แสงแดดยามเช้าส่งลอดผ่านพุ่มไม้หนาที่หน้าบ้าน ผู้คนเรือนนี้ดูจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวกว่าเรือนหมอปีย์ อาจเพราะ เจ้าของเรือนหลังนี้ค่อนข้างจะเข้มงวดในกฎต่างๆภายในบ้านก็เป็นได้
พวกบ่าวไพร่เดินผ่านผม ทุกคนต้องหันมามองและสนใจว่าผมมานั่งทำบ้าอะไรอยู่บนก้อนหินเปื้อนเขม่าอย่างนี้ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม
ทำไมคนอย่างผมถึงต้องอดทนทำอะไรที่ลดศักดิ์ศรีตัวเองอย่างนี้
เวลาผ่านไปช้าๆ รู้ได้ยังไงนะเหรอ ก็ดวงตะวันจากก่อนหน้านี้อยู่ลิบออกไปและส่องแสงอ่อนๆอุบอุ่นมายังผม ตอนนี้มันเริ่มเข้ามาใกล้หัวผม และแผดอำนาจความร้อนแรงอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับจะยิ่งซ้ำเติมความทุกข์ทรมานที่ผมได้รับอยู่ตอนนี้ให้หนักเข้าไปอีก
"ร้อนเว้ย" หลายครั้งที่ผมคิดถึงคำนี้อยู่ในใจ และหลายครั้งที่ตัดสินใจจะลุกเดินกลับไม่อยากรงอยากเรียนมันแล้ว แต่เหมือนคำพูดของคุณชั้นวนเวียนอยู่ในสมอง
และผมก็ไม่ใช่คนจำพวกที่จะยอมให้ใครมาดูแคลนเอาได้ง่ายๆ
"อยากรู้นัก จะให้กูนั่งรอจนถึงเมื่อไหร่" ผมบ่น หันไปคว้ากิ่งไม้แห้งๆมาขีดเขียนลงบนพื้นดินแก้เบื่อ
ตอนนี้รู้สึกชาที่ขา แต่ก็ต้องทนเพราะไม่อยากให้ใครมาว่าเอาได้ว่าเป็นพวกหยิบหย่ง หยิบจับอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
ผมหันไปมองทางเรือนของคุณชั้นถี่ขึ้น และบ่อยครั้งที่มักจะเห็นหนูวาดแอบมองอยู่ที่หน้าต่าง เธอคงอยากจะเข้ามาหาผม แต่โดนคุณชั้นห้ามไว้เลยไม่กล้า
"ร้อนเว้ย"
ดวงอาทิตย์แผดแสงลามเลียไปตามแผ่นหลัง ผมก้มหน้างอตัวชันเข่า ความร้อนที่ต้องเผชิญตอนนี้ กำลังจะทำลายความอดทนที่ผมมีอย่างช้าๆ
"นังผาด ไปเอาของที่เตรียมมาได้แล้ว" เสียงคุณชั้นดังขึ้นมาก่อนระฆังความอดทนผมจะหมดลง
เธอลงจากเรือนเดินตรงมาที่ผม ผมหันไปมองเธอยังไม่กล้าลุก รอให้เธอสั่งให้ผมลุกเอง เพราะกลัวว่าเดี๋ยวทำอะไรไม่ถูกใจคุณเธอเข้า มีหวัง อาจโดนสั่งให้หยุดหายใจเลยก็ได้
"เอ่อ" ผมทำท่าจะเอ่ยปากถาม แต่ทันทีที่เธอเดินผ่านผมไป เธอกลับผ่านไปเฉยๆ ไม่เหลียวมามองแม้แต่น้อย จะว่าเธอไม่เห็นก็ไม่น่าเป็นไปได้ ผมก็ตัวเท่าหมี ไม่ใช่จอมปลวกที่ไหน
"อะไรของเจ๊อีกวะ" บ่นๆ
แล้วคุณชั้นก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมนู่นเตรียมนี่
"นังผาด ส้มซ่าอยู่ไหน"
"เอาน้ำส้มมะขามเปียกไปละลายน้ำที"
"หันพริก กับผักชีไว้รอท่า ชักช้า เดี๋ยวจะไม่ทันฉันเที่ยง"
และอื่นๆอีกมากมายจนผมเวียนหัว
"แล้วจะให้กูมานั่งทำสากอะไรตรงนี้" ผมลุกขึ้นยืนอย่างหมดความอดทน เดินตรงไปหาคุณชั้นที่กำลังนั่งหั่นหมูอย่างชำนาญ
"ประทานโทษเถอะครับ คุณหญิง เมื่อไหร่จะสอนผมทำอาหารเสียทีหละขอรับ กระผมนั่งรอจนริดซี่จะแตกทะลักแล้วนะขอรับ" ผมถามด้วยอารมณ์หงุดหงิด ระคนประชดประชัน
"ไปติดไฟเสียที เสียเวลามานานแล้ว" แต่เธอไม่สนใจ กลับหันไปสั่งให้บ่าวผู้ชายเพียงไม่กี่คนในบ้านไปจุดไฟที่เตาที่ผมนั่งอยู่
"คุณชั้นครับ" ผมไม่ลดละ ยังคงใช้ลูกตื้อเดินตามเธอต่อไป "สอนผมเสียทีเถอะครับ"
แต่ก็เหมือนเดิม เธอยังคงไม่สนใจ ผมเฝ้าอ้อนวอนเธอหลายต่อหลายครั้ง จนสุดท้ายความไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอทำของผมก็ทำให้ผมต้องพูดบางอย่างออกไป
"คุณชั้นครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณทำอะไรอยู่ แต่ถ้าหากว่าจะให้ผมมาที่นี่เพื่อที่จะได้แกล้ง หรือทำให้ตัวเองไร้ค่า ผมว่าอย่าเลยครับ เพราะที่ผ่านมาผมก็ไร้ค่ามามากพอแล้ว ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพราะอยากมาเรียนรู้อาหารไทย เพื่อจะนำไปสืบสานต่อไปให้คนรุ่นหลาน รุ่นเหลนคุณได้เรียนรู้วิถีอาหารไทย ผมตั้งใจจะเรียนจริงๆนะครับ"
เธอหยุดหั่นหมู นิ่งไปพักหนึ่ง แต่ไม่มองหน้าผม สักพักเธอจึงเรียกบ่าวอีกคน
"นังป่วน ไปเอาข้าวสารที่จะหุงตอนเย็นนี้ ใส่กระด้งมานี่" บ่าวผู้หญิงคนนั้นรีบเดินก้มงุดๆไปตักข้าวสารที่อยู่ในโอ่งดินเผา 9-10 กะลา ใส่กระดังมาวางไว้ใกล้ๆผม
"เลือกข้าวเปลือกออกจากข้าวสารเหล่านี้ เย็นนี้เราจะใช้หุง" เธอว่า ผมทำสีหน้างงๆ นี่นะหรือการสอนของเธอ นี่มันอะไรกันให้มานั่งเลือกข้าวเปลือกออกจากข้าวสารนี่นะ แต่ตอนนี้ก็ตัดสินใจทำ เพราะดีกว่าไม่มีอะไรทำเอาเสียเลย
ผมนั่งก้มหน้าก้มตาเลือกข้าวเปลือกออกใส่กะลาอีกใบที่บ่าวเตรียมมาไว้ให้ มือตะกุยหาข้าวเปลือกไปเรื่อยๆ
"ให้เราช่วยมั๊ย" เสียงเล็กแหลมดังขึ้นใกล้ๆ ผมเงยหน้าขึ้น
"หนูวาด" อารามดีใจเผลออุทานออกมาเสียงดัง
"ให้เราช่วยนะ เราชอบหาข้าวเปลือก" ว่าแล้วเธอก็นั่งลงใกล้ๆผม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นยายทวดผมเต็มตา เธอยังมีเค้าโครงเหมือนหนูวาดยายทวดผมมาก ไม่ว่าจะดวงตา จมูก ปาก หรือแม้แต่เส้นผม
"ยายทวด" ผมจ้องมองเธอก่อนจะอุทานออกมาเบาๆ
"หนูวาด ทำอะไร" เสียงดุเล็กๆดังขึ้น คุณชั้นนั่นเอง หนูวาดสะดุ้งลนลาน
"หนูวาดกำลังช่วยเลือกข้าวเปลือกเจ้าค่ะ" เธอรีบตอบ
"ไม่ต้อง มิใช่กิจของเด็ก ขึ้นเรือนไป" คุณชั้นดุ หนูวาดหน้าเสีย เธอก้มหน้ารีบเดินหายขึ้นเรือนไป
"จะดุไปไหนของเจ๊วะ" ผมบ่นในใจ
ไฟที่เตากำลังลุกโชนด้วยถ่านจากไม้มะขาม กะทะไปใหญ่ที่ก้นสีดำ แต่เนื้อกะทะด้านในกลับเรียบ มัน วาว บ่งบอกถึงการใช้งานที่โชกโชน
คุณชั้นหยิบเส้นหมี่ที่แช่น้ำไว้มาสะเด็ดน้ำ ก่อนจะเอาลงหม้อ และพรมด้วยน้ำส้มสายชูกับน้ำเปล่าที่ผสมกันก่อนหน้านี้
"พรมให้ทั่วๆ ทั่วแล้วกลับอีกด้าน พรมให้ทั่ว เส้นจะได้พองนุ่ม" เธอบอก
ผมนั่งมองทุกขั้นตอนที่เธอทำ แต่อีกสายตาก็ต้องคอยนั่งเลือกข้าวเปลือกออก ถึงมันจะน่าเบื่อแค่ไหน แต่ก็ยังดีกว่าโดนไล่ตะเพิดกลับบ้าน
หลังจากนั้นคุณชั้นก็เอาหอมกับกระเทียมที่สับรวมกันละเอียดลงไปเจียวในกระทะ เสียงดังซู่ว์ พอเหลืองหอม จึงใส่หมูและกุ้งนางลงไปผัดตาม ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กลิ่นหอมของมันทำให้ท้องเริ่มร้อง ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไร แต่ผมก็ว่ามันน่าอร่อยจังเยยยยยย
เมื่อกุ้งกับหมูเริ่มสุก เธอจึงตักเต้าเจี้ยว เติมน้ำตาลทราย น้ำส้มมะขามเปียก น้ำปลา ก่อนจะผัดไปอีกพักใหญ่ และชิมน้ำนั้นจากปลายจวัก สีหน้าเธอตอนชิมเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สักครู่ เธอจึงพยักหน้าและเติมน้ำส้มซ่าลงไป คนอีกครู่ จากนั้นจึงตักหมูกับกุ้งใส่ถ้วยทิ้งไว้แต่น้ำในกระทะ และเธอก็เคี่ยวมันจนข้น
ผมพยายามนึกว่าเธอจะทำอะไร สิ่งที่เธอทำอยู่มันต่างจากที่แม่ครัวที่ร้านผมทำ แม่ครัวผมเธอจะใส่เครื่องปรุงอะไรแต่ละอย่างต้องชั่งตวงวัดอยู่หลายรอบ แต่คุณชั้นเธอใส่ทุกอย่งลงไปอย่างมั่นใจและชำนาญ สิ่งนี้แหละที่ผมจะต้องเรียนรู้มาจากเธอให้ได้
"ผาด เอาเปลือกส้มซ่าไปหั่น อย่าให้ติดผิวขาวๆนะ มันจะขม" เธอสั่ง
ข้าวเปลือกที่อยู่ในกระด้งนั่นก็ไม่ยอมหมดสักที ผมละคันไม้คันมืออยากจะไปโชว์การควงตะหลิวให้คุณชั้นดูเป็นขวัญตาเต็มที จะได้รู้มั่งว่าผมก็ไม่ใช่คนบ้าไร้วิทยายุทธมาจากไหน
เมื่อน้ำในกะทะถูกเคี่ยวจนข้นดี เธอจึงหยิบถ้วยหมูกับกุ้งใส่กะทะลงไปอีกที นัยว่าไม่ต้องการให้หมูกับกุ้งแข็งกระด้างก็เป็นได้ เคี่ยวไปสักพัก เธอก็ตักทั้งหมดขึ้นพักไว้
จากนั้นก็ตั้งกระทะใหม่ ใส่น้ำมัน เร่งไฟโดยการใส่ถ่านเพิ่ม เมื่อน้ำมันเดือดเธอหยิบพริกป่นโรยลงไปในน้ำมัน ก่อนจะหยิบเส้นหมี่ลงไปทอด ทันทีที่มันโดนน้ำมัน เส้นหมี่ก็พองขึ้นจนเต็มกะทะ พริกที่เธอเอาลงไปโปรยตอนแรกก็เครือบเส้นหมี่สีสวยงาม และเวลากินน่าจะมีรสเผ็ดปลายลิ้น ผมเดาเอา
คุณชั้นทอดเส้นหมี่จนเหลืองกรอบ ฟูน่ากิน จากนั้นเธอก็ตั้งกระทะใหม่อีกรอบ เอาไม้คีบคีบถ่านออกให้ไฟอ่อนลง คนสมัยนี้นี่ลำบากกันจริงๆเน๊อะ โชคดีที่สมัยผมไม่ต้องมานั่งทำอะไรอย่างนี้ ไม่งั้นมีหวัง วันๆนึงไม่ต้องทำอะไรแน่ๆ
เธอนำน้ำปรุงที่เคี่ยวไว้แล้วลงกะทะ ก่อนจะนำเอาเส้นหมี่ลงไปคลุก กลิ่นของมันหอมจนผมแทบจะละลาย น้ำลายถูกกลืนลงคอครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงผมจะไม่ชอบใจคนทำเท่าไหร่นัก แต่เมื่อได้กลิ่นอาหารที่เธอทำ ความไม่พอใจที่มีอยู่ในใจหายไปหมดสิ้น
เมื่อเส้นหมี่คลุกเคล้าจนได้ที่แล้ว เธอยกมันออกมาใส่หมอพักไว้ ก่อนจะนำเต้าหูไปทอด ตามด้วยไข่ที่ใช้มือจุ่มก่อนจะโรยลงในกระทะออกมาเป็นตาข่าย สวยงามปราณีต เมื่อของตกแต่งถูกเตรียมเสร็จ คุณชั้นจัดแจงโรยหน้าด้วยเต้าหู้ทอด ไข่ ใบกุยช่ายหั่นเป็นท่อนๆ กระเทียมดองหั่นแว่น ผักชี และพริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย
เป็นอันเสร็จพิธี
"ยกขึ้นเรือน เดี๋ยวเราจักแต่งตัว เจ้าตักใส่ปิ่นโตเตรียมรอท่าไว้ เราจักเอาไปวัด"
และแล้วผมก็รู้แล้วว่าเธอทำอะไร
"หมี่กรอบนั่นเอง" ผมว่า พลางมองตามหม้อที่บ่าวยกขึ้นเรือนหายไป
"อยากกินว่ะ" ผมบ่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น หน้าที่ของคนบ้าไม่สมประกอบอย่างผมก็คือเลือกข้าวเปลือก เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่เสร็จก็ต้องทำต่อไป
ข้าวเปลือกที่ผมเลือกไว้เกือบเต็มกะลาแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเยอะมากขนาดนี้ นี่ถ้าไปเอาไปหุง มีหวังคงไม่ต้องกินข้าวกันพอดี มัวแต่นั่งคายข้าวเปลือก
"คนที่นี่เป็นไก่กันหรือไงวะ ถึงมีข้าวเปลือกปนในข้าวกันขนาดนี้" ผมบ่น เมื่อยังไม่มีวี่แววว่าจะหาหมด ทุกทีที่คุ้ยลงไปในข้าวสาร ผมมักจะเจอข้าวเปลือกอย่างน้อย สองเมล็ดเสมอ
รถเกวียนพาคุณชั้นที่แต่งตัวสวยงามออกนอกบ้าน เธอคงจะไปวัดตามที่เธอว่า แต่ก็นะ จะใจดำอะไรกันขนาดนั้น ทำเสร็จน่าจะมีกะจิตกะใจเอามาให้เรากินมั่ง อุตส่าห์นั่งตากแดดรอจนเกือบแห้งค่อนวัน ไหนจะต้องหลังขดหลังแข็งนั่งเลือกข้าวเปลือกจนตาลาย
"จะจงเกลียดจงชังอะไรกันนักหนาเนี๊ยะ" ผมพูด
"นี่"..............................เสียงเด็กผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
"หนูวาด" ผมดีใจ เธอมายืนใกล้ๆผมก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความเป็นมิตร ในมือถือชามอะไรมาด้วย
"กินมั๊ย หนูวาดเอามาเผื่อ" แล้วเธอก็หันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะยื่นชามหมี่กรอบให้ผม ผมมองเธอด้วยความตื่นตัน ก่อนจะรับมันไว้
"ขอบคุณนะ หนูวาด"
"อื้ม" เธอพยักหน้า แล้วก็หันหลังวิ่งหายเข้าบ้านไป
ผมมองหมี่กรอบที่อยู่ในจานด้วยความตื้นตัน
"หนูวาดก็ยังเป็นหนูวาดอยู่วันยังค่ำ" ก่อนจะใช้มือหยิบมันเข้าปาก
และทันทีที่หมี่กรอบเข้าปากผมรับรู้ได้ถึงรสเปรี้ยวก่อนอันดับแรก และเมื่อกลืนลงคือจะได้กลื่นหอมของส้มซ่าตามด้วยรสหวาน และรสเค็มบวกเผ็ดนิดๆติดปลายลิ้น
ถึงแม้จะผมจะเคยกินหมี่กรอบมาบ้างแล้ว แต่สำหรับหมี่กรอบนี่ ผมสาบานได้เลยว่าไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่า
"ต้องเอาสูตรมาให้หมดให้ได้" ผมพูดกับตัวเองตั้งใจแน่วแน่ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกข้าวสารต่อไป