ผมยืนมองบ้านหลังนั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ในหมู่แมกไม้ต้นที่มีดอกสีขาวบานสะพรั่ง นี่เหรอบ้านที่ยายผมเล่าให้ฟังบ่อยๆว่าแม่ของยายเคยวิ่งเล่นและเจอเรื่องประหลาดที่นั่น บ้านผมตอนนี้ดูอบอุ่นและเป็น”บ้าน” มากกว่าตอนที่ผมอยู่เสียอีก
“เรือนหลังนั้นน่ะหรือ” หลวงพินิจมอง “เราเองก็มิใคร่จะรู้เรื่องราวมากนักดอก เพราะเรือนหลังนั้นเป็นเรือนต้องห้ามสำหรับชายสามัญ”
“เรือนต้องห้ามเหรอ” ผมย้อนถามสีหน้าแปลกใจ
“ใช่ เรือนหลังนั้นเป็นเรือนของนางต้นเครื่อง มีหน้าที่ดูแลสำรับกับข้าวในวัง” หมอนั่นเดินเข้ามาใกล้
“ถ้าเราจำมิผิด เรือนหลังนั้น มีคุณชั้นเป็นเจ้าของ”
“คุณชั้น” ผมเปรยกับตัวเอง ชื่อนี้เหมือนชื่อของ.................
“ใช่ คุณชั้นเป็นข้าหลวงเรือนนอก ตอนยังสาวคุณชั้นเป็นสาวชาววัง มีหน้าที่ทำอาหารถวาย “ที่บน” แต่ต่อมาสมรสแล้วย้ายตามสามีมาอยู่เรือนหลังนี้ แต่ยังคงส่งสำรับกับข้าวให้เจ้านายมิเคยขาด” ผมตั้งใจฟังหลวงพินิจเล่ารายละเอียดอย่างตั้งใจ
“คุณชั้นมีรสมือในการทำอาหารเป็นที่ร่ำลือไปทั้งบาง โดยเฉพาะกล้วยเชื่อม เธอมีฝีมือในการฝานกล้วยหักมุก ลงกระทะแล้วเชื่อม คราหนึ่งเมื่อ หมอเจอราทป่วย เรือนคุณชั้นได้ส่งกล้วยเชื่อมเป็นของเยี่ยม หมอเจอราทได้ลิ้มรสก็เอ่ยปากชมมิได้ขาด เราเองก็พลอยได้อานิสงศ์ไปด้วย และเห็นพ้องกับหมอเจอราทว่า กล้วยเชื่อมคุณชั้น หาที่ไหนเทียบชั้นมิได้จริงๆ”
“แหม นี่ขนาดไม่ค่อยรู้เรื่องนะ เป็นเรื่องเป็นราวเชียว” ผมพูดแซว
ผมยืนฟังหลวงพินิจเล่าเรื่องบ้านหลังนั้นให้ฟังอย่างตั้งใจ ความรู้สึกภูมิใจเกิดขึ้นลึกๆในใจ มันบอกไม่ถูกว่าทำไมต้องภูมิใจด้วย
“แล้วทำไมบ้านนั้นถึงไม่ต้อนรับผู้ชายหล่ะ”
“คงเปนเพราะกันมิให้รบกวนพวกแม่ครัวทำอาหาร หรือไม่อย่างนั้นก็อาจกันมิให้สูตรอาหารเล็ดลอดออกสู่ภายนอกกระมัง”
“ทำยังไงชั้นถึงจะเข้าบ้านหลังนั้นได้อีกล่ะ ที่นั่นน่าจะตอบคำถามชั้นได้ว่า ชั้นมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง”
“ดูทีจะมิใช่การง่ายนัก หากหลวงทราบเรื่องเจ้าจะลำบาก เอาเปนว่า เราจักหาวิธีตรองดู” เขายิ้ม ผมยิ้มตอบ รู้สึกดีนิดๆที่มีเพื่อนคอยช่วยแก้ปัญหา
.........
.........
........
“นายไม่มีชื่อที่เรียกง่ายๆกว่านี้แล้วเหรอ พ่อหลวงพินิจ ศิษย์หลวงพ่อปากแดง” ผมแซวเมื่ออารมณ์เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
“ปีย์”...................”เรียกเราปีย์เถิด”
“อืม ชื่อแปลกดี แล้วทำไมนายถึงดูไม่เหมือนคนไทยหล่ะ เหมือนพวกลูกครึ่ง” ผมถาม เพราะชายคนนี้รูปร่างหน้าตาผิวพรรณผิดแผกไปจากคนอื่น พวกคนใช้ หรือคนไทยคนอื่นจะตัวเล็ก แคระเกร็น ผอมแห้งไว้ผมทรงแซกกหลางมหาดไทย ฟันก็ดำปี๋ แต่หมอนี่ดูผิดไป เค้าโครงเขาดูเหมือนพวกฝรั่ง ผมออกสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน และที่ผมสะดุดตาครั้งแรกที่เจอก็คือ นัยย์ตา เขามีนัยย์ตาสีน้ำอ่อนที่สวยจริงๆ
“บิดาเราเป็นชาวเปอร์เซีย ล่องเรือมากับชาวบริเตนเพื่อทำการค้าขายเครื่องหนังที่นี่ ส่วนมารดาเป็นนางรับใช้เรือนหมอบรัดเลย์”
“หมอบรัดเลย์เหรอ” ผมพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อคนสมัยนี้แล้วผมรู้จัก
“เจ้ารู้จักหมอบรัดเลย์กระนั้นรึ” หมอนั่นทำท่าประหลาดใจ
“รู้สิ ถ้าหมอบรัดเลย์ที่นายว่าหมายถึง หมอเอมริกัน ถึงชั้นจะไม่เอาไหนในวิชาประวัติศาตร์ไทย แต่ชั้นก็จำชื่อหมอบรัดเลย์ได้ หมอคนนี้เป็นมิชชันนารีหมอชาวนิวยอร์กที่ถูกส่งมาเมืองไทย และก็............”ผมทำท่าย้อนอดีต ก็มันนานแล้วนี่นาเรียนมาตั้งแต่ ม.ปลาย
“และก็รู้สึกว่าจะเป็นหมอคนแรกที่ผ่าตัดในประเทศไทย แล้วก็เป็นหมอคนแรกที่ปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษได้สำเร็จ แล้วก็จัดตั้งโรงพิมพ์ มีหนังสือพิมพ์ด้วยนะชื่อ..............”
“บางกอกรีคอเดอร์!!!” เราพูดขึ้นมาพร้อมกัน ผมมองหน้าปีย์ มันก็มองหน้าผม เราต่างประหลาดใจที่พูดเรื่องราวเดียวกันในยุคสมัยที่แตกต่างกัน
“นายรู้จักด้วย” ผมแสดงอาการตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ท่องแทบตายตอนสอบ
“แล้วตอนนี้หมอบรัดเลย์ท่านอยู่ที่ไหน ชั้นอยากจะเจอ คงแปลกดีพิลึกนะ” ผมนึกตื่นเต้น
“หมอบรัดเลย์ท่านสิ้นชีวิตไปเมื่อ 19 ปีที่แล้ว” หมอนั่นบอก ผมนิ่งไปพักใหญ่ นึกสับสนกับปีที่ตัวเองอยู่ตอนนี้
“เจ้ารู้เรื่องราวอันใดของสยามอีกกระนั้นรึ จงเล่าความให้เราฟังเถิด” เขาทำท่ากระตือรือร้นอยากรู้ ผมนิ่งนึก แวบแรกที่คิดถึงในสมัยพระพุทธเจ้าหลวงก็คือการเลิกทาศและ......................การเสียดินแดน
“โอ้ย ไม่รู้หรอก ใครจะไปจำได้ เยอะแยะมากมาย ชั้นก็ใช่จะเก่งประวัตศาสตร์ไทยซะเมื่อไหร่หล่ะ” ผมแกล้งเฉไฉ เพราะคิดในใจว่า มันจะสมควรแล้วเหรอ ที่เอาเรื่องในอนาคตมาบอก ถ้าผมบอกอะไรออกไป ปัจจุบันตอนนี้มันจะเปลี่ยนไปมั๊ย แล้วจะส่งผลอะไรกับอนาคตของผม เผลอๆบางทีอาจทำให้ผมติดแหง็กอยู่ที่นี่ไปตลอดชาติก็ได้
“เร่งกลับเรือนเถิด ล่วงเวลาอาหารเย็นมากโข เดี๋ยวบ่าวไพร่จะเสียการเสียงานอื่น” หมอนั่นพูด
แสงแดดยามเย็นค่อยๆลับหายไป ผมแหงนมองขึ้นฟ้าเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตอยู่เบื้องบน
“ดวงจันทร์ดวงนี้.............จะใช่ดวงจันทร์ดวงที่บ้านรึปล่าวนะ”

...
ระหว่างทางเดินกลับเรือนผมได้ซักถามอะไรอีกมากมายจากหมอนั่น เขาเล่าเรื่องราวของตนเองให้ผมฟัง ผมถามหมอนั่นว่าไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากไหน
“เราเรียนมาจากหมอเจอราทตั้งแต่ยังเด็ก ท่านเป็นชาวบริเตนในพระนคร เพียงคนเดียวเท่านั้นเสียกระมัง ที่รักสยามเหมือนบ้านเกิดเมืองนอน”
หมอนั่นตอบ ผมนึกสงสัยว่าทำไมหมอเจอราทจึงเป็นคนอังกฤษคนเดียวที่รักสยาม
“ชาวบริเตนคนอื่นเข้ามาสยามเพื่อกอบโกยและเผยแพร่คริตศาสนาเพียงเท่านั้น หาได้มีความหวังดีกับสยามเยี่ยงหมอเจอราทไม่ ในชีวิตเรา นับถือหมออยู่สองคนเพียงเท่านั้น คือหมอบรัดเลย์ และหมอเจอราท”
ผมยิ้มในใจเมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมันของชายผู้นี้ ท่าทางของเขาจะมีอายุไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่หรอก แต่ทำไมน้อ หมอนั่นถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่ และดูมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าผมหลายขุม น่าอายแม่งจริงๆ
“งั้นนายก็เป็นหมอน่ะสิ” ผมถาม
“ถ้าเจ้าจะให้เกียรติเรียกเราเช่นนั้น เราก็ยินดี”
“เออ งั้นชั้นเรียกนายว่า หมอปีย์แล้วกันนะ” ผมยิ้ม
“แต่เราขอเรียกเจ้าว่าเจ้าบ้า.............เหมือนเดิม” หมอนั่นยิ้มตอบ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินขึ้นเรือนไป
“เฮ้ย ไม่ได้นะเว้ย ไม่ได้ ชั้นมีชื่อนะ จะมาเรียกแบบนั้นไม่ได้นะเว้ย หยุดมาคุยกันก่อนสิวะ” ผมตะโกน
ผมถูกย้ายห้องนอนที่เดิมเป็นห้องของหมอนั่น มาเป็นห้องเล็กๆ ที่อยู่อีกฝากหนึ่งของเรือน ภายในห้องมีเพียงเตียงไม้ ที่มีเสาสี่เสาพร้อมมุ้งสายบัวที่ถูกพับขึ้น บนเตียงมีหมอนสีฟ้าปลอกทำมาจากผ้าฝ้ายทอ ผ้าห่มถูกพับไว้อย่างปราณีตที่ปลายเตียง ส่วนผ้าปูนั้นทำมาจากผ้าแพร หัวเตียงมีโต๊ะวางหนังสือตัวเล็กพร้อมตะเกียง
“เจ๊ โทษนะ ในนี้มีห้องน้ำในตัวป่าว” ผมถามแม่บ้านคนหนึ่งที่อาสายกเสื้อผ้าของหมอปีย์มาให้ หล่อนคนนี้ดูท่าทางแก่นเซี้ยวไม่เบา ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ออกแนว อ้น ศรีพรรณ
“ห้องน้ำคืออันใด” หล่อนตอบสีหน้านิ่งเฉย ปากเคี้ยวหมากจับๆ
“ห้องน้ำก็...........” โอ้ยผมละเซ็งกับคนที่นี่ เฮ้ย ไม่สิ เซ็งกับตัวเองจริงๆ ที่ดั๊นมาอยู่ผิดที่ผิดทาง จะพูดจะสื่อสารอะไรแต่ละอย่างก็ลำบากลำบน
“ห้องน้ำก็ห้องที่เข้าเอาไว้ขี้ ไว้เยี่ยว ไว้อาบน้ำไง” ผมอธิบายอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“อ้อ ท่าจะเป็น “เวจ” เสียกระมัง” หล่อนพูดเบาๆ ขณะที่กำลังจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ให้ผม “ลงเรือนนี้ไป อยู่ติดริมน้ำกระนู้นนนนนนน” เจ๊ทำเสียงลากยาว ปากจู๋ ก่อนจะชี้ออกมาทางด้านหลังผม
“แล้วถ้าชั้นจะอาบน้ำหล่ะ”
“วุ้ย เรื่องมากจริงๆ เจ้าบ้านี่” อ้าวๆ เดี๋ยวปัดดึงผ้าแถบออกเลย
“ก็อาบมันตรงเวจนั่นแหละ แกชอบตรงไหนก็อาบเอาตามใจเถิด ประเดี๋ยวจะถึงเวลาอาหารค่ำ คุณหลวงท่านจะไม่รอเอา”
“เออ รู้แล้วน่า” ผมว่าพลางถอดเสื้อออก พร้อมกับกางเกง เหลือแต่ กางเกงในตัวเดียวที่ใส่มาตั้งแต่ตอนมาที่นี่
“หยิบผ้าให้หน่อยสิ” ผมเดินไปยืนข้างหลังเจ๊ฟันดำ แกหยิบผ้าขาวม้า ผืนใหม่ ก่อนหันมาจะยื่นให้ผม
ทันทีที่เธอหันมา เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นขึ้น
“ว้ายยยยยยย เปรต เปรต” เธอร้องพลางทิ้งผ้าขนหนูเอามือปิดตา ขาสั่นกระทบพื้นบ้านพั่บๆ “ผีเปรตเจ้าข้าเอ้ย ช่วยลูกช้างด้วย ผีเปรต”
ผมตกใจหน้าซีด รีบหยิบผ้าขาวม้ามาปิดก่อนจะกระโดดลงนั่งกอดเจ๊ฟันดำแน่น
“ไหนๆ เปรตอยู่ไหน” ผมหันซ้ายหันขวา ตกใจด้วยความกลัวผีขึ้นสมองโดยกำเนิด เจ๊ฟันดำเห็นผมกอดแน่น แกก็ลืมตาขึ้นดูกลับกรี๊ดหนักกว่าเดิม
“แหว๊กกกกกกกกกกก คุณพระคุณเจ้าช่วยอีอ่ำ ด้วยเจ้าค่า ผีเปรตจะเข้าสิงอีอ่ำแล้วเจ้าค่า..........”แกตะโกนเสียงสั่น แต่ ยิ่งเจ๊แกตะโกนมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตกใจกลัวกอดแกแน่นมากแค่นั้น เจ๊แกกรีดๆ ดิ้นไปดิ้นมา ผมก็ไม่ยอมให้แกหนี ตาก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกลัว เจ๊แกกรีดร้องอยู่ไม่นาน แกก็ชักกระตุกๆ ตาเหลือก ลิ้นแลบออกมาก่อนจะหมดสติไป.......................
เจ๊อ่ำฟันดำถูกหามออกไปปฐมพยาบาลในสภาพน้ำลายฟูมปากชักแหง๊กๆ นายสนเดินมาถามว่าเกิดเรื่องอะไร ผมก็เล่าให้ฟัง
“เจ้านี่มันบ้าเสียจริง อีอ่ำมันมิได้ตกใจตื่นเพราะเห็นผีเปรตดอก มันตกใจที่เห็นเจ้าแก้ผ้าโทงๆตะหาก” สนอธิบาย
“อ้าว งั้นหรอกเหรอ โธ่ นึกว่าเห็นผี กลัวแทบตาย .........คนที่นี่นี่ Acting ยอดเยี่ยมจริงๆ น่าจะไปเป็นดารานะ จ้างห้าร้อยเล่นไปแสนแปด”
ผมบ่นพึมพำตามประสา นุ่งผ้าขาวม้า พาดผ้าอีกผืนไว้บนบ่า มือถือตะเกียงเจ้าพายุ เดินตรงไปยัง “เวจ” ที่เจ๊ฟันดำบอก
“ไหนวะ ส้วมน่ะ ปวดขี้ชิบหายแล้ว” ผมเดินหา เวจ ที่เจ๊นั่นบอกไม่เจอ ตอนนี้ข้าศึกก็บุกมาประชิดด่าน เอาท่อนไม้กระทุ้งประตูอยู่เนืองๆ
“อูยๆ” ผมส่งเสียงเราเบาๆ พริ้วๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่แม่น้ำ
“หรือจะเป็นนั่นวะ” ผมเพ่งมองสิ่งก่อสร้างเพียงแห่งเดียวบริเวณนั้น มันเป็นไม้กระดานขนาดสี่เหลี่ยมที่เอามาปลูกเป็นหลังโดยที่หลังคามุงด้วยทางมะพร้าว รอบๆเต็มไปด้วยกอใบเตยใบเท่าแขน
“เนี๊ยะอ่ะนะ เวจ!!!” ผมอุทานอย่างผิดหวังอย่างแรง
“โอ้ย นี่มันส้วมหรือเล้าเป็ดวะเนี๊ยะ” ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปผลักประตู
“ผ่างงงงงงงงงงงงงง”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ผมกรีดร้องอยู่ในใจเนื่องจากไม่สามารถส่งเสียงออกมาทางปากได้ เพราะกลัวขี้แตก
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นลานดินที่กั้นด้วยไม้กระดานเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีสองคนอยู่ข้างใน เมื่อก้มลงมองก็จะพบกับความจริงที่ว่า
“นี่หรือคือชีวิต”
เพราะภาพเบื้องหน้าเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดไว้โดยมีโอ่งฝังลงไป ปากโอ่งนั้นถูกปิดไว้ด้วยไม้กระดานแยกออกจากกันเหลือพื้นที่ตรงกลางปากโอ่ง คงไม่ต้องใช้สูตรเคมีใดๆก็พอเดาออกว่ามันเอาไว้ทำอะไร ซ้ายมือก็จะเห็นเข่งหรือภาชนะอะไรสักอย่างที่ทำด้วยไม้ไผ่ ภายในนั้นบรรจุเต็มไปด้วย ใบตองแห้งและ...........กาบมะพร้าว
ผมยืนตัวสั่นเทา สยดสยองกับภาพเบื้องหน้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาอุดปาก ก่อนที่ผมจะกัดเล็บปากสั่น
“โอ้ ไม่นะ ไม่จริง ชั้นมาทำอะไรที่นี่” ผมคิด สั่นหัวไปมารับความจริงตรงหน้าไม่ได้
“ไม่มีทาง ไม่มีทางที่กูจะขี้ตรงนี้ ไม่มีทางที่กูจะขึ้นไปเหยียบบนปากโอ่งนั่น ถ้าไม้กระดานหักขึ้นมา มีหวังกูไม่กลายเป็น เชฟชุบทองรึไง แล้วยังจะให้เอากาบมะพร้าวมาเช็ดตูดอีก บรื๋ออออ” เมื่อนึกถึงภาพนั้น ผมถึงกับเบือนหน้าหนี รับไม่ได้กับความโหดร้ายทารุณที่จะเกิดกับก้นของผม
“ไม่มีทางให้ตายก็ไม่ขี้” ผมตัดสินใจเลือกทางเดินด้วยแต่เองโดยการหันหลังกลับ
“ปุด ปูดด ปูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” แต่มันไม่ทันการณ์แล้วตอนนี้ ข้าศึกกำลังพังด่านออกมาแล้ว นายกองกำลังนำทัพออกมาแล้วววว
“ไม่”
“ปูด”
“ไม่”
“ปูดดดดดดดดด”
“ไม่”
“ปูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
“ไม่........................ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยย” ท้ายที่สุด ผมก็หนีชะตากรรมครั้งนี้ไปไม่พ้น
...
“มิไปเยี่ยมอาการอีอ่ำมันหน่อยรึ ได้ยินมาว่าอาการปางตาย” หมอนั่นแซวขณะที่นั่งรอผมกินข้าวอยู่กลางเรือน ที่บริเวณนั้นถูกทำเป็นศาลาหลังเล็กๆ
ผมเดินมาอย่างช้าๆระมัดระวัง
“นั่นเจ้าไปโดนอะไรมารึ ทำไมถึงได้เดินขาถ่างเยี่ยงนั้น” หมอนั่นอมยิ้ม กลั้นหัวเราะ ผมรู้ว่ามันต้องรู้แน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ้านี่มันบ้าสมกับชื่อเจ้าเสียจริง” แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหมอนั่นหัวเราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมค่อยๆเดินมาก่อนจะระมัดระวังในการหย่อนตูดลงนั่ง
“ยังมีหน้าจะมาหัวเราะอีก นี่บ้านเมืองนายตอนนี้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน รึไง ยังไม่มีส้วมอีกเหรอ ฉันนึกว่าสมัยนี้เขามีส้วมใช้กันแล้ว ” ผมบ่น
“มี” หมอปีย์ตอบ
“หา มี” ผมทำหน้าตื่น
“ใช่ อยู่หลังเรือน เวจที่เจ้าใช้นั้นเป็นของบ่าวไพร่มัน อีอ่ำมันมิรู้ความ ฟังได้แค่นั้นก็กระเดียดคิดเสียว่าเจ้าถามถึงเวจที่พวกมันใช้ขี้ใช้เยี่ยว”
ผมหันไปมองเจ๊อ่ำ ที่นั่งดมยาอยู่ข้างๆ สายตาเขียวปัด แกสบตาผมก่อนจะทำท่าชักกะเด่วๆอีกรอบ
“ทานอาหารเถิดพ่อ นี่ก็เลยเวลามาโขแล้ว”
ผมมองสำรับอาหารที่วางไว้บนถาด ภายในนั้นนั้นมีอาหารที่ผมไม่รู้จักอยู่หลายชนิด แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตอนนี้ผมหิวใส้จะขาด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คว้าช้อนหมับ โซ้ยแหลก................
...