเวณนั้นยังหนาวเหน็บอยู่ ครูหมูบอกจะรออยู่ตรงที่จอดรถ อาจจะไปนอนในเมืองนัดแนะเวลากันเป็นที่เรียบร้อยก็ไปจ่ายค่าเข้าวนอุทยานภูกระดึง มองขึ้นไปบนทางขึ้นแทบจะถอดใจลาดชันสูงขึ้นจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนปีนขึ้นไปบนยอดของมันได้ แต่ด้วยความเป็นเด็กวัยรุ่น ไม่มีใครย่อท้อเลยต่างกระดี๊กระด๊ากันใหญ่ แต่มันก็เป็นอารมณ์นั้นอยู่แค่เพียงช่วงซำแรกๆ ซำหรือด่านถ้าเข้าใจไม่ผิด คือระยะทางที่ปีนขึ้นมาจนมาถึงที่พักเป็นลานเตี้ยๆ พอได้สักสามซำก็พากันลิ้นห้อยแล้ว แหงนมองทางขึ้นเบื้องหน้าแทบจะหงายหลัง สูงชันมาก มีผู้คนที่ปีนป่ายตามกันขึ้นไปมากหน้าหลายตาเหนื่อยก็กอดต้นไม้ที่เย็นยะเยือกเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้า ให้ความเย็นของต้นไม้มันถ่ายความสดชื่นให้ร่างกาย เป้ที่สะพายบนบ่าก็เริ่มที่จะหนัก เริ่มมีเสียงบ่นรายทางดังเล็ดลอดมา ยิ่งใกล้ถึงยอดยิ่งเหนื่อยเหงื่อไม่ออกแต่หิวน้ำ พอกินน้ำก็ปวดปัสสาวะแต่เดินไปเดินมาก็หายเพราะพอขึ้นสูงขึ้นเริ่มรู้สึกว่ามีเหงื่อออกมาตามร่างกาย ปีนไปบ่นไปจนถึงยอดเขา พอถึงยอดของภูกระดึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามันเหมือนหายไปเป็นปลิดทิ้ง ยอดภูเขาตัดปลายที่พอขึ้นไปเหยียบ มันเหมือนทุ่งกว้างๆดีๆนี่เอง แดดทอแสงแรงแต่เย็นสบาย ทุ่งหญ้าสีแดงๆส้มๆสะท้อนไอแดดระยับอยู่ฟากโน้น มองไปเห็นหุบเขาลดหลั่นเป็นชั้นๆสวยงามจับใจ

"โห มึงสวยมาก"

ทุอานออกมาเกือบพร้อมกันเพราะภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้ามันวิจิตรนักราวกับภาพวาดของจิตกรเอกก็ไม่ปาน แลไปฝั่งโน้นเห็นต้นไม้บ้านเรือนคนเป็นหย่อมเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม นี่เราอยู่สูงจากพื้นดินธรรมดามากขนาดนี้เชียวหรือ มองไปอีกฝั่งเป็นเทือกเขาเพชรบูรณ์ที่สีเขียวเข้มมืดครึ้มอยู่แซมอยู่ด้วยใบเมเปิ้ลสีเหลืองแดงให้เทือกเขานั้นมีเสน่ห์น่ามองยิ่งขึ้น คงจะได้เห็นใบไม้สีสวยก็คราวนี้เองเพราะเคยเห็นแต่ในหนังสือในห้องสมุด พอเดินตามกันไปจนถึงสถานที่ที่เขาอนุญาตให้กางเต้นท์เป็นที่พักก็ไปจัดแจงเช่าเต้นท์ ที่เขาเรียกว่าเต้นหมูมากาง จุได้ทั้งหมดแค่นอนเบียดๆกัน เอาของที่ไม่สำคัญมากเก็บไว้ในเต้นท์แล้วเดินตระเวนเที่ยวตามแผนที่ที่เจ้าหน้าที่ให้มา จากน้ำตกโผนพบ ไปน้ำตกเพ็ญพบ เดินหยอกล้อกันไปตามทางเดิน เป็นประสบการณ์ใหม่ที่จับใจจริงๆ

"แกใบเมเปิ้ล"

เสียงร้องของเพื่อนที่เดินนำหน้าดังขึ้น น่าจะเป็นกรุงหรือไก่ร้องทักใบไม้สีแดงออกน้ำตาล พอเห็นก็พากันถ่ายรูปกันใหญ่ ตื่นเต้นกรี๊ดกร๊าดกันอยู่ ต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่หนาแน่นยังเขียวขจีอยู่ ครูหมูบอกว่าถ้ามาเที่ยวตอนเดือนพฤศจิกายนจะมีความชื้นมากกว่านี้และมีตัวทากมาคอยเกาะดูดเลือดต้องคอยระวัง แต่ตอนนี้ความแห้งของหน้าแล้งเริ่มย่างกรายเข้ามา ตัวทากก็เหมือนจะหายไปกับความแห้งแล้งนั้นสิ้น น้ำตกก็มีปริมาณของน้ำน้อยลง เสียงน้ำตกกระทบหินก็แผ่วเบาแต่กระนั้นก็ยังเป็นสุข ธรรมชาติที่โดนนักท่องเที่ยวเชยชมจนบอบช้ำไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อทุกคนเลย แม้แต่หินที่มีแต่ตะไคร่น้ำเกาะเขียวๆดำๆมันก็งามนัก แม้แต่ทุ่งหญ้าที่ไม่มีแล้วซึ่งความเขียวขจีแต่มันสะท้อนแสงแดดได้งดงามชวนมอง เพราะอะไร เพราะเราเป็นสุขต่อให้อยู่ในก้นเหวกระนั้นเราก็ยังจะเป็นสุข เสพสิ่งแวดล้อมได้อย่างไม่ขัดเขินอึดอัดใจ แต่แม้หากเราเป็นทุกข์ นั่งอยู่บนเนินดินรายล้อมไปด้วยแมกไม้หลากสีส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย แต่เราจะมองไม่เห็นความงามของสิ่งนั้นเลย เช่นเดียวกัน ตอนเย็นตกลงกันว่าจะเดินไปดูพระอาทิตย์ตกดินแต่มันมืดเร็วมากจึงเปลี่ยนใจ เข้ามารวมตัวกันอยู่ในเต้นท์ เอ๋ตั้งใจจะไปอาบน้ำแต่พอได้สัมผัสกับน้ำที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมห้องไว้ให้สำหรับอาบน้ำก็ขยาดและไม่มีใครแตะน้ำอีกเลยสักคน ไก่กับติ๊กไปเช่าเตาอั้งโล่ใส่ถ่านแดงของเขามาผิงไฟจี่ข้าวเผาข้าวโพดกินกัน ในเต้นท์เอ๋ก็พกเทียนหอมขนาดใหญ่มาแท่งหนึ่งจุดเล่นไพ่กันในเต้นท์ ส่งเสียงดังแว่วออกไป เสียงหยอกล้อกันดังอยู่จนมืด

"น้ำๆ ออกไปดูดาวกัน"

บอทกระซิบบอกเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆหลับไปหมดแล้ว มีเพียงเล็กกับกรุงนั่งเฝ้าเตาอั้งโล่อยู่ด้านนอก

"อืม"

"สวยเนอะ ดาวมันดวงใหญ่ขึ้นใช่ป่ะน้ำ"

แหงนคอขึ้นมองเหนือหัว ม่านแพรดำปกคลุมไปทั่วบริเวณ เกล็ดอัญมณีพร่างพราวดารดาษอยู่ ดวงดาวที่เคยเห็นที่บ้าน แหงนมองมันที่นามันดวงใหญ่ขึ้นจริงๆอย่างที่บอทบอก ดาวดวงเดียวกันเพียงแต่ต่างสถานที่แต่ทำไมมันดวงใหญ่ได้มากขนาดนี้ สวยเหลือเกิน บอทกระชับกอดบ่าของน้ำดึงตัวให้เข้ามาหาบ่าของตน เสื้อกันหนาวสองตัวไม่อาจทานทนกับความหนาวเย็นบนยอดเขาได้ หนาวจนสั่น แต่ก็อุ่นในใจอย่างประหลาด ร่างที่ยืนเคียงกันบนลานกว้างของภูกระดึงกำลังคลอเคลียแหงนมองฟ้างามด้วยกัน อยากจะจับมือกันแบบนี้ไปตลอด ไม่ว่าวันข้างหน้ามันจะลำบากยากเข็ญสักเพียงไหน จะขอจับมือไว้ให้ตราบนานเท่านาน

ต้นมีนาอุษาสางเริ่มเร่าร้อน แดดที่อ่อนกลับแรงกล้าเมื่อจวนสาย บุญแห่พระเวสเวียนเข้ามากราย ฟังเทศน์ร่ายเล่าเรื่องพุทธรรม ก้อนข้าวตอกหว่านออกจากมือพระ ก้มศรีษะรับพรให้ถึงสม เกิด แก่ เจ็บ ตายเวียนว่ายในอารมณ์ ให้ธรรมข่มดับความร้อนในดวงใจ

"จะปิดเทอมอีกแล้วสินะ อีกแค่ปีเดียวเองนะน้ำ เราก็จะจบแล้ว อยากจบเร็วๆจังเลยเนอะ จะได้รีบเรียนให้จบ ออกมาหาเงินช่วยแม่"

บอทเอ่ยขึ้นเวลาเดิม สถานที่เดิมตอนเดินกลับบ้านในตอนเย็น ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแค่วันที่หมุนไปตามโลกเท่านั้นที่ไม่เหมือนเดิม

"อืม น้ำอยากจะไปอยู่กรุงเทพฯกับบอทจะตาย อยากแสดงความรักต่อบอทโดยไม่ต้องปิดบังใคร"

"เราอยู่นี่เราก็ไม่ได้ปิดใครนี่น้ำ"

"แต่พ่อแม่เรายังไม่รู้นี่"

"ใครบอก แม่เรารู้แล้ว เราบอกแม่ตั้งนานแล้ว"

"หา อะไรนะบอท บอกแม่นิ่มแล้วเหรอ"

ร้องออกมาทำหน้าตาตื่น แต่บอทกลับหัวเราะออกมาอย่างพอใจ

"บอกแล้ว ตั้งแต่ก่อนปีใหม่"

พูดออกมาหน้าตาเฉย เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร

"แล้วแม่นิ่ม"

"โหน้ำ แม่รู้ตั้งนานแล้ว แม่ถามก็เลยบอก"

"หา แม่นิ่มรู้ตั้งนานแล้ว"

หน้าซีดลงกว่าเดิมใจเต้นตึกตักเหงื่อผุดขึ้นตามหน้าผาก

"ฮ่าๆ ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยน้ำ"

"ไม่ตลกนะบอท แม่นิ่มว่าไง"

"ก็ไม่ว่าไง แม่บอกว่ารักกันให้ดูแลกันดีๆ จะทำไงได้เนอะ คนมันรักกันแล้วนี่ พ่อถาก็รู้นะ ฮ่าๆ เรานี่ตกใจแทบตาย กลัวว่าจะโดนเตะเอา แต่พ่อถาก็ไม่เห็นว่าไรนี่"

เม้มปากแน่นยืนฟังอยู่แต่สมองไม่ประมวลผลแล้ว นี่พ่อแม่รู้เรื่องตั้งนานแล้วเหรอ นี่เกิดอะไรขึ้นทำไมมีเราอยู่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง น้ำทำสีหน้าไม่ดีเลย ทั้งดีใจเสียใจ อายระคนปนเปกัน จนไม่รู้ว่าความรู้สึกอันไหนมันเด่นกว่ากัน

"ไม่ต้องห่วงหรอกน่าน้ำ แม่เราไม่ขัดขวาง พ่อถาไม่ว่า แม่บุญไม่ด่า เราจะกลัวอะไร"

"ฮึ ทำไมไม่บอกน้ำสักคำบอท"

แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเดินหนีไป บอทเองยิ้มร่าอยู่พึงใจยิ่งนึก

"โธ่น้ำ นะนะ อย่างอนนะ เรายังไม่ได้บอกน่ะ ไม่อยากให้น้ำคิดมาก"

"เห็นน้ำเป็นอะไรบอท เห็นน้ำเป็นลมเป็นแล้งเหรอ ไม่ได้สนใจความรู้สึกน้ำเลยเหรอ"

ขึ้นเสียงสายตาที่มองตำหนิอย่างรุนแรง

"ขอโทษน้า เราไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดน้ำนะ เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะๆค่อยจะบอก"

"เวลาไหน ตอนเราจบแล้วไปเรียนที่กรุงเทพฯน่ะเหรอ"

"ไม่ใช่อย่างนั้น โอ๊ย งอนเป็นผู้หญิงไปได้"

"บอท ไม่ขำนะ น้ำโกรธจริงๆนะ ไม่ต้องมาง้อด้วย"

เดินหนีไปแล้วบอทวิ่งไปดึงแขนไว้แน่น

"น้ำ ถ้าไม่เลิกงอน เรากอดน้ำจริงๆนะ กอดตรงนี้ล่ะ"

โผร่างเข้ามาอย่างที่พูด น้ำรีบผลักออกเพราะบริเวณนั้นมีชาวบ้านอยู่พอสมควร

"บ้าเหรอบอท อย่านะอายคน"

"งั้นก็อย่างอน ไม่หายเรากอดจริงๆนะ หอมด้วย"

"บ้า"

หน้าแดงก่ำแดงทั้งหน้าทั้งหู น้ำสูดหายใจเข้าปอดพยายามควบคุมอารมณ์ให้นิ่ง แต่บอทเองก็คอยแหย่อยู่ตลอดเวลา น้ำยิ่งหน้าแดงไปใหญ่

สงกรานต์ร้อนสาดน้ำใสให้ชื่นฉ่ำ สุขเหลือล้ำทั้งใจกายมีเขาข้าง เมษาพ้นแดดร้อนแรงเมษาผ่าน เทศกาลงานสงกรานต์ก็มาเยือน กิจส่วนใหญ่อยู่ที่นาอยู่ที่ไร่ ไม่ทุกข์ใจไม่เสาะแสวงหา สิ่งอำนวยเอื้อสะดวกให้กายา แค่มีเธอเป็นดวงตาชี้นำทาง ร้อนแรงเร้าแดดกล้าที่แผดเผา ใบไหม้เฉาหญ้าก็เหี่ยวสิ้นเรี่ยวล้า กลิ่นดินป่าหอมกรุ่นล้ำฉ่ำในใจดังกฤษณา ครั้นหลับตาลงมองเห็นเพียงดวงหน้า ตื่นลืมตาก็เห็นรอยยิ้มฉาย เช้ากลางวันมีเขาอยู่เคียงกาย สายเย็นค่ำแลงลงไม่หนีกัน อันคิมหันต์จะเอ่ยลาฟ้ามืดครึ้ม ทะมึนดำตั้งตระหง่านอยู่ทิศใต้ ลมพัดหวนเปลี่ยนทิศไปให้ร้าวกาย ไม่เสียดายเพราะปีหน้าฟ้าหวนคืน

วิสัชนา จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ใบหน้างามใจทรามมีถมไป ใบหน้าเลวใจงามมีทั่วไป


เขียนโดย eiky

ปล ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ แอบมาลงให้เพราะเมื่อคืนต้องไปทำงานอยู่ดี นั่งเฉยๆงานเสร็จเลยเขียนดู แนวการเขียนแปลกๆนะว่าไหม ผมว่ามันแปลก อิอิ คิดไม่ออกหัวไม่แล่น แต่เหมือนมันติด ต้องทำ ต้องเขียน เลยออกมาแบบทุลักทุเลแบบนี้ ทนอ่านหน่อยน้า :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 23-10-2010 09:57:26
พ่อแม่รู้กันแล้วจริงๆๆใช่มั้ย...

ไม่อยากให้มีอะไรมาแยกสองคนนี้เลยให้ตายเหอะ.... :กอด1:

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 23-10-2010 10:17:42
แอบตามอ่านไปเรื่อยๆ
ไม่ได้เม้นต์ :impress2:
+ 1 จัดไป
แล้วนั่งรอตอนต่อไปโลดขอรับ :a9:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 23-10-2010 11:45:53
คุณอิ๊กกี้แอบมาลงนะคะ ไม่ยอมพักเลย แต่ก็ขอบคุณมากๆ  :กอด1:

แหมตอนนี้มีเรื่อง "เซอร์ไพรส์" คนอ่านเล็กๆ น้อยๆ ด้วยนะคะ แต่แหมยิ่งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้แบบนี้แล้ว ยิ่งเดาสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ต้องแยกกันไม่ออกจริงๆ ค่ะ :laugh:

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนอ่านทวาทศมาสแล้วก็นิราศเดือนเลยนะคะ มีการบรรยายความรู้สึกของแต่ละช่วงเวลาในแต่ละเดือนที่ผันผ่านเป็นกลอน เข้าใจเขียนนะคะคุณอิ๊กกี้ น้องมิชอบค่ะ  :จุ๊บๆ: +1 ให้เลยค่ะ
 
***************************

มั๊ง คำนี้พยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ ถ้าต้องการให้เป็นเสียงโทตามกฎไตรยางศ์ต้องใส่รูปวรรณยุกต์โทนะคะ ต้องเขียนว่า มั้ง นะคะ
ห่างหูห่างตาคำนี้ไม่ได้เขียนสะกดผิดหรอกค่ะ แต่ไม่เคยได้ยินใครใช้มาก่อน เคยได้ยินแต่ ไกลหูไกลตา  น่ะค่ะ
เต้นท์ เวลาออกเสียงคำนี้ระดับเสียงจะเป็นเสียงวรรณยุกต์ตรีนะคะ ไม่ใช่โท อีกอย่างคำนี้แม้จะถอดรูปเขียนภาษาไทยเป็นสระเอก็จริง แต่เวลาเราออกเสียงเราออกเสียงเป็นสระเอะ ดังนั้นเราจึงต้องใส่ไม้ไต่คู้กำกับเพื่อให้รู้ว่าออกเสียงสระเป็นเสียงสั้นนะคะ ดังนั้นจึงต้องเขียนว่า เต็นท์  นะคะ
พุทธรรม คำนี้ตก ธ  ไปหนึ่งตัวนะคะ ต้องเป็น พุทธธรรม  นะคะ
ศรีษะ คำนี้หลายคนมักเขียนผิด เอาสระอีไปไว้ที่ ร แต่จริงๆ แล้วต้องใส่สระอีไว้ที่ ศ นะคะ ต้องเขียนว่า ศีรษะ ค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 23-10-2010 12:01:21
พ่อแม่รู้แร้วก็ดีสิ  นั้นสาเหตุของมาม่าคงไม่พ้นผู้หญิงสิน่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 23-10-2010 13:26:26
อ้าว...พ่อแม่รู้หมดแล้ว.... o13 บอทเยี่ยมมาก...ใจกล้าใช้ได้....
รอต่อไป...จุดหักเหคืออะไร....

 :L2: น้อง eiky พักผ่อนบ้างนะ...อาจเป็นเพราะนอนไม่เป็นเวลาด้วย...
ถ้ายังไงก็....รักษาสุขภาพให้มาก ๆ น้า.... รักกัน ๆ จ้า...:กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 23-10-2010 14:18:57
ยิ่งอ่านยิ่งไม่อยากให้มาม่าเลย ยิ่งชื่อเรื่องแปลกๆแบบนี้ด้วยแล้ว ฮร่า............ต้องเรียกน้ำตาเป้นกะบุง +มะอึกที่ติดคอเวลาอ่านไปมันคับแน่นในอกไปหมดกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหายใจไมทั่วท้องน้ำตาก็ไหล   
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: salawinyeen ที่ 23-10-2010 14:25:00
 :n1:

โอ้ววว  แม่นิ่มกับพ่อถารู้แล้วหรอ  ไม่ได้อ่าน 2 วันกลับมา แอบ งง เลย อิอิ
 :pig3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 24-10-2010 11:49:14
ความรักจริงใจต่อกันย่อมชนะทุกสิ่ง ท่าจะเป็นเรื่องจริงเนาะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 24-10-2010 16:08:09
วันนี้บวกให้คุณอิ๊ก ตรงปุจฉาวิสัชนาเลย
กระแทกจิตใจ อย่างจริงจัง!

ปัญหาไม่ใช่เพราะพ่อแม่ห้าม
หรือมันจะเป็นความทรมานทางจิตใจ?
งงตัวเองพูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว  :เฮ้อ:
รอดูกันต่อไปเรื่อยๆดีกว่า

ขอบคุณคุณอิ๊กมากเลยนะคะที่ยังเอามาให้ลงให้อ่าน อย่าลืมพักผ่อนด้วยนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 24-10-2010 16:44:20
สงสัยเหมือนหลายท่านแหละว่า อะไรที่จะเป็นตัวแปรของความรักระหว่างน้ำกับบอท
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 24-10-2010 22:18:51
อ่าาาา เป็นใครก็คงรู้สึกเหมือนน้ำอ่า ทั้งดีใจทั้งเสียใจ

แต่ก็ดีแล้วนะที่พ่อแม่ของทั้ง 2 รู้ความจริงแล้วว



ตุณ なおみ™  คับ ตรวจภาษาเฉพาะคำที่เขียนผิดหลักภาษา

หรือว่าตรวจหมดคับ ทั้งคำที่ไม่ตั้งใจให้ผิด เช่น

ทุอาน = อุทาน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 25-10-2010 13:28:38
เข้ามาเยี่ยมคุณอิ๊กกี้ หายป่วยรึยังนะ


ตุณ なおみ™  คับ ตรวจภาษาเฉพาะคำที่เขียนผิดหลักภาษา

หรือว่าตรวจหมดคับ ทั้งคำที่ไม่ตั้งใจให้ผิด เช่น

ทุอาน = อุทาน

ดูคำที่ผิดเพราะเข้าใจผิดเป็นหลักน่ะค่ะ คำที่พิมพ์ผิด พิมพ์ตกนี่มันเป็นเรื่องปกตินะ น้องมิก็พิมพ์ตกๆ หล่นๆ บ่อยๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 25-10-2010 17:26:22
พ่อแม่รู้แล้วจริงๆใช่มั้ยยยยย
แล้วอะไรมันจะเป็นตัวแปรของสองคนนี้กัน
ไม่อยากให้มีอะไรมาเป็นตัวแปรเลย!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๐ (ตุลาคม ๒๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 25-10-2010 18:57:32
บทที่ ๒๑

ปุจฉา ใจที่คอยถวิลหา เผาไหม้ดังอัคคี เราเรียกใจนั้นว่าสิ่งใด

๒๐ พฤศจิกายน

พรุ่งนี้แล้วสินะที่จะต้องไปสอบ ไม่ได้กังวลใจอะไรหรอกนะ ตอนนี้สับสน ตื้อไปหมดเรื่องเรียน มันลำบากใจเหลือเกิน บอกตามจริงนะกูเองก็อยากไปเรียนเมกากับยายหน่อง แต่ถามว่าจะให้ทิ้งมึงไปน่ะเหรอ คงไม่มีทาง เรียนที่นี่ก็ดีเพราะตั้งใจเอาไว้แต่แรกแล้ว ถ้าสอบได้ก็คงต้องเรียน แต่ไม่รู้สิวะ กูอยากจะอยู่กับมึง อยากเรียนที่เดียวกัน อยากอยู่ด้วยกันไปตลอด สุดท้ายมันก็คงไม่พ้นรามฯ ไม่รู้เพ้ออะไรนะกู แต่มันสับสนจริงๆว่ะ สับสนมาก ยิ่งใกล้จะจบยิ่งคิดหนัก เรื่องกูกับมึงพ่อแม่รู้เรื่องแล้ว วันนั้นคุยกับกู ประหลาดใจเหมือนกันว่าทำไมพ่อแม่ไม่ว่าอะไรเลย ดีใจนะที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่ ท่านคงจะลำบากใจมากเหมือนกัน แต่คงไม่อยากทำให้กูเสียใจ พ่อแม่กูนี่ล่ะสุดยอดที่สุดแล้ว ต่อจากนี้ก็คงไม่มีอุปสรรคใดจะมาขวางกั้นเราแล้วสินะ หวังว่าเราจะรักและถนอมกันให้ดีที่สุด เราจะจับมือกันไปตราบนานเท่านาน ยิ่งมาวันนี้กูยิ่งรักมึงมากขึ้น รักมากหมดใจ ยิ่งเราโตขึ้น ผ่านอะไรมาด้วยกัน กูยิ่งรักมึง ว่าแล้วไปกอดมึงให้หายคิดถึงหน่อยเถอะ กูท่าจะบ้าไปแล้วเพิ่งแยกจากมึงมาอาบน้ำเมื่อกี๊

วันสอบเอ็นทรานซ์ทางโรงเรียนจัดรถไปส่งให้ที่สนามสอบซึ่งก็คือโรงเรียนประจำจังหวัด ที่เป็นคู่อริกับเด็กทุกคนในห้องเพราะเคยเห็นเคยประสบกับรอยยิ้มเย้ยเยาะกันมาแล้ว ครั้งที่ไปแข่งทักษะทางอาชีพเมื่อตอนต้นเทอมแรก เสียงหัวเราะอันดังก้องเมื่อได้รู้ว่าโรงเรียนนี้มีนักเรียนชั้น ม ๖ อยู่แค่ ๒๐ คน สายตาที่มองเหมือนมองเด็กมาจากบนดอยทั้งที่รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้แตกต่างกัน เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังใหม่ไม่ได้เก่าได้ขาดอะไรเลย แต่รอยยิ้มเยาะเสียงหัวเราะนั้นมันทำให้เกลียดชื่อนี้โรงเรียนนี้ไปโดยปริยาย จะว่าไปแล้วก็โรงเรียนใหญ่ๆกว่าโรงเรียนทุกโรงเรียนของตนนั่นเอง เพราะเวลาอาจารย์ให้ไปแข่งขันอะไรก็จะเกี่ยงกันไม่อยากจะไป พอพูดบอกเหตุผลออกไปอาจารย์ก็รู้จุดอ่อนช่วยกันปลุกระดมใหญ่ ว่าแบบนั้นสิเราต้องไปทำให้เขารู้ว่าเราแน่ ถึงจะมีแค่ ๒๐ คน แต่เรามีคุณภาพกันทุกคน เรียนโรงเรียนใหญ่ๆใช่ว่าจะดี บางคนหัวไม่เอาถ่านไปเรียนเพื่อให้ตัวเองโก้หรูไปเท่านั้นหัวไม่ไป ไถแต่เงินพ่อแม่ไปโรงเรียน จบออกมาก็ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร พออาจารย์พูดแบบนี้ถึงยอมไป

"กูว่าเสียเงินทิ้งแน่ๆมึง"

ระหว่างทางที่ไปยังโรงเรียนเจ้าภาพที่จัดสนามสอบเล็กก็เอ่ยขึ้น มีเพื่อนไปสอบแค่ ๗ คน มี เดือน ฝน เล็ก ติ๊ก กาญจน์ เอ๋และน้ำ ตอนสมัครสอบอาจารย์ถึงกับส่ายหน้าเพราะไม่มีคนไปสอบอย่างที่คาดไว้ คนที่มาถือว่าเป็นหัวกะทิแล้วของห้อง

"เอาน่ามึง อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตคิดอะไรมาก สอบขำๆ"

ติ๊กปลอบรถกระบะที่มีหลังคาข้างๆรถมีตราสัญลักษณ์โรงเรียนแปะอยู่ เด็กทั้ง ๖ คนนั่งหลังคุยกันไปอย่างสนุกสนาน มีอาจารย์นางน้อยกับน้ายมคนขับรถนั่งหน้า

"กูไม่อยากไปเลยว่ะโรงเรียนห่านี่"

ฝนเอ่ยออกมาหน้าตาบอกอย่างนั้นจริงๆ

"สนใจมันทำไม มีแต่พวกกระแดะ อยู่โรงเรียนทำเป็นไฮโซ แหมไม่อยากบอก พออยู่บ้านกินปลาร้าเป็นต่อนๆเลยนะมึง"

"ว้ายกินแน่เหรอปลาร้าน่ะ กูนึกว่าพวกมันกินแต่ขนมปัง มาแข่งศิลปะคราวก่อนเห็นดอดพูดภาษาอังกฤษ จอห์น ไอโกอีทลันช์ ฮังกรี่หลายๆเด้อ"

เอ๋ทำท่าทางออกสำเนียงที่ใครฟังก็หัวเราะเสียงดัง

"อีบ้า มีแต่มึงนั่นล่ะทำ"

ข้อสอบเป็นแบบปรนัยนับเป็นครั้งแรกที่ทำข้อสอบแบบฝนในกระดาษคำตอบแข็งแม้จะเตรียมอุปกรณ์มาพร้อมสรรพแล้วแต่ความตื่นเต้นมันก็ยังมีอยู่ ยังประหม่ากลัวว่าจะฝนเลขที่นั่งกับชื่อของตนผิด พอออกจากห้องสอบก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะเสียงดัง

"พวกเรามาทำไมวะเนี่ย ข้อสอบเอ็นฯนี่ยากมากขอบอก กูว่าของจารย์บลยากแล้วนะ เจอภาษาไทยขั้นสุด ตายไปเลยกู"

เล็กบ่นออกมาเป็นคนแรกเพื่อนๆเองก็เห็นด้วยตามที่เล็กบ่น ข้อสอบวิชาภาษาไทยถือว่าหินมาก ไหนจะสังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ ไอ้เราที่ว่ามั่นใจมาเจอของจริงอ้าปากไม่ออกเลยทีเดียว ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์อีก ได้แต่หัวเราะกัน ขากลับบอกน้ายมกับอาจารย์นางน้อยให้แวะในตลาดกินข้าวกันก่อนกลับเราะไม่อยากจะกินในโรงอาหารของโรงเรียนเจ้าภาพ คนเยอะอย่างประหลาดต่างอวดอ้างกัน ทำได้นะข้อนั้น อันนั้นต้องเป็นอย่างนั้น วิชานี้ต้องทำอย่างนี้ เอียนจึงไม่อยากจะได้ยิน

"เป็นไงน้ำ ทำข้อสอบได้ไหม"

บอทถามขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้านลงไปนาด้วยกัน

"ยากอ่ะบอท ยากมากคงไม่ได้หรอก"

"น้ำเลือกอันดับหนึ่งที่ไหนนะ"

"ก็ ม เกษตรนั่นล่ะ แต่คงได้แต่ฝัน เราอ่านหนังสือน้อย ติวก็ไม่ได้ติว สู้เด็กในเมืองเขาไม่ได้หรอกบอท"

"ก็ไปเรียนรามฯกับเราไงน้ำ พอมีเวลาค่อยไปเรียนปลูกกล้วยไม้อย่างที่คิดไว้ตอนแรกไง"

"อืม คงจะอย่างนั้นล่ะ"

ถ้าจำไม่ผิดอันดับหนึ่งที่เลือกไปคือ คณะเกษตรศาสตร์ ม เกษตร อันดับสอง คณะมนุษศาสตร์ ม ขอนแก่น และอันดับสุดท้าย คณะเกษตรศาสตร์ ม อุบล น้ำไม่ได้ตั้งความหวังไว้ แม้ในใจลึกๆอยากจะเรียนที่ ม เกษตร แต่หลังจากไปสอบมาวันนี้ทำให้รู้ว่าคนที่พร้อมกว่าเรามีอีกเป็นหมื่นเป็นแสน ตนเหมือนกบที่ออกจากกะลาครอบ พอมาเจอข้อสอบอีกทั้งสีหน้าแววตาของเด็กนักเรียนในเมืองที่ต่างดูมั่นใจกับการทำข้อสอบก็ทำให้ใจแป้วไปเหมือนกัน แต่ที่มีกำลังใจขึ้นมาก็เพราะบอทที่คอยให้กำลังใจ อีกอย่างอาจารย์พรก็จบจากรามฯ ความรู้ที่แกประสิทธิ์ประสาทให้มันก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร เชื่อเสมอว่าคุณภาพของคนอยู่ที่ตัวของแต่ละบุคคลเองไม่ได้ขึ้นโดยตรงกับสถานที่หรือวิชาการ แม้นถ้าหากเรารู้จักขวนขวายใฝ่หาความรู้นอกกรอบ ความรู้นั้นก็จะมาอยู่ที่เราไม่ได้ไปตกอยู่ที่ใครเลย

"น้ำดูดาวดิ สวยนะวันนี้"

บอทเอ่ยออกมาเสียงทุ้มตอนจะกลับบ้านหลังจากค่ำแล้ว

"อืม ไม่รู้ว่าที่กรุงเทพฯจะมองเห็นดาวสวยๆแบบนี้หรือเปล่านะ"

รำพึงออกมา ช่วงเวลาที่แม้จะมีความสุขมาโดยตลอด แต่ด้วยวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น วัยที่เพิ่มขึ้นความคิดก็แตกแขนงเพิ่มมากขึ้นด้วย จากที่ไม่เคยหนักใจเรื่องราวเหล่านี้ แต่มาวันนี้จวนจะถึงวันที่ต้องลาจากกันกับเพื่อนๆที่รักก็อดไม่ได้ที่จะใจหาย วันข้างหน้าต่อไปมองไม่ออกดูไม่รู้เลย สิ่งแวดล้อที่รอบตัวมันกำลังจะแปรเปลี่ยนไป คงจะคิดถึงกลิ่นโคลนกลิ่นหญ้า ลานดอกกระดุมเงินสีขาวอมเทาเหล่านี้ กลิ่นดอกพยอมตอนปลายฝนต้นหนาว ไม่รู้ว่าในกรุงเทพฯมันจะมีกลิ่นนี้หรือไม่ สีเหลืองของดอกคูณในยามหน้าร้อน ดอกติ้วบานไสว ต่อไปนี้มันคงไม่ได้เห็นง่ายๆอีกแล้ว

"อีกแค่ไม่กี่เดือนเองนะน้ำ ใจหายเหมือนกันนะ"

"อืม คงคิดถึงเพื่อนๆมากนะบอท"

"ใช่ แต่เราโชคดีนะที่มีน้ำไปด้วย ไม่งั้นไม่รู้จะอยู่ยังไง"

มือผสานจับกันไว้ คอแหงนมองดูดาวที่พราวระยับอยู่ทั้งน่านฟ้า ลมหายใจที่ถ่ายถอนออกมาจากอกเหมือนกำลังระบายความในใจบางอย่างออกมา ใจสั่นไหวไป แต่อย่างน้อยก็มีร่างอีกร่างคอยรองรับความรู้สึกเหงาหรือเปล่าเปลี่ยวนี้ มีใจอีกใจที่โอบอุ้มซึ่งกันและกันไม่ให้มันสั่นมันไหวจนเกินไป

ยิ่งใกล้จะสิ้นปีสีหน้าแววตาของเพื่อนๆที่แม้จะแลดูสดใสร่าเริงอยู่ แต่พอไม่มีใครพูดอะไร ต่างฝ่ายต่างเงียบกัน ในแววตานั้นมันแฝงอยู่ด้วยอะไรหลายอย่างเกินจะคาดเดา บางทีมีเพียงเสียงการถอนลมหายใจจ้องมองภาพรอบตัวเหมือนกับจะจดจำภาพเหล่านี้ ไว้ให้นานเท่านาน

"ปีนี้ไม่สนุกเลยว่ะ ไม่รู้ทำไมรู้สึกหงอยๆ"

ติ๊กเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้รับมอบหมายให้เป็นคนจัดการงานวันคริสต์มาสเหมือนเดิมที่งานนี้เหมือนจะผูกขาดกับชั้นเรียนนี้ไปแล้ว

"อืม ให้น้องๆมันทำดีกว่าไหม"

ฝนเสริมเอามือท้าวคางนั่งคุยกันอยู่ใต้ต้นมะม่วงที่เดิม ที่ๆมีแค่เพียงแต่ชั้นนี้ที่ชอบไปรวมตัวกันอยู่

"ทำไมพวกเราไม่ทำให้ดีที่สุดไปเลยล่ะแก ถือว่าเป็นการทิ้งทวน อย่างน้อยน้องๆ อาจารย์เขาจะได้จำว่าครั้งหนึ่งเคยมีรุ่นเราที่ใครต่อใครปรามาสว่าเป็นแกะดำ เป็นยุคมืด ทำไมเราไม่ทำให้ดีที่สุดให้มันอยู่ในความทรงจำของทุกๆคน"

น้ำเอ่ยขึ้นมองหน้าเพื่อนๆ

"กูเห็นด้วย มาพวกมึง มาร่วมมือกัน ไหนๆก็จะจบแล้วทำให้มันเต็มที่ไปเลย งานสุดท้ายแล้วนี่"

เล็กเองก็เสริมสีหน้าแววตาดูมุ่งมั่นไม่แพ้น้ำเลย พอตกลงกันได้ก็เตรียมงานอย่างที่ตั้งใจไว้ การแสดงมีละครกับเต้น และเพิ่มการรำเข้ามาอีกชุดหนึ่ง ละครเรื่องเดิมที่เขียนบทขึ้นมาใหม่โดยน้ำ ส่วนเต้นก็มีเอ๋ กาญจน์ เล็ก กรุง ไก่เต้นกันสองเพลงรวด ส่วนรำเดือน ฝน และเพื่อนผู้หญิงที่เหลือทั้งหมดเป็นคนรำ คนที่ว่างจากการแสดงก็มาช่วยคุมไฟคุมเสียง คอยแจกขนม น้ำรับบทเป็นพิธรกรเดี่ยว โดยอาจารย์พรฝากน้องชั้น ม ๔ มาเป็นพิธีกรร่วมเพื่อหาประสบการณ์ ขนมของขวัญปีนี้เล็กให้พ่อของตนทุ่มทุนสร้างน้ำเองก็ขอขนมจากพ่อเพราะปีนี้ทางโรงเรียนมัธยมได้เชิญน้องๆโรงเรียนประถมมาร่วมงานด้วย เด็กนักเรียนจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ครูบาอาจารย์จากสองโรงเรียนก็มากันพร้อมหน้า น้ำกับบอทและเดือนได้ไปขอการสนับสนุนจากครูใหญ่โรงเรียนประถมและอบตประจำตำบล ได้ขนมมาเยอะพอสมควรกะว่าให้พอเพียงกับน้องๆที่ร่วมเล่นเกมคั่นเวลา และเพียงพอที่จะแจกตอนลุงซานตาครอสออกมา

เปิดการแสดงในตอนบ่ายด้วยการแสดงของนักเรียนชั้น ม ต้น เริ่มจาก ม ๑ ไล่ขึ้นมาชั้นละการแสดง แต่ดูเหมือนเป็นการแสดงที่ขาดการร่วมมือกันอย่างประหลาด สีหน้าสีตาของผู้แสดงดูเหมือนถูกบังคับมา ตื่นไมโครโฟนกันเป็นส่วนใหญ่ คั่นสลับการแสดงด้วยการเล่นเกม น้ำเองไม่เขินไม่ประหม่าแล้วปีนั้นมีไมโครโฟนไร้สายหรือที่เรียกว่าไมลอย เดินไปไหนมาไหนได้ตามสะดวก น้ำจึงเดินรอบบริเวณน้องที่นั่ง คนที่ยิ่งก้มหลบยิ่งโดนเรียกให้ออกมาเล่นเกม เสียงที่ดังฟังชัดเด็ดขาดทำให้น้องๆเองไม่ลีลามากนักเวลาถูกเรียกตัวให้ออก มาร่วมกิจกรรม การแสงของชั้น ม ต้นผ่านไป มาถึงการแสดงของชั้น ม ๔ เป็นอะไรที่ง่ายจนรู้สึกว่านี่หรือคือการแสดง ชั้น ม ๔ แสดงการเดินแบบ การแต่งตัวก็หยิบโหย่งเอาผ้าอะไรต่อมิอะไรมาพัน เพลงก็ไม่ได้คัดได้สรรค์มา แต่ก็ถือว่าน้องๆเขาเองไม่ได้เป็นแม่หลักในงานถือว่าให้อภัยกันไป ส่วนการแสดงของชั้น ม  ๕ เป็นการแสดงละคร เรื่อง ทรามวัยกับเจ้าชายอสูร เหมือนจะเข้าท่าที่สุดเพราะเท่าที่ทราบมาอาจารย์ตุ้มเป็นคนฝึกสอนการแสดงให้ทั้งหมด เรียกเสียงเกรียวกราวได้พอสมควร น่าแปลกใจที่อาจารย์ตุ้มเลือกเป็นคนฝึกสอนให้ชั้นนี้แล้วมองข้ามชั้นของน้ำไป เพราะเท่าที่รู้ทั้งบทเอย คนแสดง เวลาซ้อมเอยแกเป็นคนดูแลจัดการหมด โดยอาศัยคาบเรียนของตนเป็นช่วงซ้อมละคร แต่ตัวละครที่เล่นตามบทก็น่าดูไปอีกแบบเพราะไม่มีการนอกบทเหมือนเอ๋หรือเดือน

"ครับต่อไปจะเป็นการแสดงของรุ่นพี่ชั้น ม ๖ นะครับ ก่อนอื่นพี่ในฐานะตัวแทนของชั้น ม ๖ อยากจะกล่าวอะไรสักอย่าง ประการแรกขอขอบคุณท่าน ผอ คณะครูอาจารย์ที่คอยให้โอกาสทำงานใหญ่ๆอย่างนี้นะครับ ห้องของเรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานวันคริสต์มาสในทุกๆ ปี ถ้างานผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานในวันนี้จะทำให้น้องๆทุกคนพอมีความสุขบ้าง เอาล่ะครับ พูดมากไปเสียเวลา การแสดงของเรามีอยู่ด้วยกันสามชุดนะครับ การแสดงแรกเป็นการรำถวายพระพร ขอเสียงปรบมือให้กับพี่ๆนักแสดงหน่อยครับ"

น้ำพูดเสียงดังส่วนน้องที่มายืนเคียงข้างเหมือนจะไม่มีบทพูดเลย เพราะเวลาน้ำให้โอกาสพูดเหมือนจะเขินอยู่น้ำเลยจัดการเองทั้งหมด พอให้สัญญาณบอทที่คุมเครื่องเสียงอยู่ว่าพร้อมแล้วเสียงเพลงดนตรีไทยก็ดังขึ้น พอนางรำขึ้นบนเวทีเสียงอื้อฮื้ออ้าฮ้าก็ดังขึ้น เพราะชุดไทยที่ไปยืมมาจากร้านทำผมบ้านใหญ่ซึ่งเป็นน้าของเอ๋เอง แกให้เช่าชุดไทยต่างๆส่วนมากจะเป็นงานแต่งงานแต่งานนี้ได้มาฟรีๆเพราะเชิญแกมางานด้วย นางรำทาหน้าทาตาสวยงามจนจำแทบไม่ได้ ผมเผ้าก็เกล้าอย่างดีประดับด้วยปิ่นทองชุบระยับอยู่ ชุดแม้จะคนละสีกันแต่ก็สวยงาม การรำที่อ่อนช้อยเข้ากับจังหวะของเพลงสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี น้ำคั่นเวลาด้วยการเล่นเกมหลังจากการแสดงจบลง พอเพื่อนๆพร้อมให้สัญญาณมาก็เริ่มการแสดงในชุดที่สองคือการเต้น เพลงแรกเป็นของไวตามินเอ เพลงต่อเป็นเพลงของแร็พเตอร์ การแสดงชุดนี้เรียกเสียงฮือฮาเสียงกรี๊ดดังเช่นเคย น้องๆจากโรงเรียนประถมพากันยืนขึ้นดู นับเป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่น่าจดจำ พอน้ำคั่นเวลาด้วยการแจกขนมเสร็จก็เป็นการแสดงปิดท้าย ละครเวทีที่ในระหว่างที่น้ำแจกขนมน้องๆอยู่นั่นเพื่อนๆก็เอาฉากเอาม่านมาติด รูดปิดเปิด สร้างเสียงฮือฮาอื้ออึงอยู่ตั้งแต่การแสดงยังไม่เริ่ม ละครเรื่องเดิมที่แสดงคือซินเดอเรร่าแต่เป็นการเขียนขึ้นมาใหม่ ในชื่อว่าซินเดอเรร่ายุคสองพัน โดยให้นางซินเองร้ายกาจตบตีกับพี่ๆกับแม่เลี้ยง รับบทโดยฝน เสียงนี่ไม่จำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนเลย ส่วนเอ๋รับสองงานเป็นแม่เลี้ยงเช่นเคย ไม่ยอมน้อยหน้ากัน ชุดก็ยืมมาเช่นเคยแต่เอ๋เย็บชุดของตนขึ้นมาใหม่ด้วยผ้าฝ้ายทำเป็นสุ่ม เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย เนื้อเรื่องจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับนางซินที่โดนกลั่นแกล้งแต่เธอไม่ยอม ทำทุกวิถีทางเพื่อจะทำให้ตนอยู่รอด จิกหัวใช้แม่เลี้ยง ไม่ได้อ่อนหวานเหมือนในของเดิมเขาเลย เรียกเสียงหัวเราะเสียงปรบมือได้เป็นอย่างดี พอการแสดงจบ ผอก็มากล่าวชมเชย ตามเคยอาจารย์นางน้อยกรี๊ดกร๊าดอยู่เพราะได้หน้า

"เก่งมากทุกๆคน ปลื้มใจที่สุด"

อาจารย์นางน้อยมาเจอถึงที่ห้อขณะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน

"นี่พวกเธอ รู้ไหมสร้างความลำบากใจให้ครูนะ"

อาจารย์พรเดินเข้ามาอีกคนทำหน้าเศร้า

"อ้าวทำไมล่ะจารย์ทำได้ไม่ดีเหรอครับ"

น้ำร้องเสียงหลง

"ไม่ใช่ไม่ดี มันดีมาก มากเสียจนคงไม่มีรุ่นไหนทำได้เหมือนรุ่นพวกเธอหรอกครูว่า"

ไม่ใช่การชมที่เกินจริงเพราะหลังจากจบมาแล้วคอยถามข่าวจากรุ่นน้องที่ได้มีโอกาสเจอมันเป็นอย่างที่อาจารย์พรบอกไว้จริงๆ รุ่นหลังๆแม้จะพยายามทำแต่ความร่วมมือมันมีไม่เท่า งานจึงไม่เป็นอย่างทีใจต้องการ รู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำดีๆเหล่านั้น ความทรงจำที่แลกไม่ได้ด้วยอะไรทั้งนั้นในห้วงเวลานี้

หลับตายืนกลางแสงสุดท้ายของวัน  ให้แดดสีส้มนั้นลามไล้เลียร่าง

สัมผัสห้วงแห่งรักที่ไม่จืดจาง     ยังสว่างอยู่กลางใจแม้หลับตา

วันคืนที่ผ่านพ้นแสนเร็วไว         หัวใจที่เปี่ยมรักยังถวิลหา

นานเพียงไหนไกลเพียงใดแค่เวลา    ที่พัดพาเรานั้นให้ไกลกัน

ลืมตาสูดกลิ่นเช้าอุษาสาง   ก่ายกอดร่างที่รักให้สุขสันต์

วันพรุ่งนี้จะยังมีเราคู่เคียงกัน   เธอกับฉันท่องไว้ให้ขึ้นใจ


เหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายแล้ว เพื่อนๆทุกคนเริ่มคุยกันเรื่องของอนาคต อนาคตที่ไม่มีใครมองเห็น ได้แต่วาดขีดกรอบนำทางให้ตนเอาไว้ บางคนจะเรียนต่อ ปวส บางคนจะไปทำงานเลย มีไม่กี่คนที่จะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เดือน เอ๋ บอท น้ำ ติ๊กแล้วก็ฝนเพียงเท่านั้นที่ตั้งใจว่าจะไปลงเรียนรามด้วยกัน ไม่ได้สนใจผลสอบที่กำลังจะออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ รู้สึกว่าช่วงนี้จะไม่มีใครพูดจาเล่นกันเหมือนแต่ก่อน เหมือนจะนั่งคุยกันเงียบๆ โอบกอดกันพยายามอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่เวลาจะพึงมี กิจกรรมต่างๆลดน้อยลงเพราะอาจารย์ปล่อยให้อ่านหนังสือเตรียมสอบไล่ แต่ไม่มีใครอ่านต่างเริ่มเอาเฟรนชิปส์มาเขียนให้กันระบายความในใจที่มีต่อ กันลงไปในสมุดเล่มหนา

"แกลงเลยเหรอเล็ก ไม่รอรับใบประกาสฯก่อนเหรอ"

น้ำถามเล็กตอนบ่ายของเย็นวันศุกร์หลังจากสอบไล่เสร็จ ความจริงผลสอบออกมาแล้ว ไม่มีใครสอบติดตามคาดของอาจารย์หลายคน น้ำเองไม่ได้เสียใจแต่แค่ไม่พอใจที่อาจารย์พูดหน้าเสาธงเหมือนตอกย้ำความอับอายให้คนที่ไปสอบเพิ่มมากขึ้น

"อืมลงเลยมึง อย่าลืมนะเจอกันที่รามฯ เดี๋ยวกูเอาเบอร์ที่หอพี่กูมาให้ จะได้ลงไปดูลาดเลาก่อนไงมึง จะหางานเผื่อมึงด้วย"

"เรื่องหออีกนะเว้ยเล็ก ไปใหม่ๆไม่รู้จะไปอยู่ไหน"

บอทบอกออกมาเพราะไม่มีญาติคนไหนเลยอยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนน้ำญาติเยอะก็จริงแต่ไม่อยากไปเกี่ยวข้องด้วย

"ก็ไปอยู่กับกูก่อนไงสักอาทิตย์ค่อยเดินหาหอหน้ารามฯเยอะแยะไปมึง กูคุยกับพี่กูแล้วมันไม่ว่าอะไร"

"ขอบใจนะเล็ก"

สูดลมหายใจเข้าปอด นี่มันจวนจะถึงเวลาที่ต้องจากลากันแล้วหรือ เวลาสามปีสำหรับชีวิตนักเรียน ม ปลาย มันมีความทรงจำต่างๆมากมายเกิดขึ้น แม้จะมีดีไม่ดีน่าจดจำไม่น่าจดจำระคนปนเปกันไป แต่ก็มีความสุขเหลือเกิน คิดว่าคงไม่มีช่วงชีวิตตอนไหนมีความสุขได้เท่าช่วงนี้อีกแล้ว ไม่กลัวที่จะก้าวพ้นสู่วัยของผู้ใหญ่ แต่มันใจหาย ภาพอาคารเรียนสองหลัง โรงอาหาร สนามฟุตบอลที่หญ้าเกิดขึ้นเป็นย่อมๆนั้น เราคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันในความรู้สึกแบบนี้อีก เงาของต้นอโศกที่ทอดยาวยามเย็น กลิ่นของดอกกระถินณรงค์ที่ไม่ชอบก็คงไม่ได้กลิ่นอีกแล้ว ต้นดอกติ้วที่อยู่ข้างสนามบาสฯ ต้นดอกคูณที่เรียงรายกันอยู่รั้วโรงเรียน เราจะไปหาดูได้ที่ไหน ห้องเรียนห้องเดิมตั้งแต่เรียนชั้น ม ๔ จนจะจบ ม ๖ เราคงไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปนั่งเรียนแล้ว อีกอย่างชุดนักเรียนชุดนี้ มันคงเป็นเพียงแค่ความทรงจำ

"หน้าเศร้าจังน้ำ อย่าคิดมากไปเลย คนเรามันต้องโตขึ้นทุกคนล่ะน่า"

พอเดินออกมาจากโรงเรียนก็เดินกลับบ้านกันสองคน บรรยากาสเดิมๆ กลิ่นของแมกไม้ดินโคลนเก่าๆมันก็ยังตลบอบอวลอยู่ ไม่อยากเดินออกจากกลุ่มเพื่อนเลยตอนโรงเรียนเลิก ทำไมเหมือนกับว่าเวลามันแสนสั้นนัก อยากจะอยู่แบบนี้ไปตลอด

"อืมน้ำรู้ แต่ก็อดใจหายไม่ได้นะบอท นี่ยังไม่จบเลยยังคิดถึงเพื่อนได้มากขนาดนี้ แล้วถ้าเราแยกกันไปจริงๆ จะเป็นยังไงนะ"

"เดี๋ยวก็ดีขึ้นล่ะน่า อย่างน้อยน้ำก็มีบอทอยู่ด้วยนี่ กลัวไร"

"คร้าบ คุณที่รัก ให้อยู่จริงเถอะ"

"น้ำ ฟังเรานะ ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ไม่ว่าเราจะไปได้แค่ไหน แต่เราจะรักน้ำคนเดียวตลอดไป"

ถือเป็นคำสัญญาครั้งที่เท่าไหร่ไม่ได้จำ แต่ทุกครั้งที่พูดมันคือแรงมหัศจรรย์ที่ผุดขึ้นกลางใจ แค่นี้ก็คงพอ แค่มีเราเคียงข้างกัน

วิสัชนา ใจที่หมอดไหม้ด้วยไฟแห่งปรารถนา เราเรียกใจนั้นว่า ใจบอดไม่ใช่หรือ


เขียนโดย อิ๊กกี้  :L2:


ปล ตอนนี้เนื้อความที่ดึงมาจากไดอารี่หมดแล้วน้า อิอิ นับจากตอนถัดไปเนื้อหามาจากจินตนาการของผู้แต่งเอง ลองถามเพื่อนๆที่ทำงาน เขาบอกว่า "เน่าว่ะพี่" เหอๆๆ แต่เปลี่ยนพล็อตคงไม่ทันแล้ว เน่าแต่มันก็เป็นนิยายอ่ะเนอะ นิยายมาจากชีวิตจริงล่ะผมว่า ไม่งั้นคนเราจะคิดจะเขียนขึ้นมาได้ไง แน่ะยังมีเถียงเขาอีก เอาน่า เพื่ออรรถรสของภาพและเสียง แว้กกก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: tiramisu ที่ 25-10-2010 19:31:47
รอ อยู่ น้าา..
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 25-10-2010 19:37:29
น้ำกำลังท่วมเลย  เน่านิดเน่าหน่อยช่างมัน  คิดแล้วก็เฮ่ออออออออ มามามาอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 25-10-2010 20:04:48
 :z1:  :z1:  :z1: :z1:  :z1:
มาอ่านแล้วนะพี่อิ๊ค คิดฮอดหลาย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 25-10-2010 20:21:57
จะเข้าช่วงมาม่าแล้วเหรอ  o18
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 25-10-2010 20:36:59
เอาหล่ะเหวย จะเข้ากทม.กันแล้ว
ช่วงเวลาแห่งมาม่าใกล้เข้ามาทุกที...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 25-10-2010 20:38:51
อ๊ะ  ต่อไปจะจินตนาการแล้ว  คงต้องเตรียมใจให้ดีซะแล้ว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 25-10-2010 21:33:41
โอ๊ะโอ๋!! บ่นถึงปุ๊บมาปั๊บเลยนะคะคุณอิ๊กกี้
หายแล้วหรอคะถึงมาเขียนต่อเนี่ย

เหตุการณ์จะดำเนินไปอีกขั้นแล้วสิคะเนี่ย
เฝ้ารอตอนต่อไปอย่าใจจดใจจ่อค่ะ อยากรู้ความเป็นไป  :laugh:

********************

ดอกคูณ คำนี้ใช้ น  สะกดนะค เป็น ดอกคูน

มีอีกสองคำคิดว่าของเกิดจากการการพิมพ์ผิด
ใบประกาสฯ  ต้องเป็น ศ นะคะ มาจาก ประกาศนียบัตร  
บรรยากาส ต้องเป็น ศ เช่นกัน บรรยากาศ นะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 25-10-2010 22:09:18
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นนะเนี่ย...แบบว่ากลัวลึกๆ ... หุหุ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 26-10-2010 14:15:31
นี่เป็นการทิ้งทวนช่วงเวลาที่ดีที่สุดในช่วงม.ปลายใช่มั้ยอ่ะคุณอิ๊ก

ตอนแรกคิดว่าอาจเป็นบอทที่เปลี่ยนไป
แต่ตอนนี้คิดว่าอาจเป็นเพราะน้ำ ทำให้บอทคิดว่าน้ำเปลี่ยนไป
เฮ้อออออ..กระบวนการคาดเดามันทำงานอีกแล้วล่ะ
เอิ๊กกกกกกๆๆ

เอาล่ะคุณอิ๊ก คนอ่านพร้อมรับทุกสิ่งอย่าง ไม่หวั่นทุกสถานการณ์!
(http://i181.photobucket.com/albums/x215/bjneverdie/emoticon/onion77.gif)





 :กอด1:คุณอิ๊กทีนึง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 26-10-2010 14:41:29
ไม่ขอเดาหรอกค่ะ
จะรออ่านอย่างเดียวว่า อะไรที่เป็นตัวปฏิกิริยาทำให้เกิดสนิม
ดูแลสุขภาพนะคะคุณอิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 26-10-2010 16:01:43
เศร้า....เหงา....ตามไปด้วย....แต่ชีวิตต้องก้าวต่อไป
บอทและน้ำจะต้องก้าวเข้าสู่สังคมเมือง....เริ่มรู้สึก
หนัก ๆ อก ยังไงไม่รู้...... :เฮ้อ:
รอต่อไปจ้า.....รักกัน ๆ นะ น้อง eiky  :L1:



หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 26-10-2010 16:07:21
 :z3: :z3:


มาม่าได้แต่นิดหน่อยพอ
อย่าเอาให้ขึ้นอืดน่ะพี่อิ๊กกี้
หรือน้ำข้นก็ม่ะเอาอ่า

555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 26-10-2010 16:24:12
ไม่ได้เข้ามาหลายวัน รวบยอดอ่านทีจุใจจังครับ นับถือพ่อแม่ของทั้งคู่จริงๆ ไม่ทำให้ลูกกรู้สึกแย่ น่าชื่นชมครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 26-10-2010 23:46:47
สงสัยวันนี้คุณอิ๊กกี้ไม่มาต่อแน่เลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 27-10-2010 00:55:18
สงสัยวันนี้คุณอิ๊กกี้ไม่มาต่อแน่เลย  :sad4:

ว่าจะเข้ามาบอกอยู่พอดี ที่จริงเขียนเสร็จแล้วล่ะแต่ยังตรวจทานไม่เสร็จเลยไม่ได้เอาลงให้
คือว่าหลังจากลงตอนนี้ อยากจะขอลาสักสามสี่วันนะครับ
พอดีพยายามเลิกบุหรี่ หงุดหงิดง่าย สมองกลวง
นี่ก็นั่งเอ๋ออยู่กินแต่น้ำ แต่ยากนะ อิอิ
ดี๋ยวกลับมาใหม่นะครับ จะลงไว้ให้อีกตอน

จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๑ (ตุลาคม ๒๕, ๒๕๕๓) หน้า ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 27-10-2010 01:23:54
บทที่ ๒๒

ปุจฉา มีคนบอกว่าความรักเคลื่อนภูเขาได้จริงหรือ

พอสอบเสร็จก็กำหนดวันบายศรีสู่ขวัญกันแล้ว ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงาน เพราะบายศรีต้องรวมกับน้อง ม ๓ ที่จบการศึกษาเหมือนกันตอนแรกจะแยกบายศรีกันแต่อาจารย์ขอร้องไว้ เอ๋จึงรับเอามาเป็นภาระโดยให้เพื่อนๆหาใบตองดอกไม้มาให้ ส่วนเล็กก็ขอสถานที่บริเวณลานนอกหมู่บ้านของพ่อเพื่อจะจัดงานเลี้ยงฉลองเรียนจบกันที่บ้านของเล็กเองเพราะเห็นบอกว่าเป็นที่ส่วนตัวชาวบ้านไม่ด่าแม้จะเปิดเพลงดังข้ามคืนก็ตาม

"เต็มที่เลยนะพวกมึง พ่อกูให้เหล้าสามกลม มีเบียร์อีก"

เล็กบอกกับเพื่อนๆในสัปดาห์สุดท้ายของการเรียนการสอน ที่จริงไม่ได้มีการเรียนการสอนวิชาไหนหลงเหลือแล้ว เหมือนจะให้เวลาอยู่ด้วยกันกับเพื่อนๆให้นานที่สุด วันๆไม่ทำอะไรนั่งจับเข่าคุยกันอยู่ บางคนก็เขียนเฟรนชิปส์ให้กัน ส่วนการเขียนเสื้อตั้งใจว่าจะเขียนในวันพฤหัสบดีเพราะวันศุกร์เป็นการบายศรีสู่ขวัญ

"กูจะเอาให้ปลิ้นเลยคอยดูนะ"

เอ๋บอกแม้จะพยายามทำให้เพื่อนๆร่าเริงอยู่แต่ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเท่าใดนัก

"เรื่องบายศรีน่ะกูจะทำให้ใหญ่กว่าเท่าที่เคยมีมาเลยนะคอยดู"

"เออ ใบตองพอไหมมึงเดี๋ยวกูกับบอทไปช่วยตัดใบตองให้"

"อืมดี งั้นเย็นนี้ไปเลยนะ ต้องร้อยดอกรักอีก กูจะทำเป็นสูงสักเมตรนึงเลยดีไหม"

"เวอร์ไปมึง เอามาลำบาก"

"ไม่เวอร์หรอก รุ่นเราต้องอลังการงานสร้างสิอีเดือน มึงน่ะรีบมาล่ะ"

พอตกลงกันได้ก็นัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อย ตอนเดินกลับบ้านเห็นบ้านยายหน่องมีคนอยู่เต็มอีกแล้วคงเป็นยายหน่องมาจากอเมริกา น้ำชะเง้อมองเข้าไปดูในบ้าน

"น้ำเราปวดท้องว่ะ รีบกลับก่อนนะ"

บอทบอกหน้าตาเหยเก น้ำพยักหน้าเพราะยายหน่องมองเห็นแล้ว

"มานี่หน่อยน้ำ โตขึ้นเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วนี่เรา"

พอน้ำไหว้ทักทายเสร็จก็เดินเข้าไปหายายหน่อง มีแม่บุญช่วยกับพ่อถาวรนั่งอยู่ก่อนแล้ว น้ำทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

"เรื่องไปเรียนที่โน่นน่ะน้ำแม่ว่าเราตัดสินใจได้แล้วนะ ยายหน่องเขาจะได้พาไปทำวีซ่าเลย ทำเรื่องตั้งแต่ตอนนี้จะได้เสร็จเร็วๆ"

แม่บุญช่วยบอก น้ำเองหน้าซีดก้มหน้าอยู่

"นั่นสิน้ำ ไปเรียนกับยายนั่นล่ะ จะได้กลับมาเป็นเจ้าคนนายคน ต้นเมษายายก็ลงกรุงเทพฯแล้วจะได้พาไปทำวีซ่า เรื่องที่เรียนน่ะให้น้าอ้วนเขาหาไว้แล้ว รอสถานฑูตติดต่อ ไปก็พอดีบินเดือนมิถุนา"

ยายหน่องเล่าไปเรื่อยๆแต่ตอนนี้หูของน้ำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ใจที่สั่นระริกอยู่มันเหมือนไปบังโสตประสาตในการรับฟังเสียสิ้น เดินออกมาจากบ้านยายหน่องด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เหมือนใจมันแบ่งแยกออกเป็นสามสี่ทาง แต่ละทางล้วนแล้วแต่สร้างความลำบากใจให้ทั้งนั้น ถอนหายใจออกมาไม่รู้กี่รอบแต่กระนั้นก็จนด้วยปัญญาว่าจะเดินต่อไปอย่างไรดี ไปไม่ได้ ทิ้งบอทไปไม่ได้ แต่ถ้าไปมันคือโอกาสทองของชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่ทำไม่ได้หรอก ทิ้งคนที่รักทั้งหัวใจไปแบบนั้นไม่ได้ อยู่นี่ใช่ว่าจะไม่มีทางไป อยู่นี่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางทำมาหากิน เคยได้ยินแต่แม่นิ่มบอกนอนไม่หลับ ไม่เคยรู้ว่าอาการของคนนอนไม่หลับมันเป็นเช่นไรจนมาวันนี้น้ำเองถึงได้รู้ บอทหลับไปแล้วเสียงกรนเบาๆลอดออกมาจากปาก น้ำนอนลืมตาจ้องมองหลังคาสังกะสีอยู่อย่างนั้นด้วยหัวใจที่สับสนวุ่นวายคิดไม่ตก ไม่อยากพลิกกายเพราะเกรงว่าบอทจะตื่น พยายามข่มตาให้หลับแต่ยิ่งทรมาน มันเป็นแบบนี้นี่เองคนนอนไม่หลับ ทรมานเสียจริง หลับตาลงภาพต่างๆก็ผุดขึ้นมาสว่างจ้าอยู่ในห้วงของความคิด ลืมตาก็มึนที่หัว

"นอนไม่หลับเหรอน้ำเมื่อคืน หน้าซูบๆไปนะ"

บอทถามขึ้นตอนเดินไปโรงเรียน

"อืม คิดอะไรเพลินๆน่ะ"

"อืม แล้วยายหน่องว่าไรบ้าง"

คำถามที่สะกิดใจ น้ำเม้มปากแน่น

"ไม่มีอะไรหรอก แกถามเรื่อยเปื่อยล่ะบอท"

ไม่ได้อยากจะปิดเพื่อน ไม่ได้อยากจะปิดบังคนรักไม่ให้รู้ แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคำตอบของคำถามนี้มันคืออะไร

"พรุ่งนี้แล้วสินะก็จะสู่ขวัญ เร็วจังเนอะ"

"ใจหายนะบอท จะไม่ได้เจอเพื่อนๆแล้ว"

วันนี้ไม่มีใครเรียนใครสอนอะไรทั้งนั้น พากันเขียนเสื้อให้กันลายไปทั้งตัว ข้อความต่างๆที่แม้จะผ่านวันเวลามาแสนยาวนานแต่เสื้อตัวนั้นยังห้อยอยู่ในตู้ สีแม้จะซีดไปบ้างแต่พอจะอ่านได้รางๆว่าใครเขียนว่าอะไรบ้าง ยิ้มทุกคราที่เอาออกมาดู สุขใจทุกครั้งที่ระลึกถึง

"บายศรีเสร็จไปเล่นน้ำทามกันก่อนนะ ให้ไอ้ไก่เอารถอีแต๊กมันไป"

เล็กบอกเพื่อนก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่มีใครร้องไห้มีเพียงเสียงหัวเราะดังสลับกับการหยอกล้อกัน น่าประหลาดทั้งที่ใจหายแต่พอเจอหน้าเพื่อนๆแล้วก็มีแต่ความสุขไม่มีใครเป็นทุกข์เลย

พอวันบายศรีสู่ขวัญทุกคนพร้อมด้วยผู้ปกครองก็ไปรวมตัวกันอยู่ใต้ถุนอาคาร ๒ ที่ใช้เป็นหอประชุมชั่วคราว นิมนต์พระมาให้ศีลให้พรและฉันภัตตาหารเช้าก่อนจะเริ่มพิธีพราหม โดยการจ้างหมอธรรมมาสวดให้ พานบายศรีของเอ๋ยิ่งใหญ่อลังการอย่างที่บอกไว้ ร้อยดอกรักสลับกับดอกพุดขาวพราวอยู่ทั่วทั้งพาน ใบตองพับกลีบสลับชั้นลดหลั่นกันขึ้นไปงดงามนัก นักเรียนทั้งชั้น ม ๓ และ ม ๖ นั่งล้อมวงกันอยู่ ผู้ปกครองและคณาจารย์นั่งอยู่รอบนอก พอหมอธรรมสวดเสร็จก็มัดข้อมือให้

"ให้ได้เป็นเจ้าคนนายคนนะลูกนะ ให้อุ้มชูบิดามารดาครูบาอาจารย์"

คำๆเดิมที่พูดกับเด็กนักเรียนทุกคนแต่มันกินใจเหลือเกิน พอให้หมอธรรมผูกข้อมือให้เป็นคนแรกก็พากันคลานเข่าไปหา ผอ เวียนกันไปจนครบคณะครูอาจารย์แล้วค่อยเวียนไปหาผู้ปกครอง ผอลูบหัวของน้ำ

"ครูจะจำรุ่นพวกเธอไว้นะน้ำ ขอบใจมาก พอไปเรียนมหาลัยให้ตั้งใจเรียนนะ"

น้ำเม้มปากแน่นน้ำในตาเริ่มคลอแต่ก็ไม่ปล่อยให้มันไหลออกมา น่าประหลาดอาจารย์บางคนตอนเรียนอยู่ไม่ชอบขี้หน้ากัน อย่างอาจารย์สอนฟิสิกส์แต่วันนี้ความรู้สึกนั้นมันหายไปหมดสิ้น มีเพียงความเคารพก้มหัวไหว้อย่างเคารพจากใจ อาจารย์เองก็เอ่ยคำอวยพรออกมาจากใจจนสัมผัสได้

"จะจากครูไปแล้วสินะ เฮ้อรุ่นพวกเธอนี่มาทำให้ครูจำนะเนี่ย"

อาจารย์นางน้อยพูดขึ้นหัวเราะแห้งๆออกมาแต่ตาแดงก่ำแล้ว เดือนโผเข้ากอดและเป็นคนแรกที่ร้องไห้ออกมา ส่วนเพื่อนๆก็ก้มหน้าไม่พูดอะไรสักคำ

"สิ่งที่ครูเคยทำให้ไม่พอใจ อย่าได้ถือสานะน้ำ ขอให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เรียนให้สูงๆกลับมาพัฒนาบ้านเรา"

เป็นคำจากปากของอาจารย์ตุ้ม ไม่ชอบหน้ากันมาตลอด ไม่เคยชอบในวิธีการเลือกปฏิบัติ แต่วันนี้ซึ้งใจเหลือเกิน น้ำก้มลงไหว้แทบตักของอาจารย์ บรรยากาศเป็นไปอย่างอึมครึม พอเสร็จจากอาจารย์ก็หันไปหาผู้ปกครอง รายของผู้ปกครองก็ไม่มีอะไรมาก มีคำอวยพรอวยชัยให้ลูกๆเหมือนๆกัน พอเสร็จก็มานั่งรวมตัวกันที่เดิมเพื่อนผูกข้อมือให้เพื่อน

"มึงอย่าลืมกูนะน้ำ"

เล็กพูดออกมาน้ำตาไหล

"มึงก็อย่าลืมกูนะ"

"กูรักมึงนะน้ำ อย่าลืมกูนะ"

"กูไม่ลืมมึงหรอกเดือน มึงเป็นเพื่อนที่ดี กูจะจำมึงไปตลอด"

เป็นครั้งแรกที่เพื่อนๆได้เห็นน้ำตาของน้ำ ร้องออกมาอย่างสุดกลั้น ร้องออกมาจากใจโผเข้ากอดเล็กไว้แน่น บอทเองก็เข้ามากอดไว้ เพื่อนๆทุกคนก็เข้ามากอดเป็นกลุ่มใหญ่ร้องไห้ระงมกันอยู่ เศร้าใจไหมไม่นะ มันสุข มันตื้นตันจนน้ำตามันไหลออกมา ตลอดเวลาที่อยู่กับเพื่อน สิ่งต่างๆที่ทำร่วมกันมา หลบเรียน กินข้าว ช่วยงานกัน แม้กระทั่งไปเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน วันนี้มันสะท้อนออกมาจากใจผ่านทางน้ำตาของแต่ละคน

"จากวันนี้ จดจำไว้ ที่เรานั้นสัญญาร่วมกันจะผูกพันเพื่อนกันเรื่อยไป จะไม่ลืม ไม่ทอดทิ้ง จะคิดถึงเมื่อยามเธอไกล ส่งจดหมายถึงเธอแน่นอน สัญญา

คำว่าเพื่อนนี้มีความหมาย ไม่ยิ่งใหญ่แต่จริงใจให้เธอ เก็บรักษาเอาไว้ให้นานเผื่อสักวันกลับมาพบเจอ ขอให้เธอโชคดี เพื่อนเอย"


เสียงเพลงดังขึ้น เพลงที่ไม่มีเพื่อนคนไหนอยู่เป็นผู้เป็นคนได้เลย ร้องไห้ออกมากอดกันแน่น ปากก็พร่ำเพ้อพรรณาความรักความคิดถึงที่มีให้แก่กัน ผู้คนที่พบเห็นก็ต่างสังเวชใจไปตามๆกัน อาจารย์นางน้อยเองก็ร้องไห้ออกมาไม่มีมาดของครูเหลืออยู่เลย แกบอกว่ารักรุ่นนี้มาก ตั้งแต่เป็นครูมาไม่เคยสอนรุ่นไหนแล้วสุขใจเท่ารุ่นนี้ ส่วนอาจารย์บลแม้จะวางมาดนางพญาอยู่แต่ก็แอบน้ำตาซึม แกบอกว่ารุ่นนี้ดื้อแต่บอกแล้วฟังและทำงานได้ให้เป็นที่พอใจ ไว้ใจมากที่สุด ใช้เวลาร่ำลากันจนเกือบเที่ยง แล้วจึงรวมตัวกันไปเล่นน้ำที่ทามใกล้ๆบ้านของเล็ก พอขึ้นรถอีแต๊กได้บรรยากาศเมื่อครู่มันหายไปเสียสิ้น ต่างคนต่างหัวเราะกินเหล้าขาวกันอย่างสนุกสนาน

"ต้มปลารอแล้วนะพวกมึง พ่อกูให้คนไปหาปลามาให้"

เล็กร้องขึ้นแข่งกับเสียงร้องเพลงโหวกเหวกโวยวายของเพื่อน

"อีเอ๋ มึงเตรียมฝีมือไปทำส้มตำด้วยนะมึง"

"ว้ายเชื่อมือค่า จะทำให้เพื่อนๆเลียเล็บกันทุกคน"

บรรยากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิม ต่างหัวเราะหยอกล้อกันอยู่จนไปถึงทาม พอไปถึงก็ลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานพอเหนื่อยก็มากินข้าวกัน จนบ่ายคล้อยจึงแยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อที่จะมารวมตัวกันอีกทีในตอนเย็นที่บ้านของเล็ก

"จบแล้วโว้ย"

บอทร้องออกมากลางทุ่งนาหลังจากที่กลับมาถึงบ้านก็ออกมาเอาหญ้ากับน้ำ

"จบเหมือนกันโว้ย"

น้ำแหกปากออกไปบ้าง มองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา อย่างน้อยก็ยังมีรอยยิ้มอยู่ อย่างน้อยเพื่อนๆทุกคนก็ยังไม่จากหนีหายไปไหน ยังอยู่ให้ไต่ถามข่าวคราวกันทุกคน พอเย็นก็อาบน้ำแต่งตัวไปบ้านเล็ก หลังจากที่พ่อถาวรออกรถกระบะรถเครื่องก็ตกเป็นของน้ำไปโดยปริยายไปไหนมาไหนลืมจักรยานไปแล้ว และส่วนมากคนที่ขับจะเป็นบอทน้ำจะเป็นคนนั่งซ้อนท้าย

"ระวังหน่อยนะลูก ไปค่ำๆมืดๆเมื่อคืนแม่ฝันไม่ค่อยดี"

แม่บุญช่วยบอกก่อนที่ทั้งสองจะออกจากบ้านมา แวะไปหาไก่ไปพร้มกันเพราะไก่ต้องไปรับเอ๋ ขับไปเป็นขบวนมีเดือน ฝน และติ๊ก บรรยากาศจึงไม่น่ากลัวอย่างที่คิด พอไปถึงบ้านของเล็กก็ออกไปที่จัดงานเป็นลานนอกหมู่บ้านตั้งเครื่องเสียงมีกับข้าวเหล้ายาปลาปิ้งอยู่เต็ม พอไปถึงก็เริ่มกินกันเพราะเพื่อนๆบ้านอื่นก็มากันหมดแล้ว

"จบแล้วเนอะพวกมึง ไวว่ะกูว่า"

เล็กเริ่มเปิดประเด็นก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงรื่นเริงคือเปิดเพลงเต้นกัน

"นั่นสิ กูว่ากูยังเรียนไม่พอเลยว่ะ"

"แหมเวลาเขาเรียนมึงก็ดูแต่หนังสือโป๊นี่ไอ้กรุง จะได้เรียนอะไรล่ะ"

เดือนเหน็บ

"ดูหนังสือโป๊ก็เรียนจบเว้ย ไม่สนใจ"

"มึงเองก็เล่นแต่ป๊อกเด้งนี่อีเดือน อีตัวแม่"

"อะไรอีกาญจน์มึงก็เจ้าแม่ขาเมาท์นะ"

"เออ กูนี่ล่ะเจ้าแม่ นี่ๆเมาท์แล้วก็เมาท์เลยละกัน มึงรู้ไหมทำไมไอ้ต้ามันไม่มางานสู่ขวัญเรา"

หูตาแพรวพราวขึ้นมาทันที

"โว้ย ลืมมันไปสักวันได้ไหมมึง วันนี้วันของเรานะ"

บอทโวยวายขึ้น ในมือก็ถือแก้วเหล้าสีที่ได้มาจากพ่อของเล็กถึงสามขวด

"มึงไม่ฟังก็ตามใจไอ้บอท กูได้ข่าวมาจากวงในนะมึงว่ามันโดนไล่ออกแล้ว ก็อีน้อยมันท้อง เล่าซิเดือนเมื่อคืนวันอังคารน่ะเขาเอาผู้ใหญ่ไปพูดกันนี่"

โบ้ยไปทางเดือนที่นั่งอ้าปากฟังอยู่

"อ้าวกูสินะ เออ ก็จริงว่ะมึง เห็นคุยกันว่าจะทำยังไง กูนะไปแอบฟังอยู่ใต้ถุน เล่าซิอีฝน"

"โว้ย จะรู้เรื่องไหมเนี่ย"

เล็กทำท่าทางขึงขังขึ้น

"เออ กูเล่าเองอีพวกนี้นี่ ก็มันยอมรับนะแต่ไม่อยากให้กระโตกกระตากไปเพราะยังไม่อยากจะออกจากครู แต่แม่อีน้อยมันไปโพทนาว่ามีลูกเขยเป็นครู เรื่องเลยไปถึงหูผอสิ ก็เลยเรียกเข้าไปสอบ จบข่าวค่า"

เอ๋เป็นคนเล่าเอง ทำสีหน้าท่าทางเกินจริงอยู่แต่เพื่อนๆก็ตั้งใจฟัง

"อย่าไปใส่ใจเลยมึง มาๆคืนนี้ไม่เมาไม่กลับเว้ย"

ติ๊กบอกแล้วกอดคอกันกินเหล้า พอดึกหน่อยก็เปิดเพลงคอลเบาๆนั่งทำซึ้งกันอยู่

"ตกลงมึงจะเรียนรามฯแน่เหรอไอ้น้ำ"

เอ๋เอ่ยขึ้น ต่างคนต่างนั่งตาหวานฉ่ำ

"มันก็จะไปเรียนรามฯกับกูสิมึง จะถามทำไม"

เล็กตอบแทน

"ไม่ใช่อะไรหรอกเห็นมึงอยากมีสวนกล้วยไม้ ที่รามฯเขามีสอนด้วยเหรอวะ"

"ก็ไปเรียนเพิ่มเอาสิอีโง่ เดี๋ยวนี้เขาเปิดสอนทั่วไปนั่นล่ะ"

เป็นเอ๋กับเล็กที่เถียงกันอยู่คอเป็นเอ็น โดยที่เจ้าตัวสีหน้าสลดลงมาก

"ใช่ไหมน้ำ"

"ไม่รู้ว่ะมึง บางทีกูก็อยากจะไปเรียนเมกากับยายหน่อง"

เอ่ยออกมาเสียงเบาลอยมากับลม

"หา มึงจะไปเรียนเมกา"

เอ๋ร้องขึ้นเสียงดัง เพื่อนๆทุกคนหันมามอง น้ำทำหน้าไม่ถูกก้มหน้าอยู่ แต่มีอีกคนที่แสดงปฏิกริยาออกมาไม่เหมือนเพื่อนๆคนอื่น เพราะเพื่อนๆคนอื่นเหมือนจะตื่นเต้นดีใจไปกับน้ำ แต่บอทเองเม้มปากแน่นฟึดฟัดขึ้น

"ทำไมไม่เห้นมึงเคยพูดเลยวะน้ำ เสือซุ่มนะมึง"

"เออ นั่นดิโหเท่ห์ว่ะมึง ไปเรียนเมืองนอก กลับมาจะจำพวกกูได้ไหมเนี่ย"

"น้ำ ทำไมเราไม่เคยรู้"

เสียงห้วนแข็งดังออกมาจากปากของบอท สีหน้าไม่ยอมลดละให้ใคร เพื่อนๆนิ่งเงียบกันทุกคน

"เอ่อ น้ำยังไม่ได้ตัดสินใจ"

"ไม่ได้ตัดสินใจอะไร อยากไปก็ไปดิ ทำไมต้องปิดเรา"

"บอท"

"เอ่อ เป็นเรื่องไหมล่ะมึง อีเอ๋อีปากหมา"

เล็กหันไปเอ็ดเพื่อนที่ตอนนี้ทุกคนสีหน้าไม่แตกต่างกันเลย

"เราจะกลับ เฮ้ยกูกลับแล้วนะ"

บอทพูดแล้วเดินไปที่รถเครื่องทันที

"บอทเดี๋ยวสิ บอท"

น้ำลุกจากที่แล้ววิ่งตามออกไป เพื่อนๆทุกคนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจ

"อะไรวะ เหมือนมันสองคนเป็นแฟนกันเลยว่ะมึง"

เดือนพูดขึ้น เล็กกัดปากตัวเอง

"เออ มันสองคนเป็นแฟนกัน เป็นมานานแล้วด้วย"

"หา"

เสียงที่ร้องออกมาพร้อมกันดังก้องกว่าเพลงที่เปิดเสียอีก เล็กต้องมาเล่าให้เพื่อนๆฟังคร่าวๆด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

"กูว่ามึงตามมันไปดีกว่าเล็ก ท่าไม่ดีว่ะ ไอ้บอทมันใจร้อน ไอ้น้ำยิ่งไปกันใหญ่"

เดือนบอก เล็กเองก็ขับรถเครื่องมากับไก่ตามเพื่อนทั้งสองออกมา น้ำเองกอดเอวบอทไว้แน่นเพราะบอทเพิ่มความเร็วของรถเครื่องเร็วจนหวาดเสียว

"บอท ขับช้าๆหน่อยได้ไหม น้ำกลัว"

"กลัวอะไรน้ำ เห็นเราเป็นอะไร ทำไมปิดเราแบบนี้ น้ำอยากไปเรียนที่โน่นเราไม่ว่าสักคำ ใช่สิ เรามันเป็นตัวถ่วงความเจริญของน้ำนี่"

"บอท จอดนะ จอด"

ทั้งเขย่าตัวทั้งตะโกนแหกปากออกมาเสียงดัง แต่บอทเองเมาอยู่ก่อนแล้วไม่ใส่ใจฟังบิดคันเร่งเพิ่มความเร็วเข้าไปอีก

"ฟังน้ำหน่อย น้ำแค่คิด น้ำไม่ได้จะไป บอท ฟังน้ำหน่อย"

ใจหายเสียวแปลบปลาบ ไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน ไม่เคยโกรธเคืองกัน วันนี้เป็นครั้งแรก และมันรุนแรงเกินกว่าจะหยุดได้ง่ายๆ

"เราไม่สำคัญเลยใช่ไหมน้ำ อยากไปไปเลย ไม่ต้องสนใจเรา เราดีใจที่น้ำจะมีอนาคตที่ดี"

ตะโกนออกมาเช่นกัน น้ำเองสัมผัสได้ถึงหยดน้ำที่ลอยมากับลมมันกระเด็นเข้าที่ใบหน้าของตน พลันน้ำตาก็ไหลออกมา กอดร่างของบอทไว้แน่น

"น้ำไม่ไปไหนแล้วบอท น้ำไม่ไปไหนแล้ว จอดได้ไหม"

สะอื้นออกมาตัวสั่นไหวสะท้านไปจนถึงร่างของคนขับ

"น้ำเรารักน้ำนะ"

รู้ไหมว่าเวลาค่ำคืนของบ้านนอกคอกนาเช่นนี้ไม่มีแม้แสงใดจะส่องนำทางถ้าหากแม้นว่าคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืดเช่นคืนนี้ มันมืดมันวังเวง ถนนลูกรังที่ไม่สม่ำเสมอขรุขระอยู่นั้นเวลาขับขี่รถเครื่องในเวลากลางวันเองยังต้องระมัดระวัง แต่ถ้าขับด้วยความเร็วแบบนี้

"กึก โครม"

"โอ๊ย น้ำ"

"บอท"

เสียงร้องเรียกกันเสียงหลงระงมไปทั่วทั้งท้องทุ่งร่างที่ลอยออกไปจากรถเครื่องแยกสองคนแยกจากกัน ร่างของบอทไถไปกับพื้นตามแรงเหวี่ยงของรถที่เสียหลักตกหลุมขนาดใหญ่ น้ำเองตัวปลิวลอยไปไกลออกนอกถนน บอทโดนแรงเหวี่ยงลากร่างไปชนกับโคนต้นพยอมต้นใหญ่ริมถนน ส่วนน้ำกลิ้งลงนาที่เหลือแต่ซังข้าวกับฝุ่นสีแดงๆจับอยู่เต็มไปหมด

วิสัชนา มันเป็นเช่นนั้นแล ต่อให้เป็นน้ำทะเลก็ว่าจืด ต่อให้มืดท่านก็ว่าสว่างนา


เขียนโดย อิ๊กกี้


ปล. ขอพักสักสามสี่วันนะครับ อย่างเหตุผลที่รีข้างบนบอกไว้

ปล.อีกที เน่าใช่ไหม อิอิ มันเป็นนิยายนะครับ ไม่ต้องคิดมาก นับจากตอนนี้ไป ไม่มีอะไรออกมาจากไดอารี่แล้ว มันจะออกมาจากหัวไอ้ เอส+เอ็ม อย่างข้าพเจ้านี่ล่ะ วะฮ่าฮ่า

แต่คงเขียนเรื่องนี้ไม่ยาวมากหรอกนะครับ ตั้งใจจะเขียนให้ดีที่สุด เบื่อเหมือนกันเขียนเรื่องดราม่าๆ มันยากไม่ใช่ง่าย การที่จะเขียนให้คนอ่านรู้สึดอย่างที่เรารู้สึก มันไม่ง่าย อิอิ เรื่องต่อไป(ถ้ายังมีสติปัญญาอยู่นะครับ) คิดว่าจะดุเด็ดเผ็ดมัน กระซิบบอกว่า ยิ่งกว่าน้องภูมิน้า จุ๊บๆๆ น่าจะเอาตอนต่อมาลงประมาณต้นเดือน

ปล. อีกรอบ นี่ไม่ใช่การเรียกเรตติ้งนะครับ อย่าเข้าใจผิดรุมด่ากันน้า แต่มันเขียนไม่ออกจริงๆ ไม่อยากจะตัดตอนแบบนี้หรอก แต่คิดว่าตอนหน้าจะเข้าโหมดนั้นแล้ว เขียนไปได้สี่บรรทัด มันไม่ได้เลยครับ เลยหยุด ผมเลิกบุหรี่ด้วย ไปกันใหญ่ เข้าใจผมนะครับพ่อแม่พี่น้อง เหอๆๆๆ จุ๊บๆๆ รักกันๆๆ  :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 27-10-2010 05:06:54
อ้าวรถล้มเป็นไรกันมากมั้ย  :serius2:

รับแซ่บจ้า เลิกบุหรี่ระวังอ้วนนา  :z1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: Natavishi ที่ 27-10-2010 08:55:58
อ่าาาา  ...    ยัง ไง  ต่อ อ่ะ   บอท เป็น ไร ป่าว  ....
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 27-10-2010 08:56:47
eiky กะลังเลิกบุหรี่ แต่ผมกะลังจะกลับไปสูบแระเนี่ย นิยายเริ่มเครียด เห้อ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 27-10-2010 09:17:13
รถล้ม!? ขอให้ทั้งคู่ไม่้ป็นอะไร
จะเข้าโหมดดราม่าจริงจังแล้วสินะ..
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 27-10-2010 10:01:44
อย่าบอกนะว่าบอท....ก็ไถลไปชนต้นพะยอมซะขนาดนั้น  :sad4:
เล็ก ไก่ รีบตามมาให้ทันนะ

พี่แก้วส่งกำลังใจมาหมดใจเลยจ้ะ มาเป็นกำลังใจให้คุณอิ๊ก เชื่อว่าต้องเลิกได้เด็ดขาดเลยจ้ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 27-10-2010 10:14:25
ต้อนรับมาม่าจร้า  แอบดีใจที่ไม่ยาว ได้ไม่ต้องปวดตับนาน  55 ปล ขอให้พี่อิ๊กกี้เลิกบุหรี่ได้ บุหรี่ไม่ดีหรอก  เปงกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 27-10-2010 12:36:41
มีเหตุจนได้....เห็นใจบอทนะคงกลัวน้ำจะทิ้ง....
เจ็บกันขนาดไหน???....บรรยากาศเริ่มน่ากลัวแล้วนิ... :monkeysad:

 :L2: เป็นกำลังใจให้น้อง eiky ทำสำเร็จ... :a2:
ดีกับสุขภาพของตัวเราเองและคนรอบข้างนะจ๊ะ... :yeb:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 27-10-2010 13:59:02
เข้าเป็นเป็นกำลังใจให้เลิกบุหรี่ได้เจ้าค่ะ แต่ป่อจายปากมีกลิ่นบุหรี่ "นิดๆ" ก็เร้าอารมณ์ดี 555555

แต่มากๆก็ไม่ไหว


วกกลับมาบาท น้ำ ก้เอาแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว รอต่อไป
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 27-10-2010 14:20:17
เข้าเป็นเป็นกำลังใจให้เลิกบุหรี่ได้เจ้าค่ะ แต่ป่อจายปากมีกลิ่นบุหรี่ "นิดๆ" ก็เร้าอารมณ์ดี 555555


^
l
l
l
นิด ๆ คงดีมั้ง เยอะ ๆ นี่ ทั้งเสื้อผ้า กลิ่นบุหรี่เต็มไปหมด

ยิ่งมันจับหน้าเรากดไปที่หน้าอกมันนะ แทบอ๊วกกกก (อันนี้เพื่อนนะ 555+)


บอทคงไม่เป็นไรมั้ง เพราะเดี๋ยวผีอิปากแดงก็ช่วยไว้ (ต้นไม้เดียวกันปะเนี่ย น่าจะคนละที่ 555+)

เอาใจช่วยพี่อิ๊กให้เลิกได้นะค๊าบบ พ่อเพียวก็เลิกได้ตั้งนานแล้วว เพราะว่าเพียวเป็นหอบ หายใจไม่ออก 55+
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 27-10-2010 14:48:07
เป็นกำลังใจให้คุณอิ๊กเลิกบุหรี่ได้  :กอด1:
เรื่องใหม่ มันส์กว่าภูมิบุญอีกเหรอคุณอิ๊ก
 :interest:
(ตาลุกวาวด้วยความสนใจถึงขีดสุด กร๊ากกกก)



บอทกับน้ำ คงไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย?
เริ่มเห็นช่องทางดราม่าลางๆ
 :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 27-10-2010 16:16:24

ปล. ขอพักสักสามสี่วันนะครับ อย่างเหตุผลที่รีข้างบนบอกไว้

ปล.อีกที เน่าใช่ไหม อิอิ มันเป็นนิยายนะครับ ไม่ต้องคิดมาก นับจากตอนนี้ไป ไม่มีอะไรออกมาจากไดอารี่แล้ว มันจะออกมาจากหัวไอ้ เอส+เอ็ม อย่างข้าพเจ้านี่ล่ะ วะฮ่าฮ่า

แต่คงเขียนเรื่องนี้ไม่ยาวมากหรอกนะครับ ตั้งใจจะเขียนให้ดีที่สุด เบื่อเหมือนกันเขียนเรื่องดราม่าๆ มันยากไม่ใช่ง่าย การที่จะเขียนให้คนอ่านรู้สึดอย่างที่เรารู้สึก มันไม่ง่าย อิอิ เรื่องต่อไป(ถ้ายังมีสติปัญญาอยู่นะครับ) คิดว่าจะดุเด็ดเผ็ดมัน กระซิบบอกว่า ยิ่งกว่าน้องภูมิน้า จุ๊บๆๆ น่าจะเอาตอนต่อมาลงประมาณต้นเดือน

  :กอด1: :L2:

มาให้กำลังใจคุณอิ๊กกี้เลิกบุหรี่ค่ะ เห็นเขาว่าถ้ามาค่อยๆ เลิกแบบค่อยๆ ลดปริมาณลงวันละมวนสองมวนจะทำให้ไม่มีทางเลิกได้ ต้องหักดิบไปเลย ไม่รู้จริงหรือเปล่า อีกอย่างได้ยินว่าเคี้ยวหมากฝรั่งทำให้ลดความอยากสูบบุหรี่ลงได้บ้าง คุณอิ๊กกี้ลองดูนะคะ สู้ๆ นะคะที่รัก :กอด1:

by the way กลับเข้าเรื่องนิยายค่ะ น้องมิว่าไม่เห็นมันจะน้ำเน่าเลยนะคะ เรื่องอื่นที่เน่าจริงๆ มีอีกถมไป อย่าไปใส่ใจเรื่องเน่าหรือไม่เน่าเลยค่ะ เอาเป็นว่าประทับใจแฟนคลับ(อย่างน้องมิ)ค่ะ

ส่วนฉาก SM ที่ว่าจะมีในเรื่องนี้หรือเรื่องต่อไปคะคุณอิ๊กกี้ (หรือมีทั้งสองเรื่องคะ :laugh:) น้องมิล่ะตั้งตาคอยฉาก SM  :haun4:


************************

สถานฑูต คำนี้ใช ท นะคะ ไม่ใช่ ฑ หลายๆ คนมักเข้าใจผิด ต้องเป็น สถานทูต นะคะ
พิธีพราหม คำนี้ตก ณ์ ไปนะคะ ต้องเขียนว่า พราหมณ์ นะคะ
พรรณา คำนี้ตก น ไปนะคะ เพราะ ณ เป็นตัวสะกดของพยางค์หน้าไปแล้ว ต้องใส่ น ไปเป็นเสียงพยัญชนะของพยางค์หลังอีกตัวค่ะ เป็น พรรณนา ค่ะ
โพทนา คำนี้ ต้องเขียนว่า โพนทะนา นะคะ
ปฏิกริยา สมารถเขียนได้ว่า กริยา(สันสกฤต) และ กิริยา(บาลี) ก็จริงอยู่ แต่ถ้านำไปสมาสกับ ปฏิ เรามักนำคำบาลีไปสมาสนะคะ ต้องเป็น ปฏิกิริยา
เท่ห์ คำนี้ไม่ต้องมี ห์ นะคะ เท่ เฉยๆ ก็พอค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 27-10-2010 19:39:52
เดกิดอะไร ขึ้นนิ น้องบอท นู๋น้ำเป้นไรมากไหมนิ หวงๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 27-10-2010 20:53:38
เฮ้ยยย จะเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
สงสารน้ำกับบอท
เเต่น้ำมีอะไรน่าจะบอก เเฟนนะ

รอตอนต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 27-10-2010 21:08:27
เฮียอิ๊กมันจะมาแล้วใชมั๊ย ตอนที่เจ็บปวด
จะได้เตรียมตัวถูก 
เฮียอิ๊กจะเลิกบุหรี่แล้ว  ยินดีด้วยครับ  อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 27-10-2010 22:35:08
อ่าาา....เป็นไรกันมากมั้ยอ่า

ใกล้แล้วใช่มั้ย.... :z10:


ปล.สู้ๆๆนะ eiky เป็นกำลังใจให้หยุดสูบบุหรี่ให้ได้น๊า.... :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 28-10-2010 10:31:08
โอ่ยยยยยย มันมาแล้ววววววววววววT^T
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: salawinyeen ที่ 28-10-2010 10:59:31
มันกำลังเริ่มขึ้นแล้ว TT

ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวันเลย ช่วงนี้ยุ่งๆ ^^

By เด็กม.ปลายคนหนึ่ง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 28-10-2010 13:48:25
เริ่มเครียด!!!!!
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 29-10-2010 09:21:20
น้อง eiky สู้ ๆ เนะ .... :a1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 30-10-2010 14:32:41
แวะมาเยี่ยมคุณอิ๊กกี้ค่ะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 31-10-2010 16:39:56
เข้ามาดันๆๆๆ รอพี่อิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 31-10-2010 20:14:58
เป็นกำลังใจให้ในการเลิกบุหรี่นะคะ o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๒ (ตุลาคม ๒๗, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 01-11-2010 06:45:50
บทที่ ๒๓

ปุจฉา มีสิ่งใดที่เงินซื้อไม่ได้ไหมหนอ

ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายก้องอยู่ในหัว สติเหมือนดังปุยนุ่นที่ลอยละลิ่วไปตามลม หวิวๆอยู่ในใจ

"น้ำๆ อย่าหลับนะน้ำ ไอ้ไก่ไอ้บอทยังหายใจอยู่ใช่ไหม อย่าให้มันหลับ อย่าให้มันหลับ"

เล็กร้องเสียงดังลั่นโวยวายออกมาทั้งน้ำตา ร้องเรียกกันกับไก่เสียงดังระงมไปทั้งท้องทุ่ง คืนวันเลี้ยงส่งท้ายการสำเร็จหลักสูตรไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวเลวร้ายนี้จะเกิดขึ้น

"อือ"

น้ำลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความรู้สึกตึงร้าวที่แขนซ้าย

"น้ำๆ น้ำฟื้นแล้วพ่อถา"

เสียงของเล็กร้องออกมา แล้วคนมากหน้าหลายตาก็มามุงล้อมรอบเตียง

"ไม่เป็นไรแล้วนะลูก หมดเคราะห์หมดโศกกันซะที"

เสียงแม่บุญช่วยสะอื้นไห้ลูบตามหน้าของน้ำ

"บอท บอทล่ะแม่"

ครางออกมาจากลำคอ แม่บุญช่วยหันไปมองหน้าสามี เล็กเองก็เม้มปากแน่นเหมือนพยายามสะกัดกั้นความรู้สึกเอาไว้ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมามีเพียงเสียงของน้ำที่ร้องเรียกหาชื่อของคนที่รักกึกก้องห้องสีขาวนวลที่มีผ้าม่านสีฟ้ากั้นระหว่างเตียงของคนไข้

"บอทล่ะแม่ บอทอยู่ไหน"

"ใจเย็นๆลูกน้ำ บอทมันยังไม่ฟื้น"

"บอท"

ครางออกมาน้ำตาไหลอาบสองแก้ม เมินหน้าหนีไปทางอื่น กลิ่นยากลิ่นของโรงพยาบาลตลบอบอวลอยู่ ไม่เคยชอบกลิ่นนี้ไม่ว่าจะโตมาแค่ไหนก็ตาม มันเป็นกลิ่นที่น่ารังเกียจที่สุด เพราะกลิ่นนี้มันแสดงให้เห็นว่าต้องมีใครสักคนที่รักเจ็บป่วยหรือไม่สบาย

"น้ำ มึงแขนหักนะอย่าขยับมาก"

เล็กบอกออกมา จับตัวเพื่อนอย่างแผ่วเบา ในห้องยังมีเพื่อนๆอยู่อีกสามสี่คน ไม่ได้สนใจมองว่าเป็นใคร บอทยังไม่ฟื้น บอทจะเป็นอะไรมากไหมนะ ในใจคิดไปไกล ยิ่งคิดน้ำตายิ่งไหลออกมา เหตุการณ์ในคืนวันนั้นพลันก็ฉายขึ้นมาในมโนจิต เสียงร้องเรียกบอทดังลั่น หยดน้ำตาของบอทที่กระเซ็นมาโดนแก้ม ไม่เคยเห็นบอทร้องไห้เลยตั้งแต่จำความได้ คงจะเสียใจมาก คงจะผิดหวังกับสิ่งที่ตนได้พูดออกไป เสียงรถไถลไปตามพื้นถนนลูกรัง เสียงนั้นยังก้องอยู่ในหู

"บอทมันคงไม่เป็นไรหรอกมึง แต่มันเจ็บกว่ามึงมันเลยส่งไปในเมือง"

ยิ่งฟังยิ่งใจหายเม้มปากแน่นจะขยับตัวก็ร้าวที่ข้อแขนด้านซ้าย

"โอ๊ย"

"อย่าเพิ่งลุกสิน้ำ แขนมึงหักนะ"

"แขนหัก"

นี่เราเจ็บไม่มากยังแขนหักแล้วบอทล่ะ เจ็บมากกว่าเราจะเป็นอะไรไหม

"บอท เป็นอะไร เจ็บตรงไหน แม่"

ครางออกมาจ้องหน้ามารดาด้วยน้ำตา พ่อถาวรเดินมานั่งข้างเตียงจับหน้าผากของน้ำไว้

"น้ำ ฟังนะลูก บอทมันหันไปชนต้นไม้ หมอกำลังผ่าตัดเอาเลือดคั่งในสมองออก แต่ไม่ต้องเป็นห่วงถึงมือหมอแล้ว ตอนนี้น้ำรีบพักให้เยอะๆจะได้หายไวไว จะได้ไปเยี่ยมกันลูก"

เสียงที่ทุ้มกว่าปกติพยายามสร้างขวัญและกำลังใจให้น้ำ แต่รู้สึกไม่ได้เลยถึงความนุ่มทุ้มพิเศษนี้ จิตใจมันล่องลอยไปไกลแสนไกลเสียแล้ว ผ่าสมองเลยหรือ อนาถใจเหลือเกิน เพราะปากของเราเองแท้ๆ จิตใจที่โลเล ตอนแรกบอกจะไม่ไป แต่พูดออกมาได้ เรื่องมันเลยเลวร้ายแบบนี้ เคยสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ทิ้งบอทไปไหน จะอยู่ด้วยกัน แล้วพูดออกมาทำไม น้ำเม้มปากแน่นน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ถ้าบอทเป็นอะไรไปจะไม่ยอมอภัยให้ตัวเองเลย

"น้ำลูก"

ทุกคนตกใจกับอาการของน้ำที่น้ำตาเอ่อสะอื้นไห้ออกมา ทุกคนที่มองเห็นหัวใจสลายไปตามๆกัน แม่บุญช่วยทนดูอยู่ไม่ได้ต้องให้หินพาออกไปข้างนอก ไม่เคยเห็นลูกในอุทรต้องร่ำไห้เสียน้ำตามากถึงเพียงนี้ ปวดใจ ร้าวลึกลงไปในใจ

"เล็กตกลงมึงจะลงกรุงเทพฯเมื่อไหร่วะ"

ไก่ถามขึ้นหลังจากที่น้ำสงบลง

"ไม่รู้ว่ะ เลื่อนออกไปก่อน มึงจะให้กูไปได้ยังไง มึงดูไอ้น้ำสิ ไอ้บอทอีกคนจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้"

"ไม่น่าเลยเนอะ น่าสงสารมันว่ะมึง"

"อืม กูคงรอให้ไอ้น้ำมันออกจากโรงบาลก่อน รอดูอาการไอ้บอทด้วย ผ่าสมองอะไรวะเป็นวันๆ"

เล็กครางออกมาสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย เพื่อนๆทุกคนก็เหมือนกัน ตอนนี้พ่อถาวรกับแม่บุญช่วยพร้อมด้วยหินตรงไปยังในตัวจังหวัดเพื่อเข้าไปดูอาการของบอท เหลือไว้แต่เพื่อนๆของน้ำที่เฝ้าแทน พอพ่อถาวรกลับมาจากในเมืองก็เข้ามาแจ้งข่าวให้น้ำรู้ว่าบอทออกจากห้องผ่าตัดแล้วปลอดภัยดี ตอนนี้แม่นิ่มกับแม่บุญช่วยเฝ้าอยู่ อาการไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก น้ำเองจึงมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยก็ปลอดภัยดี

"มึงไม่ลงกรุงเทพฯล่ะเล็ก"

น้ำถามขึ้นเมื่อออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ทำอะไรมากนักวันๆกินๆนอนๆจะทำอะไรก็ลำบากเพราะเฝือกที่ดามอยู่ข้อแขนซ้ายมันทำให้หยิบจับอะไรก็ไม่สะดวกนัก อยากจะไปเยี่ยมบอทใจจะขาดแต่พ่อถาวรไม่ยอมเพราะเห็นว่าน้ำจิตใจยังไม่ปกติดีนัก

"รอดูอาการมึงกับไอ้บอทก่อน เดี๋ยวค่อยลง"

"ขอบใจนะเล็ก ไม่ต้องห่วงหรอก น่าจะไม่มีอะไรแล้ว"

"ทำไมซวยอย่างนี้วะ เฮ้อ"

เล็กถอนหายใจออกมาสายตามองออกไปไกลแสนไกล

"กูผิดเอง ไม่น่าพูดแบบนั้นเลย ทั้งที่ใจรู้อยู่ว่าทิ้งบอทมันไปไม่ได้ เพราะความโลเลของกูแท้ๆ"

"น้ำ"

เล็กร้องออกมาเพราะน้ำเสียงเหมือนคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงหมดพลังแห่งดวงใจ สายตาเอ่อนองไปด้วยน้ำแห่งตาที่ไม่เคยจะเหือดแห้งไปเลยนับจากออกจากโรงพยาบาล สายตาที่ตัดพ้อต่อว่าตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็น

"อย่าพูดแบบนั้นสิน้ำ มันเป็นความซวยเอง"

"ไม่เป็นไรเล็ก กูไม่เป็นไร ถ้านี่มันจะซวยก็คงเพราะกู ถ้าบอทเป็นอะไรไป กูคงไม่ให้อภัยตัวเอง กูจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเด็ดขาด"

"น้ำ"

หวิวหวิวแว่วแผ่วดังกระทบหู ไหลพรั่งพรูมาเป็นม่านน้ำตา หมดเรี่ยวหมดแรงจะก้าวขา จะพรรณนาปวดใดให้เท่าเทียม เอ่ยไม่ออกพูดไม่ได้แม้สักคำ ตอกเจ็บย้ำยอกลึกลงในใจ แต่สิ่งนี้ยังต้องทานยังรับไหว เหยียบหัวใจให้สาสมกับที่ทำ เราเจ็บนักเขาเจ็บกว่าเป็นร้อยเท่า เป็นเพราะเราปากเบาเขลาไม่คิด จะถาโถมทับมาอีกกี่สิบ ไม่เท่าสักหยิบมือเดียวที่เขาจม

ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์บอทค่อยได้ออกจากโรงพยาบาลมาพักพื้นอยู่ที่บ้าน พ่อถาวรไปรับบอทกับแม่นิ่มมาจากโรงพยาบาลไม่ให้น้ำไปด้วยแม้จะอ้อนวอนยังไงก็ไม่ยอม เพราะตอนที่น้ำไปเยี่ยมบอทตอนที่ยังไม่ฟื้นนั้น น้ำเหมือนคนเสียสติควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ตอนแรกพ่อถาวรไม่ยอมให้ไปแต่ด้วยน้ำอ้อนวอนร่ำไห้อยู่จึงใจอ่อน แต่คราวนี้พ่อถาวรจึงไม่ยอมให้ไปด้วยไม่ว่าจะคร่ำครวญมากเพียงใดก็ตาม

เล็กกับเพื่อนๆทุกคนลงกรุงเทพฯไปเกือบหมดแล้วเหลือเพียงเอ๋เพียงคนเดียวที่รอน้ากลับมาจากกรุงเทพฯแล้วค่อยลงไปพร้อมกัน เอ๋มาเยี่ยมน้ำทุกวันแม้แขนจะยังมีเฝือกดามไว้อยู่แต่ก็ไม่เจ็บเท่าอาทิตย์แรกเท่าใดนัก กำลังใจจากเพื่อนทำให้น้ำกล่าวโทษตัวเองน้อยลงกว่าเดิม เรื่องที่เกิดขึ้นมันเกินกว่าอำนาจของใครจะมาตัดสินว่าใครผิดหรือเกิดเพราะ ใครน้ำเองเริ่มเข้าใจในจุดนี้แต่ในใจลึกๆก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

รถกระบะพ่อถาวรมาจอดตรงหน้าบ้าน น้ำวิ่งออกไปรับด้วยหัวใจที่สั่นไหว เอ๋คอยยืนอยู่ไม่ห่างจากน้ำมากนัก พอประตูรถเปิดออกแม่นิ่มก้าวลงจากรถเป็นคนแรก สีหน้าซูบซีดไปนัยน์ตาแลดูแห้งผาก แม่นิ่มหันมามองหน้าน้ำแค่ครู่เดียวในแววตานั้นมีความในใจมากมายที่อยากจะระบายแต่ก็ต้องหันเข้าไปพยุงตัวของบอทออกมาจากรถ

"บอท"

เซถอยหลังไปจนเอ๋ต้องประคองตัวไว้ ภาพที่เห็นมันคือร่างของคนที่รัก รักหมดทั้งใจ บนหัวมีผ้าพันแผลพันอยู่จนไม่มีช่องว่างให้เห็นพื้นที่ของศีรษะ แววตาของบอทดูเซื่องซึมลอยไม่จ้องมองผู้ใด เนื้อตัวดูซูบไปถนัดตา

"พาน้ำเข้าไปในบ้านให้พ่อหน่อยลูก"

"น้ำ โธ่"

เสียงแม่บุญช่วยร้องออกมา เพราะน้ำทรุดจนไม่มีแรงจะเดิน เอ๋เองพยายามลากตัวน้ำเข้าบ้านไป ไม่มีสติปัญญาใดจะมาพยุงร่างนี้ให้เดินเหินได้อย่างปกติ ใจมันสลาย ภาพที่เห็นมันสะท้อนความเจ็บปวดออกมาจากใจ สายน้ำเกลือที่ระโยงระยางอยู่ตามข้อแขนเห็นแล้วบีบใจเหลือเกิน แววตาที่ค้างเติ่งอยู่กับอะไรบางอย่างเบื้องหน้ามันไม่มีแววของคนรักคนเดิมอยู่เลย

"บอทไม่เป็นไรแล้วล่ะน้ำ ไม่ต้องห่วง"

แม่นิ่มพูดออกมา ไม่เป็นอะไรแต่ทำไมแม่นิ่มเสียน้ำตา ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมทำท่าเหมือนปวดใจเช่นนั้น

"บอท บอทน้ำขอโทษนะ น้ำไม่ไปไหนแล้ว น้ำจะไปเรียนกับบอท"

ร้องออกมาน้ำตานองหน้า เอ๋กอดร่างของน้ำไว้น้ำตาเล็ดออกมาเช่นกัน แม่บุญช่วยทนเห็นไม่ได้พยักหน้าให้แม่นิ่มกับพ่อถาวรพยุงร่างของบทขึ้นบ้านไป สายตาของบอทยังแน่นิ่งเหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีแววตาขี้เล่นเช่นที่เคยมี ไม่มีประกายแห่งตา มีเพียงความแห้งแล้งของลูกตาภายใต้เบ้าตาที่ลึกกลวงนั้นที่ทอดมองมา ใจหายร่วงหล่นไปเมื่อได้เห็น

"หมอให้พักเยอะๆก่อนนะน้ำ ยังไม่อยากให้บอทมันพูดอะไรมาก แต่ดีขึ้นมากแล้วเห็นไหม"

แม่นิ่มเอ่ยออกมาหลังจากพาบอทไปนอนที่แคร่ใต้ถุนบ้าน

"ตรงนี้เย็นดีนะแม่นิ่ม แต่ยุงไม่กัดเอาเหรอ ไปเอามุ้งมากางดีกว่านะ"

แม่บุญช่วยบอกแล้วจัดแจงสถานที่ช่วยกันกับแม่นิ่ม ของกินของใช้ที่ขนมาจากโรงพยาบาลเหมือนของเด็กอ่อนเก็บอย่างดีให้ปลอดเชื้อ

"บอท เจ็บตรงไหนไหม บอทน้ำไม่ได้ตั้งในนะ บอทหายไวไวนะ บอท"

"น้ำพอได้แล้ว รบกวนบอทมันพักผ่อนลูก น้ำก็เห็นอยู่ว่าบอทมันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อย่ามาตีโพยตีพายให้คนอื่นเขาใจไม่ดีไม่ด้วย"

แม่บุญช่วยเอ็ดเอา น้ำเม้มปากแน่นจ้องมองใบหน้าชายคนรักด้วยสายตาที่วิงวอนขอร้อง แค่ให้เขาหันมองมาแค่เพียงสักวินาที แต่ไม่เลยสายตาของบอทนิ่งจับจ้องอยู่กับลมหรืออะไรสักอย่างเบื้องหน้า เคยถูกมองด้วยสายตาที่ว่างเปล่าไหม สายตาที่ไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความรักความผูกพันในแววตานั้น มันเหมือนมองจ้องอยู่กับก้อนหินต้นไม้ เจ็บนะ เจ็บปวดเหลือเกิน

"มันไม่เป็นไรแล้วล่ะน้ำ มันต้องพักอีกสักหน่อยล่ะคงจะดีขึ้น อย่าเพิ่งไปรีบไปเร่งอะไรมันเลย"

เอ๋ตบบ่าน้ำเบาๆ ถ่ายถอนลมหายใจออกมา นับจากที่รับรู้ว่าเพื่อนสองคนนี้มีอะไรลึกซึ้งกันเกินกว่าเพื่อนรักธรรมดา เอ๋เองก็ลำบากใจ แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้กลับเห็นอกเห็นใจ บอกกับตัวเองว่าต้องเข้มแข็งอย่างน้อยเวลาน้ำหันหน้าไปหาจะได้เป็นที่พึ่งให้น้ำได้บ้าง เพราะตอนนี้เล็กเองก็ไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว คนที่สนิทกับน้ำก็เห็นจะมีแต่เอ๋เท่านั้น

"บอทมันโกรธกูใช่ไหมเอ๋ ทำไมมันไม่พูดกับกูสักคำ มันยังโกรธกูใช่ไหม"

คร่ำครวญออกมาเม้มปากแน่น คิมหันตฤดูอากาศที่อบอ้าวร้อนแรงไปด้วยไอแดดนี้ยิ่งทำให้คนที่เจ็บไข้อยู่รู้สึกรำคาญไม่สบายตัว พอมาเจอเรื่องกระทบกระทั่งใจแล้วไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ อันป่วยไข้นั้นมันจะหายได้เร็วหรือ

"บ้าเหรอน้ำ ทำไมมึงพูดแบบนั้น มันไม่ได้โกรธมึงหรอก กูรู้ มึงดูสภาพมันสิ มันจะมาโกรธมาเคืองอะไรมึงได้"

"ทำไม ทำไมมันไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้ากู เอ๋ ทำไม"

"มันคงยังช็อคอยู่น่ะมึง มึงให้เวลามันหน่อย รอให้มันหายดีก่อน"

เอ๋เองก็ได้แต่ปลอบเพราะคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว เพราะท่าทางของน้ำเองเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก และกว่าที่น้ำจะมีกำลังใจกลับมาเหมือนเดิมก็ใช้เวลานานพอสมควร

"บอทกินข้าวต้มหน่อยนะ น้ำต้มข้าวต้มไก่มาให้"

นั่งลงข้างๆแคร่แล้วตักข้าวต้มเป่าลมออกจากปากยื่นใส่ปากให้บอท

"ป้าเพิ่งป้อนมันเมื่อกี๊นี่เองน้ำ ขอบใจนะลูก"

เสียงดังมาจากแม่นิ่มที่กำลังล้างถ้วยชามอยู่ สายตาของบอทยังว่างเปล่าเหมือนเดิม มองหน้าน้ำเหมือนมองกระดาษเปล่าที่ไม่มีตัวอักษร มันว่างไม่มีอะไรเสียจนน่าใจหาย น้ำกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เอื้อมมือไปแตะแขนบอทอย่างแผ่วเบา

"ยังเจ็บอยู่ไหมบอท ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่า"

บอทหันมามองหน้าน้ำแล้วส่ายหน้าเบาๆ

"แม่นิ่มๆ บอทมีปฏิกริยาแล้ว แม่นิ่ม"

ร้องออกมาอย่างดีใจ

"มันรู้เรื่องตั้งนานแล้วล่ะน้ำ แค่ยังไม่ยอมพูดแต่คงอีกไม่นานหรอก มันก็คงเหมือนเดิม จะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที"

คงเป็นเพราะแค่มานอนเฝ้าอยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้าใกล้มากเพราะเวลาใดที่เข้าใกล้บอท น้ำเองควบคุมตัวเองไม่ได้เลย อดไม่ได้ที่จะเสียน้ำตา กลั้นไม่อยู่ สภาพของคนรักเบื้องหน้ามันสะท้อนใจอย่างรุนแรง สายตาที่ทอดมามันอ่อนล้าไม่มีพลังแห่งใจ มันว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย แต่คนที่เฝ้ามองอยู่กลับเจ็บปวดรวดร้าวลึกลงไปภายใน

๒๒ เมษายน

รู้ไหมบอทว่ากูเสียใจมาก เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่อยากจะโทษตัวเองนะ แต่ถ้ากูไม่พูดแบบนั้นออกไปวันนั้น ป่านนี้เราคงกำลังเตรียมตัวจะลงกรุงเทพฯกัน คงคุยกันเรื่องการเรียนที่รามฯ แล้วตอนนี้ล่ะเรากำลังทำอะไรอยู่ เห็นสภาพมึงแล้วกูแทบไม่อยากจะหายใจ เจ็บเหลือเกิน สายตาที่มึงมองมา เหมือนกูเป็นแค่อากาศ แต่ไม่เป็นไรในเมื่อกูเป็นคนเริ่มมันขึ้นมากูยอมรับผิดเองแต่ผู้เดียว สงสารมึงที่ต้องมาทนทุกข์ทรมานแบบนี้ สงสารแม่นิ่มที่ต้องมาดูแลประคบประหงมมึง สงสารทุกคน นี่มันคงเป็นกรรมที่ตามสนองคนปากเปราะใจโลเลอย่างกูสินะ แต่ทำไมไม่ลงโทษกูคนเดียว ทำไมต้องเอาคนอื่นมารับเคาระห์แทนกูด้วย กูเสียใจ กูเสียใจมากนะ มึงรู้ไหม

ผ่านวันเป็นคืน ผ่านคือเป็นสัปดาห์ ผ่านสัปดาห์เป็นเดือน บอทเอาผ้าที่พันศีรษะอยู่ออกแล้ว บริเวณที่หมอผ่าตัดเป็นทางยาวตรงทัดดอกไม้ด้านขวา เส้นผมที่เริ่มยาวพอจะปิดบังรอยนั้นได้บ้าง แผลหายเร็วเพราะแม่บุญช่วยล้างแผลให้เช้าเย็นดูแลให้เป็นอย่างดี น้ำเองเอาเฝือกออกแล้วเช่นกันแต่ยังยกของหนักไม่ได้ อึดอัดรำคาญกับแขนตัวเองที่ทำงานได้ไม่เหมือนเดิม บอทเริ่มพูดคุยแล้ว แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

"บอทลงไปนาไหม ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกัน"

น้ำชวนขึ้นในตอนเย็นหลังจากที่งุ่นง่านอยู่ทั้งวันไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป้นอัน

"ทำไมไปดูพระอาทิตย์ตกดิน เราไม่ชอบ"

เอ่ยออกมาเสียงเรียบๆ แต่มันเสียดใจคนถามอย่างประหลาด

"อ้อ ได้ๆ บอทอยากไปไหนไหม เดี๋ยวน้ำพาไป"

"ไม่อ่ะ แม่บอกว่าเรารถล้ม กลัวจะซ้ำรอยเดิมอีก"

น้ำเม้มปากแน่น คงยังไม่ลืมสินะ ก็โทษมันใหญ่โตขนาดนี้คงให้อภัยกันง่ายๆไม่ได้หรอก

"ไม่เป็นไร งั้นคืนนี้น้ำมานอนด้วยนะบอท นานแล้วนะที่เราไม่ได้นอนกอดกัน"

"หือ ทำไมอ่ะ ทำไมเราต้องนอนกอดนาย

"เอ่อ บอท อย่าทำแบบนี้ได้ไหม น้ำขอโทษ เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นน้ำผิดเอง แต่อย่าทำแบบนี้ได้ไหม น้ำขอร้อง"

ครางออกมาเสียงสั่น

"เราไม่ได้โทษนายนะ แต่เราว่ามันประหลาดที่ผู้ชายจะมานอนกอดกัน"

"บอท บอทลืมไปแล้วเหรอว่าน้ำเป็นอะไรกับบอท"

ทวงถามความสำคัญแห่งตน แต่สายตาที่มองมามองหน้าน้ำเหมือนไม่มีความหมายอะไร

"แม่บอกว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน"

สะอึกกลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาลงไปในคอ จะไปคาดไปเค้นเอาอะไรกับคนที่เพิ่งจะหายป่วย น้ำตัดใจที่จะถามเอาความในตอนนี้

"น้ำ แม่มีเรื่องจะบอก"

พอเดินกลับมาบ้าน แม่บุญช่วยเห็นสีหน้าของลูกชายแล้วก็ห่อเหี่ยวใจ

"เรื่องบอทน่ะลูก"

"ครับแม่ น้ำรู้ดีครับว่าบอทคงโกรธน้ำมากที่ทำให้มันเจ็บขนาดนั้น แต่น้ำไม่ได้ตั้งใจนะแม่ น้ำไม่ได้ตั้งใจ"

ครางออกมาอกของมารดาแทบสลาย

"น้ำ อย่าพูดอย่างนั้นสิลูก บอทมันสูญเสียความจำนะ"

น้ำเน่าเหมือนในนิยาย เหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่มารดากำลังเอ่ยออกมา

"อะไรนะแม่"

ร้องขึ้นเสียงดัง

"บอทมันสูญเสียความทรงจำ หัวมันไปกระแทกกับต้นไม้ หมอบอกดีนะที่ไม่พิการ"

ทรุดลงกับพื้นหมดเรี่ยวแรง น้ำตาไหลอาบนองหน้า แม่บุญช่วยปรี่เข้ามาพยุงตัวเอาไว้

"ทำไม ทำไมไม่มีใครบอกน้ำ แม่ทำไม"

คร่ำครวญออกมา เสียงสะอื้นบาดลึกลงไปในทรวง

"แม่ไม่ได้จะปิดน้ำ แต่น้ำเองก็เจ็บ แม่อยากให้เราหายดีก่อนนะลูก"

"น้ำเจ็บแค่นี้ แล้วบอท แม่บอทมันเสียอะไรไป มันไม่เท่ากันเลย มันเทียบกันไม่ได้เลย"

"แม่รู้น้ำ แม่รู้"

สองแม่ลูกกอดกันอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน พ่อถาวรกลับมาเจอพอรู้ว่าเรื่องราวมันคืออะไรก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมา สักวันน้ำก็ต้องรู้ เพราะบอทมันคงไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ

"บอท บอทจำเราได้หรือเปล่า นี่น้ำนะ น้ำนะบอท"

น้ำเดินมาหาบอทที่บ้านอยากจะรู้ความจริง สายใยรักที่มีให้กัน เขาจำไม่ได้เลยหรือ หรือว่าสูญเสียไปแล้วทุกอย่าง

"บอทบอกน้ำมาสิว่าบอทจำน้ำไม่ได้ บอทบอกน้ำมา"

บอททำท่าตกใจเพราะน้ำร้องไห้คร่ำครวญอยู่ต่อหน้าเขย่าตัวอยู่

"นายเป็นเพื่อนรักเราไงน้ำ"

"บอท บอทจำอะไรไม่ได้จริงๆเหรอ"

"เราไม่รู้ เราจำไม่ได้ เราไม่รู้"

บอทเริ่มส่ายหน้า สีหน้าท่าทางเหมือนคนกำลังหนีอะไรบางอย่างอยู่

"น้ำพอแล้วลูก พอแล้ว อย่าเพิ่งไปคาดคั้นเอาอะไรจากมัน หมอบอกให้มันพักฟื้นสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น"

แม่นิ่มร้องออกมาทนดูอยู่ไม่ได้ น้ำเองยอมสงบนิ่งลง จ้องมองหน้าคนรักด้วยม่านของน้ำตา จริงสินะคงไม่ใช่มีแต่เราคนเดียวหรอกที่เสียใจ ทุกๆคนคงไม่อยากให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ขอโทษนะบอท

ใจหวิวปลิวลอยละลิ่วล่อง      ยามเมื่อจ้องมองไปในใบหน้า

คนรักที่เคยกอดอยู่ทุกครา      รักในตามันห่างเหินแปรเปลี่ยนไป

หวิวหวิวสั่นไหวอยู่ในอก        ดังตกจากฟากฟ้าที่สดใส

ดิ่งลงสู่ก้นเหวที่มืดไซร้          ดั่งดวงใจไร้แสงแรงพลัง

ถามว่ายังจำกันได้บ้างไหม     จำสายใยที่ทอถักในครานั้น

ยังจำดาวจำเดือนที่คืนวัน      มีเธอฉันในอ้อมกอดของหมู่ดาว

ฤๅมันเลือนหายไปกับอากาศ    วิปลาสสวรรค์แตกในกลางหาว

เหลือเพียงเราที่นอนนับดวงดาว     อยู่ในอ่าวของอารมณ์แสนเดียวดาย

วิสัชนา สิ่งนั้นคือความจริงใจใช่หรือไม่


เขียนโดย อิ๊กกี้


ปล ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับ ลดได้เยอะแล้วล่ะ แต่ก็ยังไม่หายขาด อยากจะหักดิบเหมือนกันแต่ยากนะ ทรมานจังเลย เวลาจะทำอะไรมันชอบคิดถึงแต่บุหรี่ๆ เหอๆๆ เอาว้อย สู้ๆๆๆ

น้ำเน่ามะเพื่อนๆ อิอิ เน่าเนอะ แต่เอาเถอะพล็อตมันมาแบบนี้ก็จวกไปแบบนี้ ทนอ่านหน่อยน้า ถือว่าอ่านกลอนเล่นๆ อ่านที่คนเขียนเพ้อเล่นๆ เบรคอารมณ์กันหน่อย เรื่องหน้าค่อยว่ากันใหม่ ขอบคุณคร้าบ จุ๊บๆๆ :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 01-11-2010 07:58:29
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 01-11-2010 10:14:22
มาให้กำลังใจคุณอิ๊กกี้เลิกบุหรี่ให้สำเร็จค่ะ สู้ๆ นะคะ  :กอด1:

ที่แท้มันเป็นแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้สองคนต้องแยกจากกัน  :เฮ้อ:
อยากกอ่านต่อแล้วค่ะ อยากรู้ว่าเรื่องจะดำเนินไปอย่างไรต่อ

กลอนตอนปิดเรื่องเศร้าจังนะคะ แต่ก็เพราะดี
 :จุ๊บๆ:+1 สำหรับกลอนเพราะๆ ค่ะ

ปล. เจอกันวันศุกร์นะคะที่รัก น้องมิเปิดเทอมแล้ว วันนี้กำลังจะกลับหอ แต่แวะมาดูคุณอิ๊กกี้ก่อน มาต่อต่อจริงๆ ด้วย
 :m4:

********************

ปากเปราะ คำนี้แปลว่า พูดจาทักทายเก่ง พูดจาว่าคนง่าย แต่ในบริบทที่น้ำโทษตัวเองว่าไม่น่าจะพูดเรื่องไปเรียนอเมริกา เพราะเหตุนี้จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้น น่าจะใช้คำว่า ปากไม่มีหูรูด  เพราะหมายถึง พูดโดยที่ไม่ยั้งคิดก่อนว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด (ลองหาดูนะคะ น้องมิกลับไปหาแล้วไม่เจอ)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-11-2010 10:37:32
สงสารน้ำจัง แบกรับทั้งควมทุกข์ทั้งความรู้สึกผิดไว้เพียงผู้เดียว

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 01-11-2010 10:37:40
น้ำตาไหลพราก เลยนิ ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 01-11-2010 10:41:07
 :m15: :m15: :m15: :m15:
สงสารน้ำอ่ะคุณอิ๊ก  :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 01-11-2010 11:57:06
อ่านแล้วน้ำตาจะไหลน๊า...
สงสารทุกคนเลย..
หรือว่าบอทจะแกล้งความจำเสื่อมเพื่อจะได้ให้น้ำไปเรียน เมืองนอก..??? รอลุ้นกันต่อไป

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 01-11-2010 12:29:03
 :sad11:เจ็บปวดตาม ๆ กันไป....บอทความจำเสื่อม...
น้องน้ำจ๋า....อดทนนะจ๊ะ....สักวันบอทคนเดิมต้องกลับมา... :กอด1:

น้อง eiky.....เอาอีก ๆ ...ตอนนี้มาม่าแค่ครึ่งซองเอง..... :m19:
 :กอด1: น้องน้ำ กะ น้อง eiky  :L2:
กด + ให้กำลังใจน้องน้ำอย่างแร๊งงงง.....

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 01-11-2010 13:01:32
บอทความจำเสื่อม  :เฮ้อ:
มันเลยเป็นที่มาของสนิมน้ำค้างใช่มั้ย?
สงสารบอท เจ็บตัว หนักด้วย
สงสารน้ำ เจ็บทั้งตัวท้้งใจ

รออ่านต่อๆไป..


คุณอิ๊ก เราเคยดูโทรทัศน์เจอพวกหมากฝรั่งสำหรับคนที่จะเลิกบุหรี่นะ
(เคยเปิดเจอ นานละ)
รู้สึกจะพวกทีมวิจัยของมศว. เป็นคนคิดและผลิต
สู้ต่อไปนะคุณอิ๊ก เป็นกำลังใจให้
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 01-11-2010 13:30:30
กลับมาอ่านรวดเดียว

อ่านไปตอนท้ายน้ำตาไหลอ่า

ทำไมชีวิตน้ำต้องเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ

น่าสงสารอ่ะครับ น้ำต้องสู้ต่อไปนะ บอทเองก็เรียกความจำกลับมาให้ได้ไวไวนะ o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 01-11-2010 14:14:18
 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 01-11-2010 16:54:15
ถ้าต้องจากกันอย่างนี้ คนที่เจ็บที่สุดคือน้ำนะ สงสารจับใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 01-11-2010 17:07:06
ชิว ๆ ค่ะอิ๊ก แค่นี้ไม่ทำให้ป้าแก่ ๆ น้ำตาหยดเลย

ขออีกสักหน่อยดิค่ะ คุณชายอิ๊ก 555


หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 01-11-2010 17:29:03
เหอเหอ  จำกันไม่ได้  ใจดำจัง  อย่างนี้ พี่น้ำก็เจ็บคนเดียวอิ
เฮียอิ๊กสู้ๆนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 01-11-2010 18:52:57
 :o12: :o12:
สงสารน้ำอ่ะ...
แบบนี้น้ำก้เจ็บอยู่ฝ่ายเดียวสิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 01-11-2010 19:10:42
มาม่าจริงๆ สงสารน้ำ :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 01-11-2010 21:51:23
มาม่าเนอะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 01-11-2010 21:58:16
พี่อิ๊คเจ้าพ่อดราม่า อิอิ

รอตอนต่อไปจ๊ะ

 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 01-11-2010 23:35:59
ฮือออออออออออออ ปวดตับ T^T
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๓ (พฤศจิกายน ๑, ๒๕๕๓) หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 03-11-2010 10:25:25
บทที่ ๒๔

ปุจฉา เงาไม้ในน้ำสะท้อนสิ่งใดหนอ

"บอท มึงเห็นใจน้ำมันด้วยสิ แม่รู้ว่าจำอะไรยังไม่ได้ แต่อย่าไปหักหาญน้ำใจน้ำมันขนาดนั้น ไม่สงสารน้ำมันเหรอ มึงเจ็บมีแต่น้ำนะที่มาเฝ้ามาดูแล ก่อนที่ยังไม่มีเรื่องสองคนมึงรักกันมากนะรู้ไหม"

แม่นิ่มเอ่ยขึ้นน้ำตาคลอตาหลังจากที่น้ำกลับบ้านไปด้วยร่างที่ไร้วิญญาณ รู้ว่าจำอะไรไม่ได้ แต่ก็รับไม่ได้อยู่ดี ทำใจให้รับว่าเราเป็นส่วนของความทรงจำที่หายไปจากสมองน่ะหรือ ให้ทำใจยังไง

"ก็ผมจำไม่ได้นี่แม่ แต่คุ้นๆหน้าเหลือเกิน"

บอทครางออกมาก้มหน้าลงพยายามจะรื้อฟื้นความทรงจำ

"ไม่คุ้นได้ยังไง กินก็กินด้วยกัน นอนก็นอนด้วยกัน มึงกับน้ำน่ะตัวติดกันไม่เคยห่าง จะพูดอะไรก็เห็นใจมันหน่อยนะลูก แม่รู้ว่าเรายังจำไม่ได้ บางเรื่องเออออไปกับน้ำมันหน่อย แม่เห็นแล้วปวดใจ"

แม่นิ่มจับมือลุกชายไว้ บอทเองก็พยักหน้าเหมือนจะตอบรับ แต่แววตาก็ครุ่นคิดอยู่

๒ พฤษภาคม

ไม่เคยรู้สึกเจ็บอย่างนี้มาก่อนเลย เหมือนกูเป็นอากาศธาตุ ไม่มีคุณค่าใด สายตาที่มึงมองมากูเป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียใจนะที่มึงจำอะไรไม่ได้ แต่ทำไมต้องเป็นกูด้วยที่มึงต้องลืมหรือถูกลบไป จำอะไรไม่ได้ไม่ว่าเลยแต่อย่าลืมกูได้ไหม กูทำใจไม่ได้บอท กูทำใจไม่ได้เลย มันเจ็บเหลือเกิน ให้กูอยู่แบบไม่มีลมหายใจยังจะดีเสียกว่าถ้าอยู่กับมึงแล้วกูเป็นแค่ใครบาง คนที่มึงพยายามจะจำ นี่กูทำผิดมากเลยใช่ไหม โทษที่กูได้รับมันถึงมากมายถึงเพียงนี้ เสียใจว่ะ กูเสียใจมาก อยากให้มึงรู้ไว้ ว่ากูเสียใจมากจริงๆ

ก้มหน้าลงกับไดอารี่เม้มปากแน่นไม่อยากให้เสียงสะอื้นลอดออกมา รู้ตัวดีว่าไม่มีเพียงแต่ตนเท่านั้นที่เจ็บปวด พ่อถาวรแม่บุญช่วย หรือแม้แต่หินเองก็เจ็บเมื่อเห็นสภาพของน้ำที่อยู่แบบคนไร้ซึ่งจิตวิญญาณแบบ นี้ เม้มปากแน่นเอามือบีบจมูกไว้ให้เพียงแต่น้ำตามันไหลออกมา ความเจ็บช้ำที่เค้นดันขึ้นมาจากกลางทรวงอกตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ พออ้าปากจะระบายลมนั้นออกมากลับเป็นสะอื้นเสีย ร่างโยนสั่นไหว

"น้ำเย็นนี้กูจะลงกรุงเทพฯแล้วนะ มึงล่ะจะลงเมื่อไหร่ น้ากูบอกว่ารามฯเขาเปิดรับนักศึกษาใหม่แล้วนะมึง"

เอ๋เข้ามาหาน้ำในตอนบ่ายเห็นน้ำนั่งมองบอทอยู่ไกลๆ สำหรับเอ๋เองไม่เคยเห็นสองคนนี้ตัวห่างจากกันเกินช่วงแขนเลยตั้งแต่เรียน ชั้นอนุบาลจนถึงจบ ม ปลาย นี่นับเป็นครั้งแรกที่เห็น สะท้อนใจ สมเพชเวทนาน้ำมาก ไม่ได้อยากจะถามเพราะว่าตนเป็นเพื่อนที่น้ำคอยปรับทุกข์ได้เพียงคนเดียวใน ตอนนี้ แต่ถึงเวลาก็ต้องแยกย้ายจากกันไป เรื่องเรียนน้ำเองก็ให้ความสำคัญแต่ถ้าบอทยังเป็นอยู่อย่างนี้น้ำเองก็คงจะ ยังไม่ไปไหน

"กูคงรอบอทก่อนว่ะมึง จะทิ้งมันไปได้ยังไง"

"อืม กูเห็นใจมึงนะน้ำ เอางี้ดิไปลงรามฯที่วิทยาเขตอำนาจเจริญไว้ดิ พอบอทมันหายค่อยไปโอนหน่วยกิต"

"ไม่ดีกว่ามึง กูอยากเรียนพร้อมบอท จบก็จบด้วยกัน"

"น้ำ"

ได้แต่เอามือแตะบ่าเพื่อนเอาไว้ เพราะสีหน้าแววตาดูมุ่งมั่นเหลือเกิน

"แล้วมันล่ะเป็นไงบ้าง"

เอ๋บุ้ยปากไปทางบอทที่นั่งพลิกตำราไปเรื่อยๆอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้าน

"ก็ดีขึ้นนะสภาพทางร่างกายและจิตใจ แต่แค่จำกูไม่ได้แค่นั้นเอง"

ปลายประโยคเลือนหายไปกับก้อนน้ำลายที่กลืนลงคอ เอ๋เม้มปากแน่น ในคำพูดนั้นมันมีอะไรหลายอย่างแฝงอยู่ มันเสียดแทงใจคนฟังเหลือเกิน แล้วตัวของคนที่พูดเองล่ะจะเป็นอย่างไร

"บอท เป็นไงบ้าง จำอะไรได้บ้างหรือยัง"

เอ๋ทนนั่งดูสภาพน้ำไม่ได้อีกต่อไปเดินตรงไปาหาบอท รายนั้นเงยหน้าขึ้นมาดูน้อยๆแล้วยิ้ม

"ก็ดี นาย"

"อะไรยะ อย่าบอกนะว่าจำชั้นไม่ได้ ไอ้บอทมากไปแล้วนะ คนสวยสุดของห้องมึงจำไม่ได้เหรอ"

เอ๋พยายามทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น แต่บอททำหน้างงๆ

"นายเป็นผู้ชาย จะสวยได้ยังไง เราไม่เข้าใจ"

"เอ่อ อย่ามาทำไก๋ไอ้บอท แหมอะไรแค่นี้ทำเป็นลืมเพื่อนลืมฝูงไอ้บ้า อย่าตีบื้อนานนะมึง"

"ขอโทษ เราจำไม่ได้"

เอ๋เองแม้จะเป็นคนร่าเริงเป็นที่รักของเพื่อนๆทุกคนในห้อง หรือแม้แต่ผู้พบเห็นด้วยบุคลิกที่สนุกสนานเข้ากับคนได้ง่าย พอเห็นสีหน้าแววตาของบอทแล้วเอ๋เองถึงกับพูดไม่ออกสะอึกจุกอยู่ในคอ เข้าใจน้ำอย่างถ่องแท้แล้ว นี่เป็นแค่เพื่อนสนิท ไม่ใช่คนที่รักอย่างน้ำยังรู้สึกเจ็บแปลบประหลาดอยู่ในใจ แล้วคนที่รักกันมาตั้งแต่วัยเยาว์อย่างน้ำล่ะ

"น้ำ เข้มแข็งไว้นะ กูว่าเดี๋ยวมันคงดีขึ้น"

"อืม เจอกันที่รามนะมึง ติดต่ออีเล็กไว้นะ จะได้ตามตัวได้"

"น้ำ มึงยังมีกูกับอีเล็กนะ อย่าเพิ่งท้อนะเพื่อน"

เป็นเอ๋ที่โผเข้ามากอดน้ำ พอร่างสัมผัสกันน้ำเองก็ร้องไห้ออกมา ไม่ได้อ่อนแอแต่มันตื้นตัน การร้องไห้ใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียหรือเป็นสัญลักษณ์ของความเจ็บปวดแต่อย่างใด ไม่ น้ำตา การร้องไห้ มันคือความปลาบปลื้มตื้นตันใจ มันเป็นการแทนสัญลักษณ์ของสิ่งนี้เช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็มีคนที่เข้าใจและเห็นใจ พอเอ๋กลับบ้านไปน้ำก็เดินไปหาบอทเพื่อจะหาข้าวให้กิน

"หิวไหมบอท เดี๋ยวน้ำจะไปเอาข้าวมาให้กิน"

"ไม่อ่ะ เราไม่หิว"

"กินมะม่วงน้ำปลาหวานไหม"

"ฮื่อ"

ส่ายหน้า น้ำเองเม้มปากแน่น

"บอท สร้อยที่ใส่อ่ะ ใครให้เหรอ จำได้ไหม"

แม้จะรู้ดีว่ามันปวดใจแต่ก็อยากจะรื้อฟื้นความทรงจำ

"เราจำไม่ได้ แต่เรารู้สึกผูกพันกับสร้อยเส้นนี้มาก"

"ฮึก"

รีบเอามืออุดปากของตัวเองไว้ น้ำยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

"บอท จำน้ำไม่ได้ไม่เป็นไรนะ จำว่าเราเคยรักกันมากแค่ไหนไม่ได้ไม่เป็นไร แต่บอทอย่าถอดสร้อยเส้นนี้นะ"

"ทำไมอ่ะ"

"ถ้าบอทรู้สึกผูกพันกับมัน แสดงว่าคนให้ต้องสำคัญกับบอทมากน่ะสิ รับปากเราได้ไหมอย่าถอดมันออก"

"อืม เราจะไม่ถอดมันออก"

น้ำเดินหนีไปด้วยหัวใจที่ทั้งแปลบปลาบและระคนอยู่ด้วยความดีใจ จำไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ขออย่าได้เหยียบย่ำหัวใจกันให้มากไปกว่านี้เลย แค่รู้สึกผูกพันกับสิ่งที่ให้ไปก็ดีใจมากแล้ว

ยืนมองตะวันฉายลาลับฟ้า พลันน้ำตาก็ท่วมก็เอ่อไหล เสียงสะท้อนกึกก้องในหัวใจ อย่าไปไหนจับมือฉันไว้ก่อนนะคนดี จะสูญเสียสิ้นแล้วทุกสิ่งอย่าง แม้เพียงร่างจะเลือนจะจางหาย แต่ดวงใจดวงนี้ยังไม่วาย ต่อทุกลมหายใจเข้าออกมันคือเธอ กลับเถิดกลับมาเถิดที่รัก ใจเธอจะพักอยู่ที่ใดขอให้รู้ อย่าทิ้งฉันอย่าปล่อยให้อดสู ให้ฉันเฝ้าทนดูเพียงร่างที่ไร้หัวใจ อ้อมกอดนั้นฉันเคยได้เป็นเจ้าของ แต่จับต้องก็ป่ายออกใจสั่นไหว เม้มปากแน่นนี่เธอเปลี่ยนแปลงไป พยายามทำใจว่ามันคือกรรม ที่แห่งนี้เคยมีสองกายที่เคียงข้าง เงาสองร่างทอดผ่านใบไม้ไหว แต่ตอนนี้มีเพียงร่างที่ปวดใจ คือฉันคนนี้นี่ไงพ่อแก้วตา

กลางเดือนพฤษภาคมสภาพร่างกายของบอทเริ่มดีขึ้นมากแผลแห้งสนิทดีแล้ว ผิวพรรณที่เหี่ยวแห้งไปเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้น ผมที่ยาวขึ้นมาน้ำเองเป็นคนตัดเล็มให้รวมถึงหนวดเคราก็เป็นคนจัดการให้ทั้ง หมด บอทเองก็ไม่ว่าอะไร สำหรับน้ำเองเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะจำเรื่องเก่าๆไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าความทรงจำใหม่จะสร้างขึ้นมาไม่ได้ ตราบใดที่ไม่สิ้นกำลังใจเสียก่อนย่อมีแรงกายกระทำเสมอ

"น้ำเรื่องเรียนน่ะลูก แม่ว่า"

"น้ำรอบอทหายดีก่อนไงแม่แล้วน้ำค่อยไปเรียน เรียนเมื่อไหร่มันก็ไม่สายหรอก"

แม่บุญช่วยเอ่ยขึ้นตอนกินข้าวเย็น เดี๋ยวนี้แม่นิ่มจะเอากับข้าวไปให้บอทแยกกินแล้วตนก็กินเสียด้วยเลยจึงไม่ ค่อยได้มาร่วมวงกินข้าวกับครอบครัวของน้ำเท่าใดนัก

"จะดีเหรอน้ำ พ่อว่ายิ่งนานมันจะไม่ดีนะ"

"น้ำไม่อยากทิ้งบอทไปนี่พ่อ"

เสียงที่ลอดออกมาทำให้แม่บุญช่วยสะกิดขาพ่อถาวรเอาไว้

"เอาเถอะๆ พ่อตามใจน้ำโตแล้วนี่ แต่อย่าทิ้งเรื่องเรียนก็แล้วกัน หินคืนนี้ไปนากับพ่อนะลูก พ่อจะไปดักหนู"

หินเองก็ไม่ค่อยวุ่นวายกับน้ำเท่าไหร่นัก คอยมองดูพี่ชายอยู่ห่างๆด้วยความเห็นอกเห็นใจ แม้จะยังไม่รู้ถึงพิษของความรักว่ามันขมเพียงใดแต่ก็เข้าใจพี่ชายดี น้ำก้มหน้านิ่งจ้องมองลงไปในถ้วยแกงปลา ถ้าเป็นเมื่อก่อนหน้าที่นี้คงเป็นน้ำกับบอทสินะที่ต้องออกไปดักหนู ไม่ใช่แค่ดักหนูสิ ทุกๆอย่าง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงน้ำที่ต้องไปไหนต่อไหนโดยลำพัง อ้างว้างเดียวดายอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เผชิญ

"น้ำลูกอย่าเพิ่งท้อนะ ไอ้บอทเดี๋ยวมันก็คงคืนมาเหมือนเดิม ให้เวลามันหน่อยนะ"

แม่นิ่มเอ่ยขึ้นตอนที่น้ำเดินไปที่บ้านตั้งใจจะไปคุยกับบอทพยายามทำทุก วิถีทางเพื่อเรียกความทรงจำของบอทคืนมา ทั้งพยายามเอาเฟรนชิปส์ให้อ่าน เล่าเรื่องความหลัง บอทเองก็นั่งฟังแล้วพยักหน้าตามที่น้ำเล่า แม่นิ่มเองก็สงสารที่น้ำเองรักบอทมาก ไม่อยากจะเห็นน้ำเองทุกข์ใจ

"น้ำทนไหวครับแม่นิ่ม ไม่ว่าจะให้นานแค่ไหนกว่าที่ความทรงจำของบอทถึงจะคืนมา น้ำก็จะรอ"

น้ำเอ่ยขึ้นสายตามองไปไกลแสนไกลเม้มปากแน่น

"น้ำเลยเสียเวลาเรียนเลยนะ ป่านนี้คงเรียนถึงไหนกันแล้ว ไม่น่าเลย"

"แม่นิ่ม ไม่เป็นไรหรอกครับ น้ำจะรอเรียนพร้อมบอท เรียนตอนไหนก็ได้"

"ขอบใจมากนะลูก ทำไมนะ ลืมอะไรไม่ลืม ลืมคนที่รักเรามากอย่างนี้ได้ยังไง"

รู้สึกกระตุกในใจเพราะแม่นิ่มพูดออกมาอย่างเปิดเผย ถ้าเป็นตอนที่ทุกอย่างยังคงปกติอยู่คงจะเอียงอายหน้าแดงไปแล้ว แต่ตอนนี้ได้แค่ก้มหน้าลงทำใจกับสิ่งที่ได้ยิน นั่นสินะ ลืมอะไรได้ทำไมไม่ลืม ลืมคนที่รักมากอย่างนี้ได้ยังไง

"น้ำรักบอทนี่ครับแม่นิ่ม ต่อให้บอทพิการไม่มีแขนไม่มีขา น้ำก็ยังจะอยู่กับบอท"

"เฮ้อ มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของมันก็ไม่รู้ เจ้าประคู้น ขอให้ลูกอิฉันหายทีเถิด"

ยกมือขึ้นท่วมหัวเอ่ยขึ้น

"น้ำเป็นคนทำให้บอทรับกรรมเองล่ะครับแม่นิ่ม ถ้าหากว่าคนที่จำไม่ได้เป็นน้ำเองมันคงจะดีกว่านี้"

"น้ำลูก"

ร้องออกมาเสียงหลงจับมือของน้ำเอาไว้ ทั้งสองคุยกันอยู่ใต้ถุนบ้าน คนที่คอยฟังเรื่องราวอยู่อย่าเงียบๆบนบ้านคือบอท แม้สมองจะจำไม่ได้ในเรื่องอดีตแต่ปัจจุบันเขาจำได้ดี

"นี่เราเป็นแบบนี้เพราะน้ำเหรอ เราเคยรักน้ำ ทั้งที่เราเป็นผู้ชาย ถ้าเราไม่เป็นแบบนี้ป่านนี้เราคงได้ไปเรียนหนังสือแล้ว"

รำพึงขึ้นมาเบาๆสายตาที่ไร้แววมันฉายแววขึ้นมา แววตาที่น้ำเองก็ไม่เคยเห็น

๒๘ พฤษภาคม

อย่าถามกูนะว่าท้อไหม อย่าถามว่าเหนื่อยไหม อย่าถามแบบนี้เพราะมันเหมือนมึงกำลังตบหน้ากูอยู่ เพราะอะไรบอทกูถึงทำแบบนี้ เพราะรักมึง รักมาก ต่อให้แบกมึงไว้กูก็จะไม่พูดสักคำ แต่วันนี้มึงถามกูว่าเบื่อไหมที่อยู่กับคนสมองเสื่อมอย่างมึง อย่าถามกูแบบนี้อีก กูเสียใจนะ กูเสียใจมาก แค่นี้มึงยังคิดว่ากูเจ็บไม่พอเหรอ กูรู้ว่ากูคือต้นเหตุที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ กูพยายามจะแก้ตัวอยู่กูพยายามทำทุกอย่างเพื่อมึง อย่าพูดเหมือนกูเป็นคนอื่น เป็นใครก็ไม่รู้ในสายตาของมึง อย่าผลักไสไล่กูไปไหนเลยบอท กูจะตาย กูทนไม่ได้ แค่สายตาที่มึงมองกูมันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว แค่นี้กูก็ทรมานจะตายอยู่แล้ว อย่าพูดกับกูแบบนี้เลยขอร้อง สงสารกูด้วย

เล็กส่งจดหมายมาหาน้ำในวันถัดไปเนื้อความก็บอกว่ารู้เรื่องจากเอ๋ให้ กำลังใจน้ำผ่านข้อความในจดหมาย หลังจากนั้นสองวันน้ำก็ได้รับจดหมายจากเอ๋ข้อความก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน น้ำเองซึ้งใจในความหวังดีและน้ำใจจากเพื่อน แม้จะตอบจดหมายเพื่อนไปว่าไม่เป็นไรทนไหว แต่ใครจะรู้ดีว่าความรู้สึกนี้มันเป็นยังไงนอกจากตัวของน้ำเอง ทนไหวไหม ทนไหว ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนก็ต้องทนเพื่อคนที่รัก เขาไม่ได้ลืมเราเพราะอยากจะลืม เขาไม่ได้เป็นอย่างนี้เพราะเขาจงใจ ตัวเราเองเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด ผูกเองก็ต้องแก้เอง จะให้ใครมาแก้ปมให้คงไม่มี ต้องยอมก้มหน้ารับความรู้สึกนี้ต่อไป

"นายเขียนไดอารี่ด้วยเหรอน้ำ"

บอทถามขึ้นตอนค่ำที่น้ำแวะไปหาก่อนที่จะนอน

"อืม เขียนนานแล้วล่ะ ตั้งแต่เรียน ม ต้น บอทก็รู้นี่ว่าเราเขียนทำไม"

"หือ ทำไมเหรอ"

"เพราะบอทไง เราเขียนไดอารี่เพราะบอท"

ตาเป็นประกายขึ้นมาประกายแห่งความหวัง

"น้ำ ขอบใจนายนะที่ทำหลายอย่างเพื่อเรา ท่าทางก่อนที่เราจะจำไม่ได้ เรากับนายคงจะสนิทกันมากนะ"

เม้มปากแน่นอย่างน้อยก็ยังดีที่ได้ยินแบบนี้

"อืม เราสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ไม่เคยห่างกัน"

เน้นเสียงท้ายประโยคเน้นย้ำให้เห็นถึงหัวใจ

"งั้นเย็นนี้เราไปเอาหญ้ากับนายนะ"

เหมือนเสียงสวรรค์ดุสิตาสถาพร ที่หลอกหลอนซ่อนในใจมลายสิ้น เหมือนฝนแรกคิมหันต์โปรยปรายลงสู่ดิน ดังเสียงพิณแว่วก้องในดวงจิต ยิ่งพินิจสุขเหลือล้ำเกินกำหนด เหมือนดังปลดแอกหนักอึ้งออกจากคอ

"จริงเหรอบอท น้ำดีใจ ดีใจเหลือเกิน"

ร้องออกมาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยหวัง

"เราคงทำอะไรไม่ดี ถ้าเรายังจำอะไรไม่ได้มาก ยกโทษให้เราด้วยนะน้ำ"

"ไม่ๆบอท บอทไม่ผิด อย่าขอโทษ แค่นี้ก็พอแล้ว น้ำไม่ต้องการอะไรแล้ว"

แม้ว่าร่างของชายที่รักที่ยืนเคียงข้างอยู่กลางทุ่งนาในตอนนี้ แสงตะวันรอนยามเย็นฉายแสงทอมาพาดผ่านให้ใบหน้านั้นที่รักยิ่งฉายเด่นขึ้นมา จะไม่เหมือนเดิมทุกประการ แต่ก็อิ่มในใจ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขาพยายามทำ เขาไม่ได้จงใจที่จะลืม ลักษณทางกายภาพมีเปลี่ยนไปบ้างแต่ก็ไม่มากนัก แม้ใจของชายที่รักจะถูกมนต์สวรรค์สาปให้ลืมรักเราไป แต่ก็ยังเชื่อในรักที่มีให้กันว่ามันจะพาทุกอย่างข้ามพ้นไปได้ แค่ตอนนี้ก็ดีใจเหลือเกินแล้ว แค่เขายังยอมมายืนเคียงข้างก็ดีใจมากเหลือเกินแล้ว

"น้ำ เหมือนเราจำได้รางๆนะ ว่าเราเคยมาที่นี่กับน้ำ เราเคยให้ดอกอะไรน้ำ ดอกอะไรน้า"

บอทเอ่ยขึ้นทำท่าครุ่นคิด ส่วนน้ำพอได้ยินหัวใจเหมือนได้รับน้ำทิพย์จากสวรรค์ แววตาฉายแววปลาบปลื้มออกมา

"บอท บอทจำได้แล้วเหรอ วันเกิดน้ำไง บอทให้ดอกกระดุมเงินกับน้ำ วันเกิดน้ำไงบอท ปีที่แล้ว"

ร้องออกมาเสียงหลงปรี่เข้าไปจับมือของบอทไว้

"เหรอ เราคงรักนายมากสินะ"

แม้ในคำพูดนั้นมันจะแปร่งๆแต่คนฟังก็ดีใจ ดีใจมากจนไม่ได้สนใจตีความหมายของมัน

"บอท เรามีกันและกันมาตั้งแต่เด็ก น้ำรักบอทมาก บอทก็รักน้ำมาก ไม่ว่าอะไรมันจะเปลี่ยนไปแค่ไหน น้ำก็ยังรักบอทเสมอมา"

"อืม ขอบใจนะน้ำ เราจะพยายามจำให้ได้"

"ไม่ต้องรีบนะบอท ค่อยๆจำ ค่อยๆนึก น้ำรอได้"

"ถ้าเราจำได้ เราจะได้กลับไปเรียนต่อใช่ไหมน้ำ"

บอทมองตาของน้ำแววตามันสะท้อนเงาของอะไรบางอย่างออกมาแต่น้ำก็ไม่ได้สังเกต พยักหน้าตอบรับ

"ใช่ เราจะไปเรียนต่อด้วยกันที่รามฯ ไปหาอีเล็กกับอีเอ๋"

"เราอยากหายไวไวจังเลย"

"บอทต้องหาย ต้องหายดีแน่นอน"


แสงสุริยันพาดผ่านต้นตะแบก      ต่อให้แลกสิ่งใดในร่างก็ไม่หวั่น

เพื่อให้ได้มาซึ่งกันและกัน             ได้คืนวันของฉันและเธอคืนมา

แสงสีส้มฉายเงาของทั้งสอง         ใจหนึ่งปองคอยรักถวิลหา

คอยมองตามไม่ว่ากี่เพลา             กาลเวลาไม่เคยแปรเปลี่ยนใจ

อีกใจหนึ่งสับสนให้คอยคนึงคิด     แม้ฝืนจิตกอดร่างไม่สั่นไหว

สิ่งที่หวังก็มีอยู่ภายใน                  สิ่งที่ใจแปรเปลี่ยนแล้วไม่หวนคืน

อันราตรีย่างกายดาวรายล้อม       เมื่อกายพร้อมใจเล่าไฉนฝืน

กอดร่างเขาแค่ร่างใจมันกลืน       ทุกวันคืนรอคอยแค่เวลา


วิสัชนา เงาไม้ในน้ำจะแลเห็นสิ่งใดนอกจากเงาของไม้นั้น เช่นคนเราทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นนั่นแล


เขียนโดย อิ๊กกี้



ปล ช่วงนี้วุ่นวายกับการจัดห้องใหม่ อิอิ เลยไม่ค่อยได้เขียนกำลังจะหาทำเลเหมาะๆวางคอมฯ

ผมว่าแต่ละตอนช่วงหลังๆนี้จะเขียนมอบให้แฟนๆที่มีไม่ค่อยมากเท่าไหร่ เพราะไม่มีคนนิยมเรื่องบีบใจเม่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นถือเป็นการตอบแทนแฟนที่คอยติดตามผลงานของผมนะครับ อย่างตอนนี้เป็นตอนเริ่ม ขอบมอบพิเศษตอนนี้ให้พี่ กานดา ส่วนแฟนคนอื่นๆรอตอนต่อไปนะครับ อิอิ ป้านัทจ๋า จะเลือกตอนที่ถึงที่สุดให้ป้าเลยน้า ป้าบอกตอนที่ผ่านมามันยังไม่มาม่า ยังน้ายังไม่มาม่า ตีมของเรื่องเพิ่งจะเริ่มเองน้า อิอิ ตอนหนักจะมอบให้ป้านัทเลยน้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 03-11-2010 11:30:00
อ่า ขอของเค้าด้วยเน้อ  หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น  สงสารน้ำ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 03-11-2010 11:38:36
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

มันจะยังไงหละนี้อ่านแล้วเครียดเนอะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 03-11-2010 12:00:35
ปวดใจไปกะน้ำ ด้วยเลยนิ :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 03-11-2010 12:10:46
ก่อนอื่น ขอมอบ :L2:ร่วมแสดงความยินดีกับน้องอิ๊กด้วยค่ะ คงยังไม่สายนะคะ

ตายแล้วคุณน้องอิ๊กขา นี่พึ่งจะเริ่มมาม่าเหรอคะ แต่พี่แก้วน่ะอ่านไปซึมไปแล้วเด้อ
หึ หึ หึ คุณนายนัทแกล้งพูดล่ะซี้ว่า  แค่นี้ชิวๆ ไม่ใช่อ่านไปตาแดงน้ำตาคลอไปเหรอ
พี่บ้าปะน้องอิ๊ก ด้วยความสงสารน้ำ เลยอ่านไปคิดไป คิดแบบบ้าๆอะจ้ะว่า
จะไปดักตีหัวบอทให้หนักเลย จนสลบแหละ พอฟื้นความจำจะได้กลับคืน
หึ หึ หึ เห็นในนิยายในละครหลายเรื่องเป็นแบบนี้ไง
(คิดปัญญาอ่อนไปได้น้อคนเรา)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 03-11-2010 13:15:14
อ่านแล้วจ้า....บอทคิดอะไรอยู่....จะเอาความรู้สึกและความผูกพัน
ของน้ำไปใช้ประโยชน์รึเปล่า...ถ้าใช่...ก็...ไม่ใช่บอทคนเดิมแล้ว
ถ้าไม่มีจิตใต้สำนึกที่ดีนะ...อย่างคุณแก้วว่า...น่าจะตีหัวซ้ำอีกสักที...
เผื่อวิญญาณเก่าจะกลับเข้าร่างบ้าง.... :m16:
สงสารน้องน้ำ....คงยอมเป็นลูกไล่ให้บอทเพราะรักไปจนตาย.... :monkeysad:
 
 :pig4: น้อง eiky ที่มอบตอนนี้ให้...อากาศเย็น ๆ อ่านตอนนี้แล้ว...
มันร้อนขึ้นได้เหมือนกันนะ...พอดีตอนนี้ภูมิคุ้มกันอารมณ์ไม่บกพร่อง
อ่านแล้วไม่เหวี่ยงใครเลย....ภูมิใจนะเนี่ย... :bye2:

กด + ให้จ้า....เอาอีก ๆ ชอบ ๆ...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 03-11-2010 14:49:20
รู้สึกว่าบอทจะเปลี่ยนไปนะ...ไม่ใช่ในแง่ว่าจำไม่ได้
แต่รู้สึกว่าถ้าจำได้ขึ้นมามันก้ไม่น่าจะเหมือนเดิม...
สงสารน้ำอ้ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 03-11-2010 15:15:06
มันมีปมที่ค้างอยู่เน้อ....
แววตาอะไรของบอทที่ซ่อนอยู่อ่า... 
สงสารน้ำจัง  :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: pay-it-forward ที่ 03-11-2010 15:27:42
อ่านแล้วเครียดเหมือนกัน
เหมือนว่าบอทจะแปลกๆนะ
ขอให้บอทความจำกลับมาไวๆเถิด
 :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 03-11-2010 18:44:53
ตกลงที่พี่อิ๊กพูดตอนท้ายบทนี่  หมายความว่าหลังฝนซาพายุใหญ่กำลังจะเข้าเหรอครับ
จะได้เตรียมทำใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 03-11-2010 19:12:36
บอทมีรังสีอำมหิตเปล่งประกายออกมาจากร่างนะ รู้สึก

ไม่ใช่คิดแค้นว่าเพราะน้ำเป็นคนทำให้ตัวเองเสียโอกาสจนอะไรๆก็มาลงที่น้ำหรอกนะ
ความจำกลับมาหมดเมื่อไหร่ล่ะได้เจ็บปวดไปสุดไส้ติ่งแน่



 :กอด1:คุณอิ๊ก รักษาสุขภาพด้วย อากาศเริ่มจะเย็นละ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 03-11-2010 19:35:14
เหมือนจะเห็นเค้าๆๆ

อิอิ

รอต่อไปน้าพี่อิ๊ค

^^

ชอบม่าม่า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: Natavishi ที่ 03-11-2010 22:56:14
T^T  ....
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 03-11-2010 22:58:34
 :m15:แค่เริ่มต้นก็เสียน้ำตาขนาดนี้ แล้วตอนต่อๆ ไปมิร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดเลยหรือนี่ อ่านทันเป็นเรื่องที่ 3 อิ๊กกี้ เขียนได้รันทดมากๆ :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 04-11-2010 09:13:39
บอทคิดจะเล่นอะไรกับความรู้สึกของน้ำเนี่ย :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 04-11-2010 12:09:32
โอ้โหยังมีหนักกว่านี้อีก

กลัวสายตาบอทกลัวความคิดบอทกลัวไปหมดแล้วตอนนี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 05-11-2010 11:15:28
 :m7:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 05-11-2010 12:42:32
เศร้าจัง สงสัยกลับมา บอทก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว น้ำคงหัวใจสลาย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 06-11-2010 04:46:57
สงสัยคุณอิ๊กกี้จะยังจัดห้องใหม่ไม่เสร็จถึงคลอดมาแค่ตอนเดียวเอง

อ่านถึงตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนจะมีการใช้ความรักเป็นเครื่องมือหลอกใช้ ให้ตัวเองไปสู่จุดหมายต้องที่ต้องการ  เลยนะคะ
สงสัยตอนนี้ความต้องการของคนทั้งสองคนจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันอีกต่อไปแล้ว :เฮ้อ:

ปล. คุณอิ๊กกี้อย่าลืมจัดตอนของน้องมิมาบ้างนะคะ หวังว่าคงจะจำได้ว่าน้องมิอยากอ่านฉากแบบไหนเป็นพิเศษ :haun4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 06-11-2010 16:19:25
+1 หัยจ้าาา
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๔ (พฤศจิกายน ๓, ๒๕๕๓) หน้า ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 06-11-2010 19:18:13
บทที่ ๒๕

ปุจฉา น้ำที่ไหลออกจากตามันแสดงให้เห็นถึงสิ่งใด

หลังจากกลับจากนาบอทดูเปลี่ยนไปมาก พยายามรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆที่มีกับน้ำทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นให้น้ำคอยบอกว่าสิ่งที่ตนพูดออกมาเป็นจริงไหม น้ำเองดีใจมาก ดีใจจนสร้างความหวังไว้ในใจว่าบอทกำลังจะหายดี บอทขอให้น้ำพาไปที่โรงเรียนเพื่อที่จะย้อนความทรงจำ น้ำเองก็เต็มใจ ยินดีนัก

"ตรงนี้เราเคยบอกรักนาย ใช่ไหม"

บอทเอ่ยขึ้นน้ำเสียงระริกดีใจ น้ำเองตื้นตันพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าเม้มปากแน่น ไม่ได้อยากจะให้น้ำตาไหลออกมาพร่ำเพรื่อแต่มันห้ามไม่ได้กักไม่อยู่

"วันแรกของหน้าหนาวไงบอท บอทเดินมาใกล้ๆน้ำแล้วกระซิบบอก ใต้ต้นหลิวต้นนี้ล่ะ"

"อืม เราจำได้แล้ว วันนั้นน้ำยิ้มทั้งวัน"

"บอท บอทจำได้จริงๆเหรอ นี่บอทจำได้แล้วเหรอ"

ร้องออกมาเสียงดังหน้าตาเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง แต่มันยิ่งกว่านั้นเสียอีก

"อืม เราคิดว่าเราจำได้ จำได้ว่าเรารักน้ำมากเพียงใด น้ำ เราขอโทษนะที่ตอนที่เราเจ็บ เราจำน้ำไม่ได้"

หันมาจับมือของน้ำไว้สบตาจริงจัง

"ไม่ ไม่เป็นไร"

ส่ายหน้าทั้งน้ำตา หัวใจเต้นแรงเร็วระรัวระริกอยู่

"กอดเราหน่อยสิน้ำ"

น้ำโผเข้ากอดร่างของบอทไว้แน่นสะอื้นออกมาปิ่มใจจะขาด ดีใจเหลือเกิน สุขใจเหลือเกิน ช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมามันทรมานมาก แม้จะมีร่างของคนรักอยู่ต่อหน้าแต่เหมือนว่าใจเขาล่องลอยไอยู่ที่ที่ไกลแสนไกล วันนี้ความพยายามสำเร็จผลแล้ว มีความสุขที่สุด สมกับที่รอคอย

"จะดีเหรอลูก แม่ว่าพักอีกสักเดือนสองเดือนค่อยไปเรียนต่อไม่ดีกว่าเหรอ ช่วงนี้เขาก็ลงทะเบียนไปก่อนแล้วนี่"

แม่นิ่มเอ่ยขึ้นตอนเย็นที่หน้าบ้านของน้ำ น้ำมาบอกทุกคนว่าความทรงจำของบอทกลับคืนมาแล้ว ทุกคนเองดีใจเช่นกัน แต่พอบอทเอ่ยขึ้นว่าถ้าหากว่าความทรงจำกลับมาแล้วก็จะขอไปเรียนต่อตามที่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ทุกคนต่างไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะแม่นิ่มกับพ่อถาวร

"พักอีกหน่อยเถอะ ไปเจออากาศในกรุงเทพฯเดี๋ยวจะทรุดลงอีก"

พ่อถาวรเสริม

"ไม่เป็นไรหรอกพ่อถา ผมหายแล้ว รีบเรียนให้จบจะได้ออกมาหางานทำช่วยแม่ อยู่ไปๆก็เสียเวลาเปล่าๆ"

"บอท เรียนน่ะมันไม่สายหรอกนะ แม่บุญว่าเอาให้สุขภาพเราแข็งแรงก่อนดีกว่า"

บอทเหมือนจนต่อหนทางหันไปหาน้ำที่เฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง

"เดี๋ยวน้ำจะดูแลบอทเองไงพ่อแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก"

"ก็รู้ว่าน้ำจะดูแล แต่พ่อก็ยังไม่เห็นด้วย อีกอย่างลงไปจะไปทำอะไร เรียนก็ยังเรียนไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ"

น้ำเองก็ไม่มีอะไรจะมายันกับเหตุผลของบิดา สรุปแล้วต้องรอเทอมสองเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ถึงจะยอมปล่อยให้ทั้งสองลงไปกรุงเทพฯ

"แม่ว่าเอาให้แน่ใจก่อนดีกว่าว่าบอทเองความทรงจำกลับมาแล้ว"

แม่บุญช่วยเอ่ยขึ้นแล้วมองหน้าบอท รายนั้นหลบหน้าทันที ส่วนน้ำก็พูดแก้ให้

"จำได้สิแม่ บอทเขาพูดทุกอย่าง เหมือนที่ผ่านมาเลย"

"นั่นล่ะ ต้องเอาให้แน่ใจก่อนแม่ถึงจะวางใจ ไปอยู่โน่นมันลำบากนะไม่ใช่จะสบาย"

บอทแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแม้จะไม่มาแต่ผู้ที่เฝ้ามองก็สังเกตเห็นได้

"ทำไมล่ะน้ำ เราจำได้แล้วนะ ทำไมเรายังไม่ได้ไปเรียน เสียเวลา"

บอทบ่นออกมาเมื่อกลับไปบ้านของตนน้ำเดินตามไปติดๆ

"ผู้ใหญ่ท่านคงยังเป็นห่วงอยู่ล่ะบอทไม่มีอะไรหรอก เราว่าดีเหมือนกันจะได้พักนานๆ"

"แล้วจะให้เราทำอะไรล่ะ อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ ไปแต่นากับไร่"

สิ่งที่บ่นออกมาทำให้น้ำหันมองดูหน้า ไม่เคยมีคำเหล่านี้ออกมาจากปากของบอทเลย ไม่เคยได้ยินสีหน้าแววตาอย่างนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

"บอท เราก็ทำมาตั้งแต่เด็กนี่ อดทนเอาหน่อยสิ อีกไม่กี่เดือนเอง"

"เราเบื่อนะน้ำ วันๆเอาแต่นั่งๆนอนๆ แล้วก็ไปเอาหญ้า เลี้ยงวัว เบื่อ"

"บอท น้ำว่าบอทยังไม่หายดีหรอก เพราะบอทที่เราคุ้นเคยมีความสุขตลอดนะเวลาที่ทำอะไรแบบนี้"

น้ำพูดออกมา บอทหน้าสลดลง

"อ้อ โทษที เราคงเครียดไปหน่อย โอย ปวดหัวแล้ว"

ทำท่ากุมขมับทันที น้ำเองปรี่เข้าไปหา

"ปวดมากไหมบอท เดี๋ยวน้ำเอายาให้ รอแป๊บนะ"

น้ำวิ่งไปยังห่อยาแล้วจัดยามาให้บอท สภาพภายนอกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว แต่สภาพภายในไม่มีใครหยั่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรืออะไรมันเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด น้ำเองก็รับรู้ได้ว่าบอทเหมือนเดิมไม่เต็มร้อยจากที่เคยรู้จัก แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่บอทพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของตน แม้จะยากลำบากมากก็ตาม ตราบใดที่คอยเป็นกำลังให้แก่กัน ตราบนั้นความหวังย่อมมีอยู่เสมอน้ำเชื่ออย่างนั้น

"น้ำ เราเคยมาวางเบ็ดด้วยกันที่นาตรงนี้ใช่ไหม เราจำได้"

บอทพูดขึ้นตอนที่กลับจากนา น้ำพาไปเอาหญ้าในตอนเย็น

"ใช่เรามาวางเบ็ดกันทุกเย็น"

"แล้วตรงห้วย เราก็เคยลงไปเอาสายบัวด้วย เราจำได้"

หัวใจอิ่มเอิบพองโตขึ้นมาทันที การรอคอยที่ยาวนาน ความทรมานที่บ่มขมในใจมันทุเลาเบาบางลง มองหน้าชายคนรักด้วยความหวังแห่งใจ รอยยิ้มนั้นกลับมาอีกครั้ง รอยยิ้มที่เอาหัวใจไปหมดแล้ว รอยยิ้มที่เคยเห็นทุกคราที่ทุกข์ใจและรอบยิ้มนั้นจะฉายออกมาให้กำลังใจอยู่ไม่เคยห่าง

"น้ำคืนนี้ไปนอนกับเรานะ อยากกอดน้ำเหมือนเดิม"

"บอท"

ครางขึ้นด้วยหัวใจที่สั่นระริก เสียงที่ลอกออกมาจากใจ ดีใจเหลือเกิน

"เราไม่ได้กอดน้ำมานานแค่ไหนแล้วนะ ขอกอดให้หนำใจหน่อยนะ"

แม้จะเป็นปลายคิมหันตฤดูอากาศในยามค่ำคืนมันจะอบอ้าว แต่ก็พึงใจก่ายกอดร่างกันและกัน หัวใจเป็นสุขไม่มีอะไรมาหยุดมาขวางกั้นอีกต่อไป ลมหายใจอุ่นที่รักหมดใจ กลิ่นกายที่ปรารถนามากกว่าสิ่งใดมันกลับคืนมา ตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดของคนที่รักที่สุดแล้ว จะคิดไปถึงสิ่งอื่นใดอีก

"ถ้าเราหายแล้ว เราจะไปเรียนที่กรุงเทพฯด้วยกันนะน้ำ เราจะนอนกอดน้ำทุกคืนเลย"

"อืม เราก็อยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆนะบอท อยากไปเรียนต่อ อยากดูแลบอท อยากมีแค่เราสองคน"

"อืม เรารักน้ำนะ"

บอทกอดกระชับแน่นขึ้น น้ำเองก็เบียดกายเข้าหา สายตาผสานกันในยามค่ำคืน ไม่มีแสงใดนอกจากประกายของตาของคนทั้งสอง ลมหายใจอุ่นๆรดหน้าซึ่งกันและกัน ริมฝีปากเผยอรับริมฝีปากของอีกคน ความอุ่นวาบหวามถ่ายทอดให้กันและกัน รสรักที่เหมือนเคย รสรักที่เลือนหายไปนานแสนนานมันกลับคืนมาอีกครั้ง ดีใจจนไม่มีคำใดจะบรรยายออกมาหมด

"ดูแลรักษาตัวดีๆนะลูก มีอะไรก็ดูแลกันนะ ไปอยู่ในเมืองใหญ่มันไม่เหมือนบ้านเรานะ คนไม่เหมือนกันจะพึ่งพาอาศัยกันเหมือนบ้านเราไม่ได้นะลูก อย่าไปหลงเชื่อคนง่าย รักษาตัวดีๆนะน้ำ"

แม่บุญช่วยเม้มปากแน่นกอดร่างของลูกชายคนโตเอาไว้ในอก น้ำตาปริ่มออกมา น้ำเองก็น้ำตาซึม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยห่างจากอกมารดาไปไหนเลย ตื่นก็เจอ ก่อนนอนก็เจอ ใจหาย ใจจริงไม่ได้อยากไปไหนไกล แต่ด้วยวัยด้วยอะไรหลายอย่างบวกผนวกเข้าหากันทำให้ต้องจำใจจาก

"น้ำ แม่ฝากบอทด้วยนะลูก มีอะไรก็ดูแลกันนะ บอทดูแลน้ำดีๆนะ มีอะไรก็ให้เชื่อน้ำ เราใจร้อนอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามไปมันจะไม่ดี เรามีกันอยู่แค่นี้นะลูก"

ด้านแม่นิ่มเองก็กอดลูกชายไว้ร่ำไห้ออกมา

"ไปไม่นานหรอกน่าแม่ เรียนจบก็กลับมา"

"นั่นสิแม่นิ่ม ไปเรียนแค่สี่ปีเอง ไม่นานหรอกครับ"

น้ำเสริม เพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันสลดลงไปมากกว่านี้

"ไปเถอะลูกเดี๋ยวไม่ทันรถ หินไปกับพ่อ"

พ่อถาวรเองก็ไม่อยากเห็นบรรยากาศแบบนี้เช่นกัน ขับรถไปส่งให้ถึงในเมืองที่ท่ารถ ส่วนแม่นิ่มตัดใจไม่อยากไปส่งลูกขึ้นรถเพราะกลัวว่าจะหักห้ามใจไม่ให้ ร้องไห้ไม่ได้ ส่วนแม่บุญช่วยก็อยู่เป็นเพื่อนแม่นิ่ม

"น้ำ ดูแลตัวเองดีๆนะลูก"

ก่อนจากก็อดใจไม่ได้ที่จะดึงตัวของน้ำมากอดไว้อีกครา คราวนี้แม่บุญ่วยสุดกลั้น ตั้งแต่คลอดออกมาลูกไม่เคยไปไหนไกลหูไกลตาเลย แม้จะรู้ดีว่าลูกไปเรียนเพื่ออนาคตของตัวเอง แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะสั่นไหว น้ำเองก็เช่นกัน ร่างไหวติงไปด้วยแรงสะอื้นของมารดา

"แม่ น้ำจะรีบกลับมา แม่ไม่ต้องเป้นห่วง"

เม้มปากไว้แน่น แต่น้ำตาไหลออกมาแล้ว

"โอ๊ย อะไรกันแม่ ไปๆน้ำ เดี๋ยวตกรถ"

พ่อถาวรต้องรีบแยกออกจากกันก่อนที่จะมืดไปมากกว่านี้

"ไปนะแม่ ดูแลตัวเองดีๆนะ แม่บุญผมฝากแม่ด้วยนะครับ"

บอทยกมือไหว้แม่ของตนแล้วหันมาหาแม่บุญช่วย แม่นิ่มอยู่ไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว คร่ำครวญอยู่เหมือนลูกชายจะไปเป็นทหารก็ไม่ปาน แม่บุญช่วยต้องกอดประคองเอาไว้ พอออกจากบ้านมาพ่อถาวรก็ขับรถผ่านทุ่งนาไปยังในตัวเมือง

แม้จะมืดเงาของรัตติกาลมันฉายเงาดำทาบทับทุกสรรพสิ่งให้มืดมิดไปหมดมองไม่เห็นแล้วก็ตาม แต่ผ่านตรงไหนก็จำได้ทุกที่ น้ำกดกระจกรถลงมองออกไปไกลแสนไกล เหมือนพยายามจะเก็บเอาภาพความทรงจำของสถานที่ที่เกิดและโตมาเก็บใส่ไว้ในใจ เสียงลมดังหวืดหวือ ยอดไม้ใบหญ้าปลิวไหว หิ่งห้อยที่สวนของพ่อใหญ่มากระพริบระยิบระยับแวววาว กลิ่นดินกลิ่นหญ้าตีฟุ้งขึ้นมาประทะจมูก สูดเอาไว้ กักเอาไว้ในปอดให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่นี่คือที่ที่รัก ที่ที่เกิดมา โคลนตม น้ำในนา ปลาที่มาวางเบ็ด มะม่วงป่าต้นหัวนายายสา กระเพราสวนนาพี่ทิดหมาย ต้นลำดวน ต้นตะแบก ต้นพยอม ต้นยางนา ลาก่อน ลาก่อน น้ำเม้มปากแน่นน้ำตาไหลรินออกมา บอทเองคุยกับหินอยู่ไม่ได้สนใจหันมามอง น้ำจึงปลดปล่อยอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ กลิ่นของแม่ กลิ่นของบ้านยังติดตัวอยู่ คิดถึงแล้ว ยังไปไม่ถึงไหนเลย คิดถึงแม่แล้ว แม่จะเป็นยังไงบ้างถ้าน้ำไม่อยู่ ใครจะตักน้ำ หินต้องทำคนเดียว ใครจะไปเกี่ยวหญ้าให้แม่ ใครจะไปหาปลาให้พ่อ ใครจะไถนาให้พ่อ คิดถึงแล้ว ลูกคิดถึงแล้ว แม่จ๋า พ่อจ๋า

"น้ำ เป็นไรลูกร้องไห้ทำไม คิดถึงบ้านเหรอ"

สะอื้นออกมาจนทุกคนในรถตกใจหันไปมอง น้ำรีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม

"พ่อ น้ำคิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน"

ครางออกมาหน้าตาเหยเก

"น้ำ ลูกต้องโตขึ้นนะ พ่อเข้าใจ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองล่ะ เราไปเรียน ไปเพื่อความก้าวหน้า กลับมาจะได้มาพัฒนาบ้านเราอย่างที่น้ำตั้งใจไว้ไงลูก"

เสียงทุ้มของพ่อถาวร เสียงที่อ่อนโยนนี้ คงอีกนานกว่าจะได้ยิน พ่อถาวรแม้จะเป็นคนดุ มีความเด็ดขาด แต่กับลูกกับเมียแล้วเหมือนเป็นพ่อพระในบ้าน พ่อแล้วน้ำจะได้ยินเสียงพ่อเมื่อไหร่ จะอีกนานไหม ยิ่งได้ยินยิ่งสะอื้นออกมา ซุกหน้าลงกับฝ่ามือ

"พี่น้ำ อย่าร้องไห้ดิ ไม่เข้มแข็งเลย"

"นั่นสิ หินดูไว้นะ พี่เขาไม่เข้มแข็ง"

น้ำหยุดร้องไห้ทันที หันมาค้อนน้องชาย บอทเองก็ยิ้มๆ

"แกไม่เข้าใจหรอกหิน คอยดูเถอะเวลาจบแล้วอย่าร้องก็แล้วกัน"

"หินไม่ร้องหรอก หินเข้มแข็งเนอะพ่อเนอะ"

เสียงพ่อถาวรหัวเราะออกมา น้ำเองถึงยิ้มขึ้นมาได้

"น้ำ จำไว้นะลูก อย่ายอมแพ้กับอุปสรรค อย่าย่อท้อต่อความยากลำบาก เราต้องสู้ เหนื่อยก็พักแล้วค่อยไปทำใหม่ อย่ายอมแพ้ พ่อเชื่อว่าน้ำทำได้ ตั้งใจเรียน สิ่งไหนดีไม่ดีพ่อว่าน้ำรู้ ให้ทำแต่สิ่งที่ดี สิ่งไม่ดีอย่าได้ไปสนใจไปวกหามัน ดูแลกันให้ดีๆ พ่อจะรอปริญญานะลูก"

พ่อถาวรลูบหัวของน้ำเบาๆก่อนจะดันหลังให้ขึ้นรถบัสตามบอทไป พ่อถาวรไม่รำลาให้เสียเวลามากนัก น้ำเองก็ไม่ได้เศร้าโศกอะไรมากแล้ว พยักหน้าแล้วยกมือขึ้นไหว้พ่อถาวร รถบัสประจำทางวันหนึ่งๆจะมีเพียงแค่สองเที่ยวเท่านั้น ความจริงแล้วรถที่ผ่านตัวอำเภอมีหลายบริษัทด้วยกันแต่พ่อถาวรบอกว่าบริษัทนี้ดีที่สุดเพราะไม่แวะจอดรับคนข้างทางมั่วซั่ว บางบริษัทจอดรับจนไม่มีที่จะนั่งต้องยืนเอาก็มี ยิ่งหน้าเทศกาลแทบจะขี่คอกันไปเลยทีเดียว พอขึ้นนั่งบนที่นั่งแล้วก็ถอนหายใจออกมาทั้งสองคน สีหน้าแววตาไม่ได้แตกต่างกันมากนัก น้ำเองมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ของรถบัส ของที่เอาติดตัวไปก็มีไม่มากมีเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวมีข้าวสารไปให้เล็กด้วย กระสอบเล็กๆ ส่วนบอทเองก็เช่นกันมีกระเป๋าใบหนึ่งกับเป้อีกใบ

"ตื่นเต้นไหมน้ำ ชีวิตใหม่เราเริ่มขึ้นแล้วนะ"

บอทกระซิบถามเมื่อรถออกตัวจากชานชลาไปแล้ว

"อืม ไม่รู้จะเป็นไงบ้างเนอะ"

"อย่ากลัวเลยน้ำ น้ำมีเราอยู่ข้างๆนี่"

ไม่มีคำตอบจากน้ำ แต่ยื่นมือไปจับมือของบอทบีบเบาๆแทนคำตอบ ชื่นฉ่ำใจแม้จะสั่นไหวที่ต้องจากบ้านเกิดแต่ก็ยังอุ่นใจที่มีคนรักมาด้วย ยังสุขใจที่หันไปคราใดก็ยังมีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ข้างๆ

จากตอนนั้นตื่นมาสูดอากาศ แสนสะอาดกลิ่นใบไม้กลิ่นดินหญ้า ดอกจานดอกตะแบกแรกรุ่นกรุ่นกลิ่นหอม ดอกพยอมหอมหวานต้นเหมันต์ แสนสุขสันต์เริงใจที่ได้เจอ ตั้งแต่เกิดจนโตไม่เคยจาก ไม่เคยพรากจากไกลถิ่นแห่งนี้ หลับตาลงแม้อยู่นาก็สุขขี ภัยไม่มีเพียงแต่สุขที่ได้เจอ ฝนแรกออกไปไถนาดะ ฝนมาชะแล้งไปให้เหือดหาย จากวันนี้เราจำใจต้องจากไป จำจากใจหลับตาลงไม่อยากเจอ ผ่านนาฝันวันวานที่เคยสร้าง ผ่านไร่ร้างรักเราไม่เก่าหาย จากนี้ไปไม่รู้วันใดจะได้กราย ยอมตัดใจหลับตาลงไม่อยากเจอ ใจหวิวๆสั่นไหวไปทั้งร่าง เมื่อเราสร่างตื่นมาคงเป็นอื่น ที่แห่งใหม่คนๆใหม่ที่ต้องฝืน ทนกล้ำกลืนยิ้มให้ใจระทม พ่อจ๋าแม่จ๋าลูกลาก่อน จำจากจรไปเรียนร่ำให้สมหมาย จากวันนี้ไม่มีลูกให้ร้องใช้ ยอมทำใจจากไปด้วยจำเป็น ลาก่อนแคร่ใต้ถุนบ้าน ลาก่อนนอกชานที่เคยฝัน ลาก่อนจันทราที่เคยชม เราจะไปเพื่อฝันวันของเรา

"ร้อนอ่ะน้ำ"

บอทร้องขึ้นแล้วเอามือออกจากการเกาะกุมของน้ำ คนที่ถูกดึงมือออกรู้สึกตะหงิดในใจ แต่ก็ยอมทำตาม คงร้อนจริงๆเพราะรู้สึกว่ามือเปียกแฉะไปด้วยเหมือนกัน

"เราถึงไหนแล้วอ่ะบอท"

"น่าจะขอนแก่นนะ"

"อืม ห่างบ้านมาเยอะแล้วสินะ"

"เดี๋ยวก็ถึงโคราชแล้ว น้ำนอนก่อนเถอะ ถึงแล้วเดี๋ยวเราปลุก"

"ไม่เป็นไร น้ำจะดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย บอทไม่นอนเหรอ"

"ไม่อ่ะ เราไม่ง่วง"

"อืม"

จากตอนแรก ครั้งแรกที่เคยจากเหมือนใจจะขาด แต่พอนานๆเข้า ความรู้สึกนี้มันเหมือนจะชินชาไป จากที่เคยคร่ำครวญกลับกลายเป็นเร่ื่องธรรมดาไปเสีย ใจคนเราอย่าให้มันได้ชินชากับสิ่งใดเชียว เพราะสิ่งนั้นจะไม่มีอิทธิพลอะไรกับใจดวงนี้อีกเลย

สร้อยสวรรค์พาดผ่านอยู่บนฟ้า  ดวงนภาราตรีดูมืดมิด

เงาตะคุ่มวิ่งผ่านเรียกสะกิด       ให้ใจคิดหวนคืนบ้านที่พักใจ

มองสายฟ้าแปลบปลาบทางทิศโน้น    ที่ไกลโพ้นสุดหล้าฟ้าแสนไกล

เสียงรถดังแต่ไม่แทรกเข้าข้างใน            ที่แห่งไหนลูกจะหลับได้เหมือนบ้าน นั้น ไม่มี

วิสัชนา มันบอกให้รู้ว่าอกของเจ้าขงอร่างกำลังมอดไหม้ไปด้วยไฟแห่งตัณหานั่นเช่นไร

เขียนโดย อิ๊กกี้


ปล เหมือนจะป่วงๆยังไงไม่รู้เนอะ ที่หายไปนานก็ไปจัดการกับตัวเองอยู่นะครับ เรื่องบุหรี่อย่าเพิ่งถามน้า อิอิ ยังไม่ขาด เพราะช่วงนี้เหมือนมันมีมาร เครียดมาก ไม่รู้อะไรต่ออะไร ก็มีบ้างน้า แต่ก็อยากเลิกแล้ว เพราะหางตาเหมือนมีรอยอะไรสักอย่าง แว้กกก อ่านขำๆเนอะ มันอาจจะดูเร็วไปหน่อยนะครับ ผมไม่อยากเยิ่นเย้อ เปลืองตอนเปล่าๆ อยากจะเร่งให้ถึงตอนนั้น อิอิ ตอนที่รอคอย

ตอนนี้มอบพิเศษให้ "พี่แก้ว" เพื่อนอาจารย์นางน้อยนะครับ อิอิ มอบกลอนละกันตอนสุดท้ายอ่ะ อิอิ ส่วนน้องมิ ตอนที่ว่านั่น ตอนเจ็บสุดหรือตอนเอ็นซีคร้าบ ระบุเลยน้า พี่จะได้จัดให้ อิอิ สำหรับเพื่อนๆรอตอนต่อไปนะครับ ใครได้รับมอบพิเศษไปแล้ว มารับผิดชอบตอนของตัวเองด้วยเน้อ อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 06-11-2010 19:21:13
 :haun4: หน้าอย่างนี้ต้อง NC สิคะ  :laugh:

ขออ่านตอนใหม่ก่อน

__________________________________

รู้สึกบอทจะเจ้าเล่ห์แสนกลมากขึ้นนะคะ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่ะว่าบอทจะมีเล่ห์เพทุบายอะไรอีก

อ่านตอนนี้แล้วมีลักษณะเป็นนิราศด้วยนะคะ


***********************

กระพริบ คำนี้พยางค์แรกไม่ต้องควบกล้ำนะคะ กะพริบ เฉยๆ
กระเพรา คำนี้พยางค์แรกก็ไม่ต้องควบกล้ำ ร เหมือนกันนะคะ กะเพรา เฉยๆ
ต้นพยอม คำนี้ต้องประวิสรรชนีย์ที่พยางค์แรกด้วนะคะ ต้องเขียนเป็น พะยอม  นะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 06-11-2010 20:01:33
บอทจำได้จริงๆ หรือแอบอ่านไดอารี่ของน้ำอ่ะ
เค้ายังไม่ไว้ใจบอทอยู่นะ o18
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 06-11-2010 20:20:08
บอท แปลกๆ ไปเนอะ รู้สึกไม่ค่อยดีเลย

พอถึง กรุงเทพ ความเปลี่ยนแปลง คงมาเยื่อนทั้ง

คู่ แน่ๆ เหนื่อยใจแทนจิงๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 06-11-2010 20:35:24
ตะหงิดๆยังไงก็ไม่รู้แฮะ
เหมือนมาม่ามันจะซองใหญ่กว่านี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 06-11-2010 21:04:39
พี่อิ๊คชอบทำให้เสียวได้ทุกตอนนะ

T^T

เจ้าพ่อดราม่า

กร๊ากๆ


รอตอนต่อไป ทั้งที่ไม่กล้าอ่าน อิอิ

กลัว+ไม่ไว้ใจ

แต่ก็ชอบดราม่า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 06-11-2010 23:00:22
ไม่แน่ใจว่าบอทจำได้อย่างที่บอกจริงๆ หรือไปได้ข้อมูลอะไรมา
(คนอ่านคิดว่าบอทแอบอ่านไดอารีของน้ำ)
และ..
ไม่รู้ว่าบอทคิดจะทำอะไร..แต่สิ่งที่บอทจะทำ คงทำให้น้ำเจ็บปวดที่สุด

แล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่งที่บอทสำนึกได้ หรืออะไรก็ตาม
บอทนั่นแหละที่จะเสียใจที่สุด

 :กอด1:คุณอิ๊ก

 
ปล. จัดหนักมาเลยตามที่คุณอิ๊กต้องการ เมื่อไหร่ก็ได้ ดราม่าแค่ไหนไม่มีหวั่น  อาจมีแค่บ่นไปตามอาการอินดราม่า ฮ่าๆๆ

(http://i181.photobucket.com/albums/x215/bjneverdie/emoticon/onion77.gif)

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 06-11-2010 23:28:02
ตอนนี้มอบพิเศษให้ "พี่แก้ว" เพื่อนอาจารย์นางน้อยนะครับ อิอิ มอบกลอนละกันตอนสุดท้ายอ่ะ อิอิ ส่วนน้องมิ ตอนที่ว่านั่น ตอนเจ็บสุดหรือตอนเอ็นซีคร้าบ ระบุเลยน้า พี่จะได้จัดให้ อิอิ สำหรับเพื่อนๆรอตอนต่อไปนะครับ ใครได้รับมอบพิเศษไปแล้ว มารับผิดชอบตอนของตัวเองด้วยเน้อ อิอิ   

ขอบคุณมากๆเลยจ้าคุณอิ๊กที่มอบพิเศษให้ เอ่อ..จริงๆแหละพี่มีเพื่อนชื่อนี้จริงๆ สอนอยู่ร.ร.ประจำจังหวัดเมือง
ที่มีนามเรียกขานอีกนามว่าตักศิลานคร สอนภาษาไทยด้วยนะ

บรรยากาศตอนน้ำจากบ้านไปเรียนนี่เข้าใจมากเลย เหมือนเคยเจอมาก่อนเลย
แล้วน้ำกับบอทเนี่ย ไปอยู่กรุงเทพด้วยกันแล้ว คุณอิ๊กจะมีหักมุมอะไรมาเซอร์ไพรส์คนอ่านอีกรึเปล่าจ๊ะ


 
 
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 06-11-2010 23:37:55
รู้สึกแน่ๆเลยว่า บอทไม่เหมือนเดิม
และคิดว่าบอทจำไม่ได้หรอก

กลัวใจบอทจริงๆ เฮ้อ
สงสารน้ำด้วย T^T
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: pay-it-forward ที่ 07-11-2010 00:08:34
กลัวบอทจะทำให้น้ำช้ำใจ
ซึ่งมันก็คงเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วใช่มั้ยคะคุณอิ๊กขา
 :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 07-11-2010 00:27:21
ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรบ้างแต่คงมีแต่น้ำที่ช้ำใจแน่ๆเลย

เศร้า สงสารน้ำ :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 07-11-2010 00:59:24
โอ๊ยๆๆๆ

อ่านแล้วอึดอัดแปลกๆๆเหือนบอทไม่เหมือนเดิม

เหมือนไม่ใช่บอทที่แสนดีคนเดิมอ่า

เอาบอทคนนั้นคืนมาได้ไหมรู้สึกว่าอีกหน่อยน้ำจะเสียใจอย่างแรงนิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 07-11-2010 01:08:10
อืมมม  พออ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนคนที่จะทำให้เหตุการณ์มันเปลี่ยนแปลงน่าจะเป็นบอท...

สงสารน้ำอ่าาา  :monkeysad:

ปล.อ่านตอนนี้แล้วคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านมั่งอ่ะ :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 07-11-2010 12:33:55
บอทยังจำไม่ได้ชัวร์ป้าป  แอบอ่านไดอารี่น้ำแน่นอนเลยเนี่ย

โอ๊ยดราม่าอีกแล้ววว ฮือๆ :sad4:  แต่ยังไงก็ชอบอ่านแนวดราม่าอยู่ๆดี
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 07-11-2010 12:43:40
หลังฝนซาพายุกำลังจะเข้าจริงๆด้วย
แต่พออ่านไปอ่านไปก็ชักจะทำใจไปในตัวแล้ว
การกระทำของบอทแม้คำพูดจะใช่ แต่การกระทำต่างๆมันชักจะยิ่งห่างเข้าไปทุกที
หรือว่าบอทจะไม่ได้รักน้ำตั้งแต่ทีแรก
ที่ผูกพันกันเพราะความใกล้ชิดเท่านั้น
ก็เลยไม่มีอะไรควรค่าให้จดจำ ถ้าเป็นอย่างนีบอทก็ไม่ดีสุดๆ
เป็นกำลังใจให้พี่อิ๊กนะครับ เลิกซะเพื่อตัวเองและ.
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 07-11-2010 14:59:39
 :L2:มอบดอกไม้ให้อิ๊กกี้ก่อนเลย :L2:

 :m15:ยิ่งอ่านยิ่งรันทดบอทจะต้องเก็บงำความลับเกี่ยวกับตัวเองไว้แน่ๆ หรือไม่ก็ต้องการทำให้น้ำเสียใจ น่าสงสารน้ำเพราะถึงแม้จะรู้สึกว่าบอทเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อนแต่ก็ยังทำเพื่อบอท :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 07-11-2010 15:08:00
ก้ยังคงคิดว่าบอทไม่ได้จำได้ แต่คงมีใครไปบอกอะไรรึเปล่า
สงสารน้ำจัง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 07-11-2010 17:38:12
บอทแปลกจิงๆ  พอเดาเรื่องข้างหน้าออกแระ คงมาม่าสุดฤทธิ์สิน่ะ  สงสารน้ำจับจิต
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 07-11-2010 19:28:53
น้ำอาลัยอาวรกับทุกสิ่งทุกอย่าง.....
ส่วนบอท....คิดถึงความยากลำบากของแม่นิ่มบ้างไหม????
ฟื้นขึ้นมากลายเป็นคุณชายบอทซะแล้ว....
ลืมตัว....กลายเป็นวัวลืมตีนซะแล้วนะบอท....
วิบากกรรมของน้ำกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วซินะ...... :เฮ้อ:
รอต่อไปจ้า......

 :L2: กด + น้องน้ำคนดี  กะ น้อง eiky คนเก่ง  :L1:
อ้อ...เรื่องบุหรี่หากหักดิบแล้วไม่ไหว....ค่อย ๆ ลด ค่อย ๆเลิก
ให้มันห่าง ๆ ไป  เว้นระยะให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็น่าจะได้น้า....
สู้ ๆ นะจ๊ะน้อง eiky เพื่อตัวเราเองนะ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 07-11-2010 20:15:45
บอทเปลี่ยนไปจริงๆ คนมันจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้จริงๆหรือ น่ากลัว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 08-11-2010 19:05:29
มารอตอนใหม่ค่ะคุณอิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 08-11-2010 20:36:22
พอถึงกรุงเทพมันต้องมีเรื่องแน่ๆๆ

บอทดูแปลกๆ น้ำต้องเสียน้ำตาอีกแน่  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 08-11-2010 20:58:42
บอทดูแปลกไปมาก กลัวว่าน้ำจะต้องกลับมาเสียใจอีก o18
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๕ (พฤศจิกายน ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 08-11-2010 21:11:58
บทที่ ๒๖

ปุจฉา แรงเหวี่ยงใดมีอิทธิพลต่อใจมากที่สุด

รถบัสจอดเทียบชานชลารถขาเข้าเมืองสถานีขนส่งหมอชิตในตอนรุ่งเช้า แสงสุริยันยังไม่ฉายแสงเงินแสงทองในขอบฟ้าทิศบูรพา มีเพียงความมืดสีจางๆระเรื่อไปด้วยแสงไฟนีออนสาดส่องให้แสงสว่างอยู่ทั่วบริเวณ น้ำเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย บอทเป็นคนสะกิดบอกให้ตื่น พอลืมตาตื่นขึ้นมาหัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ตื่นเต้นขึ้นมาสถานที่ที่ไม่เคยเห็นทั้งผู้คนมากหน้าหลายตาจอแจกันอยู่เบื้องล่าง ฟ้าใหม่จะเรียกแบบนี้ก็คงไม่ผิด ฟ้าฝืนใหม่ เมืองใหญ่ที่กำลังจะก้าวเท้าลงไปเหยียบสัมผัสเป็นครั้งแรก น้ำมองออกไปนอกหน้าต่างรถบัส สายตาจับจ้องอยู่ที่ขบวนรถหลากหลายคันที่เรียงรายเข้ามาจอดเทียบชานชลา ผู้คนขวักไขว่ไปมาจนลายตาไปหมด

"น้ำป่ะลงได้แล้ว"

บอทสะกิดบอกน้ำถึงกับสะดุ้งแล้วพยักหน้าขยับตัวออกจากที่นั่งยืนขึ้นหยิบกระเป๋า

"คนเยอะจังนะบอท"

"อืม คนคงลงกรุงเทพฯเยอะอ่ะ รีบไปเถอะ น้ำเอาที่อยู่อีเล็กมาใช่ไหม"

"อืม เอามา มันอยู่ซอยมหาดไทย"

บอทลงไปก่อนเพื่อไปขนของใต้ท้องรถ ส่วนน้ำยืนมองรอบๆกาย สูดเอากลิ่นไอของเมืองฟ้าเมืองอมร นี่น่ะหรือเมืองที่ใครหลายคนต่างบากหน้ามาเพื่ออนาคตเพื่อสร้างฝัน กลิ่นน้ำประปากลิ่นสาบสางตลบอบอวลลอยคลุ้งมากับอากาศ เคยแต่ได้กลิ่นดินกลิ่นหญ้า กลิ่นสารเคมีกลิ่นเมืองใหญ่อย่างนี้ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนสูดเข้าไปในปอดด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่

"ป่ะน้ำ เดี๋ยวจะสว่างก่อน พี่คนรถบอกรถจะติด"

บอทเรียกน้ำให้มาช่วยขนของ น้ำพยักหน้าอีกครั้งก่อนที่จะเดินไปช่วยบอทยกของ เดินไปรอคิวเรียกรถแท็กซี่ตรงไปยังซอยมหาดไทย แสงสีวาววับระหว่างทางทำให้น้ำอดไม่ได้ที่จะหันออกไปมอง ตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน ส่วนบอทคุยกับคนขับเพราะพูดภาษาเดียวกัน คุยกันอย่างถูกคอ เข้าในซอยมหาดไทยเกือบตีห้าครึ่ง ลุงคนขับส่งทั้งสองลงหน้าหอพักของเล็ก

"น้ำๆ ทางนี้ กูอยู่นี่"

เล็กร้องเรียกมาเพราะนัดหมายกันไว้แล้วว่าจะมาถึงเวลานี้ น้ำรู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นหน้าเพื่อนรักอีกครั้ง ปรี่เข้าไปหา

"เป็นไงมึง นี่ล่ะกรุงเทพฯ"

"อืม คนเยอะว่ะ ไม่เห็นจะดีเลย เสียงรถดังหนวกหูออก"

"เออน่า เดี๋ยวมึงก็ชิน ว่าไงไอ้บอท จำกูได้แล้วใช่ไหม"

"จำได้สิ อีเล็กปากหมา"

ไม่มีเสียงตอบจากเล็ก แต่ทั้งน้ำและเล็กหันมามองบอทพร้อมกันอ้าปากค้าง ที่ผ่านมาแม้บอทจะเคยเล่นกับเล็กแรงๆ แต่ไม่เคยมีถ้อยคำจำพวกนี้หลุดออกไปจากปากของบอทเลย ไม่เคยได้ยิน บอทเองเหมือนรู้สึกตัวว่าพูดจาไม่ดีเสียแล้ว จึงเปลี่ยนสีหน้าทันที

"เอ้ย กูล้อเล่น เป็นไงมึงขาวเชียวนะมาอยู่กรุงเทพฯไม่ถึงปี"

"อืม เดี๋ยวพวกมึงก็ขาว ขึ้นห้องเถอะน้ำ ขนไหวไหมมึง"

"ไหว มึงมาช่วยยกกระสอบข้าวสารหน่อยดิ"

"มึงนั่นล่ะแบก กูจะยกกระเป๋า"

ทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันอยู่จนตกลงกันได้ว่าใครจะยกอะไร แล้วเดินตามกันขึ้นไปบนห้องของเล็ก

"พี่กูยังไม่ตื่นนะ เดี๋ยวพวกเราค่อยลงมาคุยกันที่ใต้หอ เอาของไปเก็บก่อน"

เล็กกระซิบกระซาบบอก ทั้งน้ำและบอทก็เบาเสียงลง พอเข้าไปในห้องของเล็กก็รีบเอาของวางแล้วรีบออกมา

"เดี๋ยวพี่กูไปทำงานแล้วค่อยนอนนะ ตื่นแล้วเดี๋ยวกูพาไปเดินเดอะมอลล์"

"ไม่ไปเลยล่ะมึง กูไม่ง่วง"

บอทบอกหน้าตาตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่

"แหมไอ้นี่ นอนก่อนก็ได้ไม่ต้องรีบหรอก เดอะมอลล์มันไม่หนีมึงไปไหนหรอก นอนก่อนก็ได้"

เล็กมองบอทด้วยสายตาแปลกๆ

"อืม นอนก่อนก็ดี เหมือนนอนไม่พอยังไงไม่รู้"

น้ำบอก บอทเองเม้มปากก้มหน้าลง

"แล้วมึงจำได้หมดแล้วเหรอไอ้บอท ว่าอะไรมันเป็นอะไรน่ะ"

เล็กเอ่ยขึ้น น้ำกระแอมเสียงขึ้นเพราะไม่อยากให้เล็กถามบอทมากเกินไปเรื่องนี้

"ยังหรอกมึง ยังจำได้ไม่หมด แต่ก็พยายามรื้อฟื้นอยู่"

"มันเป็นยังไงวะคนเสียความทรงจำเนี่ย อยากรู้ว่ะ"

"มันก็ว่างๆอ่ะ จำไม่ได้ ไม่รู้"

บอทตอบอ้อมแอ้ม ไม่ยอมสบตา

"พอเถอะมึง ไปนอนเถอะกูง่วงแล้ว"

น้ำตัดบทเพราะเห็นท่าทางของบอทแล้วดูท่าจะไม่ค่อยชอบใจที่โดนเล็กรุกไล่อยู่ พอขึ้นไปนอนก็ปูผ้าห่มลงกับพื้นนอนเรียงกันเป็นตับอยู่ ส่วนพี่ชายของเล็กยังไม่ตื่น พอตื่นก็เกือบบ่ายสองโมงแล้ว เล็กไม่ได้ไปไหนจึงอยู่ที่ห้อง พอทั้งสองตื่นจึงพาออกไปเดินเที่ยวที่เดอะมอลล์ ทั้งสองก็ตื่นตาตื่นใจไปเช่นเคย

"โห มึงท่าทางมีแต่ของแพงๆทั้งนั้นเลยนะ"

น้ำร้องขึ้นเมื่อเล็กพาเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าที่เรียงรายกันอยู่

"แพงดิ เดี๋ยวกูพาเดินไปตะวันนาฝั่งโน้นไม่ค่อยแพงเท่าไหร่"

เล็กบอกแล้วเดินนำหน้าเพื่อนทั้งสองไป กลับมาห้องก็ค่ำเล็กพาแวะตลาดซื้อข้าวมากินกัน น้ำเองเริ่มมองเห็นเค้าของความลำบากรออยู่เบื้องหน้าแล้ว เพราะทุกอย่างมันคือเงิน ไม่ว่าจะกระดิกตัวไปไหน ก้าวออกจากบ้านเมื่อไหร่นั่นหมายถึงการล้วงเงินออกจากกระเป๋าไปด้วย

"เดี๋ยวพรุ่งนี้กูพาไปดูรามฯ จะได้บอกมึงด้วยว่าลงทะเบียนตึกไหน"

เล็กพูดขึ้นเมื่อเก็บจานเก็บถ้วยไปที่ระเบียงของห้องเพื่อทำความสะอาด

"อืม ก็ดีมึง พาไปดูหอด้วยดิ"

"มึงไม่อยู่กับกูก่อนเหรอ สักอาทิตย์"

"เกรงใจพี่มึงว่ะ พี่เขาทำงานนี่ เดี๋ยวเผื่อพวกกูกลับเข้ามาไม่เป็นเวลามันจะรบกวนพี่เขาเปล่าๆ"

"อืม ได้ๆ เดี๋ยวกูพาไปเดินดูซอย ๒๙ มีหอเยอะ"

"ขอบใจมึงมากนะเล็ก ที่เป็นธุระให้"

"เอาน่ามึง ขอบจงขอบใจอะไรล่ะ เพื่อนกันถ้าไม่ช่วยกันแล้วให้ใครมันช่วยล่ะ"

เล็กตบบ่าของน้ำ สายตาที่มองน้ำเหมือนพยายามสื่ออะไรออกไปแต่น้ำเองไม่ทันสังเกต

"น้ำ มึงว่าไอ้บอทมันจำได้เหมือนเดิมจริงเหรอ"

เล็กถามขึ้นตอนชวนน้ำออกมานั่งเล่นใต้ถุนหอที่พัก ส่วนบอทอยู่คุยกับพี่ชายของเล็กบนห้อง

"ทำไมล่ะมึง มันจำได้แล้ว รู้ไหมบอทจำตอนที่กูกับมันไปนั่นมานี่ด้วยกันได้หมดเลยนะ"

"เหรอ แต่กูว่ามันแปลกๆว่ะมึง"

"คิดมากมึง คนมันโดนกระแทกขนาดนั้น ดีแล้วที่บอทไม่พิการ แค่นี้ก็พอแล้ว"

เล็กเองพอเห็นท่าทีของน้ำแล้วก็เงียบไปไม่พยายามทำให้เพื่อนคิดมาก แต่ในใจของตนนั้นระแวงคลางแคลงใจกับเพื่อนคนเดิมแต่เหมือนมีใจใหม่เสียแล้ว

"โห ใหญ่มากเลยอ่ะมึง"

บอทร้องขึ้นเมื่อก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง

"ใหญ่ดิมึง นักศึกษาปีหนึ่งๆ เป็นแสนๆ"

"โห จริงเหรอเล็ก แล้วเขาเรียนกันยังไงวะ"

"ก็เรียนด้วยตัวเอง มาฟังบรรยายบ้าง มึงไปดูห้องบรรยายซะก่อนใหญ่มาก แต่ถึงจะมึคนเข้าปีละแสนกว่าๆ แต่คนจบมันไม่ได้เยอะอย่างนั้นหรอกนะน้ำ เข้าง่ายออกยากเหมือนกันนะรามฯน่ะ"

"อืม แต่กูคงไม่เรียนถึงแปดเก้าปีหรอกนะ"

"ฮ่าๆๆ นึกว่ามึงจะเรียนเป็นเพื่อนกู"

"เออ แล้วอีเอ๋ล่ะมึง มันจะมาไหมวันนี้อ่ะ"

น้ำถามถึงเพื่อนรักอีกคน

"มันอยู่บางนา รอกูถอยเพจก่อนค่อยนัดกับมัน"

เพจเจอร์คือเครื่องมือสื่อสารสำหรับวัยรุ่นยุคนั้น ก่อนที่โทรศัพท์มือถือจะได้รับความนิยม ในสมัยนั้นโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกๆหรือที่เรียกว่ารุ่นกระติกน้ำมีขนาดใหญ่เท่าวิทยุสื่อสารของทหาร แต่ใครพกติดตัวไปไหนมาไหนถือว่าโก้เก๋กันมากทีเดียว

"โห มึงจะถอยเพจเลยเหรอเล็ก แพงไม่ใช่เหรอ"

บอทร้องขึ้นทำตาโต

"กูให้พี่กูช่วยออก เนี่ยกูทำงานด้วยนะมึงอยู่เดอะมอลล์นั่นล่ะ ถ้าอะไรๆมันลงตัวแล้วเดี๋ยวไปทำกับกูดิ เขารับเด็กทำพาสไทม์อยู่นะ"

"เออ ดีเหมือนกันจะได้ช่วยที่บ้านประหยัด"

น้ำบอกแต่บอทนิ่งเงียบไป หลังจากเล็กพาตระเวนเดินดูในรามฯจนทั่วก็พากันไปกินข้าวที่โรงอาหาร แล้วค่อยออกมาเดินดูหอพักในซอยรามฯ ๒๙ ปากซอยเป็นร้านขายอาหารฟากหนึ่ง ส่วนอีกฟากเป็นตึกแถวมีร้านรวงมากมาย ผู้คนก็เดินกันขวักไขว่ละลานตา

"คนเยอะไปไหมมึง ซอยนี้อ่ะ"

"เยอะสิดี จะได้ไม่เปลี่ยวเวลากลับบ้านค่ำๆมืดๆ มีท่าเรือด้วยนะน้ำ เวลาจะไปทำงานที่เดอะมอลล์ก็นั่งเรือไปเร็วดี"

"หือ เรือเนี่ยนะ มันไม่น่ากลัวเหรอมึง"

"ตอนแรกกูก็ไม่กล้านั่งหรอก แต่พอชินก็ไม่มีอะไร อยู่ๆไปมึงก็ชินเองล่ะ"

เล็กเหมือนพูดปลอบใจ ความจริงแล้วจริงอย่างที่เล็กบอก สิ่งที่เรายังไม่คุ้นไม่ชิน ไม่เคยทำ เรามักจะกลัวจะหวั่นไปก่อนที่จะทำเสียอีก แต่พอทำไปแล้ว พอมันชินสิ่งที่เคยกลัวเคยหวั่นก็ไม่มีให้เห็นอีกเลย

หอพักที่เล็กพาไปดูเป็นหอพักชาย เอาตึกแถวสี่ชั้นมาซอยกั้นห้องแบ่งเป็นห้องนอนชั้นหนึ่งๆมีเกือบสิบห้อง ส่วนห้องน้ำรวมอยู่ชั้นแรกของตึก ห้องขนาดเล็กไม่กี่ตารางเมตร เดินเข้าไปแทบจะชนกัน มิหนำซ้ำฝาที่กั้นเป็นเพียงไม้กระดานแผ่นบางๆเท่านั้นได้ยินแม้เสียงกระแอมหรือเสียงกรน ในห้องว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยมีเพียงเสื่อน้ำมันผืนเก่าปูให้ที่พื้น

"เล็กว่ะจะนอนกันยังไงเนี่ย"

บอทโอดครวญขึ้นเป้นคนแรก

"ก็อยู่ๆไปก่อนไงมึง เดือนละพันกว่าบาทเอง หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ พวกมึงก็ใช้แค่นอนเท่านั้นนี่ เวลาไปเรียนก็ไม่ได้อยู่ห้องไหนจะทำงานอีก ยิ่งไม่มีเวลาอยู่ห้อง จะเช่าทำไมแพงๆ"

"แต่มันดูน่าจะอึดอัดว่ะกูว่า"

"เดี๋ยวพอเราชินแล้วเราค่อยย้ายไปอยู่ห้องใหญ่กว่านี้นะบอท ตอนนี้อยู่ที่นี่ไปก่อน คงไม่ลำบากอะไรหรอก"

น้ำเอ่ยขึ้นบอทถึงยอมเงียบลง เล็กเองพยายามมองสังเกตอาการอยู่ตลอดเวลา รู้สึกได้ว่าเพื่อนคนนี้ได้เปลี่ยนไปพอสมควร แต่ก็ไม่อยากให้น้ำเสียใจหรือหนักใจจึงได้แต่ดูทีท่าไปก่อนยังไม่พูดอะไรออกมา

"ติดคลองด้วยนะมึง นี่ล่ะเขาเรียกคลองแสนแสบ น้ำเน่าเชียวนะเคยได้ยินตั้งแต่สมัยเรียน ไม่คิดว่ามันจะเน่าอย่างที่เขาว่าจริงๆ"

เล็กพาลงมาเดินดูรอบๆตึกหลังจากที่ตกลงว่าจะเช่าวางเงินมัดจำไปแล้ว เสียงเรือโดยสารดังแว่วมาแต่ไกล น้ำสีดำมะเมื่อมกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงแหวกของเรือ ผู้คนที่สัญจรอยู่บนเรือดูทะมัดทะแมงในการก้าวขึ้นลงทั้งที่เรือยังจอดไม่สนิท น้ำเองคอยมองดูอยู่เผื่อว่าวันหน้าจะได้ใช้วิธีโดยสารแบบนี้บ้างเหมือนกัน

"เดี๋ยวไปซื้อที่นอนปิกนิคที่มอลล์รามกันมึง นอนๆแบบนี้ไปก่อน ของใช้มึงเอามาด้วยใช่ไหมน้ำ"

เล็กพูดขึ้นหลังจากกลับมาที่หอในวันถัดไป เตรียมตัวย้ายเข้าแล้ว เอาของที่ขนมาขึ้นไปเก็บบนห้อง พอวางของแล้วถึงรู้ว่าห้องมันเล็กอย่างที่บอทบอกจริงๆ ที่จะนั่งยังไม่มี บอทเองก็หน้าหงิกอยู่แต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรมากนัก พอเก็บของรับกุญแจเสร็จก็เดินตามเล็กไปยังเดอะมอลล์รามเพื่อซื้อเครื่องนอนแบบชั่วคราว

"พรุ่งนี้เก้าโมงนะ เจอกันหน้าตึกศิลาบาตร กูจะพาไปลงทะเบียน เตรียมเอกสารตามที่บอกนะมึงจะได้ไม่เสียเวลา"

เล็กเอ่ยขึ้นก่อนจะแยกจากเพื่อนทั้งสองไป น้ำกับบอทพยักหน้า

"แวะกินข้าวก่อนนะน้ำเราหิว"

"อืม กินไรดีบอท ของขายเยอะแยะไปหมด"

"เราอยากกินก๋วยเตี๋ยวอ่ะ"

"ได้ น้ำจะได้แวะซื้อน้ำขึ้นไปไว้บนห้องด้วย"

ร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ น้ำเดินเข้าไปซื้อน้ำขวดแล้วเดินมาหาบอทที่นั่งรอก๋วยเตี๋ยวที่สั่งไป พอกินเสร็จก็เดินกลับเข้าหอ

"ไปอาบน้ำก่อนดิบอท เดี๋ยวน้ำเอาผ้าเช็ดตัวให้"

น้ำบอกแล้วจัดของให้เป็นที่เป็นทาง

"รอน้ำดีกว่า ไปอาบพร้อมกัน"

"อืม แป๊บนะน้ำจัดของก่อน"

ระหว่างทางเดินลงมาจากห้องของตนเองที่อยู่ชั้นสาม เจอเพื่อนร่วมหอนั่งอยู่ตามบันไดหรือไม่ก็เปิดห้องเอาไว้ทั้งที่ห้องอยู่ริมทางเดิน น้ำเองรู้สึกแปลกๆเพราะสายตาที่มองมามันไม่คุ้นเคย

"มองไรวะ"

บอทบ่นพึมพำเบาๆ

"รีบไปเถอะบอท"

น้ำสะกิดบอกแล้วดันหลังให้บอทเดินลงไปที่ห้องน้ำ

"ไม่เข้ามาอาบด้วยกันเหรอน้ำ"

"จะดีเหรอบอท"

"ไหนบอกมาอยู่กรุงเทพฯเราจะเปิดเผยกันไง"

"อืมได้ เข้าไปดิ"

น้ำเดินตามหลังบอทเข้าไปในห้องน้ำที่ยกพื้นก่อปูนทำเป็นอ่างอาบมีน้ำที่รองไว้เต็มอ่าง มีพื้นที่ให้ยืนอาบน้ำและมีพื้นที่ของส้วมซึมอยู่ถัดออกไป ความเก่าของสถานที่ดูได้จากผนังห้องน้ำที่มีตะไคร่เขียวเกาะอยู่เต็ม บอทเองสลัดผ้าออกจากตัวไม่มีเอียงอายน้ำเองก็ทำตาม พอตักน้ำราดตัวน้ำเองก็เอาสบู่ถูหลังให้บอท

"น้ำ เรารู้สึกแปลกๆว่ะ"

บอทกระซิบบอกเพราะเหมือนกำลังถูกสายตาคูอื่นจ้องมอง

"มีอะไรเหรอบอท"

"เหมือนมีคนแอบดู"

"บ้า ใครจะมาแอบดูผู้ชายอาบน้ำ"

"ซ่า" "โอ๊ย"

บอทเอาขันตักน้ำแล้วสาดไปยังช่องระบายอากาศ ทันใดเสียงร้องเหมือนคนตกใจก็ดังขึ้นน้ำรีบเอาผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวไว้

"บ้าจัง ทำไมมีคนมาแอบดู"

"พวกโรคจิตน่ะสิ รีบอาบเถอะน้ำ"

บอทบอกแล้วรีบอาบน้ำ พอออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นมีใคร แต่ตอนเดินกลับขึ้นไปบนห้องของตน สายตาของเพื่อนร่วมหอที่เห็นว่าแปลกในตอนแรก แต่คราวนี้มันดูแปลกไปยิ่งกว่าเดิมเสียอีก มันมีประกายแปลกประหลาดซ่อนอยู่ในนั้น

"อะไรวะ คนพวกนี้ประหลาด มองอยู่ได้"

บอทพูดขึ้นเสียงดังเมื่อเข้าไปอยู่ในห้อง

"น้ำว่าอย่าไปสนใจเขาดีกว่านะบอท เดี๋ยวจะมีปัญหาเปล่าๆ"

"เราไม่ยุ่งหรอก แต่อย่ามายุ่งกะเราละกัน อย่าหาว่าไม่เตือน"

"คร้าบ คุณ อภิพงศ์นักเลงโต มาน้ำทาแป้งให้"

"ไม่เป็นไร เราทาเอง"

คำพูดที่เปล่งออกมาด้วยเสียงเรียบราบปกติ แต่ทำไม่มันสะกิดใจยังไงไม่รู้ น้ำรู้สึกร้อนวูบวาบที่หน้า ไม่เคยได้ยินคำๆนี้จากปากของบอท แต่คงเพราะบอทเองยังจำอะไรต่อมิอะไรยังไม่ได้ดีเท่าไหร่ น้ำพยายามคิดในแง่ดี แล้วฝืนยิ้มออกไป

"เราว่าวันหลังไปซื้อฟูกมานอนดีกว่าไหมน้ำ มันเจ็บหลังนะแบบนี้อ่ะ"

"อืม รอสักพักก่อนนะ น้ำว่าน้ำจะไปทำงานเหมือนเล็กมัน หลังจากที่ลงทะเบียนเสร็จ บอทไปทำด้วยกันนะ"

"ฮื่อ ไม่เอาอ่ะ เรามาเรียน เราอยากจะตั้งใจเรียนให้มากๆ เราไม่ได้เรียนเก่งเหมือนน้ำนี่ ที่จะอ่านเองแล้วรู้เรื่อง"

อีกครั้งกับคำพูดที่ทำให้น้ำรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่กับบอทคนใหม่ คนที่พยายามฝืนตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดท่าทางการกระทำ มันเหมือนไม่ใช่คนๆเดิมที่เคยก่ายกอด ตั้งแต่เกิดมาบอทไม่เคยพูดจาประชดประชันในทำนองนี้เลย แม้จะเคยพูดในทำนองตัดพ้อต่อโชคชะตาของตน แต่ไม่เคยเสียดสีมาถึงน้ำเลย

"แล้วบอทจะทำอะไรล่ะ ตอนว่างๆน่ะ"

น้ำเองก็ยังไม่ละความพยายาม

"เราว่าจะเข้าชมรม เห็นอีกเล็กบอกมีชมรมไม่ใช่เหรอที่ราม"

"ชมรมอะไร"

"บอล หรือไม่ก็อะไรก็ได้ เราก็ไม่อยากว่างนี่"

"อืม บอทไม่สงสารแม่นิ่มเหรอ บอทพอทำงานได้น้ำว่าน่าจะทำนะ อย่างน้อยพอจบไปเราก็จะได้ไม่ต้องไปเริ่มทำงานใหม่เหมือนคนอื่น เรียนด้วยทำงานด้วย ใครๆเขาก็ทำ"

"ทำไมล่ะน้ำ เราไม่อยากทำงานอยากอยู่สบายๆ อยู่บ้านก็ทำแต่งานบ้าน มาอยู่กรุงเทพฯยังต้องทำงานหนักอีกเหรอ ขอพักบ้างดิ"

"บอท"

ได้แต่ครางออกมา สายตามองหน้าบอทเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน

"นอนเถอะ เราง่วง"

จะเป็นยังไงถ้าเขาแปรเปลี่ยนไป   ให้ทำอย่างไรหากใจไม่เหมือนเดิม

พยายามเข้าหาแต่เขาว่าล่วงเกิน   ไม่มีเพิ่มมีแต่ลดน้อยถอยลง

จะก่ายกอดให้สมรักคนึงหา     อยากสูดกลิ่นกายาเขาไม่ประสงค์

อยากจุมพิศหวานฉ่ำเหมือนยังคง   แต่เขาจงใจปัดรักเราออกไป

ไม่คิดไกลเขาคงเหนื่อยคงเมื่อยล้า   เราสิบ้าอยากก่ายกอดยังสงสัย

เขายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป    ต้องให้ใจเข้มแข็งอย่าโรยรา

จะว่าไปเพราะเราคือสาเหตุ      ให้อาเพศเกิดเหตุอย่ากังขา

ก้มหน้ารับชะตากรรมด้วยน้ำตา   ถึงจะสาสมกับที่เราทำ


วิสัชนา แรงที่เขาเหวี่ยงเราออกจากใจนั่นไง ทรงอานุภาพมากที่สุด จริงไหม

เขียนโดย อิ๊กกี้

ปล. พยายามจะเขียนให้ได้เยอะๆก่อนกลับบ้านนะครับ วันศุกร์คุณแม่กะคุณพ่อบังคับให้กลับบ้านแล้วอ่า อิอิ คงเพราะโทรฯมาหาเมื่อไหร่ก็ทำเสียงเหนื่อยตลอดมั้งเลยขู่ให้กลับไปพักที่บ้าน

ตอนนี้เริ่มที่จะมีพายุตั้งเค้ามาแล้วน้า อิอิ อย่าเพิ่งท้อนะคร้าบ อ่านต่อไปเถอะน่า วันก่อนดูละคร สิงคโปร์เรื่อง บาบ๋า ยาหย๋า โห เจ๊เขารันทดมากกกก ขอบอก แต่ของผมไม่ขนาดนั้นน้า ตอนนี้ มอบ พิเศษให้ knightofbabylon นะครับ อิอิ เพื่อนๆคนที่ยังไม่มอบให้ รอตอนต่อไป ใครหนอจะได้ตอนสะใจๆไป อิอิ จุ๊บๆๆๆ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 08-11-2010 21:31:51
เดี๋ยววันศุกร์จะมาดูใหม่นะคะว่าถึงตอนของน้องมิรึยัง

ขอกลับไปอ่านตอนล่าสุดก่อน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 08-11-2010 21:50:37
พายุก่อตัวพร้อมบอทที่จะเปลี่ยนไป  เฮ้อ ขอให้อย่าเศร้านานและขอให้น้ำทำใจได้ถ้าบอทมีคนอื่นแล้วหนีบอทไปอย่าอยู่เป็นที่สองที่สาม  ขอให้น้ำเข้มแข็งได้สักครึ่งของภูมิ  สาธุ๊
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 08-11-2010 21:52:42
 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 08-11-2010 22:08:51
เออ..คนความจำเสื่อมนี่นิสัยก็เปลี่ยนไปด้วยเหรอ แล้ดูดิ เปลี่ยนแบบดูไม่ดีเลย
คงต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เพื่อรอรับ :monkeysad:นี่เหรอคะคุณอิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 08-11-2010 22:36:14
บอทนิสัยแย่จัง  :angry2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 08-11-2010 22:44:22
โอ๊ยๆๆ

บอทไม่เหมือนเดิม

อยากได้บอทคนเดิมคืนมานี่ต้องเอาไม้แอบไปทุบหัวไหมเนีียะ

สาธุๆๆบอทคนเดิมกลับมาไวไวนะ :call: :call:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 08-11-2010 22:51:59
อ่านไป ปวดหัวตึ๊บๆ กะน้องน้ำ น้องบอท จีิงๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 08-11-2010 23:00:59
อ่าาาาาาาาาาา.. ขอบคุณค่ะคุณอิ๊ก :จุ๊บๆ:

พิเศษจริงๆด้วย ทิ้งปมไว้ให้คิดอย่างเยอะ..จริงๆนะ
บอทคิดอะไรอยู่เนี่ย?


 :กอด1:



หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 08-11-2010 23:30:24
แอบเครียดแทนน้ำ จริงๆ ตั้งใจตั้งแต่อ่านตอนแรกว่าจะไม่คิดอะไรมาก แต่ก็อดคิดไม่ได้จริงๆ

ไม่เอาละ ทำใจว่างๆ รอ "ตอนพิเศษ" ของเราดีกว่า  :laugh:

ว่าแต่คุณอิ๊กกี้ขาเอาพิเศษแบบบอทกับน้ำนะคะ ไม่เอาพิเศษแบบบอทกับสาวเมืองกรุงนะคะ (เรื่องมากไปไหมเนี่ย :m21: )


************

คนึงหา คำนี้ต้องประวิสรรชนีย์ที่พยางค์แรกด้วยะคะ ต้องเป็น คะนึงหา

จุมพิศ  คำนี้ใช้ ต สะกดนะคะ ต้องเป็น จุมพิต นะคะ
 
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 09-11-2010 04:24:18
สงสารน้ำ บอทเปลี่ยนไปจริงๆ :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 09-11-2010 09:24:46
"เพื่อนคนเดิมแต่หัวใจใหม่"จริงอย่างที่เล็กคิดจริง ๆ.....
บอทกลายเป็นอีกคนไปแล้ว.....รักสบาย....
ต่อไปคงสร้างความลำบากมาให้น้องน้ำเป็นระยะ....
สงสารน้องน้ำมากขึ้นทุกทีแล้ว...... :impress:

 :L1: น้องน้ำ กะ น้อง eiky  :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 09-11-2010 11:41:19
โอ่ยยยยยย บอทคนใหม่ ไม่ไหวจะเพลีย
มาม่าเคล้าน้ำตาซองนี้เมื่อไหร่จะหมดชามเนี่ย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 09-11-2010 17:12:54
บอทเปลี่ยนไป๋? แล้วบอทคนเดิมจะกลับมาไหมนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 09-11-2010 18:07:49
พี่อิ๊คอยากได้น้ำเป็นแบบภูมิอ่า ฮ่าๆ

ครึ่งนึงก็ยังดี
^^

รอตอนต่อไป

ดราม่ามาแล้ว กลัวจะเป็นโรคหัวใจ
อ่านไปหัวใจเต้นเร็ว เหมือนจะหลุดจากอก
T^T
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 09-11-2010 19:04:47
เตรียมใจครับเตรียมใจกันแล้วครับ
พี่อิ๊กเตือนมาถึงขนาดนี้
บอทจะสร้างปัญหาใหญ่มาแน่ๆแล้ว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 09-11-2010 20:53:00
เค้าลางแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มันจะมาแล้ว.... :z3:

บอทเปลี่ยนไปเยอะมากๆเลยอ่ะ



ปล...อ่านแล้วคิดถึงรามฯ ตั้งแต่จบมากลับไปไม่กี่ครั้งเอง ...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 10-11-2010 00:02:29
อ่าาาา เป็นเพราะบอทนี่เองงงง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 10-11-2010 14:20:11
 :z2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 10-11-2010 19:59:54
บทที่ ๒๗

ปุจฉา อันความรักนั้นจีรังยั่งยืนอยู่ได้นานเท่าไร

"น้องๆ ทางนี้ครับๆ มาเข้าชมรมกับพี่นะครับ ชมรมเรานอกจากจะรวมกลุ่มกันบำเพ็ญประโยชน์เพื่อชุมชนแล้ว ยังสอนให้เราสำนึกรักบ้านเกิดอีกด้วยนะครับ"

เสียงโหวกเหวกโวยวายดังกึกก้องตามซุ้มต่างๆรายทาง น้ำกับบอทลงทะเบียนเสร็จแล้ว น้ำเลือกเรียนคณะเศรษศาสตร์ ด้วยมหาวิทยาลัยรามคำแหงไม่มีคณะที่ตนเองต้องการเรียนคือเกษตรศาสตร์ ส่วนบอทเลือกลงทะเบียนคณะรัฐศาสตร์ด้วยบอกว่าอยากจะเป็นปลัดอำเภอ นับเป็นครั้งแรกที่ความคิดแตกแยกกัน แต่น้ำไม่ได้คิดอะไรมากเพราะบอทเองก็เคยเกริ่นๆก่อนที่จะสูญเสียความจำอยู่เหมือนกันว่าอยากจะเรียนเกี่ยวกับการปกครองเพื่อจะได้กลับเอาไปพัฒนาบ้านเกิดของตน ทั้งคู่เดินออกมาที่นัดพบเพื่อเจอเล็กกับเอ๋

"เข้าชมรมนี้ไหมน้ำ บ้านเดียวกันกับเราเลย"

บอทเอ่ยขึ้นสายตาดูยินดีปรีดากับคำเชิญชวน

"เราจะมีเวลาเหรอบอท น้ำว่าน้ำจะไปทำงานกับเล็ก"

"มีดิ อย่างน้อยก็ได้รู้จักคนมากขึ้นไงน้ำ"

บอทเองพยายามหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้มีน้ำหนักมากขึ้น

"เข้ามาเลยน้อง มาจากไหนครับ มาๆมาเข้าชมรมกับพวกพี่"

ชายคนนั้นเข้ามาดึงแขนบอทเพื่อให้เดินเข้าไปในซุ้มที่มีคนนั่งอยู่เต็ม บางคนก็ออกไปยืนร้องเรียกน้องๆที่เพิ่งลงทะเบียนใหม่เพื่อมาเข้าพวกกับตน น้ำเองยังลังเลอยู่เพราะนัดกับเพื่อนเอาไว้ แต่บอทเองเดินตามเขาเข้าไปในซุ้มแล้ว

"มาน้องมา อยู่อำเภออะไรนะครับ พี่ชื่อโจ้นะ เราล่ะชื่ออะไร"

เป็นเรื่องปกติของรุ่นพี่ที่ต้องการหาคนเข้าชมรมอยู่แล้วที่เขาจะตีสนิททำความคุ้นเคยกับรุ่นน้อง บอทนั่งลงบนม้านั่งฟังเขาแจงรายละเอียดอยู่ น้ำจึงจำใจต้องเดินเข้าไปด้วย

"อยู่คำเขื่อนแก้วเหมือนกันเหรอ อยู่บ้านอะไรครับ พี่ก็อยู่คำเขื่อนแก้ว พี่จบชนูนะ เราสองคนล่ะจบจากไหน ชนูเหมือนกันป่ะ"

คนชื่อโจ้ถามสีหน้าสีตาแสดงความยินดีออกมาอย่างเปิดเผย พอบอทบอกไปว่าอยู่หมู่บ้านอะไรเขาก็ร้องออกมา แต่พอบอกชื่อโรงเรียนเขาก็อมยิ้มน้อยๆ เพราะโรงเรียนที่เขาจบเป็นโรงเรียนประจำอำเภอชื่อดัง รู้สึกว่ารุ่นของน้ำที่โรงเรียนเขามีเด็กสอบเข้าแพทย์ได้คะแนนสูงสุดของประเทศถ้าจำไม่ผิด จึงเป็นเรื่องปกติดอีกเช่นเคยที่คนที่เรียนที่เดียวกันจะกระหยิ่มยิ้มย่องภูมิใจกับสถาบันของตน ทั้งที่ตนเองก็มาเรียนที่เดียวกับน้ำและบอท ที่ที่ไม่ต้องสอบเข้าที่นี้

"แล้วเข้าชมรมต้องมาทุุกวันไหมพี่"

น้ำเอ่ยถามขึ้น

"ถ้าพวกเราว่างก็มาทุกวันได้ครับ มีคนประจำอยู่ที่ซุ้มทุกวันอยู่แล้ว มาให้พี่ๆเขาแนะวิธีอ่านหนังสือให้ได้นะ ชมรมเราช่วยเหลือกันตลอด เดือนหน้าชมรมเราจะไปรับน้องที่ชะอำ ไปให้ได้นะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ชมรมเรายังมีโครงการที่จะไปทำห้องสมุดให้โรงเรียนที่จังหวัดสกลนคร บำเพ็ญประโยชน์น่ะน้อง"

เขาพูดเหมือนตามบทไหลไปไม่มีหยุด บอททำตาแวววาวสนใจ ส่วนน้ำเองครุ่นคิดอยู่

"ดีจังนะน้ำไม่ต้องเสียเงินแต่ก็ได้ไปเที่ยว"

บอทดีใจจนออกนอกหน้า พูดขึ้นเมื่อเดินออกมาจากชมรมหลังจากที่ลงชื่อไว้แล้ว และทางขมรมได้นัดหมายวันรวมตัวอีกรอบ แต่น้ำเองยังคงครุ่นคิดอยู่ ไม่ใช่ไม่อยากจะเข้าร่วมชมรม แต่น้ำเองไม่อยากจะเอาเวลาไปทำกิจกรรมมากนัก อยากจะทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระทางของบ้าน

"อืม ท่าทางคงดีแต่น้ำยังไม่แน่ใจเลยนะบอท เพราะพรุ่งนี้ว่าจะไปสมัครงานที่เดียวกับเล็กมัน บอทไม่ไปจริงเหรอ"

"ยังอ่ะน้ำ"

"บอท แต่เราไม่เคยห่างกันเลยนะ บอทจะให้น้ำไปคนเดียวเหรอ"

ถึงเวลาที่ต้องทวงถามคำมั่นจากวันวาน บอทเองพอได้ยินก็นิ่งคิดอยู่

"เดี๋ยวเราไปกับน้ำไง เวลาน้ำทำงานเราก็จะไปรับไปส่งทุกวัน ดีไหม"

น้ำยิ้มออกมา ดีใจนะกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่ว่าเขาเองจะพูดออกมาจากใจหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยคนที่เขากำลังพยายามจะรื้อฟื้นความทรงจำให้กลับคืนมาเป็นปกติดังเดิมกับคำพูดแค่นี้ก็ชื่นใจมากแล้ว

"น้ำๆ ทางนี้ๆ"

เสียงเอ๋ร้องเรียกเสียงดัง เอ๋กับเล็กนั่งอยู่ซุ้มที่ไม่มีคนจับจองตรงทางออกประตูที่จะไปเดอะมอลล์รามฯ น้ำปรี่เข้าไปหาเพื่อน

"เป็นไงเรียบร้อยใช่ไหม มึงไม่เรียนมนุษย์วะเหมือนกูไงเรียนเอกภาษาอังกฤษจะได้มีผัวฝรั่ง"

"นั่นมันมึงอีเอ๋ แหมกระแดะเชียวนะ"

"อ้าวไม่ได้หรอกมึง โอกาสมาก็ต้องคว้าเอาไว้"

"แล้วเจอแล้วเหรอเป้าหมายน่ะ"

"ยัง"

"ฮ่าๆๆ คงมีฝรั่งขี้นกมาแลมึงอยู่หรอก"

"เอาเถอะๆ พวกมึงอย่ากัดกันเลย กูเรียนเศรษฐศาสตร์ ส่วนบอทเรียนรัฐศาสตร์"

น้ำห้ามไว้เพราะสองคนดูท่าจะไม่ยอมรามือง่ายๆ

"ว้าย เรียนง่ายจังไอ้บอท กะจะจบก่อนพวกกูเหรอ"

"บ้ามึง ก็กูอยากเป็นปลัดอำเภอ"

"ค่า ต้องสวัสดีท่านปลัดในอนาคตไว้ก่อนได้ไหมเนี่ย"

เอ๋เหน็บแล้วหัวเราะร่า

"ตกลงมึงจำได้แล้วใช่ไหมไอ้บอท"

เอ๋ถามคำถามเดิมกับเล็ก แต่คราวนี้น้ำไม่ได้มองเพื่อปรามแต่อย่างใด

"ก็พอจำได้ จำได้ว่ามึงน่ะแรด"

"ว้าย ไอ้นี่ ปากดีอย่างนี้คงจำได้หมดแล้วล่ะ"

เอ๋ร้องขึ้นไม่ได้สังเกต เพราะคนที่เฝ้ามองดูอยู่คือเล็ก

"แล้วหอมึงเป็นไงบ้าง โอเคไหม"

เอ๋หันไปทางน้ำ

"อืมก็ดี แต่กูว่าคนที่อยู่นั่นดูแปลกๆยังไงไม่รู้"

"แปลกยังไงวะ"

"มันมาแอบดูกูกับน้ำอาบน้ำอ่ะดิมึง ผู้ชายบ้าอะไรวะมาแอบดูผู้ชาย้วยกันอาบน้ำ"

"ว้าย ตุ๊ดแน่เลยมึง ระวังตัวหน่อยก็ดี อย่าไปยุ่งกับพวกมันนะ"

เอ๋ร้องขึ้น คราวนี้หัวข้อสนทนาก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเกย์หรือตุ๊ดที่เอ๋เรียก ทั้งที่ตนเพิ่งจะลงมาหรุงเทพฯไม่ทันไรแต่ฟังจากที่เล่าดูเหมือนผ่านอะไรมาโชกโชน เพื่อนๆก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ

"ไปกินจิ้มจุ่มตรงซอย ๑๖ ไหมมึงอีเล็ก"

เอ๋ชวนหลังจากที่ตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ

"อืมไปดิ จะได้คุยกับน้ำมันเรื่องไปทำงานพรุ่งนี้ด้วย"

"มึงจะให้ไอ้น้ำไปทำที่ร้านเดียวกะมึงน่ะเหรอ"

"อืม ดีกว่าเรียนอย่างเดียว อย่างน้อยก็ได้เงิน"

"ดีๆน้ำ เขาเลี้ยงข้าวด้วยนี่ จะได้ประหยัด"

บทสนทนาส่วนมากพูดกันอยู่แค่สามคน ส่วนบอทนั่งฟังเฉยๆนานๆถึงจะมีตอบรับบ้าง

"เออน้ำ นี่เบอร์เพจกู จดไว้เวลานัดเจอกันจะได้สะดวก"

เอ๋ล้วงเอาเพจเจอร์ในกระเป๋าสะพายออกมาอวด

"โห พวกมึงมีเพจกันทุกคนเลยเหรอวะ"

บอทร้องขึ้นทำตาโต

"อยากได้ก็ทำงานเก็บเงินซื้อเอาดิมึง กูเก็บเงินแทบตายนะหว่าจะถอยเครื่องนี้ได้เนี่ย"

เอ๋พูดออกมาเสียงเรียบ แต่คนที่ยิ้มอย่างพอใจคือเล็ก

"แพงไหมวะ"

"ก็เอาการอยู่ มึงไม่ทำงานด้วยล่ะไอ้บอท อยากได้อะไรจะได้ซื้อ"

"กูยังจำอะไรไม่ได้เต็มร้อยเลยมึง กลัวว่าจะไปทำให้ของเขาเสียหาย"

เป็นครั้งแรกที่บอทแจงเหตุผลออกมาแล้วคนฟังไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ น้ำพยักหน้าเอื้อมมือไปจับมือของบอท บอทเองก็หันไปสบตากับน้ำ

"ค่าคุณชาย กว่าจะจำได้จะอีกนานไหมล่ะ"

"คงไม่นานหรอกมึง กินข้าวเถอะ เออ เล็กแล้วกูต้องใส่ชุดอะไรไปล่ะพรุ่งนี้น่ะ"

น้ำเบี่ยงประเด็นเช่นเคยเพราะไม่อยากให้เพื่อนๆรุมมาที่บอทคนเดียว

"มึงมีกางเกงแสล็คไหมล่ะกับเสื้อเชิ้ต รองเท้าหนังอีก"

"กูมีแต่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวนั้นนั่นล่ะมึง ต้องซื้อใหม่หมดเลยเหรอ"

น้ำทำเสียงสลดเพราะไม่อยากจะใช้เงินให้เกินความจำเป็น

"เสื้อก็ซื้อเสื้อเชิ้ตสีขาวไงมึงจะได้ใส่เวลาไปสอบ ส่วนรองเท้าหนังน่ะจำเป็นเดี๋ยวกูพาไปซื้อรองเท้ามือสอง ยังใหม่ๆอยู่นะ กางเกงก็ไม่แพงร้อยกว่าบาทเอง"

"เออนั่นสิ เดี๋ยวกูช่วยเลือก กูเลือกของเก่ง"

เอ๋อวดตัวเองแล้วหัวเราะ พอกินข้าวเสร็จก็พากันเดินไปยังซอยข้างๆเดอะมอลล์มีรองเท้าหนังเก่าๆอยู่หลายคู่วางอยู่ข้างถนน แต่สอบถามราคาแล้วไม่น่าพอใจเท่าไหร่นัก เล็กกับเอ๋จึงพาข้ามฝั่งเดินตั้งแต่เดอะมอลล์รามไปจนเกือบถึงหน้าสนามกีฬา ได้รองเท้า เสื้อกับกางเกงมาสมใจในราคาที่พอใจเช่นกัน บอทเองก็ซื้อเสื้อสองตัวกับรองเท้าหนัง น้ำเป็นคนเลือกให้ บางคราวที่ได้ใกล้ชิดกัน บอทเองก็เหมือนจะรู้สึกเลือนๆกับความทรงจำที่ผุดออกมา มือที่คอยเอื้อมไปแตะสะโพกของน้ำทำให้อีกฝ่ายเป็นสุขใจ ความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาคือความรักความห่วงใยที่มีให้กับชายคนที่เดินนำหน้าอยู่นี้ซึ่งมันมีพลังมากมายเหลือเกิน แต่บางคราวที่หัวมันว่างเปล่า แม้สะกิดเรียกขานก็ไม่อยากจะทำ รู้สึกรำคาญใจอย่างบอกไม่ถูก

"ตื่นเต้นไหมน้ำ"

บอทถามขึ้นในเช้าวันถัดมา น้ำรีบอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า เสื้อที่ซักน้ำเปล่าเมื่อคืนเอามาผึ่งลมก็หมาดๆไม่ถึงกับแห้งดีนัก น้ำสลัดผ้าหลายทีเพราะกลัวว่ามันจะยับ เตารีดก็ยังไม่ได้ซื้อจึงอาศัยวิธีนี้ก่อน

"อืม ตื่นเต้นเหมือนกัน"

"น้ำใส่ชุดแบบนี้แล้วดูดีนะ มาเรากอดจะได้ไม่ตื่นเต้น"

บอทเอ่ยขึ้ยแล้วยิ้มพราวเต็มดวงหน้า หัวใจของน้ำพองโตขึ้นมาโผเข้ากอดบอท

"สู้ๆนะน้ำ เราอยู่ข้างน้ำเสมอ"

"อืม น้ำจะสู้"

กอดร่างกันและกันไว้แน่น เป็นวันแรกที่น้ำกับบอทต้องโดยสารทาเรือ ประหม่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย พอก้าวลงไปบนเรือหัวใจก็เต้นตึกตักด้วยไม่เคย เรือยนต์แล่นฝ่าสายน้ำสีมอๆไปอย่างรวดเร็ว น้ำสังเกตว่าผู้คนที่โดยสารเรือจะรวดเร็วกระฉับกระเฉงกันทุกคน พอเรือจะเทียบท่าก็ก้าวขึ้นก้าวลงกันอย่างรวดเร็ว ไปถึงเดอะมอลล์บางกะปิไม่ถึง ๒๐ นาที น้ำโทรไปฝากข้อความเข้าเพจเจอร์เล็กว่ารออยู่ที่ไหนแล้ว นั่งรออยู่สักพักเล็กก็มา

"โหเสื้อยับว่ะมึง"

เล็กร้องทักออกมา

"กูไม่มีเตารีดนี่"

"บอกไม่ให้ซักๆ เห็นไหมยับเลย"

"บ้า ใครจะใส่เหม็นกลิ่นใหม่จะตาย"

"เออๆ คงไม่เป็นไร พี่คนที่จะสัมภาษณ์มึงน่ะกูสนิท ฝากไว้แล้วไม่ต้องห่วง เราไปกินข้าวก่อนเถอะ ห้างยังไม่เปิด"

เล็กบอกแล้วเดินนำหน้าไปยังฝั่งตะวันนาที่มีร้านขายข้าวรายเรียงอยู่เต็มไปหมด

"กูว่าน่าจะไม่มีปัญหาหรอกน้ำ มึงอย่าทำหน้าแบบนี้ได้ไหม ตลกว่ะ"

เล็กล้อเลียนขึ้นมาหลังจากห้างเปิดแล้วพาน้ำเข้าไปในร้านที่ตนทำงาน

"ก็กูไม่เคยนี่หว่า นี่งานแรกกูนะมึง"

"ฮ่าๆๆ ทำท่าเข้าเหมือนจะไปออกรบ"

"บอทมึงรออยู่ตรงนี้ก่อน เดินเล่นก่อนก็ได้ อีกสักชั่วโมงค่อยเดินกลับมา"

เล็กบอกแล้วพยักหน้าให้บอท

"ไม่ดีหรอกมึง เดี๋ยวหลง นั่งรอแป๊บนะบอท"

"โตเป็นควายแล้วไม่หลงหรอก ให้มันรอตรงนี้เป็นชั่วโมงมันก็เซ็งแย่สิมึง"

เล็กมองหน้าน้ำเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

"เราไม่หลงหรอกน้ำ เดี๋ยวเราเดินเล่นๆค่อยกลับมา โชคดีนะน้ำ"

"อืม"

จำใจต้องยอมเพราะคอนนี้มันตื่นเต้นมากกว่าที่จะพะวงเรื่องของบอท เล็กทักทายกับพี่ๆในร้าน น้ำเองก็ยกมือไหว้รายทาง

"เพื่อนแกเหรอเล็ก โหไม่เห็นเหมือนกันเลย ชื่ออะไรคะน้อง"

"น้ำครับ"

น้ำตอบยิ้มแห้งๆ

"ดูน้องน้ำนี่เรียบร้อย หน้าตาก็น่าเอ็นดูกว่าแกหลายเท่าเลยนะเล็ก"

"โห พี่นาง เล็กไม่เรียบร้อยตรงไหนวะ ออกจะดูดี"

"ค่าแม่คุณ ห้าวซะ กินข้าวมายังล่ะน้องน้ำ กินด้วยกันไหม"

"อ้อ เรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณครับพี่"

"จะว่าๆไป หน้าตาน้องนี่เหมือนใครนะ พี่เคยเห็นในทีวี"

"เวอร์แล้วพี่นาง อะไรมันจะหน้าตาเหมือนดาราขนาดนั้น"

"อย่ามาดูถูกสายตาชั้นนะ นี่เพิ่งมายังผุดผาดได้ขนาดนี้ ถ้าอยู่ไปน้ำประปามันกัดออก ขี้คร้าน สาวๆจะตรึม"

"มันไม่สนหรอกพี่ มันเป็นพวกเดียวกับเล็ก"

"หา"

ร้องเสียงหลงกันทั้งร้าน จ้องมายังน้ำที่ก้มหน้า ใจหนึ่งก็อายและไม่พอใจที่เล็กพูดออกไปแบบนั้น แต่ใจหนึ่งก็โล่ง ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องปิดบังใคร อันเมืองใหญ่เราจะเปิดเผยตัวตนแค่ไหนไม่มีใครสนใจหรอก เพราะขนาดพ่อแม่เองยังไม่ว่า แล้วเรายังจะต้องไปสนใจความรู้สึกของใครอีกหรือน้ำคิด

"ทำไมโลกนี้มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย หน้าตาดีๆเป็นแบบนี้กันหมด โอยๆ คาน คานแน่ๆอีนางเอ้ย"

พี่นางร้องครวญครางอยู่คนเดียว แต่เพื่อนๆร่วมงานหัวเราะเกรียวกราว น้ำเองก็ยิ้มออกมา

"น้ำ นี่พี่ มนัส ผู้จัดการร้าน"

พอชายหนุ่มท่าทางดูดีเดินเข้ามาในร้านพนักงานทุกคนก็ยกมือไหว้กันเป็นแถบ เล็กเองก็รีบแนะนำ น้ำรีบลุกขึ้นยกมือไหว้ ใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที

"อ้อ นี่น่ะเหรอเพื่อนเราน่ะเล็ก เข้าท่านี่ ว่าไงเราชื่ออะไรครับ"

"น้ำครับ"

"กินข้าวมาเรียบร้อยแล้วนะ เดี๋ยวนั่งรอพี่แป๊บเดียวนะ พี่เอาของไปเก็บก่อน"

น้ำเสียงทุ้มกึ่งทางการกึ่งกันเองทำให้น้ำไม่ค่อยประหม่าเท่าไหร่นัก ลักษณะท่าทางของเขาก้น่าจะเป็นมิตรดี น้ำนั่งรอพี่มนัสครู่หนึ่งเขาก็เดินออกมาพรอ้มกับเอกสารในมือที่น้ำกรอกระหว่างรอ

"อืม ชื่อชลเนตรเหรอ ขี้แยเหรอเรา"

เขาถามขึ้นแล้วยิ้มๆมองหน้าของน้ำ

"เปล่าครับ แค่ชื่อ ผมไม่ขี้แยครับ"

"เราเรียนเก่งนี่นะ ต่างกับเจ้าเล็กมัน รายนั้นพี่ดูเกรดแทบจะหัวเราะ น้ำพอจะพูดภาษาอังกฤษได้ไหมครับ"

"พอได้ครับ แต่ไม่มาก"

"ไหนลองแนะนำตัวให้พี่ฟังซิ"

เขายังจ้องมองหน้าอยู่ น้ำเองก็ไม่หลบสายตา เพราะเคยรู้มาเวลาไปสัมภาษณ์งานถ้าเราหลบสายตาแสดงว่าเราไม่มั่นใจในตัวเอง น้ำจึงจ้องตาของเขาแต่ไม่ได้จ้องแบบเอาเป็นเอาตาย ยิ้มด้วยพยักหน้าด้วยตามแต่สถานการณ์

"ใช้ได้นี่ ฝึกอีกหน่อยน่าจะโอเค ร้านของเรามีสาขาอยู่ทั่วประเทศเกือบร้อยแห่งนะน้ำ หน้าที่ก็คอยเสิร์ฟอาหารคอยแนะนำลูกค้า ร้านเราขายทั้งกาแฟกับอาหาร คิดว่าเรียนรู้ไม่นานน้ำก็น่าจะจำได้"

"ตกลงพี่รับผมเข้าทำงานแล้วเหรอครับ"

น้ำร้องออกมาทำตาโต

"ครับ อ้าวนี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ"

"ขอบคุณครับพี่ ขอบคุณครับ"

ท่าทางของน้ำทำให้เขายิ้มออกมา

"เรื่องเงินเดือนพี่ให้เท่าฐานเงินเดือนของแรงงานขั้นต่ำก่อนนะ มีระยะโปรเวชั่นสามเดือน แต่พี่ว่าเราน่าจะไม่มีปัญหาอะไร พอผ่านโปรแล้วพี่จะปรับเงินเดือนให้"

"อ่า"

พอได้รู้ว่าตนจะได้ค่าจ้างเท่าไหร่น้ำถึงกับอ้าปากค้าง ฐานแรงงานขั้นต่ำในตอนนั้นไม่ถึง ๓๐๐ บาทต่อวันแต่ถ้านับรวมเป็นเดือนก็ถือว่ามากนักสำหรับเด็กเพิ่งจะจบชั้นมัธยมปลายมา น้ำเองดีใจจนพูดไม่ออก หลังจากที่ได้วันเริ่มทำงานแล้วก็เข้าไปข้างในร้านที่ทำเป็นออฟฟิศขนาเล็ก เพื่อลองเสื้อฟอร์มของทางร้าน ร้านกาแฟที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทยขายทั้งอาหารเครื่องดื่มยอมรับน้ำเข้าทำงานแล้วตอนนี้ให้ทำอะไรน้ำก็ยอมทำทุกอย่างเพราะดีใจอยู่

"แวะซื้อเตารีดด้วยล่ะมึง เดี๋ยวเลิกงานกูไปหา ไปฉลองกัน"

เล็กบอกตอนเดินออกมาส่งน้ำที่หน้าร้าน บอทยืนคอยอยู่แล้ว

"อืม ขอบใจมากนะเล็ก ไม่ได้มึงกูคงแย่"

"โว้ย มึงนี่พูดอยู่นั่นล่ะขอบใจ กูเป็นเพื่อนมึงนะน้ำ ช่วยอะไรได้กูก็ช่วย ไปๆกลับไปพัก มึงจะได้ซักผ้ามะรืนนี่เริ่มงาน อย่าลืมเพจไปบอกอีเอ๋ล่ะ ชวนมันด้วยคืนนี้"

เล็กบอกแล้วเดินกลับเข้าร้านไป น้ำยิ้มแก้มปริ

"ได้งานแล้วใช่ไหมน้ำ"

"อืม ดีใจว่ะบอท ดีใจมาก"

น้ำยิ้มออกไปเก็บอาการไม่อยู่

"โห ได้เงินเดือนตั้งเยอะ"

"บอทน่าจะมาทำด้วยกัน เราจะได้ย้ายไปอยู่ห้องที่มันดีกว่านี้"

"ถ้าเราไม่ทำงาน น้ำจะไม่ดูแลเราเหรอ"

น้ำเสียงของบอทมันทำให้น้ำหุบยิ้มลงทันที

"บอท ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ"

"ก็เห็นน้ำอยากให้เราทำงานจังเลยนะ เราบอกแล้วว่าเรายังไม่พร้อม ถ้าเราพร้อมเราก็จะทำเหมือนกันนะ"

"บอท น้ำขอโทษ ต่อให้บอทไม่ทำงาน น้ำก็ยังจะดูแลบอทอยู่ดีนั่นล่ะ น้ำรักบอทนี่"



รู้ไหมทำไมฟ้าถึงเปลี่ยนสี    จากโสภีเป็นมืดดำน่าเกรงขาม

รู้ไหมเหตุใดฝันในวันวาน    อดีตกาลที่ผ่านพ้นไม่อาจคืน

ดังสายน้ำไหลหลั่งชลธี     แรงไหลนี้จากที่สูงลงต่ำพื้น

ความทรงจำเลือนหายแปรเป็นอื่น  ทนกล้ำกลืนอยู่กับเงาอนันตกาล

รู้ไหมเหตุใดจึงเฝ้าคอย      ต่อให้กี่ร้อยพันปีก็ยังหวาน

ให้รออยู่ตรงนี้อีกแสนนาน    ต่อเป็นกาลร้อยชาติก็ยังจำ

รักนั้นแลฝังอยู่กลางดวงจิต   มันสถิตย์ในใจคอยตอกย้ำ

ต่อให้ผ่านมรสุมที่มืดดำ     ต่อให้กรรมมาแทรกก็ไม่วาง

อย่าให้เปรียบความรักกับสิ่งใด  มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะขีดขวาง

รักยิ่งรักหนักแน่นไม่มีจาง     ให้เขาร้างราไปใจยังตรึง


วิสัชนา แม้นหากว่ามีสิ่งใดในโลกจีรังยั่งยืนแล้ว ความรักนั้นก็คงจีรังยั่งยืนเฉกเช่นเดียวกัน


เขียนโดย eiky

ตอนนี้ไม่มีอะไรมากนะครับ อาจจะดูสับสนนิดหน่อย เหมือนจะไปก็ไม่ไป จะเข้าก็ไม่เข้า รอตอนต่อนะครับ ปมมันคลายๆแล้ว รออีกไม่นานเท่าไหร่น้า ตอนนี้ มอบพิเศษให้ น้อง Tanya จุ๊บๆๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 10-11-2010 20:14:06
  :z13:น้องอิ๊ก ฉึก ฉึก ก่อน เดี๋ยวมาเม้นท์
ต่อไปคาดว่าน้ำคงเป็นฝ่ายซับพอร์ทบอททุกอย่างแน่เลย
 บอทต้องเป็นคุณชายเท่านั้น
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๖ (พฤศจิกายน ๘, ๒๕๕๓) หน้า ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 10-11-2010 22:24:42
นั้นสิ ต่อไปบอทคงเป็นคุณชายระเริงเมือง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 11-11-2010 12:49:00
คุณชายจริงๆ เลย บอท
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 11-11-2010 13:30:48
บอท....จะเลวจะร้ายยังไงก็อย่าถึงขนาดเกาะน้องน้ำกินเลยนะ
ศักดิ์ศรีน่ะเก็บเอาไว้บ้างเหอะ.....น้องเล็กน่าจะเป็นผู้ชายเนอะ
จะได้คอยดูแลน้องน้ำได้ใกล้ชิด.....ตอนนี้อารมณ์เริ่มอยาก :beat:
เจ้าบอทขึ้นมาเป็นระยะแล้ววววววว :beat: ซะหลาย ๆ ที..

น้อง eiky จะเดินทางศุกร์นี้ใช่ไหม...ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะจ๊ะ :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 11-11-2010 14:59:49
เฮ้อ...เห็นแบบนี้แล้ว..ไม่อยากคิดเลยว่าช่วงน้ำไปงาน บอทจะยิ่งไปเจออะไรแล้วเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 11-11-2010 15:09:39
ลางสังหรณ์ ว่าบอทต้องมีกิ๊กชัวร์ ฟันเฟิร์ม
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 11-11-2010 17:23:26
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 11-11-2010 17:37:50
พี่อิ๊กหวัดดีครับ
อ่าวปมคลายแล้วเหรอ คลายหรือผูกแน่นขึ้นกันแน่ครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 11-11-2010 18:00:30
แล้วบอทจะมีโอกาศกลับมาน่ารักเหมือนเดิมไหมนะ ถ้าชั่วครั้งชั่วคราวพอทำใจ แต่ถ้านานๆก็ไม่ไหว สงสารน้ำ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 11-11-2010 18:35:16
คนอ่าน อึดอัดง่ะ เห้ออ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 11-11-2010 18:52:58
พูดไม่ออกเลยตอนนี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 11-11-2010 19:24:30
บรรยากาศมาคุเริ่มเห็นรำไรๆ แล้ว โฮก...
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 11-11-2010 20:08:16
ขอบคุณมากเลยพี่อิ๊กกี้มิคิดว่าจิได้เร็วขนาดนี้เรียกผมว่า ญ่าก็ได้ 55  ส่วนตอนนี้อึดอัดดีแท้เหมือนอารมณ์ตอนนี้เลย   สงสารน้ำจังทำไมดูหลงบอทจังเลย  อยากให้เข้มแข็งกว่านี้ ตอนหน้าขอหนักๆพร้อมแระ 55
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 11-11-2010 20:52:31
บอททำตัวเป็นคุณชายไปมั๊ย o12
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 11-11-2010 21:09:58
คุณอิ๊กอย่าเพิ่งรำคาญนะ ถ้าเกิดอ่านไปแล้วก็พูดคำเดิมซ้ำๆกันทุกตอนว่า

ไม่เข้าใจว่าบอทคิดอะไร!



รอตอนต่อไปค่ะ


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๗ (พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๓) หน้า ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 12-11-2010 00:54:10
บทที่ ๒๘

ปุจฉา ลำบากกายกับลำบากใจ สิ่งไหนที่ท่านอยากเลือก

"น้ำวันนี้ยังไม่ได้เริ่มงานใช่ไหม ไปรามฯกัน ไปดูพี่ที่ซุ้ม"

บอทเอ่ยขึ้นหลังจากกลับมาจากกินข้าวเช้าที่หน้าปากซอยที่มีเพิงขายข้าวแกงอยู่

"อืม ก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าอยู่ห้องเฉยๆ น้ำจะได้แวะซื้อเตารีดด้วย"

น้ำเองก็ไม่อยากจะขัดใจบอทเท่าไหร่นัก เพราะตัวบอทเองถ้าอยู่ว่างๆมากเกินไปเกรงว่าจะเบื่อเป็นการดีที่จะได้พบปะผู้คน อย่างน้อยถ้าสมองได้คิดได้พัฒนาอยู่ตลอดเวลาความทรงจำที่เลือนหายไปมันอาจจะกลับมาเร็วกว่าเดิมก็เป็นได้

"สวัสดีครับพี่โจ้"

บอทยกมือไหว้ทักทาย น้ำเองก็ทำตามหลังจากที่เดินเข้าไปในรามฯตรงไปที่ซุ้ม

"พอดีเลย พี่กำลังรวบรวมรายชื่อโทรตามน้องๆนัดวันกันอยู่ ตกลงเราจะไปชะอำกันวันอังคารหน้านะบอท น้ำ ว่างไหม ไปให้ได้นะพี่จะได้จองที่ไว้เลย"

"ว่างครับพี่" "เอ่อ"

ตอบพร้อมกันแต่ไปคนละทาง น้ำได้แต่ครางออกมา

"ผมคงไปไม่ได้ครับพี่ เพราะต้องทำงาน"

น้ำเอ่ยออกไป

"อ้าว เราทำงานด้วยเหรอ ว้าแย่เลย อยากให้ไปด้วยนะ ลางานไม่ได้เหรอน้ำ"

"เพิ่งจะได้งานเองครับพี่ ไม่อยากจะลา ขอโทษด้วยนะครับ"

น้ำตอบออกไป สายตาเป็นกังวลอยู่แต่กับบอท

"อืม เอาไงดี พี่ไม่อยากให้น้องๆพลาดซักคน จะได้กระชับสัมพันธไมตรีกันไงน้ำ"

"น้ำลองบอกอีเล็กดูดิให้มันช่วยขอ เราว่าน่าจะลางานได้"

บอทเองก็เสริมอีกแรง

"นั่นสิน้ำ ไม่มีโอกาสนี้บ่อยๆนะ"

"งั้นเดี๋ยวจะลองถามดูครับ"

ปากพูดออกไปอย่างนั้นเอง แต่ในใจค้านไหวต้านทานเต็มที่ ไม่ได้อยากไปเลยแม้แต่น้อย

"ดีๆ จะได้ไปกันทุกคน"

"เอ่อ พี่โจ้ ที่หน้ารามฯมีร้านขายหนังสือเก่าไหมครับ"

น้ำเอ่ยขึ้น เพราะไม่อยากให้คุยแต่เรื่องไปรับน้อง อย่างน้อยก็แสวงหาประโยชน์จากเพื่อนใหม่บ้าง

"เราจะซื้อหนังสือเก่าเหรอ มีดิ ซอย ๕๓ มีอยู่ร้านนึงไม่แพง อ้าวไม้ พี่ว่าถามไม้ดีกว่า ไม้มันรู้จักดี"

เขาหันไปทางชายวัยรุ่นท่าทางจะรุ่นราวคราวเดียวกับน้ำและบอทที่กำลังเดินเอามือบังแดดตรงเข้ามาในซุ้ม

"หวัดดีทุกคน วันก่อนไม่ได้มาว่าไงพี่โจ้ ได้น้องๆเยอะไหม"

เขายิ้มพราวเห็นไรฟันขาว ใบหน้าท่าทางดูไม่ใช่คนมาจากต่างจังหวัดเลยท่าทางจะเป็นคนเมือง

"ก็เยอะล่ะ นี่น้องน้ำกับบอท คนบ้านเดียวกับพี่"

"หวัดดีครับ เราชื่อไม้นะ เป็นคนกรุงเทพฯนี่ล่ะ แต่อยากเข้าซุ้มของต่างจังหวัดเลยมาเข้าที่นี่ ไม่ต้องสงสัยนะว่าทำไมหน้าตาเราไม่เหมือนคนทางบ้านเดียวกับพวกนาย"

เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พูดเล่นๆแต่น้ำรู้สึกหน้าชาๆ

"เรียนคณะอะไรเหรอนาย"

เขาหันมาถามน้ำ น้ำเองก็ตอบออกไป บอทเองก็ตอบเหมือนกัน

"เราเรียนมนุษย์นะ เอก อิง"

น้ำหันหน้าไปทางโจ้เพราะไม่เข้าใจ

"อ้อเอกภาษาอังกฤษน่ะน้ำ"

น้ำถึงพยักหน้า เขายิ้มน้อยๆปรายตามอง

"น้ำเขาถามหาร้านหนังสือเก่าน่ะไม้ รู้จักที่ไหนที่ถูกๆบ้างไหม"

"อ้อ รู้ๆ พอดีเลยวันนี้ว่าจะไปดูอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันเลยไหมล่ะ"

"อืม ได้"

น้ำตอบหันไปมองหน้าบอทที่เหมือนจะมีความสุขอยู่กับวงสนทนาของเพื่อนใหม่

"งั้นบ่ายๆค่อยไปเนอะ ตอนนี้แดดร้อน เดี๋ยวดำกันพอดี"

ไม้นั่งลงข้างๆน้ำ ยิ้มให้ ไม้เป็นคนคุยเก่งมากพยายามตั้งหัวข้อสนทนาได้ทุกเวลา ไม่ปล่อยให้มีช่องว่างของความเงียบเข้ามาแทนที่เลย

"บอททอดแหเป็นด้วยเหรอ ดีจังเราอยากลองทำดูบ้าง วันหลังถ้ากลับบ้าน เรากลับด้วยดิ อยากทำ"

ไม่รู้ทำไมน้ำรู้สึกว่าเพื่อนใหม่คนนี้ดัดจริตเกินชายเสียจริง ท่าทางคำพูดคำจาดูประดิษฐ์ประดอย บอทเหลือบตามาทางน้ำเหมือนขอความเห็น

"ไปดิไม้ บ้านเรากับบอทอยู่ติดกัน นายไปนอนบ้านเราก็ได้"

น้ำจำใจไปเอ่ยชวนตามมารยาท

"แล้วบ้านบอทล่ะ ไม่มีที่ให้เรานอนเหรอ"

น้ำเม้มปากแน่น รู้สึกได้ว่าเพื่อนใหม่คนนี้สนใจบอท ชายที่เป็นดวงใจของน้ำเกินความพอดีแล้ว

"เอ่อ มีดิ แต่บ้านเราเล็กนะ ไม่สะดวกเท่าบ้านน้ำหรอก"

"แหม ไปบ้านนอกอย่างนั้น จะไปเรียกหาความสะดวก แล้วจะไปทำไมล่ะบอท ไม้ก็อยากจะไปสัมผัสความรู้สึกแบบบ้านๆ แบบชาวบ้านบ้าง"

"บอท ไปห้องสมุดกันเถอะ จะได้ดูหนังสือด้วย เห็นเอ๋บอกยืมได้"

น้ำโพล่งขึ้นมาสุดที่จะทนฟัง คิดในใจว่าคนเมืองเขาดัดจริตกันอย่างนี้เลยหรือ

"เอ่อ"

"อะไรน้ำ คุยกับเราไม่สนุกเหรอ เออ บอทแล้วหอบอทอยู่ตรงไหนอ่ะ"

ทำเป็นไม่สนใจน้ำหันไปหาบอทยิ้มพราวเสน่ห์ให้

"ซอย ๒๙"

"อ๊ะ หอพักชายนั่นน่ะเหรอ อยู่ห้องเดียวกันเหรอ"

ทำท่าร้องออกมา

"อืม เราอยู่กับน้ำ"

"นายสองคนเป็นเพื่อนกันจริงเหรอเนี่ย เราชักสงสัย"

"เราเป็น"

"เพื่อนกัน เพื่อนสนิทกัน"

น้ำอ้าปากจะบอกออกไป อยากแสดงความเป็นเจ้าของ แต่บอทเองสวนขึ้นเสียงดังกว่า พอพูดจบก็ไม่ได้หันมามองหน้าน้ำแต่อย่างใด

"อ้อ วันหลังเราไปเที่ยวห้องนายได้ไหมอ่ะบอท"

"มันเล็กน่ะไม้ คงไม่สะดวกหรอก"

น้ำพูดขึ้นน้ำเสียงแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก สายตาจับจ้องอยู่ที่บอท

"ไม่เห็นเป็นไรเลย หรือพวกนายอยากไปคอนโดฯเราไหม วันหลังเดี๋ยวเราพาไป"

"นายอยู่คนโดเหรอไม้"

บอทถามขึ้นทำตาโต

"อืม มีสระว่ายน้ำด้วยนะ วันหลังเราไปว่ายกัน"

คราวนี้บอทหันมาทางน้ำที่ตาเขียวอยู่

"แหมทำไมต้องมองน้ำเหมือนขออนุญาตเลยอ่ะบอท ไหนบอกเป็นเพื่อนสนิทกันเฉยๆ ไม่บอกนึกว่าเป็นแฟนกันนะเนี่ย"

"ปะ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร"

จะรู้ไหมว่าได้ทำให้เคืองใจ น้ำเม้มปากแน่น นี่เราเป็นแค่เพื่อนสนิทกับเขาหรอกหรือ

"บอท งั้นเราไปห้องสมุดนะ"

น้ำลุกขึ้นทันที บอทอ้าปากค้างลังเลอยู่

"บอทอยู่คุยกับเราที่นี่ล่ะ เราชอบคุยกับนายสนุกดี"

ไม้บอกแล้วหันไปยิ้มให้น้ำ รอยยิ้มที่เยาะหยัน น้ำเองเดินหนีไปแต่ก่อนไปมองหน้าบอทเพื่อขอคำตอบ แต่บอทหลบสายตา เป็นครั้งแรกที่บอทปฏิเสธน้ำ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเจ็บแปลบปลาบอยู่ในอก เจ็บเหมือนกำลังจะโดนใครฉกฉวยเอาหัวใจที่เราครองอยู่ในอกกระชากออกไป ไม่ชอบหน้าเพื่อนใหม่คนนี้ ไม่ชอบเอาเสียเลย เป็นครั้งแรกที่เดินตามถนนในเมืองกรุงฯเพียงลำพังโดยไม่มีบอทเคียงข้าง ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างนี้มาก่อน แต่ละก้าวมันเหมือนไม่มีจุดหมายปลายทาง ไฟในทรวงที่มันสุมมันโหมอยู่มันยิ่งทำให้หาทางใดไม่เจอ

"ทำไมกลับห้องไม่รอเราล่ะน้ำ เรานั่งรออยู่ตั้งนาน"

พอค่ำบอทก็กลับมา จากตอนสายจนถึงค่ำ คุยกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

"ไม้เขานิสัยดีนะน้ำ เขาพาเราไปเลี้ยงเบอร์เกอร์ด้วยล่ะ อร่อยดีนะ เพิ่งจะเคยกิน"

น้ำเม้มปากแน่น ยิ่งได้ยินว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนยิ่งเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ

"น้ำน่าจะอยู่ด้วย จะได้ไปดูร้านหนังสือเก่าด้วยกัน เลยไม่ได้ไปเลย"

"บอท เราไม่ไว้ใจนายไม้อะไรนั่น"

โพล่งออกมาเกินจะเก็บไว้ในใจ สายตาของน้ำมันขัดเคืองใจอย่างมาก บอทเองทำหน้าสลดลง

"ทำไมล่ะน้ำ เราว่าไม้เขาดูเป็นคนดีออก"

"ดีน่ะใช่ แต่เหมือนว่าเขาคิดอะไรเกินเลยกับบอทนะ เราดูออก"

"บ้าน้ำ ไม้เขาไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอกน่า คิดมากไปได้"

"แล้วทำไมบอทถึงบอกว่าน้ำเป็นเพื่อนสนิท ไหนบอกจะไม่ปิดบังใครไง"

น้ำทวงถามคำมั่นสัญญา บอททำท่าอึกอักอยู่

"มัน ไม่รู้น้ำ บางทีเราก็ไม่อยากให้ใครรู้"

"บอท"

"เราเป็นอะไรกับน้ำ เราสองคนรู้ดีอยู่แล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศให้ใครเขารู้หรอก"

"บอท บอทไม่เหมือนเดิมนะ ทำไมล่ะ เพราะอะไร"

"แล้วที่เราไม่เหมือนเดิมเพราะใครล่ะน้ำ"

เหมือนโดนถีบลงเหวลึกมืดดำ ความรู้สึกมันโหวงหวิวปลิวลอย ชาไปทั้งตัว หัวใจไม่มีความรู้สึก สายตาที่เขามองมากล่าวโทษอย่างรุนแรง ไม่เคยมีปากเสียงกันมาก่อน ไม่เคยเห็นกริยาท่าทางแบบนี้จากชายคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ชายคนที่รักหมดหัวใจ ไม่เคยเห็นเลยนับจากลืมตามาดูโลก ใจหาย

"บอท"

"ฮึ น้ำอย่ามาแสดงความเป็นเจ้าของเรามากนัก เราไม่รู้หรอกว่าแต่ก่อนเราเป็นยังไง หรือรู้สึกยังไงกับน้ำ แต่ตอนนี้นี่มันคือชีวิตของเรา น้ำปล่อยเราบ้างได้ไหม"

เม้มปากแน้นจนเป็นเส้นเดียว น้ำในตามันเอ่อออกมาแต่น้ำกระพริบตาถี่ๆไล่มันออกไป ไม่อยากเป็นคนเจ้าน้ำตา ไม่อยากจะร้องไห้ แต่ทำไมในใจมันร้อนวูบวาบเจ็บปวดเหลือเกิน

"บอท"

ครางออกมาได้แค่ชื่อเพราะถ้าพูดอะไรออกมามากกว่านี้เขื่อนน้ำตาที่กำลังสะกัดกั้นไว้เต็มกำลังมันคงพังทลายออกมาเสียสิ้น

"ที่เราทำเป็นจำทุกอย่างได้น่ะ เราจำไม่ได้หรอกนะ เราอ่านไดอารี่ของน้ำนั่นล่ะ ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ แต่เราไม่อยากจะเสียอนาคตไป"

น้ำเข่าอ่อนเซถอยหลังไปเอามือดันฝาห้องเอาไว้ บอทเองก็ตกใจในสิ่งที่เห็นแต่ฝืนยืนนิ่งอยู่

"บอท นี่บอท"

"ใช่ เราจำอะไรเกี่ยวกับน้ำไม่ได้เลย เราพยายามแล้วแต่เราจำอะไรไม่ได้เลย"

น้ำตาเจ้ากรรมไหลทะลักออกมา สายตาที่เคยว่างเปล่าในตอนนั้นมันฉายออกมาอีกครั้ง นี่น่ะหรือคนที่รัก นี่น่ะหรือคนที่มอบดวงใจให้ทั้งดวง สะอึกกลั้นทนทานพิษบาดแผล โอ้ดวงแดใจจะขาดร้องร่ำไห้ เขาเปลี่ยนเขาแปลงไปทั้งใจ ไม่มีใยเหลือเลยยอดดวงตา เม้มปากมือกุมหน้าอกไว้ สะอื้นไห้เจ็บทรวงแสนหนักหนา ร้าวระบมเจ็บช้ำเกินเยียวยา นี่สิหนาคนเขาหมดหัวใจ จะเรียกเอาร้องเอาสิ่งใดจากใครหนอ ได้แต่รอทนช้ำระกำไหม้ ยอกเจ็บแปลบฝังลึกลงในใจ ร้าวอุทัยใจระบมแสนร้าวราน

"บอท ทำไม บอททำแบบนี้"

พูดออกมาไม่เป็นภาษาคน ร่างสั่นไหวเอามือปาดน้ำตาที่ยิ่งไหลทะลักออกมาออกจากแก้ม

"ถ้าเราไม่ทำแบบนี้เราจะได้มาเรียนต่อไหมล่ะน้ำ"

"แล้วบอทจะให้น้ำทำยังไง บอทจะให้น้ำทำยังไง"

อนาถหูเหลือจะประมาณเสียงคร่ำครวญที่ไม่ดังเพราะคนที่กำลังพูดกักเก็บมันเอาไว้

"น้ำไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่เราอยากให้รู้ว่าเราจำไม่ได้ และน้ำก็ไม่ต้องพยายามมารั้งเรา เราก็อยากมีอนาคตที่ดีนะ"

"บอท"

"เราไปอาบน้ำก่อนนะ"

บอทเองก็ไม่ชอบมองดูใครร้องไห้เท่าใดนัก เดินถือเครื่องอาบน้ำลงไปแล้ว ส่วนน้ำเอามือกุมหน้าตัวสั่นไหวเพราะแรงสะอื้น ชอกช้ำหัวใจเหลือเกิน ไม่เคยคิดว่าคนที่รักจะเป็นแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าเขาจะย่ำยีหัวใจได้เช่นนี้ จะทำยังไงดี จะอยู่ยังไงดี รู้สึกรูขุมขนทุกส่วนของร่างกายมันโดนเข็มหรือเหล็กแหลมทิ่มตำอยู่ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจนเกินจะบรรยาย ต่อให้ร้องไห้จนน้ำตาไม่มีเหลือ แต่มันก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บ วิมานหวานพังทลายหายไปในพริบตา ยิ่งไขว่คว้ายิ่งลอยห่างไกลออกไปทุกที

"บอท บอทอยากให้น้ำไปอยู่ที่อื่นไหม"

น้ำเอ่ยขึ้นเสียงสั่นหลังจากที่พยายามทำใจอยู่นานแสนนานแต่ยิ่งพยายามหักห้ามใจยิ่งปวดร้าวระทมหนักเข้าไปอีกเป็นเท่าตัว

"ไม่ได้นะน้ำ น้ำไม่ได้รักเราแล้วเหรอ"

"บอท น้ำไม่เข้าใจ ในเมื่อบอทจำว่าเราเคยรักกันมากแค่ไหนไม่ได้ บอทจะกักน้ำไว้ทำไม"

"น้ำก็รู้ว่าเราจำไม่ได้ แค่เราจำอะไรไม่ได้ น้ำก็จะทิ้งเราไปเหรอ น้ำจะไม่รับผิดชอบนสิ่งที่น้ำทำไว้กับเราเหรอ"

"บอท"

อ้าปากค้างน้ำตาไหล สับสนอยู่ในใจ หวั่นไหวไปทั้งร่าง นี่มันอะไรกัน

"เรารู้ว่าน้ำเสียใจ แต่น้ำจะทิ้งเราเหรอ เราพยายามจำให้ได้นะน้ำ ไม่ใช่เราไม่พยายาม ที่เราเป็นแบบนี้เพราะน้ำนะ"

ร้อยคำล้านคำก็เพราะเราเป็นต้นเหตุ นี่น่ะหรือคือต้นเหตุของเรื่องราวที่แสนจะแสบทรวง น้ำเม้มปากแน่น สะอื้นไห้อยู่

"ใช่ เพราะน้ำเอง เพราะน้ำเองที่ทำให้บอทเป็นแบบนี้ เพราะน้ำเองที่เอาหัวใจตัวเองออกมาเหยียบย่ำ น้ำเข้าใจแล้วบอท ไม่มีอะไรหรอก น้ำขอโทษ"

"น้ำ"

เป็นบอทเองที่ครางออกมาบ้าง น้ำเอามือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกๆกักมันไว้ให้เนิ่นนาน

"น้ำจะไม่ไปไหนหรอก น้ำจะอยู่กับบอทจนกว่าบอทจะไม่ต้องการน้ำ แต่บอทรู้ไว้นะว่าน้ำรักบอทมาก เราเคยรักกันมาก มากเสียใจเราต้องเสียน้ำตาในวันนี้ ถ้าบอทจำได้เมื่อไหร่ อย่าถามนะว่าระหว่างที่บอทจำอะไรเกี่ยวกับน้ำไม่ได้ น้ำเจ็บแค่ไหน มันเจ็บมากนะบอท คนที่รักมองมาเหมือนเราเป็นแค่เศษฝุ่นอะไรสักอย่าง น้ำอยากให้บอทรู้ไว้ว่าน้ำเหมือนคนตายทั้งเป็น"

"น้ำ"

น้ำเดินออกไปจากห้องพร้อมด้วยเครื่องอาบน้ำเช่นกัน หัวใจมันสลาย แต่ด้วยความที่เราเป็นต้นเหตุ เขาจำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้อยากจะจำ มันต้องมีทางไป มันต้องมีทางออก ไม่ว่าจะยังไง จะไม่ยอมแพ้ เชื่อเสมอว่าความรักที่่มีอยู่เต็มหัวใจมันจะส่งผลให้ทุกอย่างดีขึ้น ไม่เลวร้ายเหมือนวันนี้


เจ็บก็ร้องครวญครางมันออกมา  จะเหนื่อยล้าทนทุกข์สักเพียงไหน

ต่อให้ปวดรวดร้าวเสียดแทงใจ   ไม่หวั่นไหวจะก้าวไปเคียงข้างเธอ

จะขอจับมือนั้นที่ฉันเคย        ก่อนเปิดเผยว่ารักอยู่เสมอ

จะขอยืนเคียงข้างใกล้ๆเธอ    แม้จะเผลอใจลอยไปกับสายลม

ต้นเหตุคือฉันที่ทำให้เธอเปลี่ยน  แม้เจ็บเจียนจะขาดใจก็ไม่สม

ต่อให้ร้าวอกไหม้หมองทุกข์ระทม    ฉันจะก้มหน้าไปมั่นในเธอ

ต่อจากนี้รักเราจะจางไหม        ต่อแต่นี้ต่อไปรักยังเสมอ

ถ้าหากฉันขาดแล้วซึ่งตัวเธอ    จะให้เพ้อรำพึงถึงสิ่งใด

ยังจะกอดก่ายร่างเหมือนวันนั้น   ยังจะฝันเคียงข้างกันอยู่ไหม

ยังจะเดินจับมือพร้อมก้าวไป    ดังที่ใจเคยเคียงเมื่อวันวาน

อยากให้รู้ว่าเจ็บนะคนดี        อยู่ตรงนี้เหมือนแทงด้วยเสี้ยนหนาม

พลิกก็ปวดหันก็เจ็บแสนร้าวราน   ทรมานเหมือนโดนตัดลมหายใจ



วิสัชนา ท่านเคยได้ยินคำว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยากไหม เลือกตามนั้นแล



ระบายโดย อิ๊กกี้


ปล พรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้วนะครับ เอามาลงไว้ก่อน มันจะอึกครึมไม่นานนักหรอกน้า เพราะคิดว่ามันน่าเบื่อถ้าจะเศร้านานๆ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าอยากจะเขียนดีๆ เวลากลับมาอ่านจะได้รู้สึกว่า เออ เราก็เขียนเรื่องแบบนี้ได้เหมือนกันนะเฟ้ย อิอิ

กลับมาพร้อมตอนของน้องมิ กับป้านัทนะครับ ส่วนต่อนนี้ มอบพิเศษให้ hpsky  อ่านแล้วไม่ต้องเศร้านะครับ อิอิ อยากให้มีความสุขกันทุกๆคน กระจายความสุขกันเร๊วววว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 12-11-2010 01:00:17
ไม้..คนเดียวกับที่มาแอบดูน้ำกับบอทอาบน้ำหรือเปล่า?

บอท โทษว่าน้ำเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเลยคิดจะเอาคืนอย่างนั้นหรือไง?
ตอนนี้อ่านแล้วเข้าใจว่าความจำไม่ได้กลับมาจริงๆหรอก แกล้งทำเป็นกลับมากกว่า
แต่ที่ไม่เข้าใจเลย คือ นิสัย ทำไมมันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็น..เป็นอะไรดี เอาว่าแย่ลงละกัน
(ตอนแรกจะเทียบว่าหน้ามือกับส้นตีน แต่มันยังไม่ร้ายกาจขนาดนั้น เลยคิดว่าไม่น่าใช้คำนี้)
หรือมันเป็นด้านมืดที่เก็บไว้ในใจ ..


คุณอิ๊กขา ..
แบบว่า   :m17:
ถ้าตอนหลังบอทความจำกลับแล้วจำได้หมดเลยว่าทำอะไรให้น้ำเจ็บและเสียใจไว้บ้าง
จะมีโอกาสได้เห็นน้ำเอาคืนมั้ย อย่างน้ำไม่เหมาะกับความรุนแรงหรอก..
แต่อยากความเจ็บปวดและความทรมานทางจิตใจถึงที่สุด แบบที่บอทควรได้รับบ้างน่ะ
 :-[




 :กอด1:คุณอิ๊ก
ยิ่งอ่านยิ่งต้องคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เพราะอะไร..
เขาว่ากันว่า อ่านนิยายเพื่อความบันเทิง
เราก็อ่านแล้วบันเทิงนะ แต่เผอิญชอบคิดตาม ด้วย.. ^^
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 12-11-2010 01:22:02
ไรท์เตอร์ รังแกคนอ่านอ่ะ
สงสารน้ำ
อยากให้เรื่องจบแบบสวยงาม
แต่อย่าให้น้ำทรมานมากนะครับ
คนอ่านปวดใจ เผชิญว่าอินจัดอ่ะครับ
ปล. ให้น้ำตีหัวบอทได้มั้ย แล้วความจำกลับมาเลยอ่ะ
สงสารแทนเลยนะเนี่ย  :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 12-11-2010 01:24:54
 :beat: :beat: :beat: :beat:นางเก้งกวางนางไม้

แรดจริงๆ


หวังว่าอิตาบอทไปทะเลจะไม่เสียท่านะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 12-11-2010 07:00:26
อ่า...มาแล้วหนึ่งคน น้องไม้..แค่เจอกันวันแรก บอทกับน้ำยังขนาดนี้ รอดูต่อไป
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 12-11-2010 08:57:07
ไม้...ศัตรูหมายเลข 1...
สงสารน้ำอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 12-11-2010 08:58:40
เหอะๆ ทำใจแระไอบอทคงมิเหมือนเดิม  ส่วนน้ำอย่าทนเลย นังไม้นี่อยากได้ก็เอาไปสิ  เห้อ อย่าเศร้านานน่ะมิชอบเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 12-11-2010 09:02:48
 :m15:ว่าแล้วเชียวว่าบอทต้องจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง สงสารน้ำมากๆ บอทยิ่งทำแบบนี้น้ำยิ่งทรมานและเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไร :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 12-11-2010 11:15:29
ดอ๊ยมันจี๊ดมากเลยตอนเนี่ยสงสารน้ำมากๆเลยอ่ะ  ว่าแล้วบอทต้องจำอะไรไม่ได้ :z3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 12-11-2010 12:19:36
ไอ้น้องบอท นี่ กวน :z6: ขอสักที นะ

นู๋น้ำ น่าสงสาร  :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 12-11-2010 13:06:48
ก็ดี...บอกให้น้องน้ำรู้ซะ...จะได้ค่อย ๆ ทำใจไปว่า....
เขาไม่ใช่คนเดิมแล้วและ....ไม่คิดจะมีวิถีชีวิตแบบเดิมด้วย...
เป็นจิตใต้สำนึกของบอทรึเปล่า....พอความจำเสื่อมความรู้สึก
ส่วนนี้เลยแสดงออกมา.....กะให้น้องน้ำรับผิดชอบแกทั้งชีวิต
เลยใช่ไหม....เป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากกก.... :angry2:  :z6:

 :L1: น้องน้ำคนดี กะ น้อง eiky คนเก่ง :L1:
เดินทางโดยปลอดภัยนะคะ   :bye2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 12-11-2010 19:07:48
ยังเศร้าและยังรันทดในใจได้อีก
จำไม่ได้ไม่เป็นไรครับแต่ถ้าไปกับคนอื่นทั้งที่เคยบอกกับน้ำว่าผู้ชายเหมือนกันนี้ทำใจยากนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 12-11-2010 20:01:36
ไม้คนนี้น่ะหรือ คือคนที่จะเป็นตัวแปรให้บอทเปลี่ยนแบบสุดขั้ว ใช่แน่เลย
ดูท่าทางจะรวยนิ แล้วก็คงจะป็นคนทำให้บอทหลงระเริงไปกับกระแสวัตถุนิยมแน่เลย

 :กอด1:ให้กำลังใจน้องน้ำ และฝากให้น้องน้ำคิดปลง จะได้ไม่เจ็บเกินไป
          " ทุกสิ่งสรรพ์ใดใดในโลกนี้         ล้วนไม่มีจีรังยั่งยืนได้
          มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป           มีรึใจคนเคยรักจักไม่แปร "
:กอด1:น้องอิ๊กด้วย  น้องอิ๊กจะกลับบ้าน เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ
และขอให้มีความสุขมากๆกับครอบครัวพร้อมด้วยญาติพี่น้องค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 12-11-2010 20:54:05
ฮึก ฮึก ไม่ไหวจะทน
แต่ก้อต้องทน
เพราะคำว่ารัก ถึงทำให้ต้องทน
ทนเพื่อรัก เฮ้อออ เจ็บปวดที่สุดค่ะ
บอทนิสัยไม่ดีอย่างแรง
น้ำมีแฟนใหม่เลย จะได้จำอะไรได้สักทีนะบอทนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 12-11-2010 23:30:42
เอ๊ะ!!! ทีแรกเห็นบอทแปลกใจที่ผู้ชายกับผู้ชายจะรักกัน
พอมาเจอไม้ทำท่าจะเลี้ยงดูปูเสื่อเข้าหน่อยทำไมกลับตาลปัตรอย่างนี้ล่ะ
เฮ้อ!!! ไม่คิดมากๆ รอตอนพิเศษของเราดีกว่า  :laugh:

***********************

ตอนที่ 27

กระพริบ คำนี้พยางค์แรกไม่มี ร ควบกล้ำนะคะ กะพริบ เฉยๆ
สะกัด คำนี้พยาค์แรกไม่ต้องมีสระอะนะคะ ต้องเขียนว่า สกัด

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 13-11-2010 00:44:29
ขอแบบมาม่าหลาย ๆ แพ็คเลยนะ ชอบอะไรที่มันจี๊ด ๆๆๆ  :laugh:

เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับน้าพี่อิ๊กกก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 13-11-2010 09:54:42
อ้าว มัยบอททำเเบบนี้อะ
สงสารน้ำมากๆๆๆ
ถ้าความทรงจำไม่กลับมา เเต่ขอให้รักน้ำเหมือนเดิมเหอะ เเบบนี้มันเหมือนเป็นคนอื่น
ไม่ได้รักกัน

บอทพยายามนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: โมโม่ที่รัก ที่ 13-11-2010 16:40:26
ชักไม่ปลื้มไอ้บอด
อย่าไปเรียกมันเลยไอ้บอทอ่ะ
 :m16:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 13-11-2010 20:57:09
พี่อิ๊คๆ เอาบอทคนเดิมกลับมา

T^T
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 13-11-2010 23:05:21
อ่าขอให้น้ำเจ๊บปวดเพียงแค่นี้ได้ไหม

อนาคตต่อไปขอให้น้ำมีความสุขมากกว่าความทุกข์ในครั้งนี้10เท่า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 15-11-2010 00:17:58
รอคุณอิ๊กกลับจากบ้าน เพื่อพาน้องน้ำมาให้หายคิดถึง
มาดันกันด้วยแหละจ้ะ ตกไปหน้า2แระ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 15-11-2010 12:59:42
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 15-11-2010 17:34:23
กำหนดกลับเมื่อไหร่คะเนี่ยคุณอิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 15-11-2010 17:50:13
พี่อิ๊กยังไม่มาเหรอครับ
พ่อกับแม่ค๊าบให้พี่อิ๊กกลับมาได้แล้วนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 15-11-2010 17:51:26
 :z2: :z2:

เต้นรอๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 16-11-2010 12:04:49
บอทยังเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ได้อีกป่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 16-11-2010 13:30:03
ปวดใจ แต่อยากบอกน้ำว่าอย่าไปยึดติดอะไรเลย เก็บความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กันไว้แล้วก้าวไปข้างหน้าดีกว่า คิดว่าบอทที่เคยรักตายจากไปแล้ว ออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วกลับมาทดแทนบุญคุณพ่อแม่เถอะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๘ (พฤศจิกายน ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 16-11-2010 22:32:19
บทที่ ๒๙

ปุจฉา อันของรักแม้หากเราสูญเสียไปแล้ว ถ้าหากได้มันคืนมาอีกครั้งเราจะรู้สึกเช่นไร

เคยทะเลาะกับคนที่เรารักไหม  ปากอยากจะเอ่ยถามว่ารู้สึกอย่างไรหรือโกรธมากไหมแต่ในตอนนี้อยากจะกอดก่าย ให้เป็นเช่นดังเดิม ได้แต่นอนนิ่งตัวแข็งไม่พูดอะไรสักคำ ไม่มีอะไรหลุดออกมาจากปาก มีเพียงลมหายใจที่ระบายออกมา เคยหันหน้านอนกอดกัน แต่ตอนนี้หลังชนหลังตามองฝาห้องทั้งสองคน สิ่งที่ไม่เคยทำไม่อยากจะทำแต่มันกำลังเกิดขึ้น กำลังกัดกินหัวใจอยู่ ใจของน้ำเต้นระส่ำระสายไม่เป็นจังหวะ ความหนักอึ้งหน่วงหนักของปัญหาทั้งหลายทั้งมวลกำลังสุมรวมกันอยู่ในหัวอก ถ้าหากทำได้อยากให้ความหนักอึ้งนี้มันระบายออกมากับลมหายใจ ให้มันหมดไปเสียที จะนานแค่ไหนกันนะที่จะรู้สึกอย่างนี้ คำพูดของคนที่รักเมื่อครู่อยากให้มันเป็นเพียงแค่ความฝันไป มันไม่จริงใช่ไหม เขาไม่ได้ตั้งใจพูดออกมาแบบนั้น ไม่คิดเลยว่าการที่จากบ้านมาเพื่อสานฝันเติมเต็มอนาคตให้กับตัวเองมันจะทำ ให้เขาเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ไม่สิเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงแต่เขาจำอะไรเกี่ยวกับเรา เกี่ยวกับตัวเราไม่ได้เลยต่างหาก มือนั้นที่เคยเกาะกุมยามเหนื่อยยามท้อ ลมหายใจอุ่นที่เคยสูดเข้าปอดในยามนอนหลับ เขาลืมมันไปหมดแล้ว ความทรงจำในตอนนั้น ภาพของสองเราที่เคยยืนเคียงข้างกันในทุกฤดูกาล มันลบเลือนหายไป หายไปไหนหมดแล้ว

น้ำยันกายลุกขึ้นในตอนเช้าตรู่เพื่อลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน วันเริ่มงานกับสีหน้าที่ซูบซีดอดนอนเพราะนอนไม่หลับทั้งคืน ส่วนบอทเองก็คงจะเหมือนกัน แม้จะหลับตาอยู่แต่น้ำก็รู้ว่าบอทเองก็คงนอนไม่หลับเช่นกัน น้ำลุกขึ้นหยิบเครื่องอาบน้ำเดินลงไปชั้นล่าง อยากให้น้ำเย็นๆมันทำให้ความรู้สึกในตอนนี้ดีขึ้น อยากให้มันชะล้างเอาความทุกข์ในใจไหลออกไปให้หมดอย่าให้เหลือ

“บอท น้ำรักบอทมากนะ จำไม่ได้ ไม่เป็นไรจำน้ำไม่ได้ไม่เป็นไร แต่น้ำจะรักบอทอยู่อย่างนี้ตลอดไป น้ำหวังว่าสักวันบอทคงจะจำเรื่องของเราได้ สักวัน น้ำจะรอไม่ว่านานแค่ไหน น้ำก็จะรอ”

ครางออกมาหลังจากแต่งตัวเสร็จ มองดูร่างของชายคนรักที่นอนเหยียดยาวอยู่บนที่นอนปิกนิก แผงขนตายาวดำขลับปิดนิ่งสนิทอยู่บนเปลือกตา อยากจะก้มลงไปจูบลาสักครั้งเพื่อให้ใจมันพอมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ได้แต่ครางออกมาเอื้อมมือออกไปแต่ก็หยุดอยู่แค่นั้น น้ำเม้มปากแน่นพยายามไล่ม่านน้ำตาที่กำลังเอ่อออกมาให้หายไป ตัดใจลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ก่อนไปเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้บอท

“น้ำซื้อนมเปรี้ยวมาอย่าลืมกินนะบอท เดี๋ยวคืนนี้จะซื้อข้าวมาฝาก รักบอทนะ”

บอทเองพอเสียงประตูห้องปิดลงก็ลุกขึ้นนั่ง เม้มปากแน่นเช่นกัน ในใจมันสั่นไหวแปลกประหลาด ความรู้สึกบางอย่างที่เต้นอยู่ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ เหมือนจะมีแสงใดแสงหนึ่งแวบขึ้นมาแต่แสงนั้นก็เลือนวับหายลับไปกับตา คิดไม่ออก แต่บางทีก็รู้สึกห่วงใยน้ำมากมายเหลือเกิน แต่ในช่วงที่ไม่มีแสงนั้นส่องประกายออกมาก็รู้สึกรำคาญอย่างว่าเสียไม่ได้ ตอนนี้รู้สึกสงสารกับสิ่งที่น้ำกำลังฝ่าฟันอยู่ ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากให้อนาคตของตัวเองต้องมัวหมอง น้ำไม่ได้เป็นสาเหตุแต่เชื่อเสมอว่าถ้ามีโอกาสที่ดีๆเข้ามาในชีวิตก็จะไขว่ คว้าเอาไว้ไม่ยอมให้มันหลุดลอยหายไป ไม่อยากจะกลับไปลำบากอย่างเคยอีกต่อไป

“หน้าตาเหมือนคนไม่ได้นอนเลยมึง”

เล็กตบบ่าของน้ำเบาๆตอนเจอหน้าน้ำที่หน้าร้าน

“อืม นอนไม่ค่อยหลับ”

“ตื่นเต้นเหรอมึง ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกน่า เดี๋ยวก็ชิน”

“เล็ก เลิกงานมึงรีบกลับไหม”

ความหนักในใจมันกำลังเล่นงานน้ำอยู่ ไม่อยากจะแบกหน้าตาแบบนี้มาให้ใครเห็น แต่ไม่ได้เราจะให้ความทุกข์ในใจมันทำลายงานที่เพื่อนอุตส่าห์ฝากฝังให้ไม่ ได้ งานที่ไม่ใช่ใครๆจะหาได้ง่ายในยุคสมัยนี้

“มีอะไรน้ำ มึงมีอะไร”

“เลิกงานแล้วอย่าเพิ่งกลับได้ไหมมึง กูมีเรื่องจะคุย”

ก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตา

“มีอะไรน้ำบอกกูมานะ ไอ้บอทใช่ไหม”

น้ำเม้มปากแน่น น้ำตาเอ่อนองตาพยักหน้าน้อยๆ

“กูว่าแล้วเชียว ไอ้ห่านั่นมันทำอะไร”

“เดี๋ยวกูค่อยได้ไหม กูอยากตั้งใจทำงาน ขอร้องอย่าถามตอนนี้”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมามันรันทดเกินกว่าที่เล็กจะถามรายละเอียดไปมากกว่า เดิม ได้แต่นิ่งเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนรักเบาๆเพื่อให้กำลังใจอีกรอบ ทั้งวันน้ำเองพยายามฝืนตัวเองให้ทำงาน เรียนรู้สิ่งใหม่ที่รุ่นพี่ถ่ายทอดให้ จดได้จด จำได้จำ แต่ในส่วนความจำเหมือนน้ำที่ล้นแก้วเติมไปเท่าไหร่มีแต่ไหลออก น้ำจึงจดเอาเสียมากกว่าจำ พยายามยิ้มทำหน้าให้ร่าเริงไม่ให้ใครสังเกตได้ว่าเราทุกข์ใจ มีเพียงเล็กคนเดียวที่คอยมองอยู่ห่างๆ คอยถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม น้ำเองก็ได้แต่พยักหน้า เวลาเราเป็นทุกข์ถ้าหากว่ามีธุระอะไรหรือกิจการงานใดทำ กิจการงานนั้นก็พอทุเลาความทุกข์ให้เบาบางลงได้บ้างไม่มากก็น้อย พอถึงเวลาเลิกงานเล็กเองเป็นคนกุลีกุจอลากแขนน้ำให้เดินตามไป

“เดี๋ยวไปสนามกีฬากับกู”

เล็กบอกแล้วลากแขนของน้ำขึ้นรถเมล์ไป ระหว่างทางไม่พูดอะไรกัน เล็กเองคอยชำเลืองมองน้ำอยู่ตลอดเวลา ส่วนน้ำเองสายตาเหม่อมองออกไปนอกรถ มองความสับสนวุ่นวายของผู้คนภายนอก มองโดยไม่มีความหมายใด มองอยู่อย่างนั้นจนเล็กเองสะกิดให้ลงจากรถ

บริเวณรอบๆสนามกีฬามีคนมาวิ่ง เตะบอล ทำกิจกรรมอยู่มากหน้าหลายตา แม้จะมืดค่ำแล้วก็ตาม ภายในสนามกีฬาปิดลงแล้ว ผู้คนจึงออกันอยู่โดยรอบบริเวณด้านนอกของสนามกีฬา

“ไหน เกิดอะไรขึ้นน้ำ”

เล็กร้อนใจทนเงียบอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว ส่วนน้ำได้แต่ระบายลมหายใจออกมา ถอดถอนลมหายใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แววตาก็เหม่อลอยไม่มีแววของความสดใสร่าเริงหลงเหลืออยู่อีกเลย

“บอท มันจำกูไม่ได้หรอกมึง”

ครางลอดไรฟันออกไปก้มหน้านิ่ง ร้อนที่ใบหน้า แรงโน้มถ่วงของโลกดูเหมือนมันจะทำปฏิกิริยากับหน้าของน้ำเป็นอย่างดีเหมือน มีหินมาถ่วงมันหนักก้มต่ำลงเรื่อยๆ

“หือ อะไรมึง ไหนบอกมันจำได้แล้ว มันหมายความว่ายังไงน้ำ”

เสียงของเล็กแข็งกร้าวขึ้นมาจับมือของน้ำไว้

“มันโกหก มันแอบอ่านไดอารี่ของกู เพื่อที่มันจะได้มาเรียนที่นี่ มันบอกมันไม่อยากเสียอนาคต”

“เลวที่สุด ทำไมมันทำแบบนี้ กูจะไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง”

“อย่าเลยมึง พอเถอะ มันบอกกูว่ามันเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้ มันจะพยายามจำให้ได้”

“พยายามจำ พูดได้ยังไงน้ำ อะไรกันลืมทุกอย่างกูไม่ว่าหรอกนะ แต่มันโตมากับมึง ไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาด้วย ลืมได้ยังไงกันลืมคนอื่นน่ะกูไม่ว่าหรอก แต่ลืมมึงนี่กูไม่เข้าใจ แล้วยังมาทำแบบนี้อีกมันเกินไปนะ น้ำ”

“กูจะทำยังไงมึง กูเจ็บเหลือเกิน ไม่เคยคิกเลยว่าจะเห็นบอทเป็นแบบนี้”

“น้ำ ใจเย็นๆมึงย้ายมาอยู่กับกูไหมล่ะ ให้มันอยู่คนเดียว”

“ไม่ได้”

ร้องออกมาเสียงหลง

“ทำไมล่ะน้ำ มึงจะทนเจ็บอยู่แบบนี้น่ะหรือ มันจำได้แล้วค่อยมาคุยกัน ตอนนี้มันจำไม่ได้ก็ปล่อยให้มันอู่คนเดียวไปสิ”

“ไม่ได้ กูไม่อยากจะทิ้งบอท ไม่ว่าจะจำได้หรือไม่ได้ กูไม่มีวันทิ้งมัน กูรักมันมากนะเล็กมึงก็รู้ รักมากจริงๆ”

“เฮ้อมึงนี่นะเอาเถอะ มีอะไรไม่สบายใจก็ระบายมาก็แล้วกัน กูรู้ว่ามึงเป็นคนยังไง มึงคงไม่ยอมง่ายๆหรอกจริงไหม”

เล็กตบบ่าของน้ำ ในใจก็เป็นกังวลตามเพื่อน แต่น้ำเองคงไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ เคยบอกแล้วว่าต่อให้เจ็บสักเพียงไหนก็จะรัก เพราะใจมันรักอยู่เพียงแต่เขาคนเดียว ต่อให้ทำมากกว่านี้ก็จะทำ

“กลับแล้วเหรอน้ำ เราขอโทษนะที่ไม่ได้ไปรับ”

พอเปิดประตูเข้าห้องไปก็เห็นบอทนั่งนิ่งอยู่ มีเพียงสายตาที่กรอกมามอง น้ำเองพยักหน้า

“ไม่เป็นไรหรอกบอท น้ำไปเองกลับเองได้ บอทกินข้าวหรือยัง น้ำซื้อซาลาเปามาฝาก”

“กินแล้ว เราออกไปกินก๋วยเตี๋ยวมาเมื่อกี๊”

“อืม”

หัวข้อสนทนาจบลงในทันใด ไม่รู้จะเริ่มพูดต่อไปอย่างไรดี ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาก่อนหลังดี ได้แต่นิ่ง พอนิ่งอยู่สักพักก็อึดอัด น้ำจึงเป็นฝ่ายลุกไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระร่างกายเสีย

“น้ำเดี๋ยวเราออกไปเดอะมอลล์แป๊บนะ”

บอทเอ่ยขึ้นหลังจากที่น้ำกลับขึ้นมาจากอาบน้ำ

“หือ ไปทำไมบอท มันดึกแล้วนะ”

น้ำเปล่งน้ำเสียงออกมา น้ำเสียงที่เหมือนเดิม คือเจือไปด้วยความห่วงใย

“เอ่อ ไม้เขานัดเราน่ะ จะพาไปกินข้าว”

หัวใจหลุดลอย สั่นไหวขึ้นมาทันที

“ไหนบอกกินข้าวแล้วไงบอท จะออกไปกินทำไมอีกเปลืองเงินเปล่าๆ”

แว้ดเสียงขึ้น สายตาฉายความไม่พอใจออกมา

“ไม้เขาเลี้ยงน่ะน้ำ ออกไปแป๊บเดียวเอง”

"ไม้เขาว่างนักเหรอถึงได้มีเวลามานัดคนอื่นเขาดึกๆดื่นๆแบบนี้ จะคุยอะไรทำไมไม่คุยที่รามฯ"

"น้ำ ไม้เขาก็มีธุระจะคุยบ้างสิ คงเรื่องจะไปรับน้องนั่นล่ะ"

ออกตัวแทนเขา น้ำเองรู้สึกแปลบเจ็บเข้าไปกลางใจ

"แล้วทำไมต้องนัดคุยแต่กับบอทคนเดียว เพื่อนคนอื่นล่ะ"

"โอ๊ย ไม่เอาแล้ว น้ำพูดไม่รู้เรื่อง เราไปดีกว่า เสียอารมณ์"

จะให้ห้ามอย่างไร จะให้รั้งไว้วิธีไหนเขาถึงจะอยู่ เขาถึงจะฟัง ได้แต่เม้มปาก พอบอทปิดประตูลงน้ำเองที่เป็นคนนั่งทรุดตัวลงกับพื้นห้อง ปล่อยให้น้ำตามันไหลรินออกมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่บอทจะไปไหนโดยไม่มีน้ำ ไม่เคยมีครั้งใดที่บอทจะไปโดยไม่เอ่ยปากชวนน้ำสักคำ เจ็บเหลือเกิน ความเจ็บแปลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส นี่เขากำลังจะจากเราไปแล้วจริงๆหรือ เสียงสะอื้นร่ำไห้ดังอยู่เพียงลำพัง ไม่อยากจะคิดเลยว่าเวลาที่เราเดียวดายมันเป็นเช่นไร ตัวเขาอยู่แค่นี้แต่ทำไมเราถึงรู้สึกเหมือนไม่มีใคร ไม่มีใครเหลือเลย นี่น่ะหรือที่เขาบอกว่าได้เพียงตัวครอบครองเพียงแต่ร่าง แต่หัวใจของเขาแบ่งปันไปให้ใครอื่นเสียแล้ว มันเกินกว่าจะเอ่ยคำว่าเสียใจ เจ็บแทบตายแต่ไปไหนไม่ได้ ไม่มีทางเลือก แค่เพียงแต่รอว่าสักวันที่ความทรงจำที่เลือนหายไปมันจะกลับคืนมา แค่เพียงหวังว่าวันนั้นมันจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ความทรงจำในส่วนของเรามันจะกลับคืนมา จากนาทีเป็นชั่วโมง ทำไมมันนานแสนนานถึงเพียงนี้กับการรอคอย ทำอะไรไม่ได้ ติดต่อไม่ได้ จ้องมองนาฬิกาที่เข็มมันบอกเวลา ๕ ทุ่มกว่าแล้ว แต่ไม่มีวี่แววของคนรัก คนที่รักปานดวงใจ นี่มันไม่ใช่บ้านเรา นี่มันเมืองหลวงที่กว้างใหญ่  ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ป่านนี้เขาจะทำอะไรอยู่ เป็นห่วงเหลือเกิน อยู่ไหนนะคนดี หรือว่าเขากำลังหัวเราะร่าเริงมีความสุขอยู่กับเพื่อนใหม่คนที่เราไม่ชอบ หน้า เขากำลังยิ้มร่าเริงอยู่อย่างนั้น แต่ตัวเรากำลังนอนจมน้ำตา เสียงเปิดประตูดังขึ้น น้ำรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้า

“ยังไม่นอนอีกหรอน้ำ พรุ่งนี้ไม่ทำงานเหรอ”

บอทร้องทักมาเพราะเห็นน้ำยังนอนเปิดไฟอยู่ น้ำยันตัวลุกขึ้น

“ก็รอบอทอยู่ ทำไมกลับดึกจังล่ะบอท”

“อ้อ โทษที พอดีไม้เขาชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยอ่ะน้ำ ไม้นี่เขารวยมากเลยนะ พ่อแม่ซื้อคอนโดฯให้อยู่คนเดียว ปีหน้าว่าจะซื้อรถให้ด้วย ไม้บอกจะมารับเราไปเรียนด้วยล่ะน้ำ”

เจ็บจังเลย จุกเสียเข้าไปในอก น้ำเม้มปาก ได้แต่ทำเพียงเท่านั้น เขามีความสุขจริงๆด้วย เขามีความสุขอย่างที่คิดไว้ เรามันบ้าไปเองที่นอนพะวงหน้าพะวงหลังอยู่ว่าเขาจะเป็นอะไรไป

“ดีจังนะ”

"ดีนะที่ไม้เขามาคบกับเราเป็นเพื่อน เราจนจะตายอะไรก็ไม่มี"

"ทำไมล่ะบอท จนแล้วไม่ใช่คนเหรอ รวยแล้วยังไง รวยเพราะพ่อแม่เขาหามานะไม่ได้รวยด้วยตัวของเขาเอง"

ไม่ได้คิดอคติแต่มันอดไม่ได้ที่จะประชดประชัน

"น้ำ ทำไมน้ำพูดอย่างนั้นล่ะ ไม้เขานิสัยดีนะ เขาบอกว่าปีใหม่จะซื้อของขวัญให้เราด้วยล่ะ"

"ทำไมบอทชอบไม้จังเลยล่ะ ชอบเพราะอะไรเหรอ เพราะเขามีของให้บอท หรือว่าบอทชอบเขาเพราะเขานิสัยดี"

"น้ำ เราไม่ใช่คนเห็นแก่ของนะ ทำไมว่าเราแบบนี้"

ตวาดเสียงขึ้นดังลั่น น้ำเองก็หน้าสลดลง ไม่รู้ทำไมสรรหาคำพูดแรงๆออกมาตลอดในช่วงนี้ บอทแสดงสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

"น้ำขอโทษ"

"อย่าว่าเราแบบนี้อีกนะน้ำ น้ำก็รู้ว่าเราเป็นคนยังไง เราโตมาด้วยกันไม่ใช่เหรอ"

อยากจะบอกออกไปว่าใช่ โตมาด้วยกัน แต่บอทคนนั้นไม่ได้เป็นแบบนี้ บอทคนนั้นคนเดิมคอยห่วงหาอาทรอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมองวัตถุเหนือจิตใจ แม้จะเคยเปรยๆว่าเกิดมาไม่สบายเหมือนคนอื่น แต่แววตาของบอทคนนั้นมันไม่ยินดีปรีดากับเศษสิ่งของแบบนี้ แต่ก็นิ่งเอาไว้เพราะรังแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆ

"ใช่ น้ำคงเครียดล่ะบอท ขอโทษนะ ที่พูดไม่ดี"

ยิ้มออกไปทั้งที่ตายังแดงก่ำ บอทเองก็รู้ว่าน้ำเสียใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“เราไปอาบน้ำก่อนนะน้ำ ง่วงแล้ว”

เคยรู้สึกแบบนี้ไหม แค่เพียงสูดลมหายใจเข้าปอดมันก็สั่นไปทั้งร่าง รู้สึกเสียดไปทั้งปอด ร้าวหน้าอก เหมือนหายใจไม่เข้าไม่ออก ครั้นจะกลั้นหายใจก็กลัวว่าจะขาดใจตายเอาเสีย ครั้นจะหายใจเข้าออกก็ทรมานปวดร้าวเหลือจะประมาณ น้ำกำลังเป็นเช่นนั้นอยู่ ท่าทีของบอทแม้จะทำท่าสงสารน้ำ แต่สิ่งนั้นน้ำเองไม่ต้องการ คนเดิม อาการเดิม หัวใจดวงเดิมเท่านั้นที่น้ำต้องการ และไม่ขอเรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้ เพราะถ้าพูดอะไรออกไปเขาก็จะหาว่าเราเองที่ไม่มั่นคง รู้ดีว่าตนเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่าง ถ้าหากวันนั้นไม่พูดแบบนั้นออกไป ถ้าหากวันนั้นไม่โลเล บอทเองก็คงไม่เป็นแบบนี้ และตอนนี้เราก็ไม่ไม่มานั่งร้องไห้น้ำตาไหลอยู่อย่างนี้ มันสาสมแล้ว มันคู่ควรแล้วกับความเจ็บที่เราได้กระทำลงไป สมควรแล้วด้วยประการทั้งปวง จะไปเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากใคร คงไม่มี

วิสัชนา ถ้าหากของรักนั้นยังคงเดิม ก็คงไม่ยากที่จะทำให้ใจมันรัก มันหวงได้ดังเดิม


เขียนโดย อิ๊กกี้

ปล กลับมาแล้วคร้าบ ดำปี๋เลย อิอิ ขับรถมอร์ไซค์ตระเวนทั่วเลย อิอิ ลมแรงนะที่บ้าน หน้าหมอง เฮ้อ กลุ้มเลย ตอนแรกว่าจะลงรูปให้ดูก่อน แต่เวบมันช้าหรือคอมฯผมช้าก้ไม่รู้ นานมาก ค้างอยู่นั่นล่ะ เลยตั้งใจว่าน่าจะเป็นพรุ่งนี้ดีกว่า ไปถ่ายรูปโรงเรียนมา ย้อยรอย น้ำกับบอท ซะหน่อย

ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับ กลับบ้านไปยืมโน๊ตบุ้คพ่อเอาไปเขียนตามทุ่งนา อิอิ ไม่ได้ไหลลื่นเล้ยให้ตายเถอะ ลมเย็นนักนอนอย่างเดียวเลย ตอนนี้มอบพิเศษให้ หนู ส้ม นะครับ อิอิ จี๊ดหน่อยๆให้เด็กๆไปก่อน จี๊ดใหญ่ๆมีคนเขาจองนะเออ อิอิ
รักน้า จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 16-11-2010 23:22:07
ตอนนี้ได้แต่สงสารน้ำ  :กอด1:

รอ..รอ..และรอ..
เมื่อไหร่ที่บอทความจำกลับ หึหึ
รอสมน้ำหน้า บอกตามตรง

ถ้าสถานการณ์มันแย่ไปกว่านี้
อยากให้มีใครซักคนเข้ามายุ่งวุ่นวายกับน้ำ ให้บอทตงิดๆในใจบ้างจริงๆ  
ตอนนี้จำไม่ได้ แต่จิตใต้สำนึก ลึกๆในใจมันต้องรู้สึก เราเชื่อแบบน้้น
หรือไม่ถ้าความจำกลับ เอาน้ำไปอเมริกาซัก4-5ปีซะเลย หึหึ


 :กอด1:คุณอิ๊ก ดีใจคุณอิ๊กกลับมาแล้ว

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 16-11-2010 23:30:23
ง่านี่แค่จี๊ดหน่อยๆเองหรอ

ขนาดจี๊ดหน่อยๆนะน้ำยังช้ำขนาดนี้

หวังว่าตอนจบคงไม่ใช่น้ำที่อยู่คนเดียวนะTT^TT :sad4: o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 16-11-2010 23:38:28
หึๆๆๆๆๆๆๆๆไกล้เป็นควายเข้าไปทุกทีแล้วละน้ำ  แค่สูญเสียความจำมันไม่ได้สูญเสียความเป็นคนซะหน่อย ไม่เห็นเหรอว่ามันทะเยอทะยานขนาดไหน มันจำในสิ่งที่มันเป็นตอนนี้มันไม่ได้พยายามเข้าใจที่น้ำบอกว่ารักมันเลย  เสียใจที่ทำให้มันเป็นแบบนี้นะได้ แต่รักตัวเองบ้างเหอะปล่อยมันไปซะดีกว่าทีจะดึงมันเอาไว้ในเมื่อมันจะไป คนเหี้ยอะไรพูดได้แต่คำว่าเพราะน้ำไม่ใช่เหรอที่ทำให้มันเป็นแบบนี้  สัด :z6:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 16-11-2010 23:38:42
พี่อิ๊กหวัดดีครับ
ในที่สุดพ่อกับแม่ก็ปล่อยตัวมาแล้ว    5555
ตกลงว่าบอทนี่จะเอายังไง
สงสัยว่าวัตถุจะพาไปซะแล้ว
ไอ้คุณไม้ ฮึฮึ ดูท่าว่าจะโดนไม่ใช่น้อย
น้ำ   ทำใจใว้มั่งนะ  รักตัวเองให้มากๆ  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 17-11-2010 13:38:40
 :m15:เพราะคำว่ารักที่มีให้มากมายจนไม่รู้จะหาสิ่งใดๆ ในโลกนี้มาเปรียบ ที่น้ำทนทุกอย่างก็เพราะว่ารักบอทมากนั่นเอง :m15:

 :m16:ส่วนไม้รวยเงินทองแต่จนจิตสำนึก คิดแต่จะแย่งของๆ คนอื่น :m16:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 17-11-2010 13:52:52
น้ำอดทนไว้ก่อนน๊า  :กอด1:

หรือว่าไม้นี่แหล่ะที่เข้ามาทำให้บอทกับน้ำต้องแยกกัน....แต่จะไม่ว่าใครมันก็ขึ้นอยู่กับตัวบอทด้วยแหล่ะ...  :z3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 17-11-2010 14:11:36
ดีใจค่ะน้องอิ๊กกลับมาแล้ว คงชาร์ตแบตกลับมาเต็มที่
หนูน้ำของเราก็ยังตกอยู่กับความโศกระทมเช่นเดิม
เอ่อ..ใจพี่อยากให้ไม้รีบๆแย่งบอทไปเลย ไปอยู่ด้วยกันเลยยิ่งดี
เพราะน้ำจะได้ไม่เห็นอะไรที่มันตำตาตำใจอยู่ทุกวัน "ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ" น่ะ
"...จากคนๆ ที่เคยมีใจกันอยู่
เปลี่ยนไปเป็นไม่มีเยื่อใยต่อกัน
อยากลืมๆ ทุกสิ่ง ลบล้างเรื่องวันวาน
หากเราไม่เห็นกันคงลืมกันได้
หนักใจตรงที่ความจำเป็นบางอย่าง
กดดัน ทำให้เราเจอกันต่อไป
ยิ่งเจอใจยิ่งเจ็บ มันทรมานเกินไป
ห่างกันไปให้ไกลมันยังดีกว่า

คนที่รักร้างไกลนั้นเจ็บไม่นาน
คนไม่รักใกล้กันช้ำใจยิ่งกว่า
แต่ว่าหนทาง ทางของคน
ไม่มีให้เลือกเท่าไหร่ เจ็บสักเท่าไร
(เจ็บสักเท่าไร) ก็ต้องรับมา

อีกนาน นานเท่าไร มันจึงจะจบ
จบไป ไปให้ไกลๆ กันสุดตา
อยากมีชีวิตใหม่ ไม่ต้องมีเธอมา
ต้องเจอกับสายตาเย็นชากันอยู่

เจ็บปวดเสมอ ที่ต้องเจอกัน
เอ่ยปากต่อกัน เหมือนคนใหม่
จำใจแสดง แกล้งทำกันไป
อย่างไม่ค่อยเต็มใจ อย่างกับคนไม่เคยรักกัน

คนที่รักร้างไกลนั้นเจ็บไม่นาน
คนไม่รักใกล้กันช้ำใจยิ่งกว่า
แต่ว่าหนทาง ทางของคน
ไม่มีให้เลือกเท่าไหร่ เจ็บสักเท่าไร
(เจ็บสักเท่าไร) ก็ต้องรับมา

อีกนาน นานเท่าไร มันจึงจะจบ
จบไป ไปให้ไกลๆ กันสุดตา
อยากมีชีวิตใหม่ ไม่ต้องมีเธอมา
ต้องเจอกับสายตาเย็นชากันอยู่

ต้องเจอกับสายตาเย็นชากันอยู่.."

แบบว่าแปะเพลงไม่เป็นน่ะค่ะ
พี่มันสว.ที่โลว์เทคน่ะคุณอิ๊ก

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 17-11-2010 14:16:11
 :m31: :m31: :m31: :m31:
ไปหาหนุ่มใหม่เหอะน้ำ
รักได้ ก็เลิกได้ค่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 17-11-2010 15:12:21
สักวันบอทจะรู้ตัวก็ตอนที่น้ำจากไปแล้ว ชัวร์
น้ำหนีไปนอกเลย ทิ้งบอทไว้นี่แหละ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 17-11-2010 16:13:35
เอารูปมาฝากคร้าบ อิอิ ไปแอบถ่ายมา เขาปิดเทอมพอดี เลยไปตามรอย น้ำกับบอทมา

ต้นมะม่วงที่อยู่หน้าอาคาร ๒ นะครับ แต่เขาเจี๋ยนมันสั้นกุดแล้ว เหลือแค่ตอ ม้านั่งก็เอาออกไปแล้ว

(http://c2.ac-images.myspacecdn.com/images02/145/l_4746f5b15c63424884d33c614a8866e5.jpg)

ตรงนี้แต่ก่อนเป็นต้นไม้หนากว่านี้ แต่ตอนนี้ด้านหลังที่มองเห็นคือโรงยิม

(http://c3.ac-images.myspacecdn.com/images02/115/l_7e86c86c3cdb4e7e935cdcbc5a093e2a.jpg)

แทงค์น้ำหลังอาคาร ๑ ห้องที่เห็นผ้าม่านคือห้องพยาบาลที่บอทเคยมาแอบนอนและโดนทำโทาทั้งสองคน

(http://c2.ac-images.myspacecdn.com/images02/123/l_a9ba84548d8547d6b80ebb46003c9019.jpg)

ต้นไม้หลังอาคาร ๒ ตอนปลายฝนต้นหนาวจะมีดอกพยอมบานหล่นอยู่เกลื่อนพื้น
อาคารเตี้ยๆเป็นช็อปคหกรรมกับอุตสาหกรรม
(http://c2.ac-images.myspacecdn.com/images02/133/l_269da9b6f7354dee8e9403953d52d2f9.jpg)

ใต้ถุนอาคาร ๒ ที่ตอนเรียนเขาทำเป็นหอประชุม แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าใช้ประโยชน์อะไรเพราะเวทีก็ยังคงเหลืออยู่
(http://c2.ac-images.myspacecdn.com/images02/117/l_78a52a7306164d0fbaf0b00fc0e3e489.jpg)

อีกมุมของหลังอาคาร ๒ ถ่ายจากใต้ถุนอาคาร ต้นไม้ที่เห็นส่วนใหญ่คือต้นพยอม
(http://c1.ac-images.myspacecdn.com/images02/123/l_b67d72afdf1e41c2a1d50ed36e5c4a20.jpg)

ต้นยางนาที่ขึ้นหน้าอาคาร ๑ เยื้องๆเสาธง ตรงมุมทางโค้งเคยมีต้นหลิวอยู่ เขาตัดมันออกแล้ว น่าเสียดาย

(http://c2.ac-images.myspacecdn.com/images02/127/l_1cefb0e6133c4d6e96f6321996ccdd09.jpg)

สนามฟุตบอลที่ยังเหมือนเดิมทุกประการ

(http://c1.ac-images.myspacecdn.com/images02/101/l_9ecec3a5111c484cbe81d5a49980d964.jpg)

ทางเข้าโรงเรียน ที่มีต้นอโศกรายเรียงอยู่

(http://c3.ac-images.myspacecdn.com/images02/118/l_c6624a51999346bba3789d8306c4d922.jpg)

ทุ่งรวงทอง โชคดีที่กลับไปทัน เขายังไม่เกี่ยวข้าวพอดี อิอิ ของแถมๆ

(http://c3.ac-images.myspacecdn.com/images02/113/l_2aec6e262c9b41c0882ba3cc4bb83906.jpg)

(http://c2.ac-images.myspacecdn.com/images02/145/l_ed4b6a34c1584d009cacc9e01f229921.jpg)

รูปบ้านๆนะครับ แต่อยากให้คนอ่านเห็นภาพมากยิ่งขึ้น เดี๋ยวไปเที่ยวไหนมาอีกจะเอามาฝากเน้อ จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 17-11-2010 16:18:21
โฮ้ ดูรูปไปด้วย ประกอบการอ่าน

ได้อารมณ์ ดีจ๊ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 17-11-2010 17:40:20
 :o12: :o12:

น้ำอย่าทนได้ไหม
ม่ะชอบให้เศร้านานเลย  มันดูเน่าๆไงม่ะรุ
นี่แค่จี๊ดๆหรอ  ถ้าหนักรีดเดอร์คงได้เป็นลมกันแน่  5555

ส่วนบอทไปกะนังไม้เถอะชอบล่ะสิ รวยๆอ่ะ  แหม๋ อีกไม่นานคงเป็นแมงดาล่ะสิ

อุ้ย!ๆๆๆ  แรงไป  ขอโทษพี่อิ๊กกี้ด้วย 555  อินเกิ๊น
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 17-11-2010 18:29:47
:o12: :o12:

น้ำอย่าทนได้ไหม
ม่ะชอบให้เศร้านานเลย  มันดูเน่าๆไงม่ะรุ
นี่แค่จี๊ดๆหรอ  ถ้าหนักรีดเดอร์คงได้เป็นลมกันแน่  5555

ส่วนบอทไปกะนังไม้เถอะชอบล่ะสิ รวยๆอ่ะ  แหม๋ อีกไม่นานคงเป็นแมงดาล่ะสิ

อุ้ย!ๆๆๆ  แรงไป  ขอโทษพี่อิ๊กกี้ด้วย 555  อินเกิ๊น

มาเล้ยยย น้องญ่า พี่ชอบ อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 17-11-2010 18:37:40
รูปสวยคับพี่อิ๊ก  
ทางเข้าโรงเรียนเหมือนทางเข้ารีสอร์ทมากๆๆ
โรงเรียนดูอบอุ่นดีนะครับ รอบโรงเรียนมีแต่ต้นไม้น่าสบายจัง
นาข้าวทุ่งรวงทองก็สวย  
สวยจริงๆครับ
แต่พี่อิ๊กจบมากี่ปีแล้วคับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 17-11-2010 18:46:15
ไม่อยากให้มืดนานเลย

เห้อๆๆ

มาต่อเร็วๆ นะพี่อิค

จะได้หายมืดเร็วๆ

รออยู่น้า...

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 17-11-2010 19:00:01
รูปสวยคับพี่อิ๊ก 
ทางเข้าโรงเรียนเหมือนทางเข้ารีสอร์ทมากๆๆ
โรงเรียนดูอบอุ่นดีนะครับ รอบโรงเรียนมีแต่ต้นไม้น่าสบายจัง
นาข้าวทุ่งรวงทองก็สวย 
สวยจริงๆครับ
แต่พี่อิ๊กจบมากี่ปีแล้วคับ

ส้มจี๊ด ถามแบบนี้ ถามอายุเลยมะ ฮ่าๆๆๆ ก็นะ หลายปีอยู่คร้าบ ตั้งแต่เขาไม่มีโรงยิมอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 17-11-2010 19:08:54
รูปสวยคับพี่อิ๊ก 
ทางเข้าโรงเรียนเหมือนทางเข้ารีสอร์ทมากๆๆ
โรงเรียนดูอบอุ่นดีนะครับ รอบโรงเรียนมีแต่ต้นไม้น่าสบายจัง
นาข้าวทุ่งรวงทองก็สวย 
สวยจริงๆครับ
แต่พี่อิ๊กจบมากี่ปีแล้วคับ

ส้มจี๊ด ถามแบบนี้ ถามอายุเลยมะ ฮ่าๆๆๆ ก็นะ หลายปีอยู่คร้าบ ตั้งแต่เขาไม่มีโรงยิมอ่ะ
รู้แล้วแหละว่าพี่อิ๊กอายุกี่ปี  ไม่ต้องให้วัดรอบเอวหรอกคับ  555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 17-11-2010 19:36:59
สงสารน้ำง่า TT
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๒๙ (พฤศจิกายน ๑๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 17-11-2010 21:46:23
บทที่ ๓๐

ปุจฉา ภาพความทรงจำของมนุษย์เรามีสีหรือมันเป็นภาพขาวดำ

“น้ำเดี๋ยววันศุกร์นี้เราจะไปรับน้องที่ชะอำนะ น้ำไม่ไปจริงเหรอ ลางานไม่ได้เหรอ”

บอทถามขึ้นในตอนค่ำหลังจากที่น้ำกลับมาจากทำงาน

“คงไม่ได้ไปหรอกบอท บอทจะไปจริงเหรอ”

“น้ำไม่อยากให้เราไปเหรอ”

บอทถามคืน น้ำเองกลับสะอึกนิ่งอยู่

“ใช่ไม่อยากให้ไป มันไกลไปน่ะบอท น้ำเป็นห่วง”

“ก็น้ำไม่ไปนี่ เราไม่ไปไม่รู้จะทำอะไร เซ็งตาย”

“ไปกันหมดเลยเหรอบอท”

“อืม ทั้งซุ้มอ่ะ เว้นแต่น้ำนี่ล่ะ พี่โจ้อยากให้น้ำไปนะ”

“น้ำก็อยากไปนะ แต่เพิ่งทำงานได้สองอาทิตย์เอง น้ำไม่อยากลา”

“น่าเสียดายจังเลยเนอะ”

บอทรำพึงออกมา ไม่รู้ว่าตั้งใจพูดแบบนั้นหรือพูดเพราะไม่มีอะไรจะเอ่ยออกมา น้ำเองก็นิ่งไป ในใจเริ่มเป็นกังวล ใครไปไม่ว่าแต่ถ้านายไม้อะไรนั่นไปด้วย น้ำไม่สบายใจเอาเสียเลย เพราะช่วงหลังๆบอทเองจะติดกับไม้มากเป็นพิเศษ

“บอท น้ำถามจริงๆเถอะ ไม้เขาคิดอะไรกับบอทหรือเปล่า”

น้ำเองก็ไม่ใช่คนที่จะเก็บงำอะไรไว้ในใจตลอดเวลา อยากถามแต่รอโอกาสและจังหวะเวลาที่เหมาะ

“เอ้ย บ้าแล้วน้ำ ไม้เป็นเพื่อนเรา น้ำเชื่อใจได้ ถึงเราจะจำอะไรระหว่างเรากับน้ำไม่ได้ แต่เราสัญญาว่าเราจะยังไม่เปลี่ยนใจไปหาใคร จนกว่าเราจะจำได้”

“บอท”

ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี เสียใจที่ตนเองไม่มีเวลาที่จะไปไหนมาไหนกับบอท เปิดโอกาสให้ไม้เข้าใกล้บอทมากเกินไป แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยบอทเองก็ยังยึดมั่นในคำสัญญาที่เคยให้ไว้

“น้ำเชื่อเรานะ เรารู้ว่าเราอาจจะทำไม่ดี แต่เราก็พยายามที่จะรื้อฟื้นความทรงจำอยู่นะ เราจะพยายามจำให้ได้”

“ขอบใจนะบอท แค่นี้ก็พอแล้ว น้ำไม่ขออะไรมากแล้ว”

น้ำเองร้องออกมาอย่างดีใจ ตั้งแต่รู้ความจริงว่าบอทจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับตัวเองมันก็เหมือนตกนรก ทั้งเป็นอยู่แล้ว รอยยิ้มที่เคยฉายออกมามันเหมือนโดนยึดคืนไปไม่มีหลงเหลือให้เห็นบนใบหน้า นับเป็นความยินดีปรีดามากที่สุดวันหนึ่งนับจากที่ได้รู้ความจริง

“กูว่ายังไงก็ไม่น่าไว้วางใจ เคยเห็นหน้าแล้วไอ้ไม้อะไรนั่นน่ะ ดัดจริตมาก แหมทำเป็นหงส์ซะ ดูมันชายตามองคนอื่นสิ ทำอย่างกะคนอื่นเป็นกา”

เอ๋พูดขึ้นในตอนค่ำหลังเลิกงาน เล็กกับน้ำนัดเอ๋มากินข้าวที่หน้ารามฯ แม้ระยะทางจากบ้านของเอ๋มาที่รามฯจะไกลแต่เอ๋ก็เต็มใจมาหา

“นั่นสิน้ำ แต่ก็นะจะให้ทำยังไงวะ ในเมื่อคนหนึ่งทำงาน แต่อีกคนอยู่ห้องว่างๆ พอมันว่างมันก็ต้องหาอะไรทำ และจะอะไรล่ะ ถ้าไม่ไปเข้าซุ้ม”

“เออ นั่นสิน้ำ ทำไมไอ้บอทมันไม่ทำงานวะ จำไม่ได้ก็ไม่เห็นเกี่ยว ไม่มีใครรู้หรอก”

“มันคงกลัวว่าจะไปทำอะไรเขาเสียหายน่ะมึง”

“อ้อ กลัวทำคนอื่นเสียหาย แต่ทำมึงเจ็บนี่ไม่กลัวว่างั้น”

เอ๋พุดขึ้นน้ำถึงกับสะอึกเม้มปากแน่น เล็กเองปรามไว้ไม่ทัน ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเห็นใจน้ำก็เห็นใจ เอ๋พูดก็โดนใจ

“อีนี่แล้วผัวมึงล่ะ ไม่ชวนมันมาด้วย”

เล็กเบี่ยงประเด็นไปเพราะเห็นน้ำสีหน้าไม่ค่อยดี

“ผัวคนไหนวะ”

“แหม อีสวย ผัวเยอะเหรอมึง ก็ไอ้ไก่ไง อะไรอย่าบอกนะได้มันแล้วทิ้ง”

“บ้ามึง มันก็ทำงานอยู่ลาดกระบังกับน้ามันนั่นล่ะ บอกให้มาทำแถวนี้ก็ไม่มา”

เอ๋อายหน้าแดงขึ้นมาทันที

“แหมนะ สรุปก็ยังคบกันอยู่เหรอ”

“ก็ยังติดต่อกันอยู่”

ตอบอ้อมแอ้มก้มหน้าลงพื้นเหมือนกำลังปิดบังใบหน้าที่มีสีระเรื่อขึ้นมา

“เหรอ แล้วไปนอนกับมันครั้งล่าสุดนี่เมื่อไหร่ล่ะมึง”

เล็กถามเสียงเรียบเหมือนไม่ต้องการเอาคำตอบ

“ศุกร์ที่แล้วเอง เฮ้ย อีเล็ก”

ร้องออกมาเพราะเสียรู้ของเล็ก ส่วนคนถามหัวเราะรอไว้อยู่แล้ว น้ำเองฝืนยิ้มออกมา

“เอาน่าน้ำ มึงอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิวะ มันคงไม่แย่ไปกว่านี้หรอก”

เอ๋ตบบ่าของน้ำเบาๆให้กำลังใจ

“นั่นสิ มันคงจะจำได้เร็วๆนี่ล่ะกูว่า”

“เออหรือจะให้กูเอาอะไรดักตีหัวมันดี”

“บ้าเหรอมึง เออ สอบเดือนหน้าใช่ไหม กูยังไม่ได้อ่านหนังสือเลย ถ้ามีชีทหรือหนังสือเก่าเอามาแบ่งให้กูอ่านบ้างสิมึง”

“อะไรยะ เรียนกันคนละคณะนะ”

“อีเอ๋ เรียนคนละคณะแต่พื้นฐานมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ มึงว่างๆมาเดินดูให้มันหน่อยดิ มันทำงานเกือบทุกวัน หยุดวันอังคารวันเดียวเอง”

เล็กบอกทำตาโตถลึงใส่เอ๋

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยววันหยุดกูมาเดินดูเองดีกว่าอีเอ๋มันอยู่ไกลลำบากมันเปล่าๆ”

หลังจากแยกย้ายกันกลับหอพักแล้ว น้ำก็กลับเข้าสู่ภวังค์ของความเดียวดายอีกครั้ง แลไปทางไหนก็มีแต่ความว่างเปล่า ทั้งที่แต่ก่อนจะมีร่างของคนที่รักอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา เราไม่ได้เกลียดกันหรือแยกทางกัน เพียงแต่อะไรบางอย่างมันทำให้เราห่างกัน ไม่ได้อยากจะห่าง แต่ทำอย่างไรได้ ป่านนี้บอทจะเป็นยังไงบ้างนะ คงมีความสุขอยู่กับเพื่อนๆ คงกำลังหัวเราะอยู่กับไม้ จะลำบากไหมนะ ยุงจะกัดไหม หนาวใครจะกอด ถ้าเวียนหัวตัวร้อนใครจะดู ทำไมนะ ทำไมเราไม่ลางานแล้วไปด้วย อยู่ตรงนี้แล้วเป็นห่วงแบบนี้มันทรมานบีบคั้นใจเสียเหลือเกิน น้ำล้มตัวลงนอนอย่างยากลำบาก มือคว้าหมอนที่บอทหนุนเอามากอดสูดดมรักเหลือเกิน รักมากปานดวงใจ ถ้าหากว่าอ้อมกอดนี้มันจะทำให้บอทคลายหนาวขึ้นมาได้บ้างขอให้มันแผ่ไปถึง ร่างของบอทด้วยเถิด แม้จะพยายามข่มตานอนให้หลับแต่ยิ่งพยายามยิ่งนอนไม่ได้ ด้วยจิตที่เป็นนายกายเป็นแค่บ่าว จิตเร้าอยู่คิดถึงแต่เขาแล้วใยตัวมันจะลับไหลลงได้ น้ำทนเบิกตากว้างอยู่ด้วยความทุรนทุรายจนรุ่งเช้า

"ไม่ได้นอนมาอีกสิมึง ไม่ดีนะน้ำ รู้อยู่ว่ารักมาก แต่ไม่ใช่มึงจะไม่ดูแลตัวเอง ทำไมวะ ทำไมให้ความรักมันทำร้ายมึงได้มากขนาดนี้"

เล็กพูดขึ้นตอนที่เอหน้าน้ำ ส่วนน้ำเองก็เม้มปากตามเคย ไม่ได้แย้ง เพื่อนพูดถูกต้องทุกอย่าง แต่ทว่าอันความรักที่ปักอยู่กลางอกนั้น จะบอกใครให้รู้ว่ารักมากเพียงใดนั้น เขาจะรู้ได้อย่างที่เรารับรู้ไหมนะ ก็ไม่ ไม่มีทาง และเช่นกัน ถ้าหากเราบอกว่าเราเจ็บ ไม่ว่าด้วยเหตุอันใด เขาจะซึมซับความเจ็บปวดนั้นเช่นที่เรากำลังเผชิญอยู่หรือไร ก็ไม่ ใจเรา ใจเขา ถ้าไม่เจอกับตัวก็คงเข้าใจไม่ได้ง่าย น้ำเองไม่ได้กล่าวโทษเพื่อน น้อมรับฟังคำตำหนิ เพราะถ้าเพื่อนไม่รักไม่ห่วงมันก็คงไม่ดูลำบากใจเช่นนี้

"กูทำใจไม่ได้มึง พยายามแล้ว ไม่ได้"

ครางออกมา

"กูเข้าใจน้ำ แต่พยายามให้มากกว่านี้หน่อย ไอ้บอทเองมันยังคิดถึงอนาคตของมันเลย แล้วมึงล่ะน้ำ กูรู้ว่ารักกัน ไม่อยากให้ความรักมันเป็นสนิมขึ้นมาซะก่อน แต่มึงก็ต้องทำใจนะ ความรักมันไม่เข้าใครออกใคร ในเมื่อมึงเชื่อมั่นในรัก รักเดียวใจเดียว แต่อีกคนมันกลับจำไม่ได้ กลงระเริงไปกับแสงสี มึงต้องเข้าใจตรงจุดนี้ด้วยนะน้ำ"

พูดอีกกี่ร้อยครั้งเล็กก็พูดโดนใจเสมอ ใช่ มันเป็นอย่างที่เล็กบอกจริงๆ แต่ให้ตัดใจทำเฉยเมย ทำได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ในเมื่อหันไปทางใดภาพของเขาก็ผุดก็ฉายขึ้นมา ไม่ได้เป็นคนบ้าที่อยากจะทรมานตัวเองแบบนี้ แต่ทำได้ยากจริงๆ

“สนุกมากเลยนะน้ำ น้ำน่าจะได้ไปด้วย”

พอบอทกลับมาถึงห้องในตอนเกือบตีสองของวันใหม่ก็เปิดประตูห้องเข้ามาเห็นน้ำกำลังนอนกระสับกระส่ายอยู่

“อืม บอทไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“เป็นอะไร เราไม่เป็นอะไร ไปรับน้องนะน้ำ แหมพูดเหมือนเราไปออกรบมาอย่างนั้นล่ะ”

“น้ำเป็นห่วง”

“นอนดีกว่าเหนื่อยมาก น้ำยังไม่นอนอีกเหรอ”

“อ้อ กำลังจะนอนอยู่พอดี”

พอล้มตัวลงนอนบอทก็หลับไปเลย มีเพียงน้ำที่ใจเต้นอยู่โครมคราม ไม่รู้อะไรบ้างเลยเหรอบอท ไม่เคยรับรู้เลยเหรอว่ารออยู่ ว่าเป็นห่วงมากแค่ไหน น้ำเม้มปากแน่นรำพึงออกมา

“น้ำ เงินเดือนออกยังอ่ะ เรายืมก่อนได้ไหม เราอยากไปดูคอนเสิร์ตวันเสาร์นี้อ่ะ”

บอทตั้งตารอน้ำเลิกงานเพื่อจะถามไถ่เรื่องเงิน

“มันจำเป็นเหรอบอท ค่าหอน้ำก็ยังไม่จ่ายเลยนะ ไหนจะซื้อชีทเอามาอ่านอีกทั้งของน้ำของบอทนะ”

น้ำแจงเหตุผลมองดูหน้าของบอทเต็มตา ช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มองบอทแบบนี้มานานมากแล้ว ใบหน้าของเขาดูคมคายขึ้นมาก ผิวพรรณดูสะอาดสะอ้านขึ้น นี่กระมังที่ทำให้ไม้อยากเข้าใกล้บอทมากกว่าเพื่อนคนไหน

“เราอยากไปนี่น้ำ ครั้งหนึ่งในชีวิต อยากมีประสบการณ์ชีวิตแบบนี้บ้าง”

“ไปกับใครล่ะบอท”

“ก็”

“ไม้ใช่ไหม”

บอทพยักหน้า น้ำเม้มปากแน่น

“เขารวยไม่ใช่เหรอบอท ทำไมไม่ให้เขาซื้อตั๋วให้”

น้ำพูดออกไปจ้องมองดูหน้าของบอท

“ไม้เขาจะออกให้นั่นล่ะ แต่เราเกรงใจ ไม่อยากจะรบกวน”

“แล้วไม่เกรงใจน้ำนี่น่ะเหรอบอท บอทเห็นใจเขา แล้วน้ำล่ะ น้ำเป็นใคร น้ำเป็นอะไรในสายตาของบอทน้ำยังมีความหมายอยู่ไหม หรือว่ามองน้ำเป็นลมเป็นแล้งไปแล้ว”

โพล่งออกมาสุดที่จะทน น้ำตาเอ่อนองแต่ไม่ให้มันไหลรินออกมา

“น้ำ น้ำก็เป็นคนที่เรารักไง เรารักน้ำเสมอนะแค่เรายังจำไม่ได้”

“จำไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่บอทถึงจะจำได้ กว่าที่บอทจะจำได้ น้ำคงช้ำใจตายพอดี รู้ไหมบอทว่ามันเจ็บ รู้ไหมว่ามันเจ็บ”

คราวนี้ม่านน้ำตามันพังทลายลงแล้ว บอทเองก็ตกใจไม่คิดว่าน้ำจะร้องไห้ออกมามากขนาดนี้ ยืนนิ่งอ้าปากค้างอยู่

“น้ำ เราไม่ไปก็ได้ เราขอโทษ”

บอทโผเข้ามากอด น่าประหลาดนักทำไมอ้อมกอดนี้มันถึงเหมือนกอดคนที่ไม่คุ้นเคย คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำไมมันรู้สึกห่างเหินกันมากขนาดนี้ ใจหาย

“บอทอยากไปก็ไปเถอะ น้ำขอโทษ”

“น้ำ เราไม่ไปแล้ว เราเองก็คงเห็นแก่ตัวไปหน่อย ทั้งที่น้ำเป็นแฟนแท้ๆแต่เรากลับไม่มีเวลาให้”

“น้ำไม่ต้องการอะไรจากบอทนะ แค่เอาใจดวงเดิม บอทคนเดิมกลับคืนมาให้น้ำได้ไหม”

สายตาที่มองด้วยน้ำตาเต็มลูกตามันทำให้บอทหลบตาไม่กล้าที่จะสบตา

“ได้ไหมบอท น้ำต้องการแค่นั้น”

“เราจะพยายาม”

“อย่าพยายาม บอทต้องทำให้ได้ ทำไม มันยากมากนักเหรอกับการที่จะจำน้ำ น้ำที่เคยเคียงข้างบอทมาตลอดมันยากมากเลยเหรอ”

“น้ำ เราปวดหัว น้ำอย่าเพิ่งมาคาดคั้นเอาอะไรจากเราได้ไหม”

บอททำท่ากุมหัว น้ำเองจากที่รุกไล่อยู่ก็เปลี่ยนท่าที รีบให้บอทนอนพัก ภาระหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดน้ำเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ทั้งค่าหอ ค่าหนังสือ เว้นเสียแต่ค่าลงทะเบียนที่แม่นิ่มให้เงินลงมาตอนที่ลงมากรุงเทพฯใหม่ๆ เงินส่วนนั้นก็ใช้ลงทะเบียนตั้งแต่ตอนนั้นหมดแล้ว ส่วนเงินส่วนที่เหลือบอทเองก็ไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายหมดไปแล้วเช่นกัน น้ำเองไม่ได้ขอเงินทางบ้านแล้วเพราะตนได้หาเงินได้แล้ว เงินเดือนเดือนแรกที่ออกมาจ่ายค่าหอเสร็จก็ซื้อหนังสือ เก็บไว้ใช้ ให้บอทใช้ด้วย เงินเก็บจึงแทบจะไม่มีเหลือเลย

“น้ำวันนี้เราไปอ่านหนังสือในรามฯนะ”

บอทเอ่ยขึ้นก่อนที่น้ำจะออกไปทำงาน

“รอออกไปพร้อมกันสิบอท เดี๋ยวน้ำก็ไปทำงานแล้ว”

“อืม ได้”

พอน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาจากหอพร้อมกัน

“น้ำ เราไม่มีตังค์แล้วอ่ะ”

“อ่ะ สองร้อยพอไหม”

น้ำเองก็เหมือนรู้หน้าที่ ล้วงเอาเงินในกระเป๋ากางเกงยื่นให้บอท

“พอ แล้วน้ำมีใช้ไหมล่ะ”

“พอ น้ำเหลือ ๕๐ บาท เสียแต่ค่าเรือไป ข้าวไปกินที่ทำงาน บอทอย่าใช้เปลืองนักนะ เดือนนี้ถ้าไม่ประหยัดไม่พอแน่ๆ”

“อืม เราก็ไม่ได้ใช้อะไรมากหรอกน้ำ แค่กินนั่นกินนี่”

น้ำเองเป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว แม้ลักษณะท่าทางจะดูเป็นเหมือนคนไม่ยอมใครง่ายๆ แต่ลึกๆภายในแล้วอ่อนไหวอยู่มาก แม้ตอนเด็กจะกรำงานหนักแต่งานหนักนั้นมันคือความสุข เพราะเขาได้ทำงานหนักนั้นอยู่ข้างๆคนที่รักไม่ว่าจะหนักสักเท่าใดก็ไม่ได้ หวั่น แต่ถ้าหากว่าทำงานหนักอยู่แบบนี้ คนข้างกายก็ไม่รู้ว่าจะข้างกายอยู่ได้นานสักเท่าใด ท้อนะ ท้อมากเหมือนกัน แต่ไม่ยอมแพ้หรอก เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าเขาไม่ได้อยากจะห่าง คอยหลอกตัวเองไปวันๆว่าสักวันเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมคนที่เคยเคียงข้าง กันคนนั้น

ตัดบัวยังมีเยื่อยังเหลือใย   หากตัดใจมีสิ่งใดให้คงอยู่

มีใครช่วยตอบทีวานผู้รู้      ว่าชายชู้เขาคงรักอยู่หรือไร

ครั้นถามว่าตัดใจได้จริงหรือ     ให้ลืมฤๅรักที่สานมาแต่ไหน

ครั้นให้ตัดเขาออกไปจากใจ     ทำอย่างไรเมื่อใจเราคือต้นเหตุ

เคี้ยวอ้อยกลืนน้ำหวานยังมีซาก  แม้กินหมากก็ยังบ้วนทิ้งเศษ

ส่วนตัวเราเหมือนถูกจองเนรเทศ   ให้พ้นเขตดินแดนของหัวใจ

เขาจะไล่ขับหนีก็ไม่แปลก      ต่อให้แลกด้วยรักหรือสิ่งไหน

ต่อให้แบกโลกนี้ไว้ทั้งใบ        ต่อให้ไสไล่เสือกก็ยอมทน


วิสัชนา ไม่ว่าสีหรือขาวดำแต่หากมันเลือนรางไปแล้ว ขาวดำหรือสีก็ไม่มีความหมาย ไม่ใช่ฤๅ

เขียนโดย eiky

ปล ไม่มีอะไรมากนะครับตอนนี้ ขอให้มีความสุขกับการอ่าน อิอิ

ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้เสมอมา

ตอนนี้มอบพิเศษให้ คุณ roseen นะครับ ปกติจะเมนต์แค่ให้ดอกไม้แทนคำขอบคุณ แต่ตอนที่แล้ว คงอึดอัดน่าดู อิอิ เอาน่าน้าอย่าอึดอัดนะคร้าบ เดี๋ยวมันก็ดีเองน้า จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 17-11-2010 22:18:50
อ่านแล้วคิ้วขมวดเป็นเงื่อนพิรอดแล้ว...ทำไมบอทมันเป็นอย่างนี้ฟระ...ทำมาเป็นเกรงใจไม้แต่ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของน้ำ..... :z6: :z3:

ปล...ขอบคุณสำหรับรูปนะคะ eiky ดูแล้วคิดถึงโรงเรียนมากมาย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 17-11-2010 23:13:22
น้ำตาไหลคุ่ะคุณอิ๊ก
ไม่ไหวแล้ว

........
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 17-11-2010 23:30:15
อ่านแล้วเคืองอีบอทในหลายๆเรื่องความจำเสือมนะคะไม่ได้เป็นง่อย ไม่น่าเชื่อว่าแค่ความจำเสื่อมจะทำให้สันดานคนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ชักจะเกลียดขี้หน้าสาธุขอให้มีไอหน้ารูปหล่อพอ่รวยมาจีบน้ำทีเหอะ  ดูสิถ้าเสียของดีไปแล้วจะสำเหนียกตัวเองขึ้นมาบ้างไหม หรือมันอาจจะไม่สำนึกเลยก้ได้ เฮ่อออออออออ


ปล.รูปโรงเรียนและทุ่งนาเหมือนแถวบ้านมั๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แถวบ้านนี้ยิ่งเวลาหน้าฝนนะคะน้ำมา น้ำท่วม พักกลางวันนี้ก้ไปตกปลากันสนุกมากมาย อยากกลับไปเลยมัธยมใหม่เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 18-11-2010 00:35:19
 :m15:ยิ่งอ่านยิ่งเข้าใจน้ำว่าน้ำรู้สึกอย่างไร เพราะรักมากไปจึงยอมที่จะให้ตัวเองเจ็บ แม้กระทั่งหลอกตัวเองว่าเขายังเหมือนเดิมแค่เขาจำไม่ได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมบอทถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้  :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 18-11-2010 00:51:16
 :m15:
อ่านแล้วเป็นห่วงน้ำ จริงๆนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 18-11-2010 01:06:29
เจ็บปวดแทนน้ำ  :m25:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 18-11-2010 02:34:41
เอ่อ
อ่านตอนนี้แล้วเฮ้อ

น้ำตาแทบร่วง

สงสารน้ำจับใจเลยอ่ะบอทมีท่าทางจะชอบไม้ในไม่ช้านี้แน่นอนเลย

แล้วที่บอทบอกน้ำว่ายังรักอ่ะโกหกอีกแน่เลย

ย๊ากคิดมากไปแล้วTT^TT

คิดแทนน้ำล้วโฮกน้ำตาหล่น
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 18-11-2010 07:09:25
รักแล้วทำให้คนๆหนึ่งโง่ อย่าไปรักใครดีกว่าน้ำ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: Milk ที่ 18-11-2010 07:38:30
บอทเป็นแบบนี้น้ำจะทนได้นานแค่ไหน

ฮึ...บอทรู้สึกนิสัยจะแย่ลง แย่ลงเรื่อยนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 18-11-2010 08:37:01
ไม่เข้าใจเลยทำไมบอทเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้นะ

**ลองคิดแบบนิยายนะ**
บอทตัวจรองอาจจะตายไปแล้ว แล้ววิญญาณใครก็ไม่รุมาสิงร่างบอทงี้มั้ง
แหะๆๆ อันนี้แค่คิดเล่นๆ

 :กอด1: :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 18-11-2010 09:03:09
สงสารน้ำ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
บอทแย่มาก! แบบนี้มันก้เหมือนกับเกาะน้ำกินนั่นแหละ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 18-11-2010 09:41:31
ไปๆมาๆ บอทเริ่มจะกลายร่างเป็นแมงดาแล้วค่ะ  :o12:
ปากก็บอกว่ารัก บอกว่าน้ำเป็นแฟน แต่จริงๆแล้วคงแค่อยากปะเหลาะน้ำไว้เท่านั้นแหละ  :sad4:
จะได้เกาะกิน เพราะกลัวตัวเองลำบาก  :z6:
ทำตัวแบบนี้ เฮ้อ  :เฮ้อ:
นี่แหละหนา วัวลืมตีน  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 18-11-2010 09:46:37
ชักจะเบื่อกับนิสัยบอทเต็มที เห้อ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 18-11-2010 11:37:42
อ่านสองตอนรวดเลย.....
ก่อนอื่นขอชมก่อน...ภาพทุ่งนาข้าวสวยมาก..ทุ่งรวงทองจริง ๆ..
โรงเรียนเก่าของน้องอิ๊ค...ร่มรื่นกับธรรมชาตินะ...
ทางเข้าน่ะ...รีสอร์ทรึโรงเรียนกันจ๊ะ...จัดได้สวยเชียว.... o13

น้องน้ำ...พูดขอโทษบอทบ่อยมาก...ทั้งที่ไม่มีอะไรต้องขอโทษ
บอทช่างใจดำ...ไม่ห่วงไม่สงสารน้องน้ำเลย...ปล่อยให้ลำบากหา
รายได้พิเศษไปคนเดียว...ทั้งที่ตัวบอทเองก็ใช้จ่ายด้วย...ทำได้งั๊ย :m16:
ต่อไปบอทจะโดนไม้จูงไปทางไหน????....ยาเสพติด???ติดการพนัน???
ถ้าถึงขนาดนั้น....ก็คงเป็นนรกของน้องน้ำไปด้วย......... :เฮ้อ:
รอวันที่น้องน้ำจะเข้มแข็งพอที่จะหักดิบกับบอท.....
เพื่อให้บอทโตเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตของตนเอง....
จะมีวันนั้นไหมน้า.... :impress:


 :L2: น้องน้ำคนดี กะ น้องอิ๊คคนเก่ง... :กอด1:

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 18-11-2010 18:31:00
กลับมาแล้วหรอคะ ได้อ่านสองตอนรวดเลย แต่เป็นสองตอนที่น่าอึดอัดใจ  :เฮ้อ:

กลอนบทแรกตอนท้ายของตอนล่าสุดเพราะดีนะคะคุอิ๊กกี้

  :จุ๊บๆ: +1 ค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 18-11-2010 18:41:23
 :z3: :z3:

ไม่ไหวล่ะพี่อิ๊กกี้
ไม่ไหวจริงๆๆๆ
รีบๆไปถึงจุดหักเหรุนแรงที่เดียวเลยดีกว่าที่จะมาทรมานยืดๆไปแบบนี้  มันให้อารมณ์เหมือนละครช่อง7เลย 555

น้ำก็น่ะ โง่เกิ๊น ไอแมงดาบอทก็ไม่ไหว  :เฮ้อ:

มาไวไวล่ะกัน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 18-11-2010 18:52:49
โรงเรียนร่มรื่นดีจัง ชอบที่ยังคงต้นไม้ใหญ่ไว้  อย่างพะยอม ยางนาพวกเนี่ย
เด็กอีสานปัจจุบันบางคนยังไม่เคยเห็นเลยนะน้องอิ๊ก
น้องอิ๊ก น้ำจะต้องอยู่แบบเจ็บๆไปอีกนานแค่ไหน
บอทความจำเสื่อมเนี่ย ต่อมความเป็นสุภาพบุรุษ ต่อมความเห็นอกเห็นใจ
ต่อมความเกรงใจ ต่อมความรับผิดชอบ มันเสื่อมด้วยเหรอ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 18-11-2010 19:14:07
พี่อิ๊กหวัดดีครับ
ฮึฮึไม่อึดอัดเลย  สบายใจโล่งมาก  หึหึ
ตอนนี้ก็แค่แทบกระอักเลือดออกมาเท่านั้น
บอททำไมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
แค่ความจำเสื่อม แต่ทำไมนิสัยถึงเปลี่ยนไปเลยละ  หรือว่าจิตใต้สำนึกจริงของบอทเป็นแบบนี้
แสดงว่าที่บ้านที่บ้านนอกก็เสแสร้งแน่ๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 18-11-2010 20:09:30
ไม่หวั่นแม้ดราม่ามาก
ขอแค่ ให้บอท เจ็บ แบบที่ทำน้ำเจ็บ บ้าง
เอาแค่เท่าที่น้ำก็พอ มากกว่านี้ มันไม่แฟร์ แต่น้อยกว่านี้ ไม่ได้นะ
 :m13:

รอเกาะติดสถานการณ์น้ำกับบอทต่อไปนะคะ
ยังไงก็ยังคงไม่เข้าใจ
ความจำเสื่อมแล้วนิสัยเปลี่ยน มันแปลกๆอยู่
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม บอกแล้วว่า..

รอการเอาคืนจากน้ำเอาเจ็บปวดสาหัสอย่างสาสม
เพราะเป็นคุณค่าที่บอทคู่ควร
 :-[


 :กอด1:คุณอิ๊ก รอตอนต่อไปนะคะ

ปล.กลับมาดูรูป อิจฉาจัง โรงเรียน ต้นไม่ก็เยอะ ที่ให้วิ่งเล่น ทำกิจกรรมก็เยอะ
 :a6:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 18-11-2010 20:35:39
รอการเอาคืนของน้ำๆ

รอ รอ รอ

หายดราม่าแล้วจะมาใหม่ๆ เน้อ

ข้าน้อยขอลาโลกไปก่อน อิอิ


 :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 19-11-2010 19:29:22
มารอตอนใหม่ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๐ (พฤศจิกายน ๑๗, ๒๕๕๓) หน้า ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 19-11-2010 21:45:43
บทที่ ๓๑

ปุจฉา รู้ไหมถ้าเราส่องกระจกตอนที่เราร้องไห้อยู่นั้นเราจะมองเห็นผู้ใด

“นี่จะสอบอยู่แล้ว แต่กูยังอ่านหนังสือไม่ได้สักเล่มเลย มึงอ่านถึงไหนแล้วน้ำ”

เล็กถามขึ้นก่อนเลิกงาน น้ำเองพอทำงานคล่องแล้วก็เป็นที่รักของผู้จัดการร้านและเพื่อนร่วมงานด้วยเป็นคนขยัน อีกทั้งภาษาอังกฤษที่พอสื่อสารได้ มนัสได้แนะนำให้น้ำไปเรียนเพิ่มเติมวิชาภาษาอังกฤษเพื่อความก้าวหน้าในชีวิต น้ำเองก็กำลังมองหาสถาบันสอนภาษาอังกฤษอยู่ เพียงแต่รอให้การสอบในเทอมแรกผ่านไปก่อน น้ำถือชีทสรุปข้อสอบที่ได้มาจากหน้ารามฯทั้งตอนเดินทางไปทำงาน ตอนกลับบ้าน ก่อนนอนก็อ่านแต่ไปแอบอ่านด้านล่างเพราะบอทเองนอนเร็ว น้ำไม่อยากจะรบกวน ดูเอาเถิดเวลาน้ำกลับบ้านจากทำงานค่ำแล้วเห็นบอทนอนแล้วก็จะไม่เปิดไฟ ค่อยๆย่องทำทุกอย่างให้เบามือที่สุด หนังสือก็ลงไปอ่านข้างล่าง แต่เวลาที่บอทไปเที่ยวเตร่กับไม้กลับค่ำๆมืดๆ แม้น้ำจะนอนแล้วแต่บอทเองก็จะเปิดไฟสว่างทำกิจกรรมทุกอย่างเหมือนกับว่าน้ำเองได้ตื่นอยู่ น้ำไม่ได้คิดติดใจอะไร ก็รักเขาเทิดทูนเขา เราเองก็ทำผิดกับเขาเอาไว้มากนักจะเอะอะไปรังแต่จะเสียความรู้สึกกันเปล่าๆ ทนได้กับเรื่องแค่นี้ ต่อให้มากกว่านี้ก็ทนมาแล้ว เริ่มจะชินกับบอทคนใหม่

“ก็อ่านรอบสองแล้วมึงกลัวสอบไม่ได้ เห็นเขาบอกยากไม่ใช่เหรอรามฯน่ะ”

“โห อ่านรอบสอง มากไปแล้วน้ำ กูยังไม่ได้สักรอบมึงฟาดไปรอบสอง อะไรวะ จะรีบจบไปไหนมึง”

“แหม แล้วจะมาเรียนเอาโล่อะไรล่ะ รีบจบรีบออกมาหางานทำ”

“เออนะ แล้วไอ้บอทล่ะ พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเลย แหมก่อนได้งานหมาตัวไหนบอกก็ไม่รู้จะมารับมาส่งทุกวัน แต่พอได้งานไม่เห็นแม้แต่เงา”

เล็กพาดพิงสายตาหมายความอย่างที่พูดออกมา

“ก็อ่านหนังสือเหมือนกันล่ะมึง”

“ให้จริงเถอะ ไม่ใช่ระเริงเที่ยวเตร่อยู่กับไอ้ไม้หน้าสามอะไรนั่นหรอกเหรอ”

“ช่างเถอะ เออว่าแต่พี่มนัสเรียกกูไปทำไมวะ”

“ผ่านโปรมั้งมึง มึงดูพี่เขายิ้มสิไม่น่าจะใช่เรื่องไม่ดี”

น้ำเดินเข้าไปหามนัสด้านใน

“ครับพี่นัสเรียกน้ำเหรอครับ”

“นั่งก่อนน้ำ เป็นไงเรา ทำงานมาจะสามเดือนแล้วนะ”

“ก็ดีครับ สนุกดี”

“อืม ดีแล้ว พี่เห็นเราทำงาน คุยกับลูกค้าพี่ก็มีความสุข พี่เรียกเรามาวันนี้ก็เรื่องโปรเวชั่นล่ะน้ำ เราผ่านแล้วนะ เร็วกว่าคนอื่นเขาหน่อย เงินเดือนพี่ปรับให้เท่านี้นะ พอใจไหม”

มนัสบอกจำนวนออกมา

“โห จริงเหรอครับพี่”

น้ำร้องออกมาทำตาโต

“ทำงานให้ดีล่ะ”

“ครับ ขอบคุณมากครับพี่นัส”

“น้ำ เดี๋ยวก่อน พี่รู้นะว่าเรามีอะไรในใจ ตอนที่เราคุยกับลูกค้าก็ยิ้มแย้มดีนะ แต่เวลาเราอยู่คนเดียว ดูรู้นะว่าเรากำลังทุกข์ใจถ้ามีอะไรไม่สบายใจอย่าเก็บมันไว้คนเดียวนะ อย่างน้อยก็เล่าให้เพื่อนๆฟังบ้าง เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะน้ำอย่าลืม”

น้ำก้มหน้านิ่งไม่คิดว่าจะมีคนสังเกต

“ครับพี่ ขอบคุณครับ”

น้ำเดินออกมาจากห้องของมนัส หน้ามุ่ยอยู่ครู่เดียวก็ยิ้มร่าเดินมาหาเล็ก

“ไงมึงยิ้มแก้มปริเงินเดือนขึ้นล่ะสิท่า”

“เออว่ะ ไม่คิดเลยว่ากูจะมีเงินเดือนเยอะขนาดนี้”

“เอาน่ามึง ทำๆไปเผลอๆเงินเดือนเป็นหมื่นนะ”

“โห ถ้างั้นกูไม่ต้องเรียนให้จบก็ได้นะ”

“ไม่ได้หรอกมึง พอได้วุฒิมาฐานเงินเดือนมันก็ปรับเพิ่มตาม เรียนจบ ป ตรีมานั่นล่ะดีกว่า จะได้ไม่ลำบาก อย่างพี่นัสก็จบรามฯ เห็นไหมได้เป็นผู้จัดการร้านเงินเดือนเหยียบสองหมื่นนะมึง”

“จริงดิเอองั้นกูจะรีบเรียนให้จบ”

“ลูกค้ามา มึงไปรับหน่อย กูจะไปเก็บโต๊ะ”

เล็กดันหลังให้น้ำเดินไปรับรองลุกค้ากลุ่มใหม่ที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน

“สวัสดีครับ กี่ท่านครับ”

น้ำไหว้ทักทาย กลุ่มของนักศึกษาวิชาทหารเดินเข้ามาสามคน อีกคนใส่ชุดนักศึกษา หน้าตาท่าทางดูดีไม่เหมือนเด็กนักศึกษาที่น้ำเคยเจอในรามฯ

“เท่าที่เห็น”

เสียงดังมาจากคนตัวเล็กสุดความสูงน่าจะเท่าๆกับน้ำ

“สี่คนครับ”

น้ำยิ้มให้เพราะคิดว่าคงโดนลูกค้าแกล้งเอาให้แล้ว แต่อีกคนที่ตัวหนาๆกว่าเพื่อนในกลุ่มก็แก้คำพูดให้เพื่อน

“เชิญด้านนี้ครับ”

น้ำเดินนำหน้าไปทางโต๊ะที่เหมาะกับทั้งสี่คน

“ไม่ จะนั่งตรงนี้ ต่อโต๊ะให้ได้ไหมพี่”

เขาบอก น้ำเองหยุดกึกลงแล้วหันมองหาตัวช่วย แต่เล็กเองยังง่วนอยู่กับการเก็บโต๊ะอยู่จึงไม่อยากจะรบกวนเพื่อน

“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ”

“คนอีสานว่ะ”

“ไอ้ห่า มึงว่าเค้า มึงรู้ได้ไง”

“มึงก็ฟังสำเนียงคอทองแดงมันดิวะ”

“กูว่าไม่ใช่หรอกมึง เหมือนคนจีนมากกว่า”

“หรือว่าจะเป็นพม่าวะ”

ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาไปแล้ว น้ำเองรู้สึกร้อนผ่าวๆที่หน้าเพราะไม่เคยมีใครนินทาหรือเอ่ยถึงในระยะประชั้นชิดเช่นนี้

“คนอีสานครับ ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีอะไรสงสัยอีกไหมครับโต๊ะพร้อมแล้วเชิญครับ”

น้ำเองก็รู้สึกไม่พอใจที่มีคนมาดูถูกหรืออะไรก็ตามแต่แต่เขาได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาไปแล้ว ไม่พอใจไม่รู้ทำไม

“โห มั่นด้วยนะมึง”

“พอได้แล้ว ไอ้วา ห่ากัดชาวบ้านเขาอยู่ได้ จะแดกไม่แดก”

เพื่อนคนที่สวมชุดนักศึกษาปรามเพื่อนคนตัวสูงสุด น้ำเองเม้มปากจนเป็นเส้นตรง

“เมนูครับ”

พอยื่นเมนูให้ไอ้คนตัวสูงก็แกล้งทำเป็นจับไม่ดีทำให้เมนูร่วงลงพื้น น้ำเองสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกๆแล้วก้มลงเก็บให้

“เอ้ย โทษทีพี่ มือมันลื่น”

“ไอ้วา”

เพื่อนของเขาเองก็คงไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้ได้ ร้องออกมาพร้อมกัน

“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวพี่เก็บให้”

น้ำก้มลงเก็บอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่ได้แกล้งอะไรอีกเพียงแต่สายตาที่มองขวางๆเท่านั้นเอง

“ใครเป็นน้อง ทำไมเรียกแทนตัวเองว่าพี่”

“เฮ้ย ไอ้วา พอๆ”

“ก็คุณเรียกผมว่าพี่ไม่ใช่เหรอครับ ถ้าคุณเรียกผมว่าพี่ แสดงว่าคุณก็ต้องเป็นน้อง แปลกตรงไหนครับถ้าพี่ เอ้ย ผมจะแทนตัวเองว่าพี่ เดี๋ยวกลับมารับรายการอาหารนะครับ”

น้ำเองก็ลอยหน้าลอยตาพูด แต่สายตานิ่งเหลือเกิน

“อวดดีนะ หน้าเด็กกว่ากูด้วยซ้ำมั้ง ไอ้นี่เดี๋ยวเถอะ”

“พอแล้วไอ้วา มึงจะไปเอาอะไรกับเด็กเสิร์ฟวะ อารมณ์เสียเปล่าๆ”

“มึงดูหน้ามันดิ กวนตีนว่ะ เดี๋ยวมึงเจอกูๆ”

“เฮ้ย อย่าทำอะไรนะโว้ย กูไม่เกี่ยวนะ”

“ไอ้ตาขาว กูไม่ให้พวกมึงลำบากหรอกน่า อยากจะแกล้งคนอวดดีสักหน่อย ดูซิว่าจะยังอวดดีอยู่ไหม ห่า กูยิ่งเรียน รด มาเหนื่อยๆอยู่”

เขาสบถออกมาสายตายังจับจ้องอยู่ที่น้ำที่เดินไปหาลูกค้าคนใหม่แล้ว ท่าทางของน้ำมันไม่ได้ขัดหูขัดตาตรงไหนเลย กริยาท่าทางรอยยิ้มที่เต็มดวงหน้ามันน่ามองมากกว่าน่าชังเสียอีก

“เล็กมึงไปรับออเดอร์โต๊ะสี่หน่อยดิ กูจะรับโต๊ะแปด”

“อะไรวะน้ำ กูต้องไปช่วยพี่แววออกอาหารอ่ะดิ เขาออกไม่ทัน”

“อ้าวเหรอ ไม่มีคนว่างอีกแล้วเหรอ”

“ไม่มี พี่นวลแกลาครึ่งวัน ผัวแกไม่สบาย”

น้ำเองต้องจำใจเดินกลับไปรับออเดอร์ที่โต๊ะของคนที่เพิ่งมีปากเสียงกันมา

“เอาสปาเก็ตตี้ซอสปลากะพง เอาแองเจิ้ลแฮร์นะเอาซุปหัวหอมผสมกับเห็ด”

เขาไม่ได้กางเมนูดูแต่อย่างใดสายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของน้ำ

“ขอโทษนะครับ รายการอาหารที่คุณสั่ง ไม่มีนะครับเรามีตามเมนูที่แจ้งไว้”

“อะไรกัน ขายอาหารบ้าอะไรไม่มี แค่นี้ไม่มีแล้วจะไปทำอะไรกิน”

เขาโวยวายออกมาเสียงไม่ดังมากคงเพราะยังเด็กเลยไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดชมากนัก

“คุณล่ะครับ”

น้ำทำเป็นไม่สนใจหันไปหาเพื่อนๆของเขา เพื่อนๆของเขาก็ให้ความร่วมมือดีไม่มีใครอุตริเอ่ยรายการอาหารออกมาเหมือนเขา

“อาหารรอประมาณ ๑๕  นาทีนะครับ”

“อ้าว เฮ้ย น้อง แล้วของพี่ล่ะ”

“ครับ รับอะไรนะครับ”

น้ำยังชักสีหน้าปกติอยู่

“เอาเหมือนไอ้เต้”

เขาตอบแล้วแสยะปากทำหน้ากวนๆใส่

“คนไหนชื่อเต้ครับ”

เพื่อนคนตัวเล็กจะยกมือแต่เหมือนเขาเอาเท้าหรืออะไรสักอย่างสะกิดไว้ เขาหดมือลงทันที เพื่อนคนสวมชุดนักศึกษาจึงพยักหน้า แล้วอมยิ้ม

“ครับ เป็นสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทะเล กับซุปหัวหอมนะครับ”

น้ำทวนรายการอาหารอีกรอบแล้วค่อยเดินกลับเข้าไปในครัว

“มึงเจอกูแน่ ไอ้หน้าจืด”

“กูว่าอย่าไปอะไรกับเขาเลยมึง ทางดูซื่อๆออก”

“ซื่อห่าอะไรล่ะ มึงไม่ดูมันต่อล้อต่อเถียงกับกูวะ กวนตีนกูมันต้องเจอแบบนี้”

เขาคาดโทษเอาไว้ทั้งที่น้ำไม่ได้ทำอะไรให้เลย เหนื่อยมาจากที่อื่น อารมณ์เสียมาจากคนอื่น จึงหาที่ลงและคนที่จะโดนหางเลขคือน้ำ ที่มีจิตใจไม่ปกติสุขอยู่เป็นทุนอยู่แล้ว น้ำเดินเข้าไปในครัว พอเล็กเห็นสีหน้าก็มองออกไปยังโต๊ะที่น้ำเพิ่งเดินเข้ามา

“พวกลูกคนรวยมันว่าอะไรน้ำ”

“ไม่มีอะไรหรอกมึง ไม่ได้สนใจ มึงออกไปรับหน้าแทนได้ไหม กูไม่อยากไป”

“ได้ๆ”

เล็กบอก พออาหารเสร็จน้ำก็หลบไปทำอย่างอื่นในครัว เล็กออกไปเสิร์ฟอาหารให้

“อ้าว แล้วน้องคนนั้นไปไหน”

เขาถามขึ้น

“อ้อ น้องเขาไม่ค่อยสบายค่ะเลยพักก่อน มีอะไรหรือเปล่าคะคุณ”

เล็กถามเสียงกวนๆ ทั้งกลุ่มปราดตาขึ้นมองเป็นตาเดียวกัน

“เมื่อตะกี๊ยังเห็นดีๆอยู่เลยนี่ เป็นอะไรครับ”

“น่าจะปวดหัวค่ะ อาหารที่สั่งได้ครบแล้วนะคะ เชิญรับประทานให้อร่อยค่ะ”

เล็กพูดแล้วเดินออกมา

“น้องๆ”

ลูกค้าอีกโต๊ะกวักมือเรียกเล็กให้เดินไปหา

“น้องน้ำล่ะ พี่จะกลับแล้ว”

ลูกค้าประจำของน้ำนั่นเอง เป็นคู่สามีภรรยา ฝ่ายภรรยาถูกใจการบริการของน้ำมาก จึงแวะเวียนมาทานอาหารที่นี่เกือบจะทุกวัน

“ซวยแล้วไอ้น้ำ”

เล็กชักสีหน้าไม่ค่อยดีแต่ก็เดินกลับเข้าไปในครัว

“น้ำ คุณตั้มกับคุณเรณูจะกลับแล้วมึง เขาเรียกหา”

พอเล็กเอ่อยออกมาน้ำก็ระบายลมหายใจอย่างเสียไม่ได้

“เอาเถอะช่างมัน อะไรจะเกิดก็เกิด”

น้ำพูดกับตัวเองแล้วเดินออกไป พยายามหลบหน้าโต๊ะคู่กรณีแล้วตรงไปหาลูกค้าประจำ ทักทายกันอยู่สักพักก่อนจะส่งลูกค้าออกนอกร้าน คุณตั้มกับคุณเรณูให้ทิปพิเศษแก่น้ำทุกครั้งที่มาทานอาหาร และน้ำเองก็เอาไปรวมกับทิปรวมของร้าน เป็นที่ชอบใจของเพื่อนๆพนักงานเป็นอย่างยิ่ง เพราะน้ำเองทำยอดรับทิปมากกว่าใครในแต่ละเดือน

“เฮ้ย น้องๆ มานี่หน่อย”

น้ำชะงักทันที เพราะเสียงเรียกมาจากโต๊ะที่พยายามหลบอยู่

“ไม่เอาน้อง เอาน้องคนนั้น”

เล็กเดินตรงไปหา แต่เขาปฏิเสธเสีย น้ำเองเม้มปากแน่นแล้วสูดลมหายใจเข้าทางปากพยายามชักสีหน้าให้เป็นปกติแล้วจึงเดินเข้าไปหา

“ครับ มีอะไรเหรอครับคุณ”

“อาหารไม่เห็นอร่อยเลยไม่คุ้มนะเนี่ย ไม่จ่ายได้ไหม”

คิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าเขาต้องหาเรื่อง น้ำเองนิ่งอยู่ยังไม่เอ่ยอะไรออกไป

“ว่าไงน้อง เงียบเชียว ตกลงจะเอายังไง”

“อาหารของเราทำตามมาตรฐานของต้นฉบับที่มาจากสาขาใหญ่นะครับ ถ้าคุณไม่ชอบเดี๋ยวไปให้พ่อครัวเขาปรุงให้ใหม่ก็ได้ ไม่ทราบว่าชอบรสชาติแบบไหนครับ”

เขายิ้มออกมาทันที

“ปรุงใหม่มันก็ไม่น่ากินดิ จะไม่จ่ายน่ะมีอะไรไหม”

“เฮ้ย ไอ้วา พอเถอะมึง น้องครับไม่มีอะไรครับ”

“อย่าเสือกไอ้เต้ กูจะจัดการเอง”

เขาหันไปตวาดเพื่อน ตอนนี้เองน้ำถึงสังเกตว่าเขามีอิทธิพลต่อเพื่อนๆของเขามากกว่าใคร เพราะทุกคนหน้าเจื่อนลงนิ่งเงียบไปเสียทุกคน

“ไม่จ่ายคงไม่ได้หรอกครับ ผมมีวิธีคือปรุงใหม่ หรือทำจานใหม่มาให้ เพราะอาหารของเราไม่ได้มีข้อบกพร่องอะไรเพียงแต่ไม่ถูกปากของคุณเท่านั้นเอง”

“หึหึ ดี งั้นไปทำมาใหม่”

เขายื่นจานสปาเก็ตตี้ที่กินไปนิดเดียวให้น้ำ พอน้ำยื่นมือรับเขาก็ปล่อยมือทั้งที่น้ำยังไม่ได้แตะจาน

“เพล้ง”

จานแตกไปตามระเบียบ เส้นสปาเก็ตตี้กระจายอยู่รวมกับเศษจานเต็มพื้น น้ำหน้าเสียเพราะตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยทำจานแตกเลยสักใบ

“เฮ้ย ทำไมไม่ระวังเลยวะ”

เขาสบถออกมาเบี่ยงตัวออกทำท่าขยะแขยง น้ำรีบก้มลงเอามือจะโกยเศษของอาหารที่กลับกลายเป็นกองขยะไปแล้วเพียงเพราะความรักสนุกของใครบางคน

“น้ำอย่า เดี๋ยวมันบาดมือ”

“โอ๊ย”

เล็กร้องมาแต่ไกล แต่ช้าไปด้วยความที่รีบจนลนลานเศษกระเบื้องได้บาดนิ้วชี้ข้างซ้ายของน้ำ เลือดสีแดงสดไหลออกมา คนทั้งโต๊ะนั่งนิ่งไม่มีใครพูดอะไรสักคำ เล็กปรี่เข้ามา น้ำเองก็กดแผลเอาไว้

“น้ำ แผลลึกไหม ไปล้างก่อนมึง”

เล็กดันหลังให้น้ำลุกขึ้นแล้วหันไปขอโทษลูกค้า

“อะไรกันน้ำ มีอะไรทำไมทำจานแตกต่อหน้าลูกค้าแบบนี้ ขอโทษลูกค้าซะ”

"ขอโทษครับ ที่ผมสะเพร่า รบกวนการรับประทานอาหารของคุณ"

เสียงคุณมนัสดังขึ้นปรี่เข้ามาขอโทษลูกค้าอีกราย น้ำเม้มปากแน่น ลูกค้าไม่มีทางผิด ได้รับการอบรมมาแล้ว น้ำเองที่ไม่เจียมตัว ไม่ระวังตัวเองก้มหน้ายอมจำนน โดยไม่ปริปากอะไรออกมาอีกสักคำ

“ขอโทษด้วยนะครับ น้องเขาไม่ทันระวัง เดี๋ยวผมจะให้เขาทำอาหารมาให้คุณใหม่นะครับ ขอโทษจริงๆ”

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมรีบปล่อยมือเองล่ะ”

เขาเอ่ยออกมาสีหน้าสลดลงมาก เพื่อนๆในโต๊ะทุกคนก็ก้มหน้านิ่ง

“ไหวไหมน้ำ เมื่อกี๊พี่แกล้งดุเราไปอย่างนั้นล่ะ อย่าถือนะ พี่ดูอยู่ ดูว่าน้ำจะจัดการกับลูกค้ากลุ่มนี้ยังไงดี มันสุดวิสัยนะ แต่วิธีการคุยของน้ำดีแล้วนะ หน้านิ่งดีไม่แสดงสีหน้าอารมณ์อะไรมากนัก ฝึกไว้ๆจะได้เก่งๆ ถ้าเรียนจบมาพี่จะดันให้เป็นผู้จัดการร้านแทนพี่”

มนัสตบบ่าของน้ำเบาๆ ระหว่างที่เล็กกำลังทำแผลให้น้ำอยู่

“ขอบคุณครับพี่นัส น้ำไม่ได้คิดอะไรกับลูกค้าหรอกครับ”

“ดีแล้วน้ำ อย่าไปเอาคำลูกค้ามาติดใจ คนเรามีหลายประเภท คนดีๆอย่างคุณตั้มกับคุณเรณูก็มี เห็นไหมติดน้ำจะตาย มีครั้งนึงเขามาวันอังคาร พอบอกว่าน้ำหยุด ไม่ยอมนั่งเลย พี่อ้อนวอนแทบตายก็ไม่ยอม ดีแล้วนะน้ำ สิ่งไหนดีก็ให้รักษาความดีนั้นไว้ให้ได้นานๆ”

ปกติเวลาปิดหน้าร้านจะปิดก่อนเวลาเลิกงานจริงของน้ำหนึ่งชั่วโมงเพื่อให้พนักงานได้เก็บกวาดทำความสะอาดเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆในร้าน คุณมนัสอนุญาตให้น้ำกลับก่อนเพื่อนหนึ่งชั่วโมงเพราะเห็นว่าได้รับบาดเจ็บ ไม่มีใครไม่เห็นด้วยเพราะน้ำเองถือเป็นกำลังสำคัญและเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนๆไปแล้ว

“อย่าลืมกินยาแก้ปวดกันไว้นะน้ำ เดี๋ยวไข้ขึ้นนะ”

แววรุ่นพี่บอกก่อนที่น้ำจะเดินออกจากร้าน

“พรุ่งนี้เจอกันมึง เพจมานะ”

เล็กบอกเพราะพรุ่งนี้ต้องไปสอบวิชาแรกที่รามฯสอง น้ำเองยังไม่เคยไปต้องให้เล็กเป็นคนพาไป นัดเวลากันแต่เช้าตรู่เผื่อเวลาไปทบทวนตำราเรียนก่อนสอบอีกด้วย น้ำล่ำลาเพื่อนๆทุกคนแล้วเดินออกจากห้างมา เดินพ้นร้านยังไม่เกิน ๒๐ เมตร

“น้องๆ เดี๋ยว”

น้ำหันไปตามเสียงเรียก พอเห็นว่าใครก็ผงะ ชายคนในร้านที่มีเหตุกันนั่นเอง แต่ตอนนี้เหลืออยู่แต่เขากับเพื่อนตัวเล็กๆอีกคนเท่านั้น น้ำเม้มปากทำท่าเป็นไม่ได้ยิน

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ เรื่องเมื่อตอนกลางวันน่ะ โทษทีนะ”

เขาปรี่เข้ามาจับบ่าของน้ำไว้อย่างวิสาสะ น้ำเองหยุดกึกลง

“เรารู้จักกันเหรอครับ กรุณาเอามือออกจากบ่าของผมด้วย”

น้ำพูดเสียงเรียบมองหน้าเขาเหมือนมองกำแพง สายตานิ่งเย็นชา เขาสะดุ้งค่อยๆลดมือออก

“เอ่อ คือ ผม อยากจะขอโทษน่ะ ที่ทำให้น้องได้รับบาดเจ็บ”

เขาทำสีหน้าสลดลงมาก น้ำเองยังคงนิ่งอยู่

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือสา ผมไม่ระวังเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ อีกอย่างผมไม่มีพี่ เพราะผมเป็นลูกชายคนโต ขอตัวนะครับ”

น้ำเดินหนีไปไม่อยากจะวุ่นวายกับใคร ไม่อยากให้ใครเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยมากนัก แต่เขาเองเดินตาม

“มึงกลับบ้านไปก่อนไปไอ้เต้”

“อ้าว มึงจะไปไหนวะไอ้วา น้องเขาไม่ว่าอะไรก็ไม่กลับล่ะ”

“เขาไม่ว่าแต่เหมือนเขายังไม่ยกโทษให้ว่ะ กูรู้สึกไม่ดี”

“อ่ะนะ อย่างมึงเนี่ยนะรู้สึกไม่ดี”

วายุตวัดสายตามองเพื่อน รายนั้นรีบกุลีกุจอกลับไปทันที ส่วนเขาเองได้เดินตามน้ำไปยังท่ารถเพราะกว่าจะเลิกงานเรือก็หมดแล้ว น้ำเองไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนตามมาหรือเปล่า เดินมองไปเบื้องหน้าไม่ได้สนใจคนรอบข้าง พอก้าวขึ้นรถเมล์ ก็ยังไม่ทันได้มองอยู่ดีเพราะคนเบียดเสียดแออัดกันแน่นเหลือเกิน

“สองคนครับ”

“อ๊ะ”

ตอนนี้เองถึงรู้สึกตัวว่ามีคนตาม ตามแบบประชิดตัวด้วยเพราะเขายืนเบียดอยู่ข้างหลังน้ำนั่นเอง น้ำพอรู้สึกตัวก็พยายามกระเถิบหนีไปด้านหน้า เขาเองก็ตาม หากจะดิ้นรนหนีมากไปก็จะดูมากเกินไปเพราะรถมันแน่น น้ำเองจึงนิ่งอยู่ พอลงป้ายหน้าบิ๊กซีรามฯน้ำก็รีบลงจากรถ เขาเองก็ลงตาม ตอนนี้เองที่ใจสั่นไหวเกรงว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับตน

วิสัชนา ก็จะเห็นเงาของใครคนหนึ่งซึ่งโศกาอาดูรอยู่หน้ากระจกเงานั้น เงาของเขาคนนั้นซึ่งจิตใจหล่นร่วงหายไปไหนต่อไหนเสียแล้ว

เขียนโดย อิ๊กกี้


ปล ก็คงไม่เครียดเท่าไหร่เนอะตอนนี้ หลายคนคงจะลุ้นว่าอะไรมันจะยังไง อิอิ ติดตามๆ
ขอบคุณทุกกำลังใจที่เหนียวแน่นเช่นเดิม รักทุกคนจังเลย สำหรับเพื่อนๆที่คิดว่าจะทนไม่ได้ ไม่เป็นไรครับ คิดว่าเรื่องนี้คงไม่เท่าไหร่หรอก แต่มันจะตะหงิดๆในใจแค่นั้นเอง
ไม่นิยมความเจ็บปวดแล้วเหมือนกัน 555 คิดอะไรไม่ออกนั่นเอง

ตอนนี้มอบพิเศษให้ น้อง ZakuPz อ่านแล้วก็ขอให้มีความสุขนะครับ และอย่าลืมเผื่อแผ่ความสุขไปให้คนรอบข้าวด้วยน้า จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 19-11-2010 21:53:26
จองที่ไว้ก่อน  :laugh:

_______________________________

อ่านตอนนี้แล้วค่อยยิ้มได้หน่อยนะคะ อย่างน้อยก็มีคน(คงจะ)รักน้ำเพิ่มอีกคน
ตาวายุก็โอเคนะคะ เปิดตัวมาตามแบบฉบับพ่อแง่แม่งอนเลย ต้องการให้คนอ่านลุ่นหรอคะเนี่ยคุณอิ๊กกี้

*******************

สำเนียงทองแดง คำนี้หมายถึงสำเนียงแบบคนใต้นะคะ สำเนียงแบบคนอีสานน้องมิก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกว่าอะไร
ชักสีหน้าให้เป็นปกติ ชักสีหน้า  หมายถึง ทำสีหน้าโกรธ ไม่พอใจ  ฉะนั้นชักสีหน้ากี่ครั้งๆ สีหน้าก็คงไม่เป็นปกติไปได้ ใช้ว่า ทำสีหน้าให้ปกติ ดีกว่านะคะ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 19-11-2010 21:55:01
อิชั้นจะไปร้องเรียนขอเปลี่ยนตัวพระเอกค่ะ

เอาพี่วายุแทนได้มิคะ "แลดู" จะเป็นคนดี ถึงตอนแรกจะชั่วไปหน่อยก็เหอะแต่เข้าใจผู้ชายมันมักจะชอบแกล้งคนที่ตัวเองชอบหรือถูกใจ! :-[
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: Natavishi ที่ 19-11-2010 22:48:26
 อ่าาา มี ตัว ละคร ใหม่ อีกแล้ว   
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 19-11-2010 23:28:59
หุหุ...สงสัยวายุจะมาเป็นตัวแปรทำให้บอทจำได้เร็วขึ้นรึปล่าว??
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 20-11-2010 00:42:27
เหอะๆๆ

ขอเปลี่ยนตัวพระเอกได้ไหมคร้าบ

แต่บอทก็ไม่ผิดนี่นะสองจิตสองใจแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 20-11-2010 01:07:21
ความรัก บางครั้งมันก็มาแบบไม่ทันให้เราได้เตรียมตัวเตรียมใจ

แล้วถ้ามันเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ควรเกิด ไม่ถูกเวลา ควรทำอย่างไร
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 20-11-2010 02:20:20
เฮ้อ.......ท่าทางจะมีคนมาสนใจน้ำแระ
แต่น้ำตอนนี้คงยังไม่พร้อมจะเปิดใจรับใครอื่นนอกจากคนคนนั้น
คนที่เคยแสนดี แสนรัก แสนอาทร....ที่ตอนนี้เป็นเหมือนภาพฝันอันเลือนลาง
อ่านแล้วอึดอัดแทน ได้แต่ลุ้นให้น้ำหลุดจากสภาพนี้เร็วๆ
ปล.ตามอ่านมาพักนึงแระ แต่ไม่แน่ใจว่าเคยเม้นให้รึยัง(แอบเลว) วันนี้เลยซะหน่อยฉลองตัวละครใหม่ที่น่าจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของน้ำไม่น้อย(ล่ะมั้ง?) รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 20-11-2010 08:28:49
 :m16:นี่แหละหนาเจ้าวาตอนทำไม่คิด พอทำลงไปแล้วถึงจะคิดได้ เจ้าวาหรือเปล่านะที่จะทำให้น้ำรู้จักที่จะรักตัวเองมากขึ้น :m16:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 20-11-2010 09:18:45
วาน่าจะเป็นพระเอกเน้อ

ตอนนี้มาหายดราม่าเป็นปิดทิ้งเลย
เชียร์วา :mc4:
^^
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 20-11-2010 10:30:09
สงสัยวายุ คือ คนที่จะมาจีบน้ำแน่ๆเลย
ฮิ...เอาให้บอทมันกระอักไปเลย หมั่นไส้!
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 20-11-2010 12:17:58
เชียร์ให้น้ำเลือกคนที่ใช่ของตัวครับ อดีตก็เก็บไว้แต่สิ่งดีๆให้จดจำแต่ไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์ ทำปัจจุบันให้ดีเพื่อตัวเองและครอบครัวครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 20-11-2010 12:38:33
คุณอิ๊กส่งคนมาดูแลหัวใจอันบอบช้ำของน้ำแล้วหรือจ๊ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 20-11-2010 12:59:42
คราวนี้ไอ้คุณบอทหายความจำเสื่อมชัวร์ o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 20-11-2010 13:17:57
น้ำคงไม่เปลี่ยนใจจากบอทหรอก
แต่ 'วายุ'   คุณคือเป้าหมายของคนอ่าน
 :interest:

เอาตอนที่บอทยังความจำไม่กลับนี่แหละ
เอาให้กระอัก
พอความจำกลับแล้ว จะได้เจ็บลึกๆ

คิกๆ



 :กอด1:คุณอิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 20-11-2010 15:59:51
ตอนนี้มันกุ๊กกิ๊กดีเนาะ
เหมือนน้ำกำลังโดนจีบเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 20-11-2010 21:00:57
น้ำคงไม่เปลี่ยนใจจากบอทหรอก
แต่ 'วายุ'   คุณคือเป้าหมายของคนอ่าน
 :interest:

เอาตอนที่บอทยังความจำไม่กลับนี่แหละ
เอาให้กระอัก
พอความจำกลับแล้ว จะได้เจ็บลึกๆ



กดไลค์ค่า เห็นด้วยที่สุด
คุณคืิอคนสำคัญค่ะวายุ

หรือวายุจะเป็นพระเอกค๊าาา
อะไรก้อเกิดขึ้นได้เนอะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 20-11-2010 21:49:05
น้ำคงไม่พร้อมรักนายวาหรอก ตอนนี้ไม่มีบอทรู้สึกสบายใจแหะ 55
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๑ (พฤศจิกายน ๑๙, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 21-11-2010 21:36:02
บทที่ ๓๒

ปุจฉา เวลานอนหลับแล้วฝัน ฝันร้ายกับฝันดีท่านเลือกฝันอันไหน

“เดี๋ยวก่อนสิน้ำ”

เขาเรียกชื่อออกมา น้ำพอได้ยินก็รีบจ้ำหนีไป เพราะในใจก็กลัวเต้นระริกระรัวอยู่

“เดี๋ยว ขอคุยด้วยหน่อย”

“คุณจะตามมาทำไม”

“เรียกเราวาก็ได้ เราชื่อวายุ”

เขารีบมาขวางหน้าไว้ไม่ยอมให้น้ำเดินเข้าซอย

“ต้องการอะไร”

“เอ่อ ก็ไม่อะไรมากหรอก เหมือนนายยังไม่ยกโทษให้เราเลย เราอยากให้นายยกโทษให้”

“ผมยกโทษให้ เราไม่มีอะไรติดค้างกัน”

น้ำพูดออกมาโดยที่เขายังพูดไม่จบ เขายิ้มออกมา

“นายพักในซอยนี้เหรอน้ำ”

เขาเรียกชื่ออย่างสนิทสนม คงจะจำมาตอนที่เล็กเรียกตอนที่ทำจานกระเบื้องบาดมือ

“มือยังเจ็บอยู่ไหม เราซื้อยาให้เอาไหม”

“ไม่ต้อง ขอบคุณ”

“ไหนบอกว่ายกโทษให้แล้ว ทำไมยังทำท่าหน้าบึ้งใส่เราอยู่ล่ะน้ำ”

“ตกลงนายจะเอายังไงเนี่ย เราจะรีบกลับหอ เรายกโทษให้นายแล้วพอใจไหม”

ทำชักสีหน้ารำคาญออกมาอย่างสุดทน แต่เขาเองกลับหัวเราะออกมา

“เราอยากเป็นเพื่อนนาย ได้ไหม”

“เราเป็นคนอีสาน ไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับคนเมืองอย่างพวกนายหรอก เรามันคนละชั้นกัน อย่ามายุ่งกับเราเลยดีกว่าเดี๋ยวคนจะหาว่านายมีเพื่อนเป็นคนลาว”

“ฮ่าๆๆ ไหนบอกยกโทษให้จำขึ้นใจเลยนะ เราขอโทษแทนเพื่อนด้วยละกันที่มันปากไม่ดี เราเองก็ปากไม่ดี ตกลงเราเป็นเพื่อนกันนะ นี่เบอร์เพจเรา”

เขาล้วงหยิบเอาเศษกระดาษในกระเป๋ามาจดอย่างรีบร้อนแล้วยื่นให้น้ำ แต่น้ำเดินหนีไปก่อนแล้ว

“อ้าวน้ำ รอก่อนดิ”

เขาวิ่งตามฉวยข้อมือของน้ำเอาไว้แล้วยัดกระดาษใส่มือให้น้ำ ยากที่จะขว้างปาทิ้ง ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะเก็บมันไว้เหมือนกัน น้ำพยักหน้าแล้วเดินขึ้นหอไป เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองน้ำเดินขึ้นหอไปจนลับตาค่อยก้าวเท้าเดินหนีไป ช้าๆ ใบหน้าก็ฉายรอยยิ้มออกมา

“เอ๊ะ ทำไมล็อคประตู บอทๆ หลับเหรอ”

น้ำเดินขึ้นไปบนห้องเห็นประตูปิดมิดชิดใส่กลอนจากด้านใน เคาะเรียกอยู่นานสองนาน

“อ้าวน้ำ ทำไมกลับเร็วล่ะวันนี้”

บอทยื่นหน้าออกมาโดยที่ไม่เปิดประตูทั้งบาน น้ำขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

“จานบาดมือ พี่เขาเลยให้กลับก่อน”

น้ำบอกออกไปแต่สายตายังพยายามมองเข้าไปในห้อง แต่บอทขวางไว้

“มีอะไรหรือเปล่าบอท เราเหนื่อยจะเข้าห้อง”

น้ำเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ บอทเองก็หน้าซีดลง

“เอ่อ”

“น้ำกลับมาแล้วเหรอบอท”

เสียงที่ทำให้เข่าอ่อน มือสั่น ใจหวิว จากที่สั่นเต้นรออยู่ก่อนแล้วมันสั่นไหวไปยิ่งกว่าเดิมอีก ใจหายลอยไปไกลแสนไกล เหมือนหูฝาดกับเสียงคุ้นเคยที่ได้ยิน

“อืม เข้ามาดิน้ำ”

เข้ามาสิเหรอ นี่มันห้องที่น้ำหาเงินมาจ่ายค่าห้องอยู่ทุกเดือน ห้องพักที่เป็นสถานที่ส่วนตัวที่สุด เป็นที่พักผ่อน เป็นเหมือนบ้าน แล้วนี่อะไร แล้วนี่ใคร เพื่อนหรือ? แล้วยังไง คำถามต่างๆมากมายผุดขึ้นในหัวของน้ำเป็นร้อยเป็นพัน แต่คำถามนั้นไม่มีคำตอบจากใครหรือจากสิ่งใด น้ำเม้มปากแน่นจุกอยู่ในอก เดินเข้าห้องไปไม่มีเรี่ยวแรง ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ไม่รู้จะหยิบจับสิ่งใดก่อนหลังดี ที่ที่เคยกลับมาแล้วนั่งลง มันมีร่างของคนอื่น คนที่ไม่พึงประสงค์นั่งทับอยู่ ไม่รู้จะยิ้มหรือทำหน้าอย่างไรดี นี่มันห้องของเราแต่ทำไมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้าไปเสียอย่างนั้นเป็น แขกที่เขาไม่ได้เชิญไปเสียแล้ว

“ไม้ มาเที่ยวเหรอ”

คำถามโง่ๆของคนโง่ที่เขากำลังงอกเงยลอดออกไปจากปาก

“อืมพอดีเราแวะมาแถวนี้เลยมาเยี่ยมบอทกับน้ำหน่อย ห้องเล็กไปนะน้ำ ไม่อึดอัดเหรอ”

ได้แต่เม้มปากแน่น

“ก็เช่าไว้พออยู่พอนอนกันแค่สองคนน่ะไม้ ไม่ได้อยู่วิเศษอะไรนักหรอก”

“ดูพูดเข้า เห็นบอทบ่นว่าอึดอัดอยู่ บอกให้ไปอยู่คอนโดฯด้วยกันก็ไม่ไป น้ำไปอยู่กับเราไหม”

ทำไมรู้สึกเหมือนใจมันหมดแรงหมดกำลังแบบนี้ มองไปทางบอทที่ก้มหน้านิ่งอยู่ อึดอัดมากขนาดนี้เชียวหรือบอท ทำไมไม่บอกเรา ทำไมไม่เอ่ยมันออกมาตอนที่อยู่กันสองคน ตอนที่มีแค่เราสองคน ไปบอกเขาทำไม ถ้าบอทอึดอัดมากเราจะหาที่ดีกว่านี้ แม้เขาจะแค่พูดจาถากถางให้รู้สึกเจ็บช้ำหนำใจ แต่น้ำกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังรุมตบหน้าอยู่อย่างเมามัน เจ็บจนชา

“เราไม่รบกวนไม้หรอก เดี๋ยวเราก็ว่าจะหาหอที่ใหญ่กว่านี้แล้วล่ะ เพราะท่าทางบอทเองคงจะอึดอัดจริงๆ ใช่ไหมบอท”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมามันเหน็บบอทโดยเจ้าตัวก็รู้สึกตัวดี เม้มปากแน่นได้แต่ก้มหน้า

“เรามารบกวนนายสองคนหรือเปล่าเนี่ย บรรยากาศไม่ดีเลย”

ไม่รู้สินะรู้สึกว่าอีตานี่มันดัดจริตมากเหลือเกิน รู้ดีอยู่แก่ใจแท้ๆ รู้ดีทุกอย่างแต่ก็ยังหน้าด้านหน้าทนมานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ในที่ของคนอื่น ที่ที่เรานั่ง

“ไม่หรอกไม้ ไม่กวนหรอก”

บอทเป็นคนพูดออกมา น้ำเองมองหน้าบอทอยู่ตลอดเวลา

“ตกใจนะ นึกว่ามารบกวนเราจะได้ขอตัวกลับเลย ห้องมันเล็กเนอะ ที่มันไม่พอสำหรับสามคนหรอก จริงไหมน้ำ”

ตอนนี้เองที่รู้สึกว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆเหมือนกัน สายตาที่มองมาทางน้ำมันไม่ยอมลดละให้เลย

“ใช่ ที่มันเล็กไปสำหรับสามคน ถ้ามีคนต้องไป เราว่าเราออกไปดูของหน้ารามฯดีกว่า ตามสบายนะไม้”

ปากบอกไม้แต่ตามองดูบอทไม่วางตา น้ำตาที่กำลังเอ่อออกมาน้ำกระพริบตาไล่มันไป ถ้าหากจะเสียน้ำตาไอ้คนดัดจริตตรงหน้าจะไม่มีทางได้เห็นมัน เจ็บปวดเหลือเกิน แต่จะร้องไห้คร่ำครวญเพื่อสิ่งใดเห็นประโยชน์มีไม่ น้ำตัดสินใจเดินออกจากห้อง เดินออกมาอย่างผู้แพ้ หมดแล้วกำลังใจ เขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาไม่ไว้หน้าเราเลย ความรักความห่วงใยที่สะสมสร้างร่วมกันมาเขาลืมมันไปหมดแล้ว เขาไม่เหลือที่ว่างให้เราอีกแล้ว เจ็บเหลือเกิน แม้จะร้องไห้ออกมาจนน้ำตาเป็นสายเลือดมันจะบรรเทาไหม ไม่เลย รังแต่จะสุมรุมความเจ็บช้ำเข้าไปในหัวใจกัดกินให้ใจมันเป็นสนิมคั่งค้างไป เปล่าๆ แต่ถามว่าจะเลิกราเดินหนีไปเลยหรือ ก็ไม่ ตอบโดยไม่ต้องคิดว่าไม่ เขาจำไม่ได้ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น ถ้าหากว่าบอทคนเดิมอยู่ตรงนี้เขาก็คงจะไม่ทำแบบนี้ ไม่มีทางน้ำมั่นใจ ถ้ามั่นใจเช่นนั้นก็อดทนเอาเถิดน้ำ สักวันเขาจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม สักวันความเจ็บช้ำนี้มันจะหายไป น้ำเดินล่องลอยพาร่างไร้วิญญาณเดินเรื่อยเปื่อยมาถึงหน้าสนามกีฬา ไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีคนตามมา เขาเดินตามออกมาห่างๆ แม้มีบางช่วงจะเดินเบียดคนดันมาตัวแทบมาประชิดติดกันแต่น้ำเองด้วยไม่มีสติ ใดจะสะกิดเตือนให้รู้ตัวว่าใครตามมา เขาเองก็ไม่ได้อยากจะรบกวนเหมือนกำลังเฝ้ารอโอกาสอยู่

“เดินลอยๆแบบนี้ไม่กลัวโดนคนฉุดเหรอน้ำ”

เขาเข้าไปกระซิบถามใกล้ๆ น้ำเองหันมาช้าๆไม่ได้ตกใจหรือแสดงอาการตื่นกลัวเลย พอเขาเห็นแววตาของน้ำก็สะดุ้งใจหายไปเหมือนกัน แววตาที่เต็มเอ่อไปด้วยม่านน้ำตา

“น้ำ น้ำเป็นอะไร”

น้ำกระพริบตาถี่ๆ รู้สึกตัวขึ้นมา ยิ้มแห้งๆ ยิ้มทำไมในเมื่อใจมันมอดไหม้ไปหมดแล้ว

“เราอยู่เป็นเพื่อนนะ”

เขาไม่เพียงแต่พูดเท่านั้นฉวยข้อมือของน้ำลากไปนั่งที่สนามหญ้าหน้าสนาม กีฬา น้ำเองก็ตัวปลิวลอยตามไป ไม่ขัดขืนแม้ไม่ได้เต็มใจ แต่มันไม่มีใจที่จะรั้งหรือทำอะไรได้มากไปกว่านี้

“มีอะไรไม่สบายใจเหรอน้ำ บอกเราได้นะ”

เขานั่งลงข้างๆน้ำ มองหน้าที่เศร้าหมองของน้ำอย่างเห็นใจ แม้จะไม่รู้เรื่องราวอะไรก็ตาม

“เปล่าหรอก ทำไมนายยังไม่กลับบ้าน”

น้ำเฉไฉไปเรื่องอื่น พยายามทำใบหน้าให้ร่าเริง ไม่อยากให้คนแปลกหน้าเห็นว่าเขาเองทุกข์ใจอยู่มากเพียงใด

“พอดีเรากินเตี๋ยวหน้าเซเว่นอ่ะ เห็นนายเดินลงมา เรียกก็ไม่ยอมหันเลยเดินตาม มีอะไรหรือเปล่าน้ำ เห็นเดินขึ้นห้องไปแป๊บเดียวเอง”

เขาเองไม่ยอมลดละเช่นกัน แม้ว่าจะถูกเบี่ยงประเด็นไปก็ตาม

“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่อยากออกมาเดินเล่น นายไม่กลับเหรอ ดึกแล้วนะ”

น้ำเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล สายตาจับจ้องอยู่ที่ดวงไฟสีส้มดวงใหญ่ที่เปิดให้แสงสว่างอยู่บริเวณโดยรอบของสนามกีฬา

“ยัง เราบอกแม่ไว้แล้วว่าจะกลับค่ำ เหมือนนายร้องไห้เลยนะ มีอะไรเหรอน้ำ”

เขาดูจริงจังที่จะเค้นเอาคำตอบมาก จริงจังเสียจนน่าใจหาย

“ไม่สบายใจก็ระบายมันออกมาได้นะ อย่างน้อยก็คิดว่าเล่าให้คนแปลกหน้าอย่างเราฟัง”

ใช่สินะ เขาเป็นใครมาจากไหนเรายังไม่รู้เลย เขายังห่วงใยถามว่าเจ็บไหม รู้สึกอย่างไร ไม่สบายใจหรือทุกข์สุขดีห่วงใยความรู้สึกของเรา แล้วคนที่เรารักมากอย่างนั้น รักหมดทั้งหัวใจล่ะ แค่เพียงปรายตามองมายังไม่มี แค่เพียงถามเราสักคำว่าเจ็บไหมยังไม่มี นี่มันอะไรกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา เขาจะรู้ไหมว่าเจ็บ เขาจะรู้ไหมว่าเราปวดหัวใจ แค่คิดน้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมา น้ำเอามือกุมหน้าไว้สะอื้นออกมา เขาเองก็ตกใจแต่ก็เอามือโอบบ่าของน้ำไว้ ร่างของน้ำสั่นไหวสะท้าน เสียงสะอื้นที่ออกมาจากข้างในอกมันดังบาดใจคนได้ยินเหลือเกิน เสียงร้องไห้ที่คนร้องพยายามกักเก็บเอาไว้มันฟังดูแล้วใจหายรันทดเหลือเกิน วายุเองบีบบ่าของน้ำเบาๆ

“ขอโทษนะนาย ที่นายมาเห็นคนบ้าอย่างเราร้องไห้”

น้ำพูดออกมาพยายามยันตัวขึ้น แต่วายุฉวยข้อมือรั้งไว้อีกครั้ง

“ถ้าไม่สบายใจก็อยู่ให้สบายใจก่อนสิน้ำ อย่าเพิ่งไป”

“ทำไมล่ะ ทำไมนายถึงมาทำดีกับเรา เราเป็นแค่เด็ก”

“น้ำ”

เขาแทรกขึ้นสายตาปราม น้ำนิ่งยอมนั่งลงที่เดิม

“น้ำจะมาจากไหนมันเกี่ยวกันด้วยเหรอสำหรับมิตรภาพ ใครกันนะที่เป็นคนบัญญัติอะไรไร้สาระพวกนี้ แบ่งชนชั้นวรรณะกัน ตลกสิ้นดี เป็นคนอีสานแล้วยังไง เป็นคนเมืองแล้วยังไง ไม่กินข้าวกันหรอกเหรอหรือว่าอิ่มทิพย์ คนมาจากไหนก็คนเหมือนกันนั่นล่ะน้ำ นายอย่าคิดมากดิ เราว่าถึงนายจะเป็นคนอีสานแต่ดูท่าทางนายยังนิสัยดีกว่าไอ้เต้เพื่อนเราอีก นะ”

วายุพูดขึ้นมาแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีน้ำเองก็ยิ้มๆ

“นายมีแฟนไหม”

น้ำถามขึ้นแต่ไม่ยอมมองหน้า วายุถอนหายใจแล้วมองหน้าน้ำ

“ทะเลาะกับแฟนเหรอน้ำ”

“นายเคยรักใครมากๆไหม รักหมดทั้งใจ แต่ถ้าหากว่าบางอย่างทำให้เขาจำเราไม่ได้ นายจะทำยังไง”

น้ำเองถามออกไปเหมือนไม่ต้องการคำตอบ

“ถ้าเป็นเราเหรอ อืม พูดยากนะ เพราะถ้ารักแล้ว มันก็รัก จะทำยังไงได้ เราเคยมีแฟนเหมือนกัน แต่ไม่รู้สิไม่ได้รู้สึกรักมาก คงเป็นเพราะรักแบบวัยรุ่นน่ะน้ำ ไม่คิดว่ามันเป็นรักที่จริงจังอะไรตอนเลิกกันก็ไม่ได้เสียใจ ต่างคนต่างไป”

“ถ้าหากว่าคนที่นายรักมากๆกำลังปันใจให้ใครอื่นล่ะ นายจะทำยังไง”

น้ำซุกหน้าลงกับเข่าที่ชันขึ้นของตัวเอง ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่ไม่มากเหมือนครั้งแรก

“เราเข้าใจน้ำ เราเข้าใจ อย่าคิดมากนะ เราเป็นกำลังใจให้”

ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ๆ จนเกือบเที่ยงคืนวายุจึงเดินกลับมาส่งน้ำที่หน้าหอ ทั้งที่น้ำไล่ให้กลับบ้านไปก่อนแต่เขาก็ไม่ยอม วายุบกว่าบ้านอยู่ ถนนนวมินทร์ น้ำเองไม่รู้เหมือนกันว่ามันอยู่ตรงไหนของเมืองใหญ่เมืองนี้ วายุบอกไม่ต้องห่วงเพราะจะนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน น้ำเองจึงไม่ว่าอะไรยินยอมให้เขาทำตามใจ พอกลับข้นห้องไปไม่เห็นไม้แล้วมีเพียงบอทที่แกล้งทำท่าเป็นนอนหลับอยู่ คงไม่อยากจะคุยกับน้ำน้ำเองพอกลับเข้าห้องไปก็จิตใจไม่เป็นปกติเหมือนเดิม ยิ่งเห็นร่างของคนที่รักยิ่งทรมานปวดใจ กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็เกือบตีหนึ่งเข้าไปแล้ว พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จน้ำก็ถือหนังสือลงไปชั้นล่างเพื่อนอ่านสรุปอีกครั้ง ก่อนที่จะไปสอบในวันพรุ่งนี้

อุษาสางสาดแสงส่องร่างยาวเหยียดที่บิดขี้เกียจไปตามความยาวของห้อง อีกคนเฝ้ามองคอยจ้องดูอยู่ไม่วางตา ชำระกายาล้างหน้าพร้อมเสร็จสรรพเตรียมจะออกไปสอบ จะเรียกคนหลับให้ตื่นก็เกรงใจ ไม่กล้าปลุกเขา ไม่กล้ากวนเขา ร่างของคนเดิมใจอื่น ไม่กล้าจริงๆ

“บอท ไม่มีสอบเหรอวันนี้อ่ะ”

น้ำตัดสินใจถามออกไป

“หือ มี น้ำจะไปแล้วเหรอ”

“อืม นัดเล็กเอาไว้ บอทไปด้วยกันไหม”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวไม้เอ่อ”

“อ้อ งั้นน้ำไปนะ”

คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ฟัง คำก็ไม้สองคำก็ไม้ แล้วชื่อน้ำคนนี้มันหายไปไหนกัน จากที่เคยสำคัญเป็นอันดับแรก ตอนนี้ชื่อนี้อยู่ลำดับที่เท่าไหร่แล้วหรือ น้ำเม้มปากแน่นเดินลงจากหอไปด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

“น้ำ คู่กรณีมึงมาอีกแล้ว ให้กูไปรับหน้าไหม”

เล็กถามขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มของวายุเดินเข้ามาในร้าน

“ไม่เป็นไรมึง เดี๋ยวกูไปรับเอง”

น้ำบอกแล้วเดินเข้าไปหา น้ำทักทายตามปกติ

“ว่าไงนายน้ำ วันนั้นเราขอโทษด้วยนะที่พูดจาไม่ดีกับนาย”

คนตัวเล็กสุดเอ่ยขึ้นยิ้มๆ

“ไม่เป็นไรครับ สี่ท่านนะครับ เชิญด้านนี้ครับ”

น้ำเองก็ยิ้มให้ ไม่ได้คิดติดใจอะไรมากนัก วายุเองยิ้มเดินตามน้ำไปก่อนใคร

“น้ำ นี่ไอ้เต้ ไอ้ป๋อง แล้วก็ไอ้เน็ท”

วายุแนะนำเพื่อนให้รู้จัก น้ำเองก็ยิ้มให้ไม่ได้ยกมือไหว้เพราะว่ารุ่นเดียวกัน

“เห็นไอ้วามันบอกว่าน้ำเรียนรามฯเหรอ เราว่าจะไปลงไว้เหมือนกัน อยากจะจบปริญญาสองใบ”

เน็ทเอ่ยขึ้น จากที่เคยดูแคลนเอาไว้แต่น้ำเสียงตอนนี้มันดูเปลี่ยนไป

“ไอ้ห่า ใบเดียวมึงก็เอาให้รอดก่อนเถอะ ดอดจะเรียนสองใบ ถุย”

ป๋องเหน็บเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น

“ผมก็เพิ่งลงเหมือนกันล่ะครับ คงแนะนำอะไรได้ไม่มากหรอกครับ”

“โห ยังผมยังคุณอยู่เหรอน้ำ ไม่อยากให้เราเป็นเพื่อนเหรอ”

เต้มองหน้าน้ำที่หลบตาทันทีที่เขาเอ่ยขึ้น

“ในร้านนี่มึง น้ำเขาเห็นว่าเราเป็นลูกค้า ทำตัวดีๆล่ะไอ้พวกนี้”

“โห ไอ้วาพวกกูน่ะดีอยู่แล้ว ว่าแต่มึงเถอะ ก่อเหตุไว้ไม่ใช่เหรอคราวที่แล้ว ว่าแต่มือหายยังอ่ะน้ำ”

ป๋องยื่นหน้ามามองที่มือของน้ำ

“หายแล้วครับ วันนี้ทานอะไรดีครับ”

น้ำยื่นเมนูให้ทุกคนแล้วรอรับรายการอาหาร ระหว่างนั้นวายุก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ

“ตกลงมึงจีบน้ำเหรอไอ้วา”

เต้เอ่ยขึ้นทำหน้าตายใส่ วายุเองทำหน้าเหรอหราทันที

“บ้า พูดอะไรวะ กูแค่ชอบที่เขานิสัยดี”

“อะไร รู้จักกันไม่ทันไรเห็นว่าเขานิสัยดีแล้วเหรอ กูไม่เชื่อ”

เน็ทเสริม

“นั่นดิ ได้ข่าวว่ามาเทียวหาน้ำเขาทุกวันนี่มึง เอายังไง”

ป๋องอีกรายที่ไล่อยู่

“เออ กูชอบเขา แล้วยังไง แต่กูคงไม่มีหวังหรอกว่ะ น้ำเขามีแฟนแล้ว ท่าทางจะรักมากด้วยนะ”

สารภาพออกมา ชอบกันง่ายมันจะหน่ายกันง่ายไหมนะ คำว่าชอบแค่เพียงพูดลอดปากออกมามันก็หมดค่าไปแล้วหรือ ยิ่งคำว่ารักมันง่ายมากนักหรือไรที่จะพูดมันออกมา แค่คำพูดมันคงไม่ยากหรอก แต่ในใจล่ะเป็นไปเหมือนอย่างที่ปากพูดไหม

วิสัชนา อย่าได้เลือกสิ่งใดเลยท่าน เพราะหากท่านนอนหลับแล้วฝันหมายถึงว่าท่านนอนหลับไม่สนิท พักผ่อนไม่เพียงพอนั่นแล

เขียนโดย อิ๊กกี้


ปล วันลอยกระทงไปลอยไหนกันเอ่ย ขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้านะคร้าบ ผมไม่ลอยนะอิอิ มีเรื่องในอดีต ข้ามไป ก็ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ

ตอนนี้มอบพิเศษให้ คุณ ordkrub น่าจะชื่อ คุณ อ๊อดป่ะครับ ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะครับ ขอบคุณที่ติดตามมาตั้งแต่ต้น จากใจครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 21-11-2010 21:43:59
อ่านแล้วสงสารน้ำ เฮ่อออออออเครียดหวะ วายุเอยจีบๆน้ำซะทีน้ำจะได้เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นบ้าง   :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 21-11-2010 21:46:28
นายวา เคยได้ยินไหม ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก

เอาใจช่วยนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 21-11-2010 22:19:09
แอบเชียร์นายวา
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 21-11-2010 22:37:55
ทำไมน้ำตาเค้ายังคงไหลอยู่เรื่อยๆ

......

ผิดที่ไว้ใจ
เกินใจจะทนไหว

.....

ผิดหวังกับบอทอย่างแรง
ความรู้สึกนี้ มันเสียแล้วเสียเลยจริงๆ
คิดไม่ออกว่าบอทจะกลับมาเป็นคนดี แบบไหนกัน
แบบไหนที่เหมาะกับน้ำ
คนดีแึค่ไหนกันที่พอจะให้อภัยได้

เศร้าจังค่ะคุณอิ๊ก ฮึก ฮึก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 21-11-2010 22:49:17
โอ๊ยอ่านแล้วสงสารน้ำจับใจอีกแล้ว

เฮ้อไม่ไหวแล้วอ่ะ วายุเอ้ยตื้อเท่านั้นเน้อทำให้น้ำหันไปคิดเรื่องอื่นบ้าง

ทำให้น้ำยิ้มบ้างไรบ้าง

ขอเปลี่ยนพระเอกคร้าบดูท่าแล้วบอทคงเสร็จไม้ในอีกไม่นาน o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 21-11-2010 23:16:14
อ่านตอนนี้แล้วแบบว่าบอทเป็นตัวร้ายไปเลย

แล้ววาเป็นพระเอก 55555+

วารุกจีบน้ำเลยสิ  :impress2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 22-11-2010 00:07:18
เอาใจช่วยวาครับผม สู้ๆๆ  o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 22-11-2010 00:15:11
วา อย่าเพิ่งหมดหวัง แต่ก็อย่าถลำลึกไปกว่านี้เลย
เอ๊ะ ยังไงดี  :laugh:

คือ ยังไงน้ำกับบอทก็ต้องคู่กัน ใช่มั้ย
ถึงได้บอกว่าอย่าถลำลึก
แต่อยู่เป็นเพื่อนที่ดีให้น้ำ
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้คนอ่านก่อนสิ
 :m13:


หมั่นไส้ไม้กับบอทสุดกำลัง  :angry2:

น้ำ สู้ๆเข้าไว้ เชิดใส่อย่าได้แคร์
อย่าให้เค้าเหยียบเราได้ว่าเราเจ็บแค่ไหน..


 :กอด1:คุณอิ๊ก
ปล. ยังคงไม่เข้าใจบอท..ความจำเสื่อมแล้วนิสัยเปลี่ยน?
ตอนนี้คนอ่านยังคงค้างคาเรื่องจิตใต้สำนึก
แต่มันไม่น่าเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง แบบนี้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 22-11-2010 00:24:08
ไม่มีอะไรจะพูดอะค่ะ นอกจาก "ขอตอนใหม่เร็วๆ นะคะ อยากรู้ชะตากรรมของบอท"

กระพริบ คำนี้พยางค์แรกไม่ต้องควบกล้ำ ร นะคะ กะพริบ เฉยๆ  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 22-11-2010 01:19:56
อึดอัดนักก็ย้ายออกไปจากน้ำก่อนดีมั้ยบอท..หมั่นไส้ที่สุดเหอะตอนนี้ทั้งบอททั้งไม้เลย :z3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 22-11-2010 01:47:04
ตอนนี้มอบพิเศษให้ น้อง[/color]ZakuPz อ่านแล้วก็ขอให้มีความสุขนะครับ และอย่าลืมเผื่อแผ่ความสุขไปให้คนรอบข้าวด้วยน้า จุ๊บๆๆ
ขอบคุณค่ะคุณอิ๊ก :กอด1:

หาใหม่เหอะน้ำเอ๊ย ผู้ชายทั้งโลกไม่ได้มีแค่บอทคนเดียว  :m31:
รู้นะว่าน้ำรักบอทมาก แต่อย่าไปรักมากเกินจนลืมรักตัวเองนะคะ  :m15:
ทำใจไว้เผื่อใจไว้บ้าง จะได้ไม่เจ็บไปกว่านี้  :เฮ้อ:

ปล.เจอคำผิดจิ๊ดนึงค่ะ
อ้างถึง
วายุบกว่าบ้านอยู่ ถนนนวมินทร์
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 22-11-2010 05:49:03
 :m15:ทำไมบอทถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ สงสารน้ำ รักทั้งที่รู้ว่าเขาไม่รักเราแล้ว เหมือบกับน้ำกำลังหลอกตัวเอง แต่ตอนนี้มีวาเข้ามาอีก น้ำจะหวั่นไหวไหมนะ เพราะคนเราช่วงที่จิตใจหวั่นไหวนี่แหละน่ากลัว :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 22-11-2010 09:08:39
วา อย่าเพิ่งหมดหวัง แต่ก็อย่าถลำลึกไปกว่านี้เลย
เอ๊ะ ยังไงดี  :laugh:

คือ ยังไงน้ำกับบอทก็ต้องคู่กัน ใช่มั้ย
ถึงได้บอกว่าอย่าถลำลึก
แต่อยู่เป็นเพื่อนที่ดีให้น้ำ
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้คนอ่านก่อนสิ
 :m13:


หมั่นไส้ไม้กับบอทสุดกำลัง  :angry2:

น้ำ สู้ๆเข้าไว้ เชิดใส่อย่าได้แคร์
อย่าให้เค้าเหยียบเราได้ว่าเราเจ็บแค่ไหน..


 :กอด1:คุณอิ๊ก
ปล. ยังคงไม่เข้าใจบอท..ความจำเสื่อมแล้วนิสัยเปลี่ยน?
ตอนนี้คนอ่านยังคงค้างคาเรื่องจิตใต้สำนึก
แต่มันไม่น่าเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง แบบนี้  :เฮ้อ:


อิอิ รู้พล็อตเค้าหรา ที่จริงบอทไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากมายนักหรอกครับ ตอนหน้าจะได้รู้ว่าบอทรู้สึกยังไง


น้องมิ ตอนหน้าของน้องมิน้า ไม่รู้จะได้อ่านหรือเปล่า หรือว่ากลับไปที่ ม แล้ว กลับมาค่อยอ่านก็ได้คร้าบ อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 22-11-2010 09:46:19
อยากรู้จังว่า....บอทคิดอะไรอยู่...
สมควรโดน :beat: & :z6:ไหม????

 :กอด1: น้อง eiky จ้า....
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 22-11-2010 14:08:47
อยากจะบอกน้ำให้พาตัวออกให้ไกลบอท คือให้แยกหอกันไปเลย และพยายามตัดใจจากบอท
แต่กลัวน้องน้ำทำไม่ได้ เพราะคำ "รัก" เดียว แล้วน้ำก็ยังรู้สึกผิด และคิดตลอดเวลาว่าตัวเอง
เป็นสาเหตุให้บอทเจ็บ และความจำเสื่อม (ดูเหมือนบอทเองก็ย้ำตรงนี้บ่อยๆด้วยนะ)
มาคราวนี้ ไม้เปิดตัวชัดเจนขนาดนี้ บอทเองก็แสดงออกกับไม้ขนาดนั้น
น้องน้ำ จะยังอยู่ให้เขาทั้งสองขยี้ใจน้องน้ำเล่นทุกวันยังงี้เหรอ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 22-11-2010 16:32:23
^
^
^

จิ้มคุณนายแก้ว คิๆ


แอบอ่านมาหลายตอน


จริ้ง ๆ อิฉันก็คิดเหมือนคุณนายแก้ว

เพียงแต่ "รัก" มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาสักอย่างเลยทีเดียว

เจ็บอยู่คนเดียวคือน้ำ

รักอยู่คนเดียวก็คือน้ำ

แบบนี้ไม่ไหว ไปหาปั๋วใหม่ดีกว่าลูก

ระำกำ มันไม่อร่อยสักเท่าไหร่นะคะ

เบื่อและเซ็งกับ ไอ้โรโบ ที่มีร่างกาย แต่ไร้ซึ่งหัวใจ

เยื่อใยสวาทมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้อีกแล้ว


แต่ไอ้คนไร้หัวใจมันดันกลับไปมีสายสัมพันธ์สวาทกับไอ้ตอไม้

เื่พื่อสนองกิเลศตัณหาราคะแก่ตัวเองตอบสนองความสบายส่วนตัวล้วน ๆ

ชั้นเกลียดผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนี้ที่สุด อยากตืบแม่งจริงๆ


(อ้ย... เผลอคิดอะไรดังไปหน่อย เสียภาพพจน์หมดกันตรู)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 22-11-2010 16:49:52
พี่อิ๊กหวัดดีครับ
น้ำ  ถ้าเราถืออะไร  แบกอะไร ที่มันไม่มีคุณค่าแล้ว  จะถือจะแบกใว้ทำไมให้หนัก  และลำบากตัวเราเองทำไมละ
สู้ปล่อยทิ้งใว้ แล้วเดินไปตัวเปล่าๆไม่สบายกว่าเหรอ
อย่างอีกคนที่พยายาม บอกว่าจะพยายามจะรื้อฟื้นความจำ แต่การกระทำมันตรงข้ามกันทั้งหมด
บอทจะรื้อความจำ  แต่การกระทำมันเป็การที่จะสร้างความจำใหม่นะนั่น
วางซะมั่งถอะน้ำ จะได้ไม่หนัก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 22-11-2010 17:01:46
 :-[ ไม่รู้หรอกคุณอิ๊ก แต่แอบอยากรู้เหมือนกันนะ ^^
คุณอิ๊กแอบ :m26: บอกหน่อยสิ
นิสัยอ่านแล้วชอบคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย แก้ไม่เคยหาย ฮ่าๆๆๆๆ



นั่งรอค่ะ อยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าบอทมันคิดอะไรของมัน  :m31:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 22-11-2010 17:05:51
สงสารน้ำ!!!!!!!! :serius2:
เชียร์วายุแทนแล้ววววววววว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 22-11-2010 17:19:32

น้องมิ ตอนหน้าของน้องมิน้า ไม่รู้จะได้อ่านหรือเปล่า หรือว่ากลับไปที่ ม แล้ว กลับมาค่อยอ่านก็ได้คร้าบ อิอิ


:interest: คุณอิ๊กกี้จะลงวันนี้เลยรึเปล่าคะ  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 22-11-2010 18:18:23
ขอบคุณอิ๊กด้วยครับสำหรับสิ่งดีๆที่มอบให้
น้ำต้องทำใจดีกว่าครับ ปล่อยบอทไปเถอะ ถ้าเป็นของๆเราก็ต้องเป็นของเราครับ ดีกว่าทนกันไปแบบนี้ ต่อให้โชคดีบอทความจำกลับมา น้ำก็ต้องอดจำสิ่งแย่ๆที่บอทเคยทำไม่ได้มันก็ระแวงกันได้อยู่ดี แต่ถ้าทำใจในตอนนี้เกิดได้กลับมาอยู่กันใหม่ มันก็จะได้ไม่มีความทรงจำแย่ๆอยู่
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 22-11-2010 19:31:45
 :sad11: :sad11:


บอทมันเป็นอะไรของมัน  ปลงกะมันแร่ะ
ไม่รู้เป็นไรเวลาอ่านเรื่องนี้ต้องอ่านตอนที่อารณ์ดีถึงปกติ  ถ้าเสียกว่านี้มีวีนให้พี่อิ๊กกี้ปวดหัวแน่ 555
ญ่าเป็นคนคิดมากอ่ะ อ่านแล้วชอบอินแล้วคิดเลยทำให้นอนไม่หลับ 555 
แต่ชอบการแต่งนิยายของพี่อิ๊กกี้มากอ่ะ ชอบจากเรื่องภูมิ ภูมิเป้นนายเอกที่ดูปกติชาวไทยมากที่สุด
คนไทยเจ้าคิดเจ้าแค้นและเกย์ก็คือผู้ชายมีความเข้มแข็งกว่าผู้หญิงแน่นอน
แต่อ่านบางเรื่องแล้ว แหม๋ ยิ่งกว่านางเอกบ้านทรายทองซะอีก 555

ระบายๆๆๆๆๆ
ส่วนนังไม้   :เฮ้อ: หล่อนจะทำไรก็ทำเถอะ

นายวายุ ก็คาแรกเตอร์พระรองอย่างเด่นชัด 555

ป.ล.เรื่องนี้เราจะมีโอกาสเห็นน้ำวีนแหลกไม่ยอมคนเหมือนภูมิไหมอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๒ (พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๕๓) หน้า ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 22-11-2010 19:44:09
บทที่ ๓๓

ปุจฉา อันประกายใดในดวงตาที่มีคุณค่านัก

“มึงจะกลับเลยเหรอน้ำ ไม่ไปกินลาบกับพี่แววก่อนเหรอ เนี่ยว่าจะไปกินกันหน้ารามฯนั่นล่ะ”

เล็กถามขึ้นตอนเลิกงาน

“ไม่หรอกมึงกูจะรีบกลับ บอทรอกินข้าวอยู่”

“สอบเสร็จมันไม่คิดจะทำมาหากินอะไรเลยเหรอไอ้บอทน่ะ นอนงอมืองอตีนรอมึงเอาข้าวเอาน้ำไปส่งให้เนี่ย เกินไปแล้วนะ”

เล็กโพล่งออกมาอย่างไม่พอใจ จากเรื่องราวที่น้ำระบายให้ฟังอยู่ตลอดเวลา ทั้งเห็นใจทั้งสงสารเพื่อน แต่ไม่เข้าใจน้ำเลยว่าทนทำไมในเมื่อไอ้คนที่มันเป็นมันป่วยเองมันไม่เคยพยายามเลย

“เอาเถอะมึง ยังไงกูก็เป็นต้นเหตุให้บอทมันเป็นแบบนี้ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”

“น้ำ เมื่อไหร่มึงจะเลิกโทษตัวเองสักที”

“อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้เลยมึง ถ้ากูไม่ไหวเดี๋ยวกูบอกเอง แต่ตอนนี้กูยังไหว”

สายตาของน้ำทำให้เล็กได้แต่ระบายลมหายใจออกมา ระอาเพื่อนรักเหลือเกิน แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจไปอย่างนั้นแล้วจะทำอย่างไรได้ เรื่องของหัวใจมันเป็นเรื่องของคนสองคน เราเป็นคนที่สามถ้าหากเข้าไปยุ่งเกี่ยวแล้วไม่เห็นจะมีผลดีอันใดที่จะตามมา

“บอทจะไปไหน”

น้ำถามขึ้นเมื่อเห็นบอทอาบน้ำแต่งตัวดีกว่าปกติ ทั้งที่มันจวนจะเที่ยงคืนแล้ว

“ไม้จะพาไปเที่ยวน่ะน้ำ ไปด้วยกันไหม”

“เที่ยว เที่ยวอะไรดึกดื่นป่านนี้บอท”

“ก็เที่ยวผับไงน้ำ เชยจัง ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”

“บอท มันสิ้นเปลืองนะ”

“โอ๊ย น้ำ อะไรๆก็เปลือง ไม้เขาออกให้ มารับด้วย เราไม่ต้องเสียค่าอะไรเลยนะ บ่นจัง”

“บอท”

ได้แต่ครางออกมา เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เชียวหรือคนเรา

“จะกลับมากี่โมง ให้น้ำรอไหม”

“ไม่ต้อง นอนไปเลย ผับเลิกโน่นล่ะถึงจะกลับมา”

น้ำเองพยายามทำน้ำเสียงให้อ่อนลง เพราะเห็นสีหน้าของบอทเองไม่พอใจอย่างมาก แต่พอพูดไปเขาก็ตอกกลับมา นี่เราเป็นใครกันในสายตาของเขา เรากลายเป็นใครไปแล้ว จากเที่ยงคืนเป็น ตีหนึ่ง จากตีหนึ่งล่วงเลยไปตีสาม จากตีสามมันจวนจะเช้า แม้แต่เงาก็ไม่เห็น น้ำพยายามไม่คิดอะไรมากนักแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เขาจะเมาหรือเปล่า มีใครทำอะไรไม่ดีหรือไม่ ดึกแล้วจะกลับอย่างไรใครจะดูแล ยิ่งคิดยิ่งเหมือนเอาไฟมาลนที่ใจ นอนไม่ได้นั่งไม่ได้กระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุข แต่จะทำเช่นไรในเมื่อติดต่อกันไม่ได้ จะให้ดิ้นรนไปเช่นไร เอาตัวชนฝาเอาหัวโขกปูนเขาจะกลับมาไหม ก็ไม่ น้ำตัดใจอาบน้ำออกไปทำงานเช่นเคย

“มึงไม่ได้นอนเหรอน้ำทำไมลอยๆ พักก่อนไหมมึงลูกค้าไม่เยอะ”

เล็กมองดูอาการด้วยความห่วงใย น้ำดูซูบลงไปมากนับจากที่บอทประสบอุบัติเหตุ หน้าตาของน้ำดูอิดโรยลงมาก

“ไม่เป็นไรมึง กูยังไหว”

“ทำไมมีอะไรอีกน้ำ มึงเป็นแบบนี้บ่อยแล้วนะ มึงจะให้มันมาบั่นทอนชีวิตมึงไปอีกนานเท่าไหร่”

เล็กโพล่งขึ้นสีหน้าท่าทางเหมือนเจ็บปวดแทนน้ำ

“เล็ก กูก็ไม่อยากเป็นแบบนี้ แต่จะให้กูทำยังไง กูทิ้งมันไม่ได้มึงก็รู้ มันเป็นกรรมเป็นเวรของกูเอง มึงไม่ต้องห่วงหรอก กูยังไหว”

“น้ำ”

รู้ดีว่าน้ำเป็นคนเข้มแข็งแม้จะอ่อนใน แต่หากได้เอ่ยสิ่งใดตั้งใจว่าจะทำสิ่งใดแล้ว ไม่เคยยอมแพ้กลางทาง นี่เป็นนิสัยอย่างหนึ่งที่เล็กชอบพอในตัวของน้ำ แต่ล่วงเลยมาถึงขนาดนี้มันมากเกินไปแล้ว แม้แค่เพื่อนสนิทที่คอยเฝ้าดูยังรู้สึกว่ามันทรมานมากมายนัก แล้วตัวของน้ำเองเล่าจะรู้สึกเช่นไร

“น้ำ ว่างอยู่ใช่ไหม มาคุยกับพี่หน่อยสิ”

มนัสเรียกตัวน้ำเข้าไปพบเมื่อเห็นว่าไม่มีลูกค้าเข้าร้าน หน้าร้านให้เล็กกับแววเป็นคนดูแล

“ครับพี่นัส”

“เราโอเคไหมน้ำ พี่เห็นว่าพักหลังนี่เราไม่ค่อยร่าเริงเท่าไหร่นัก พี่เข้าใจเรานะว่ามีปัญหาเรื่องใจอยู่ พยายามเอาชนะมันให้ได้นะน้ำ คนเราหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ด้วยความรักก็จริงอยู่ แต่ความรักเพียงอย่างเดียวมันไม่ได้ทำให้เรามีชีวิตที่ดีได้หรอกนะ เราต้องรู้จักที่จะรัก และใช้ชีวิต พยายามแยกแยะมันออกจากกัน ชีวิตเราก็ยังต้องดำเนินต่อไปนะ พี่อยากให้เราเผื่อใจเอาไว้หน่อยเพราะถ้าหากวันไหนความรักมันหลุดลอยไปจากเรา เราเองจะหล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำเนินต่อไปได้ยังไง พี่เป็นกำลังใจให้เรานะน้ำ”

คนรอบข้างต่างมอบกำลังใจให้อยู่เสมอแม้หากท้อแท้เสียใจคนเหล่านั้นก็จะคอยมาวางมือบนบ่าบีบเบาๆให้กำลังใจ แต่คนที่รักหมดใจสิ่งเหล่านั้นนับจากวันที่เขาล้มเจ็บมันเลือนหายไป มันหายไปกับสิ่งที่เขาเรียกว่าความทรงจำ ไม่ว่าเขาจะตั้งใจลบมันออกหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่คนๆนี้ยังต้องการกำลังใจนั้นอยู่ทุกเวลาทุกนาที แค่เพียงถามไถ่กันว่าเหนื่อยไหม อยู่ดีหรืออย่างไรแค่นั้นเอง

น้ำเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างช้าๆ แต่มั่นใจว่าบอทเองไม่อยู่ห้องเพราะคล้องแม่กุญแจจากด้านหน้า น้ำถอนหายใจวางกระเป๋าลงแล้วนั่งลง กระวนกระวายกระสับกระส่ายเช่นเคย ร่องลอยของห้องตอนก่อนออกไปกับตอนนี้ยังเหมือนเคย กระดาษที่เขียนโน้ตไว้ยังติดอยู่ที่ฝาห้องเช่นเดิม น้ำเม้มปากแน่นในใจร้อนรนยิ่งกว่าเดิม จะเป็นอะไรไหมนะบอทเป็นห่วงเหลือเกินทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ น้ำเองหยิบจับอะไรไม่ถูกเอาเสียเลย มือไม้สั่นไปหมด ดึกแล้วยังไม่มา ค่ำแล้วยังไม่เห็น ร้อนใจเหลือเกิน

หลับตาลงก็หวั่นไหวใจสั่นอยู่ ตื่นไม่รู้หลับไม่เห็นเป็นเช่นใด อยู่ตรงนั้นหรือว่าอยู่แห่งไหน รู้บ้างไหมว่าคนคอยเขาทรมาน เดินก็สั่นนั่งก็ไหวใจร้าวราน แสนยาวนานนั่งเฝ้ามองนาฬิกา เราหิวแล้วเขาหิวอยู่หรืออิ่มหนำ สุขเหลือล้ำหรือทุกข์อยู่แห่งไหน รอคอยอยู่แม้ว่าจะยาวไกล เพราะดวงใจคือเธอขอให้รู้ตัว รู้ว่าผิดรู้แล้วยอมรับโทษ ตอให้โกรธชดใช้อีกกี่แสน กี่ปีล้ำล่วงผ่านก็ไม่แคลน จะไม่แปรเปลี่ยนเลยความรักเรา

“ยังไม่นอนอีกเหรอน้ำ”

เสียงร้องทักดังแว่วมา น้ำเองกำลังเคลิ้มเพราะเหนื่อยเพลียเหลือเกิน ไฟในห้องสว่างขึ้น พยายามจะขืนตัวลุกขึ้นแต่รู้สึกร้าวไปทั้งร่าง ตัวร้อนแล้ว ร้อนเป็นไฟ นี่เราเป็นไข้ไปหรอกหรือ น้ำนอนนิ่งไม่ตอบ เพราะเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของบอท มันเป็นเสียงของคนอื่น คนที่เห็นทีไรแล้วยอกไปที่ใจ

"ทำมาย ยังไม่นอน น้ำ น้ำ ทำไมยังไม่นอน"

เสียงอ้อแอ้ดังขึ้น เสียงนี้เป็นเสียงของบอท เขาเมา นี่ผ่านไปวันหนึ่งเต็มๆแต่เขายังเมามายอยู่เช่นนี้หรือ

"นอนนะบอท นอน บอทเมามากแล้วนะ"

เสียงของไม้ก็ดังก้องรำคาญอยู่ในหู น้ำพยายามยันกายขึ้นนั่งเอาหลังพิงฝาเอาไว้ ตาปรือมองไปยังร่างของไม้ที่กำลังประคองบอทอยู่

"บอทเมาเหรอ"

ครางถามออกไป แม้ตัวเองจะตัวร้อนหนักหัวอยู่

"ใช่ กินกันทั้งวันเลย บอทนี่กินเหล้าเก่งมากนะน้ำ เราสู้ไม่ไหวเลย"

"อืม เดี๋ยวเราดูแลบอทเอง ขอบใจนะไม้ที่พาบอทมาส่ง"

"แหมน้ำ เราก็เมานะกลับไม่ไหวหรอก ขอนอนพักหน่อยไม่ได้เหรอ"

ไม้ทำเสียงที่พอน้ำได้ยินก็รู้สึกแสลงหูยังไงพิกล

"มันคับแคบนะไม้ เรากลัวว่านายจะไม่สะดวก"

"บอท ไม้ขอนอนพักด้วยได้ไหม แป๊บเดียวเอง เนี่ยเราเมามากเหมือนกันมึนหัว"

ไม้หันไปหาบอทที่นอนดิ้นอยู่

"อืม"

เขาครางออกมาไม่รู้ว่ารู้เรื่องหรือไม่

"จะนอนยังไงล่ะบอท ที่นอนมันมีแค่นี้เอง ขอโทษนะไม้เราไม่มีที่นอนเหลือแล้ว"

"ไม่เป็นไรหรอกน้ำ เรานอนพื้นนี่ล่ะ อย่าคิดมาก"

หันไปหาบอทเขาปรือตาขึ้นมาดู

"ไม้จานอนนี่เหรอ"

"ได้ไหมบอท ให้ไม้นอนแป๊บเดียวนะ เราไม่ไหวจริงๆ"

"อืม"

บอทเองครางออกมาดิ้นทุรนทุรายอยู่ น้ำเม้มปากแน่น

"น้ำนอนผ้าเช็ดตัวก็ได้ ไม้กับบอทนอนให้สบายเถอะ"

กัดฟันพูดออกไปตัดรำคาญ รู้ไหมรู้สึกยังไงในตอนนี้ เคยคิดว่าตัวเองมีค่าเสมอมาแม้จะลดระดับลงไปบ้าง แต่มันก็ยังเลอค่าอยู่ ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ตอนนี้เหมือนค่านั้นมันหายวับไปแล้ว จากที่คิดว่าตัวเองมีประกายเหมือนเพชรพลอย แต่ตอนนี้แม้แต่ก้อนดินก้อนกรวดมันยังมีค่ามากกว่าเราเสียอีก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกด้อยค่าอย่างนี้มาก่อน

สำหรับบอทเองแม้บางครั้งจะรู้สึกว่ามีอะไรลึกซึ้งเกินเพื่อนกับน้ำ แต่ความรู้สึกนั้นมันก็อ่อนเหลือเกิน อ่อนแรงจนบางครั้งมันเลือนลางไป บางครั้งภาพวันเก่าๆที่นาหรือภาพใต้ต้นมะม่วงที่ไหนสักแห่งมันเหมือนจะฉายขึ้นมาแต่ก็ดับวูบไป

"จะรีบกลับไปไหนล่ะบอท ผับยังไม่เลิกเลย"

ไม้รั้งแขนของบอทเอาไว้ เพราะบอทบอกว่าจะกลับห้องแล้ว

"เราเป็นห่วงน้ำ ช่วงนี้ท่าทางน้ำเหมือนไม่ค่อยดี เราจะกลับไปดูน้ำ"

"โอ๊ย บอทน้ำไม่เป็นไรหรอก จะไปห่วงทำไม อุตส่าห์ออกมาเที่ยวทั้งที เนี่ยเพื่อนๆยังไม่อยากให้บอทกลับสักคน"

ไม้เปล่งเสียงขึ้นดังแข่งกับเพลงในผับแถวแยกลำสาลี ตอนแรกบอทเองจะไม่เข้าไปเพราะไม้บอกว่าจะพาไปตะวันแดงตรงคลองตัน บอทถึงยอมออกจากห้องมา แต่พอเอาเข้าจริงๆก็พาไปยังสถานที่ที่ตนกับผองเพื่อนเที่ยวกัน

"เราไม่อยากอยู่แล้ว เราขอโทษนะไม้ งั้นเรากลับก่อนนะ"

บอทเองเดินออกมาจากผับทันที ไม้หน้าเสียแต่ก็เดินตามออกมา หลายครั้งหลายคราที่พยายามจะใกล้ชิดกับบอท แต่เหมือนว่าบอทเองก็ไม่ยอมให้เข้าใกล้มากนัก เหมือนเขามีม่านอะไรกั้นอยู่ บางครั้งคุยกันอยู่ดีๆบอทก็นิ่งไปเสีย แววตาเปลี่ยนไป ประกายตาแปลกประกายที่แสนอบอุ่นถ้าหากเขามองมาด้วยแววตาอย่างนั้นคงจะดีไม่น้อย แววตาแบบนั้นเขาใช้มองใครกันนะช่างน่าอิจฉาเสียจริง

"บอทเดี๋ยวก่อนสิ บอท อย่าเพิ่งกลับ"

ไม้เองวิ่งตามออกมารั้งแขนของบอทเอาไว้

"เราขอโทษ เราจะกลับจริงๆ"

"งั้นไปที่คอนโดฯเราก่อนไหมบอท ไปกินเหล้าที่คอนโดฯเราก่อน"

ไม้เองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สิ่งที่ต้องการคือตัวของบอท หัวใจความรักอะไรเป็นผลพลอยได้ หน้าตาอย่างเขา ทำไมบอทถึงไม่เคยสนใจ ไม้เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

"เราว่าเราไปดูน้ำก่อนดีกว่า เอาไว้วันหลังได้ไหม"

"ทำไมล่ะบอท อะไรๆก็น้ำ ตกลงเป็นอะไรกับน้ำ เป็นแฟนน้ำใช่ไหม ไหนบอกเป็นแค่เพื่อนกันไงบอท ทำไมหลอกเรา หลอกเราให้มีความหวังทำไม บอทเองก็รู้ว่าเราชอบบอท"

ไม้เองร้องออกมาบีบน้ำตาให้ไหลออกมา เขาทำได้ไม่ต้องกะพริบตาไล่มันไปเหมือนน้ำ แต่เขากะพริบตาให้มันไหลออกมาโดยเร็ว

"ไม้"

"เรารู้ว่าบอทไม่ได้ชอบเรา แต่ให้ความหวังเราทำไม"

"ไม้ เราเป็นแบบนั้นกับไม้ไม่ได้หรอกนะ เราเสียใจ เราเป็นได้แค่เพื่อนของไม้เท่านั้นนะ"

"บอท ทำไม เพราะอะไร ไม้ไม่ดีตรงไหน"

ไม้เองออกอาการคร่ำครวญรั้งแขนกระตุกอยู่ บอทเองก็ทำหน้าไม่สู้ดีนัก

"เอ่อ ไม่ใช่แบบนั้นนะไม้ เราสับสน อย่าเพิ่งถามเราตอนนี้ได้ไหม ใช่เราเป็นแฟนน้ำ แต่เหมือนเราจะจำอะไรไม่ค่อยได้"

"อะไรนะ บอท ทำไม"

แว้ดเสียงขึ้น ที่เจ็บใจคือที่เขาคิดไว้มันเป็นจริง หมั่นไส้น้ำตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น คนอีสานในซุ้มส่วนมากหน้าตาจะไม่ดี แต่น้ำกับบอทไม่เหมือนคนอื่น ใบหน้าของน้ำมันดูหยิ่งยโสโอหังนัก ยิ่งได้รู้ว่าเขาอยู่กับบอทคนที่เขาหมายตาไว้ ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ อยากจะเอาชนะให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เด็กบ้านนอกคอกนาอย่างนั้นจะมาสู้เด็กในเมืองอย่างเขาได้หรือ

"เรากลับก่อนนะไม้"

"บอท ถ้าอย่างนั้นไปกินเหล้ากับเราที่คอนโดฯได้ไหม ถือว่าทำเพื่อเพื่อน เราขอนะบอท"

ไม้งัดไม้ตายออกมาใช้ บอทเองสีหน้าเจื่อนลงไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี สุดท้ายก็ต้องยอม แต่รู้ไหมความห่วงใยที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันหายวับไปสิ้นเมื่อไปถึงคอนโดฯของไม้ บอทดื่มเหล้าหนักจากเกือบเช้าเป็นสาย จากสายเป็นบ่ายคล้อย ไม้นอนหลับไปหลายตลบแต่บอทเองยังไม่ยอมลง ไม้เองก็พยายามจะประชิดตัวอยู่ตลอดเวลาที่มีโอกาส แต่บอทเองก็เหมือนระวังตัวดี ไม้ไม่ได้ทำอย่างที่หวังเพราะเวลาเมาแล้วบอทเองใจนักเลงพูดคำไหนคำนั้น ไม่ให้แตะคือไม่ ไม้เองก็เกรงๆอยู่ จนสุดท้ายบอทเมาแล้วร้องจะกลับอย่างเดียวไม้เองก็เลยจำยอมต้องพามาส่ง

เป็นธรรมดาของเจ้าของห้องที่เวลามีแขกมาเจ้าของห้องต้องต้อนรับ ภาพที่เห็นคือบอทนอนแผ่อยู่บนที่นอนปิกนิกเคียงคู่กับไม้ ส่วนห่างออกไปไม่ถึงวาคือร่างที่สั่นเทาอยู่ด้วยความหนาวเหน็บเพราะจับไข้ ผ้าเช็ดตัวผืนบางปูรองร่างกับพื้น กอดตัวเองหนาวสั่นอยู่ ตัวเริ่มร้อนเพิ่มดีกรีขึ้น น้ำเองพยายามกดความรู้สึกนี้ไว้ จากนอนหงายเป็นนอนคว่ำกอดตัวเอง บอทไม่รู้สึกตัวแล้ว ทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนมาห่มให้พอบรรเทาความหนาว อย่างน้อยก็ประวิงให้มันถึงเช้า พอรู้สึกดีขึ้นก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

"อื้อ ไม่ ไม่เอา"

เสียงบอทร้องขึ้นเมื่อตอนเกือบรุ่งสาง

"นะบอท ไม้ขอทำหน่อยนะ นิดเดียว บอทอยู่เฉยๆนะ"

"ไม่เอา ไม่ อื้อ อื้อ"

เหมือนเสียงลอดออกจากลำคอ เขากำลังปัดป่ายการคุกคามของไม้อยู่ น้ำเองสะดุ้งตื่นขึ้นแต่หมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรง ไข้ขึ้นสูง ตัวร้อน หนาวสั่น ไม่มีแรงไม้จะร้องออกมา เสียงป่ายปัดเงียบไปแล้ว น้ำนอนขดกอดัวเองหันหลังให้ทั้งสองคน ไม่นานนักก็เป็นเสียงที่ยากเกินจะบรรยาย เสียงที่เหมือนเอามีดมาปักลงกลางใจแล้วกรีดไปเป็นทางยาว

สะดุ้งตื่นเพราะเสียงครางกระเส่า เสียงที่เร้าเขาลวนลามของคนรัก ร่างของเขานิ่งแน่ดังจำหลัก แต่ลิ้นรักของใครกำลังเลีย หน้าด้านหน้าทนไม่เคยเห็น นี่เราเป็นท่อนไม้หรือก้อนหิน ตัวแข็งแน่นิ่งดั่งก้อนดิน มีเพียงน้ำตาไหลรินออกมาจากสองตา ร้อนรนปวดร้าวอ่อนล้า เขาเลียหน้าลงมาถึงกลางขา ลากลิ้นคงผ่านแดนมนต์ตรา ชิวหาคงลากผ่านทั้วร่างกาย เสียงครางกระเส่าดังแว่วผ่าน เหมือนวันวานที่เราเคยสุขขี ที่ตรงนั้นเราเคยครอบครองมี แต่วันนี้ลิ้นใครไปเกี่ยวพัน เจ็บหรือไม่หรอกมันแค่ชา แค่ล้าหัวใจไม่อยากบีบ ปวดหรือไม่หรอกคงยังไม่ชิน รอให้สิ้นลมหายใจคงรู้กัน

น้ำเม้มปากไว้แน่นนอนตัวแข็งอยู่ไม่ยอมให้สะอื้นออกมา ไม่อยากขัดจังหวะ โง่ ใช่โง่ แต่จะให้ทำเช่นไร ปวดร้าวร่างภายนอกเพราะพิษไข้ก็ร้าวระทมมากอยู่แล้ว ปวดร้าวบาดลึกในหัวใจมันประคองร่างลุกขึ้นไม่ไหว น้ำตาไหลออกมา น้ำมูกไหล อยากไหลให้มันไหลไป ไม่ห้าม ไม่มีแรง อยากทำอะไรก็ทำไป จะใส่ใจทำไมในเมื่อคนๆนี้มันเป็นแค่ลมแค่อากาศธาตุ จะสนใจอะไรในเมื่อมองไม่เห็น จำคนๆนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ปล่อยให้มันนอนเสียใจอยู่อย่างนี้ ให้สาสมกับที่คาดโทษมันไว้ ให้สาแก่ใจที่มันทำให้เขาเป็นแบบนี้ ทำให้พอใจ ถ้าหากว่ามีความสุข เขาคนนี้จะยอมก้มหัวให้เหยียบ เหยียบข้ามผ่านไป ไปให้ถึงฝันที่หวังเอาไว้ อย่าได้ใส่ใจ อย่าได้ชายตามามอง ทำเถิดที่รัก ถ้าหากว่ามีความสุขอยู่ดี คนๆนี้จะยอมทำตามทุกอย่างไป

วิสัชนา ประกายตายามที่เขามองมาแล้วมีเรายืนอยู่นั่นไง มันมีค่ามากมายนัก

เขียนโดย eiky

ปล ไม่มีอะไรจะบรรยายใต้ภาพ

ตอนนี้มอบพิเศษให้น้อง มิ นะครับ ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิยายดราม่าเรื่องนี้นะครับ อิอิ

ส่วนกลอนด้านล่างนี้มอบพิเศษให้น้องมิลองอ่านดู อิอิ กระแดะเขียนว่างๆยอนไม่มีลูกค้า อิอิ ถ้าชอบก็มอบให้เพื่อนๆที่รักทุกคนนะครับ

กุหลาบมอญซ่อนกลิ่นแลบุหงา   ช่อผกาดาวเรืองรักไม่รู้โรย
จำปีหอมพุดซ้อนสายหยุดโปรย    กลีบร่วงโรยไปตามกาลแลเวลา

เบญจมาศพุทธชาดพุดซ้อนขาว   บานพร่างพราวหอมกรุ่นกลิ่นมณฑา
จำปีจิกจวงจันจานมะลิลา             กรรณิการ์พวงชมพูมะลิโศก

ช้องนางชวนชมชบาช่อราตรี        จามจุรีกาหลงคูนชงโค
คำใต้หวานลำเจียกบานดอกโสน  ช่อยี่โถกระดังงามะลิวัลย์

ช่อผกาบัวผันบัวเผื่อนผุด        แลสายหยุดริมรั้วปีบสายสวรรค์
บานบุรีโมกหอมแลอัญชัน      พวงแสดนั้นบานรับลีลาวดี
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 22-11-2010 19:59:31
ขอตืบสักทีเหอะไอ้คุณบอท
อีป้าแก่ๆ เซ็ง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 22-11-2010 20:10:32
ไม่ว่าจะอย่างไร  ความคิดลึกๆของตัวเองจะเป็นอย่างไร
แต่การกระทำของตัวเองในปัจจุบัน กำขลี้แล่นขลี้มือก็เหม็นตัวก็เหม็นไปละไอ้คุณบอท
น้ำถอยออกมาเล่นน้ำเล่นดอกไม้ดีกว่านะ  ตัวจะได้สะอาดหอมๆ
พี่อิ๊กครับ   อยากอ่านต่อ  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 22-11-2010 20:25:34
โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
น้ำเลิกทนเหอะ...
ยังไงมันก้ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 22-11-2010 20:27:01
T^T

พี่อิ๊กใจร้าย ฮือๆ สงสารน้ำจับใจเลย
อยากฆ่าไอบอท... กับไอไม้เน่า ชิ๊

น้ำไปหาวาเถอะ ไปหาคนที่เห็นค่าเราดีกว่า

ถ้าทนอยู่ต่อไปคงจะบ้าเข้าสักวัน...


ทำไมนับวันมันยิ่งดราม่าอยากนี้อ่ะ?

พีอิ๊กอ่ะสงสารคนอ่าน ตา ดำๆ น่ารักคนนี้บ้าง จิ
จะลงแดงตายคาหน้าคอมอยู่แล้ว วว  :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 22-11-2010 21:19:29
 :sad11:  น้องน้ำนู๋ช่างอดทนนัก.....
เจ้าบอทหากไม่มีน้องน้ำในใจแล้ว......
ก็ปล่อยน้องน้ำไปเถอะ....รั้งเอาไว้เพราะความแค้นรึไง
 :เฮ้อ:  :serius2:  :angry2:

 กด + ให้น้องน้ำคนเก่ง กะ น้อง eiky  :กอด1:
 
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 22-11-2010 22:20:59
ยังคงน้ำตาไหลอย่างต่อเนื่อง......

เฮ้ออออ น้ำเหมือนตายทั้งเป็นจริงๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: winney555 ที่ 22-11-2010 22:39:02
สงสัยเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของคนเขียน บัดซบจริงๆเลย ตอนนี้ เหอะๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 22-11-2010 22:41:02
เมื่อไหร่น้ำจะมีความสุขซะที
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 22-11-2010 23:07:41
ฮ่วย..หนูน้ำทำไมหนูป็นนางเอกเวอร์ชั่นนั่งกินน้ำตาต่างข้าว
ยอมกล้ำกลืนความทุกข์ความอาดูรเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวแบบนั้นล่ะ
ดิชั้นไม่ปลื้มค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) &#
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 22-11-2010 23:49:06
แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าคุณอิ๊กกี้ต้องเล่นกลอะไรสักอย่างกับฉากนี้แน่ เลยดักคอว่าไม่เอาแบบว่าบอทกับสาวเมืองกรุง ยังคิดอยู่ว่าคุณอิ๊กกี้จะให้มีอะไรกับหนุ่มแทนรึเปล่า ปรากฏว่าจริงๆ ด้วย แต่ก็อย่างว่าล่ะค่ะ ถ้าไม่ให้น้ำรู้ว่าบอทมีอะไรกับคนอื่นมันจะดราม่าได้อย่างไร

แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปคะเนี่ย น้ำคงต้องคบนายวาเพื่อเป็นแรงกระตุ้นความจำบอท หรือหนีไปเมืองนอกเลยคะเนี่ย อยากรู้เรื่องต่อแล้ว

ขอบคุณนะคะที่ตั้งใจเขียนตอนนี้ให้น้องมิ กลอนมวลหมู่บุปผาชาติข้างล่างด้วย อุตส่าห์ประจงเผดียงผการ้อยมาเป็นกลอน เพราะมากค่ะ

(http://image.ohozaa.com/i/307/hojin.gif) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=b4a681a8a07368cd9739587b1bc7e97c) +1 ให้เลยค่ะ

ปล. อยากอ่านเรื่องใหม่ที่คุณอิ๊กกี้โฆษณาไว้อะค่ะ


*******************


หน้าตาของน้ำดูโรยราลงมาก


โรยรา  หมายถึง น้อยไป เสื่อมไป มักใช้กับเรื่องที่เป็นนามธรรม เช่น ความรักที่เขาเคยมีให้เธอมันโรยราลงไปแล้ว ในบริบทนี้ควรใช้คำว่า อิดโรย   ที่แปลว่า อ่อนเพลีย มากกว่านะคะ


ตาปรือมองไปยังร่างของไม้ที่กำลังประคบประหงมบอทอยู่


ประคบประหงม แปลว่า ฟูมฟักรักษา ถนอมเลี้ยงดู เช่น แม่ประคบประหงมเลี้ยงดูลูกมานานปี ในบริบทนี้ใช้คำว่า ประคอง   ก็พอแล้วนะคะ

กระพริบ คำนี้ไม่ต้องควบกล้ำ ร ที่พยางค์แรกนะคะ กะพริบ เฉยๆ
ธาตุอากาศ คำนี้ไม่เคยเห็นมีคนใช้ เคยเห็นแต่ อากาศธาตุ นะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 23-11-2010 00:00:32
โคตรของเวรกรรมเลย  :เฮ้อ:


น้ำ ณ จุดนี้ น้ำต้องใช้สติและสมองมากกว่าความรู้สึกแล้วล่ะ
อย่างที่เม้นไปก่อนๆแล้ว ความเห็นก็ยังคงทิศทางเดิมอยู่
สะบัดบ็อบเชิดใส่อย่าได้แคร์ เจ็บแทบตายแค่ไหนอย่าให้ใครรู้อย่าให้ใครเห็น
อย่าให้เขาเหยียบย่ำเราได้อีก


วายุ   แวร์ อาร์ ยู นาว?
(ประกายตาวิ้งค์ๆของคนอ่านส่งมากอ่ะตอนนี้ มาช่วยกันก่อนเร็ว ฮ่าๆๆๆ)


ส่วนบอท จำได้ให้หมดเร็วๆนะ จะได้เจ็บลึกๆ เจ็บให้หนัก คนอ่านรอซ้ำอยู่
(ดูเหมือนอินี่โรคจิต ซาดิสม์นิดๆเลยเนอะ  :-[ )


สุดท้าย   แด่ไม้  :z6:
 



 :กอด1: คุณอิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 23-11-2010 00:01:17
น้ำตาจะไหล.. :o12:

นี่มันต่อหน้าต่อตา.... :z6: เซ็งไอ้ไม้ เซ็ง บอท..

สงสารน้ำ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 23-11-2010 00:35:15
เห้อ

อ่านแล้วปวดใจแทนน้ำเลยรู้เลยว่าเป็นยังไง

รู้นะว่ารักสุดใจแต่แบบนี้ก็เกินไปหน่อยนะบอท

ไม่รักกันแล้วทำแบบนี้อีกเห้อถึงจะเมาก็เถอะ

ตอนนี้สงสารน้ำมากๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 23-11-2010 00:46:57
เห็นน้ำเป็นแบบนี้ นึกถึงน้องภูมิเลยค่ะ ถ้าเป็นภูมินี่ งานนี้สงสัยมีเละอ่ะ :laugh:
นายเอกสองเรื่องสองรส ต่างกันเป็นขาวกับดำเลยอ่ะคุณอิ๊ก  :กอด1:

น้ำเอ๊ย รักตัวเองบ้างเหอะน้ำ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 23-11-2010 07:42:38
เซ็งทั้งน้ำ  ทั้งบอท 
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 23-11-2010 10:37:10
ให้น้ำกับวาเป็นแฟนแล้วรักกันมากๆก่อน
ค่อยให้บอทจำได้ตอนน้ำหมดรักไปแล้ว  นะครับคุณอิ๊ก
คงสะใจดีพิลึก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 23-11-2010 11:57:09
น้ำ อยากบอกคำเดียวให้กับความคิดของนายว่า   นายบ้าไปแล้ว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 23-11-2010 12:37:42
วกมาอ่านอีกรอบ ก็อยากจะลุกมาถีบหน้าอีไม้นี่เสียจริงๆ แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

น้องวาคะมาดามใจน้ำเรวววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 23-11-2010 16:46:17
 :a5: :a5:

เรื่องนี้ทำฉ้านนนนนนนนนนเครียดอีกแร้ว
น้ำทนมาพอแร่ะ

การที่คนรักของเรากำลังโดนคนอื่นลวนลามอยู่ข้างๆนี่มันแร๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงมากกกกกกกกกกกกกกก
เราก้ทำอะไรไม่ได้
ไอบอทก็น่ะ มึงทำอะไรของมึง

เครียดจัด
ส่วนอินังไม้ ไปตายซ่ะไป อิFlowerเอ้ย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 23-11-2010 17:44:21
มีแต่คนเครียด อิอิ เออย่างงี้นะครับ เรื่องนี้คิดว่าคงไม่ยาวเท่าไหร่หรอก
อยากให้ทนอ่าน เพราะไหนๆก็ไหนๆแล้ว เรื่องหน้ารับรองว่า นายเอกของเราไม่ได้มีบุคลิกแบบน้ำแน่ๆ

ถ้าใครเคยชอบน้องภูมิ อยากจะบอกว่านายเอกใหม่ของผม คูณน้องภูมิไปอีก สิบ อิอิ

รอน้า จุ๊บๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 23-11-2010 18:05:48
พี่อิ๊ก  หวัดดีครับ
พี่อิ๊กมาสานต่อความเลวของไอ้คุณบอท กับไอ้ไม้ผุได้แล้วนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 23-11-2010 18:11:49
รออ่านเรื่องใหม่พี่อิ๊คๆ

ส่วนเรื่องนี้ รีบ หายดราม่าสักทีๆ

เศร้าเกิน เห้อๆๆ


รอตอนหน้านร้าๆ
เพี้ยง ตอนหน้าขอให้หายดราม่าซักที
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 23-11-2010 22:26:38
มีแต่คนเครียด อิอิ เออย่างงี้นะครับ เรื่องนี้คิดว่าคงไม่ยาวเท่าไหร่หรอก
อยากให้ทนอ่าน เพราะไหนๆก็ไหนๆแล้ว เรื่องหน้ารับรองว่า นายเอกของเราไม่ได้มีบุคลิกแบบน้ำแน่ๆ

ถ้าใครเคยชอบน้องภูมิ อยากจะบอกว่านายเอกใหม่ของผม คูณน้องภูมิไปอีก สิบ อิอิ

รอน้า จุ๊บๆๆๆๆ

จะรอจ้า....ตอนนี้ยำใหญ่ไอ้คุณบอทแทนน้องน้ำไปก่อนเนอะ  :z6: :z6:.... :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 23-11-2010 23:35:53
เฮ้ออออ   บอทอาจจะน่าตื้บ แต่ไม้นี่มัน....น่าระอา
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 24-11-2010 09:03:38
 :m16:ขอบอกว่าอยากจะกะทืยอิไม้ให้ตายคาตรีนจริงๆ  คนเขาไม่เล่นด้วยยังจะเสือกทำแบบนี้อีกเกลียดจริงๆ อิคนแบบนี้ สันดานชั่วมากๆ ทำให้คุณค่าของคนที่เกย์ดูไร้ค่า เหมือนคนสำส่อน :m16:

 :m15:สงสารน้ำ ทำไมน้ำถึงทนแบบนี้ เข้าใจบอทนะแต่ทำไมไม่คุมสติตัวเองบ้างกินเหล้าไม่ใช่ให้เหล้ากิน :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 24-11-2010 10:22:30
ไม่เครียดหรอกคุณอิ๊ก ออกจะเบาๆ ถ้าเทียบกับภูมินะ
แต่จะหงุดหงิดเจ้าบอทเป็นระยะๆ แค่นั้นเอง
 o18


คุณอิ๊กมาโฆษณาเรื่องใหม่อีกแล้ว น่าสนใจมากอ่ะ
ภูมิบุญคูณสิบ  :interest:

จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 24-11-2010 17:05:00
ทำไมชีวิตของน้ำมันมาม่าขึ้นทุกวันๆ :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 24-11-2010 19:58:50
พี่อิ๊กหวัดดีคับ
เหมือนเดิมคับ  อยากอ่านต่อ  วันนี้จะมาป่าวคับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 25-11-2010 19:23:35
วันนี้จะมาต่อมั้ยง่า
พีอิ๊คๆ

 :3123:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 25-11-2010 22:12:52
พี่อิ๊กหายไปใหน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 26-11-2010 18:18:36
พี่อิ๊กมาได้แล้วนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 26-11-2010 18:23:12
โอ๊ะ!!! หายไปนายเลยนะคะคุณอิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 26-11-2010 18:56:59
คุณอิ๊กอยู่ไหน?(http://i181.photobucket.com/albums/x215/bjneverdie/monkey%20emoticon/monkey36.gif)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 26-11-2010 19:09:48
รออยู่เน้อ :z2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 26-11-2010 20:52:43
บทที่ ๓๔

ปุจฉา อันความสุขในชีวิตเราหาได้จากไหนหรือ

ไม้กลับไปแล้ว รู้สึกตัวทุกอย่าง สิติยังอยู่ครบดี ไม่ว่าเขาจะขยับตัว ปล่อยเสียงให้ลอดออกมาจากคอหรือปาก เสียงน้ำลายที่ออกมาละเลงกระทบส่วนต่างๆของร่างกายชายคนรักที่นอนแน่นิ่งเหยียดยาวอยู่นั้น ร่างกายที่ถูกถาโถมรุมเร้าด้วยพิษไข้ที่ยังไม่สร่างแต่กลับตีพิษร้อนแรงขึ้น หนักตัวหนาวแต่เหงื่อออกมาจากทุกรูขุมขน ปากสั่นขากันไกรกระทบกันดึงกึกๆอยู่ ส่วนภายในใจอย่าให้ได้บรรยาย น้ำตาที่ไหลออกมาจากตอนนั้นถึงตอนนี้มันยังเคลือบตาอยู่ อันคำใดประโยคใดจะสรรหามาบรรยายบอกให้รู้ถึงความเจ็บปวดคงไม่มี

เสียงโหวกเหวกโวยวายจากภายนอกดังเล็ดลอดมา เสียงเรือยนต์โดยสารที่อื้ออึงดังแทรกขึ้นขับไล่ความเงียบงันในใจให้หนีหายไป น้ำเองพยายามจะขยับตัว จะไปไหนน่ะหรือ ไปให้พ้นจากตรงนี้เสียที ไม่อยากให้เขาตื่นมาแล้วเจอหน้าของเรา เขาเองก็คงไม่อยากเจอ รักมากนะ แต่แบบนี้มันทนไม่ได้ ในใจมันร้อนเผาไหม้อยู่ ร้อนภายในแทรกออกมาทางกาย ไม่มีแรงจะต่อสู้แล้ว อย่างน้อยก็ขอไปตั้งหลักที่ไหนก่อนก็ได้ ไม่ไหวจริงๆ น้ำพยายามจะฝืนลุกแต่เหมือนพิษไข้นั้นมันไม่ยอม ขยับกายได้แต่ลุกไม่ได้ หนาวเหลือเกิน ตอนนี้เองที่คิดถึงหน้ามารดาและบิดาที่รักยิ่ง แม่จ๋า พ่อจ๋า คิดถึงจังเลย ถ้าลูกอยู่ที่บ้าน ป่านนี้แม่คงจะดูแลลูกอยู่คงไม่เป็นแบบนี้ คิดถึงเหลือเกิน

"อือ น้ำๆ น้ำ"

บอทละเมอครางออกมา น้ำเองก็พลิกตัวหันไปหา พอเห็นร่างของบอทก็น้ำตาทะลักออกมา เสื้อของบอทถูกดึงขึ้นเผยให้เห็นหน้าอกและหน้าท้อง กางเกงยีนส์เก่าๆมันแบะอยู่หน้าขา เม้มปากแน่น ยิ่งเห็นยิ่งปวดใจร่างสั่นไหวสะอื้นออกมา ที่ตรงนั้นเราเคยเป็นเจ้าของจับจองแต่เพียงผู้เดียว แต่ตอนนี้ปากของใครลิ้นของใครก็ไม่รู้มันมาคุกคาม รังเกียจชายคนนั้นหมดทั้งใจ เกลียดชังเขาอย่างมากมาย

"บอท"

ได้แค่นั้น แค่เรียกชื่อมันยังยากลำบาก น้ำพยายามลากร่างของตัวเองเข้าไปหาบอท ปวดไปทั้งตัวหนาวสั่นขึ้นมา

"เล็กน้ำไม่มาทำงานเหรอ สายแล้วนะ"

มนัสถามเล็กเพราะเห็นว่าเลยเวลาเข้างานมาเป็นชั่วโมงแล้ว

"นั่นสิพี่ ไม่เห็นมันเพจมา เป็นอะไรหรือเปล่าไม่รู้ เมื่อวานสีหน้ามันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่"

"เอาไงดี แววก็หยุดด้วยสิวันนี้ มีเรากับพี่อ้อยสองคนเองนะวันนี้"

มนัสทำท่าครุ่นคิดอยู่ เล้กเองสีหน้าก็ไม่ดีเอาเสียเลย

"เลิกงานเดี๋ยวเล็กไปดูมันหน่อยดีกว่าพี่"

เล็กพูดออกมาเพราะมันคงเป็นวิธีเดียว จะเพจไปบอกเอ๋ให้มาดูก็คงไม่ได้เพราะเอ๋เองก็ต้องทำงาน เล็กหน้าเครียดไปทั้งวัน

"อ้าว น้ำไม่มาทำงานเหรอครับ"

เล็กสะดุ้งเมื่อมีเสียงทักดังขึ้น เพราะมัวแต่เหม่อคิดเรื่องน้ำอยู่

"อ้อ คุณ เอ่อ น้ำไม่มาค่ะ"

"อ้าว หยุดวันอังคารไม่ใช่เหรอ วันนี้วันอาทิตย์นะ ว้ากะจะมาหาซะหน่อย"

วายุนั่นเองเขาตั้งใจมาหาน้ำเพราะเอาหนังสือมาฝาก

"ปกติมันก็ต้องมาล่ะค่ะ แต่วันนี้ไม่มา ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า มันไม่เคยเป็นแบบนี้"

เล็กระบายความในใจออกมา

"น้ำไม่สบายหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมไปดูให้เอาไหม"

วายุเสนอตัว เล็กปรายสายตาขึ้นมอง ฉายแววตาออกมากับความคิดที่แวบขึ้นมา

"คุณรู้จักที่อยู่น้ำเหรอคะ"

"รู้ครับ ผมเคยไปแล้ว"

เล็กเม้มปากแน่น

"ดีค่ะ งั้นรบกวนคุณหน่อยนะคะ น้ำมันคงไม่สบายเดี๋ยวเลิกงานฉันจะรีบตามไป"

เล็กบอก วายุรีบออกจากร้านทันที เล็กเองครุ่นคิดอยู่

"น้ำ บางทีมึงก็ต้องเลือกแล้วนะ พอกันทีกูไม่อยากเห็นมึงเจ็บอีกต่อไปแล้ว"

วายุขับรถมาจอดที่บิ๊กซีรามฯแล้วเดินเข้าซอยตรงไปยังหอพักของน้ำ

"น้ำๆ น้ำอยู่ไหม"

วายุเคาะประตูห้องเสียงดัง น้ำเองรู้สึกตัวอยู่แล้ว

"อืม"

ครางออกไปแต่เสียงมันไม่ดังพอ แต่นับว่าเป็นโชคดีอยู่เพราะตอนที่ไม้ออกไปจากห้องเขาไม่ได้ล็อกประตู วายุจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้อง

"น้ำ"

พอเห็นสภาพก็ร้องออกมา วายุปรี่เข้ามาประคองร่างของน้ำเอาไว้

"ตัวร้อนจี๋เลย น้ำ น้ำไม่สบายนี่"

"เรา เราไม่เป็นไร ดูบอทให้หน่อย"

ครางออกมาตาปรือ ร่างสั่นไหว วายุเองถอนหายใจออกมาเหลือบตาไปมองร่างอีกร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่

"เขาไม่สบายเหมือนกันเหรอ"

"เปล่า บอทเมา"

วายุเองถึงกับส่ายหน้า ตัวเองป่วยหนักขนาดนี้ยังมีหน้าเป็นห่วงคนที่เมา นอนแก้ผ้าอยู่อย่างนี้เชียวหรือ

"เดี๋ยวเราพาน้ำไปหาหมอก่อน ค่อยกลับมาดูเขา ลุกไหวไหมน้ำ"

"เราไม่เป็นไร"

"น้ำ ไม่ได้"

วายุพยุงตัวของน้ำขึ้นทันที ร่างกายของน้ำประดุจดังเคลือบไปด้วยเพลิง มันร้อนเสียจนคนที่ประคองร่างไว้ต้องกอดเอาไว้แน่นกว่าเดิม น้ำเองพยายามขืนตัวเอาไว้แต่วายุเองก็ลากออกไปจากห้องจนได้

"น้ำไม่สบายพี่นัส วายุเพจมาบอกว่าตัวร้อนมาก"

"จริงเหรอเล็ก ไปหาหมอหรือยัง"

"วายุจัดการแล้วพี่ ว่าแล้วเชียวน้ำมันไม่เคยเป็นแบบนี้"

"แล้วเขาพาน้ำไปหาหมอที่ไหนเล็ก"

"คลินิกแถวหอมันล่ะพี่ เดี๋ยวเลิกงานจะไปดูมันหน่อย"

เล็กเองฉายแววตาครุ่นคิดอยู่ บอทก็อยู่ห้องทำไมวายุต้องเป็นคนที่พาน้ำไปหาหมอ ในใจร้อนผ่าวขึ้นเม้มปากแน่น

"ขอบคุณมากนายที่พาเรามาหาหมอ"

น้ำเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแหบแห้งหลังจากที่หมอฉีดยาแล้วให้นอนพักสามชั่วโมง ตัวไม่ร้อนเท่าไหร่แล้ว ไข้ลดลงมากแต่ยังคงมึนหัวอยู่

"ไม่เป็นไรหรอกน้ำ เราเห็นน้ำไม่ไปทำงานเลยไปหาแต่เล็กบอกว่าน้ำไม่มา ติดต่อไม่ได้เราเลยมาดูที่หอ เอ่อ เราว่าจะเอาหนังสือมาให้น้ำน่ะ"

เขาเอ่ยออกมายิ้มน้อยๆหลบตา น้ำเองเม้มปากแน่น ทำไมคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน เขายังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับน้ำอยู่ แต่ทว่าเขากลับใส่ใจน้ำได้มากขนาดนี้ มากกว่าคนที่นอนเมายังไม่สร่างอยู่ที่ห้อง คนที่ปันร่างที่เราเคยครอบครองให้คนอื่น

"หิวไหมน้ำ พอเดินไหวไหม เดี๋ยวเราพาไปกินข้าว"

วายุบอกแล้วพยุงตัวน้ำขึ้น กลิ่นกายของเขามันหอมอ่อนๆจากสบู่หรือครีมทาตัวอะไรสักอย่าง กลิ่นที่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาใหม่ไม่ใช่กลิ่นกายจากเนื้อแท้ ไม่เหมือนกับกลิ่นกายของชายคนรักกลิ่นนั้นที่รัญจวนใจกลิ่นที่พึงใจทุกคราที่ได้เข้าใกล้ แต่กลิ่นนั้นมันกำลังแปรเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน

"กินโจ๊กนะน้ำ เดี๋ยวเราพาไปเรารู้จักอยู่ร้านหนึ่ง เวียนหัวไหม"

ทำไมคำถามต่างๆมากมายเหล่านี้มันไม่ได้ออกมาจากปากของคนๆนั้น อยากได้ยินไม่ต้องมากมายขนาดนี้แต่แค่สักคำก็ชื่นใจแล้ว

"ไหว ไม่ต้องไปไกลมากหรอกนาย เราคงนั่งรถเมล์ไม่ไหว"

น้ำบอกออกไปไม่ได้กระแดะหรือดัดจริตแต่รู้สึกว่าตัวจะไม่ไหวเอาจริงๆ

"อ้าวแสดงว่าตอนที่เราพาน้ำมาหาหมอ ไม่รู้สึกตัวเลยสินะ ฮ่าๆๆ เราขับรถมา เราไม่ให้น้ำลำบากหรอก"

ไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดาเลยที่ได้ยิน ไม่รู้ทำไมความรู้สึกถึงความห่างมันแทรกเข้ามาในใจ

"งั้นน้ำรอเราในคลินิกแป๊บนะ เดี๋ยวเราไปเอารถที่บิ๊กซีก่อน"

วายุบอกแล้วรีบเดินออกไปจากคลินิก เขาเป็นคนจัดการค่าหมอรวมทั้งค่ายาทั้งหมด นั่นยิ่งทำให้น้ำรู้สึกลำบากใจมากขึ้นไปอีก เขายังเป็นคนแปลกหน้าอยู่สำหรับน้ำ

"เดี๋ยวเราพาไปเลียบทางด่วน ร้านแม่เพื่อนเราเอง บรรยากาศดีน้ำน่าจะชอบ"

วายุเอ่ยขึ้นระหว่างขับรถออกไปจากถนนรามคำแหง กลิ่นน้ำยาปรับอากาศที่หอมเย็นฉ่ำทำให้น้ำรู้สึกดีขึ้น ระหว่างทางก็เอามือพยุงศีรษะไว้ตลอดเวลาเพราะความหนักอึ้งมันยังไม่จางหายไปเสียทีเดียว

วายุถอยรถเข้าจอดในที่จอดรถหน้าร้้านอาหารที่เขาบอกไว้ อาคารไม้ก่อขึ้นเบื้องหน้าทาสีขาวแลดูสอาดตา แมกไม้เขียวครึ้มแผ่ปกคลุมหลังคาทำให้บรรยากาศของร้านดูน่าแวะเข้าเยี่ยมชม วายุเข้ามาประคองร่างของน้ำแต่น้ำขืนตัวไว้เพราะไม่อยากให้เขามาเอาใจใส่มากเกินไป

"เอ่อ นี่น่ะหรือร้านอาหาร เราไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอกนะนาย"

"อะไรกันน้ำ ใครจะให้น้ำจ่าย ห้ามปฏิเสธด้วย ถือว่าให้เราดูแลน้ำให้หายไข้นะ"

น้ำเองไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน ไม่ได้อยากทำให้เขาสิ้นเปลืองแต่ทำอย่างไรได้

"กินเยอะๆหน่อยนะน้ำ จะได้หายไวไว"

พอพนักงานยกชามโจ๊กมาเสิร์ฟให้วายุเองก็จัดแจงเป็นธุระให้ ทำมากไปจนรู้สึกเขิน

"ไม่เป็นไร เราทำเองได้ นายกินของนายเถอะ"

น้ำตอบเสียงแหบพร่าก้มหน้าก้มตา แต่วายุเองฉายรอยยิ้มออกมา

"น้ำไปนอนที่คอนโดฯเราไหม"

น้ำปรายตาขึ้นมองขวมดคิ้วทันที

"อ้อ เปล่าๆ อย่าเข้าใจผิด คือเราว่าน้ำป่วยอยู่ ห้องของน้ำมันท่าจะร้อน เราว่าไปนอนพักให้หายดีก่อนไหม"

วายุเองเหมือนกำลังแก้ตัวโบกไม้โบกมือ

"ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจนายมาก ห้องมันเล็กแต่เราก็นอนได้"

น้ำตอบออกไป

"ถ้างั้นเดี๋ยวเราไปส่ง"

วายุตอบหน้าเจื่อนๆหน้าแดงก่ำ พอกินเสร็จก็ขับรถมาส่งน้ำที่หอ จอดรถไว้ที่เดิมแล้วเดินมาส่งน้ำ จวนจะค่ำแล้วจากแดดนายเป็นแดดรอน ถ้าตอนนี้อยู่ที่บ้านคงจะอยู่ที่นามองแสงสุริยันกำลังจะเคลื่อนคล้อยลับขอบฟ้า แสงสีส้มแดงทองคงฉาบระยับอยู่ที่ปลายฟ้าผืนนั้น แต่ตอนนี้มองอะไรอย่างนั้นไม่เห็น เห็นเพียงหมอกควันที่หนาเสียจนความงดงามเหล่านั้นมองไม่เห็นอีกเลย น้ำเดินขึ้นไปบนห้องอย่างทุลักทุเล วายุเองก็คอยประคองระวังหลังให้เพราะบันไดมันสูงชันเหลือเกิน น้ำค่อยๆเปิดประตูห้องออก

"ไปไหนมาน้ำ เราหิวข้าว"

พอเห็นว่าใครกำลังเข้าห้องมาบอทเองก็ร้องขึ้น หน้าตาเหมือนคนเพิ่งจะตื่นนอน

"อ้อ น้ำ"

"น้ำเขาไม่สบาย หิวทำไมนายไม่ลงไปหาอะไรกินเองล่ะ"

วายุตอบแทนน้ำเสียงแสดงความไม่พอใจออกมาเป็นอย่างมาก บอทเองชะเง้อคอมาดู น้ำเองก็หันไปทางวายุเหมือนกับว่าเขาพูดอะไรผิดไป

"นายเป็นใคร"

เสียงแข็งขึ้นทันที

"เอ่อ เพื่อนน้ำเองล่ะบอท เขาพาไปหาหมอ"

"ทำไมเราไม่เคยรู้จัก เพื่อนที่ไหน"

ถามออกมาหน้าตาเฉย วายุเองมือเริ่มสั่นกัดฟันแน่น

"เพื่อนรู้จักที่ทำงาน บอทหิวเหรอ เดี๋ยวน้ำไปซื้อข้าวให้"

"น้ำ"

ร้องออกมาหน้าตาเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงสำหรับวายุ กระตุกใจเหลือเกิน นี่ขนาดไม่มีแม้แรงจะเดิน ยังยอมเขามากขนาดนี้เชียวหรือ

"น้ำไม่สบายอยู่นะ นี่นาย นายไม่ได้ป่วยลงไปหาอะไรกินเองไม่ได้ไง เป็นง่อยเหรอวะ"

วายุฉุนขึ้นทันทีสายตาก้าวร้าวเพราะนิสัยส่วนตัวเป็นนักเลงโตอยู่แล้ว

"มันไม่เกี่ยวกับนาย"

"ไอ้"

"นาย เราขอบใจนะที่นายพาไปหาหมอ เดี๋ยวค่าหมอเราจะใช้คืนให้นะ"

เขาไล่แล้ว วายุหน้าเจื่อนลงเม้มปากแน่น

"นายกลับไปก่อนเถอะ"

"น้ำ"

"ขอบใจมาก"

สีหน้าของน้ำทำให้วายุพูดอะไรไม่ออก คนอย่างน้ำต้องทนอยู่กับไอ้คนแบบนี้ด้วยหรือ วายุคิดในใจ

"เดี๋ยวเราไปซื้อข้าวให้เอง น้ำไม่ต้องไปหรอก ยังไม่หายนะน้ำ"

ถอนหายใจพูดออกมา วายุจ้องมองหน้าบอทที่ลอยหน้าลอยตาอยู่อย่างคาดโทษ วายุเองไม่รอให้น้ำเอ่ยอะไรออกมารีบเดินลงบันไดไปทันที

"มันเป็นใครน้ำ อย่ามาหลอกเรา"

พอพ้นหลังวายุบอทเองก็ขึ้นเสียงทันที

"บอกแล้วนี่บอท รอแป๊บนะเดี๋ยวข้าวก็มา"

"ไปรู้จักมันได้ยังไง ท่าทางมันไม่ใช่เพื่อนเรียนรามฯนี่"

น้ำเม้มปากแน่น นี่เราทำอะไรผิดไปหรือ

"อ้อ หรือว่ามันเป็นลูกค้าที่ร้านแล้วมาจีบน้ำ เหรอน้ำใช่ไหม"

เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที

"บอท"

"ใช่สิ มันท่าทางคงรวย ไหนบอกรักเรา แล้วทำไม"

"พอแล้วบอท อะไร จะเอาอะไรจากน้ำ อยากให้น้ำพูดอะไร แล้วเมื่อคืนทำอะไรไปเห็นใจน้ำบ้างไหม น้ำเป็นใครบอท ปากบอทบอกว่าน้ำเป็นแฟน แล้วเมื่อคืน มันคืออะไร ไอ้นั่นมันเป็นใคร น้ำเจ็บบอทรู้ไหมว่าน้ำเจ็บ"

ร้องไห้ออกมาหนองที่คั่งค้างอยู่ในใจมันแตก ความเจ็บช้ำใจที่หมักหมมมานานแสนนานมันพุ่งออกมาพร้อมกับทะเลน้ำตาที่หลั่งไหลออกจากสองตา บอทเองอ้าปากค้าง

"น้ำ"

"น้ำเป็นอะไรไปแล้วในใจบอท บอทเอาน้ำไปไว้ตรงไหนของหัวใจ"

"เมื่อคืนเราทำอะไรไป เราไม่รู้"

"อย่าพูดเลยบอท อย่าพูดเรื่องนี้อีก บอทคนเดิมแม้จะเมาไม่ได้สติแต่พอฟื้นตื่นมาเขายังจำได้ว่ารักน้ำอยู่ และเขาบอกว่าจะรักเสมอ อย่าได้ใส่ใจเลย บอทคงกำลังพยายามอยู่ พยายามที่จะเขี่ยเราออกจากหัวใจ"

"น้ำ"

น้ำจ้องตาของบอทเขม็งทั้งน้ำตา ส่วนบอทเองได้แต่อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก นี่เราทำอะไรลงไป น้ำถึงได้โกรธขนาดนี้โดยปกติน้ำจะเป็นคนที่ยอมบอทมาโดยตลอด แล้วนี่มันอะไรกัน บอทเริ่มสับสน จำได้แค่ว่าไปกินเหล้ากับไม้มา หลังจากนั้นก็กลับมาห้อง แล้วไม้ก็

"น้ำ เราขอโทษ"

ครางออกมาเมื่อพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เสียงที่เปล่งออกมาเหมือนคนที่เพิ่งค้นพบตัวเอง

"ไม่เป็นไรหรอกบอท น้ำทนได้ น้ำจะทน เพราะน้ำเองเป็นคนทำให้บอทเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ น้ำจะยอมทนทุกอย่างเพื่อให้ได้บอทคนเดิมของน้ำคืนมา"

สายตาของน้ำที่จ้องมองใบหน้าของบอทมันทำให้บอทเองไม่มีอะไรหลุดออกมาจากปากอีกเลย ความเจ็บขมที่อัดแน่นอยู่ในใจมันฉายออกมาทางตาและม่านน้ำตา หยาดน้ำตาหยดที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่นับจากที่เกิดเรื่องหยาดน้ำตาจากดวงตาคู่นี้ก็หลั่งไหลออกมาอย่างไม่มีทางจะสิ้นสุดและไม่รู้ว่ามันจะเหือดแห้งไปเมื่อใด ความรักที่อดทนกับความเจ็บยอกแห่งรักนั้นมันกัดกินก้อนความรู้สึกไปทีละน้อยๆ เหตุที่จนแก่ปัญญาจะแก้ไข เรื่องราวที่ทับถมทับซ้อนจนหนาแน่นอยู่ทั้งใจมันทำให้ใจดวงนี้เริ่มที่จะชินชา เจ็บจนชา

"น้ำ ดูแลตัวเองดีๆนะ เราเป็นห่วง"

วายุเอ่ยขึ้นแล้วถอนหายใจก่อนจะกลับ

"ขอบใจมากนะ ที่ดูแลเรา"

"น้ำ ให้เราเป็นคนดูแลน้ำเองได้ไหม"

น้ำเสียงที่ทุ้มนุ่มสายตาที่มองมามันเต็มไปด้วยความห่วงใย สายตาของคนที่เราว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า สายตาที่สะท้อนความรู้สึกเมื่อวันวาน สายตาแบบนี้เคยมองเขามาโดยตลอด น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูที่เคยได้ยินอยู่ทุกเวลา เตือนให้ระลึกถึงวันเก่าๆ หัวใจมันร้าวแปลบปลาบขึ้นมา

"นาย"

ครางออกมาจากหัวใจ ไม่ได้อยากดึงใครเข้ามาในวงจรของหัวใจแบบนี้ ท่าทางของเขาดูเป็นคนดี แม้ตอนแรกที่พบเจอกันมันจะไม่น่าจดจำเท่าใดนัก แต่เขาเองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาควรได้ไปเจอคนที่ดีๆไม่ใช่เราที่สนิมกำลังกัดกินหัวใจอยู่อย่างนี้

วิสัชนา หาได้จากสิ่งที่รายล้อมตัวเรานั่นแล


ปล. ขอโทานะคร้าบที่หายไปนานพอสมควร คือยุ่งๆที่ทำงานเลยไม่ได้เอามาลง แต่เขียนเสร็จแล้วล่ะ ยังไม่ได้ดูคำผิดเลย รีบเอาลงให้อ่านกันก่อน

เช่นเคย ตอนนี้ มอบให้ ป้านัท สุดที่รักนะครับ ไม่เจ็บพอหรอก คิดอะไรเจ็บๆไม่ค่อยออกเลยช่วงนี้ อิอิ ขอให้มีความสุขนะครับ ทุกๆคนเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๓ (พฤศจิกายน ๒๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 26-11-2010 20:53:54
^

^
^

จิ้มพี่อิ๊คในที่สุดก็มาต่อจนได้

ดีใจมากๆ เลย ง่า

รักพี่อิ๊ค :3123:

คนเค้าเป็นห่วงหายไปซะนานเชียว

ที่แท้งานยุ่งนี่เอง สู้ๆ นะพี่อิ๊ค


เค้าขอตัวไปอ่านก่อนนะ งิงิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 26-11-2010 21:17:43
บทที่ ๓๕

ปุจฉา ขูดเลือดจากปู ท่านเปรียบได้กับสิ่งใด

"น้ำๆ เป็นไงบ้าง"

พอวายุลับตาไปไม่นานนักเสียงของเล็กก็ดังขึ้น อันหอพักชายนั้นปกติจะไม่อนุญาตให้หญิงสาวล่วงล้ำขึ้นไปหรือเข้าไปภายใน แต่เล็กพิเศษกว่าใครด้วยบุคลิกลักษณะที่ไม่เหมือนหญิงสาว อีกทั้งเป็นคนพาน้ำและบอทมาอยู่ที่นี่ทางเจ้าของหอจึงอนุญาต น้ำเองเผลอหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ของยาลดไข้ บอทเองสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของเล็ก

"น้ำเป็นไงบ้างไอ้บอท"

เล็กถลึงตาใส่บอทเมื่อเขาแง้มประตูออกมา

"นอนอยู่"

"น้ำเป็นไข้ได้ยังไง แล้วทำไมมึงไม่ใช่คนที่พาไปหาหมอ"

เล็กเองมองที่ร่างของน้ำที่นอนขดอยู่แล้วกัดฟันพูดออกมาเสียงเขียวจ้องหน้าของบอท

"เอ่อ กู"

"มึงทำอะไร มึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงไอ้บอท น้ำมันดูแลมึงมาตลอด แล้วนี่น้ำป่วยแทบตาย มึงทำอะไรอยู่"

เล็กยังไม่ยอมวางตา

"อือ เล็ก มึงมาเหรอ"

น้ำงัวเงียตื่นขึ้นมา เล็กปรี่เข้าไปหา

"ไม่ต้องลุกน้ำ ดีขึ้นหรือยังมึง"

"อืม ค่อยยังชั่วแล้ว ไข้ลดลงมาก พี่นัสว่าไงบ้าง"

"ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอกมึง ทุกคนเขาเข้าใจ ทุกคน"

หันมาทางบอทที่ทำหน้าเหรอหราไม่รู้ไม่ชี้อยู่

"กูถามหน่อยน้ำ ป่วยตั้งแต่เมื่อคืนใช่ไหม แล้วทำไมเพิ่งจะไปหาหมอ"

เล็กเองไม่ยอมง่ายๆหน้าตาไม่ยอมลดละให้ใคร

"เอ่อ มันดึกน่ะมึง"

"แล้วไง"

"เอ่อ เอาเถอะไหนๆกูก็ดีขึ้นแล้วอย่าใส่ใจเลย"

"น้ำไม่ได้นะ บอกมานะไอ้บอท เมื่อคืนมึงทำอะไรอยู่"

หันไปแว้ดเสียงใส่บอท บอทเองสะดุ้ง

"กู เอ่อ กูเมา"

"ไอ้ห่า เมา"

"เล็ก พอแล้ว อย่าโวยวายเลย กูไม่เป็นอะไรแล้ว"

น้ำร้องขึ้นปรามเอาไว้ก่อนเพราะสีหน้าท่าทางของเล็กเหมือนเลือดกำลังขึ้นหน้า

"กูขอคุยกับมึงหน่อยสิไอ้บอท"

"เอ่อ"

"ตอนนี้ ที่ริมคลอง"

"เล็ก คุยตรงนี้ก็ได้"

"มึงพักไปเถอะน้ำ มันเรื่องที่กูจะเคลียร์กับมันสองคน ตามกูมาไอ้บอท"

เล็กพูดน้ำเสียงหนักแน่นลุกขึ้นยืนจ้องหน้าบอทกลางห้อง บอทเองเริ่มหวั่นไหว ไม่ใช่ว่ากลัวเล็กแต่รู้สึกเหมือนกับว่าตนได้ทำผิดไปจริงๆในคราวนี้ เล็กจ้องหน้าบอทจนเขายอมลุกขึ้นมาเดินตามลงมาจากห้อง

"มึงกำลังคิดอะไรอยู่ไอ้บอท มึงกำลังพยายามจะทำอะไรอยู่"

พอถึงที่เล็กก็หันขวับมาจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อของบอท

"กูไม่ได้คิดอะไร"

"อย่ามาโกหก มึงคิดมาโดยตลอดใช่ไหมว่าน้ำเป็นต้นเหตุที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ มึงคิดว่าน้ำผิดมาตลอดใช่ไหม แล้วมึงเคยรู้ไหมว่าน้ำมันเสียใจมากขนาดไหนที่มึงเป็นแบบนี้ มึงเคยเห็นใจมันบ้างไหม"

เล็กโพล่งออกมาสายตากร้าว

"เอ่อ"

"มันพยายามทำทุกอย่าง มึงไม่เหมือนเดิมแล้ว มึงจะทำให้มันเจ็บทำไมไอ้บอท มึงยังเป็นคนอยู่ไหม เมื่อคืนมึงไปกับไอ้ห่านั่นใช่ไหม น้ำมันทรมานมากนะ มึงเองก็เปลี่ยนไปมาก มึงจะรอให้น้ำมันกระอักเลือดตายก่อนเหรอมึงถึงจะจำทุกอย่างได้"

"กูพยายามอยู่นะ ไม่ใช่กูไม่พยายาม"

"พยายามทำอะไร พยายามจะรื้อฟื้นความจำน่ะเหรอ ไอ้ควาย มึงแค่ความจำเสื่อม แต่กูว่าเหมือนมึงเปลี่ยนไปเลยนะไอ้บอท สันดานเปลี่ยน ไม่ใช่คนเดิม"

"อีเล็ก"

บอทเองก็เหมือนสุดจะทนที่เพื่อนมายืนด่าอยู่แว้ดๆ

"ทำไม หรือว่ามันไม่จริง ความจำเสื่อม แต่ที่มึงทำกูว่ามันไม่ใช่ มึงอยากให้น้ำทำอะไร หา มึงต้องการอะไรจากน้ำ"

"มันเรื่องของกูกับน้ำ ไม่เกี่ยวกับมึง มึงอย่ามาเสือก"

บอทเองก็ไม่ยอมเช่นกัน เลือดวิ่งขึ้นหน้าร้อนไปทั่วทั้งหน้า

"น้ำมันเป็นเพื่อนรักของกู ทำไมกูจะยุ่งไม่ได้ แต่ก่อนมึงก็เคยเป็น แต่ตอนนี้ไม่ใช่"

"กูก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนมึง"

เล็กเม้มปากแน่นจ้องมองบอทด้วยสายตาที่โกรธเกลียด เขาเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิงจริงๆ

"มึงจำไว้ให้ดีนะไอ้บอท ห้าหากว่าวันใดความทรงจำมึงกลับคืนมา วันนั้นมึงอย่ามาเสียใจว่ามึงได้ทำอะไรลงไปกับน้ำบ้าง อย่ามาบอกว่ามึงจำไม่ได้ อย่ามาบอกว่ามึงไม่ได้ตั้งใจ อย่าไปขอโทษมัน เพราะสิ่งที่มึงทำอยู่ตอนนี้มันได้ทำให้น้ำมันเจ็บ ทำให้หัวใจมันเป็นแผล และกูเองนี่ล่ะที่จะกันมันออกจากมึง ไอ้ชาติชั่ว"

เล็กเดินหนีขึ้นห้องไปแล้ว บอทยืนกัดปากตัวเองอยู่ ไม่ได้คิดอะไรนอกจากโกรธ ไม่เคยมีใครมายืนด่าเขาได้มากเท่านี้มาก่อน

"น้ำ พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ พี่นัสเขาบอกแล้วไม่ต้องไปให้หายดีก่อน ไปทีเดียววันพุธเลย"

เล็กเปลี่ยนน้ำเสียงเมื่อคุยกับน้ำ

"มึงจะกลับแล้วเหรอ"

"อืม กลับสิ กลัวจะได้เตะปากใครแถวนี้"

"มึงทะเลาะกับบอทเหรอเล็ก"

"ไม่มีอะไรหรอกน้ำ เออ ต้องขอบใจวายุนะเนี่ยที่พามึงไปหาหมอ"

เล็กหัวเราะออกมาน้อยๆปรายตามองดูปฏิกริยาของน้ำที่ทำหน้าเจื่อนๆอยู่

"อืม เดี๋ยวกูจะหาเงินไปคืนเขา ค่าหมอน่ะมึง"

"อืม เดี๋ยวกูช่วยออก แต่กูว่าเขาไม่เอาหรอกน้ำ"

"ทำไมล่ะ"

"เชื่อกูเถอะ เขาไม่เอาหรอก วายุนี่ก็ดูท่าทางเป็นคนดีเหมือนกันเนอะ หล่ออีกต่างหาก ใจดีด้วย"

น้ำเบือนหน้าหนีเสีย เล็กเองฉายรอยยิ้มออกมา คุยกันอยู่สักพักก่อนจะกลับเพราะปล่อยให้บอทอยู่ข้างล่างนานแล้วเขายังไม่กลับขึ้นมาบนห้อง

"มันถึงเวลาแล้วล่ะน้ำ คนดีๆผ่านเข้ามาในชีวิต มึงอย่าได้ปฎิเสธเขาเลย ถึงมึงจะไม่เอากูนี่ล่ะจะหาทางมัดมึงกับเขาเอง ปล่อยให้ไอ้สมองเสื่อมนี่มันอยู่แบบนี้ล่ะ ให้มันเจ็บซะบ้าง"

เล็กเอ่ยออกมาฉายแววตาลึกลับจนน่ากลัว

"อีเล็กมันไปแล้วเหรอน้ำ"

บอทกลับขึ้นมาบนห้องด้วยสีหน้าที่ยังบึ้งตึงอยู่

"อืม เพิ่งกลับไปเมื่อตะกี๊ มีอะไรกันหรือเปล่าบอท"

น้ำถามออกไปพยายามอ่านสีหน้าท่าทางของบอทอยู่

"มันมาด่าเราน่ะสิน้ำ มันหาว่าเราไม่ดูแลน้ำ มันเสือกเรื่องของเรา"

"บอท"

ครางออกมา ตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำเหล่านี้ออกมาจากปากของบอท

"เราว่าเรื่องของเรามันไม่ควรเข้ามายุ่งนะน้ำ น้ำก็รู้ว่าเราเมา ถ้าเราไม่เมาเราก็คงพาน้ำไปหาหมอแล้วล่ะ"

น้ำมองบอทด้วยสายตาที่ไม่เคยมองมาก่อน แต่ก่อนไม่ว่าบอทจะทำผิดมากแค่ไหนแต่สายตาที่คอยเฝ้ามองก็ยังห่วงใยใส่ใจอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้มองเขาอย่างเคลือบแคลงใจ

"อืม น้ำรู้ ถ้าบอทไม่เมา ไม้ก็คงไม่ละลาบละล้วงบอทเหมือนกันใช่ไหม"

น้ำเสียงนิ่งแต่สายตาเชือดเฉือนเหลือเกิน

"น้ำ"

ร้องออกมาสีหน้าระเรื่อขึ้น

"เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะเมื่อคืน เราไม่รู้"

"ช่างมันเถอะบอท อย่าใส่ใจเลย น้ำเริ่มชินแล้วล่ะ"

"แล้วไอ้นั่นมันมาจีบน้ำใช่ไหม"

บอทเห็นจวนตัวจึงเปลี่ยนประเด็น

"อย่าเอาเขามาเกี่ยวข้องด้วยเลยบอท เขามันคนละชั้นกับน้ำ"

"หึ คงจะดีใจสินะที่มีคนรวยๆมาจีบ มันหล่อด้วยนี่"

"บอท น้ำไม่ใช่คนแบบนั้นนะ"

น้ำแว้ดเสียงขึ้นสายตาตัดพ้อต่อว่าบอทอย่างรุนแรง แต่เขาไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด เดินออกจากห้องไปแล้ว น้ำเองได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ความหนักอึ้งในใจไม่รู้มันจะเบาบางลงเมื่อไหร่ แต่เท่าที่ดูมันไม่น่าจะทุเลาลงในระยะนี้เลย น้ำหลับไปอีกครั้งเพราะฤทธิ์ของยา

"น้ำๆ ตื่นหรือยัง เรามารับไปกินข้าว"

สะดุ้งตื่นขึ้นมา งัวเงียสิ่งแรกที่ทำคือหันไปมองทางบอทว่าเขาอยู่ที่ห้องหรือไม่ บอทเองยังนอนอยู่ที่เดิมคงจะกลับเข้ามาตอนดึก น้ำลุกขึ้นไปเปิดประตู รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

"นาย"

ครางออกมาแง้มประตูน้อยๆ ไม่อยากให้ใครมาเห็นตนในสถาพแบบนี้ แต่วายุยิ้มระบายอยู่ทั่วดวงหน้า

"เพิ่งตื่นเหรอ งั้นเรารอข้างล่างนะน้ำ เดี๋ยวพาไปกินข้าว"

"เอ่อ เรา"

"ไปดิน้ำ มีราชรถมารับถึงที่ ดีใจไม่ใช่เหรอ"

เสียงของบอทดังขึ้น น้ำเม้มปากแน่น

"บุกมาถึงห้องแบบนี้ ไหนบอกว่าเป็นแค่เพื่อนกันไง"

พอน้ำปิดประตูเสียงของวายุเดินลงบันไดไปแล้ว บอทเองก็โพล่งขึ้น

"ก็เป็นแค่เพื่อน"

"เหรอ แต่เราว่าไม่ใช่หรอก คนมันหล่อและรวยอ่ะนะ ใครจะไม่เอา เรามันจนนี่ สมองเสื่อมอีกต่างหาก ไม่เจียมตัวเลยกู"

"บอท"

"ฮึ ใครนะบอกว่ารักเราอย่างนั้นอย่างนี้ พอเห็นคนรวยหน่อยคำว่ารักมันหายไปไหน"

"บอท มากไปแล้วนะ น้ำไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆนะ เขาเป็นได้แค่เพื่อน เพื่อนเท่านั้น"

"ไปเถอะน้ำ อย่ามาพูดเลย อยู่กับเรามันไม่มีอะไรดีอยู่แล้วนี่ น้ำคงจะรำคาญเราเต็มแก่แล้ว"

"บอท ทำไมพูดกับน้ำแบบนี้ บอทก็รู้ว่าน้ำรักบอทมากนะ"

น้ำตาไหลออกมาปวดร้าวในใจเหลือเกิน

"พอเถอะน้ำ เราว่าที่นายเคยรักเราน่ะ มันคงจะเป็นแค่เพียงอดีตเท่านั้นล่ะ อย่าไปใส่ใจเลย"

บอทลุกขึ้นเดินออกจากห้องลงไปห้องน้ำทันที น้ำเองเอามือขึ้นกุมหน้าร่ำไห้ออกมาอย่างเสียใจ

"นาย เราขอโทษนะ เราคงไปกินข้าวกับนายไม่ได้หรอก ขอโทษด้วย"

น้ำลงไปบอกวายุที่นั่งรออยู่หน้าหอ

"ทำไมล่ะน้ำ เพราะไอ้ เอ่อ เพราะเขาใช่ไหม"

"ไม่ใช่หรอก เราไม่สะดวก ขอบใจนะ"

"น้ำ"

"นาย เราว่านายเลิกยุ่งกับเราเถอะนะ เราไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนนายหรอก ขอบใจนายนะที่นายยอมลดตัวลงมาหาเรา ส่วนเรื่องค่าหมอ เราจะผ่อนคืนให้นายที่ร้านนะ"

น้ำพูดน้ำเสียงเด็ดขาดแล้วหันหลังจะขึ้นหอไป

"น้ำ เดี๋ยว ไม่ว่าจะยังไง เราไม่สนใจหรอกนะ เราจะรอน้ำ ส่วนเรื่องค่าหมอไม่ต้องคืน อยากให้น้ำรู้ไว้ ว่าเราจริงใจไม่ได้มาหลอกน้ำนะ"

น้ำหยุดกึกลงเม้มปากแน่น แต่ก็เดินหนีขึ้นหอไปไม่ยอมหันหลังกลับอีกเลย

"อ้าว ไม่ไปล่ะน้ำ"

เข้าใจเขาดีนะว่ารู้สึกยังไง แต่ทำไมไม่ยอมเข้าใจเราบ้างว่าเราจะรู้สึกยังไง จะเสียดแทงใจกันไปถึงไหน

"ไม่ไป บอทหิวข้าวหรือยัง เดี๋ยวน้ำลงไปซื้อ"

"จะกินได้เหรอ ข้าวแกงน่ะ ไม่ไปกินของแพงๆล่ะน้ำ"

"พอเถอะบอท จะพูดทำไม น้ำทำอะไรผิดเหรอ น้ำไม่ไปคือไม่ไป บอทจะเอาอะไรอีก"

"ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะน้ำ กลัวว่านายจะฝืนใจตัวเองน่ะสิ"

"น้ำไม่เคยฝืนใจทำอะไร"

"ให้แน่เถอะ อยากไปทำไมไม่ไป ไม่ต้องมาใส่ใจเราหรอก"

"บอท พอที แล้วทีบอทล่ะ ไม้มันเป็นใคร ทำไมน้ำไม่เคยเอ่ยปากว่าบอทสักคำ บอทรับไม้เข้ามาเหยียบหัวใจน้ำถึงที่ น้ำยังทนได้ น้ำยังร้องไห้อยู่คนเดียวบอทเคยรู้บ้างไหม แล้วนี่อะไร อยากให้น้ำทำอะไร บอกน้ำทีบอท อยากให้น้ำทำอะไร"

โพล่งออกมา ยอมทนอุกอย่างเจ็บเท่าไหร่ก็ยอม แต่ในเมื่อเขาไม่เคยใส่ใจจะมาเก็บไว้ในใจทำไมเพียงลำพัง สายตาของน้ำมองบอทอย่างตำหนิ

"น้ำ เอ่อ"

"แล้วที่บอกว่าเราเป็นแฟนกัน บอกว่าเรารักกัน แล้วที่ยอมให้ไม้ทำกับบอทเมื่อคืนวาน มันคืออะไร บอทรู้ไหมว่าน้ำเจ็บ เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก แล้วนี่อะไร บอทจะมาเรียกร้องอะไรจากน้ำ ทำอะไรบอทเคยหันมามองความรู้สึกน้ำบ้างไหม คนที่เปลี่ยนไม่ใช่น้ำ แต่มันเป็นบอท"

บอทได้แต่อ้าปากค้าง เพราะสายตาของน้ำเกรี้ยวกราดเอาความอย่างที่ไม่เคยเป็น

"แต่คืนนั้นเราไม่ได้ตั้งใจนะน้ำ"

"น้ำก็ไม่ได้มีอะไรกับเขา ไม่เคยคิด"

ตอบกลับทันควัน บอทเองจนต่อคำพูดก้มหน้านิ่ง น้ำเองก็อึดอัดใจ ห้องในเมืองใหญ่แต่ขนาดมันเล็กไม่กี่ตารางเมตร คนสองคนที่มีปมในใจถูกกักขังไว้ในห้องเล็กนี้ ห้องที่เล็กอยู่แล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันแคบลงไปอีกถนัดตา มีเพียงเสียงถอดถอนลมหายใจของทั้งสองคน ไม่มองหน้าไม่สบตา ความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นเวลามันเกิดขึ้นมาแล้วยากที่จะดีดมันออกจากใจไปได้โดยง่าย ลำบากใจเหลือเกิน

"เดี๋ยวน้ำไปซื้อข้าวนะ"

พูดออกไปแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ น้ำเองได้แต่ก้มหน้าเดินลงจากหอไป ร่างที่เพิ่งจะสร่างไข้ แต่ใจกลับป่วยแทน เมื่อไหร่มันจะหลุดจะพ้นจากบ่วงนี้เสียที

วิสัชนา เปรียบได้กับขอความรักจากก้อนหิน หรือคนที่ไร้ซึ่งดวงใจ ใช่ไหมท่าน


ปล. แทนคำขอโทษที่หายไปนาน อ่านเพลินๆนะคร้าบ

มอบพิเศษ ให้น้อง จิมมี่   มาจิ้มก่อนใคร เหอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 26-11-2010 21:21:41
ตัดใจ หักห้ามใจ
แม้นจะยากแสน
แต่เมื่อถึงเวลานึง
ก็คงต้องทำและทำให้ได้ ในเมื่อเขาไม่ต้องการเราแล้ว
เราก็คงต้องอยู่ให้ได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีเขา... จริงไหม?
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 26-11-2010 21:28:43
สองตอนรวด เจ็บปวดใจแทนน้องน้ำดีแท้เลย คุณอิ๊กกี้  :m15:

สนิมที่เกาะในใจมันคงเกาะกินไปเรื่อยๆไม่หมดสินะ....น้ำจะต้องทนไปอีกนานเท่าไหร่ :sad11:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 26-11-2010 21:30:49
พี่อิ๊กหวัดดีครับ
โหกลายเป็นงั้นไปได้
ดูเหมือนพี่อิ๊กจะตัดฉากที่ไอ้คุณบอทสำนึกผิด  ถึงจะนิดหน่อยนะ
น้ำทำไมยอมขนาดนั้นละ เรื่องรับผิดชอบในบางเรื่องก็มีขอบเขตนะ
ยิ่งเรื่องแบบนี้ สงสารตัวเอง  สงสารหัวใจตัวเองบ้างเถาะ
ลองเปิดใจให้คนรอบข้างมั่งนะ  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 26-11-2010 21:31:44
แนะนำเกิดใหม่หัวใจซันวานะคะน้องน้ำสนิมจะได้ไม่เกาะไม่กิน :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: Natavishi ที่ 26-11-2010 22:57:52
สงสาร น้ำ อ่าาาา
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 26-11-2010 23:27:59
"พยายามทำอะไร พยายามจะรื้อฟื้นความจำน่ะเหรอ ไอ้ควาย มึงแค่ความจำเสื่อม แต่กูว่าเหมือนมึงเปลี่ยนไปเลยนะไอ้บอท สันดานเปลี่ยน ไม่ใช่คนเดิม"
โดนเต็มๆ ดอกที่1

"มึงจำไว้ให้ดีนะไอ้บอท ห้าหากว่าวันใดความทรงจำมึงกลับคืนมา วันนั้นมึงอย่ามาเสียใจว่ามึงได้ทำอะไรลงไปกับน้ำบ้าง อย่ามาบอกว่ามึงจำไม่ได้ อย่ามาบอกว่ามึงไม่ได้ตั้งใจ อย่าไปขอโทษมัน เพราะสิ่งที่มึงทำอยู่ตอนนี้มันได้ทำให้น้ำมันเจ็บ ทำให้หัวใจมันเป็นแผล และกูเองนี่ล่ะที่จะกันมันออกจากมึง ไอ้ชาติชั่ว"

โดนเต็มๆ ดอกที่2

ที่เรารู้สึก บอทฝังใจว่าน้ำทำให้บอทเป็นแบบนี้ (แต่ยังไม่เข้าใจบอทเลยแม้แต่น้อยว่าคิดจะทำอะไรแล้วนิสัยเป็นแบบนี้เพราะอะไร)
ส่วนน้ำ เพราะรัก อย่างเดียวเลย ถึงได้ก้มหน้าก้มตารับความเจ็บปวดทุกสิ่งทุกอย่าง
สงสารน้ำ..
แต่ถ้าน้ำคิดจะทน ต้องเอาให้ทนกับความเจ็บให้ถึงที่สุด
เวลาเอาคืนบอท มันจะได้เอาคืนได้เต็มๆ เน้นๆ
(รอหัวเราะอยู่ ฮ่าๆๆๆ)



 :กอด1: คุณอิ๊ก มาทีสองตอนเลย ^^
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 26-11-2010 23:40:48
อ๊ากกกกกกกกกก คอมเสียไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวัน สงสารน้ำอ่ะ
เกลียดบอทอ่ะ :m31:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 26-11-2010 23:53:42
อ่านไปใจหายไป

เหมือนจะไม่เศร้าแต่ทไมมันเศร้าแปลกๆ

บอทได้แต่พูดว่าไม่รู้

แต่ไม่เห็นใจน้ำเลยตัวเองไม่รู้สึกอะไรแล้วยังจะกันน้ำไว้อีก

คงคิดว่ายังแก้แึค้นน้ำยังไม่สะใจสินะ

เกลียดบอทที่เป็นแบบนี้เอาบอทคนเดิมคืนมา

 o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 27-11-2010 00:31:35
เหนื่อยใจจริงๆๆๆ
ตอนแรกสงสารน้ำนะ แต่ตอนนี้ไม่สงสารน้ำแล้วล่ะ
เพราะในเมื่อเค้าตัดสินใจที่จะเลือกแบบนั้นเอง เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 27-11-2010 00:32:24
โอ้....... สนิมน้ำค้างหมายความว่าอย่างงี้นี่เอง

ไม่อยากบอกว่าเอ็มเหลือเกิน  มาเริ่มอ่านเรื่องนี้ตอนดราม่าล่ะ

ชอบดราม่า  อิ..อิ   :-[
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) &#
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 27-11-2010 00:53:56
ห้องในเมืองใหญ่แต่ขนาดมันเล็กไม่กี่ตารางเมตร คนสองคนที่มีปมในใจถูกกักขังไว้ในห้องเล็กนี้ ห้องที่เล็กอยู่แล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันแคบลงไปอีกถนัดตา

ชอบประโยคนี้จังค่ะ ประโยคไม่ได้ยาวอะไร แต่อ่านแล้วเห็นภาพฉากขัดแย้งที่สร้างบรรยากาศอึดอัดใจของตัวละครให้แก่คนอ่านชัดเจนเลยค่ะ 

ต่อตอนใหม่เลยค่ะ อย่าหยุดนาน อยากอ่านต่อแล้วค่ะ

ขอแย้งปริศนาธรรมของคุณอิ๊กกี้ข้อนึงนะคะ

ปุจฉา ขูดเลือดจากปู ท่านเปรียบได้กับสิ่งใด
วิสัชนา เปรียบได้กับขอความรักจากก้อนหิน หรือคนที่ไร้ซึ่งดวงใจ ใช่ไหมท่าน


น้องมิว่าไม่ใช่นะคะ เพราะ รีดเลือดจากปู เป็นสำนวนหมายถึง เคียวเข็ญหรือบีบบังคับเอาผลประโยชน์จากคนที่ลำบาก แต่ก้อนหินหรือคนที่ไร้ดวงใจไม่มีนัยความหมายของผู้ลำบากยากแค้น แต่คนไร้หัวใจก็คือคนที่เขาไม่ได้มีใจรักตอบเรา ไม่ได้สนใจอะไรในตัวเราเฉยๆ น้องมิเลยคิดว่าการขอความรักจากก้อนหินหรือคนไร้ดวงใจไม่น่าจะเปรียบได้กับสำนวน รีดเลือดกับปู นะคะ


บทที่ ๓๔
ขากันไกร  ที่ถูกต้อง ต้องเป็น ขากรรไกร นะคะ
สอาด ตกสระอะไปรึเปล่าคะ ต้องเป็น สะอาด   นะคะ

บทที่ ๓๕


มีเพียงเสียงถอดถอนลมหายใจของทั้งสองคน


ถอดถอนลมหายใจ ถอดถอน หมายถึง ถอดออกจากตำแหน่ง   ความหมายต่างจาก ถอน นะคะ 
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 27-11-2010 10:37:07
 :m15:รักมากก็เจ็บมาก คนอื่นทำกับเราให้เจ็บปวดแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับคนรักทำกับเราแค่เพียงนิดเดียว :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 27-11-2010 11:29:31
ขออนุญาตนะคะคุณอิ๊ก และทุกคน
ขอสักคำค่ะ

ไอ้ึควายยยยยยยยยบอท

โอ้ยยย ไม่ไหวๆ น้ำตาไหล โกรธมากกก
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ น้ำเอ๋ยยยยชีวิตคนเรามันสั้นนัก
ถ้าการที่เราต้องเจ็บซ้ำๆ อยู่แบบนี้
หาทางออกจากคนพวกนี้เถอะน้องเอ้ยย
อย่าทนเจ็บปวดอีกเลย คำว่ารัก ก้อแค่ คำๆ หนึ่ง ที่เราสร้างมันมาผูกมัดตัวเรา

การกระทำ ต่างหากก ที่บอกอะไรได้ทุกสิ่ง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 27-11-2010 13:56:30
แหะๆ  เพิ่งได้อ่านตอนสองเมื่อตอนเที่ยง 
แบบว่าดีใจที่พี่อิ๊กเอาตอนต่อมาลง เลยไม่ได้สนใจข้อความล่างๆ  เหอๆๆ
ไอ้คุณบอท  น่าจะกลับไปเป็นไอ้คุณบอดเหมือนชื่อเดิมนะ
ตอนนี้ก็ปิดตาปิดหูปิดสมองตัวเองหมดแล้ว  เรื่องของตัวเองถูกหมด  เรื่องของคนอื่นผิดหมด  สุดยอด
กลับไปอยู่ที่บ้านเถาะไอ้คุณบอท  อยู่ในเมืองวันไดถ้าขาดน้ำ รับรองว่าตายแน่ๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 27-11-2010 14:14:56
รักมากยอมได้ทุกอย่าง.....รักนี้เป็นทุกข์จริง ๆ...
เมื่อไหร่น้องน้ำจะพ้นทุกข์ซะที......
บอทต้องการอะไร.....ฆ่ากันทั้งเป็นทำไม????? :เฮ้อ:

 :กอด1: น้องน้ำ กะ น้อง eiky  :L1:
กด + ให้กำลังใจน้า....
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 27-11-2010 15:43:14
เลิกๆไปเถอะน้ำ เล็กพูดถูก หัวใจมันเป็นแผลต่อให้หายก็มีแผลเป็นหลงเหลือ ปัญหาคือพื้นที่หัวใจของน้ำ มันจะใหญ่เพียงพอให้เกิดแผลเป็นได้มากมายแค่ไหน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 27-11-2010 16:02:52
เล็กพูดได้ตรงทุกอย่างอ่ะ 
อย่ามาบอกว่ามึงจำไม่ได้ อย่ามาบอกว่ามึงไม่ได้ตั้งใจ อย่าไปขอโทษมัน
ทั้งหมดเพราะไอบอทคนเดียว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 27-11-2010 16:13:53
 :sad4: :sad4:


ม๊ายน๊าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ไหนพี่อิ๊กกี้ว่านายเอกของพี่อิ๊กกี้แรงกว่าภูมิ คงเป้นเรื่องใหม่สิน่ะ

แต่น้ำนี่ก็ดีน่ะที่สวนบ้างด่าบ้าง ไม่ได้ยอมเป็นนางเอกยุ
ไม่งั้นคนอ่านคงอึดอัดตายแน่

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 27-11-2010 22:00:57
รอน้ำครับพี่อิ๊ก
ชอบคอนดราม่า  กับตอนที่ปะทะกันแรงๆ  ซาดิสป่าววะเรา
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 28-11-2010 00:46:14
น้ำน่าสางสารมากๆเลยง่าๆ

T^T

ขอบคุณที่มอบตอนนี้ให้นะคับ

รอตอนต่อไปนะพีอิ๊คๆ

 :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 28-11-2010 04:25:41
เมื่อไหร่ Stained Glass จะเปลี่ยนเป็น stainless Glass น้อ?
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 28-11-2010 05:35:04
ตอนเดียวก็ว่าน้ำตาท่วมจอแล้ว :m15:
เจอไปสองตอนรวด คราวนี้น้ำตาท่วมบ้านเลยค่ะ :sad2: :o12: :sad4:

บอทโว๊ยยยขอตบหน่อยเหอะ!!! :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:
(จะโดนด่ามั๊ยเนี่ย ใช้อิโมเปลืองมาก - -* )

คุณอิ๊ก เจอผิดที่นึงค่ะ
อ้างถึง
"เล็กไม่สบายพี่นัส วายุเพจมาบอกว่าตัวร้อนมาก"
---> ตรงนี้ น่าจะเป็น "น้ำ" มากกว่านะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 28-11-2010 07:55:29
 :เฮ้อ:เสียดายที่น้ำกินข้าว  ถ้ากินผักกินหญ้าสักหน่อยควายชัดๆ
เรตติ้งไม่ดีเลยเรื่องนี้ นายเอกดราม่าเกินยอมไปหมดทุกอย่าง ยอมอย่างไร้เหตุผล
คนสมองเสื่อมอะไรโคตรเรื่องมาก นิสัยเนี้ยเหี้ยอีกสงสัยเป็นเพราะลึกๆแล้วมันเป็นสันดาน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 28-11-2010 12:10:25
เบื่อบอทสุดติ่งงงงงงงงงงงงงงงงงงง
น้ำพอเหอะ ทำอะไรไปเค้าก้ไม่เห็นค่า มันถึงเวลาที่ควรจะรักตัวเองได้แล้วนะ
ก.ที่บอทความจำเสื่อมมันไม่ใช่ข้ออ้างในก.รั้งให้น้ำอยู่กับตัวเองนะ
ในเมื่อตอนคนป่วยเองเค้ายังไม่เห็นจะสนใจที่จะดูแลน้ำเลย...
ปล่อยมันไปตามยถากรรมเถอะ คิดว่าไม้มันจะดูแลได้ดีกว่าก้ปล่อยเค้าไปกับไม้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 28-11-2010 14:12:19
แม่_ไอ้คุณบอทมันน่าจับกระทืบให้จมดินจริงๆเลย

สงสารน้ำอ่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 28-11-2010 17:11:53
เข้ามาดูทุกๆ ชั่วโมงเพื่อรออ่านตอนต่อไป ไม่ว่าวันข้างหน้าบอทจะจำได้และกลับมารักน้ำเหมือนเดิม แต่การกระทำของบอทในอดีตที่ผ่านมาก็จะเป็นแผลที่ฝังลึกลงไปในใจน้ำตลอดไป
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 28-11-2010 17:17:38
เข้ามารอเพื่อที่จะร้าวราญต่อ 
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 28-11-2010 18:12:38
ตอนนี้ไม่คิดอะไรมาก....คิดแค่ ... :z6:  ไอ้คุณบอท
กะ  :กอด1: ปลอบขวัญน้องน้ำคนดี....
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 28-11-2010 18:26:41
 :z2: :z2:


เต้นรอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 28-11-2010 19:38:20
วันนีจะมาต่อมั้ยพี่อิ๊ค

มานั่งคอย อิอิ

 :L1:

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 28-11-2010 21:25:09
จริงๆแล้ว น้ำแอบมาโซ?

.. อ่านแล้วหงุดหงิดน้ำมากกว่าบอทอีกอ่ะ

 o16
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 28-11-2010 23:13:21
คุณอิ๊กกี้หายไปอีกแล้ว  :serius2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 29-11-2010 14:11:15
 :jul3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 29-11-2010 17:47:27
พี่อิ๊กหายไปอีกแล้ว
ไม่คิดถึงกันมั่งเหรอ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 29-11-2010 22:29:19
วันนี้ไม่ต่อนะครับ ขอโทษด้วย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 29-11-2010 22:39:05
ไม่เป็นไรค่ะ
 :กอด1: คุณอิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 29-11-2010 22:55:11
คับผมพี่อิ๊ก  รอพรุ่งนี้ก็ได้
แต่เหมือนพี่อิ๊กไม่ค่อยสบายใจเลย
ไม่ว่าจะมีอะไร  ผมอยู่ข้างพี่อิ๊กนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 30-11-2010 01:19:11
เจอกันคืนวันศุกร์นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 30-11-2010 15:38:21
 :L2:ไม่เป็นไร รออ่านต่อไป อิอิ ว่าแต่เรื่องใหม่นายเอกโหดกว่าภูมิ 10 เท่า ไม่อยากจะนึกเลยว่าเรื่องต่อไปจะสนุกขนาดไหน ชอบแบบนายเอกโหดๆ อะ ไม่อยากให้อ่อนแอ :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 30-11-2010 19:48:49
พี่อิ๊ครออยู่นร้าจะมาต่อมั้ยง่ะวันนี้  :sad4:

เมือ่ไหร่บอทจะได้รับโทษสักทีนะ

T^T
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 30-11-2010 20:18:17
มารอพี่อิ๊กนะครับ  ไม่ได้มาเร่ง หุหุ
มาตามใจเรียกร้อง  (ลิเกสุดๆ) เหอเหอ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 30-11-2010 22:40:29
มารอน้องน้ำด้วยคนค่า
ตื่นเต้นกับตอนหน้าจริงๆ
ไม่รู้ว่าบอทจะแผลงฤทธิ์ แสดงอภินิหารอะไรอีัก
เตรียมซับน้ำตาค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๔, ๓๕ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๕
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 30-11-2010 22:47:54
บทที่ ๓๖

ปุจฉา ขอบฟ้าสิ้นสุดลงที่ใดหนอ

เคยลำบากใจไหม ในทุกๆเรื่อง ใจเราคิดไปสองทางสามทาง หาทางไปไม่ออก อยากจะก้าวแต่ขาไม่ขยับ อยากจะอ้าปากพูดเอื้อนเอ่ยบางคำออกมาแต่ปากไม่กระดิก อยากกินน้ำทั้งที่ปากอมข้าวอยู่ อยากจะคายมันออกมาแต่ก็เสียดายรสที่อร่อยถูกลิ้น เหนื่อยใจเป็นอย่างนี้นี่เอง มืดแปดด้านไม่หนักเท่าใจบอด ใจที่มองไม่เห็นทางใดแสงใดที่พอจะสาดส่องมาชี้นำทาง แต่ละครั้งที่หัวใจเต้นอยู่ในอก มันคือความร้าวรานที่หมักหมม อันความในใจจะเล่าไปให้ละเอียดเท่าใดมีใครหยั่งรู้ความรู้สึกของเราบ้าง มีไหม ความรู้สึกข้างในใจ ต่อให้เอาอกทาบอกเอาใจเต้นใส่กัน จะรู้ไหมว่ารู้สึกเช่นไร

"น้ำ เราไปข้างนอกนะ"

กี่ครั้งที่คำพูดเพียงแค่นี้มันเสียดแทงใจ กลายเป็นคนอื่นคนไกลไปแล้ว กลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่หน้าโง่นั่งรอเขา คิดแทนเขาว่าจะเป็นอย่างไร จะเจ็บปวดหนาวไข้อะไรไหม

"เราไม่กลับนะน้ำ ไม่ต้องรอ"

กี่หยาดหยดน้ำตาลับหลังเขาที่หลั่งไหลออกมา เจ็บเหลือเกิน ทรมานแสนจะบรรยาย แต่ใครจะเข้าใจ ความขมขื่นที่ยอกแทงใจอยู่ จะเอ่ยปากออกไปคำใดเพียงเพื่อให้ใครเขาเข้าใจ มันไม่มี

"มึงเลิกทำแบบนี้เสียทีน้ำ พอได้แล้ว มันไม่คืนมาหรอกไอ้บอทนะ ปล่อยมันไปตามทางของมัน มึงเองก็ไปตามทางของมึง จะมานั่งรอมัน รอให้ความจำมันคืนมาทำไม กว่าจะถึงวันนั้นมึงไม่ตายทั้งเป็นหรอกหรือ"

เข้าใจนะ เข้าใจความปรารถนาดีของเพื่อนรัก แต่ก็เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ารักมาก บอกให้พอ มันจะพอได้ง่ายๆอย่างนั้นหรือ ภาพในคราวหลังมันสวยงาม บางคนบอกว่าความทรงจที่ดีๆก็เก็บมันไว้ ส่วนวันนี้พรุ่งนี้มันเป็นเรื่องใหม่ไม่เกี่ยวกัน ใช่ ไม่ได้เถียง แต่ภาพต่างๆเหล่านั้นมันก่อขึ้นเป็นดวงใจดวงนี้ แล้วจะให้ลบดวงใจดวงนี้ออกไปจากร่างนี้หรือ ทำยังไง ให้ทำยังไง

"น้ำ น้ำยังมีเรานะ ไม่ว่าจะยังไง เราชอบน้ำมากนะ"

โอกาสที่จะเจอคนใหม่ก็มีไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่ได้ ทำไม่ได้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ไม่ได้กีดขวางหนทางของตน แต่ทำไม่ได้ รักเขามากเหลือเกิน

"น้ำ เราไปค้างบ้านไม้นะ น้ำไม่ต้องรอ"

ไม่ต้องบอกขนาดนี้ก็คิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่ต้องบอกหรอกว่ามีความสุขกับเขามากเพียงไหน ไม่ต้องบอกหรอกว่าเขาคนนั้นดูแลใส่ใจเพียงใด ไม่อยากจะได้ยิน ไปเสียให้สาแก่ใจ ทำเสียให้ถึงแก่สุข ส่วนความทุกข์จะขอแบกมันไว้เอง

"บอท น้ำรักบอทมากนะ รักมากเสียจนหัวใจของน้ำมันชาชินเสียแล้ว ถ้าหากว่าบอทรู้ หรือบอทระลึกได้ขึ้นมาวันใด น้ำเสียใจนะ แต่น้ำคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ก่อนที่น้ำจะขาดใจตายไปเสียก่อน ขอให้บอทมีความสุขกับเขา เขาคนที่บอทเลือก เขาที่ไม่ใช่น้ำคนนี้ คนเก่า คนที่เคยรัก"

คืนวันเสาร์หลังจากเลิกงานแล้ววายุมารับเช่นเคย เขามารับทุกวันแม้น้ำจะบอกปัดไปทุกครั้ง แต่เขาก็มาเช่นเคย วันนี้เขายังอยู่ในชุดนักศึกษา เสื้อเชิ้ตสีขาวดึงชายออกจากกางเกงยีนส์สีดำพับแขนขึ้นครึ่งท่อน ทุกครั้งที่เห็นหน้าน้ำวายุเองจะฉายรอยยิ้มส่งมาให้ประจำทุกครั้งไป รอยยิ้มที่ไม่อยากจะเห็นจากใครนอกจากเขาคนนั้นคนเดียว

"แวะกินข้าวก่อนไหมน้ำ"

เสียงทุ้มๆนี่ก็เช่นกัน นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยิน นานเสียจนคิดว่าเราได้สูญเสียมันไปแล้ว วันนี้น้ำไม่ปฏิเสธแต่กลับพยักหน้าน้อยๆ ก่อนหน้านั้นที่ทำงาน

"เล็ก กูมีเรื่องจะบอก"

เอ่ยขึ้นหลังจากลูกค้าหน้าร้านซาลงมาก

"อืม มีอะไรเหรอน้ำ"

"เรื่องบอทน่ะ"

"มีอะไรกับมันอีก อย่าพูดได้ไหมว่าเสียใจเศร้าใจอะไร กูไม่อยากได้ยิน ในเมื่อมึงก็เสียใจอยู่ทุกวันแล้วไม่ใช่เหรอน้ำ"

เล็กเอ่ยขึ้นดักคอไว้ก่อน น้ำเม้มปากแน่น

"ใช่กูเสียใจ ครั้งนี้เสียใจมาก มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา"

น้ำเสียงของน้ำทำให้เล็กสะอึกไป ทุกครั้งทุกคราที่น้ำเอ่ยออกมา ความเจ็บปวดที่มันแทรกซึมอยู่ในใจมันเจือออกมากับคำพูดทุกคำ

"กูว่าจะไปจากบอท"

เสียงที่ล่องลอยปลิวมากับลม ไม่มีพลังไม่มีเรี่ยวแรง ไม่สบตาก้มหน้านิ่ง

"น้ำ"

เล็กร้องออกมา ดีใจเหลือเกิน ดีใจที่ได้ยิน

"กูทนไม่ไหวแล้วเล็ก มันเจ็บมาก"

"ดีมากน้ำ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด กูเข้าใจมึงนะ กูรู้ว่ามึงรักมันมาก แต่ในเมื่อมันมองไม่เห็นความรักของมึง ก็ปล่อยให้มันเลือกเองเถอะ อย่าเสียใจเลย"

"แต่กูรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมันไม่ได้"

"สัญญาอะไรน้ำ แล้วมันล่ะ ก่อนความจำเสื่อมมันบอกอะไรไว้กับมึง กูไม่รู้นะ แต่กูรู้ว่าพอความจำเสื่อมมันจะมาทำแบบนี้กับมึงไม่ได้ กูเห็นว่าเป็นมึงอยู่ฝ่ายเดียวที่พยายาม แต่มันไม่เลย ไม่เคยแม้จะพยายามระลึกถึง ถ้ามันทวงถาม มึงก็ทวงสัญญาที่มันเคยให้ไว้กับมึงสิน้ำ"

ไม่มีคำตอบใดออกจากปากนอกจากม่านน้ำตาที่เอ่อนองออกมา

"แล้วนี่มึงจะไปอยู่ไหน ไปอยู่กับกูก่อนไหม"

"ไม่เป็นไรมึง กูดูห้องเช่าไว้แล้วว่าจะไปจ่ายค่ามัดจำหลังเลิกงานนี่ล่ะ"

"ที่ไหน"

"ซอย ๒๔"

"หา อะไรน้ำ จะหนีมันทั้งทีทำไมไม่ไปให้ไกลกว่านี้ ไปอยู่ทำไมซอยนั้นเดี๋ยวก็เจอมันหรอก"

"เข้าใจกูด้วยมึง กูยังอยากเฝ้ามองมันอยู่ อย่าให้กูตัดใจทันทีเลย"

สะอื้นออกมาบ่อน้ำตาแตกทะลัก เล็กถึงกับนิ่งเงียบไปเข้ามาบีบบ่าเพื่อนรักแทน

"อืม เอาเถอะ อย่างน้อยมึงก็ได้ตัดสินใจที่ดีกว่าทนอยู่ในขุมนรกในใจแบบนั้น อย่าเสียใจเลยน้ำ"

"ทำไมเงียบจังน้ำ ไม่สบายใจเหรอ"

วายุเอ่ยขึ้นหลังจากเดินเคียงข้างน้ำออกมาจากห้าง

"อ้อ เปล่าหรอก เรามีอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะ"

"ตกลงกินข้าวกันก่อนนะ เราอยากกินซุปหน่อไม้เจ้าเดิม"

ทั้งที่วายุไม่เคยกินแต่พอมารู้จักน้ำเขาก็กิน สิ่งที่ไม่เคยทำ เขาก็ทำ สิ่งที่ไม่เคยพูดเขาก็พยายามพูด

"อืมได้ แต่เราจะแวะดูหอก่อนนะ"

"หือ หอไรน้ำ น้ำจะย้ายหอเหรอ"

ท่อนเสียงท้ายประโยคดีดสูงขึ้เหมือนคนพูดดีใจที่ได้ยิน

"อืม"

"ย้ายหอใหม่ อยู่กับ"

"เราอยู่คนเดียว"

คราวนี้เม้มปากแน่นกว่าเดิมสายตาหลุบลงต่ำ

"น้ำ ไม่ต้องไปเช่าเขาหรอก ไปอยู่คอนโดฯเราดีกว่านะ"

วายุเอ่ยปากชวน

"เราไม่รบกวนนายหรอก ขอบใจมาก"

"ใครบอกรบกวน คอนโดฯเราไม่ได้อยู่นะน้ำ ซื้อไว้เฉยๆ แวะมาตอนมาเตะบอลกับเพื่อนๆที่สนามกีฬาเท่านั้นเอง เนี่ยอยู่ไม่ไกลด้วยนะ ถัดจากโรงพยาบาลมาไม่กี่ซอยเอง"

"ไม่เป็นไรหรอก เราอยากอยู่แถวนั้น"

ยืนยันหนักแน่น วายุจึงเงียบไป

"เออ เราว่าไปกินในซอย ๒๔ ดีกว่านะน้ำ เห็นวันก่อนผ่านมีร้านข้างถนนอยู่ร้านท่าทางน่ากิน"

วายุเองก็เปลี่ยนเรื่องคุย ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าแววตาที่เจ็บช้ำของน้ำ เขาเองก็ปวดใจเช่นกัน หวิวๆในใจอย่างบอกไม่ถูก น้ำพยักหน้าตอบรับ วายุพาน้ำไปที่ลานจอดรถ ระยะหลังๆมาน้ำเองได้นั่งเคียงข้างวายุบ่อยจนไม่รู้สึกเขินอะไรแล้ว ทั้งที่ไม่อยากจะวุ่นวายกับเขา แต่เล็กเคยบอกว่า วายุไม่ได้ทำอะไรผิด อย่าทำให้คนดีๆอย่างวายุต้องมาเจ็บเสียใจเพราะปมที่คั่งค้างอยู่ในใจของน้ำเลย น้ำเองจึงไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บปวด เพราะรู้ดีว่าความเจ็บปวดมันเป็นเช่นไร ทรมานมากเพียงใด

วายุจอดรถข้างถนนในซอย ร้านขายส้มตำอยู่ติดฝั่งของมหาวิทยาลัยรามคำแหง อีกด้านเป็นเหมือนผับที่เปิดเพลงดังกระหึ่มออกมาได้ยินชัดเจน ผู้คนที่เดินเข้าออกมีแต่ผู้ชายที่แต่งตัวตามสมัยนิยม ทรงผมที่แต่งทรงจนชี้ชันหน้าตาที่สดใสเคลือบไว้ดวยแป้งและสีทาหน้านานาชนิด น้ำชำเลืองมองแล้วใจหาย คิดถึงอีกคนที่ป่านนี้คงกำลังหัวเราะยิ้มร่าอยู่ที่ไหนสักที่ ในแวดวงแบบนี้

"เอาตำปูปลาร้าเผ็ดๆที่นึงครับ ตำซั่วที่นึง แล้วก็คอหมูย่าง ซุปหน่อไม้ ข้าวเหนียว น้ำกินอะไรอีกไหม เอาต้มแซ่บไหม"

วายุพลิกกระดาษในมือดูชายตามาดูน้ำที่นั่งมองอยู่

"ทำไมสั่งเยอะจัง กินหมดเหรอ"

"ช่วยเรากินดิ"

"เราไม่ชอบกินเผ็ดนะ"

"อ้อ งั้นตำปูหลาร้าอีกครกไม่เผ็ดนะครับพี่"

วายุยิ้มเจื่อนๆ เพราะทุกครั้งน้ำจะไม่ได้เป็นคนสั่งและทุกครั้งก็ไม่เคยสั่งส้มตำ จะสั่งอย่างอื่นเสียมากกว่า

"นายสั่งเหมือนกินเป็นเลยเนอะ"

น้ำยิ้มน้อยๆล้อเลียนออกมา

"อ๊ะ ยิ้มแล้ว โหยน้ำยิ้มนานๆหน่อยดิ"

วายุเองที่เฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาถึงกับร้องออกมา รอยยิ้มที่เขาอยากเห็น รอยยิ้มที่เหมือนดอกไม้บานหลางทะเลทราย มันชุ่มฉ่ำหัวใจดีเหลือเกิน น้ำเขินหุบยิ้มทันที

"อ้าวนะ เรากินได้นะ กินได้ทุกอย่างล่ะ วันหลังเราจะสั่งแกงไข่มดแดงดีไหม"

"บ้า ไหนบอกกลัวหนอน"

"มันไม่ใช่หนอนนี่ มันเป็นมดแดง"

"แต่ไข่มันก็เหมือนหนอนนะ"

"ไม่เป็นไร เรากินได้"

ท่าทางของเขาทำให้น้ำเผยรอยยิ้มออกมาอีกครา แต่คราวนี้วายุไม่ได้ทักหรือล้อเลียนเขามองมันอยู่นิ่งๆ น้ำจึงยิ้มได้อย่างเต็มปากทั้งดวงหน้า นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยิ้มแบบนี้ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รู้สึกถึงแสงพลังแบบนี้ เกือบลืมไปแล้วว่าเราก็ยิ้มเป็น

"เอ๊ะนั่น"

วายุเอ่ยขึ้นแต่ก็เปลี่ยนท่าทางเป็นชวนน้ำดูอย่างอื่นเสีย น้ำสงสัยในสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่จึงหันไปมอง ไม่รู้มันจะอีกกี่ครั้ง ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้อีกนานเท่าไหน ทุกครั้งที่ได้เจอทุกครั้งที่ได้เห็นว่าเขาอยู่อย่างไร ทำไมดวงใจมันเหมือนสิ้นไร้เรี่ยวแรง สั่นขึ้นมา ชาไปทั่วใจ ภาพเบื้องหน้ามันคือบอทที่กำลังเดินเคียงคู่มากับไม้ เสื้อผ้าการแต่งตัวดูดีจนบอกไม่ถูก ทรงผมที่ไม่เคยเห็นบอททำครั้งนี้ก็ได้เห็น น้ำใจสั่นไหวไป

"น้ำ โอเคไหม"

เสียงเรียกเตือนสติ โอเคสิ ทำไมจะไม่โอเค เจ็บจนชินเสียแล้วนี่ ไม่เป็นไรทนได้ เพราะคงยากนับจากนี้ที่จะได้เห็นภาพบาดตาบาดใจเหล่านี้ เอาเถิดจะเจ็บก็เจ็บให้พอเอาเสียให้สาแก่ใจ

"อืม กินเถอะนายเดี๋ยวมันชืดก่อน"

น้ำหันมาแล้วยิ้มน้อยๆให้วายุ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ โทษตัวเองว่าไม่น่าบอกเลย ปากไวไปแท้ๆ

"น้ำ นั่นน้ำเหรอ"

แม้จะหันหลังให้แต่เขาก็คงมองเห็น เสียงของไม้ดังขึ้นอยู่ใกล้ๆด้านหลัง

"แหม ที่แท้ก็มากินข้าว ไม่ชวนกันบ้างเลยนะน้ำ"

น้ำเสียงกระแทกแดกดัน น้ำได้แต่เม้มปากไม่อยากใส่ใจไม่อยากหันไปมอง

"อ๊ะ มากับใคร เนี่ยน่ะเหรอแฟนใหม่ของน้ำ"

สายตาที่มองวายุเหมือนกับสายตาของคนที่เห็นขุมทรัพย์ ประกายของความอยากได้ใคร่มีฉายออกมา

"เพื่อนเรา"

น้ำเอ่ยปากออกมาหันไปมอง พอประสานสายตากับบอทที่ยืนเชิดหน้าอยู่ก็ใจสั่นระริกไป

"ยอมรับเสียทีเถอะน้ำ เดี๋ยวเขาเสียใจนะ"

บอทเอ่ยออกมาสายตาประชดประชันมองทั้งน้ำและวายุ

"บ้าบอท น้ำเขาบอกเป็นเพื่อนก็เพื่อนสิ จริงไหมครับนาย"

"จริงครับ ผมเป็นเพื่อนน้ำวันนี้ แต่วันหน้าไม่รู้ อีกอย่างผมเป็นเพื่อนที่ไม่เคยคิดจะทำร้ายน้ำหรอกนะครับไม่ต้องห่วง ไม่เคยคิดจะฉกฉวยเอาของรักจากเพื่อนแน่นอน"

วายุจ้องมองทั้งสองตาเขม็ง ไม้เม้มปากแน่น

"ว่าไงน้ำเงียบเชียว อร่อยมากจนพูดไม่ออกเลยเหรอ"

บอทเดินเข้ามาใกล้ไม่กี่คืบ น้ำมองหน้าของเขา นี่เราสองคนกลายเป็นอะไรไปแล้ว ช่องว่างที่มันมากั้นระหว่างเรามันเริ่มมาจากตรงไหน ช่องว่างของหัวใจที่มันมาแยกเราออกจากกัน มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

"บอทมาเที่ยวเหรอ"

พยายามควบคุมสติอารมณ์ไว้

"ใช่ เราไม่กลับนะน้ำ ไม่ต้องรอ อ้อ หรือนายก็อาจจะไม่กลับเหมือนกัน"

คำพูดเหล่านี้มันเริ่มมาจากตรงไหน ทุกคำที่เขาสรรหามาพูดมันทิ่มแทงเข้าไปในใจ จากรักมากกลายเป็นเขาชังเรามากขนาดนี้เชียวหรือ

"น้ำไม่ไปไหนหรอกบอทคืนนี้ แต่น้ำจะรอบอทนะ รอเป็นคืนสุดท้าย"

น้ำเสียงที่ทอดอาลัยทำให้บอทเปลี่ยนแววตา มองหน้าน้ำอย่างไม่เข้าใจสงสัยอยู่

"ต๊าย จะไปไหนน้ำ อย่าบอกนะว่าหมดรักกันแล้ว"

ไม้ดอดเสียงขึ้นดัง

"เราไม่เคยหมดรัก มีแต่มันชินชาไป ถ้าจะเพราะอะไรนายก็น่าจะรู้ดีนี่ไม้ ขอให้มีความสุขมากๆนะบอท ไม้ด้วยเหมือนกัน"

น้ำหันหลังให้แล้วตักอาหารในจานเข้าปากทำเป็นไม่สนใจ การหันหลังที่แสดงให้ปัญญษชนรู้ว่าเขาไม่อยากเสวนาด้วยแล้ว บอทเองอ้าปากค้าง ไม้เองก็เม้มปากแสยะปากใส่อยู่ วายุยิ้มยักคิ้วให้ทั้งสอง

"เดี๋ยวนาย"

วายุร้องเรียกบอทก่อนที่เขาจะก้าวเดินหนีไป

"อะไร"

วายุลุกจากที่เดินเข้าไปหา

"นายกำลังเสียสิ่งที่มีค่ามากที่สุดไปนะ รู้ตัวไหม เสียใจด้วยนะ"

วายุถือวิสาสะตบบ่าบอทเบาๆแล้วเดินกลับมา คำพูดที่ไม่ดังมาก น้ำเองก็ไม่ได้สนใจฟังเพราะตอนนี้ในใจมันกำลังรบรากันอยู่กับสงครามกลางใจ ฝ่ายหนึ่งอยากจากไปอีกฝ่ายตั้งมั่นแน่วแน่ ไม่รู้จริงๆว่าจะเลือกอย่างไหนดี อยู่ก็เจ็บ ไปก็เจ็บ

รู้ไหมทำไมคนเราถึงมีความรู้สึก ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนยากแก่การอธิบาย นั่นก็คงเป็นเพราะมนุษย์เรามีการสื่อสาร ไม่ว่าจะด้วยคำพูด สีหน้าแววตาท่าทาง หล่อหลอมรวมเป็นความรู้สึก ถ้าหากว่าเราไม่มีความรู้สึกโลกนี้มันจะเป็นเช่นไรหนอ เดินเคียงข้างใครมันก็คงไม่แปลก กอดกับใครมันก็คงไม่รู้สึก ไม่มีความรัก ไม่มีคำว่าเสียใจ อยากทำอะไรก็ทำไปเลย มันจะดีไหมนะ ทำไมคนเราต้องทนอยู่กับบ่อของอารมณ์ที่ไม่มีวันสิ้นสุดเหล่านี้ ปากบอกไม่เป็นไร ทนไหว แต่ใจมันไปไม่เป็นแล้ว ทำไม

ร้องเรียกเพรียกหาเพียงแต่เขา   ส่วนตัวเรานั่งมองแผ่นกระดาษ

กอดขารั้งไว้ใจแทบขาด       ก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งเขาให้อยู่

กอดหมอดสูดเอากลิ่นกายรัก   ไม่ประจักษ์ไม่มองไม่รับรู้

กลายเป็นเราคร่ำครวญแสนอดสู    เหมือนดังอยู่ในโลกกว้างอย่างเดียวดาย

ในใจเขามีเพียงเขาคนนั้น   ส่วนตัวฉันมีเขาอยู่ไม่หาย

ท่องเอาไว้จดเอาไว้จนวันตาย    รักสลายแต่หัวใจยังมั่นคง

วิสัชนา หลับตาสิท่าน มันจะสิ้นสุดลงที่นั่นแล[/b]

เขียนโดย อิ๊กกี้[/color]






ปล. ไม่มีอะไรมากนะครับ ตอนนี้มอบพิเศษให้ rellachulla นะครับ
ขอโทษที่ช่วงนี้ผมเป็นลอยๆ จะพยายามครับ
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ
ขอบคุณพี่กานดา
ขอบคุณทุกๆคน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 30-11-2010 23:13:44
^

^
^

จิ้มดีใจพี่อิ๊คมาต่อแล้ว

อยากอ่านอีกๆ

บอทแมร่งเลวฅโครคๆ

น้ำตัดสินใจได้ดีแล้วหละ

ปล่อยมันไป T^T
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 30-11-2010 23:18:11
เชี่ยบอทนี้มันไม่มีสำนึกนะ เชื่อได้อีก ได้อีกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ส่วนอีนางไม้นั้น ก็เลวระยำต่ำสุดๆนี้
สักวันเถอะมึงไอ้บอทเมื่อมึงถูกอีนางไม้นั้นเหวี่ยงแล้วมึงจะรู้สึก

คนเรามักไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นมีค่า ก็ต่อเมื่อมันไม่ไ่ด้เป็นของๆเราแล้ว

และมึงก็จะเป็นแบบนี้หละไอ้บอท เมื่อถึงวันนั้นอะไรก็ช่วยมรึงไม่ได้แล้ว ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
 :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:


ปล.ขออภัย แบบว่าอินไปหน่อย :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 30-11-2010 23:38:49
อืม คิดถูกแล้วแหละน้ำ
ผมรอดูไอ้บอทเสียใจแล้วกัน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 30-11-2010 23:58:14
น้ำครับถอยออกมาดีที่สุดแล้วครับ  ดีต่อตัวเองที่สุดครับ
ไอ้ไม้กับไอ้บอทรับรองอยู่กันไม่ยืดหรอก  ไอ้ไม้เห็นไอ้บอทเป็นแค่ของเล่นชิ้นใหม่ที่มันแย่งมาจากน้ำได้
ส่วนไอ้บอทหลงระเริงรับรองว่าเรียนไม่จบแน่ แล้วเมื้อไอ้ไม้เจอของเล่นชิ้นใหม่  ไอ้บอทก็ต้องเป็นขยะเปียกแน่นอน
มาคิดดูตอนนี้ไอ้ไม้ก็กำลังเจอสิ่งที่มันคิดว่าเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของมันแล้วแน่ๆ
อยากเห็นไอ้บอททุรนทุราย
พี่อิ๊กรักษาตัวด้วย  เป็นห่วง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 01-12-2010 01:09:17
อ่าอ่านแล้วก็อยากอ่านอีกเหมือนมันค้างคาใจนะเหมือนจะสั้นไป

แต่มันไม่ใช่อ่ะมันก็ปกติแต่คนอ่านรู้สึกว่าสั้นลงๆๆ

เพราะเนื้อเรื่องมันกำลังเข้มงวดขึ้นทุกทีๆ

น้ำทำถูกแล้วในเมื่อใจเค้าเปลี่ยนไปแล้วเราจะรั้งไว้ก็จะเจ็บเองเสียป่าวเค้าไม่มารับรู้กับเราหรอก

เป็นกำลังใจให้คุณอิ๊กกี้ครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 01-12-2010 07:55:15
เป็นกำลังใจให้น้ำตัดใจให้ได้นะครับ  o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 01-12-2010 09:05:15
 :m15:บีบคั้นจิตใจกันสุดๆ ทำไมบอทถึงทำกับน้ำได้ขนาดนี้นะ น้ำสู้อดทนเพื่อบอทขนาดนี้ แต่บอทคงลืมไปว่าความอดทนของคนเรานั้นก็มีขีดจำกัด อย่างที่วายุบอก คนเราจะรู้คุณค่าของที่อยู่ในมือก็ต่อเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว :m15:

 :z6: :z6: :z6: :z6:ส่วนนี้ขอมอบให้อิไม้ เลวจนเกินคำบรรยาย :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 01-12-2010 10:05:14
รอคอยการตัดสินใจแบบนี้ของน้องน้ำมานานแระ.....
ถอยออกมาเถอะน้องน้ำ....หากเค้ายังมีเราในหัวใจ...
เค้าก็จะกลับมาไขว่คว้าหาเราเอง.....แต่ถ้าไม่...
เราก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ซะทีนะน้องน้ำ   :กอด1:

 :L1: น้องน้ำคนเก่ง กะ น้อง eiky คนดี :L2:
กด + ให้กำลังใจน้องอิ๊กนะจ๊ะ...สู้ ๆ เด้อ... :a2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 01-12-2010 11:38:16
กลับไปบ้าน
ก่อนจะเอาเพลงมาแปะให้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 01-12-2010 11:51:24
ทำเค้าน้ำตาซึมในร้านเน็ตเลย ฮืออออออออออ :m15:
ตัดให้ขาดซะทีนะน้ำ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 01-12-2010 12:08:45
ขอบคุณคุณอิ๊กมากค่ะสำหรับพิเศษให้ตอนนี้ ขอบคุณมากจริงๆ ^ ^
...
จะบอกว่าเข้าใจความรู้สึกน้ำตอนนี้หรือไม่กล้าพูดคำนั้นค่ะ
แต่เอาเป็นว่าเค้ารู้ว่า การที่จะตัดใจสิ่งที่ผูกพันธ์ รักมาก มันช่างยากจริงๆ
...
น้ำตาซึมตลอดที่อ่าน
มันเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง เค้าว่าตอนนี้ตัวเร่งปฏิกิริยา คือบอท
ตอกย้ำความรู้สึกของน้ำที่เจ็บจนด้านชาได้อีก
...
วายุพูดถูก "กำลังเสียสิ่งที่มีค่ามากที่สุดไปนะ รู้ตัวไหม เสียใจด้วยนะ"
เสียใจด้วยบอท
คนอ่านจะขาดใจแล้ว เอาตัวไปเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติสนิทน้ำแล้วค่ะ ฮ่า
สงสาร มีความหวังดีให้ อยากวิ่งไปซับน้ำตา อยากไปอยู่ข้างๆ
รอตอนต่อไปจ้ะ +1 ด้วย :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 01-12-2010 12:53:45
เป็นกำลังใจให้น้ำตัดใจจากบอทให้ได้!!!!!!!
ตอนนี้เชียร์วายุสุดใจขดดิ้น!
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 01-12-2010 15:29:12
ไม่เคยได้เห็น น้ำตาที่เป็นของฉันใช่ไหม
ที่ต้องคอยแต่แอบเอาไว้และไม่เคยร้องมันออกมา
ที่เธอไม่รักแม้เธอไม่เคยได้เห็นในสายตา
สิ่งดีๆ ที่บอกกันมาแต่ไม่เคยได้ใกล้กว่านี้

สิ่งที่เธอเคยได้เห็นฉันคือ
ฉันคนเดิมอยู่ตรงที่เก่า
แบ่งปันอารมณ์ที่เหงาที่ซึมเซา
แต่ไม่ใช่คนที่เธอรัก

ไม่เคยขอ ไม่เรียกร้องเอาอะไรกว่านี้
ไม่ไขว้คว้า อ้อนและวอนเพื่อได้อย่างนี้
แค่มองตรงนี้ก็พอให้อุ่นใจ
ให้เธอรู้คนอย่างฉันแม้จะยืนอยู่ไกล
แต่ว่าฉันยังไม่เคยคิดจะจากไป
อยากให้เธอรู้ว่ามีอีกใจที่รักเธอ

อีกคนที่รักๆ เธอคนเดียวเท่านั้นหมดใจ
ไม่ต้องการคำตอบใดๆ แค่อย่าทำร้ายใจก็พอ
อาจมีสักครั้งที่เธอต้องทนอ้างว้างไม่เหลือใคร
แต่อย่าลืมอีกหนึ่งคนไกลคนที่ใจไม่ไกลจากเธอ

สิ่งที่เธอเคยได้เห็นฉันคือ
ฉันคนเดิมอยู่ตรงที่เก่า
แบ่งปันอารมณ์ที่เหงาที่ซึมเซา
แต่ไม่ใช่คนที่เธอรัก

ไม่เคยขอ ไม่เรียกร้องเอาอะไรกว่านี้
ไม่ไขว้คว้า อ้อนและวอนเพื่อได้อย่างนี้
แค่มองตรงนี้ก็พอให้อุ่นใจ
ให้เธอรู้คนอย่างฉันแม้จะยืนอยู่ไกล
แต่ว่าฉันยังไม่เคยคิดจะจากไป
อยากให้เธอรู้ว่ามีอีกใจที่รักเธอ

ไม่เคยขอ ไม่เรียกร้องเอาอะไรกว่านี้
ไม่ไขว้คว้า อ้อนและวอนเพื่อได้อย่างนี้
แค่มองตรงนี้ก็พอให้อุ่นใจ
ให้เธอรู้คนอย่างฉันแม้จะยืนอยู่ไกล
แต่ว่าฉันยังไม่เคยคิดจะจากไป
อยากให้เธอรู้ว่ามีอีกใจที่รักเธอ

บอกให้เธอรู้ไกลๆ หนึ่งใจยังรักเธอ


http://www.youtube.com/v/ZIbJaqri2B4?fs=1&amp;hl=en_US&amp;color1=0x402061&amp;color2=0x9461ca



And I am telling you
I'm not going
You're the best man I'll ever know
There's no way I can ever go
No, no, there's no way
No, no, no, no way I'm living without you
I'm not living without you
I don't wanna be free
I'm staying
I'm staying
And you, and you
You're gonna love me, oohh ooh mm mm
You're gonna love me

And I am telling you
I'm not going
Even though the rough times are showing
There's just no way, there's no way
We're part of the same place
We're part of the same time
We both share the same blood
We both have the same mind
And time and time, we've had so much to see and
No, no, no, no, no, no
I'm not waking up tomorrow morning and finding that there's nobody there

And I mean there's no way
No, no, no, no way I'm living without you
I'm not living without you
You see there's just no way, there's no way

Please dont go away from me stay with me stay with
me stop standin ahahayo try it mister try it mister i
know i know i kmow u can

Tear down the mountains
Yell, scream, and shout like you can say what you want
I'm not walking out
Stop all the rivers, push, strike, and kill
I'm not gonna leave you
There's no way I will

And I am telling you
I'm not going
You're the best man I'll ever know
There's no way I can ever, ever go
No, no, no, no way
No, no, no, no way I'm living without you
Oh, I'm not living without you, not living without you
I don't wanna be free
I'm staying, I'm staying
And you, and you, and you
You're gonna love me

You're gonna love me, yes you are
Ooh ooh love me, ooh ooh ooh love me
Love me, love me, love me, love me

You're gonna love me

http://www.youtube.com/v/ef9xsVdXTas?fs=1&amp;hl=en_US&amp;color1=0x2b405b&amp;color2=0x6b8ab6


..อยู่ คนเดียวเงียบเหงาเศร้าทรวง
เธอ มิห่วงหายไปทั้งคืน
ปล่อย ให้ฉันระกำกล้ำกลืน
เธอ ไปชื่นระรื่นฉ่ำใจ
แต่ ก่อนยามความรักหวานฉ่ำ
คืน และค่ำมิเคยร้างไกล
เฝ้า แต่คอยประโลมเร้าใจ
ร้อน เย็นไหมห่วงถามทุกครา
ครั้น ยามนี้เธอมาเปลี่ยนไป
เป็น อันใดหรือจึงโรยรา
บ้าน ขาดเธอร่วมเรียงนิทรา
ราว ป่าช้าน่ากลัวเหลือใจ
อยู่ ในบาร์เธอมิวังเวง
ฟัง เสียงเพลงเพลิดเพลินฤทัย
แต่ คนรออยู่บ้านเหงาใจ
ได้ ยินเสียงแต่นาฬิกา
อยู่ คนเดียวเงียบเหงาเศร้าทรวง
เธอ มิห่วงหายไปทั้งคืน
ปล่อย ให้ฉันระกำกล้ำกลืน
เธอ ไปชื่นระรื่นฉ่ำใจ
แต่ ก่อนยามความรักหวานฉ่ำ
คืน และค่ำมิเคยร้างไกล
เฝ้า แต่คอยประโลมเร้าใจ
ร้อน เย็นไหมห่วงถามทุกครา
ครั้น ยามนี้เธอมาเปลี่ยนไป
เป็น อันใดหรือจึงโรยรา
บ้าน ขาดเธอร่วมเรียงนิทรา
ราว ป่าช้าน่ากลัวเหลือใจ
อยู่ ในบาร์เธอมิวังเวง
ฟัง เสียงเพลงเพลิดเพลินฤทัย
แต่ คนรออยู่บ้านเหงาใจ
ได้ ยินเสียงแต่นาฬิกา....

http://www.youtube.com/v/uOsgfX6Jdk8?fs=1&amp;hl=en_US&amp;color1=0x3a3a3a&amp;color2=0x999999
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 01-12-2010 19:20:31
ได้กลับมาอ่านตอนนี้อีกรอบ  เฮ้อทั้งดีใจ  และก็เสียใจกับน้ำมากๆ
สิ่งใหนที่มันจะเป็นของเรามันต้องเป็นของเราวันยังค่ำ
แต่สิ่งใหนถ้าไม่ใช่ของเรา  ผืนเก็บเอาใว้ก็ต้องมีอะไรซักอย่างที่ทำให้มันจะต้องหายไป
ยิ่งฝืนยิ่งเจ็บ  น้ำตัดสินใจถูกแล้วครับ  ทำใจให้สบาย หายใจให้ลึกๆ  แล้วก็เผเชิญความจริงซะ
ทำตัวให้มันสูงกว่าสิ่งที่พยายามจะออกห่างเรา เอาให้มันต้องแหงนหน้าขึ้นมาสู้หน้าเราไม่ได้เลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 01-12-2010 19:21:20
เข้ามารอครับ
แต่อิไม้ลากไส้นี่สิ แม่มมีส่งสายให้วายุ  คันมากสินะนังนี่
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 01-12-2010 20:13:45
รอวันที่ได้ซ้ำเติมบอท ฮ่าๆ :jul3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๖ (พฤศจิกายน ๒๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๖
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 02-12-2010 11:08:55
บทที่ ๓๗

ปุจฉา สิ่งใดที่ยิ่งเราวิ่งหนีไปไกลยิ่งตามใกล้เข้ามาทุกที

"น้ำ แม่โทรมา"

เล็กวิ่งออกมาบอกหน้าตาตื่นเพราะน้ำเคยให้เบอร์โทรศัพท์ที่ร้านตอนที่ทำ งานไปได้สักพักเผื่อเอาไว้ติดต่อเวลามีเหตุจำเป็น น้ำชักสีหน้าเจื่อนลงทันที อยู่ๆก็มือไม้สั่นขึ้นมา

"คงไม่มีอะไรหรอกมึง เสียงแม่บุญช่วยยังเหมือนเดิม คงโทรฯมาถามเรื่องย้ายหอล่ะมั้ง"

เล็กปลอบใจเพราะเห็นสีหน้าของเพื่อนรักแล้วไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก น้ำพยักหน้าแล้วเข้าไปในเคาท์เตอร์เพื่อรับโทรศัพท์

"แม่ น้ำเอง"

กรอกเสียงสั่นๆไปตามสาย

"น้ำ ฟังแม่นะลูก"

เริ่มต้นประโยคด้วยน้ำเสียงที่ร้าวราน น้ำเม้มปากแน่นมือไม้สั่น หัวใจหวิวลิ่วลอยไปไหนแล้ว

"ทำใจดีๆไว้นะน้ำ แม่นิ่ม แม่นิ่ม"

ยังพูดไม่ทันจบก็ปล่อยโฮออกมา น้ำน้ำตาไหลออกมาโดยไม่ต้องนึกคิดถึงอะไรทั้งนั้น

"อะไรแม่ มานี่ น้ำฟังพ่อนะลูก แม่นิ่มป่วยหนัก ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล พ่อติดต่อไอ้บอทไม่ได้ น้ำบอกมันให้หน่อย ลางานกลับมาได้ไหมลูก"

ป่วยหนัก ก็ยังดีกว่าที่คิดเอาไว้ตอนได้ยินเสียงแม่บุญช่วยแรกๆ น้ำเม้มปากแน่น

"แม่นิ่มเป็นอะไรพ่อ"

เสียงของน้ำทำให้พ่อถาวรนิ่งไปชั่วครู่ เพราะเสียงที่เครือไปด้วยด้วยน้ำตามันบีบหัวใจคนเป็นพ่อได้ไม่น้อยทีเดียว

"เป็นเบาหวาน ขาแกเปื่อยนอนอยู่ที่โรงบาล"

พ่อถาวรเล่ารายละเอียดอีกเล็กน้อยก่อนที่จะวางสายไป พอวางสายก็เซไปจับบาร์น้ำเอาไว้ เล็กปรี่เข้ามาประคองร่างไว้

"น้ำ มีอะไร"

น้ำเสียงของเล็กเองก็เป็นกังวลอยู่ไม่น้อยทีเดียว ยิ่งได้เห็นน้ำตาของเพื่อนรักยิ่งร้าวรานใจไปเช่นกัน

"แม่นิ่มมึง แม่นิ่ม"

"แม่นิ่มเป็นอะไรน้ำ"

"แม่นิ่มเข้าโรงบาล ป่วยหนัก"

ครางออกมากอดร่างของเล็กเอาไว้แน่น พอดีกับมนัสเดินออกมาจึงเรียกน้ำเข้าไปถาม พอมนัสรู้ก็ให้น้ำลากลับบ้านได้สี่วัน เพื่อนๆที่ทำงานก็ส่งกำลังใจให้น้ำ แต่น้ำเองก็ไม่อยากจะเอาเปรียบเพื่อนนักอยากจะทำงานต่อไปให้พ้นวัน แต่มนัสเองไม่ยอม

"น้ำๆ น้ำจะกลับบ้านเหรอ"

เสียงของวายุดังไล่หลังมา ไม่รู้ว่ารู้ข่าวได้ยังไง แต่พอมาคิดดูดีๆแล้ว คงไม่ใช่ใครเล็กนั่นเองที่แจ้งข่าว

"อืม เราจะกลับบ้านสี่วัน"

"เรากลับด้วยได้ไหม"

วายุเอ่ยขึ้นสาวเท้าเข้ามาประชิดตัว

"เอ่อ อย่าดีกว่านาย เรากลับไปทำธุระ"

น้ำพยายามหลบตา

"น้ำ เราอยากกลับบ้านกับน้ำนะ เราว่าตอนนี้น้ำต้องการกำลังใจมากเป็นพิเศษ"

เสียงทุ้มกับมือที่ยื่นมาบีบมือของน้ำไว้ทำให้น้ำลำบากใจขึ้นมา

"ก็บอทไง บอทคงต้องกลับไปเยี่ยมแม่"

วายุนิ่งเงียบไป เหมือนคิดอะไรอยู่สักพักก็ลากแขนน้ำไปขึ้นรถ เขายังเรียนอยู่เลย หนีออกมาดื้ออย่างนั้นเมื่อได้รับเพจเจอร์จากเล็ก เป็นห่วงน้ำมากมากกว่าใครในตอนนี้

"บอทๆ ยังไม่ตื่นเหรอ"

ข้าวของที่เก็บใส่กล่องไว้ยังอยู่ที่เดิม ส่วนข้าวของของบอทเองก็กระจัดกระจายเหมือนเคย เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆ นี่ถ้าน้ำไม่อยู่ใครจะเป็นคนดูแลเขานะ ใจคิดไปถึงเรื่องนั้น

"อืม อะไร"

เสียงห้วนตวาดดุดันดังขึ้น น้ำเม้มปากแน่น

"กลับบ้านบอท"

น้ำเองก็เสียงแข็งใส่บอทเช่นกัน

"โว้ย อะไรวะ คนจะนอน"

"บอท แม่นิ่มเข้าโรงบาลนะ บอทต้องกลับบ้าน"

น้ำตะเบ็งเสียงขึ้นแข่งกับเสียงที่เขาตวาดมาเมื่อครู่ บอทเองพอได้ยินก็ลุกขึ้นมาจากที่นอน นิ่งคิดอยู่

"เราลงติวไว้น่ะ เสียดายเงิน"

สิ่งที่ลอดออกมาจากปากของบอททำให้น้ำเซไปด้านหลัง เม้มปากแน่นน้ำตาเอ่อออกมา

"แม่นิ่มเป็นแม่ของบอทนะ"

เค้นเสียงออกไปด้วยความร้าวรานใจ ไม่เคยคิดเลยว่าจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

"ก็เรามีความจำเป็นนี่ นายจะกลับเหรอ ฝากเยี่ยมแม่ด้วยสิ"

สะอึก พูดไม่ออก ไม่มีคำใด จากที่รักอยู่ทำไมตอนนี้รู้สึกชิงชังเขาขึ้นมามากมายได้ขนาดนี้ น่ารังเกียจที่สุด

"ทุเรศที่สุด บอทเปลี่ยนไปมากนะ นี่มันไม่ใช่เรื่องอะไรของน้ำนะ แต่น้ำรักแม่นิ่มเหมือนแม่ แม่นิ่มเจ็บน้ำยังเจ็บได้ขนาดนี้ แต่ลูกที่แม่นิ่มเบ่งออกมากลับไม่สนใจใยดีเลยเหรอ ทุเรศที่สุด"

"น้ำ นายไม่มีสิทธิ์มาว่าเรานะ เรามีเหตุจำเป็น"

ไม่มีสิทธิ์ ทรุดลงนั่งกับพื้นห้องเม้มปากแน่นน้ำตาเอ่อนองออกมา เรากลายเป็นใครไปแล้วจริงๆ ใครที่เขาหาว่ากำลังก้าวก่ายในชีวิตของเขา เราไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเลยหรือ

"จำเป็นกว่าแม่บังเกิดเกล้าของตัวเองน่ะเหรอ เป็นคนอยู่หรือเปล่าบอท บอททำกับน้ำ น้ำไม่ว่าสักคำ แต่ทำแบบนี้ มันเกินไปนะ ธุระอะไรจะมาสำคัญกว่าแม่ของตัวเอง"

น้ำกัดปากแน่นน้ำตาไหล

"พูดจบหรือยัง เราจะนอน"

จนด้วยคำพูด จนด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งเยื่อใย นี่ผีห่าซาตานตัวไหนเข้าสิงเขา ทำไมเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ น้ำรีบเก็บเอาเสื้อผ้าสองสามตัวยัดใส่กระเป๋าไปทั้งน้ำตา ส่วนบอทเองก็นอนใจเต้นอยู่ ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้แต่ตอนนี้สับสนเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่มันอะไร ทำไมเราไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ข้างในลึกๆทำไมมันดีดมันเร้าเหลือเกินกลายเป็นคนที่เลวไปแล้วหรือ

"น้ำๆ"

วายุเองหลังจากส่งน้ำแล้วก็ไม่ไปไหน ยืนคอยอยู่เพราะอยากไปส่งน้ำที่หมอชิต พอเห็นน้ำหอบข้าวของลงมาจากสีหน้าท่าทางแล้วเดาได้เลยว่ากำลังเสียใจ วายุปรี่เข้าไปหา

"นาย"

พอเห็นหน้าวายุก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทิ้งของลงจากมือปล่อยมันให้ร่วงลงดินแล้วเอามือขึ้นกุมหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา

"น้ำ"

วายุเข้าไปกอดประคองร่างไว้ สายตาคนนับร้อยมองมา ไม่ได้สนใจ คนเบื้องหน้าที่หัวใจกำลังร้าวรานนี่สิควรจะได้รับการสนใจ เอาใจใส่

"เรากลับด้วยนะน้ำ"

วายุเอ่ยขึ้น คราวนี้น้ำนิ่งเงียบไป จะพาไปไหนก็ไปเถิด ลากลงนรกหรือดึงขึ้นสวรรค์ก็ตามแต่ใจปรารถนาเถิด ไม่มีแล้วหัวใจ แหลกสลายไปหมดแล้วหัวใจดวงนี้

"นายรักแม่นายไหม"

โพล่งขึ้นมาทั้งที่น้ำตายังคลอตาอยู่

"รักดิน้ำ แม่นะใครจะไม่รัก"

วายุตอบออกมาพยายามจะทำให้มันเป็นเรื่องตลก แต่น้ำเม้มปากแน่น สะอื้นออกมาสะท้อนใจเหลือจะประมาณ ใช่ ใครๆก็รักแม่ แม่ที่อุ้มท้องเรามา ๙ เดือน เหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ไม่เคยปริปาก

"รู้ไหมทำไมเราถึงรักบอทมาก รู้ไหมทำไมเราทนเป็นคนโง่อยู่อย่างนี้"

พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เมินหน้าออกนอกกระจกรถอยากจะพูดให้มันเป็นคำ วายุเองนิ่งเงียบไป

"เราโตมาด้วยกัน ไม่มีวันไหน ไม่มีวินาทีไหนเลยที่เราจะห่างกัน ไปไหนด้วยกันตลอด คอนเด็กแม่บอกว่าเราเคยได้กินนมจากอกแม่นิ่ม เลี้ยงมาคู่กัน นายเชื่อไหม เราไม่เคยทะเลาะกันมาก่อนเลย ไม่เคยเลย มีอะไรแบ่งปันกัน ดูแลกัน แต่"

เล่าออกมาสะอึกสะอื้น วายุเอื้อมมือมาจับบ่าของน้ำเอาไว้

"อ้อ อย่างนี้เองเหรอน้ำ"

วายุพยายามไปตามน้ำ เพราะเรื่องนี้เคยรู้มาก่อนแล้วจากปากของเล็ก

"แต่ทำไมตอนนี้ ทำไมนาย เราเจ็บเหลือเกิน นายรู้ไหมว่าเราเจ็บ เจ็บเหลือเกิน"

คร่ำครวญออกมาสองตามีน้ำหลั่งไหลออกมาไม่หยุด สองแก้มเปียกไปด้วยน้ำที่ไหลออกจากตา เบ้าตาที่แดงช้ำไม่เคยขาดซึ่งน้ำในตาที่มันไหลออกมา

"เราเข้าใจน้ำ เราเข้าใจ"

"เราทิ้งเขาไม่ได้ แต่เราก็ทนไม่ได้ เราควรทำยังไงนาย นายบอกเราได้ไหม เราจะทำยังไงดี"

เสียงสะอื้นที่ดังกว่าเสียงใดในรถได้กระชากใจจากคนที่นั่งเคียงข้างมา ด้วยกัน มือจับพวงมาลัยรถที่กำลังบ่ายหน้าตรงออกไปยังถนนแจ้งสนิท สายตาก็ต้องระวังทางเบื้องหน้า แต่คนที่กำลังเอามือปาดน้ำตาออกจากหน้านี้ก็น่าเวทนายิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ได้อยากเข้าไปในใจตอนที่เขาเจ็บ ไม่ได้อยากจะฉวยโอกาส แต่ก็ทิ้งเขาไว้อย่างนี้ไม่ได้ วินาทีแรกที่ได้เจอหน้าก็ถุกชะตา ยิ่งได้รู้จักนิสัยใจคอยิ่งชอบใจ รักไปแล้ว รักไปทั้งที่รู้ว่าเบื้องหน้ามันคือหนามแหลมคมที่โรยไว้เต็มทางเดิน แต่ก็เต็มใจที่จะก้าวเท้าเดินไป ไม่ว่าจะเจ็บปวดสักแค่ไหน ไม่ว่าจะลำบากสักเท่าใดก็อยากจะเดินเคียงข้างเขาคนนี้ไปนานแสนนาน

"แวะปั๊มก่อนนะน้ำ กินอะไรก่อน"

วายุเอ่ยขึ้นเมื่อเข้าในตัวเมืองโคราช

"เราไม่หิว รีบกลับได้ไหมนายเราเป็นห่วงแม่นิ่ม"

"โหน้ำ เราง่วงน้า อยากกินกาแฟก่อนอ่ะ"

วายุพูดขึ้น น้ำพอได้ยินก็ทำหน้าตกใจ

"ตายจริง เราขอโทษ นายยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม พักก่อนก็ได้"

สีหน้าตกใจของน้ำทำให้วายุยิ้มออกมา เขาเลี้ยวเข้าปั๊มแล้วตรงไปยังร้านขายของ

"พอออกมานอกเมืองก็เริ่มเห็นดาวแล้วเนอะ"

ทั้งสองยืนพิงข้างๆรถอยู่ สายตาของน้ำเหลือบมองขึ้นไปบนแผ่นท้องฟ้าสีมืดดำขมุกขมัว มีเพียงดาวฤกษ์ทางทิศปัจจิมเท่านั้นที่ส่องแสงสว่างพอให้ได้เห็นเด่นสง่างาม กว่าดวงใด พลันใจก็หายลอยวับไปเหมือนแสงเดือนดาวถูกเมฆหมอกลอยมาปกคลุม

"เมฆลอยมาโน่นแล้ว เดี๋ยวฝนก็ตก"

"อืม หน้าในนี่นะ เออ ที่บ้านน้ำหน้าฝนเขาทำอะไรกันอ่ะ"

"ทำนา นี่ก็คงทำนากันอยู่"

สีหน้าเครียดลงทันที หน้านาแล้ว แม่นิ่มไม่มีคนช่วยงานแน่ๆ ไม่มีคนหาหญ้าให้วัว ไม่มีคนไถนาให้แถมยังมาเจ็บไข้อีก อนาถใจแท้

"จริงเหรอ เราอยากลองทำได้ไหมน้ำ"

วายุเสียงลิงโลดขึ้น ไม่ได้ดัดจริตแต่เขาพูดมันออกมาจากใจ

"บ้า นายเนี่ยนะจะตากแดดทำนา เดี๋ยวก็ดำหรอก"

"โหน้ำ ฝึก รด ดำกว่านี้อีก"

"บ้า มันคนละอย่างกันนะนาย"

น้ำฉายรอยยิ้มออกมา ชุ่มฉ่ำหัวใจเหลือเกิน ทำไมนะรอยยิ้มงดงามเช่นนี้มันจึงถูกบดบังด้วยความในใจที่อัดแน่นอยู่มากมาย เหลือเกิน เสียดายที่รอยยิ้มนั้นจะต้องจางหายไป ไม่ว่าจะต้องทำยังไงจะขอให้ใบหน้างามนี้ได้ฉายรอยยิ้มออกมาอยู่ตลอดเวลา

หลังจากซดกาแฟกระป๋องไปแล้ววายุก็ค่อยรู้สึกดีขึ้น แม้น้ำเองก็พยายามชวนคุยอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนนอกเขายังมีใจมาด้วย ขับรถออกต่างจังหวัดไม่ใช่เรื่องสนุก เขาก็ไม่บ่นสักคำ ทุกครั้งที่หันหน้าไปเขาจะคอยยิ้มให้ตลอดเวลา แล้วคนที่เคยโตมาด้วยกันล่ะ คนที่กินนอนมาด้วยกัน คนที่เคยบอกรักกัน สาบานต่อหน้าท้องทุ่งนั้นไปไหนแล้ว น้ำสะบัดไล่ความคิดออกไปจากหัว ใช่สินะก็เรานั่นเองที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ยอมจำนน ต้นเหตุคือเราเอง ทุกอย่างมันเริ่มมาจากเรา เสียใจมากไหมในตอนนี้ ยอมรับเอาเถิด

สายฝนกลางวสันตฤดูโปรยปรายลงมาเมื่อผ่านจังหวัดร้อยเอ็ดในตอนเกือบย่ำ รุ่ง แม้จะไม่เห็นแสงเงินแสงทองทางขอบฟ้าฟากทิอีสานแต่มองจากหน้าปัดนาฬิกาหน้ารถ แล้วมันบอกเวลาชัดเจนว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว วายุยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปตามเส้นทางที่ป้ายของกรมทางหลวงบอกทางเอาไว้ น้ำเองก็เงียบบ้างคุยบ้าง วายุเองเปิดเพลงเบาๆให้ไล่ความเงียบออกไปจากรถ ไม่รู้สึกง่วงแต่ปวดขา เพลียขึ้นมา พอเข้าจังหวัดที่น้ำเกิดก็จำได้ขึ้นมา

"นี่อำเภอเรา"

น้ำบอกเมื่อเข้าสู่ตัวอำเภอ วายุหันมองข้างทาง

"ตลาดนี่ แวะซื้ออะไรก่อนไหมน้ำ"

วายุเอ่ยขึ้นท่าทางคงจะหิว น้ำเองจึงพยักหน้า ทั้งสองเดินดูนั่นดูนี่ไปตามแผงที่แม่ค้าเอามาวางขาย

"ปลาอะไรอ่ะน้ำ"

"ปลาแขยง นายอยากกินเหรอ"

น้ำถามแต่ไม่รอคำตอบสั่งปลาจากแม่ค้าไปหนึ่งกิโลฯ

"เราจ่ายเอง"

วายุแย่งจ่ายเงิน

"ไม่ได้ นายอุตส่าห์พาเรามา"

"ไม่ได้นะน้ำ เราอยากกินนะ"

"โอ๊ย พ่อหนุ่ม อย่าแย่งกันจ่ายเลยจ้า เงินน่ะป้าเอาหมดนั่นล่ะ"

ป้าคนขายที่กำลังจะยื่นมือมารับเงินเห็นชักเข้าชักออกจึงโพล่งขึ้นมา ทั้งน้ำและวายุยิ้มอายๆ แต่น้ำก็ช้ากว่าวายุ

"ต่อไปนายไม่ต้องจ่ายแล้วนะ เราเกรงใจ"

"เกรงใจเราทำไมน้ำ เรามีความสุขนะเราถึงทำ เอ๊ะ นั่นผักอะไรอ่ะน้ำ"

วายุทำท่าชี้ไปทางอื่นเสีย น้ำได้แต่ส่ายหน้า เดินซื้อของกันสักพักก็ได้ของมาเต็มสองมือหิ้วพะรุงพะรัง

"ซื้อไปเยอะเดี๋ยวก็กินไม่หมดหรอก"

น้ำบ่นออกมา

"ก็แบ่งชาวบ้านเขากินด้วยไงน้ำ"

วายุหัวเราะอารมณ์ดี ขับรถจากตัวอำเภอเข้าไปยังทางลูกรังที่ตอนนี้ไม่มีฝุ่นสีแดงให้เห็นแต่มัน กลับเป็นโคลนตมแทน เวลาขับรถวายุต้องระวังทางเป็นพิเศษเพราะไม่เคยเจอหนทางที่ลำบากยากเย็นขนาด นี้มาก่อน เก้ากิโลเมตรจากตัวอำเภอเข้าไปยังบ้านของน้ำ พอถึงหน้าบ้านตะวันก็อยู่ที่ริมขอบฟ้าพอดี แสงเงินแสงทองฉายแสงระยับงามฉาบขอบฟ้าเอาไว้ ทุกสรพพสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้เงามืดของรัตติกาลเริ่มเผยโฉมอวดสายตาดวง สุริยัน

"แม่"

ไม่รีรออะไรทั้งนั้น เปิดประตูรถออกไปโผเข้ามามารดากอดเอาไว้แน่นสะอื้นไห้ออกมา แม่บุญช่วยเองตื่นขึ้นมานึ่งข้าวแต่เช้า ส่วนพ่อถาวรกำลังจัดแจงตะข้องจะออกไปนา

"น้ำ"

"แม่ พ่อ"

ร้องไห้ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง พ่อถาวรเดินเข้ามาลูบหัวของน้ำ ส่วนแม่บุญช่วยก็เป็นเหมือนเดิมต่อมน้ำตาตื้นกอดน้ำไว้ในอกร่ำไห้ออกมา

"แม่นิ่มเป็นไงบ้างแม่"

"อย่าเพิ่งถามเลยลูก แล้วนี่ไปยังไงมายังไง นั่นเพื่อนเหรอ"

พ่อถาวรตัดบทหันไปทางวายุที่ลงจากรถมายืนเก้ๆกังๆอยู่ พอพ่อถาวรหันมาก็ยกมือไหว้ทันที

"อ้อ วายุ เพื่อนน้ำเอง"

น้ำผละออกจากอกแม่บุญช่วยแล้วแนะนำให้วายุรู้จักกับบุพการีของตน

"ขับรถมาเลยเหรอพ่อหนุ่ม ท่าทางคงจะยังไม่ได้นอน ไปนอนก่อนไหม ไอ้หิน หินเอ้ยลูก พี่น้ำมา"

พ่อถาวรร้องเรียกหินให้ตื่น

"ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมกินกาแฟมายังไม่ง่วงครับ"

"หิวไหมลูก รอข้าวสุกแป๊บนะเดี๋ยวแม่ทำกับข้าวให้กิน"

"อ้อ ยังครับแม่ นี่พ่อจะไปไหนครับ"

วายุหันไปมองสนใจตะข้องที่พ่อถาวรสะพายอยู่

"อ้อ พ่อจะออกไปดูไซหน่อยน่ะลูก เมื่อคืนไม่ได้ออกไปดู กลับค่ำ"

"ผมขอไปด้วยได้ไหมครับ ผมอยากดู"

วายุเอ่ยขึ้น พ่อถาวรหันมามองหน้าน้ำ

"ไม่พักก่อนเหรอนาย"

"เราไม่เหนื่อยนี่น้ำ อากาศดีจะตาย"

วายุทำท่าแข็งแรงขึ้นมา แม่บุญช่วยก็ยิ้ม

"ไปสิลูก ไปดูวิถีชาวบ้านหน่อย"

พ่อถาวรเอารถเครื่องออกมาแล้วให้วายุเป็นคนซ้อนท้าย ตอนแรกวายุอยากจะลองขับแต่น้ำปรามเอาไว้เขาจึงยอมนั่งนิ่งซ้อนท้ายพ่อถาวรออกไปนา

"พี่น้ำ มากับใครอ่ะ"

หินเดินลงมาจากบนบ้าน หน้าตายังงัวเงียอยู่

"ตื่นสายนะหินเห็นไหมพ่อออกไปนาแล้ว"

แม่บุญช่วยหันไปหาลูกชายคนเล็ก

"อ่า ทำไมพ่อไม่รออ่ะ"

"หินมาช่วยพี่ขนของลงจากท้ายรถหน่อย"

วายุเอากุญแจรถทิ้งไว้ให้น้ำก่อนจะออกไปนา น้ำจึงไปเปิดเอาของที่ซื้อออกมา

"ของแบบนี้ก็ซื้อ ปลาเราก็ตั้งเยอะ ไม่เห็นมีหนมเลยอ่ะพี่น้ำ"

หินมองสำรวจดูของท้ายรถแล้วเบะปาก

"ขนมอยู่ในรถ ช่วยพี่ขนก่อน จะได้ทำกับข้าว"

น้ำเอ็ดน้องชายที่ไม่ยอมหยิบจับอะไรสักทียืมองอยู่

"แม่ แล้วแม่นิ่มล่ะ ใครเฝ้า"

พออยู่กับมารดาสองคนในครัวก็เอ่ยถามขึ้น แม่บุญช่วยสีหน้าสลดลงพลันน้ำตาก็ไหลออกมา

"แม่"

"น้ำ แม่นิ่มเขาไม่ได้เป็นเบาหวานอย่างเดียวนะ"

"หา อะไรนะแม่"

ร้องออกมามองหน้ามารดาเหมือนไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

"ทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ"

"คุณพระ"

"น้ำ ทำไมบอทมันไม่มา"

แม่บุญช่วยเอ่ยถาม คำถามที่ยากที่สุดที่จะตอบ คำถามที่คิดเอาไว้แล้วระหว่างทางว่าจะตอบยังไง แต่พอโดนถามเข้าจริงๆก็ถึงกับอึกอักไปไม่เป็น

"เอ่อ บอท บอทมันติดสอบน่ะแม่"

"อะไรกัน นี่หมอเขายื้อรอมันนะ ไม่ไหวเลยจริงๆ"

"แม่ แม่หมายความว่ายังไง หมอยื้ออะไร"

ร้องออกมาสายตาเบิกโพลง สิ่งที่ได้ยินมันเหมือนเสียงของลมอะไรสักอย่างที่ก้องอยู่ไกลแสนไกล หัวใจสลายลงในบัดดล ยื้อรอ คอยอะไร จะให้เข้าใจไปว่ายังไง น้ำทรุดลงกับพื้นไม่มีน้ำตา ไม่มีอะไร มันว่างไปหมดทั้งตัวและใจ

วิสัชนา สิ่งนั้นคือเงานั่นแล


เขียนโดย อิ๊กกี้



ปล อยากให้เมนต์ยาวๆนะครับ จะได้อ่านเวลาผมต้องการกำลังใจ แอบบังคับ

ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ

ขอบคุณจากใจ

มอบพิเศษให้ moonoi_sert ขอให้มีความสุขทุกคนนะครับ แม้นิยายมันจะมืดๆหน่อยก็ตาม แต่อย่าให้แสงในใจเหือดหายไป รักครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 02-12-2010 11:45:19
 :z13: :z13: :z13:
จิ้มเสร็จแล้วก็
 :o12: :o12: :o12:

เศร้า สลด รันทดหัวใจได้อีกคุณอิ๊กกกกกกกก :sad4:
บอทเอ๊ย มาหาแม่มั่งเถอะ  :เฮ้อ:
หมดแม่ไป แกจะเหลือใครนอกจากครอบครัวน้ำ
หรือหวังว่าอิไม้มันจะให้แกเกาะมันกินได้นานแค่ไหนเชียวห๊ะ  :angry2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 02-12-2010 11:51:47
อะไรกันนี่ โอ้ยๆๆๆๆๆๆ :z3:

มันจะ sad  ไปถึงไหนนิ  :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 02-12-2010 12:00:01
ยิ่งอ่านยิ่งเห็นความเลวของบอทเลยเฮ่อออออออออออออออออออ ไม่รู้จะเม้นตือะไรจริงๆใจก้อยากจะเม้นต์ยาวๆนะคะแต่มันตื้อ มันตันไปหมดเลยอ่ะเจอแบบนี้อ่ะ เซ็งไอ้บาท แม่ตัวเองแท้ๆยังไม่ห่วงหาอาดูเลย แม่งโคตรเลวอ่ะ แล้วกับน้ำมันจะมาสนใจอะไร กู่ไม่กลับแล้วแบบนี้ ส่งเข้าเตาเผาไปได้เลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 02-12-2010 12:11:50
 :m15: :monkeysad:
บอทมันคงจะกลับไปเป็นคนเดิมไม่ได้แล้วหล่ะค่ะ
หรือถ้าวันนึงมันกลับไปเป็นคนเดิมจริงๆมันก็คงจะรู้ตัวว่า คงไม่เหลือใครในชีวิตมันอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 02-12-2010 12:25:00
คุณอิ้กครับ ถ้าเหนื่อย หรือเครียดมาก ก็ต้องพักใจบ้างนะครับ เป็นห่วง
ถ้าบอทเกิดระลึกความหลังได้ มันคงเสียใจเจียนบ้า
แต้ถ้าไม่ ก็ต้องปล่อยไปตามทางแล้วครับ ทุกคนมีกรรมเป็นกำหนดนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 02-12-2010 12:47:44
 :L2:ขอบคุณครับคุณอิ๊กกี้ :L2:

 :m15:อยากจะบอกว่าอ่านตอนนี้แล้วบีบคั้นจิตใจสุดๆ บอทเอ๋ยต่อให้แกจะความจำเสื่อมขนาดไหน แต่นี่คนที่เป็นแม่ ซึ่งเป็นผู้ให้ทุกอย่างในชีวิตแก แกยังไม่กลับไปหาท่านอี กแกมันเลวเกินกว่าจะหาอะไรมาเปรียบเทียบอีก  :m15:

 :m15:ส่วนวายุถึงแม้ตอนแรกจะดูเหมือนเป็นคนไม่ดี แต่นายช่างเป็นคนดีจริงๆ ไม่ฉวยโอกาสตอนที่น้ำกำลังอ่อนแอ :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 02-12-2010 13:16:07
ดีใจนะที่น้ำตัดสินใจย้ายไปจากบอท แสดงว่า น้ำเริ่มเข้มแข็งขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง
แล้วยังเหตุการณ์สุดท้ายที่บอทเป็นไป
คงกะชากความรู้สึกดีๆที่น้ำมีต่อบอท ให้ออกไปจากใจน้ำได้บางส่วน(น่าจะส่วนใหญ่ด้วย)
ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับน้ำ ที่จะไม่หลงละเมอเพ้อพกกับคนไร้หัวใจ ไร้คุณธรรมแบบบอทอีกต่อไป
แม้จะจำเรื่องแต่หนหลังไม่ได้ แต่ปัจจุบันสิ่งดีๆที่น้ำทำให้บอท
ไม่ได้ไปสะกิดให้ต่อมความดีของบอทให้รู้สึกเลยหรือ
แล้วนี่ขนาดแม่ของตัวเองป่วยหนักขนาดนี้ ยังไม่คิดจะกลับมาเยี่ยม มาดูแล
ยิ่งแสดงว่า "คุณธรรม" ได้สูญไปจากใจบอทแน่แล้ว
น้ำควรตัดใจให้ขาดจากคนๆนี้ได้แล้ว ปล่อยบอทไปเถอะ
ปล่อยให้สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมของเค้าเถอะ
น้ำเอย..จงพยายามล้างตา ล้างใจให้สะอาด เพื่อที่จะได้ลองมองดู
และลองรับเอาสิ่งใหม่ๆมาพิจารณาบ้าง ที่ผ่านมา น้ำพยายามที่จะดึงบอทให้ขึ้นจากหลุมดำแล้ว
แต่บอทเองไม่พยายามปีนขึ้นมา ไม่เพียงแต่ขืนตัวเองไว้เท่านั้น แถมยังพยายามดำดิ่งลงสู่หลุมดำอีก
ถ้าขืนน้ำไม่ปล่อยมือบอท น้ำเองอาจอ่อนแรงและตกลงในหลุมดำนั้นด้วยอีกคนนะ

ป.ล. เพราะน้องอิ๊กแหละ ทำให้พี่แก้วอินไปกับตัวละคร(น้ำ) ถึงกับเพ้อเจ้ออะไรๆออกมาแบบนี้น่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: winney555 ที่ 02-12-2010 16:19:32
อ่านไปอ่านมายังกะเรื่อง แม่อายสะอื้น อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 02-12-2010 16:28:04
 :o12: :o12:

เอิ่ม  :เฮ้อ: 

บอทเลวๆๆๆๆจนไม่รู้จพพูดยังไง คนความจำเสื่อมเลวได้ขนาดนี้หรอ

พอบอทจำอะไรได้จะมาเสียใจก็คงไม่มีไรดีขึ้นหรอก
พอเถอะ


น้ำไปซพที อยู่ไปก็ไม่มีไรดีขึ้นเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 02-12-2010 17:57:40
เห้อๆๆ

บอทเลวโครตๆ เลย

T^T


รออ่านอย่างระทึก

อย่าทำร้ายคนอ่านอีกเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 02-12-2010 18:32:36
สงสารแม่นิ่มมมมมมมมมมมมมมมมมมม
บอทนี่ยังไงนอกจากทำร้ายน้ำแล้ว นี่ยังจะทำให้ตัวเองเป็นลูกอกตัญญูอีก
ให้ตายเถอะ คนแบบนี้น้ำเลิกรักมันไปเลยยยยยยย
วายุท่าจะดีกว่า
บอท ถ้าวันไหนค.ทรงจำกลับมา อย่าได้เสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเลยนะ
ทำตัวเองทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 02-12-2010 18:35:51
เลวกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ
ระวังมันจะติดตัวไปจนตายนะบอท

ทำอะไรได้อย่างนั้น
เค้ารอผลกรรมนั้นอยู่เช่นกัน

ทำกับน้ำว่าหนัีกแล้ว
นี่แม่เธอนะบอทนะ
ไม่ไหวแล้วจริงๆ
ใจร้ายมากกก ฮืออ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: WhatLoveIs ที่ 02-12-2010 18:40:52
แหะๆ มาเมนท์แล้วค่ะ จะพยายามเมนท์ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ

น้ำ คือ คนที่ยังมีความทรงจำอยู่ ยังไงก็คงเป็นฝ่ายที่เสียใจมากกว่า ซ้ำยังเป็นคนที่ทำให้บอทเสียความทรงจำ ก็ยิ่งตัดสินใจยาก จะจากไปก็รู้สึกผิด อยู่ก็เจ็บปวดมาก
ฝ่ายบอท ถ้ายังไม่สูญเสียความทรงจำไป ก็คงไม่ใจร้ายอย่างนี้
สถานการณ์ตอนนี้ มันแย่มากตรงที่ นอกจากสูญเสียความทรงจำแล้วยังสูญเสียสามัญสำนึกหลายๆ อย่างไปด้วย ความเป็นคนมีน้ำใจ ความกตัญญู การคิดถึงจิตใจคนอื่น

ในฐานะคนอ่าน ก็ไม่รู้จะเชียร์ยังไงดี  :z3:

ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ
ค่อนข้่างชอบมากๆ อีกหนึ่งเรื่อง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน หวานแหวว เป็นรัก เป็นประสบการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน
ทำให้เราได้มองชีวิตในหลายมุมขึ้นด้วย

รอติดตามต่อนะคะ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ

 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 02-12-2010 19:09:25
พี่อิ๊ก  หวัดดีครับ
อืม...ไอ้บอทมันบ้าไปแล้ว 
ส้มว่านี่เป็นนิสัยดั้งเดิมของมันนะครับไม่ใช่เป็นเพราะว่าความจำมันเสือมหรอก
ความน่าจะเป็นของคนความจำเสื่อมก็ไม่รู้ด้วยเพราะไม่เคยเห็นจริงๆซักคน
แค่ในความคิดนะ  คิดว่าจะเสื่อมยังไง คำว่าแม่นี้สำคัญมากๆๆๆ
ถึงจะจำได้แต่ตอนที่นอนบาดเจ็บอยู่ที่บ้านนอกก็น่าจะรู้นะครับว่าแม่ที่มานอนเฝ้า ใครที่ร้องให้ข้างๆตอนที่เจ็บ
แต่แบบนี้มันชั่วเกินคนแล้วนะ  ชั่วโดยนิสัยไม่ต้องปรุงแต่ง  แต่แปลกนะทำไมตอนที่มันความจำไม่เสื่อมถึงไม่แสดงธาตุแท้ออกมาเก็บกดใว้ในใจได้ลึกจนคนรอบข้างมองไม่ออก  พอหลุดออกมาจากตรงนั้นก็แสดงออกมาได้น่ากระทืบมากๆ
คิดว่ามันจะต้องกลับมาไม่ทันแม่มันเสียแน่ๆ  แล้วพอมันกลับมาหลังจากที่แม่มันเสีย  มันจะต้องมาโทษน้ำอีก
แล้วก็ต้องยกความผิดให้กับน้ำแน่ๆ ไอ้คนแบบนี้มันทำได้  ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ผิด แต่คนรอบข้างผิดทุกอย่าง
ยินดีกับน้ำด้วยที่ถอนตัวออกมาจากมันได้และอยากถอนออกมาให้สนิทด้วย  เพราะไอ้คนเห็นแก่ตัวแบบนี้มันจะกลับมาเลวได้ทุกเวลา    ขนาดแม่มันนอนรงพยาบาลมันยังไม่กลับมาดู  คนเราน่าจะคิดได้นะว่า ถ้าไม่หนักจริงๆเค้าไม่ไปนอนกันหรอกโรงพยาบาล
ก็รอเวลาที่จะร่วมกันกระทืบไอ้บอทแล้วนะครับพี่อิ๊ก
แต่มาถึงตอนนี้มันตะหงิดๆไงไม่รู้แล้ว
แล้วไม่ว่าอย่างไรนะครับ  ส้มยังอยู่ข้างพี่อิ๊กนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 02-12-2010 19:12:32
แม่ตัวเองป่วยมันยังไม่กลับมาเยี่ยม 
ตัดมันออกไปจากชีวิตได้ก็ดีแล้วล่ะน้ำคนพรรค์นี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 02-12-2010 20:34:50
บอทเลวไปมั๊ยอะ แม่ป่วยยังไม่คิดจะไปเยี่ยม  :z6:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 02-12-2010 21:21:06
มันมากเกินไปแล้วอ่ะ...บอทมันเป็นบ้าอะไรฟระ..

นี่กับแม่ตัวเองแท้ๆ ถึงแม้จะความจำเสทื่อมแค่ไหน แต่กับแม่ตัวเองเนี่ย มันไม่น่าแม้แต่จะลืม หรือไม่รู้สึกสะทกสะท้าน อะไรแบบนี้..

 :z3: :z3:

มันเปลี่ยนไปมากจริงๆ ... ติดยารึปล่าวอ่ะ?
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 02-12-2010 21:21:48
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 02-12-2010 21:27:13
บอกแล้วมันเป็นสันดานลึกๆที่ฝังอยู่ในใจ  เพราะมันบอกว่าตอนเด็กๆมันลำบากมามากแล้วนี่ตอนนี้มันมาอยู่ในเมืองมันจะลองเปลื่ยนตัวเองบ้างเหมือนกิ้งก่าไง
หรือว่าเหี้ยดีว่ะ  เพราะว่าแม้แต่แม่ของมันๆยังจำไม่ได้ว่าแม่มันไม่สบาย สัดจริงๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 02-12-2010 21:51:06
แอบหวังลึกๆว่าพี่อิ๊กจะมาต่อวันนี้อีกซักตอนนะนี่
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 02-12-2010 22:41:58
เอาไม้ฟาดหัว ความจำจะกลับมามั๊ยเนี่ยย

ถ้าบอทความจำกลับมาก็สงสารวายุ  :serius2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 03-12-2010 11:40:57
นี่ขนาดแม่ตัวเองนะเนี่ย เลวได้อีกอ่ะ  :z6:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 03-12-2010 12:27:03
ถีบบอทตกบ่อจระเข้ไปเลยได้มั้ยคุณอิ๊ก  :angry2:
ขอโทษนะคะ ทำไมสันดารมันเปลี่ยนได้มากขนาดนี้
นี่แม่นะ.. บอทมันความจำเสื่อมหรือว่าอะไรกันแน่เนี่ย?

วายุ ดูแลน้ำให้ดีๆนะ ช่วงที่บอทมันเป็นบ้าผีบ้าเข้าสิงก็ช่วยดูแลให้น้ำมีความสุขในชีวิตบ้าง
ผลบุญครั้งนี้จะได้ส่งให้วายุเจอคนดีๆที่เป็นของวายุจริงๆเข้าเหมือนกัน


เหมือนเดิมเน้นๆค่ะ รอเวลาเอาคืนบอทให้เจ็บแทบกระอักอย่างสาสม
 :กอด1:คุณอิ๊ก ไม่รู้ว่าคุณอิ๊กกำลังเครียดหรือไม่สบายใจอะไรหรือเปล่านะ
แต่เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 03-12-2010 17:29:36
 :กอด1: :L2: :3123:คุณอิ๊กครับ ถ้ามีเรื่องเครียดหรือไม่สบายใจอะไรก็พักผ่อนปล่อยวางนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปนะครับ :กอด1: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 03-12-2010 22:59:02
พี่อิ๊ก  หวัดดีครับ 
มาทักทายตามประสาคนเป็นห่วง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 04-12-2010 01:51:24
Comment ยาวๆ หรอคะ  comment ไม่เป็นอะค่ะยาวๆ
เอาเป็นว่าเป็นกำลังใจให้คุณอิ๊กกี้เสมอนะคะ ไม่ว่าจะเรื่องนี้ เรื่องหน้า และเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับนิยาย

บอทยังเลวกว่านี้ได้อีกหรือเปล่าคะเนี่ยคุณอิ๊กกี้ เหมือนจะเป็นแค่ขั้นเริ่มแรกที่ผลักให้น้ำแยกตัวออกมา
มาต่อเร็วๆ นะคะคุณอิ๊กกี้ อยากอ่านต่อแล้ว


******************

ตอนที่ 37

ทิศปัจจิม ที่แปลว่าทิศตะวันตก เขียนได้หลายแบบ มี ปัศจิม(สันสกฤต) ปัจฉิม (บาลี) ประจิม (เขียนแบบไทย) แต่ไม่มี ปัจจิม นะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 04-12-2010 03:10:13
ใจหนึ่งก็ไม่อยากอ่าน (เพราะบอท)
ใจหนึ่งอยากอ่าน (เพราะน้ำ)

แต่สุดท้ายก็ต้องมาอ่านทุกครั้ง (เพราะคุณอิ๊ก)

นิยายดีๆ ข้อคิดดีๆ เป็นกำลังใจให้คนอ่านคนนี้เสมอ

ยินดีมาก ถ้าจะได้เป็นหนึ่งในการสร้างกำลังใจ...ของใครสักคน 
โดยเฉพาะคนที่เราชื่นชม
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 04-12-2010 18:46:27
เป็นกำลังใจให้พี่อิ๊กนะค่ะ

เอ่อ บอทเนี่ยชักจะสันดารเสียขึ้นทุกทีๆเลยนะเนี่ย สงสารน้ำจัง ใจชักจะเอนเอียงไปเชียร์วายุซะแล้วซิ :bye2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๗ (ธันวาคม ๒, ๒๕๕๓) หน้า ๒๗
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 04-12-2010 19:15:22
บทที่ ๓๘

ปุจฉา อันแก้วร้าวแลใจร้าวนั้นเชื่อมต่อผสานให้คงเดิมได้หรือไม่

"บอท แต่งตัวสิ เดี๋ยวก็ไปช้าหรอก"

พอค่ำไม้ก็มาหาถึงที่ห้อง เดี๋ยวนี้เข้าออกหอของน้ำและบอทเหมือนหอของตัวเองไปเสียแล้ว บอทเองยังนอนมองเพดานห้องอยู่ พัดลมที่น้ำซื้อไว้ตอนเงินเดือนออกเดือนแรกยังพัดไล่ความอบอ้าวในห้องให้หายไป อันความเร่าร้อนภายนอกนั้นพอทุเลาเบาบางลงด้วยน้ำเย็นหรือลมจากพัดลมปัดเป่าให้จางหายไปได้ แต่ความร้อนรนในใจมันกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นทวีคูณ

"อืม"

"เป็นไรบอท เหม่อๆ น้ำกลับบ้านนี่ งั้นคืนนี้ไม้มาค้างด้วยนะ"

ถือเป็นโอกาสทองของตนฉายแววตาพราวเสน่ห์ออกไป

"ดูก่อน เรารู้สึกแปลกๆ"

"อะไรบอท มีอะไรหรือเปล่า"

"แม่เราไม่สบายเข้าโรงบาล"

พูดออกมาสายตาเหม่อลอย

"อ้าวเหรอ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง น้ำก็กลับไปดูให้แล้วนี่ รีบไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวตลาดวาย"

อันแสงสีงามงดรายระยับอยู่รอบกาย ส่องประกายงดงามเพียงใดแต่ถ้าหากใจนั้นหยาบช้าเสียแสงสีนั้นแลจะดูไร้ค่าขึ้นมาในบัดดล

"อุ๊ย บอทเบาๆ ทำไมกินเหล้าเพียวๆแบบนั้นล่ะ"

ไม้ร้องปรามเอาไว้เพราะบอทกระดกเหล้าเข้าปากต่อกันสองแก้ว เหล้าซึ่งไร้น้ำชนิดอื่นมาเจือปน

"เราอยากเมา"

ไม้ฉายแววตามองอยู่แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก

"เราไปเข้าห้องน้ำนะ"

บอทบอกแล้วเดินออกจากโต๊ะ แสงไฟกระพริบหลากสีเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม ดังจนพูดกันไม่รู้เรื่อง กลิ่นควันบุหรี่ลอยตลบอบอวลคลุ้งอยู่ทั่วผับ สถานที่อโคจรที่ที่ไม่ควรเข้าไปอยู่แต่ร่างของคนหลายคนนับร้อยออแน่นกันอยู่ในผับนั้น ไม่สนใจอะไรไม่รู้หรอกศีลไม่เห็นหรอกธรรม ก็อยากจะแค่สนุกตามใจอารมณ์อยากจะเป็นไรไป

"เฮ้ย มึงเหยียบตีนกู"

"เชี่ย"

บอทโดนผลักเซล้มไปอีกโต๊ะ ด้วยฤทธิ์ของน้ำเมาทำให้ทรงตัวไม่อยู่ ทันที่ที่โดนว่าเขาก็สวนตอบเช่นกัน

"เหยียบตีนกูยังไม่ขอโทษอีก สัตว์ มองหน้าหาเรื่องเหรอมึง"

ผับที่เรียกตัวเองว่าเป็นผับเกย์แต่ผู้คนที่เข้าไปใช้บริการใช่ว่าจะมีแต่กลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้น ทั้งหญิงสาวชายหนุ่มรวมทั้งมิจฉาชีพมากมายเดินหลังชนหลังกันอยู่ หน้าตาดูไม่ออกว่าเป็นคนไม่ดี หน้าตาดูไม่รู้ว่าไร้ซึ่งการอบรมบ่มนิสัยหรือเป็นผู้ดีมาจากแห่งหนใด

"ทำไม กูไม่ได้ตั้งใจ"

บอทพยายามดันตัวเองขึ้น

"มึงมีปัญหาอะไร"

สายตาที่ฉ่ำหยาดเยิ้ม แต่เวลาโกรธบึ้งก็ฉายแววดุร้ายออกมา

"สัตว์เอ้ย"

"เพล้ง"

"กรี๊ดดด"

พอวายุกลับจากนาน้ำเองก็เร้าจะเข้าไปในเมืองเพื่อจะไปเยี่ยมแม่นิ่ม แต่พ่อถาวรไม่ยอมบอกให้นอนพักก่อนเพราะวายุเองท่าทางเหนื่อยล้าจากการขับรถข้ามคืนเหลือเกิน น้ำเองก็เช่นกัน พอเห็นสีหน้าอิดโรยของวายุน้ำเองจึงต้องยอม เวลากลางวันปกติจะร้อนนอนได้ไม่นานก็ตื่นแต่วันนั้นสายฝนได้โปรยปรายลงมาทั้งวัน ท้องฟ้าก็อึมครึมขมุกขมัวทำให้อากาศเย็นสบาย พอนอนก็หลับยาวตื่นขึ้นมาเมื่อตอนค่ำมองออกไปภายนอกเห็นมืดแล้ว ไม่ใช่มืดด้วยเมฆฝนแต่มันคือเงาของราตรีกาลที่ย่างกรายเข้ามาแผ่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ

"แม่ ทำไมแม่ไม่ปลุกน้ำ"

พอเดินลงมาข้างล่างก็โวยวายใหญ่

"ก็แม่เห็นหลับอยู่นี่ลูก มาเหนื่อยๆอยากให้พักเยอะๆ พ่อวาล่ะยังนอนอยู่เหรอ"

แม่บุญช่วยเองก็รู้จักบุตรชายเป็นอย่างดี อ้อมไปเสียเรื่องอื่น น้ำได้แต่ถอนหายใจ

"ยังแม่ คงเหนื่อย"

"อืมให้นอนไปก่อน น้ำไปอาบน้ำสิลูก จะได้ไปเยี่ยมแม่นิ่ม"

"เขาให้เฝ้าไหมแม่ น้ำจะได้อยู่เฝ้าแม่นิ่ม"

พอตื่นขึ้นมาสีหน้าวิตกกังวลก็กลับเข้ามาฉายอยู่เหมือนเคย แววตาที่ครุ่นคิดฉายออกมายากจะปิดบัง

"เฝ้าสิน้ำ วันก่อนแม่ก็เฝ้า"

สีหน้าของแม่บุญช่วยก็ไม่ได้ต่างไปจากน้ำเลย แต่หันหลังให้น้ำเสียก่อนที่จะสังเกตความผิดปกติไปมากกว่านี้ น้ำเองก็เดินกลับขึ้นไปบนบ้านเพื่อหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมไปอาบน้ำ

"ตื่นแล้วเหรอน้ำ อ่า หลับเป็นตายเลย หลับสบายมากอากาศดีจัง"

"นายตื่นแล้วเหรอ นอนต่ออีกได้นะ"

"ไม่เอาอ่ะ บ้านน้ำนี่น่าอยู่เนอะ ถ้าให้เรามาอยู่ก็ได้นะ เราชอบ"

วายุยิ้มออกมาเต็มดวงหน้า น้ำเองก็หลบสายตาทันทีเพราะไม่อยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้จากใบหน้าของใครอื่น

"ไปอาบน้ำไหมนาย จะได้กินข้าวเดี๋ยวจะเข้าไปในเมือง"

"อืม ได้เดี๋ยวเราไปอาบน้ำ"

วายุยันกายลุกขึ้นจากที่นอนบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้น น้ำเองก็หยิบผ้าเช็ดตัวยื่นให้วายุ เขายังฉายรอยยิ้มหวานมาให้

"รีบๆไปอาบได้แล้ว มายิ้มอยู่ได้"

"ก็เห็นหน้าน้ำแล้วมีความสุขนี่นะ"

วายุเองพูดแล้วรีบเดินลงไปห้องทันที ปล่อยให้น้ำยืนอายหน้าแดงอยู่คนเดียว

"หอมจังครับแม่ ทำอะไรกินครับ"

วายุเดินเข้าไปในครัวยื่นหน้าเข้าไปยิ้มพราว แม่บุญช่วยที่กำลังก้มๆเงยๆต้มแกงอยู่ก็เงยหน้าขึ้น

"อ้อ ตื่นแล้วเหรอลูก หลับสบายไหม แม่กำลังทำต้มส้มปลาช่อนใส่ใบมะขามอ่อน กับทำน้ำพริกมะเขือ เคยกินไหม"

"กินได้ครับ แม่ไม่ต้องห่วงอยู่ที่โน่นผมก็กินทุกอย่าง บ้านแม่น่าอยู่นะครับ ผมนี่หลับเป็นตายเลย"

"ดีแล้วลูกกินง่ายอยู่ง่ายจะได้ไม่ลำบาก เราคงจะเพลียน่ะสิพ่อคุณ รีบไปอาบน้ำเถอะลูกจะได้มากินข้าว"

แม่บุญช่วยบอกแล้วตักแกงขึ้นชิม

"แล้วน้องหินไปไหนล่ะครับแม่"

"มันไปนากับพ่อเดี๋ยวก็คงกลับ"

"ไม่เห็นรอผมเลย ผมก็อยากไป"

"เราไม่คิดว่ามันลำบากเหรอลูก คนเมืองคงไม่มีใครชอบ"

"ไม่หรอกครับ น้ำยังทำได้ ผมก็ทำได้ครับ แม่คงจะภูมิใจในตัวน้ำมากนะครับ น้ำเป็นคนดีมาก ดีจนบางครั้งผมว่ามันกินไป"

ท้ายประโยคทำให้แม่บุญช่วยปราดสายตาขึ้นมามอง

"อ้าว ทำไมล่ะลูก ดีจนเกินไป"

"ก็กับคนบางคนน่ะครับแม่ ผมว่าน้ำทนมากเกินไป"

วายุฉายแววตาออกมาเหมือนอยากจะบอกเต็มทน

"น้ำมันเป็นแบบนี้ล่ะพ่อวา เวลามันตั้งใจจะทำอะไรมันไม่ยอมง่ายๆหรอก เราเป็นคนเมืองอยู่ที่โน่นท่าจะลำบาก ยังไงแม่ฝากดูน้ำมันด้วยนะลูก"

"แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะคอยดูแลน้ำเอง"

วายุฉายรอยยิ้มออกมาแล้วเดินไปอาบน้ำ สักพักน้ำก็เดินลงมาช่วยแม่บุญช่วยทำกับข้าว พอวายุอาบน้ำเสร็จน้ำเองก็ไปชำระร่างกายบ้าง กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันต้มส้มปลาช่อนใส่ใบมะขามอ่อนส่งกลิ่นหอมฉุย น้ำพริกมะเขือก็ตำเข้ากับเนื้อปลาหมอไม่เผ็ดมากจนเกินไป ไข่เจียวสีเหลืองทองฟูฟ่องก็น่ากิน แม่บุญช่วยหุงข้าวสวยให้วายุแต่คนที่กินคือพ่อถาวรกับหินส่วนวายุล่อข้าวเหนียวแข่งกันกับน้ำ พอกินเสริจก็เข้าไปในเมืองตรงไปยังโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมอาการของแม่นิ่ม วายุเป็นคนขับรถเพราะรถกระบะของพ่อถาวรไม่ได้เอาไปกลัวว่าฝนจะตก เกือบสามทุ่มก็ถึงโรงพยาบาลในตัวจังหวัด

กลิ่นยากลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อที่ลอยมาปะทะจมูกบั่นทอนความรู้สึกที่เปราะบางอยู่แล้วเป็นทุนให้อ่อนยวบลงไปอีก ภาพที่รายล้อมเท่าที่สายตาจะมองเห็นมันไม่ได้น่าพิศมัยให้ชวนแลแต่อย่างใด น้ำพยายามมองพื้นเดินตามครอบครัวไป วายุเองก็เดินอยู่ข้างหลังไม่ห่าง

"แม่นิ่ม แม่นิ่มนี่น้ำเอง"

ครางออกมาเมื่อเห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้า ร่างของแม่นิ่มนอนแผ่อยู่บนเตียงสายระโยงระยางเต็มไปหมด ร่างที่ท้วมอยู่ก่อนแล้วดูเหมือนจะบวมท้วมขึ้นกว่าเดิมมาก

"แม่นิ่ม เจ็บมากไหม นี่น้ำนะ"

น้ำตาไหลออกมาปรี่เข้าไปเกาะเตียง ไม่กล้าจับเพราะกลัวว่าแม่นิ่มจะเจ็บ

"น้ำ น้ำเหรอลูก บอท บอทล่ะ"

สายตาของแม่นิ่มเป็นตัวเร่งน้ำตาของน้ำได้ดีเหลือเกิน ไหลออกมาโดยไม่ต้องรอ สายตาที่มองหาร่างของคนที่เพิ่งเรียกชื่อออกไปมันน่าเวทนานัก

"บอท บอทมันติดสอบแม่นิ่ม เดี๋ยวก็ตามมา"

น้ำพูดออกไป สิ่งที่คิดจะบอกไว้ในตอนแรกมันเลือนหายไป สิ่งที่เห็นในตอนนี้มันปวดร้าวใจเหลือเกิน

"มันจะมาเมื่อไหร่น้ำ บอทจะมาเมื่อไหร่"

เสียงของแม่นิ่มดูหอบเหนื่อย จะเอ่ยออกมาแต่ละคำดูยากลำบากนัก น้ำเอื้อมมือไปกุมมือของแม่นิ่มไว้

"มันจะตามมา เดี๋ยวก็มาแม่นิ่ม แม่นิ่มหายไวไวนะ"

น้ำเม้มปากแน่น แม่นิ่มเองน้ำตาไหลออกจากหางตาเมินหน้าไปทางอื่น เพิ่งเห็นว่าขาของแม่นิ่มมีผ้าสีขาวพันอยู่จากข้อเท้าที่บวมเป่งพันขึ้นมาถึงโคนขามีคราบเลือดซึมออกมาตามผ้าสีขาวนั้น

"น้ำพอก่อนเถอะลูก ให้แม่นิ่มเขาพัก เป็นไงบ้างแม่นิ่ม วันนี้เจ็บไหม"

พอ่ถาวรไปดึงบ่าของน้ำออกมาจากขอบเตียง

"พ่อถา ฉันคงอยู่ได้ไม่นานหรอก ไม่รู้จะอยู่รอเจอหน้าไอ้บอทมันหรือเปล่า"

"แม่นิ่ม"

น้ำโผเข้าไปอีกรอบ แม่บุญช่วยเองไม่ต้องพูดถึงนั่งทรุดลงกับพื้นไปแล้ว มีวายุกับหินคอยประคองอยู่

"ทำไมพูดแบบนั้นแม่นิ่ม ทนมาตั้งนาน อะไรจะยอมแพ้ง่ายๆแล้วเหรอ"

"ทรมานเลหือเกิน ให้ตายๆไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอด ลูกมันก็ไม่มาใยดี"

น้ำตาของแม่นิ่มทำให้น้ำกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่

"แม่นิ่ม แม่นิ่มอย่าพูดแบบนี้ บอทมันกำลังจะมา บอทมันกำลังมา แม่นิ่มอย่าเป็นอะไรไปนะ"

สะอื้นออกมาร่างสั่นไหวโยนไปกับแรงดีดดันในร่าง น้ำตาไหลออกมาเปรอะเปื้อนหน้า

"น้ำลูก ฝากบอกบอทด้วยนะ"

"แม่นิ่ม อย่าทำแบบนี้ อย่าทำแบบนี้"

เสียงคร่ำครวญดังแว่วอยู่ทั่วบริเวณพ่อถาวรต้องเข้ามากอดน้ำเอาไว้ดึงตัวออกไปจากห้องพักคนไข้ให้ไปสงบสติอารมณ์เพราะห้องผู้ป่วยรวมไม่ได้สะดวกสบายเหมือนห้องพิเศษ อีกอย่างถือเป็นการรบกวนคนไข้รายอื่นๆด้วย

แม่นิ่มหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ของยานอนหลับหลายขนานเพื่อบรรเทาความปวด พ่อถาวรคุยกับหมอด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดสักพักก็เดินกลับมา

"น้ำติดต่อไอ้บอทไม่ได้จริงๆเหรอลูก"

เสียงที่เครียดจนร้าวลึกเข้าไปถึงในใจ น้ำไม่มีอะไรจะเอ่ยออกมา หัวใจมันเหมือนโดนกระตุกแรงๆ ได้แต่เม้มปากแน่นส่ายหน้า วินาทีนี้มันทรมานแบบนี้เองหรือ ไม่อยากคิดว่าจะสูญเสียหรือพรากแยกจากใคร ไม่ได้เตรียมใจ เกิดมาไม่เคยเจอ แม้นหากคนที่รักอยู่เขาแปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือยังไม่รู้สึกร้าวรานเท่านี้ ความร้าวรานในใจอีกแบบที่ทำให้น้ำตามันเอ่อท่วมตา

"คงไม่ยื้อแล้วนะน้ำ ไม่ไหวแล้ว สงสารแม่นิ่ม หมอบอกคงไม่พ้น"

"พ่อ ฮึกๆ"

"น้ำ น้ำทำใจดีๆไว้"

เหมือนคนไม่มีแรง หมดพลังใจตัวในหัวใจ ไม่มีแม้แต่แรงจะร้องไห้หรือสะอื้นออกมาร่างอ่อนปวกเปียก วายุรีบคว้าตัวของน้ำเอาไว้ก่อนที่ร่างจะร่วงลงสู่พื้น พ่อถาวรเองก็กอดแม่บุญช่วยมีหินยืนกอดแม่อยู่ เป็นครั้งแรกที่เห็นน้ำตาของพ่อถาวร แม้จะไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนน้ำกับแม่บุญช่วย แต่รับรู้ได้ว่าพ่อถาวรเองก็เสียใจไปไม่น้อยกว่าใครในที่นี้ เสียงคร่ำครวญสะอึกสะอื้นดังแว่วอยู่หน้าห้องคนไข้

"แม่นิ่ม โถไม่น่าเลย เวรกรรมแท้ๆ"

เสียงครำครวญของแม่บุญช่วยเหมือนใจจะขาด พ่อถาวรเองก็กอดปลอบอยู่ แม้จะรู้ซึ้งดีว่าสังขารไม่เที่ยงแต่มนุษย์ธรรมดาสามัญย่อมเป็นธรรมดาที่จะคร่ำครวญเสียใจ

"บอท บอทมาแล้วเหรอลูก เฮือก"

รัตติกาลที่ยาวนานแลเหน็บหนาว ตื่นก็เจ็บลุกก็ร้าวเข้าในทรวง คร่ำครวญร้องร่ำไห้ดังไปถึงสรวง ฤๅแม้แต่กลลวงอย่าเพิ่งพรากดวงชีวา แม้ให้ยื้อกรีดเลือดเนื้อก็อ้อนขอ แต่ให้รอคนที่รักดังแก้วตา หลับก็ร้องตื่นก็ไหลหนอน้ำตา ร้าวกายาฤๅจะมาเท่าร้าวรานใจ

แม่นิ่มเพ้อขึ้นในกลางดึก น้ำกับแม่บุญช่วยนอนเฝ้าที่โรงพยาบาลส่วนวายุพาพ่อถาวรกับหินไปเปิดโรงแรมนอนพักบริเวณใกล้โรงพยาบาลเพราะจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่สำหรับพ่อถาวรเองนอนไม่ได้หลับอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แม่บุญช่วยเองก็เช่นกัน แต่น้ำหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนฟุบหลับลงกับเก้าอี้

"เฮือก บอท บอทมาแล้ว บอทมาแล้ว"
.
.
.

"บอท บอท ช่วยด้วย"

"กรี๊ดๆๆๆๆ"

พอขวดเหล้ากระแทกเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง ขวดที่บรรจุน้ำสีน้ำตาลอมดำที่มีอยู่ครึ่งขวดแตกกระจายทันที ร่างของบอทฟุบลงกับพื้นเลือดไหลนอง ไม้เองยืนอยู่ไม่ไกลมากนักปรี่เข้ามาตั้งแต่บอทโดนผลักแต่ช้าไปเข้าไม่ถึงตัว

"บอท ตายแล้ว เลือด เลือด ช่วยด้วย"

เสียงของไม้ทำให้พนักงานรักษาความปลอดภัยกรูกันเข้ามาจับตัวคู่กรณีไว้ไม่ให้วิ่งหนีไปได้ ไม้กอดร่างของบอทเอาไว้แน่น จะเชื่อไหมว่าหลังจากที่เอาร่างของบอทออกไปจากผับได้ไม้ก็พาขึ้นรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล ส่วนภายในผับพนักงานทำความสะอาดก็มาเช็ดคราบเลือดออกไป ผู้คนที่แตกฮือเมื่อครู่กลับมาเต้นแร้งเต้นกาตามจังหวะเพลงต่อไป สิ่งที่เกิดเมื่อครู่มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ เขาไม่ได้เป็นอะไรกับเราไม่เกี่ยวพันกัน

"แม่นิ่ม แม่นิ่ม"

เสียงกรีดร้องของแม่บุญช่วยปลุกให้น้ำตื่นกระเด้งตัวลุกจากเก้าอี้ ปรี่เข้าไปหาแม่บุญช่วยที่กอดร่างเขย่าตัวของแม่นิ่มอยู่

"แม่"

"แม่นิ่ม โถ่ มาด่วนจากกันซะแล้ว แม่นิ่ม"

เสียงกรีดร้องของแม่บุญช่วยทำให้น้ำตื่นจากภวังค์ทั้งหลายทั้งปวงมือที่จับแขนของมารดาของตนตกลงต่ำทันที

"แม่นิ่ม"

"ฮือๆๆ ทำไมมาทิ้งกันไปแบบนี้ แม่นิ่ม"

"แม่นิ่ม แม่นิ่มอย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไป"

กลายเป็นทั้งน้ำทั้งแม่บุญช่วยกอดร่างของแม่นิ่มเขย่าตัวอยู่คนละด้านจนพยาบาลและหมอวิ่งกรูเข้ามากันตัวทั้งสองออกจากศพ

ร่างของมนุษย์เราถ้าแม้นกำลังหายใจเข้าออกอยู่นั้นเราแทนตัวว่าคน แต่แค่เพียงลมหายใจขาดหายไปเรากลับแทนตัวว่าศพ ศพที่ไม่ได้เอ่ยคำลาจากบุตรที่เบ่งออกจากอุทร ศพที่แม้ตอนสิ้นลมหายใจก็ยังเพ้อละเมอหาบุตรคนที่เป็นแก้วตาแลดวงใจ จะรู้ไหมหนอ จะรู้ไหมว่าแม่คนนี้สิ้นลมจากโลกนี้ลาลับไปแล้ว
.
.
.
"น้ำ น้ำ แม่"

โรงพยาบาลรามคำแหงคือที่ที่ใกล้ที่สุดที่ไม้จะนึกออก เขาพาตัวบอทนำส่งโรงพยาบาลทันที บอทถูกตีหัวอย่างแรงหมอบอกว่าน่าประหลาดที่กะโหลกศรีษะไม่มีร่องรอยอะไรเลย เพียงแต่รอผลเอ็กซ์เรย์สมองอีกครั้งเมื่อบอทฟื้น ไม้เองเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ได้อยากจะจ่ายแต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อเป็นคนพาเขามาติดต่อใครก็ไม่ได้ นอนหลับไปสองวัน สองวันเต็มๆ

"น้ำ น้ำ น้ำอยู่ไหน"

รู้สึกตัวขึ้นมาพร้อมกับภาพในคืนวันเก่าๆที่หลั่งไหลเข้ามาในหัว เหมือนฉายหนังตัวอย่างภาพไปเร็วแต่แจ่มชัดเหลือเกิน น้ำตาไหลออกมา ความทรงจำในวันวานที่เลือนหายไปมันผุดขึ้นมา ความทรงจำใหม่ก็ยังคงเดิม ความทรงจำเก่าผสานเข้ากันกับความทรงจำใหม่ เหมือนมันผ่านมาแค่วันเดียวแต่ภาพต่างๆเหล่านั้นทำไมมันมากมายเหลือเกิน ภาพตอนที่น้ำนอนกอดตัวเองหนาวจับไข้อยู่ แล้วมีชายอีกคนกำลังปรนเปรอความสำราญให้กับแก่นกายของตน ภาพคนที่รักที่สุดในชีวิตที่กำลังเอาหลังพิงฝาห้องร้องไห้ออกมาปิ่มใจจะขาด นี่มันอะไร มันเกิดอะไรขึ้น

"น้ำ"

ร้องออกมาดังเท่าที่จะดังได้ ดังออกมาจากใจ นี่เราทำอะไรลงไป นี่มันคืออะไร
.
.
.

"ทำไมมาด่วนจากกันไปเร็วอย่างนี้แม่นิ่ม ยังไม่ทันได้เห็นชายผ้าเหลืองเลย ไหนบอกจะอยากจะเห็นชายผ้าเหลืองให้เป็นบุญตา ทำไมแม่นิ่มทำแบบนี้ ฮือๆ แล้วชั้นจะทอเสื่อกับใคร แม่นิ่ม โอย"

ทำไมถึงเสียใจมากขนาดนี้ ก็แค่เห็นหน้ากันทุกวันเอง ก็แค่เจอหน้าแม่นิ่มทุกเช้าและเย็น ทำกับข้าวช่วยกันในบางวัน ร่วมสำรับกันเกือบทุกวันตอนที่มีลูกชายอยู่ด้วย และกลายมาเป็นทุกวันตอนที่ลูกชายจากไปเพื่อเรียน ไปนาด้วยกัน ทอเสื่อด้วยกัน วันนี้กินตำมะขามไหมแม่บุญ ไปเก็บผักติ้วที่หัวนาไหมแม่นิ่ม อยากกินหน่อไม้ส้มจังนะเดี๋ยวแม่นิ่มสับเผื่อด้วยนะ แม่บุญฝากหว่านข้าวเปลือกให้ไก่ด้วยนะเดี๋ยวชั้นจะไปเอาหญ้ามาให้อีน้อย เสียใจนะ เสียใจมากเพราะสิ่งเหล่านั้นมันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว อกเอยใจเอยขมเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน ร้องไห้สักเท่าใดถึงจะพอเพียง ต้องให้ทำเช่นไรถึงจะยื้อ ยมฑูตท่านเอยอย่าเพิ่งพาไปไหนเลย ให้เอ่ยคำร่ำลากันสักหน่อย ให้ได้สั่งเสียกันอีกสักนิด ยังไม่ได้ถามเลยว่าให้ขายวัวส่งเงินไปให้ลูกชายเลยไหม นาที่ทำยังไม่เสร็จจะให้ทำให้ไหม แล้วปีต่อๆไปใครจะทำ บ้านเดี๋ยวให้หินเป็นคนไปคอยปัดกวาดรอบอทกลับมา อกเอยใจเอย ช้ำเสียเหลือเกิน แม่บุญช่วยหมดสติเป็นลมไปฟุบลงต่อหน้าต่อตาน้ำที่เสียใจโศกเศร้าอาดูรอยู่ไม่แพ้กัน

วิสัชนา อันแก้วร้าวแล้วผสานให้คงเดิมนั้นยากแสน แต่ก็อาจทำได้ แต่หากใจร้าวแล้วยากยิ่งกว่าจะผสานให้แน่นสนิทเหมือนเคย


เขียนโดย eiky


ปล. รู้ไหมผมเขียนตอนนี้ที่ไหน เขียนที่ทำงานเขียนไปน้ำตาซึมออกมา เหมือนคนบ้า ฮ่าๆๆๆ

มอบพิเศษให้ คุณ BBChin JungBB  ขอให้มีความสุขกับการอ่าน

มีใครยังไม่ได้รับมอบตอนพิเศษอีกไหมครับ ผมอาจจะหลงๆลืมๆน้า มาลงชื่อบอกหน่อย

ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจกันเสมอมานะครับ วันนี้คุณบอกรักคนที่คุณรักแล้วหรือยัง ตอนที่มีเขาอยู่อย่าได้อายเลยนะครับที่จะเอ่ยคำรักออกไป ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำนั้นออกมา หรือแม้จะเอ่ยกับลมกับฟ้าที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าได้บอกกับตัวของเขาหรอกหนา

รักทุกคนครับ

อิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 04-12-2010 20:00:53
จองที่ไว้ก่อนนะคะ

_______________________

อ่านแล้วก็น้ำตารื้นจริงๆ นั่นแหละค่ะ เศร้านะคะ

ว่าแต่บอทจำความได้แล้วหรอคะเนี่ย แบบนี้วายุจะมีบทบาทอีกหรอคะ

มาต่อเร็วๆ นะคะคุณอิ๊กกี้ อยากอ่านต่อแล้ว


***************

ยมฑูต คำนี้ ใช้ ท นะคะ ไม่ใช่ ฑ ต้องเขียนว่า ยมทูต นะคะ ทั้ง เอกอัครราชทูต อัคราชทูต  อุปทูต ธรรมทูต   
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 04-12-2010 20:02:03
ความทรงจำกลับมาแล้วเรอะบอท
ช้าไปแล้วมั้งงงงง
โกรธเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
แม่ตัวเองเป็นขนาดนี้ขังไม่คิดจะดูดำดูดี แต่กลับไปเที่ยว
เห๊อะ น้ำอย่าไปสนใจมันนนนนนนนนนน
โกรธ เชียร์วายุสุดใจขาดดิ้น
ปล่อยบอทมันไป เชอะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 04-12-2010 20:07:44
Eiky ใจร้ายมาก สลับซับซ้อนได้อีก

แต่คาดว่าคนเขียนเองคงกำลังสับสนอะไรบางอย่างอยู่ใช่ไหม

วางเรื่องไว้ได้ชวนค้างคาใจดีจริง ๆ +1

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 04-12-2010 20:24:15
 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

ใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ปล.มาลงชื่อรับด้วยจ่ะแต่ของเค้าขอเป็นตอนที่หวานๆแล้วได้ปะคะคุณอิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 04-12-2010 20:26:36
อืม..งึมงัมงึมงัม  เม้นต์ไม่ถูก  สงสารเป็นที่สุด  การพลัดพรากอย่างนี้  เป็นการพลัดพรากเดียวมี่จะไม่มีทางกลับมาเจอกันอีก
ก็จะมีแต่สิ่งดีๆที่เก็บใว้ในใจเป็นความทรงจำเท่านั้น  
เศร้าครับพี่อิ๊กตอนนี้  
ตอนนี้ไม่เม้นต์ว่าบอทนะครับ  แค่อยากจะรู้ว่าหลังจากที่หายบ้าแล้วจะรู้สึกอย่างไรเท่านั้น
แต่ตอนหลังๆนี้พี่อิ๊กมีความในใจจริงๆ  ที่แอบๆมาในแต่ละตอนช่วงนี้นะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 04-12-2010 20:28:32
ถึงเวลาเอาคืนแล้วสะใจๆๆ

พี่อิ๊คจัดให้ไอไม้หนักเลย


รักพี่อิ๊กๆๆ ร๊ากที่สุดเลย
 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 04-12-2010 21:28:51
อะไรกันบอท โดนตีหัวแค่นี้ นิดเดียว จำได้แล้วเหรอ

วะวะวะวะว้าวววววววววว

นับจากนี้ไปก็

ได้เวลาสนุกแล้วสิ!





 :กอด1: คุณอิ๊ก เตรียมพร้อมรับความหฤหรรษ์ที่กำลังจะเกิดกับบอทล่ะ (http://i181.photobucket.com/albums/x215/bjneverdie/rabbit%20emoticon/rabbit37.gif)
(คนอ่านล่ะเริงร่าล่วงหน้า กร๊ากกกกกก)
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 04-12-2010 21:31:08
 :m15:บีบคั้นขิตใจสุด ๆ อ่านไปร้องไห้ไปกับตอนนี้ บอทเอ๋ยทำไมเจ้าถึงใจร้ายเยี่ยงนี้ แม้แต่ลมหายใจสุดท้ายของแม่เจ้าก็ไม่มาดู ความทรงจำเริ่มจะลับมาแล้วสิ ทีนี้แหละความทรมานที่แท้จริงมันจะทรมานเจ้าให้มีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: Natavishi ที่ 04-12-2010 22:10:43
เศร้า จัง  แต่ ก็ ดี ใจ  ที บอท  จะได้ สลัด  ไอ้ ไม้ออก ไป เสีย ที
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 04-12-2010 22:11:28
มาจำได้ในวันที่สายไปแล้วหล่ะบอท :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 04-12-2010 23:03:58
บอทจำได้แล้ว  :sad4:
แต่จะช้าไปหรือไม่ ก็อยู่ที่น้ำแล้วล่ะค่ะ
ว่าที่ผ่านมาเจ็บจนไม่อยากย้อนกลับ หรืออยากหวนกลับไปมีความสุขเหมือนก่อนที่บอทจะจำไม่ได้ :o12:

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อะไรๆมันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วล่ะบอท :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 04-12-2010 23:29:48
อ่านตอนนี้แล้วบอกได้คำเดียวว่าเศร้าน้ำตาไหลเลยอ่ะ

แต่ถ้ารู้งี้นะให้เล็กตีหัวบอทตั้งแต่แรกก็จบและ

รอตอนต่อไปอยู่นะครับ o13 :sad4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 04-12-2010 23:56:14
อ่านแล้วน้ำตาซึม...

จำได้เมื่อวันที่สาย มันเป็นความเจ็บปวดยิ่งกว่า
แล้วบอทจะทำไงต่อไปน้อ....


เฮ้อ...สงสารทุกคนอ่ะตอนนี้  :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 05-12-2010 00:38:16
เศร้ามากอ่ะ
ทำไมไม่จับหัวบอทกระแทกแรงๆตั้งแต่แรกน้อ
จะได้ไม่มีใครเจ็บปวด
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 05-12-2010 00:47:17

บอท ความจำกลับคืนมาเหรอ
ดี จะได้มาเจ็บปวดกับการกระทำของตัวเอง
ใจร้าวที่ยากประสานคือใจของน้ำเหรอ
อืม..นิยายตอนนี้บีบคั้นอารมณ์อีกแระ
      :กอด1:   ให้กำลังใจน้องอิ๊กจ้ะ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 05-12-2010 01:10:32
ในที่สุด ความจำบอทก็กลับมา  แต่จะสายไปไหม
เมื่อไม่มีแม่นิ่ม และแม้แต่น้ำเองก็เลิกรอแล้ว......
ตื่นมา ความจำกลับคืน เพียงเพื่อพบว่า ทุกอย่างอาจไม่มีวันเหมือนเดิม........
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 05-12-2010 02:42:43
เอาละเว้ยยยยย!!!!!!
บอทความจำกลับมาแล้ว
แต่ผมเชียร์วาอ่ะ สู้ๆนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: winney555 ที่ 05-12-2010 07:40:48
วันไหนจะนอกใจแฟน แล้วแฟนจับได้จะได้บอกว่า ความจำเสื่อม อิอิ จำอะไรไม่ได้ แล้วถ้าตอนจะไปง้อแฟนก็บอกว่า โดนของแข็งกระแทกหัว ความจำเลยกลับมาเหมือนเดิม โห ง่ายไปมั้ง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 05-12-2010 14:40:17
อ่านไป....น้ำตาซึมไป....สงสารแม่นิ่มความปรารถนาสุดท้ายที่ต้องการพบหน้าลูกรักไม่เป็นจริง...
มีแต่คนที่รักและห่วงใยเพียงไม่กี่คนอยู่เคียงข้างในนาทีสุดท้ายของชีวิต....แต่ไม่มีคนที่เป็นแก้วตาดวงใจของแม่อยู่ด้วย
บาปกรรมครั้งนี้ของบอทที่กระทำต่อแม่(ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่)....มันช่างหนักหนาสาหัสหนัก....ต่อไปบอทคงตกนรกทั้งเป็น...
บอทเดินทางชีวิตผิดพลาด...หลงมัวเมาในสิ่งที่ตนไม่เคยพบเจอ...หาผลประโยชน์จากความรักของน้องน้ำ...เห็นแก่ตัว....
ต่อให้ความจำเสื่อม....แต่นี่คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในจิตใจของบอทและมันออกมาเมื่อบอทไม่มีความรู้สึกรักและผูกพันกับน้องน้ำ
น้องน้ำคงต้องตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งกับฐานะของบอทในหัวใจ.....คนรักหรือคนเคยรัก...ให้อภัยเพื่อกลับมาเริ่มต้นใหม่หรือ
ให้อภัยเพื่อให้ชาติหน้าจะได้ไม่มีเวรกรรมติดค้างต่อกัน......น้องน้ำที่แสนดียอมเจ็บมานาน...กลัวการตัดสินใจของน้องน้ำจริง ๆ เลย
วายุเป็นเหมือนสายลมที่พัดเข้ามาเพื่อบรรเทาความร้อนในใจ....แม้จะเพิ่งเริ่มต้นแต่ก็มิใช่จะเป็นตัวจริงไม่ได้...หากน้องน้ำเปิดใจ
แต่นั่นล่ะ....ขนาดโตมาด้วยกันมีความผูกพันมากมายเค้ายังซ่อนบางอย่างในใจไว้ได้.....แบบนี้น้องน้ำจะกล้าเชื่อใจใครอีก...
รอดูต่อไป....สนิมเกาะในใจคนอ่านเช่นกัน  :monkeysad:  :เฮ้อ:

 :กอด1: น้องน้ำ กะ น้อง eiky  :L1:
กด + ให้กำลังใจเยอะ ๆ

แสดงความรักคุณพ่อคุณแม่ให้มาก ๆ และตอบแทนพระคุณท่านในวันนี้อย่ารอวันหน้าเพราะมันอาจจะสายเกินไปนะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 05-12-2010 16:00:18
เวรกรรม บอทโดนตีหัวจริงด้วยย

แต่ตอนนี้เค้าร้องไห้อ่าาา  :o12: เพลงที่เปิดคลอระหว่างอ่านก็ช่างเค้ากันเสียจริง

สงสารแม่บุญช่วย นึกถึงเรื่องราวที่ได้ทำร่วมกันทุกวัน

ภาพเหตุการณ์มันคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 05-12-2010 16:26:10
คนที่จากไป ก็ไปด้วยความทุกข์กับสิ่งที่ลูกของตัวเองทำ ไม่ได้มาดูหน้าแม่ก่อนสิ้นลมหายใจ
มั่วแต่ระเริงกับแสงสีและมายาของคนบางคนที่มอบความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
ลืมแม้กระทั่งคนที่เคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาอย่างน้ำ ลืมไปแม้กระทั่งรู้ว่าแม่ป่วยอยู่แต่ไม่กลับมาดูแล
ถึงแม้ความจำจะกลับคืนมาแล้วจะชดใช้กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นให้มันคืนกลับมาดั่งเดิมได้ยังไง  ละไอ้บอทไอ้คนลืมความจำ
แม๊งๆๆๆๆๆๆถ้ารู้ว่าเอาขวดตีแล้วความจำกลับคืนมาน่าจะตีหัวให้มันแตกตั้งนานแล้ว :m16: :m16: :m16:แค้นๆๆๆๆๆๆๆๆว่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 05-12-2010 16:39:17
เศร้ามากกกกกกก  :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: Milk ที่ 05-12-2010 17:17:42
ถึงเวลาที่บอทต้องเจ็บปวดจากการกระทำของตนเองแล้วใช่มั้ย

แต่อะไรคงไม่เท่ากับที่ไม่ได้ไปดูใจแม่นิ่ม เฮ้อสงสารแม่นิ่ม

รอจนนาทีสุดท้ายบอทก็ยังไม่มา :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 05-12-2010 17:41:32
ถ้าความจำกลับมาได้จริงๆ คนที่น่าสงสารและสมเพชที่สุดก็คือบอท ตราบาปถ้ามันถูกจารในใจแล้วก็ไม่มีวันลบเลือน มีแต่เพียงบรรเทาได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 05-12-2010 21:51:27
พี่อิ๊กหวัดดีครับ อยากต่อเรืองนี้อีกแล้ว พี่อิ๊กจะมาต่อมั๊ยนะวันนี้
พี่อิ๊กครับ มีความสุขวันพ่อนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 06-12-2010 11:20:45
รอๆ นะพี่อิ๊ค วันนี้จะมาต่อมั้ย

แบบว่าอยากอ่านตอนเอาคืนบอทให้สาสมเลย

ฮ่าๆ สะใจ รีบๆมานะ งิงิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๘ (ธันวาคม ๔, ๒๕๕๓) หน้า ๒๘
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 06-12-2010 17:26:42
บทที่ ๓๙

ปุจฉา มนุษย์เราสิ่งใดหนอที่เป็นใหญ่

"ไม้ เราขอบใจนะสำหรับทุกอย่าง ค่าหมอเดี๋ยวเราใช้คืนให้"

บอทบอกออกมาทั้งที่หมอยังไม่ยอมให้ออกจากโรงพยาบาลแต่เขาดึงสายน้ำเกลือออกจากข้อพับแล้ว ลากร่างดึงสังขารออกจากเตียง พอดีไม้เดินเข้ามาเห็น

"บอท บอทยังไม่หายนะ จะไปไหน"

ไม้ร้องเสียงดังลั่น แต่บอทไม่ได้สนใจฟัง

"ไปหาน้ำ เราจะไปหาน้ำ"

บอทวิ่งออกไปไม่สนใจใครอีกต่อไปแล้ว น้ำเท่านั้น คนแรกที่ผุดขึ้นมาในใจคือน้ำ เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ทุกอย่างที่มีน้ำอยู่ด้วยมันฉายออกมาแจ่มชัดเหลือเกิน ชัดเสียจนไม่อยากจะมองย้อนเข้าไปดูว่าตนได้ทำร้ายหัวใจของน้ำไว้มากมายเพียงใดทุกหยาดหยดของน้ำตา ทุกความปวดร้าวที่ฉายออกทางแววตา ทำไปได้อย่างไร น้ำ น้ำ

"เราขอโทษ น้ำ"

คร่ำครวญออกมาตรงไปยังหอพัก เห็นข้าวของส่วนตัวของน้ำที่เก็บใส่กล่องไว้อย่างดีแล้วยิ่งใจหาย

"อย่าทิ้งเราไปนะน้ำ อย่าทิ้งเราไปนะ"

ออกจากหอพักตรงไปยังที่ทำงานของน้ำ ด้วยหัวใจที่กำลังแหลกสลาย

"เล็ก กูจำได้แล้ว กูจำได้หมดแล้ว"

แม้สีหน้าของเล็กจะมองด้วยความเหยียดหยัน แต่ก็แฝงด้วยแววตาที่เวทนากับภาพที่เห็น บอทเองก็ร้องออกไป น้ำตาไหลเอ่อนองหน้า เหมือนภูเขาไฟที่อัดแน่นไปด้วยลาวา เมื่อถึงเวลามันก็แตก เก็บไม่อยู่ ความทุกข์โศกที่อัดแน่นมลายออกมากับม่านน้ำตาสิ้นแล้ว

"อ้อ มึงจำได้แล้วเหรอไอ้บอท"

"กูจำได้ทุกอย่าง น้ำ น้ำเสียใจมากใช่ไหม"

"ใช่ น้ำมันเจ็บปวดมากกับสิ่งที่มึงทำ จำได้ก็ดีแล้วล่ะ แต่มาจำได้เอาตอนนี้ น้ำมันจะเหมือนเดิมหรือเปล่ากูไม่รู้ด้วยนะ"

พูดให้คิด บอทเองก็เม้มปากแน่น รู้ดีอยู่แก่ใจว่าน้ำมีคนมาพัวพัน ใจหายหล่นไป น้ำตาตกใน สีหน้าของบอททำให้เล็กจากที่จะรอซ้ำเติมอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง ความเจ็บปวดที่หมักหมมในใจมันดันออกมาทางแววตา มันน่าสมเพชเวทนามากกว่าจะไปซ้ำเติม ความเจ็บปวดดวงตานั้นช่างเหมือนกับแววตาของน้ำตอนที่ชอกช้ำใจ แต่ทว่าแววตาของบอทมันเหมือนลูกไก่พลัดหลงจากแม่ ทั้งกลัวทั้งหวั่นไหว

"ถือเป็นกรรมเก่าก็แล้วกันนะบอท มึงรีบกลับบ้านเถอะ ก่อนที่จะสายเกินไปกว่านี้"

เล็กเข้าไปตบบ่าของบอทเบาๆ คอตกลงก้มมองลงพื้นน้ำตาหยดออกมา เล็กเองก็สะท้อนใจเหลือเกิน ตอนแรกกะจะเหยียบให้จมดิน แต่พอได้เห็นแล้วได้แต่อโหสิกรรมให้กันไป บอทตรงไปยังสถานีขนส่งทันที ใจที่ร้อนเผาเป็นไฟทำให้นั่งก็ไม่ได้ ยืนก็ไม่อยู่ กระสับกระส่ายกระวนกระวาย ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแผ่เข้ามาปกคลุมในใจ แม่ไม่สบาย จะเป็นอะไรมากไหม น้ำกลับไปดูให้ ส่วนเราเลวทรามต่ำช้า แม่บังเกิดเกล้าล้มเจ็บ แต่ลูกคนนี้กลับไปหลงระเริงแสงสี หลงไปในกามารมณ์ เจ็บปวดเหลือจะประมาณ นั่งอยู่น้ำตาก็ไหล หายใจก็ยอกอก ทุรนทุรายเหมือนคนกำลังจะขาดใจ แม่จ๋า รอบอทด้วยนะ อย่าเพิ่งด่วนเป็นอะไรไป รอลูกเลวๆคนนี้ด้วย ยิ่งคิดไปหัวใจก็สลาย น้ำตาไหลออกมาไม่มีหยุดหย่อนจนคนที่นั่งข้างๆก็ร้อนใจไปด้วย ถามก็ไม่ตอบ คุยด้วยก็ไม่คุย ทรมานมันเป็นอย่างนี้นี่เอง น้ำรับความรู้สึกนี้มาเพียงลำพัง มาโดยตลอด ส่วนเราอ้างว่าจำไม่ได้แล้วไปเริงร่าอยู่กับบ่อมืดแห่งกิเลส ไม่น่าให้อภัย ไม่ขอให้ยกโทษให้ แต่อยากจะขอโทษจากใจ เราไม่ได้ตั้งใจ เราไม่ได้อยากจะทำ น้ำ

งานศพแม่นิ่มจัดมาสองวันแล้ว น้ำรั้งเอาไว้บอกว่าให้ครบสามวันก่อนค่อยเผา มีหวังเล็กๆในใจว่าใครบางคนจะกลับมา จากวันแรกที่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทั้งบ้าน ก็เป็นเงียบสงบเหมือนทำใจได้ เปล่าหรอกแค่ร้องจนไม่รู้ว่าจะสรรหาอะไรมาดลใจให้เสียใจร้องไห้ได้ไปมากกว่านี้ วายุเองก็คอยอยู่เคียงข้างช่วยงานอย่างแข็งขัน บางอย่างที่คนในครอบครัวคิดไม่ออกวายุก็เป็นคนตัดสินใจให้ เขาเข้ามาในช่วงที่ถูกจังหวะที่สุด เข้าไปอยู่ในใจของน้ำแล้ว แม้จะไม่ได้รักเท่าบอท แต่คนคนนี้คือคนที่จะพึ่งพาได้ในยามทุกข์ร้อน น้ำเองมีความคิดแบบนี้เข้ามาในใจแวบหนึ่ง ตอนที่ใจดิ่งลงสู่ที่ต่ำ

"กินข้าวกินปลาบ้างนะแม่ อย่าให้ล้มเจ็บไปอีกคนเลย น้ำคงจะตายแทนเอา"

น้ำเดินมาหาแม่บุญช่วยที่นั่งเหม่อลอยอยู่หน้าเตา กำลังคั่วข้าวตอกอยู่ บ่ายแก่มากแล้ว จวนจะถึงเวลาแล้วสินะที่จะพาแม่นิ่มไปส่งสู่สวรรค์ แม่บุญช่วยพยักหน้าน้อยๆ แววตาคลอไปด้วยน้ำตา เส้นเลือดฝอยในดวงตาเหมือนมันแตกตาแดงก่ำด้วยร้องไห้มานาน พ่อถาวรเองก็วุ่นอยู่กับการจัดแจงเรื่องทางวัด หินเองก็ช่วยงานได้เยอะทีเดียว

"น้ำเองก็กินข้าวบ้างนะลูก เดี๋ยวจะไม่สบาย"

"น้ำกินไม่ลง"

ครางออกมาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น รู้นะว่าแม่เสียใจ ตนเองก็เสียใจมากเช่นกัน พยายามแล้วที่จะดึงแม่ให้ขึ้นมาจากหลุมแห่งความโศกาอาดูร จะดึงได้อย่างไรในเมื่อตัวเราเองมันอยู่ลึกกว่าแม่หลายเท่านัก

"น้ำ ถึงเวลาแล้ว มาถือรูปแม่นิ่มหน่อย"

วายุเข้ามาเตือนสติ เพราะผู้เฒ่าผู้แก่เป็นคอยชี้แนะอีกที เกวียนเก่าๆได้จอดเทียบท่าที่หน้าบ้านของแม่นิ่มแล้ว เกวียนหลังนี้ที่ใครๆก็ไม่อยากจะเห็นเพราะคราใดที่ได้เห็นมันหมายถึงต้องมีใครคนใดคนหนึ่งจากไป จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เสียงพระสวดดังแว่วมาจากบนบ้าน พอสวดเสร็จผู้ชายวัยกลางคนหลายคนก็แบกโลงศพลงมาจากบนบ้าน โลงศพที่ยังประดับประดาอยู่ด้วยฝาแกะสลักติดแก้วระยับอย่างวิจิตร

"แม่นิ่ม มาด้วยกันนะ เดี๋ยวชั้นจะไปส่ง"

แม่บุญช่วยจุดธูปดอกหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา น้ำตาไหล

"ไปอยู่เมืองวิมานให้สบายนะแม่นิ่ม อย่าได้ห่วงทางนี้"

น้ำเองสุดจะทนเห็นภาพเหล่านี้ได้ กอดรูปแม่นิ่ไว้แน่นเมินหน้าหนีไปทางอื่น เกวียนถูกผูกด้วยด้ายดิบสีขาวให้ลูกหลานญาติมิตรได้จูงไป น้ำเองรวมถึงคนในบ้านก็แต่งกายในชุดผ้าดิบสีขาวเดินนำหน้าเกวียนไป ไม่มีเสียงคนคุยกัน มีเพียงเสียงของสัปเหร่อที่เอ่ยออกมาเป็นระยะๆเหมือนจะชี้นำทางให้แม่นิ่มตามไปได้ถูก ข้าวตอกถูกโปรยไปตามทาง เหมือนเด็ดเอาดวงใจโปรยไปด้วยก็ไม่ปาน น้ำเองยังคงรักษาอาการไว้ได้อย่างดี ไม่ร้องไห้ แม้ว่าตามันจะเคลือบไปด้วยม่านน้ำตาก็ตาม วายุเองก็กลายเป็นลูกหลานไปแล้ว คนนอกอย่างเขายังมีน้ำใจ แล้วลูกในครรภ์ล่ะไปไหน จะรู้ไหมว่าแม่ไม่อยู่แล้ว จะรู้ไหมว่าไม่มีแม่นิ่มอีกแล้ว

รถโดยสารประจำทางจอดที่หน้าอำเภอตอนเกือบสี่โมงครึ่ง บอทรีบก้าวลงจากรถด้วยหัวใจที่ล่องลอยไปไหนเสียแล้ว เขาบอกรถเครื่องที่คอยรับคนไปส่งตามหมู่บ้านว่าจุดหมายของเขาคือที่ใด ก้าวขาขึ้นรถได้ก็เร่งให้เขาออกรถทันที

"ไปบ้านนั้นเหรอไอ้หนุ่ม มีงานเผาผีนี่วันนี้"

ไม่อยากจะได้ยิน ไม่อยากรับฟัง มันจะไม่เป็นความจริง ขออย่าให้มันเป็นอย่างที่ใจมันบ้าคิดไปก่อนหน้านี้ ไม่เชื่อ ไม่มีทาง บอทเร่งเขาให้ขับเร็วกว่าเดิม จิตใจร้อนรนเหลือเกินเพลิงที่อยู่ในใจมันกำลังเผาไหม้อยู่ รู้สึกว่าหนทางเก้ากิโลเมตรจากตัวอำเภอเข้าไปในหมู่บ้านมันช่างยาวไกลเสียเหลือเกิน พอรถจอดที่หน้าบ้านของตัวเองบอทก็รีบควักเงินจ่ายเขาไป ใจหาย ใจร่วงหล่นลงพื้น

"แม่ แม่ บอทมาแล้ว แม่"

ร้องเรียกที่ใต้ถุนบ้านที่มีผู้คนที่เตรียมงานคอยพวกที่ไปส่งศพอยู่ แต่บอทไม่ได้สนใจมอง วิ่งขึ้นไปบนบ้านก็เข่าทรุดหมดแรง เพราะสิ่งที่อยู่บนบ้านมันคือร่องรอยของการจัดงาน กระถางธูป โต๊ะหมู่บูชาที่เหมือนเคยเห็นที่วัด

"แม่ แม่ไปไหน แม่ บอทมาแล้ว"

ร้องออกมา คลานไปทั่วบริเวณบ้านเหมือนคนสิ้นไร้เรี่ยวแรง

"มาแล้วเหรอไอ้บอท เขาเอาแม่มึงไปส่งแล้ว"

ยายสาที่มาช่วยงานแต่แกไม่ได้ไปส่งด้วย เพราะคอยจัดแจงงานที่บ้าน เพราะคืนนี้ต้องให้พระมาสวดอีกคืนเอ่ยขึ้น พอเห็นหน้าบอทแล้วก็ใจหาย เพราะบนหัวยังพันอยู่ด้วยผ้าขาวมีเลือดซึมออกมาเป็นจุดๆ

"รีบไปเถอะมึง"

ยายสาบอกเอามือตบอก

"ไปไหน แม่ เอาแม่ผมไปไหน แม่"

เหมือนคนสิ้นแล้วซึ่งสติ บอทวิ่งลงจากบนบ้าน วิ่งตามรอยข้าวตอกไปที่วัดไม่สวมรองเท้า ไม่มีเวลาจะมาใส่ใจ ไม่ได้สนใจ ใจมันอยู่ที่วัดแล้ว ร้องโหวกเหวกโวยวายดังไปตามทาง สิ้นแล้วหัวใจ หมดแล้วดวงใจ แหลกแล้วพลังแห่งใจ แม่จ๋า

โลงศพของแม่นิ่มหลังจากที่แกะของประดับตกแต่งโลงศพภายนอกออกไปแล้ววางอยู่บนเชิงตะกอน ไม้กระดานตีเป็นโลงให้พอใส่ร่างลงไปได้ น้ำกับครอบครัวยืนอยู่ข้างบนเมรุกอดกันร้องไห้อยู่

"ล้างหน้าศพหน่อยพ่อถา"

สัปเหร่อบอกแล้วเอามีดเฉาะลูกมะพร้าวอ่อนมาให้พ่อถาวรถือไว้ในมือ เป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อถาวรมือสั่นกับสิ่งที่จะลงมือทำ

"หลับให้สบายนะแม่นิ่ม"

"อย่าได้ห่วงคนทางนี้นะแม่นิ่ม อย่าได้ห่วง ชั้นจะดูให้ ไปสู่สุคติเถิดนะ"

แม่บุญช่วยเองก็สุดที่จะทานทนร่ำไห้อยู่ แต่พ่อถาวรดึงตัวออกมาเพราะกลัวว่าน้ำตาจะไปโดนศพถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี

"แม่นิ่ม หลับให้สบายนะ น้ำรักแม่นิ่มเสมอนะ"

พูดไม่เป็นคำน้ำตาจากที่แห้งเหือดไปในตอนครึ่งวันแรกมันหลั่งไหลออกมาอีกครา วายุเองต้องดึงตัวของน้ำออกมาหินเองก็กอดขาพ่อกับแม่อยู่ เสียงสะอื้นคร่ำครวญดังไปทั่วบริเวณหลังวัด บรรยากาศยิ่งทวีความเศร้าโศกไปทุกขณะ

"นี่ล่ะหนาโยม มนุษย์เรา มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดา อนิจัง สังขารไม่เที่ยงดอก"

พระท่านเอ่ยขึ้นเพราะคงทนเห็นความน่าเวทนาไม่ไหว พอถึงเวลาก็ลงไปยืนออกันอยู่เบื้องล่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสัปเหร่อไป

"แม่ แม่ อย่าเพิ่ง แม่บอทมาแล้ว"

เสียงร้องดังมาจากทางหลังวัด มีร่างของคนๆหนึ่งวิ่งมาเหมือนหนีใครมา พอน้ำหันไปเห็นก็เซไปด้านหลัง วายุประคองร่างไว้

"แม่"

โถมนุษย์ บอทร้องออกมาเสียงดังวิ่งขึ้นไปบนเมรุโผเข้ากอดโลงที่ยัดเข้าไปในเตาเผาแล้วครึ่งหนึ่ง

"แม่จ๋า แม่ ทำไมไม่รอบอท แม่ ทำไมทิ้งบอทไป แล้วบอทจะอยู่กับใคร แม่"

ชาวบ้านที่มาช่วยงานศพจากที่ตอนแรกซุบซิบนินทากันอยู่ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปไหนไม่ยอมมาเหลียวแล พอเห็นสภาพแล้วน้ำตาไหลกันไปตามๆกัน

"บอท"

น้ำครางออกมา อยากวิ่งเข้าไปกอดไว้เหลือเกิน แต่ก็เดินไม่ออกก้าวไม่ได้เหมือนโดนคำสาปให้แข็งนิ่งน้ำตาไหลอยู่

"แม่ ทำไม แม่ ตื่นๆ ตื่นมาหาบอท บอทมาแล้ว แม่"

"พอได้แล้วไอ้บอท มันถึงเวลาแล้ว"

สัปเหร่อพยักหน้าให้ชายหนุ่มที่อยู่บรเวณนั้นมาดึงตัวออกไป ชายหนุ่มร่างกำยำถึงสามคนมาดึงตัวบอทเขาถึงสิ้นแรงดิ้น ที่สิ้นแรงดิ้นเพราะถูกกดร่างไว้กับพื้นดิน หน้าถูไถอยู่กับพื้นนั้น น่าเวทนายิ่งนัก

"แม่ แม่ แม่"

เสียงสะอื้นไห้คร่ำครวญ ร่างของชายหนุ่มนอนเกลือกกลิ้งอยู่ที่พื้นหน้าตาฉายความเจ็บปวดออกมาอย่างยากจะบรรยาย แววตามองไม่เห็นเพราะมันเนืองนองไปด้วยม่านของน้ำตา เสียงร้องหวยหวนร้องเรียกมารดาก้องดังแว่วเข้าไปเสียดใจของทุกคน ไม่มีใครจะทนยืนดูอยู่ได้

"บอท"

พ่อถาวรเดินเข้าไปเอามือแตะบ่าของบอท

"พ่อถา ทำไม ทำไม ผมมาไม่ทัน แม่ไม่รอ แม่"

"มึงมัวไปทำอะไรอยู่ แม่นิ่มเขารอมึงไม่ไหว"

"ผมมันเลว ผมมันเลว แม่จ๋า แม่ แม่อย่าเพิ่งไป แม่"

ตะวันรอนลาลับจากขอบฟ้า หมู่นกกาบินวกเวียนกลับรัง มีเสียงหนึ่งเสียงร้องที่แว่วดัง กึกก้องสั่งไปทั่วฟ้าปฐพี หนึ่งเสียงร้าวรวดปวดใจนัก คนฟูมฟักรักถนอมมาด่วนหาย อยากจะร้องเสียให้เลือดหมดทั้งกาย ก็ไม่คลายความโศกอัดแน่นใจ แม่จ๋าลูกมาช้าลูกขอโทษ ลูกมันโฉดหลงไหลในไฟหมอง หันหลังกลับมาน้ำตานอง กลับมามองแม่ไม่อยู่แสนช้ำใจ แม่จ๋าหน้าของแม่ลูกไม่เห็น ร้อนหรือเย็นลูกไม่รู้แสนเหลวไหล แม่คงเจ็บลูกนั้นก็แสนไกล ปวดดวงใจดังไฟเผาร้อนอุรา จะกอดไม้ฝาโลงไม่ให้ไป แต่ดวงไฟเผาไหม้ไม่คอยท่า กาลเวลาหมุนไปใจโรยรา เจ็บยอกตาแปลบปลาบเข้ากลางใจ เจ็บเจ็บกดอยู่ในใจไหม้ชอกช้ำ เจ็บเจ็บดันอยู่ในอกไม่ยอมหาย เจ็บเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งกาย เจ็บเจียนตายก็ไม่เท่าเขาไม่รอ

น้ำเดินหนีไปแล้ว เกลียดชังชายคนนี้ แม้แวบแรกที่เห็นจะดีใจ สภาพภายนอกของเขาน่าเวทนายิ่งนัก ผ้าที่พันอยู่รอบหัวอยากจะเข้าไปกอด ถามว่าเป็นอะไรมา เจ็บมากไหม แต่ก็ทำใจไม่ได้ ให้เจ็บเสียบ้าง เจ็บอย่างที่คนอื่นเขาเจ็บ

"พาเรากลับบ้านหน่อยวา"

น้ำครางออกมาเกาะแขนของวายุไว้แน่น สายตาไม่วางตาจากร่างของบอทที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นดินหน้าเมรุ

"ไหวไหมน้ำ"

วายุเอ่ยถาม น้ำเสียงเครียดมากเช่นกัน ไม่ใช่คนโง่ที่จะมองอะไรไม่ออกเลย ตัวจริงของเขามาแล้ว คนที่น้ำรักหมดทั้งใจ

"ไหวเราไหว"

น้ำตายังคลอตาอยู่ น้ำเมินหน้าหนี แม่บุญช่วยเดินไปนั่งลงข้างๆพ่อถาวร

"บอท ทำใจเสียเถิด แม่เขาไปสบายแล้ว"

เวทนาสงสารขึ้นมาจับใจ

"แม่บุญ ผมมันเลว ผมไม่มาดูใจแม่ ผมเลวมากใช่ไหม"

เอาหน้าซุกลงกับพื้นดินเหมือนจะอ้อนวอนพระแม่ธรณีให้เมตตาสงสาร อย่าเพิ่งพาแม่ไปไหนเลย ลูกชั่วคนนี้ยังไม่ได้แทนคุณ แม่ยังไม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองเลย วอนแม่พระธรณีคืนแม่มาก่อนได้ไหม ลูกเลวคนนี้ยังไม่ได้แทนค่าน้ำนมเลยสักหยาดหยดเดียวน้ำตาที่ไหลหลั่งลงนองพื้นอาบสองแก้ม มันไหลออกมาจากใจส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจของชายที่กำลังสูญเสียดวงวิญญาณไปหน้าลานดินหน้าเมรุนี้

"อย่าพูดแบบนี้สิลูก เรามาไม่ทัน ถือว่าไม่มีบุญได้เอ่ยคำลา แต่อย่างน้อยก็ยังมา"

"ผมเสียใจ แม่บุญ ผมเสียใจ แม่ แม่ผมขอโทษ"

ไม่มีเสียงใดออกจากปากของใครอีก ต่างคนต่างร้องไห้สะอึกสะอื้น บอทเองเหมือนคนเสียสติ แม่่บุญช่วยเองก็นั่งอยู่เป็นเพื่อนพยายามดึงตัวขึ้นแต่บอทไม่ยอม จนแม่บุญช่วยกับพ่อถาวรต้องกลับไปเตรียมงานต่อ เหลือเพียงหินที่อยู่เป็นเพื่อน จากตะวันรอนเป็นค่ำ จากค่ำเป็นมืด สัปเหร่อไปจากบริเวณนั้นแล้ว ไม่มีใครเหลือ มีเพียงร่างของบอทที่นอนร้องไห้ฟูมฟายอยู่ เสียงหวยหวนแว่วดังก้องไปทั่วบริเวณวัด ได้ยินแล้วได้แต่เม้มปากแน่นสงสารจับใจ

"โยม ลุกเสียเถิด ต่อให้โยมร้องไห้จนขาดใจตายตามแม่นิ่มไป แม่นิ่มก็ไม่คืนมาดอก ถือว่าหมดเวรหมดกรรมกันเสียนะ คนอยู่ข้างหลังอย่างเราต้องรับกรรมชดใช้กรรมต่อไป แม่นิ่มเขาหมดเวรหมดกรรมแล้ว อย่าเศร้าโศกให้มันมากนักเลย นับจากนี้ก็หมั่นทำดีถือว่าทำเป็นบุญให้แม่นิ่มเสียสิ เขาจะได้ไปอย่างไม่ต้องกังวล"

พระท่าทนเห็นสภาพไม่ไหวเดินมายืนอยู่ต่อหน้า บอทเองก้มลงกราบ พอร้องไห้มากๆเข้าก็เหมือนว่าน้ำตามันหมด เสียใจยอกใจอยู่ก็จริงแต่แม่ก็ไม่มีวันหวนกลับคืนมา

คนเรานี่ก็แปลก เวลาอยู่ต่อหน้าบางคนไม่กล้าแสดงความรักออกมา ให้ความอายหรืออะไรบางอย่างมันมาบดบังคำที่อยากจะพูดอยากจะเอ่ย แต่พอเวลาไม่มีคนคนนั้นให้เอ่ยคำเหล่านี้แล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญอ้อนวอนฟ้าดินให้เมตตา อนิจา เช่นกันกับคนที่เขารัก ยามเขารักกลับมองไม่เห็น ไม่สนใจเขาเสีย ทำอะไรไม่ได้รักษาน้ำใจกัน แต่เวลาสูญเสียเขาไปแล้ว อ้อนวอนพร่ำเพ้อถึงเรื่องวันวาน เพียงแต่หวังว่าเขาจะกลับคืนมา เพื่ออะไรหนอ เวลาเขารักก็ไม่สนใจเขา เวลาเขาหมดรักแล้วท่านจะไปเรียกเอาอะไรจากเขา ใจคนเรามันอ่อนไหวเปราะบางยิ่งนัก รักมากก็หมดได้ ใจของเขาที่ดีๆอยู่ท่านเองสินะที่ทำให้มันเป็นสนิมกัดกินใจ จนเขาไม่อาจจะคืนมา

วิสัชนา อันมนุษย์นั้นสิ่งที่เป็นใหญ่คือใจ ใจเราควบคุมทุกสิ่งอย่างในร่างกาย ความคิด การกระทำ คำพูด เช่นนั้นแล


ปล รีบลงแล้วรีบไป กลัวโดนรุม อิอิ


มอบพิเศษให้ แซมซั่นดอลน้า รู้สึกว่าเคยมอบให้แล้วอ่ะ แต่ผมเรียกคุณว่าคุณแม่บ้าน อิอิ อันเดียวกันไหม เพราะเห็นเขียนข้างล่างว่า รับแม่บ้านร้อนสักที่ไหม อิอิ


  :L2:ขอบคุณทุกความห่วงใยนะครับ ขอบคุณจากใจ :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 06-12-2010 17:30:11
จากใจจริงคุณอิ๊ก เหมือนจะสงสารบอทนะ แต่เฉยๆน่ะ
ตอนแรกคิดอยากจะหัวเราะเยาะซ้ำเติม แต่ก็ไม่ทำ ทำไม่ลง
รอดูผลที่บอทควรได้รับบ้างดีกว่า
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 06-12-2010 17:48:45
ขอกอดพี่อิ๊คงามๆๆ

แถมหอมด้วย 555

ดีใจมาต่อแล้วๆๆ

T^T

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 06-12-2010 17:49:37
เฮียอิ๊กหวัดดีคับ
กลายเป็นด่ามันไม่ลงเลย  
ที่จริงก็ไม่ใช้ตัวจริงของมันตัวก่อนหน้า
แต่การกระทำของมันคือสิ่งที่อยู่ในใจตลอดมาได้ระบายออก
พอตอนนี้ตัวจริงกลับมา  
ใว้ค่อยเม้นต์ตอนต่อไปดีกว่า  จะได้รู้ว่าทิศทางเป็นอย่างไรกันแน่
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: WhatLoveIs ที่ 06-12-2010 17:50:32
T__________T

พูดไม่ออก ความรู้สึกมันผสมกันไปหมด
อึดอัด สงสาร เสียใจ

 
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 06-12-2010 18:05:24
 :o12: :o12:

ตอนนี้ทั้งสงสาร อึดอัด  น้ำตาจะไหล

หึหึ
แต่สำหรับ"บอท"ถ้าบอกว่า"สมน้ำหน้า"จะใจร้ายไปไหม

บอทมึงอ่ะเหมาะกะนังไม้แร่ะหล่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 06-12-2010 18:11:08
คุณอิ๊ก ซาดิส เหมือนกันนะนี่  ให้บอทความจำกลับมาตอนนี้
ตอนนี้แม่จากไกลแล้ว
ตอนที่ความอดทนของน้ำเกือบไม่เหลือแล้ว
แต่หวังว่ายังไม่สายเกินไป
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 06-12-2010 18:22:17
 :m15: :monkeysad: :m15: :monkeysad:
ตอนแรกก็ว่าจะไม่ให่อภัยบอท
แต่เอาเข้าจริง มันก็สงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 06-12-2010 18:24:43
 :m15:ความเจ็บที่เหมือนตายทั้งเป็น สิ่งนั้นคือความจริง ความจริงที่เราต้องรับรู้มันเมื่อเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว และความจริงเหล่านี้แหละที่จะทำให้เราเหมือนจะตายแต่ก็ไม่ตาย :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 06-12-2010 19:42:28
 บอทเริ่มได้รับผลของการกระทำแล้ว :sad4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 06-12-2010 19:52:54
เรียกน้ำตามาสองวันติดเลยนะคะคุณอิ๊กกี้ อ่านแล้วก็เศร้าไปตามเรื่อง ยิ่งอ่านตรงกลอนแปดท้ายตอนยิ่ง "อิน" ไปกับเรื่องค่ะ

ไม่รู้ต่อไปจะออกมาในรูปไหน เดี๋ยวคืนวันพุธจะเข้ามาอ่านตอนต่อไปนะคะคุณอิ๊กกี้

 :จุ๊บๆ: +1 ให้กับการถ่ายทอดอารมณ์ของคุณอิ๊กกี้ค่ะ


**********************


เกวียนหลังนี้ที่ใครๆก็ไม่อยากจะเห็นเพราะคราใดที่ได้เห็นมันหมายถึงต้องมีใครคนใดคนหนึ่งจากไป


ลักษณนามของเกวียนที่ถูกต้องเรียกเป็น เล่ม นะคะ ไม่ใช่หลัง

อนิจัง ตกตัว จ ไปหนึ่งตัวนะคะ ต้องเป็น อนิจจัง อนิจจา  
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 06-12-2010 20:26:04
อยากจะสงสารบอท แต่ยังสงสารไม่ลง ทำตัวเองทั้งนั้น
เรื่องหลังจากนี้ก้ขึ้นอยู่กับน้ำแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 06-12-2010 20:31:47
หรือตอนจบบอทอาจจะบวชเพราะปลงแล้วซึ่งทางโลก  o22

มัวไปทั่วตู :z3:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 06-12-2010 20:39:34
คุณอิ๊ก พี่ใจดำหรือเปล่าก็ไม่รู้เนอะ
เพราะอ่านตอนนี้แล้ว ไม่เกิดความรู้สึกสงสารบอทเลยนะ
แต่รู้สึกเวทนาน่ะ
อยากรู้ว่าน้ำจะคิดอย่างไรกับบอท จะให้อภัย แล้วกลับไปเหมือนเดิมหรือเปล่า
น้ำยิ่งรักบอทเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงตัดใจจากบอทไม่ได้ หรือยังไง แล้ว
วายุจะได้ใจน้ำไหม ถ้าไม่ได้ จะได้เตรียมใจสงสารวายุ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: อิสระ ที่ 06-12-2010 20:51:50
ทำใจอยู่นานมากกว่าจะอ่านเรื่องนี้เพราะรู้ว่ายี่ห้อeiky
ไม่หลุดโลกอย่างญี่ปุ่นก็ต้องม่าม่าต้มย้ำทั้งอารมณ์ทั้งน้ำตา
ยิ่งช่วงเครียดๆยิ่งไม่อยากเข้ามาอ่านทับทมอารมณ์ตัวเอง
ขนาดตอนนี้มาตามอ่านตอนอารมณ์แจ่มๆยัง :sad11:
 :เฮ้อ:ถอนใจเฮือกๆไปหลายรอบ
ยังคิดกับตัวเองว่า เข้ามาอ่านหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ 
แต่ก็ยังจะติดตามต่ออยู่ดี
แต่ปราณีตัวระครบ้างเตอะeiky
เพราะรู้สึกว่ามันน่าสงสารทุกคนน่ะ
แม้แต่ตัวร้าย เพราะสำหรับเราคนที่ไม่รู้ตัวสำนึกไม่ได้คือคนที่น่าสงสารที่สุด
เรื่องที่แล้วตัวร้ายก็เป็นเอดส์แล้วยังไม่สำนึกก็น่าสงสารนะ(คงไม่ต้องบอกนะว่าเรื่องไหน
แฟนๆeikyคงรู้ดี)เรื่องนี้คงไม่กระชากใจจน :a5:
เป็นกำลังใจให้eikyเสมอ :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 06-12-2010 21:18:49
มาอ่านแล้วจร้า เศร้าอ่ะ อ่านไปน้ำตาไหลไปพรากๆ  ทำไมเค้าไ้ด้ตอนที่หว้านนนนนนนนนนนนนนนหวานขนาดนี้หละเนี้ย จุกออกไปหมดแทบตายคาจอ หุหุ


+1สำหีับตอนที่ทำให้แน่นหน้าอกคับใจและน้ำตาไหลมากที่สู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 06-12-2010 21:32:17
อ่านตอนนี้แล้วไม่รู้จะพูดยังไงดีเลยอ่ะครับ

สงสารบอทไหมสงสารนะเวลานั้นเมื่อเราเสียคนที่เรารักไปอ่ะ

มันทำไรไม่ได้เลยเหมือนคนเสียสมดุลไปเลย

อ่านไปอ่านมาสะดุดตรงพระท่าน เกรงว่าบอทจะได้บวชไม่ศึกแหงมๆเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 06-12-2010 21:45:29
อภัยต่อกัน จะได้ไม่มีเวรผูกพัน สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 06-12-2010 22:39:23
ฉากนี้ถ้าได้ทำเป็นหนัง แล้วให้นักแสดงที่แสดงถึงบทบาทมาเล่น

คงจะร้องไห้กันน้ำท่วมทุ่งเลยทีเดียว

แอบคิดว่า บอทอาจจะบวชไม่สึก น้ำก็คบกับวาต่อไป
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: katook ที่ 06-12-2010 23:33:04
+1 ดราม่า เป็นฉาก พีเรียด ชอบจ้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 07-12-2010 00:15:33
กรรมคือผลจากการกระทำ
เลือกกันเอาตามใจ ระหว่าง ดีกับชั่ว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 07-12-2010 00:51:27
สงสาร น้ำตาไหลไปกับบอท...
แต่ไม่รู้จะว่ายังไง ...

อโหสิกรรมเท่านั้น..บอทเองคงรู้แล้วว่าความสูญเสีย ความเสียใจมันเป็นยังไง :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 07-12-2010 09:18:59
อยากจะเห็นใจบอทนะ
แต่ทำตัวเองทั้งนั้น
ไม่ใช่เพราะใครเลย
หากจะโทษก้อโทษตัวเองเถิด
ไปไกลเกินกว่าใครจะรั้งไว้แล้ว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 07-12-2010 12:28:50
 :monkeysad:
 :เฮ้อ:

 :จุ๊บๆ: น้อง eiky
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 08-12-2010 08:27:14
Posted by: PEENAT1972 
Insert Quote
กรรมคือผลจากการกระทำ
เลือกกันเอาตามใจ ระหว่าง ดีกับชั่ว


 :sad11:เห็นด้วยกับป้า PEENAT เลย จุดจบของเรื่องนี้จะเป็นยังไงนะ :sad11:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 08-12-2010 18:25:13
 :jul1: คืนนี้ไม่มานะครับ น่าจะพรุ่งนี้ด้วย เพราะพรุ่งนี้มีงานที่ทำงาน

ซ้อมเต้นเหนื่อยมาก ปวดตัว ไม่ไหวจริงๆ เหอๆๆ เอาใจนายหน่อย นายขอร้อง


ดับแน่ๆ งานนี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 08-12-2010 19:06:50
T^T

ไม่เป็นไร

จะรอนร้ารอๆๆ


รอๆๆ

พรุ่งนี้ได้ก็ดี

อิอิ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 08-12-2010 19:23:43
เฮียหวัดดีคับ
เฮียจะไปเอาดีทางด้านแดนซ์เซอร์แล้วเหรอ
อยากเห็นๆๆๆๆๆๆๆๆมากๆๆ
ว่าจะเหมือนญี่ปุ่นหรือเปล่า  เอาท่าเต้นท่าปลาโลมาด้วยนะ  ส่ายก้นดุ๊กดิ๊กๆ
เฮียกว่าจะได้อ่านก็วันศุกร์เลยเหรอ ก็ไม่เป็นไรรอได้คับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 08-12-2010 22:03:10
ตอนเต้นอย่าลืมให้เพื่อนถ่ายวิดิโอไว้ แล้วเอามาโพสให้ดูบ้างนะคะคุณอิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 09-12-2010 00:40:08
เฮ้ออออออออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 09-12-2010 12:56:01
:jul1: คืนนี้ไม่มานะครับ น่าจะพรุ่งนี้ด้วย เพราะพรุ่งนี้มีงานที่ทำงาน

ซ้อมเต้นเหนื่อยมาก ปวดตัว ไม่ไหวจริงๆ เหอๆๆ เอาใจนายหน่อย นายขอร้อง


ดับแน่ๆ งานนี้

สงสัย JYP รับเข้าสังกัดแหง ๆ  :laugh:

เตรียมปากกาสวย ๆ ไว้เซ็นสัญญาได้เลยยย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 10-12-2010 16:34:41
ตอนเต้นอย่าลืมให้เพื่อนถ่ายวิดิโอไว้ แล้วเอามาโพสให้ดูบ้างนะคะคุณอิ๊กกี้

ชูมือสนับสนุนคำพูดน้องมิคนสวย
นะ นะ นะ น้องอิ๊กอยากดูจ้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 10-12-2010 19:03:28
พี่อิ๊ก หวัดดีคับ
สงสัยวันหยุดไปเที่ยวซะแล้ว
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 10-12-2010 21:50:21
วันนี้จะมามั้ยรออยู่นร้าส์ T^T
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: I_HAM_NOI ที่ 11-12-2010 07:54:23
เพิ่งมาอ่านครั้งแรก  อ่านไปน้ำตาตกไป :sad4:  แต่จะให้หยุดอ่านคงไม่ได้มันติดไปแล้ว  :sad4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: Monkzaa ที่ 11-12-2010 14:41:54
หลายวันแล้วอ่ะคร้าบบบบ

 :serius2: :serius2: :serius2:
 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 11-12-2010 15:50:38
 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 11-12-2010 18:30:54
เข้ามาขอโทษทุกๆคนที่รอนะครับ

จะรอไหมถ้าผมจะบอกว่า ผมหมดแรงบันดาลใจแล้ว

ผมทำอะไรไม่ได้เลย เป็นอะไรไม่รู้ แต่รู้ว่าสมองกลวง

เสียใจนะครับที่เป็นแบบนี้ จะพยายามคืนกลับมาให้เร็วที่สุด


ขอบคุณทุกกำลังใจ


ขอบคุณครับ

อิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 11-12-2010 18:31:46
หายไปนานเลยนะคะคุณอิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 11-12-2010 18:40:32
รอค่ะ รอได้เสมอ  :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 11-12-2010 20:58:39
รอได้เสมอนะคับ พี่อิ๊ค

พีอิ๊คพร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาลงก็ได้นะ

เป็นกำลังใจให้เสมอนะ

รักกันๆ

 :L2:

ป.ล. หมดแรงบันดาลใจได้ แต่อย่าหมดไฟ





หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: WhatLoveIs ที่ 11-12-2010 22:08:23
ยังรออยู่เสมอนะคะ สู้ๆ ค่ะ  :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 11-12-2010 22:25:14
ไม่เป็นไรครับพี่อิ๊ก
กับพี่อิ๊กไม่ว่าอย่างไรก็รอครับ
เอาให้พี่อิ๊กสบายใจก่อนก็ได้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: Monkzaa ที่ 12-12-2010 17:01:34
รอคับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 12-12-2010 18:32:47
บทที่ ๔๐

ปุจฉา อันน้ำค้างพราวงามระยับในยามเช้ารู้ไหมมันเกรงกลัวสิ่งใด

เสียงพระสวดดังแว่วมา ค่ำคืนที่เงียบสงัดพลันวายุก็หอบเอาห่าฝนใหญ่เทลงมา สายฝนกระหน่ำโปรยปราย ยอดไม้ลู่ไปตามแรงลม ภาชนะวัตถุใดที่บางเบาก็ปลิวว่อนไปกับแรงลมนั้น แม้นว่าลมจะแรงฝนกระหน่ำซาดซัดสักเพียงใดกระนั้นเสียงพระสวดบทพระอภิธรรมก็ ยังคงดำเนินต่อไป บอทเดินฝ่าสายฝนอย่างไม่รู้จักเกรงกลัวความเหน็บหนาว ไม่มีจิตใจไม่มีวิญญาณสิงอยู่ในร่าง ไม่มีแรงจากร่างกายที่จะพยายามลากร่างให้ไปให้ถึงบ้านที่พำนัก

"ตายแล้วลูก ตากฝนมาเดี๋ยวก็เจ็บไข้ไปอีกคนหรอก"

เสียงแม่บุญช่วยร้องขึ้นวิ่งไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้

"ผมน่าจะตายเสียมากกว่าให้แม่ตาย"

"บอท"

ได้แต่ครางออกมา สีหน้าแววตาของบอทไม่เหลือแล้วซึ่งหัวใจ ดวงตาแดงก่ำเอ่อนองไปด้วยน้ำตา ใบหน้าที่ซีดเซียวปากสั่นอยู่ด้วยความหนาว

"อย่าพูดแบบนี้ลูก ไม่เอาๆ แม่นิ่มเขาไปสบายแล้ว"

แม่บุญช่วยเองก็พยายามปลอบ ไม่มีเหตุอันใดที่จะไปตอกย้ำซ้ำเติมเขา ฤๅจะเอาหินไปถ่วงไอ้เตี้ยที่อุ้มค่อมอยู่ให้หน้าไถไปกับพื้นก็ใช่เรื่อง รังแต่จะเจ็บช้ำหนำใจกันไปเปล่าๆ

"น้ำ ไปดูบอทหน่อยไหม"

วายุเอ่ยขึ้นเพราะเห็นน้ำชำเลืองมองอยู่ตลอดเวลา สะกิดใจขึ้นมา น้ำเม้มปากแน่น

"ไม่หรอกวา เขาคงไม่เป็นไร พระสวดเสร็จรีบไปนอนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องกลับแต่เช้า"

"อ้าว กลับเลยเหรอ ไม่รอทำบุญก่อนเหรอน้ำ"

"เราลามาหลายวันแล้ว เกรงใจเพื่อนๆ หมดธุระของเราแล้วนี่"

น้ำเสียงของน้ำทำให้วายุนิ่งเงียบไป หันหน้าไปพนมมือฟังพระสวดต่อ ส่วนน้ำในใจไม่ได้เป็นอย่างปากพูด มันร้อนรนกระวนกระวาย แต่บอกกับตัวเองว่าให้พอ เขาต้องได้รับรู้ความเจ็บปวดเหล่านี้บ้าง ไม่ว่าเรื่องราวในอดีตจะเป็นไปเช่นไร ถ้าจะอ้างเรื่องในวันวาน ก็จะตอบว่าทำดีที่สุดแล้ว

"น้ำ เราขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม"

พอส่งพระกลับวัดเสร็จเห็นน้ำยืนอยู่กับวายุ บอทเห็นไม่มีโอกาสอื่นที่จะเข้าใกล้น้ำมากกว่านี้แล้ว จึงเดินตรงเข้าไปหาด้วยร่างที่ยังสั่นเทา

"อืม ว่ามาสิบอท"

คราวนี้เป็นน้ำเสียงของน้ำที่นิ่งเย็นชา ไม่เหมือนน้ำคนเดิม

"น้ำ เราขอโทษ เราจำได้แล้ว เราจำได้ทุกอย่างแล้ว"

"บอทพูดเรื่องอะไร บอทเคยจำอะไรไม่ได้เหรอ บอทเคยลืมอะไรไปเหรอ น้ำไม่คิดว่าบอทลืมนะ น้ำคิดว่าบอทจำทุกอย่างได้ดี"

"น้ำ อย่าพูดแบบนี้ เราเสียใจ เรารู้ว่าน้ำเสียใจกับสิ่งที่เราทำ"

ได้แต่ครางออกมาสายตาอ้อนวอน

"ไม่เป็นไรหรอกบอท น้ำชิน ไปนอนเถอะวา เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย จะได้รีบกลับ"

น้ำหันไปหาวายุที่ยืนมองอยู่อย่างลำบากใจ

"น้ำ ให้อภัยเราได้ไหม เรารักน้ำคนเดียวนะ"

พอน้ำจะเดินหนีไปบอทก็พูดออกมา น้ำหยุดกึกลงเม้มปากแน่น วายุเองก็หันมามอง ถอนหายใจแล้วเดินหนีขึ้นบ้านไป

"น้ำก็รักบอทนะ รักบอทเสมอมา แต่น้ำไม่รู้เหมือนกัน ว่าตอนนี้คิดอะไรอยู่"

"น้ำ ไม่เป็นไร เรารอได้ น้ำยังรอเราเลย"

"บอท"

ความรักที่มีให้เขามันยังมากมายอัดแน่นอยู่ในใจ จะให้หันหลังเดินจากไปง่ายๆ คงทำไม่ได้หรอก

"น้ำถามหน่อยสิบอท ตอนที่บอทยังจำไม่ได้ ทำไมบอท ทำไมถึงทำแบบนั้น"

น้ำโพล่งออกมาสายตาตัดพ้ออย่างรุนแรง

"น้ำ เราไม่รู้ เราไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่เรารู้สึกว่าชอบความสบาย ไม่อยากจะลำบากอีก"

บอทไม่กล้าสบตา ก้มหน้าลงต่ำ

"บอท น้ำก็ไม่ได้ชอบนะความลำบาก แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยลำบาก แต่น้ำไม่เข้าใจ จำไม่ได้บอทเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เชียวหรือ เปลี่ยนไปมากจนบางทีน้ำรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอื่นในสายตาของบอท"

"น้ำ"

"เอาเถอะบอท น้ำยังเหมือนเดิมสำหรับความรักที่มีให้บอท แต่น้ำขอทำใจก่อนนะ"

"แล้วไอ้วายุนั่นล่ะน้ำ มันชอบน้ำใช่ไหม"

"วายุเขาไม่ได้ผิดนะบอท เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ว่าอะไรจะเป็นยังไงต่อจากนี้ บอทเองก็ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้หมือนกัน อย่างที่น้ำทนทำใจยอมรับกับสิ่งที่บอททำ"

น้ำกัดฟันพูดออกมาสายตาเจือไปด้วยน้ำตา แล้วหันหลังขึ้นบ้านไป บอทเองยืนนิ่งน้ำตาไหล หัวใจกระตุก สายตาที่เย็นชามันฉายออกมาจากตาของน้ำ แม้จะมีม่านน้ำตาเคลือบอยู่ก็ตาม สายตาเย็นชาที่น้ำไม่เคยมองบอทมาก่อน สายตาที่แต่ก่อนมันฉายแต่ความห่วงใยถ่ายทอดมาให้กัน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว จะกล่าวโทษใครก็คงไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตามวิบากกรรมของมัน

"น้ำ ยังรักเขาอยู่มากใช่ไหม"

วายุเอ่ยขึ้นกลางดึก แม้สายฝนจะโปรยปรายลงมาอย่่างหนัก อากาศทั้งภายนอกภายในเย็นสบายแต่นั่นไม่ได้ทำให้น้ำนอนหลับได้เลย พลิกกายไปมาถอนหายใจอยู่เป็นระยะ วายุเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน เป็นกังวลกับสิ่งที่เห็น กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

"นาย"

"เรารู้นะน้ำ ว่าน้ำไม่เคยลืมเขาเลย ไม่ว่าเขาจะทำให้น้ำเจ็บช้ำใจมากเพียงไหน"

วายุลืมตามองหลังคา เสียงฝนที่กระทบหลังคาสังกะสีดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฟ้าแลบแปลบปลาบสาดแสงสว่างเข้ามาในห้องทำให้เห็นใบหน้าของวายุชัดเจน สีหน้าเขาดูขุ่นมัวนัก น้ำเองก็มีสีหน้าไม่ต่างจากเขาเลย

"ใช่ เรายังรักเขาอยู่ รักมากไม่เคยจาง แต่นายเคยรักใครมากๆไหม เวลาที่เรารักมาก แล้วเขาทำให้ช้ำใจ บางทีรักที่เต็มใจมันก็อาจจะลดน้อยลงได้นะ"

"แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะหมดไปจากใจนี่น้ำ จริงไหม"

"มันจะไม่มีวันหมดไปจากใจหรอกนะนาย อย่ามาขอให้เราลืม อย่ามาบอกให้เราหยุดที่จะรัก เราทำไม่ได้หรอก"

น้ำพูดออกมาเสียงเครือไปด้วยน้ำตา วายุเองสะดุ้งใจหายไป หันหน้าเข้าหาน้ำ น้ำตามันไหลอาบสองแก้มแล้ว

"แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า อย่าถามเราได้ไหม ขอร้องล่ะ"

"น้ำ เราขอโทษ"

วายุดึงตัวน้ำเข้ามากอดไว้ในอก เป็นครั้งแรกที่ได้กอดน้ำแนบกับอก แม้ว่าจะเป็นการกอดจากการที่เขากำลังอ่อนอหรือเสียใจอยู่ก็ตาม ร่างของน้ำสั่นไหวไปด้วยแรงสะอื้น ความชอกช้ำใจที่มีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม สะสมหมักหมมมานานในอกยิ่งเร้ายิ่งเหมือนสะกิดหนองในใจให้แตกออกมา ร้าวรานแสนจะทานทน

"แม่ บอทขอโทษ บอทเป็นลูกไม่ดี ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ แม่จ๋าบอทขอโทษ"

บอทเองก็นอนกอดรูปของมารดาร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนบ้าน มองไปที่ที่แม่นิ่มเคยนอนมีเพียงความว่างเปล่า แสงสว่างจากฟ้าแลบทำให้เห็นแค่ฝาบ้านเครื่องนอนเอาเผาไปหมดแล้ว ถ้าแม่อยู่ป่านนี้ก็คงนอนหลับสบายไปแล้ว ถ้าแม่อยู่ก็คงไม่ต้องคิดอะไรแบบนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ไม่มีแม่ ถ้าหากว่าได้ความทรงจำคืนมาแล้วแลกกับแม่ ขอจำอะไรไม่ได้เสียจะยังดีกว่า ขอแค่ได้แม่คืนมา แค่คืนมาให้ลูกได้เอ่ยคำลาแค่นั้นเอง

อุษาสางยอดข้าวในนาพร่างพราว ระยับไปด้วยน้ำค้างที่ต้องแสงแรกของวัน เสียงนกการ้องเรียกหากันดังเจื้อยแจ้ว การร่ำลากันของน้ำกับพ่อแม่สิ้นสุดลงแล้ว วายุเองก็ลาผู้ใหญ่ทั้งสอง บอทเองยืนมองอยู่เม้มปากแน่นหัวใจสั่นไหวระริก น้ำเองก็ชำเลืองตาไปมองแต่ก็เบือนหน้าหนี ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องไปต่อ ไม่ว่าหัวใจจะบอบช้ำเพียงไหนก็ต้องลากร่างก้าวต่อไปให้ได้ เจ็บแค่ไหนก็รู้ แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ตายยังหายใจอยู่ น้ำตัดสินใจก้าวขึ้นรถไปนั่งหน้านิ่ง

"น้ำ"

ครางออกมาน้ำตาเอ่อนอง

"น้ำเรารักน้ำนะ รักมาก"

บอทครางออกมาในคอ แม่บุญช่วยเองก็เห็นใจเดินมาตบบ่าของบอท

"เราจัดการงานทางนี้ให้เสร็จก่อนเถอะลูก ค่อยกลับลงไปเรียน"

"น้ำเขาไม่ยอมยกโทษให้ผมใช่ไหมแม่บุญ น้ำคงเกลียดผมไปแล้ว"

"อย่าพูดแบบนั้นสิบอท เราโตมาด้วยกันไม่รู้เหรอว่าน้ำมันเป็นคนยังไง"

แม่บุญช่วยก็พยายามปลอบเพราะเห็นใจมาก ไหนจะมาสูญเสียมารดาไป ไหนยังต้องมาถูกเมินหน้าแบบนี้อีก

"รู้ว่าน้ำรักจริงเกลียดจริง ผมผิดเองแค่จำไม่ได้ แต่ทำร้ายน้ำแบบนั้น"

"เอาเถอะลูก ถือว่าหมดเวรหมดกรรมกันเสีย เริ่มต้นใหม่นะ"

บอทเองเหมือนคนสูญเสียทั้งจิตใจและวิญญาณมีเพียงร่างที่ครองความโศกา อาดูรเท่านั้น ไม่มีจิตใจจะทำการสิ่งใด ส่วนน้ำเองพอขึ้นไปนั่งบนรถได้ วายุขับรถออกไปตามทาง

"วาพาเราไปที่ทุ่งนาหน่อยสิ"

เอ่ยออกมาน้ำตาเอ่อนอง วายุเองได้แต่ระบายลมหายใจออกมาไม่พูดสิ่งใด

"จอดตรงนี้หน่อยได้ไหมวา"

พอถึงคูห้วยน้ำก็หันไปบอกวายุให้จอดรถ ดวงตาที่กระตุกความรู้สึกได้เป็นอย่างดี น้ำก้าวลงจากรถหลังจากที่วายุจอดรถสนิทแล้ว ฟ้าหลังฝนงามงดหมดจดนัก สีฟ้าครามสดใส ก้อนเมฆลอยอยู่สูงเป็นปุยบางเบา น้ำในห้วยเอ่อล้นเต็มตลิ่งมองไม่เห็นบัวเหมือนตอนหน้าหนาว มีเพียงเศษของผักตบชวาหรือสวะลอยมากับสายน้ำสีขุ่นๆ น้ำยืนอยู่ริมห้วยนั้นด้วยหัวใจที่เหมือนดังสีของน้ำในห้วย ไม่ได้สดใสเหมือนฟ้าหลังฝนเลยแม้แต่น้อย กระท่อมปลายนาที่เคยหลบฝนหลังคามันเปิดออกไปส่วนหนึ่ง ทุกอย่างที่รายรอบดูเหมือนจะเปลี่ยนไป มองดูแล้วก็ใจหาย ดวงใจหลุดลอยหายไป ดูแล้วก็หวั่นไหวหัวใจเต้นแรงโรยรา ที่แห่งนี้เคยอบอวลไปด้วยรัก ทุกหย่อมหญ้ามันโปรยไปด้วยความรักความห่วงใยที่มีให้กัน ภาพของวันวานยังคงตราตรึงอยู่ในใจ ภาพเหล่านั้นที่มันไม่เคยลบเลือนไปไหนเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนที่เรารักมากจนหมดใจในเมื่อเขากลับคืนมาหาเราแล้วทำไมเราถึงหันหลังเดิน หนีมา

"น้ำ"

วายุร้องขึ้นพร้อมกับปรี่เข้ามาประคองร่างเอาไว้เพราะน้ำทรุดลงนั่งกับพื้นดินที่ยังชุ่มอยู่ด้วยน้ำฝน

"เราเสียใจวา เราเสียใจ เราจะทำยังไงดี"

ครางออกมาน่าเวทนานัก วายุกอดร่างของน้ำไว้

"น้ำ ถ้าน้ำยังรักเขาอยู่ก็กลับไปหาเขาเถอะ ไม่ต้องห่วงใคร"

วายุเองก็น้ำตาซึม รู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นแค่ส่วนเกิน เขารักกันมากขนาดนนี้จะมาแยกเขาออกจากกันได้อย่างไร ความเป็นไปได้มันไม่มีเอาเสียเลย รู้ดีอยู่แก่ใจแต่ที่ทำเพราะว่ารัก รักไปตอนไหนไม่รู้ แต่พอรักแล้วมันถอนตัวถอนใจออกไม่ง่ายเลย

"เราไม่อยากทำแบบนี้วา เราเสียใจ แต่เราทำใจไม่ได้"

"ไม่เป็นไรนะน้ำ อย่าห่วงใคร ห่วงแต่ใจกับความรู้สึกของน้ำก็พอ สำหรับเรา เราอยากเห็นน้ำมีความสุข แค่นี้เราก็พอใจแล้ว"

"นาย"

มองหน้าของวายุทั้งน้ำตา ใบหน้าที่นิ่งแต่ดวงตามันอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดร้าวรานใจ น้ำเองถึงกับอ้าปากค้าง

"นายยังจะเป็นเพื่อนเราอยู่ไหมวา นายยังจะเป็นเพื่อนกับคนอย่างเราไหม"

"น้ำ ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยากเป็นแค่เพื่อนของน้ำ แต่ได้แค่นี้เราก็พอใจแล้ว เราไม่ขออะไรอีกแล้วน้ำ"

"วา"

เขาทำอะไรผิดหรือ เขาถึงได้มาเสียน้ำตาให้เรา ตลอดเวลาที่ได้รู้จักกันเขาหยิบยื่นมอบให้แต่สิ่งดีๆ เขาใส่ใจห่วงใยเราไม่ต่างไปจากคนที่รักในครั้งก่อน แต่ตอนนี้เหมือนกับว่าเขาทำอะไรผิด สับสนเหลือเกิน ปวดอยู่ในใจไม่รู้จะทำยังไงดี

"เล็ก มึงว่ากูจะทำยังไงดี"

พอกลับไปทำงานตามปกติก็เอ่ยปากปรึกษาเพื่อนรัก

"กูเองก็คิดไม่ออกหรอกมึง บอทมันก็น่าสงสาร แต่วาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดหรือไม่ดี มึงก็ค่อยๆคิดก็แล้วกัน"

"ให้กูทิ้งบอทมึงก็รู้ว่ากูทำไม่ได้ แต่สำหรับวาเขาคงดีเกินไปสำหรับกู"

"มึงถามเขาแล้วเหรอ ถึงว่าเขาดีเกินไป"

เล็กฉายแววตาขึ้นมองหน้าเพื่อนรักอย่างตำหนิ

"ถามแล้ว เขาบอกจะคอยเฝ้าดูกูตลอดไป"

"เฮ้อนะ กรรมแท้ๆ นี่มันอะไรกันวะมึง สงสารวาว่ะ"

มรสุมในใจมันยังไม่จางหายไปอย่างงายดายนัก แม้ภายนอกจะมองไม่ออกว่าเสียใจน้ำเองพยายามฝืนยิ้มทำตัวให้ร่าเริง แต่เวลาใดที่ได้อยู่คนเดียว ม่านน้ำตาก็หลั่งไหลออกมา บอทยังไม่กลับมาจากบ้าน นี่ผ่านไปจากสัปดาห์เดียวเป็นสองสัปดาห์แล้ว ติดต่อก็ไม่ติดต่อมา เป็นห่วงในใจมันหวิวสั่นไหว แต่ก็ต้องอยู่ให้ได้ ต้องหล่อเลี้ยงชีวิตต่อไปให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น น้ำย้ายหอไปแล้วแต่ทุกวันจะเดินมาถามที่หอว่าบอทกลับมาจากบ้านหรือยัง แต่ก็ยัง น้ำเป็นกังวลมาก มากเสียใจต้องตัดใจกลับบ้านไปอีกครั้ง

"วาไม่ต้องกลับด้วยหรอก ไหนบอกมีสอบไม่ใช่เหรอ เรากลับคนเดียวได้"

น้ำบอกวายุก่อนจะกลับหนึ่งวัน

"ไม่เป็นไรหรอกน้ำ เราไม่สนใจหรอก สอบก็สอบไปงั้นล่ะ แค่เก็บคะแนน"

"ไม่ได้นะวา นายจะมาเสียการเรียนเพราะเราไม่ได้นะ เราไม่สบายใจ"

"เราไม่ได้เสียการเรียนเพราะน้ำนะ แค่เราอยากจะดูแลน้ำ ผิดด้วยเหรอที่เราทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง"

วายุทำให้น้ำอึ้งเงียบไป

"ไม่ผิดหรอกวาถ้านายจะทำเสียงเรียกร้องของหัวใจ แต่มันผิดที่หัวใจนายจะพานายลงสู่เหวแล้วนายยังไม่พยายามดึงตัวเองขึ้นมา อย่าทำแบบนี้เลย"

"ต่อให้เป็นเหวลึกสักแค่ไหน เจ็บปวดเท่าไร เราก็ไม่กลัวหรอกนะน้ำ เรารักน้ำนะ รักมากเสียจน เรายอมเจ็บเอง แต่เราไม่อยากให้น้ำเสียใจอยู่คนเดียว"

มีจริงหรือความรักแบบนี้ในโลกบูดเบี้ยวใบนี้ คนที่จะยอมเจ็บเพียงเพราะคำว่ารัก มีจริงหรือ รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีที่ว่างในหัวใจให้ตน แต่ก็ยอมทนทรมาน มีด้วยหรือ วายุเองแสดงสีหน้าที่มั่นคง น้ำเองได้แต่นิ่งเม้มปากแน่น ไม่ได้อยากเป็นคนเจ้าน้ำตา ไม่ได้อยากจะร้องไห้พร่ำเพรื่อ แต่ทุกคำพูดที่เขาเปล่งวาจาออกมามันเสียดแทงใจเสียเหลือเกิน

"เราขอโทษวา เราขอโทษ"

ครางออกมาน้ำตานองหน้า

"อย่าขอโทษน้ำ น้ำไม่ได้ทำอะไรผิด เรารักน้ำเอง น้ำไม่ได้บังคับ เรารักน้ำทั้งๆที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง แต่แค่ได้รักน้ำรู้ไหมเราก็มีความสุขแล้ว"

สะอื้นออกมาโผเข้ากอดเขาแน่น แทงใจเหลือเกิน อย่าได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านี้เลย เจ็บยอกอกอยู่ วายุเองก็กอดประคองร่างเอาไว้ลูบตามหลังคอยปลอบอยู่

อันความรัก อยากให้มันเป็นไปในรูปแบบไหนหรือ รักอยู่ในอกหรือกระจายตีแผ่รักนั้นออกมา ชีวิตจริงมันไม่ใช่แบบนั้น อุปสรรคมากมายนักที่กีดขวาง รักมากแน่นใจ ทุกข์มากคับอก ความรักจำเป็นด้วยหรือที่ต้องอยู่เคียงข้างกันเฉกเช่นสามีภรรยา จำเป็นด้วยหรือที่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วต้องเจอหน้าเขาเป็นคนแรก ในเมื่อมันเป็นแบบนั้นไม่ได้ เราจะทำยังไง รักก็รักอยู่ในอกไม่ได้จางไม่ได้เลือนลบหายไปไหน ก็ใจดวงนี้มันมีสนิมขึ้นกัดกินเสียแล้ว จะให้มันครบถ้วนสมบูรณ์เฉกเช่นเดิมแล้วถ้าหากถามกลับคืนว่าทำไมเราถึงเป็น แบบนี้ จะตอบได้ไหม ตอบได้ไหมว่าทำไมใจเราถึงเป็นสนิม

วิสัชนา แสงอุษาสางนั่นไงท่าน


ปล พยายามแล้วนะครับ อันนี้อาจจะดูขัดๆหน่อย

มอบพิเศษให้ทุกท่านที่รอ

ขอบคุณจากใจครับ

อิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 12-12-2010 19:03:46
อวสาน

ปุจฉา แสงตะวันยังมีวันลาลับเลือน อันแสงเดือนยังยอมแพ้สุริยา
                              แล้วแสงหนึ่งแสงใดในใต้หล้า  พสุธาใต้ฟ้าจะจีรัง


ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์นั่งรถกลับบ้านด้วยจิตใจที่ร้อนรนเป็นกังวล จิตใจคิดวกไปถึงความเป็นความตายของอีกคน นั่งไม่ได้เป็นสุข หายใจไม่ได้อิ่มเอิบ แต่ครานี้นั่งรถกลับบ้านด้วยจิตใจที่วกวนสับสน แม้จะไม่ทุกข์เท่าครั้งคราวก่อนแต่ก็ร้อนรุ่มสุมอยู่ในใจไม่ต่างกัน ใจมันแตกออกเป็นสองทาง ทางหนึ่งก็ปูลาดมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ แม้มองเห็นภาพภายหน้าได้ลางเลือนนัก แต่ทุกย่างก้าวที่ผ่านพ้นมามันช่างน่าจดจำแม้มีช่วงเวลาหนึ่งหนทางแห่งความ ทรงจำนั้นมันเหมือนมีหนามมาโปรยวางให้ทิ่มตำ แต่ใจเอยก็รักเหลือเกินรักล้นออกจากใจ อีกทางหนึ่งก็เสมือทางอย่างดี รายรอบทางเดินมีแต่ความปรารถนาดีคอยส่องสว่างชี้นำทางแม้มองไม่เห็นเช่นกัน ว่าหนทางนั้นจะดำเนินต่อไปในทิศทางใด สับสน ทางซ้ายเขาสำนึกผิด จะว่าไปเขาไม่ได้ทำอะไรผิด การที่เสียความทรงจำไปมีใครพึงใจอยากให้มันเกิดคงไม่มี ทางขวาเขาก็หวังดีไม่เคยทำให้ชอกช้ำใจ การที่จะเขี่ยเขาทิ้งไป ใจร้ายไปไหม เขาทำอะไรผิด น้ำได้แต่ถอนหายใจออกมาทอดสายตาขุ่นมัวออกไปไกลแสนไกล

"ลำบากใจมากเหรอน้ำ"

วายุเอ่ยขึ้น ยังเป็นเขาที่คอยเคียงข้างตลอดมาในช่วงเวลาที่หัวใจมันอ่อนล้าถดถอย

"นิดหน่อย นายหิวไหมวา ขับรถทั้งวัน"

"น้ำล่ะหิวไหม เรานิดหน่อย"

"เราแวะกินข้าวกันก่อนนะ เดี๋ยวไม่มีแรงขับรถ"

ยังไปไม่ถึงไหนกันเลย ยังอยู่ในตัวเมืองโคราชอยู่เลย เหมือนกับใจที่มันมีทางให้เลือกไป แต่ยังไม่ไปถึงไหนเลย หยุดอยู่ตรงทางแยกนั้น ถามว่าทำไมต้องเลือก ตอบไม่ได้หรอกนะ เรื่องของใจจะให้สาธยายออกมาเป็นคำพูดก็คงลำบาก แล้วถ้าหากไม่เลือกเราไม่เห็นแก่ตัวไปหรือ อยากจะเดินทั้งสองทางหรือ ทำเช่นไร เดินไปยังไง เราก็คนเจ็บได้ร้องไห้เป็น เขาเองก็เช่นกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งได้แต่ถอนหายใจออกมา คำตอบที่ได้คือลมร้อนที่ปล่อยออกจากปอดผ่านออกมาทางโพรงจมูก

ภาพที่ผ่านตารายทาง ผู้คนบ้านเรือน ต้นไม้ใบหญ้า ผ่านมามันก็ผ่านไปไม่ได้ซึมผ่านเข้าไปในความทรงจำ เพราะใจมันไม่มีที่ว่างเหลือพอจะสั่งให้สมองมันจดจำได้ เรื่องที่แบกมาด้วยเต็มหนักอึ้งอยู่ในใจมากพออยู่แล้ว อึดอัดเหลือเกิน อยากจะวางมันลงเสียที

"อ้าว พี่น้ำ แม่ พี่น้ำมา"

เสียงของหินร้องทักขึ้นเมื่อตอนเย็น ตะวันจวนจะลาลับปลายยอดไผ่ฝั่งตะวันตกแล้ว เสียงนกกาบินกลับรัง สภาพแวดล้อมที่เห็นคราใดหัวใจมันก็ยอกจุกขึ้นมาครานั้น

"น้ำ มีอะไรหรือเปล่าลูก เพิ่งกลับไปไม่ใช่หรือ"

แม่บุญช่วยเดินเข้ามาหา วายุยกมือไหว้ น้ำเองก็ไหว้แม่แล้วโผเข้ากอด

"บอทล่ะแม่ น้ำเป็นห่วง"

สายตามองไปยังชายคาบ้านของบอท แม่บุญช่วยสูดลมหายใจเข้าปอดเหมือนกำลังรวบรวมพละกำลัง

"มาด้วยเรื่องแค่นี้เองเหรอลูก แล้วเรื่องเรียน เรื่องงานล่ะ"

"น้ำจัดการหมดแล้วแม่ ไม่ต้องห่วง ก็บอทยังไม่กลับลงไปสักที เขาจะยึดห้องแล้วสิ ติดต่อก็ไม่ได้"

"โทรฯ มาถามก็ได้นะน้ำ บ้านน้านพก็มีโทรศัพท์เสียเวลาเปล่าๆ"

แม่บุญช่วยพูดแล้วหันไปยิ้มให้วายุ

"พ่อวาเลยต้องลำบากขับรถมาไกลๆเลยสิ"

"อ้อ สบายมากครับแม่ ดีเหมือนกันช่วงนี้เรียนเครียดๆ ผมถือว่ามาพักครับ แล้วพ่อไปไหนครับแม่"

วายุเอ่ยวาจาขึ้นอย่างสนิทสนม

"พ่อเขามีประชุมที่โรงเรียน เดี๋ยวก็คงกลับล่ะลูก ไปๆเข้าบ้าน ไปกินน้ำกินท่าก่อน มาเหนื่อยๆ"

"แม่แล้วบอทไปไหน"

น้ำเองยังคงถามหาบอทอยู่ สายตาก็มองพยายามมองลอดไปใต้ถุนบ้าน

"เดี๋ยวค่อยคุยกันน้ำ พาพ่อวาเข้าบ้านก่อน หินไปช่วยพี่เขาขนของสิลูก"

ก่อนที่หินจะอ้าปากพูดออกมาแม่บุญช่วยก็ดันหลังให้ไปขนของช่วยวายุ

"พ่อ ตกลงบอทไปไหน ที่บ้านก็เหมือนไม่มีคนอยู่"

น้ำเอ่ยขึ้น เพราะเห็นท่าว่าถามจากแม่บุญช่วยคงจะไม่ได้เรื่อง

"บอทไปนอนที่วัดลูก"

"นอนวัด"

ครางออกมาจะอ้าปากพูดต่อ แต่ก็เงียบไปสายตาครุ่นคิดอยู่ นี่เขาคงเสียใจมากสินะ

"ใช่ ถ้าน้ำจะไปหา พรุ่งนี้ค่อยไปนะลูก"

น้ำเม้มปากแน่น ไม่มีอะไรจะเอ่ย แม่บุญช่วยมาบีบบ่าให้กำลังใจเหมือนรู้ว่าน้ำเองคงพอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

"รีบนอนเถอะลูกพรุ่งนี้จะได้ลุกมาใส่บาตรกัน"

แม่บุญช่วยบอกหลังจากจัดเตรียมที่นอนให้น้ำกับวายุเสร็จ

"นอนเถอะน้ำ พรุ่งนี้ค่อยไปหาเขา ไหนๆก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร ทำใจให้สบายเถอะนะ"

วายุเอ่ยขึ้นหลังจากเอนหลังลงนอน น้ำเงียบไป จริงอย่างเขาว่า ร้อนรนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ในเมื่อรู้แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร แต่เราเองก็ทำไม่ถูกความเศร้าหมองมันได้ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆพลอยไม่สบาย ใจไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว เห็นแก่ตัวเหลือเกิน ทำไมเรื่องความรักมันทำให้เราเห็นแก่ตัวได้มากขนาดนี้นะ ทำไมเรื่องหัวใจมันถึงมีอานุภาพมากมายถึงเพียงนี้

"พระมาแล้วลูก เตรียมก่องข้าวมาน้ำ พ่อวาเตรียมใส่ขนมนะ"

แม่บุญช่วยร้องบอกวายุกับน้ำที่ยืนเตรียมตัวจะใส่บาตรตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ พระเดินมาแต่ไกลเห็นชายผ้าเหลืองเด่นเป็นสง่ามาจากทางวัด น้ำเองนั่งลงยกก่องข้าวขึ้นเหนือหัวหลับตาตั้งจิตภาวนาอยู่ วายุเองก็ยืนมองอยู่นิ่งๆ มือล้วงข้าวเหนียวในก่องเงยหน้าขึ้นมองบาตรพระ

"บอ"

ร้องออกมาตาค้าง มือชะงักไปข้าวเหนียวที่ปั้นเอาไว้ร่วงลงพื้น มือไม้สั่น สติไม่อยู่กับตัว

"บอท"

ครางออกมาเมื่อแน่ใจแล้วว่าพระท่านนี้คือใคร เม้มปากแน่นน้ำตาเอ่อออกมาทันที

"น้ำ บาปนะลูก"

แม่บุญช่วยร้องขึ้นเข้าไปยกมือขึ้นไหว้

"ไม่เป็นไรหรอกโยมแม่ โยมน้ำคงจะตกใจ"

อนิจจา น้ำเสียงนั้นช่างเงียบสงบเสียเหลือเกิน น้ำเหมือนต้องมนต์ อ้าปากค้างแน่นิ่งอยู่ พระท่านเดินไปแล้ว วายุก็ใส่บาตรตามปกติ

"ฝากโยมน้ำด้วยนะโยมวายุ"

วายุเองยกมือขึ้นไหว้ ตกใจอยู่เหมือนกันแต่ไม่ได้มีทีท่าเหมือนกับน้ำ แสงสุริยาฉายตะวันโด่ง ร่างของน้ำยังคุกเข่าอยู่ที่เดิมบนทางลูกรังสีแดงนั้น วายุเองก็ได้แต่ยืนมอง แม่บุญช่วยก็ได้แต่เม้มปากแน่น

"ทำไมไม่มีใครบอกน้ำสักคน ทำไมแม่"

น้ำตาไหลออกมา ไม่ฟูมฟายเหมือนแต่ก่อน ใจหนึ่งเหมือนต้องแสงพระธรรมชุ่มฉ่ำเย็นยะเยือกเข้าไปถึงทรวง ใจหนึ่งดังต้องเพลิงจากนรกอเวจีเผาไหม้ให้วอดวายอยู่

"พระท่านไม่ให้บอก พระท่านขอไว้"

"ทำไม แม่ น้ำไม่มีค่าเลยหรือไง น้ำเป็นใครในสายตาของบอท"

"น้ำ สงบสติอารมณ์หน่อยสิลูก พระท่านเองก็เสียใจมากนะ เสียใจจนเหมือนคนบ้า แม่ดีใจนะที่ท่านตัดสินใจได้แบบนี้ อย่างน้อยก็เป็นกุศลให้แม่นิ่มเขา"

"แต่น่าจะบอกน้ำหน่อย น้ำจะได้มา น้ำแค่อยาก"

สะอื้นออกมาไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดออกมาดี เพราะอย่างที่แม่บุญช่วยบอกก็ถูกไม่มีคำใดผิด แต่ที่หาคำพูดใดออกมาไม่ได้เพราะลึกๆแล้วน้อยเนื้อต่ำใจนั่นเอง

"รีบกลับไปอาบน้ำอาบท่า อยากจะคุยก็ไปหาท่านที่วัดสิน้ำ แต่ไปแล้วอย่าไปร้องไห้คร่ำครวญให้ท่านเป็นกังวลใจนะ"

แม่บุญช่วยมาสะกิดให้ลุกจากที่ น้ำถึงยอมเดินกลับบ้าน รีบอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเตรียมภัตตาหารไปยังวัด สายตาของพระบอทแน่นิ่งเย็นยะเยือก ไม่ได้มองจับต้องอยู่ที่จุดใดเป็นสำคัญ มองทอดสายตามาเหมือนกำลังควบคุมสติอยู่ ส่วนน้ำเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาด้วยหัวใจที่ร้อนรน

"โยมน้ำ อาตมาขอคุยด้วยหน่อยสิ"

พอฉันภัตตาหารเสร็จให้ศีลให้พรแล้วก็เดินตรงมาหาน้ำที่นั่งพนมมืออยู่ น้ำเดินตามพระบอทไปยังใต้ร่มมะขามกลางลานวัด

"อย่าเสียใจไปเลยนะโยม ที่อาตมาไม่ได้บอกข่าว อาตมาไม่อยากตัดสินใจลำบาก"

พระบอทเอ่ยออกมาหันแผ่นหลังให้น้ำที่ยืนนิ่งอยู่

"อาตมาเสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถ้าให้ไปอยู่ในโลกความเป็นจริงอาตมาคงไม่ได้เป็นผู้เป็นคนกับเขาหรอก อาตมาเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวมากเสียจนทำลายโยมน้ำให้เสียใจ อโหสิกรรมให้อาตมาเถิดนะโยมน้ำ"

"ฮึกๆ"

บีบปากตัวเองไว้ไม่อยากให้สะอื้นออกมา แต่น้ำตามันไหลออกมาแล้ว อ่อนไหวเหลือเกิน อยากจะเข้าไปกอดให้สมกับที่รัก แต่ทำไม ทำไมเรายืนนิ่งอยู่แบบนี้

"พระจะบวชนานไหม"

หลังจากที่กลืนความชอกช้ำใจเข้าไปในคอแล้วก็เอ่ยออกมา

"บาปนะโยม มาชวนพระสึกน่ะ อาตมาไม่มีกำหนดจะสึกหรอกนะ อยู่เป็นสงฆ์ก็สบายใจดี"

"พระ"

ครางออกมาเม้มปากแน่น

"ทำไมพระทำแบบนี้ ไหนบอกรัก ไหนบอกจะกลับมาหากัน ทำไมพระทำแบบนี้"

ทนไม่ไหวบาปไหนหนักหนาสักเท่าใดหาได้เกรงกลัวไม่ ในเมื่อใจมันสั่งให้เอ่ยคำเหล่านี้ออกมา

"โยมน้ำ"

"พระรู้ไหมว่าน้ำรอพระอยู่ สิ่งที่พระทำน้ำลืมมันไปหมดแล้ว"

"โยมน้ำ อาตมาเข้าใจโยมน้ำนะ แล้วโยมวายุล่ะ จะให้เขาอยู่ตรงไหน อาตมารู้ดีว่าการที่เราเป็นคนที่ถูกมองข้ามมันทรมานใจมากเพียงไหน โยมน้ำก็รู้ดีไม่ใช่หรือ เพราะสิ่งที่อาตมาทำไว้กับโยมน้ำมันไม่ใช่สิ่งเล็กๆที่วันสองวันหรือแม้แต่ คำว่ารักมากเต็มใจมันจะชดใช้ทดแทนให้กันได้ อาตมาเข้าใจโยมน้ำดีว่าโยมน้ำคงจะเสียใจมาก แต่อย่าได้ฟูมฟายไปเลย อาตมาไม่ไปไหน เคยรักใคร่อย่างไร อาตมาก็ยังรักใคร่เช่นนั้น เพียงแต่อาตมารู้แล้วว่าการที่รักใครสักคนเราไม่จำเป็นต้องครอบครองเขา ยึดมั่นในตัวเขาเอามาเป็นของตน เราแค่ปรารถนาดีให้เขามีความสุข เพียงเท่านี้ที่อาตมาต้องการ ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามกรรม กรรมที่อาตมาสร้างไว้กับโยมน้ำเอง แม้จะเป็นการเห็นแก่ตัวที่ตัดช่องน้อยหนีมาแต่เพียงลำพังเช่นนี้ แต่อาตมาก็อยากให้โยมน้ำเข้าใจ ว่าอาตมาก็คงไปสู้หน้าโยมน้ำไม่ได้สนิทใจนักหรอก"

พระท่านเอ่ยวาจาออกมาแต่คนฟังหาได้ฟังไม่ เม้มปากแน่นน้ำตาไหลเสียจนหูอื้อตาลาย

"พระน้ำเข้าใจแล้ว แต่ทำไมน้ำถึงยังเจ็บเหลือเกิน พระเข้าใจน้ำไหมว่าทำไม น้ำไม่ได้อยากจะเป็นคนไม่ดีที่มาชักชวนให้พระท่านหม่นหมอง แต่พระรู้ไหมว่าน้ำรักท่านมากเพียงใด ท่านเคยรู้ไหม"

"โยมน้ำ"

"ต่อให้ควักเอาหัวใจของน้ำออกมาเหยียบตรงนี้ ท่านยังจะรู้ไหม ว่านำรัก น้ำเองก็ไม่ได้ต้องการตัวท่านเอามาครอบครอง แต่"

นั่งทรุดตัวลงกับพื้น พระบอทเองก็จะปรี่เข้ามาแต่ชะงักตัวไว้ก่อน พระท่านกระพริบตาถี่ๆแล้วเมินหน้าหนีไปทางอื่น

"น้ำอโหสิกรรมให้พระทุกอย่าง น้ำอโหสิกรรม ถ้าหากสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเลือก น้ำก็ขออนุโมทนาด้วย"

ยกมือขึ้นพนมสะอึกสะอื้นไห้อยู่ น้ำตาไหลออกมาหยดลงพื้นดิน พระบอทเห็นแล้วก็สะท้อนใจนัก

"รูปขันโธ เวทนาขันโธ อนิจจังสังขารไม่เที่ยงหรอกโยม"

"พระท่านรู้ไหมว่ามีสิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจน้ำ น้ำอยากบอกให้พระรู้ไว้ ว่าตลอดเวลาที่เราเติบโตมาด้วยกัน จนถึงวินาทีนี้ ไม่มีวันไหน วินาทีไหนเลยที่น้ำจะคลายรักจากท่าน ไม่เคยมีเลย แม้จะน้อยใจไปบ้าง เจ็บปวดทรมานไปบ้าง แต่ใจน้ำก็ยังรักท่านไม่เสื่อมคลาย ถ้าหากแม้นว่ารักนี้จะส่งผลให้ท่านมีกำลังใจอยู่ใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ต่อไป น้ำจะดีใจมาก อย่างน้อยน้ำก็ยังรู้ว่าพระก็ไม่ได้อยู่คนเดียว และอย่างน้อยที่สุดน้ำก็ยังพอมีค่าอยู่"

"โยมน้ำ ทำไมพูดแบบนั้น โยมน้ำมีค่าเสมอในใจของอาตมา โยมน้ำเป็นดังดวงใจ แต่เอาเถิด ขอบใจมากโยมน้ำ โยมน้ำอยากรู้ไหมว่าที่ผ่านมาอาตมารู้สึกเช่นไร ถ้าหากแม้นว่าสิ่งที่อาตมาจะเอ่ยออกไปนี้ มันจะทำให้โยมน้ำมีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตที่ดี ครองตัวให้ดี อาตมาเองก็นับว่ามันเป็นกุศล"

พระบอทเองมองน้ำแน่นิ่ง แม้บวชไปได้ไม่นานแต่ทว่าแต่ละท่อนแต่ละประโยคเหมือนคนบวชมานาน เหตุก็เพราะว่าพระบอทได้ฟูมฟายเสียอกเสียใจไม่เป็นอันหลับอันนอนพระเจ้า อาวาสท่านจึงให้ไปอยู่ด้วย เทศน์ให้ฟังทั้งคืน ยกตัวอย่างอุปมาอุปไมยต่างๆนานาจนเหมือนพระบอทเองได้แลเห็นแสงสว่างแห่งธรรม

"ตลอดเวลาที่ผ่านมา อาตมาไม่เคยมองใคร หัวใจของอาตมาไม่เคยแบ่งไปให้ใคร แม้จะมีช่วงเวลาที่อาตมาเสียความทรงจำไป แต่ในส่วนลึกๆของใจ อาตมายังมองเห็นโยมน้ำเพียงคนเดียว ตอนนั้นถามว่ารักไหม ไม่นะ อาตมาไม่ได้รู้สึกว่ารักโยมน้ำในตอนที่อาตมาเสียความทรงจำ แต่เหมือนระหว่างเราจะมีสายใยบางอย่างคอยดึงคอยรั้งอาตมาไว้ หลายครั้งหลายคราที่อาตมาจะทำตัวเกเรไป ใบหน้าของโยมน้ำจะผุดขึ้นมา แต่วันที่โยมน้ำเสียใจนั้น เพราะกิเลสตัณหาของอาตมาเอง มันเป็นวิบากรรมของอาตมาเอง แม้จะไม่เต็มใจแต่อาตมาเองก็ได้ทำให้หัวใจของโยมน้ำเป็นสนิม มีด่างมีรอย การจะล้างสนิมออกจากใจนั้นยากนัก อาตมารู้ดี แต่วันที่อาตมาโดนเขาตีหัว รู้ไหมคนแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวของอาตมาคือโยมน้ำนะ สิ่งที่อาตมาอยากจะบอกโยมน้ำก็คือ อาตมายังมีจิตผูกพันกับโยมน้ำอยู่ไม่เสื่อมคลายเช่นกัน"

จะให้เอ่ยอะไรออกไปหรือ เสียใจนะที่เรื่องราวมันออกมาในรูปแบบนี้ แต่อย่างน้อยก็ยินดีที่พระท่านแลเห็นแสงสว่างแห่งใจ ท่านค้นพบแล้วไม่ว่าท่านจะครองตัวอยู่ในสมณะได้นานเท่าใด แต่เราสิยังเหมือนคนตาบอดควานหาสิ่งเร้าเอามาบำเรอใจอยู่ไม่ว่างวาย

"วา ออกไปทุ่งนากับเราไหม"

น้ำเอ่ยชวนวายุเมื่อตอนตะวันจะลับฟ้า วายุเองก็ไม่เคยขัดใจ น้ำหยิบเอาจักรยานมาจูงวายุเป็นคนอาสาปั่นให้ น้ำนั่งซ้อนท้าย

แสงตะวันรอนแรมจวนลับฟ้า หมู่นกกาบินวกเวียนกลับรัง ยอดข้าวไหวใบหญ้าพลิ้วบานสะพรั่ง กลับคืนรังในวันที่ใจมันร้าวราน หลับตาลงมองเห็นเพียงแต่เขา เห็นเพียงเงาของชายรักขนาบข้าง ใต้ต้นไม้ในทุ่งนาบัวสล้าง มีเขาข้างเคียงกายอยู่ไม่หาย แต่ตอนนี้ภาพนั้นมันทลาย มันเลือนหายลอยไปกับสายลม เหลือเพียงเรายืนมองอยู่ตรงนี้ ใจที่มีมันมากแต่ไม่สม เหลือเพียงรักแลใจที่ยังตรม ยังระทมช้ำรักยอกในใจ ในวันนั้นเขาปั่นเราซ้อนท้าย กายเบียดกายมือแตะบ่าคว้าเอวไว้ เสียงเหนื่อยหอบของลมที่หายใจ แต่ทำไมใจไม่เหนื่อยเพราะรักกัน ผ่านตรงนี้เนินหญ้านั้นก็หวั่นไหว รักในใจมันยอกนักแสนหนักหนา ปวดแปลบร้าวลึกลงไปในกายา ดังอุราเผาไหม้ด้วยไฟเพลิง

บรรยากาศรอบกาย แสงเงา ลมเอื่อยๆที่กำลังเพิ่มทวีกำลังรุนแรงขึ้นเพราะมันได้หอบเอาหมู่เมฆาหนา ครึ้มดำทะมึนมาทางทิศประจิม แสงตะวันถูกกลืนลาลับไปแล้ว น้ำซุกหน้าลงบนแผ่นหลังของวายุ เขาไม่ได้ว่าอะไรหรือแสดงกริยาอะไรความชื้นจากตาซึมผ่านเสื้อของเขาจนเปียก ชุ่ม เข้าใจดีในความเสียใจของน้ำ เข้าใจทุกอย่าง ตนเองก็เสียใจที่เป็นแค่คนที่มาทีหลัง เข้าก็ไม่ได้ออกก็ไม่ได้ ยืนมองอยู่อย่างนั้นด้วยความชอกช้ำใจ จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่อคนที่รักเจ็บช้ำใจ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ อยากให้ซบลงบนบ่าแต่ก็บังคับอะไรเขาไม่ได้ ได้แต่ยืนอยู่เคียงข้างอย่างนี้และได้แต่หวังว่าสักวันเขาจะหันมามองบ้างก็ เท่านั้นเอง

"โอเคไหมน้ำ"

วายุเอ่ยขึ้นเมื่อจอดจักรยานไว้ตรงริมห้วย แต่ว่าน้ำยังคงซบหน้ากับแผ่นหลังอยู่

"น้ำ เรารู้นะว่าน้ำยังจำที่แห่งนี้ไม่ลืม เราก็จะไม่ขอให้น้ำลืมหรอกนะ เราเข้าใจดี แม้เรารู้ว่าบางทีน้ำอาจจะไม่มีที่ว่างเหลือในใจแล้วก็ตาม แต่น้ำก็อย่าไล่เราไปไหนเลยนะ เราอยากจะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆน้ำ แม้น้ำจะไม่ต้องการเรา แต่หากว่าวันใดที่น้ำเหนื่อย หรือเสียใจ เรายังอยู่ตรงนี้เสมอนะ"

"วา ทำไมล่ะ นายมีหนทางที่ดีกว่านะ ทำไมนายถึงทนอยู่อย่างนี้ เราไม่มีอะไรพิเศษหรือดีเด่กว่าใคร เราเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง นายก็เห็น เราไม่ได้มีอะไร นายจะอยู่ทำไมในเมื่อนายรู้ว่าอยู่แล้วก็มีแต่เจ็บ"

"น้ำ เราก็อยากจะถามน้ำนะ น้ำเองก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าความรักมันเป็นยังไงรักเขาแล้วจะให้ลืมให้ทิ้งกัน ไปง่ายๆน้ำทำได้ไหม เรารู้ว่าน้ำรักพระเพราะน้ำโตมาด้วยกัน รักผูกพันกันมาก แต่สำหรับเรา เรารักน้ำเพราะน้ำเป็นน้ำเห็นตอนแรกก็ชอบ พอชอบได้คุยได้รู้จักมากขึ้นก็รัก พอรักแล้วจะให้เราทำยังไงล่ะน้ำ ให้เราตัดใจจากน้ำง่ายๆเหรอ คงไม่มีทางนะ ถ้าหากน้ำเชื่อในรัก เราคนนึงก็เชื่อและศัทธาในรักเหมือนกัน"

"วา"

เมฆดำครึ้มแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ สายฟ้าแปลบปลาบจนน่าเสียวสันหลัง สองร่างยืนมองตากันอยู่ริมห้วย น้ำในห้วยกระเพื่อมไปตามแรงปะทะของลม เนิ่นนานแสนนานจนฝนได้โปรยปรายลงมาแต่สองร่างยังไม่ขยับกาย จนอีกร่างที่สูงใหญ่กว่าดึงแขนของน้ำเข้าไปในกระท่อมปลายนาแห่งนั้น ที่เดิมที่เคยหลบฝนหลบแดดในวันเก่าๆ

ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไปหากมีรักก็ให้รักนั้นผลักดันเราให้สู่ที่สูงหรือ ที่ที่ดีกว่าเดิม แม้นหากไม่มีรักหรือได้สูญเสียมันไปก็อย่าได้ท้ออย่าได้ถอย หันกลับมาโอบรัดกอดตัวเอง ลองรักตัวเองดูสักคราแล้วความรักที่กระจายอยู่ทั่วทุกที่มันก็จะเข้ามาหาเรา เอง

สนิมที่เกิดในใจดังน้ำค้างที่พร่างพราวในยามเช้า น้ำค้างบริสุทธิ์ใสดังประกายเพชรแม้นหากว่ามีตะกอนขุ่นในน้ำค้างนั้น แม้จะยังพราวแสงอยู่แต่ก็ไม่ใช่น้ำค้างบริสุทธิ์ดังเดิม เช่นกันกับใจคน เวลาที่รักกันจงรักษาความรักนั้นไว้ให้ดี อย่าให้มันมีสนิมหรือสิ่งร้ายใดๆมาเกาะกิน เพราะใจคนยากแท้หยั่งถึง ทำเข็มหล่นแค่เล่มเดียวก็กระเทือนไปถึงใจ ถ้าหากท่านมีรักจงรักษาประคับประคองรักนั้นให้เนิ่นนานแสนนานเถิด

วิสัชนา อันแสงงามสว่างแท้แม้ยามค่ำ สุขเหลือล้ำสว่างจ้าแม้ไร้แสง
             แผ่รังสีส่องทางไม่โรยแรง   นั่นคือแสงแห่งธรรมชี้นำใจ



                              อวสาน



ขอบคุณทุกคนนะครับที่คอยติดตามและให้กำลังใจกันเสมอมา

ขอบคุณ พี่กานดา
ขอบคุณ น้อง มิ
ขอบคุณ knightofbabylon
ขอบคุณ น้องส้ม
ขอบคุณ พี่แก้ว
ขอบคุณ น้องญ่ากับน้องเพียว
ขอบคุณอีกหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ ถ้ายังมีไฟอยู่ในใจหวังว่าคงได้พบกันอีกเร็วๆนี้

จำกันด้วยน้า รักทุกคนครับ

ขอบคุณจากใจ อิ๊กกี้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 12-12-2010 19:15:54
จิ้มก่อนเดี๋ยวมาต่อ

จะว่าไปแล้วความรักของน้ำกับบอทนั้นเป็นตะกอนก็ตอนที่บอทเสียความทรงจำ

อ่านไปน้ำตาไหลไปพอตอนที่น้ำใส่บาตรแล้วรู้ว่าเป็นพระบอทน้ำตาหล่นเลย

แต่ก็ขอให้วารักน้ำไปนานๆแล้วกันนะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: なおみ™ ที่ 12-12-2010 19:16:34
อวสานแล้วหรอคะ เดี๋ยวขออ่านก่อนนะคะ

_________________________________

จบได้ดีนะคะคุณอิ๊กกี้ ปล่อยให้คนอ่านไปคิดต่อกันเองว่าจะป็นยังไงต่อ
ไม่ได้สรุปแน่นอนชัดเจน ที่นี้ก็เป็นเรื่องของคนอ่านแต่ละคนแล้วค่ะ

 :จุ๊บๆ: +1 ส่งท้ายสำหรับเรื่องนี้ค่ะ  
 

ขอบคุณอีกหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ ถ้ายังมีไฟอยู่ในใจหวังว่าคงได้พบกันอีกเร็วๆนี้


อย่าเพิ่งหมดไฟสิคะ แฟนๆ ติดกันขนาดนี้ น้องมิยังรออ่านเรื่องต่อไปอยู่นะคะ
หวังว่าจะได้อ่านผลงานคุณอิ๊กกี้อีกนะคะ
ถ้าเรื่องใหม่คลอดแล้วรบกวน PM มาบอกหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 12-12-2010 19:32:55
+1 ค่ะ
จบแล้วเหร่อค่ะเนี่ย
ที่จริงเค้าอยากให้จบแบบคืนดีกันมากกว่าอ่ะ ไม่ชอบความเศร้าซักเท่าไร
แต่จบแบบนี้ก็โอเคค่ะ เพราะมันอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงเนอะ
แต่ทำให้เค้าเสียน้ำตาในร้านเน็ตเนี่ย อายนะคะ  :monkeysad:
เด็กๆที่นั่งเล่นเกมอยู่ข้างๆคงคิดว่า บ้าป่าวว่ะ มานั่งร้องไห้อยู่ได้
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 12-12-2010 19:36:02
 :กอด1: :L2:เอากำลังใจมาฝาก  รอผลงานเรื่องต่อไปเป็นกำลังใจให้นะครับ :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 12-12-2010 19:48:00
แง งงงงงงง!!!!!!!  :o12:
จบแว้ววววววว  :sad4:

จบได้ดีมากค่ะคุณอิ๊ก  o13
และ การจบแบบนี้สำหรับเราแล้ว มันคือ Happy Ending นะคะ
ทางเลือกของบอทจะว่าไปก็มีไม่มากอยู่แล้ว เพราะถ้ากลับไปหาน้ำ แน่นอนว่าความรักนั้นมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ต่างคนต่างเจ็บมามากเกินทน  :เฮ้อ:
ละทางโลกเลยเป็นทางเลือกที่ถูกและดีที่สุดแล้ว จิตใจจะได้สงบสักที อีกนัยหนึ่งจะได้เป็นกุศลแก่แม่บอทที่เสียไปด้วย  :L2:
และสำหรับน้ำ ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป แต่อย่าไปจมกับความเศร้าโศกเพราะมันผ่านมาแล้วเนอะ  :กอด1:


ขอบคุณคุณอิ๊กมากค่ะ ที่แต่งเรื่องดีๆภาษางามๆเรื่องนี้ มาให้ได้อ่านกัน
ขอเป็นกำลังใจให้คุณอิ๊กต่อไปนะคะ อย่าเพิ่งท้ออย่าพิ่งถอย สู้ต่อไปค่ะ :กอด1:
จะคอยติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: blackyoyo ที่ 12-12-2010 19:55:23
เป็นสนิมที่เกาะกินหัวใจ

เศร้าอ่ะ พอเปิดเพลงคลอไปด้วย :o12:

แล้วมันร้องไห้เลย ไม่ไหวแล้วจริง

ชอบมากๆ จะอยู่ในใจ ไปตลอด กดLIKE ตลอดไปเลย o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: WhatLoveIs ที่ 12-12-2010 20:02:21
คำว่าจบพูดเบาๆ ก็เจ็บ (แหะๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเลย)

ขอบคุณคุณอิ๊กมากนะคะ

อ่านจบแล้วแต่ยังเจ็บค้างๆ อยู่นิดๆ
แต่ก็เป็นสิ่งดีค่ะ เพราะว่าชีวิตจริง คงไม่มีอะไรที่สุขสมหวังตลอด
แต่ละสิ่งที่เกิดมาจากสิ่งที่ทำทั้งสิ้น

ขอเป็นกำลังใจให้สมำหรับทุกๆ สิ่งที่ทำนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 12-12-2010 20:11:45
พระบอทตัดสินใจถูกแล้ว.....หลาย ๆ อย่างที่กระทำหากไม่ได้พระธรรมเข้าปัดเป่าคงจะอยู่เป็นปกติสุขไม่ได้
น้องน้ำยังมีคนที่ดีอย่างวายุอยู่เคียงข้าง......สักวันน้องน้ำคงจะได้พบความสุขอีกครั้ง.......
ขอบคุณน้องอิ๊กสำหรับนิยายดี ๆ เรื่องนี้.......สนุก....ซึ้ง....เศร้า.....และจบแบบมีความหวังในใจ....

 :L2: เป็นกำลังใจให้น้องอิ๊กต่อไป :กอด1:  :pig4:
สมองตันก็พักสักระยะ.....ถ้ายังไงพี่ยังรออ่านนิยายดี ๆ ของน้องอิ๊กอยู่นะจ๊ะ....
รักกัน ๆ เสมอจ้า.... :L1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 12-12-2010 20:17:14
พี่อิ๊กครับขอบคุณครับ ที่มาปิดเรื่องนี้ให้
ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนที่หวังใว้ แต่ความเป็นจริงชีวิตคนเราน่าจะเป็นแบบนั้น
ก็ยังไม่ค่อนรู้เท่าใหร่หรอกครับเกี่ยวกับชีวิต
ขอบคุณพี่อิ๊กอีกครั้งนะครับที่กลั่นกรองนิยายดีๆม่ให้อ่านไม่ขาดสาย
และยังจะรอนิยายของพี่อิ๊กอยู่ทุกเรื่องต่อๆไปนะคับ
และหวังว่าให้พี่อิ๊กที่น่ารักมีไฟในหัวใจเร็วๆนะครับ
สิ่งที่เสียไปถ้าเราไม่ปิดกันตัวเองซะ สิ่งใหม่ๆก็จะเข้ามาตลอดละครับ  ส้มคิดแบบนี้นะครับพี่อิ๊ก
อยากให้พี่อิ๊กคิดบวกใว้ ทำใจให้สบายหายใจลึกๆ  แล้วเวลาตื่นขึ้นตอนเช้าหันมามองกระจกก็ยิ้มให้กับตัวเองซะ  
เหมือนอย่างที่พี่อิ๊กเขียนในนิยายของพี่นั่นแหละ รักตัวเองให้มากๆ
ไม่รู้เม้นต์อะไรมั่วแล้ว แต่อยากให้พี่อิ๊กยิ้มได้เร็วที่สุดครับ
ขอบคุณอีกครั้งคับพี่อิ๊ก
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 12-12-2010 20:36:20
อ่านไปน้ำตาไหลพราก เลยนะ ตอนที่พระพูดนะ :m15:


โอ้ย.......เรื่องนี้ ปวดใจพอๆ กับน้องภูมิพี่โตโต้

เลยนะจ๊ะ

สุดท้าบขอบคุณ คุณอิ๊กกี้ กับนิยาย ดีๆ ที่มีให้กัน :3123:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๓๙ (ธันวาคม ๖, ๒๕๕๓) หน้า ๒๙
เริ่มหัวข้อโดย: comprivate ที่ 12-12-2010 20:43:11
เข้ามาขอโทษทุกๆคนที่รอนะครับ

จะรอไหมถ้าผมจะบอกว่า ผมหมดแรงบันดาลใจแล้ว

ผมทำอะไรไม่ได้เลย เป็นอะไรไม่รู้ แต่รู้ว่าสมองกลวง

เสียใจนะครับที่เป็นแบบนี้ จะพยายามคืนกลับมาให้เร็วที่สุด


ขอบคุณทุกกำลังใจ


ขอบคุณครับ

อิ๊กกี้

เป็นเรื่องความรักหรือเปล่าครับ ขอโทษนะครับถ้าพูดในสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจ แต่อยากให้กำลังใจนะครับ อย่าพึ่งท้อแท้ ชีวิตคนเราบางทีมันก็เหมือน
นิยายนะครับ มีตั้งหลายครั้งที่คนที่ใช่ อาจจะไม่ใช่คนแรกนะครับ สู้ๆๆ เป็นกำลังใจให้

คุณมีพรสวรรค์ด้านการแต่งนิยายดีมากๆนะครับ แถมหลากหลายรูปแบบด้วย ดราม่าก็ดราม่าได้ใจ หวานก็หวานได้น่ารัก ชื่นชมนะครับ อย่าพึ่งหมดกำลังใจ
นิยายของคุณช่วยทำให้หลายๆคนในเว็บนี้มีความสุขได้นะครับ ^^
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 12-12-2010 20:51:34

เป็นเรื่องความรักหรือเปล่าครับ ขอโทษนะครับถ้าพูดในสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจ แต่อยากให้กำลังใจนะครับ อย่าพึ่งท้อแท้ ชีวิตคนเราบางทีมันก็เหมือน
นิยายนะครับ มีตั้งหลายครั้งที่คนที่ใช่ อาจจะไม่ใช่คนแรกนะครับ สู้ๆๆ เป็นกำลังใจให้

คุณมีพรสวรรค์ด้านการแต่งนิยายดีมากๆนะครับ แถมหลากหลายรูปแบบด้วย ดราม่าก็ดราม่าได้ใจ หวานก็หวานได้น่ารัก ชื่นชมนะครับ อย่าพึ่งหมดกำลังใจ
นิยายของคุณช่วยทำให้หลายๆคนในเว็บนี้มีความสุขได้นะครับ ^^

ไม่ใช่เรื่องความรักหรอกคร้าบ อยู่มาจนป่านนี้แล้วรู้ว่าความรักมันเหมือนในนิยาย เหมือนตอนท้ายของคุณอ่ะครับ ความรักเหมือน ทรีจี มีจริงแต่ยังไม่มา อิอิ
คือเพื่อนๆเขาลงความเห็นว่าผมคงเหงา เพราะแต่ก่อนอยู่กับเพื่อน แต่เพื่อนซื้อคอนโดฯไปอยู่กับฝามี อิอิ (เผาเพื่อนเลยนะเนี่ย) ก็เลยเหมือนจะเหงาอ่ะครับ พอมาเขียนนิยายก็เขียนไม่ออก

แต่ขอบคุณมากสำหรับคำพูดดีๆ ที่ว่านิยายของผมทำให้ใครหลายคนในเว็บมีความสุข แค่นี้ก็ดีใจล่ะครับ ขอบคุณน้า จุ๊บๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 12-12-2010 21:03:49
 :L2:มอบดอกไม้ให้คุณอิ๊กกี้คนแต่งก่อน :L2:

 :m15:คิดไว้แล้วว่าจะต้องจบแบบนี้ แต่ก็ไม่วายร้องไห้อยู่ดี เพราะว่ามันเศร้าเหลือเกิน รักกันแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ :m15:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 12-12-2010 21:18:34
ในทุกเรื่องของปัญหามันมีทางออกของมันเสมอ
แม้แต่บางเรื่องของใจ
 
จบดี จบสวย จบบริบูรณ์
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 12-12-2010 21:42:06
 :a5: ตกใจนิดๆ ที่เห็นตอนอวสาน (ไม่นึกว่าจะจบเร็ว)




จบได้เยี่ยมค่ะคุณอิ๊ก ถึงจะไม่เหมือนที่เราคิดไว้ (เพราะเราคิดว่าน้ำกับบอทจะกลับมาคู่กันน่ะ ฮ่าๆ)
แต่จบแบบนี้ เราว่าเยี่ยมอ่ะ  o13
เหมือนเป็นทางออกที่ดีที่สุด



ขอบคุณมากนะคะ มีเรื่องต่อไปข่วยบอกด้วย จะมาตามอ่านค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 12-12-2010 22:30:11
อ๊ากๆๆๆ

เศร้าอ่าๆ

T^T

อ่านไปร้องไห้ไปโดยเฉพาะตอนพระ

จนเร็วมากๆ อ่า แบบไม่คาดคิดเลย

แต่ก็ประทับใจนะ ฮ่าๆ ติดตามาซะนาน

ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะพี่อิ๊ค

รอติดตามอ่านเรื่องหน้านะ อย่าหมดไฟล่ะ

แต่ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ คนอ่านใจสลายๆ เลยง่ะ

เรื่อต่อไปมาเมื่อไหร่บอกด้วยน้าส์ เค้าจะรอ

อย่าลืมแฟนคลับ จิมมี คนนี้นะ ไม่งั้นเค้ามีงอน

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 12-12-2010 23:22:31
จบแบบเศร้าๆ  :sad11:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 12-12-2010 23:24:28
+1 สำหรับตอนจบสุดประทับใจมากๆ คิดแล้วหละว่าบอทต้องบวชแน่เลยแต่ไม่คิดว่าจะตัดจบไปแค่แสงธรรมนำใจ หุหุ

แต่ถึงในนิยายจะจบไปแบบนี้แต่ในใจยังไงเราก็ว่าสองคนนี้คู่กันตลอดอยู่ดี

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีดี ที่มีหลายหลายอารมณ์ ทั้งยิ้ม ทั้งขำนิดๆหน่อยๆ ทั้งเศร้าน้ำตาแตก


แล้วจะรอติดตามผลงานต่อๆไปอีกนะคะ

ปล.ขอไว้ก่อนเรื่องหน้าๆขอแบบรักใสๆได้มะ  :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 13-12-2010 00:08:20
ขอบคุณคุณอิ๊กกี้มากๆค่ะสำหรับเรื่องดีๆเรื่องนี้
โดยส่วนตัวแล้วจะไม่ค่อยชอบอ่านอะไรที่มันดราม่่า บีบคั้นหัวใจ แต่พออ่านเรื่องนี้แล้วแปลกแฮะ มันน่าติดตาม ทำให้อยากรู้ตอนต่อไปเรื่อยๆ
เรื่องนี้ใช้คำสวยนะคะ และจบเนื้อเรื่องได้ดีมากค่ะ  o13

ยังไงก็ไม่ลืมคุณอิ๊กกี้อยู่แล้ว เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 13-12-2010 00:16:32
อ่านไปน้ำตาไหลพรากๆ ตลอดๆ
จบโอเครแล้วสำหรับเค้านะ
แบบนี้หล่ะ
เวลาจะช่วยทุกอย่างให้ดีขึ้น
แม้ว่ามันจะนานแค่ไหน
หวังว่าน้ำคงเดินต่อไปได้
ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับวา

โอ้ยยย ถึงตอนนี้น้ำตายังไ่ม่หยุดไหล
ขอบคุณมากค่ะคุณอิ๊ก ขอบคุณจริงๆ :L2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Monkzaa ที่ 13-12-2010 09:19:17
โห น้อยใจเจงๆ เป็นเรื่องที่ดีมากคับ ขอบคุณมากๆนะคับ
แล้วพระจะลาสิกขาไหมคับ [ภาค2อ่ะคับ]

 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: I_HAM_NOI ที่ 13-12-2010 11:29:27
 :z3:  โหจบแบบน้ำตานองหน้าอีกและ  ปวดใจ ปวดตับ ปวดไต ไปหมดและ :sad4: 
แต่ก็ดีจบแบบหักมุมชีวิตจะได้มีอะไรให้ตื่นเต้น  ถ้าจบแบบHAPPY มันจะเดาทางง่ายไป
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 13-12-2010 11:53:38


อ้าววววววว...

ยังเก็บตกไม่ถึงใหน  จบสะแล้วหรอนี่



รักพี่อิ้กกี้นะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 13-12-2010 17:40:07
ในที่สุดก็จบลงแล้วด้วยดี ถึงจะเป็นนิยายแต่ก็ไม่ได้จบแบบนิยาย
คือมันจบแบบมีความน่าจะเป็นค่ะน้องอิ๊ก
ขอบคุณน้องอิ๊กมาก สำหรับเวลาที่ผ่านมา
และสิ่งดีๆที่น้องอิ๊กมีให้ทุกคน
ฟังน้ำเสียงน้องอิ๊ก คิดว่าเข้าใจน้องอิ๊กนะ
เอาน่ะ พักสักครู่ หยุดนิ่งๆสักพัก แล้วรอให้ช่วงเวลานี้มันผ่านไป
ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ไม่มีสิ่งใดจะอยู่จีรังตลอดไปหรอกจ้ะ
แม้แต่ความเหงา ไม่นานมันก็จะสลายไป มีความรู้สึกใหม่ดีๆเข้ามาแทน
เชื่อว่า คนมากความสามารถเช่นน้องอิ๊กน่ะ เชื้อไฟไม่มีวันสิ้นหรอกจ้ะ
อาจจะแค่เปลวไฟมอดดับบ้าง เมื่อเจอแรงลมกรรโชก แต่ถ่านแดงๆจะยังกรุ่นอยู่
พร้อมที่จะลุกเป็นเปลวได้อีก เมื่อมีสิ่งกระตุ้น พี่แก้วขออยู่ข้างๆด้วยคนนะจ๊ะ

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: lazewcielo ที่ 13-12-2010 18:34:54
เป็นการจบ HappyEnding แบบเศร้านิดๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 13-12-2010 19:37:23

เป็นการจบที่ชอบมาอ่ะพี่อิ๊กกี้
จบแบบนี้ดูมีความสุขและเหมาะสมกับเรื่องนี้ที่สุดแร้วล่ะ

ไม่รู้สิ  อธิบายไม่ถูกเลย รู้สึกอิ่ม
การที่บอทเลือกที่จะบวชมันเป็นอะไรที่ดีสุดๆอ่ะ เพราะตัวเองทำให้คนที่เกิดตัวเองมาและคนที่รักตัวเองมากที่สุด
ต้องเสียใจ เพราะกิเลสตัณหาชั่วข้ามคืน
ถ้าบอทจะกลับมาคืนดีกับน้ำแล้วง้อน้ำนี่เป็นการจบที่ไม่มีอะไรเลยจริงๆ
แต่จบแบบนี้เริ่ดอ่ะ

ตอนแรกเห็นคำว่าอวสาน แอบคิดว่าต้องจบแบบห้วนๆแน่
แต่ตอนนี้คิดว่าตัวเองดูถูดฝีมือพี่อิ๊กกี้ไปจริงๆ
เริ่ดที่สุด

+1ครับ  ญ่ารักเรื่องนี้จัง (แม้จะปวดใจมากก็ตาม) :laugh:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 13-12-2010 19:53:12
เศร้า  :o12:

บอทใจร้ายมากๆๆๆ แต่อย่างน้อยก็ดีตรงที่เปิดใจคุยกัน ไม่หลอกว่าหมอดรักกันแล้ว

เอาใจช่วยวายุ ขอให้ชนะใจน้ำได้เร็วๆ (ในภาค 2 :impress2:  )
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 14-12-2010 00:02:09
อวสานแล้ววววววว!!!
น้ำตาซึมเลยทีเดียว ในที่สุดบอทก็หาหนทางของตัวเองเจอซะที
สงสารน้ำ.....รับรู้ เข้าใจ แต่ยากจะทำใจ
หวังว่าน้ำจะได้เจอกับหนทางของตัวเองด้วยเหมือนกัน ทางที่เลือกด้วยหัวใจของตนเองอย่างแท้จริง^^
ส่วนพ่อวายุ คนโปรดของอิชั้น.......คงไม่ต้องมีคำบรรยายใดใด เพราะจนตอนนี้ก้อยังน่ารักน่าปลื้มน่าชื่นชมเหมือนเดิม
พ่อคุณช่างซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง แม้จะเจ็บแต่ก็ไม่เคยหนีปัญหา กดไลค์ให้หมื่นครั้ง!!!
สุดท้ายนี้ ขอบคุณคุณอิ๊กกี้มากๆเลยค่ะ สำหรับเรื่องราวดีๆที่น่าประทับใจเรื่องนี้ จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ^^
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 14-12-2010 15:25:34
ขอบคุณอิ๊กครับสำหรับเรื่องดีๆที่นำมาให้อ่านกัน ยอมรับว่าใจหายที่เรื่องจบแบบนี้ แต่มันก็อาจเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนครับ ยอมรับว่ามันตื้อ เมนท์ไม่ออก แต่หวังว่าอิ๊กคงมีแรงใจผลิตเรื่องดีๆมาให้พวกเราได้อ่านอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 15-12-2010 23:06:42
เกือบลืม...
จริงๆแอบอยากรู้ความเป็นไปของไม้จัง แบบว่าอยากเห็นผลจากการกระทำของเค้าบ้าง
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 16-12-2010 14:13:39
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 16-12-2010 17:13:18
ซึ้ง..น้ำตาซึมสำหรับตอนจบ
+1
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 16-12-2010 17:23:34
พี่อิ๊ก  หวัดดีคับ
ไม่รู้เป็นไรเนาะ ใครๆก็เข้ามาจะเอาแต่ภาค 2 เนาะพี่อิ๊กเนาะ อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 16-12-2010 21:09:26
พี่อิ๊ก  หวัดดีคับ
ไม่รู้เป็นไรเนาะ ใครๆก็เข้ามาจะเอาแต่ภาค 2 เนาะพี่อิ๊กเนาะ อิอิ

จะเอาภาคสองหรือว่าอยากจะอ่านเรื่องใหม่น้า น้องส้ม อิอิ

ไหนใครอยากจะอ่านเรื่องใหม่ ยกมือขึ้น
เรื่องใหม่กำลังจะคลอดแล้วน้า ตอนนี้แค่เหนื่อยๆ ขอตั้งสติสักแป๊บ

หรือว่าเดือนนี้มีใครเกิดไหม อิอิ จะให้เป็นของขวัญวันเกิด

จุ๊บๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 16-12-2010 21:16:03
เค้ารอเรื่องใหม่นะ

ขอแบบนางเอกร้ายๆ ง่ะ


 :impress2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: kanda53 ที่ 17-12-2010 11:12:14
น้องอิ๊ก....ไหวแล้วเหรอ...
คนมันมีไฟเนอะ....พักแป๊บ ๆ ก็ พรึ่บพรับขึ้นมาแระ...
ยังไงก็ได้น้องอิ๊กจัดมาเหอะ.....แต่แอบคิดถึงน้องน้ำน้า....
ขอตอนพิเศษหวาน ๆ ของน้องน้ำ ก่อนอำลาได้ม๊ะจ๊ะ...(ถ้าคิดออกนะ)
 :กอด1: :bye2:

หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 17-12-2010 13:00:15
เดือนนี้ผมเกิด

ขอเรื่องใหม่ด้วย ต้องแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไหมครับนั้น

9 ธันวาคม พ.ศ. ขออุบไว้ได้ไหมนั่น
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 20-12-2010 21:05:49
ในที่สุดก็จบลงแล้วด้วยดี ถึงจะเป็นนิยายแต่ก็ไม่ได้จบแบบนิยาย
คือมันจบแบบมีความน่าจะเป็นค่ะน้องอิ๊ก
ขอบคุณน้องอิ๊กมาก สำหรับเวลาที่ผ่านมา
และสิ่งดีๆที่น้องอิ๊กมีให้ทุกคน
ฟังน้ำเสียงน้องอิ๊ก คิดว่าเข้าใจน้องอิ๊กนะ
เอาน่ะ พักสักครู่ หยุดนิ่งๆสักพัก แล้วรอให้ช่วงเวลานี้มันผ่านไป
ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ไม่มีสิ่งใดจะอยู่จีรังตลอดไปหรอกจ้ะ
แม้แต่ความเหงา ไม่นานมันก็จะสลายไป มีความรู้สึกใหม่ดีๆเข้ามาแทน
เชื่อว่า คนมากความสามารถเช่นน้องอิ๊กน่ะ เชื้อไฟไม่มีวันสิ้นหรอกจ้ะ
อาจจะแค่เปลวไฟมอดดับบ้าง เมื่อเจอแรงลมกรรโชก แต่ถ่านแดงๆจะยังกรุ่นอยู่
พร้อมที่จะลุกเป็นเปลวได้อีก เมื่อมีสิ่งกระตุ้น พี่แก้วขออยู่ข้างๆด้วยคนนะจ๊ะ



เพิ่งเข้ามาดูนิยายเรื่องนี้หลังจากที่ดาวน์ไปหลายวัน
พี่แก้วเชื่อไหมตอนนั้นผมไม่ไหวจริงๆนะ ตอนที่เพ้อไป ฮ่าๆๆ
นั่งหน้าคอมฯก็ถอนหายใจอย่างเดียว
ผมเป็นคนเอาแต่ใจนะที่จริงแล้ว มากๆ เวลาไม่มีเพื่อนเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่ามันเหงา
ไม่เกี่ยวกับแฟนนะ ปกติผมไม่ค่อยติดแฟน เพราะม่ายมี ฮ่าๆๆๆ
แต่ถึงมีก็ไม่ติดเท่าเพื่อน อย่างเพื่อนคนที่ย้ายออกไปนี่ เวลาอยู่ห้อง แม้จะอยู่คนละส่วนไม่ได้คุยอะไรกันมากนะ แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่ามีเพื่อนอยู่ไม่เหงา แต่พอมันไม่อยู่ โอ้นะ เหงา เพิ่งรู้สึกจากที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว ฮ่าๆๆ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมาก เพราะสวดมนต์ทุกวัน ผีเลยออก ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณนะครับพี่แก้ว ทุกคนด้วยที่คอยให้กำลังใจ

ตอนเป็นทหารทรมานกว่านี้อีกนะจะบอก ฮ่าๆๆๆ
แค่นี้ จิ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 20-12-2010 21:11:17
ซมซานทรมารมานานหลายปี
ขาดคนเมตตาปราณี

อะไรต่อก็ไม่รู้ลืมไปแระ 555


เหนื่อยกายพักผ่อนบ้างก็คลายได้

แต่เหนื่อยใจ พักนานๆๆๆ ก็หายได้เหมือนกัน

แต่ถ้าเหงาใจ จะทำยังไงกันดีล่ะ คริๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 22-12-2010 19:02:31
ตอนจบสุดยอดมากๆค่ะ ชอบค่ะถึงจะอ่านไปร้องไห้ไปก็เถอะ

อยากอ่านภาคสองอ่ะ 

ขอบคุณพี่อิ๊กนะค่ะที่มีเรื่องดีๆมาให้อ่าน :bye2:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 22-12-2010 20:30:47
แวะมาบอกอิกกี้ว่า
ป้าก็งานเข้า
เจอนายสั่งให้โชว์การแสดงในงานเลี้ยงของบริษัท
เหมือนกัน 555
ก็เลยขุดเพลงประจำชาติเกย์ ไอ วิว เชอร์ไวน์ เวอร์ชั่น
หมอลำ ออกมาโชว์ซะ
แถมมีเวลาซ้อม 3 วัน 555 กรรมของตรู
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: mayuree ที่ 26-12-2010 19:17:47
อืม...ความจำเสื่อมเนี่ย มันไม่สามารถเปลี่ยนสันดานคนได้หรอกนะ
สิ่งที่บอททำมันเป็นจิตใต้สำนึกและตัวตนที่แท้จริงอีกภาคหนึ่ง คนที่เห็นแก่ตัว รักสบาย กลัวลำบาก
จะว่าสงสารน้ำก็ไม่ใช่อีกแหละ ก็น้ำเลือกรักเลือกเจ็บเลือกยอมเค้าเอง ไม่มีใครบังคับนี่น่ะ
สุดท้ายก็ถือว่าจบลงโดยดีเหมือนกันแหละนะ รักมันเลือกไม่ได้แต่เราเลือกที่จะรักได้เนี่ยเรื่องจริง!
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 26-12-2010 22:38:47
ง่าาา เพิ่งมีโอกาสได้อ่านน 2 ตอนสุดท้ายย

ชีวิตนี้อะไรมันก็ไม่แน่นอน ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม

แล้วแต่มันจะเกิดขึ้นมา

แต่ให้ตายสิ ถึงแม้จะรู้ว่า การลาไปอยู่ใต้ร่มกาสาวภักดิ์มันจะเป็นสิ่งที่ดี

แต่ก็ไม่ชอบเลย เหอ ๆๆ

ไปอ่านเรื่องต่อไปดีกว่าา อิอิ เรื่องต่อไปนายเอกร้ายกว่าภูมิเลยใช่มั๊ยพี่อิ๊ก อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 01-01-2011 14:36:41
มาอ่านแล้วรู้ว่าเศร้า เลยอ่านไม่จบ ไม่ว่ากันนะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: min_min ที่ 01-01-2011 15:42:51
ปวดตับ  กั๊ดอ๋ก

ปล. หัวใจถวายวัด  แต่ตัวฉันนอนอยู่กับเจ้าอาวาส 5555
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: i-tatae ที่ 02-01-2011 00:03:07
 :L2: :L2:
ดอกไม้เป็นกำลังใจให้นักเขียนครับ : )
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดีที่เขียนมาให้อ่านน่ะครับ

จะคอยติดตามผลงานต่อไปน่ะครับ

ปล.เสียน้ำตาไปด้วยอะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: clubza ที่ 04-01-2011 02:01:58
พระบอทเห็นเเก่ตัว  ตัดช่องน้อยเเต่พอตัว
สงสารทั้ง 2 คนนะ เหมือนกรรมเก่าตามมาทัน
ทำให้ไม่สมหวังในรัก ทั้งที่ยังรักกัน

ชมพี่อิ๊กเขียนได้บีบคั้นอารมณ์มากๆ ไม่ว่าพี่จะเขียนจากเรื่องจริง
ที่พบเจอกับตัวเองหรือคนอื่นมา เรื่องนี้เเรกๆหวานสุดๆ พอเศร้าน้ำตาไหลพลากเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 04-01-2011 06:29:37
น่าเสียดายจังครับคบกันมามีความรู้สึกดีๆให้กันตั้งแต่เด็ก
แต่กับมาเสียความทรงจำตามฉบับนิยายเกาหลีและไทยนิดหน่อย
ถ้าชีวิตจิงใครเป็นแบบนี้คงทรมาณน่าดู
อยากให้มีตอนพิเศษเนาะแบบว่าให้พระบอทสึกชะ(บาปปะครับ แต่อยากให้ศึกอะ)
แล้วกลับมารักกันแบบเดิม
เรื่องนี้ร้องไห้ไม่ออกเป็นไรไม่รู้แต่มันแค้นมากกว่ามั้งเลยไม่มีน้ำตาสักหยด
จึงอยากให้กลับมารักกันเรียนจบสร้างอนาคตไหม่ส่วน วา อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ(น่าสงสาร)

แต่ก็สนุกดีครับ ขอบคุณมากนะคราบที่แต่งมาให้อ่านกัน :3123: :3123: :L1: :L1:   
                             :เฮ้อ:อยากให้พระบอทสึกจัง นิยายคงไม่บาปมั้งเนาะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 05-01-2011 17:37:54
จบเศร้าT^T
ชอบเรื่องนี้ที่เขียนแล้วเห็นภาพ อักขระสวย^W^
เป็นเนื้อเรื่องที่ไปเรื่อยๆไม่เร่งรีบ สนุกมาก^^
ขอบคุณมากจ้า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Monkzaa ที่ 07-01-2011 09:32:18
ปวดใจ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 08-01-2011 17:03:06
ต่างคนก็ต่างจิตต่างใจเนอะ
จริงๆแอบขัดใจน้ำตอนจบ
แบบเป็นตัวละครที่มีลักษณะนิสัยบูชาความรักเป็นที่ยิ่ง


แต่พอเดาได้ว่าบอทต้องบวชแหง๋ๆ

จบได้สวยงามมาก
สนุกดีฮับ

ขอบคุณ~
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 13-01-2011 07:14:39
แอบมาอ่านตอนจบ ช่วงที่เค้าปวดตับเราหนี อ่านตอนจบแล้วย้อยไปอ่านที่เหลือ  :เฮ้อ:
พูดไม่ออก ใจจริงคือ เทใจให้บอท แต่ก็นะ วาก็ดีเหลือเกิน ปกติ พี่เบิร์ดบอกว่าเป็นคนดีแล้วมันไม่มีใคร

ถ้าภาคสองมี เดี๋ยวจะไปสึกพระ มาให้น้องน้ำ นะ แล้ว หาคู่ดีๆให้วาสักคน เพราะถึงจะให้คู่น้ำต่อไป
มันก็มีติดใจแหละ เพราะงั้น วาต้องเจอคนที่รักวาบ้าง อิอิ หาพล๊อตใหม่ให้อิ๊คกี้ซะเลย

จะไม่ลองเปลี่ยนแนวหวานน้ำตาลหยดบ้างหรอ อย่าซ้ำแนวเดิมบ่อยๆจิ พี่เครียด

เรื่องนี้จบได้ดีมากเลย +1  o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: ♫~Eristneth~♪ ที่ 23-04-2011 00:37:09
 :เฮ้อ:

 :o12: :o12: :o12:

ว่าเเล้วว่าทำไม มันมีตั้ง 40 ตอน

เพราะ สมหวังกันหน้าเเรกๆ เเละหลังๆ  :sad2:

ไม่คิดไม่ฝันว่าจะจบเเบบนี้  o22
 :sad4:

รักวามาก โผล่มาซะหลังเลย

อ่านตอนที่บอทเปลี่ยนอยากจะดักตีหัว  :fcuk: เ พ ร า ะ  โ ก ธ ร ม า ก

ส่วนไม้ต้องจับไปโยนลงน้ำ หลุดกรี๊ดออกมาได้  :fire:


สนุกมากค่ะ 
:m4:
o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: ♫~Eristneth~♪ ที่ 23-04-2011 00:38:44
เเต่ลืมบอกไป

เพื่อนของน้ำอะ ชอบทุกคนเลย

เป็นคนดีมาก อยากได้เพื่อนอย่างนี้  o13 o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 25-04-2011 20:18:08
เห็นชื่อแล้วก็ลังเลอยู่นานว่าจะเข้ามาอ่านดีหรือไม่ เมื่อเข้ามาอ่านแล้วก็ใช้เวลาทั้งคืนจนถึงตอนจบ เรียกว่าอ่านรวดเดียวเลย. เป็นเรื่องที่บีบคั้นหัวใจมากค่ะ อยากจะด่าบอทนะคะ แต่ไม่เอาดีกว่า...เพราะท่านเป็นพระอยู่ ด่าไปเดี๋ยวบาป.

จริงๆแล้วคุณอิ๊กจบเรื่องนี้ได้ดีมากนะคะ เรียกว่า "จบดีมาก" แต่มันเหมือนเป็นตอนจบที่ไม่จบ เพราะตอนจบแบบนี้ทิ้งปมไว้ให้มีภาคต่อ (นั่นก็คือเรียกร้องภาคต่อนั่นเอง แอร๊ย เขินค่ะ :laugh:) เรียกว่านิยายจบ แต่อารมณ์คนอ่านไม่จบค่ะ แม้จะรู้ว่าต้องบาปที่จะพูดแบบนี้...แต่ดิฉันก็ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะต้องการให้ทั้งบอทและน้ำได้อยู่ด้วยกัน เพราะการที่ทั้งสองคนรักกันแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ มันเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุดเลยค่ะ

คิดว่า...หากรักกันครั้งใหม่ ทุกอย่างจะดีขึ้นกว่าเดิม อยากอ่านภาคสองจังเลยค่ะคุณอิ๊ก

 :กอด1: คุณอิ๊กนะคะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: debubly ที่ 27-04-2011 14:34:32
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: cy55555 ที่ 28-04-2011 09:01:43
เรื่องของคุณอิ๊กกี้ อ่านมาหมดทุกเรื่องเลยค่ะ
แต่มาจอดที่เรื่องนี้ไม่กล้าอ่าน น้ำตานองแน่ๆ
แค่อ่านคอมเม้นต์ก็อินตามไปแล้ว ดังนั้นเรื่องขอข้ามค่ะ  ฮ่าๆๆๆ
ไปอ่านเรื่องต่อของนางร้ายดีฟ่า  อิอิ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Saint De Jupiter ที่ 07-05-2011 07:39:20
 o13
 :L2:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: obab ที่ 08-09-2011 02:51:35
:') ซึ้งมากเลยค่ะ

เขียนออกมาได้ดีจัง จบแบบนี้ดูเรียลมาก
เพราะชีวิตคน คงไม่สามารถเลือกตอนจบแบบมีความสุขที่สุดได้
แต่เลือกได้แค่ตอนจบที่ดีที่สุด เน๊อะ ^^


:)
THANKS
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Chk~a ที่ 11-09-2011 23:48:35
เขียนได้ซึ้ง บีบใจมาก
แค่อ่านตอนจบอย่างเดียว ก้อบีบซะน้ำตาจะแตก
ไม่รู้จะสงสารใครดีเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Homepage ที่ 26-12-2011 19:27:26
เศร้า .. ยอมรับว่าความรู้สึกแรกที่อ่านจบคือเศร้า แต่เศร้าแบบไม่มีน้ำตา
นิยายเรื่องนี้ทำให้ได้รับรู้ว่าความรักไม่มีทางสมหวังกันทุกคน ได้อะไรขึ้นมาเยอะมากจากเรื่องนี้
อยากรู้จังว่าถ้าหลังจากนี้น้ำกลับมาเจอพระบอทอีกครั้ง น้ำจะมีความรู้สึกเป็นเช่นไร ?

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่นำมาถ่ายทอด จะติดตามผลงานตลอดไป :)  :L1:  :L1:  :L1:  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: LM1412 ที่ 31-07-2012 15:49:47
แงงงงงงงง ทำไมไม่คืนดีกันอ่ะ :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: nong PeePee ที่ 03-08-2012 05:19:23
ฮืออออออออออออออออออออออออ :m15:
มาม่าได้อีก:(สงสารบอทแต่น้ำน่าสงสารมากกว่า
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 05-08-2012 06:37:59
จบแบบไม่แฮปปี้เอนดิ้งเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: saintangel ที่ 05-08-2012 16:18:31
 o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: โดดเดี่ยวแต่ไม่ ที่ 09-08-2012 18:59:05
อ่านถึงหน้า14แล้ว แปะไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: โดดเดี่ยวแต่ไม่ ที่ 13-08-2012 10:12:06
อ่านไปร้องไห้ ถึงความเจ็บที่น้ำได้รับ ความทรมานที่น้ำได้รับ
เหมือนกับตัวเราที่ได้รับความเจ็บปวด แต่คนที่เราอยู่นั้นไม่ได้
เสียความทรงจำแต่เขาตั้งใจทำ และทรมานสุดๆๆ เพราะควารัก
เราจึงให้อภัยคนที่เรารักได้ แต่กว่าจะผ่านมาได้มันทรมานมากๆๆ
ความรักนั้นคือสิ่งสวยงามแต่หนทางทั้งหมดแล้วล้วนแต่มีวิบากกรรม
มาด้วยกันทั้งสิ้นสิ่งที่ดีที่สุดนั้น คือการเห็นคนรักเรามีความสุขไม่ว่าจะทางธรรม
หรือว่าทางโลก ขอบคุณอิ๊กกี้ ที่เล่าสิ่งดีๆให้ได้อ่านกันอีกครั้งเป็นนิยาย
ที่เจ็บมากๆๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 21-02-2013 05:26:58
เศร้าที่สุด มันตื้อในอกไปหมด อ่านไประทมไป ไม่ได้มีน้ำตาไหลแต่รู้สึกหนักๆเหมือนร้องไห้มาแล้ว 3 วัน แต่ชอบมากนะคุณ eiky
บทบรรยายเรื่องนี้โดดเด่นจริงๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าเรื่องนี้จับอารมณ์คนอ่านชะงัดนัก o7 o13
ตอนอวสานถือเป็นตอนที่ประทับใจในการอ่านมากที่สุด บทพูดของพระบอทกระทบความรู้สึกและคลี่คลายตัวละครได้ดีจริงๆ //ขอบอกว่า อารมณ์คนอ่านช่วงนั้นนี่ตามหนูน้ำไปเลยนะ ถูกตัวหนังสือดึงโน้มเต็มๆ สนุกมากเลยคุณ

ตอนอื่นที่ชอบการวางอารมณ์ ก็มี ช่วงที่แม่นิ่มป่วยจนเสียจนเผา, ช่วงบอทความจำเสื่อมแต่ทำเป็นจำได้-ภาวะซ่อนเร้น อึมครึม อ่านแล้วรู้สึกระแวงตลอดเวลา สนุกดี, ช่วงวัยเรียนที่มีกิจกรรมกับเพื่อนๆ, ส่วนภาพชีวิตชนบท อันนี้มาวินเลย อ่านแล้วอยากลองกินแบบที่ตัวละครกินบ้าง อยากลองทำอาหารหรือน้ำพริกสูตรแปลกๆดูบ้างด้วย (แบบตอนน้องโย Boy's Story ทำน้ำพริกไก่เหลืออ่ะ น่าสนใจ 555)   

...แต่เรื่องนี้ผู้อ่านคนนี้คงไม่สามารถอ่านได้หลายรอบ เป็นความประทับใจในความเจ็บ ที่จดจำได้ดี...ที่ไม่ต้องการๆเจ็บซ้ำ (งงๆนะ) //อาการนี้เคยเป็นแต่กับหนัง เช่น Vanilla Sky, Being John Malkovich, Crime of the Century ประมาณนี้
ว่าแล้วก็กระโดดไปอ่านเรื่องต่อไปของคุณ eiky ดีฝ่า กรี๊ดๆ :oni1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: มือซ้าย ที่ 21-02-2013 07:24:39
 o13 :z13:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Secrets ที่ 28-03-2013 05:10:51
ขอบคุณนะครับสำหรับนิยายดีๆ มีข้อคิดแบบนี้
เขียนได้ดีจริงๆครับ ขอชม
มีผลงานออกมาเรื่อยๆนะครับ
ผมจะรอติดตาม
 o13
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: doodee ที่ 31-03-2013 23:16:50
 :o12: อ่านจบภายใน1 วันไม่เป็นอันทำอะไรชอบมาก
ถึึงแม้ว่าตอนจบจะไม่เป็นอย่างที่หวังไว้แต่ก็ถือว่าจบได้ดีมากครับ

ผมคนนึงที่เป็นอีสานและจากที่อ่านมาทั้งหมด บอท กับ น้ำ คงเป็นคนยโสธร
เพราะผมเองก็เป็นคนจังหวัดนี้เหมือนกันเมื่อได้อ่านจึงรู้สึกประทับใจมากเป็นพิเศษ
อยากรู้จังว่าว่าพี่ผู้แต่งเป็นคนยโสรึป่าวและแต่นิยายเรื่องนี้อิงมาจากเรื่องจริงบ้างรึป่าว
ชอบและประทับใจมากจริงๆครับ :mew1:

ผมจะติดตามอ่านเรื่องอื่นๆของพี่ต่อไปนะครับ :hao5:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: lahlunla ที่ 08-11-2014 07:35:12
ร้องไห้ตอนที่น้ำมาตัดพ้อพระบอท คนเคยรักดคยสัญญากันมา ถึงจะจำเราไม่ได้ก็จะยังยึดมั่นในคำสัญญา

ที่จริงคนที่ทำให้บอทรถล้ม ไม่ใช่น้ำนะ บอทต่างหากที่ทำเอง อย่าโทษคนอื่น บอทขับรถเร็ว ด้วยอารมณ์ของบอทเอง เส้นทางที่ใช้ขับขี่ก็เป็นเส้นทางที่คุ้นเคย ไม่ใช่เพิ่งมาครั้งแรกเสียหน่อย อย่าโทษน้ำเลย
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: akkharadech ที่ 06-03-2015 23:59:58
เกย์สันดานแบบอีไม้มีอยู่จริง และมีอยู่มากมายเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: tanya ที่ 07-03-2015 07:59:39
ขออนุญาต นำไปโพสต์ตทอ ในเฟสบุ๊ค ได้ไหมครับผม :monkeysad:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: eiky ที่ 10-03-2015 11:53:46
ขออนุญาต นำไปโพสต์ตทอ ในเฟสบุ๊ค ได้ไหมครับผม :monkeysad:

จะเอาลิงค์หรือว่าก็อปเนื้อหาไปครับ ถ้าเอาลิงค์ก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: GimmeAagban ที่ 13-09-2015 20:19:07
 o18

หวิวๆ
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 11:06:17
 :mew1:
หัวข้อ: Re: สนิมน้ำค้าง (Stained Glass) บทที่ ๔๐ และ อวสาน (ธันวาคม ๑๒, ๒๕๕๓) หน้า ๓๑
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 23-12-2017 23:23:38
บอทน่าจะกลับมาคืนดีกับน้ำนะ มโนเอาเองก้อแล้วกัน