อ้อมกอดของไอ้หมอบ้านั่นเล่นเอาผมนอนไม่หลับ ทำไมต้องมากอดกันด้วยหว่า
หรือมันจะเพี้ยนไปแล้ว
หรือว่าจะเหงาหู
เอหรือว่า...........มันจะ..................
"เพี๊ยะ" ผมตบหน้าตัวเองอย่างแรงเรียกสติ "บ้าเหรอ คิดอะไรบ้าๆ"
"เอ เพื่อนกันกอดกันก็ไม่เห็นจะแปลกนี่นะ"
"แต่ทำไมต้องทำซึ้ง ดราม่าด้วยอ่ะ ไม่เข้าใจ"
"แหม จะไปเข้าใจเขาได้ไง เขาไม่ใช่คนยุคเราซะหน่อย"
"เออเน๊อะ แล้วไอ้ที่บอกว่า อย่าทำอย่างนั้นอีก อ่ะ หมายความว่าไง"
"ก็คงหมายความว่า..........อย่าไปจมน้ำอย่างนั้นอีกมั้ง"
"จะบ้าเหรอ ใครมันจะไปจมน้ำบ่อยๆ ไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย"
"หรือไม่ก็คงจะหมายถึง อย่าไปเล่นแถวท่าน้ำอีกมั้ง"
"กูไม่ใช่เด็ก"
"ไม่รู้เว้ย ไปถามมันเอาเองสิ"
"ไม่เอาอ่ะ ไปถามให้หน่อยสิ"
"มึงจะบ้าเหรอ มึงไปถามกับกูไปถามก็เหมือนกันนั่นแหละ ก็กูกับมึงก็คนเดียวกัน ห่า"
ผมนอนพูดเพ้อเจ้ออยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า คิดไม่ตกในสิ่งที่หมอนั่นพูดและทำ
เมื่อปัญหาและคำตอบไม่ตกตะกอน ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมานอนพูดกับตัวเอง.................
กับข้าวเย็นวันนั้นเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลกประหลาด ที่ถูกจัดมาอย่างดี
ทั้งล่าเตียงที่เป็นอาหารที่มีความงดงามปราณีตอย่างยิ่ง
หมูและกุ้งถูกปรุงรสมาอย่างกลมกล่อม ห่อด้วยไข่เป็ดที่ทำเป็นตาข่ายสวยงาม กินกับน้ำจิ้มรสเด็ด นับว่าเป็นอาหารว่างหรือออร์เดิร์ฟที่รสชาติเยี่ยมจริงๆ
อีกจานเป็นพระรามลงสรง ที่คนที่ชอบกินแกงต้องลืมจานนี้ไม่ลง ผมถามหมอปีย์ว่ามันคืออะไรเพราะหน้าตาแปลกๆ หมอนั่นก็อธิบายให้ฟังเสียยืดยาวว่า
"พระรามลงสรงเป็นอาหารที่ทำมาจากเนื้อวัว นำมาลวก จากนั้นราดด้วยแกงที่เคี่ยวจนข้นกับกะทิ ทานคู่กับผักบุ้งจีนลวก และข้าวสวยร้อนๆอร่อยอย่าบอกใครเชียว"
จานต่อมาที่อยู่ในถ้วยเครื่องลายครามงดงามนั้น ผมเปิดฝาออกมาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารชนิดนั้นจนต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ นั่นก็คือแกงจืดลูกรอกที่หากินได้ยากแล้วในสมัยผม
ไส้หมูที่ถูกกรอกด้วยไข่ไก่จนเต็มก่อนจะเอามาต้ม แล้วตัดเป็นท่อนๆ ไม่มีความเหนียวและกลิ่นสาบเลย อีกทั้งหมูสับที่ทรงเครื่องมาแล้วหอมกลิ่นกระเทียมและพริกไทยดำ
"เฮ้ย วันนี้เป็นไร จัดมาซะเต็ม" ผมถามก่อนจะกลืนน้ำลาย
"เรามิได้จัดสำรับวันนี้เองดอก" หมอปีย์ตอบ "เรือนคุณชั้นเธอทำมาให้ พอรู้ว่าเจ้ากลับมา เธอก็ให้บ่าวไพร่หอบสำรับอาหารมาเสียเต็มกระบวน"
"หอบมาให้ชั้นนี่นะ" ผมแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
"ก็ใช่นะสิ เธอคงอยากจะแสดงความขอบใจ ที่เจ้าช่วยหนูวาดไว้ในวันนั้น"
"อ๋อ" ผมร้องอ๋อ ก่อนจะเร่งให้บ่าวรีบตักข้าว เพราะผมอดทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
"ถ้ามิใช่เพราะเจ้า เราก็คงไม่มีหวังจะได้รับทานอาหารรสชาติเลิศเหล่านี้เป็นแน่" หมอปีย์กระเซ้า
"แหม ไม่ต้องชมกันขนาดนั้นหรอก ชั้นก็แค่ ไปเสี่ยงตายมาเท่านั้น นายมีหน้าที่กินอย่างเดียวก็กินไปเถอะนะ"
กับข้าวมื้อนั้นเป็นกับข้าวที่อร่อยที่สุดตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ รสชาติของแกงจืดนั้นทำให้ผมคิดถึงฝีมือของหนูวาดยายทวดผม จำได้ว่าตอนเด็กๆ หนูวาด
มักจะต้มแกงจืดแบบนี้ก่อนจะเทใส่ชามข้าวจนแฉะและป้อนให้ผมกินเป็นประจำ
"ลองชิมนี่หน่อยเถิด รสละมุนลิ้นดีเชียว" หมอปีย์ตักพระรามลงสรงใส่จานให้ผม
"ไม่ต้อง ชั้นตักเอง อายเขา" ผมดุ เพราะบ่าวไพร่นั่งมองกันอยู่เต็ม
"เจ้าจะอายไปใย แค่ตักอาหารให้"
"ไม่ได้ มันไม่ดีเว้ย ชั้นเป็นผู้ชายนะ"
"เจ้านี่ ประหลาดดีแท้"
ผมตักเนื้อวัวลวกที่ราดด้วยน้ำแกงข้นๆมันๆใส่ปาก ทันทีที่แตะปลายลิ้น ผมแทบจะลงไปดิ้นกับพื้น รสชาติมันอย่างละมุนกลมกลล่อม และซับซ้อนจริงๆ
เนื้อวัวที่นุ่ม ไม่มีกลิ่นสาปแม้แต่น้อย อีกทั้งเครื่องแกงที่หอม ข้น รสชาติกำลังดี ยิ่งทานกับผักบุ้งจีนลวกนั้น ยิ่งอร่อยอย่าบอกใคร
"นาย!!!!!!!" ผมร้อง "แม่งอร่อยว่ะ"
เราสองคนเอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อนั้นเป็นพิเศษ ผมนั้นสั่งเบิ้ลข้าวอีกสองจาน ส่วนหมอปีย์นั้น ไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าต้องเรียกให้บ่าวไปเอาข้าวจากเรือนทาศมาเพิ่มอย่างเร่งด่วนเพราะไม่พอ
บ่าวไพร่พากันแปลกใจที่เราสองคนต่างเจริญอาหารเป็นพิเศษ
"พรุ่งนี้คุณชั้นจะมาเยี่ยมเจ้า" หมอปีย์บอกเมื่อทุกอย่างในจานถูกกวาดเรียบ
"เหรอ"
.
.
.
.
.
.
.
.
.