ผมเปลี่ยนไปทำงานที่สำนักงานกฎหมายเฟนวิคแอน์เวสต์หลังจากที่ว่างงานอยู่ราวๆสองเดือน นั่นเป็นช่วงสองเดือนที่ผมมีความสุขมากๆถ้าไม่นับเรื่องแกสที่มีส่วนถึงหนึ่งเดือน แต่จะว่าไปเรื่องแกสก็ไม่ได้แย่มากนักหรอกนะ ผมได้ทั้งเซกส์ ประหยัดเงินค่าอาหาร ค่าเหล้า เบียร์ แถมยังมีคนทำความสะอาดให้ฟรีๆอีก
อันที่จริงผมรู้ว่าผมเกลียดการเป็นนักกฎหมายแค่ไหน แต่ก่อนการเป็นนักกฎหมายที่ผมเคยคิดนั้นไม่เคยมีภาพของการนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ในสำนักงานที่ไร้ชีวิตชีว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ห้อมล้อมด้วยกลุ่มคนที่โคตรน่าเบื่อืและต้องทำงานที่แสนจะไร้สาระ แต่โชคร้ายและไอ้ที่ผมว่ามาทั้งหมดนี้เป็นงานที่นักกฎหมายต้องทำ เมื่อคุณมีอาชีพเป็นนักกฎหมาย งานของคุณคือการจัดการปัญหายุ่งยากให้คนอื่น ประทับตรายางเพื่อให้งานของใครซักคนถูกกฎหมาย และที่สำคัญเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินให้แก่คนที่มัวแต่ไปทำเรื่องอื่นๆที่เขาคิดว่าสำคัญกว่า คนที่ทำงานให้กับยาฮู คิสโก และเน็ตวิคโซลูชั่น(พวกนี้เป็นลูกค้าของสำนักงานที่ผมทำอยู่ทั้งนั้น) ต่างก็ได้อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนผมน่ะเหรอ?ต้องมานั่งทำอะไรไม่รู้ที่แสนจะปัญญาอ่อน ไร้สาระและเฮงซวยที่สุดโยเฉพาะที่นี่
เวลาที่ผมเบื่อหรือเซ็งจัดๆผมจะงุ่นง่านเหมือนลิงลงแดงจนกว่าจะหาอะไรที่ผมทำแล้วรู้สึกดีขึ้นได้ ตอนนี้ในสำนักงานกฎหมายทำให้ผมเบื่อสุดๆ คุณว่าผมควรทำไงดี? อดทนกับความเบื่อหน่ายต่อไป หรือใช้พลังงานแห่งความสร้างสรรค์ที่ผมมี? เปล่าเลย ผมไม่ได้ทำอะไรที่ว่ามานั่นซักอย่าง ผมเลือกที่จะเมาหัวราน้ำและทำตัวงี่เง่าไปวันๆ(ตอนนั้นผมโทษความสบายช่วงสองเดือนที่ว่างงาน ทำให้ผมเคยตัวกับความรื่นเริง) ผมเมามันทุกวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่มีเหล้าให้กินฟรี ในตอนนั้นผมมีหลักการว่า ถ้าการเป็นนักกฎหมายที่นี่มันไม่น่าสนใจ ผมจะทำให้มันน่าสนใจเอง!
วันศุกร์แรกที่ผมอยู่ที่นั่น สำนักงานมีการจัดประชุมเพื่อวางแนวทางความร่วมมือทางธุรกิจในช่วงฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาผมกับรูมเมท(คาลอสเป็นทั้งรูมเมทและเพื่อนร่วมงานที่นั่นของผม)ไปร่วมงานเปิดตัวนิตยสารโซม่าที่ซานฟรานซิสโกมา แน่นอนผมเมาสุดๆแถมยังหิ้วนางแบบในงานนั้นไปนอนด้วยอีกต่างหาก เช้าวันศุกร์ผมตื่นขึ้นมาในตอนหกโมงเช้าและพบว่าตัวเองนอนอยู่ที่บ้านของแม่สาวคนนั้นที่โอ๊คแลนด์ ผมรู้ตัวทันทีว่าเมื่อคืนผมทำอะไรไม่ได้คิดถึงอนาคตเลย ก็โอ๊คแลนด์กับที่ทำงานของผมมันอยู่ใกล้ๆกันซะที่ไหนล่ะ แถมผมต้องไปถึงที่ทำงานตอนเก้าโมงเช้าเพื่อเข้าประชุมด้วย
สิ่งแรกที่ผมทำคือ ค้นกระเป๋าถือของเธอ ซึ่งนอกจากจะเจอถุงยางเพียบแล้ว แล้วก็ยังเจอใบขับขี่ของเธอ ซึ่งทำให้ผมรู้จักชื่อของเธอในที่สุด จากนั้นผมก็ปลุกเธอ เธอบอกผมว่าเมื่อคืนเธอขับรถมาให้ผม แต่เธอขับไปที่พักผมที่เม้าเทนวิวไม่ไหว แล้วเธอก็มีธุระที่ไหนซักแห่งตอนสิบโมงด้วย นั่นก็หมายความว่าผมจะต้องใส่ชุดไปเที่ยวเมื่อคืนไปทำงาน มันก็ไม่เลวร้ายหรอกถ้าไม่นับคราบเหล้า อ้วก แล้วก็ฉี่ (เป็นไปได้ว่าอาจจะมีคราบของเหลวอื่นๆอีกด้วย)
คืนนั้นระหว่างทางเราแวะเข้าไปในร้านแจ็คอินเดอะบ็อกซ์ คุณไม่ต้องถามผมหรอกนะว่าอาหารขยะที่เธอกินเข้าไปนั้นมันทำให้หุ่นเธอแห้งเป็นหุ่นไล่กาได้ยังไง ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ แต่ถ้าให้ผมเดานะ เธอคงเป็นประเภทที่กินอะไรเข้าไปแล้วก็ล้วงคอให้อ้วกเพื่อรักษาหุ่นน่ะ
ตอนที่จอดรถ เหล้าที่ผมดื่มมาในระดับน่าจะตายได้ทำให้ผมอยู่ในสภาพเมาเละ ผมโซเซลงจากรถของเธอไปหลังพุ่มไม้ แล้วก็อ้วกและฉี่ไปพร้อมๆกัน ลองคิดดูว่าลำพังการบังคับไม่ให้อ้วกเลอะตัวเองเวลาเมามันยากขนาดไหน แล้วนี่ผมต้องทำมันไปพร้อมๆกับฉี่ แน่ล่ะมันเลอะตัวเองแหงๆอยู่แล้ว ตอนนั้นผมแก้ปัญหาโดยการใช้ที่ดับกลิ่นปากและซ่อนคราบฉี่ไว้จนมันแห้ง แถมแม่นางแบบนั่นยังยอมให้ผมสอยอยู่อีกต่างหาก ผมแน่มั้ยล่ะ
ในที่สุดผมก็มาถึงที่ประชุมด้วยสภาพเมาค้าง ตาแดงก่ำ กลิ่นตัวเหม็นเหมือนขยะ แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ ผมก็ประคองตัวรอดมาได้จนพักเที่ยง ช่วงบ่ายบริษัทให้เราจับคู่กับพันธมิตรทางธุรกิจจากนั้นก็ให้แนะนำถึงสิ่งต่างๆของกันและกัน เพื่อที่จะมานำเสนอให้ที่ประชุมรู้ว่าเราได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง เมื่อจับคู่เสร็จผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับไอ้คนที่เป็นคู่ผมดี ผมเลยบอกเขาไปว่า เมื่อคืนผมออกไปเที่ยวมาทั้งคืน ทำให้วันนี้ผมมองไม่เห็นอะไรเลย เพราะคอนแทคเลนส์ของผมหล่นหายไประหว่างที่พยายามจีบสาวๆอยู่ แล้วเขาก็ดันทะลึ่งลุกขึ้นประกาศเรื่องนี้ให้ทุกๆคนฟัง ผมก็ว่ามันตลกดี แต่เจ้านายผมไม่ยักขำ ไอ้เวรเอ๊ย! กูโปรงานอยู่...
สัปดาห์ต่อมา จอร์ช คาโนวา เจ้านายของผมมาที่ห้องทำงานที่ผมซึ่งมีเด็กฝึกงานอีกสองสามคนนั่งตกลงงานกับผมอยู่ เขาพล่ามอะไรให้เราฟังเยอะแยะ แต่ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเวบบอร์ดกรีดี้แอสโซซิเอท และเขาแทบไม่เชื่อว่าค่าจ้างสำหรับพวกโปรงานและเด็กฝึกงานของสำนักงานเฟนวิคจะขึ้นได้เร็วขนาดนี้ และสิ่งเหล่านี้ทำให้การทำสิ่งต่างๆของสำนักงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผมจะสรุปเรื่องสำคัญๆให้ฟังแล้วกัน
ในช่วงใบไม้ผลิที่ผ่านมา สำนักงานเฟนวิคเพิ่งจะประกาศว่าจะจ่ายค่าจ้างเด็กฝึกงานอาทิตย์ละแค่ 2,100เหรียญและค่าจ้างคนโปรงานแค่ 5,000 เหรียญ ซึ่งต่ำกว่าสำนักงานส่วนใหญ่ในนิวยอร์ค ลอสแอนเจลลิชและชิคาโก ซึ่งให้อาทิตย์ละ 2,400 และ 5,500 เหรียญ เท่ากับสำนักงานในเมืองใหญ่อื่นๆ
แล้วไอ้เรื่องที่ว่ามันสำคัญยังไงล่ะ ผมนี่แหละที่มีส่วนอย่างมากในการทำให้สำนักงานเฟนวิคและสำนักงานอื่นๆในซิลิคอนวัลเลย์เพิ่มค่าจ้างเท่ากับสำนักงานส่วนใหญ่ คุณสงสัยล่ะสิว่ามันเป็นไปได้ยังไง ผมต้องยกความดีความชอบให้กับอินเตอร์เนทและอิทธิพลของเวบ infirmation.com
Information.com เป็นเว็บไซด์เกี่ยวกับอาชีพนักกฎหมาย นอกจากนั้นในเว็บไซด์ยังมีเวบบอร์ดที่ใครจะเข้าไปฝากข้อความไว้ก็ได้ เว็บบอร์ดจะแบ่งเป็นหลายกระดานตามเขตต่างๆเช่นนิวยอร์ค ซิลิคอนวัลเลย์ ชิคาโกและที่อื่นๆ เว็บบอร์ดเหล่านี้เรียกว่ากรีดี้แอสโซซิเอชั่น ซึ่งเป็นช่องทางที่สำนักงานต่างๆ จะเข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับค่าจ้าง สวัสดิการ เงื่อนไขในการจ้างงานฯลฯ โดยไม่ต้องเปิดเผยชื่อจริง เหตุการณ์ที่เป็นตัวจุดชนวนเกิดขึ้นเมื่อกุลเดอสันซึ่งเป็นสำนักงานเล็กๆในแถบซิลิคอนวัลเลย์ ขึ้นเงินเดือนเด็กฝึกงานของสำนักงานตนเองจากเดือนละ 10,000 เหรียญเป็นเดือนละ 12,500 เหรียญส่วนของพวกโปรงานก็อีกเท่าตัวของเด็กฝึกงาน แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาเผยแพร่ไว้บนเว็บบอร์ด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเด็กฝึกงานและพวกโปรงานแบบผมก็มาแลกเปลี่ยน ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์ต่างๆของสำนักงานของตนผ่านเว็บบอร์ดกรีดี้แอสโซซิเอชั่น
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หุ้นส่วนของสำนักงานใหญ่ๆให้ความสนใจกับเว็บบอรืดนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่ามีข่าวซุบซิบอะไรเกี่ยวกับสำนักงานของตนหรือคู่แข่งหรือไม่ พวกเขาไม่อยากตกข่าว เพราะสมติว่าหากสำนักงานเอ มีการเปลี่ยนแปลงการให้ผลประโยชน์ อาจทำให้นักกฎหมายและพนักงานกับเด็กฝึกงานไหลไปอยู่กับสำนักงานนั้นแทน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสำนักงานบี อาจจะต้องเสียบุคลากรไป
แล้วไอ้เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ? ในตอนนั้นสำนักงานในนิวยอร์คประกาศออกมาว่าจะให้ค่าจ้าง 5,500และ 2,400 เหรียญสำหรับเด็กฝึกงาน พวกเราทุกคนต่างก็ตั้งตารอให้สำนักงานในซิลิคอนวัลเลย์ประกาศบ้าง(ตอนนั้นสำนักงานเฟนวิคมีคู่แข่งสำคัญๆอยู่ 3 รายคือ คูเลย์ วิลสัน และโบรแบ็ค) เฟนวิคเป็นสำนักงานแรกที่ประกาศออกมาว่าจะจ่ายแค่ 2,100 และ 5,000 เหรียญเท่านั้น
ผมเซ็งสุดๆ ผมเลยรีบเอาข้อมูลนี้ไปตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ดเขตซิลิคอนวัลเลย์ของเวบ information ทันทีแล้วใช้นามแฝงอีก 4-5 ชื่อเข้าไปปั่นกระทู้ว่าการตัดสินในของเฟนวิคมันเฮงซวย กดขี่ข่มเหงแค่ไหน ใครจะไปยอมรับข้อเสนอถูกๆของมันได้ฯลฯ นอกจากนั้นผมยังใช้ชื่ออื่นๆเข้ามาเล่นบทฝ่ายตรงข้ามอีกเพื่อความแนบเนียน วันแรกที่มีคนเข้ามาตอบกระทู้ราว 20 นั้นเป็นของผมเสียเอง 10 ผมยังปฏิบัติการของผมต่อไปอีก 3 วันโดยให้ความถี่น้อยลงนิดหน่อย
หลังจากที่เฟนวิคประกาศนโยบายมาได้อาทิตย์หนึ่ง กระทู้ที่ผมตั้งกลายเป็นกระทู้ฮอตจนทำให้วิลสันตัดสินใจประกาศว่าจะจ่ายค่าจ้างให้ 5,500 และ2,400สำหรับเด็กฝึกงาน ทำให้สำนักงานอื่นๆในซิลิคอนวัลเลย์ตัดสินใจอย่างรวดเร็วรวมทั้งเฟนวิคด้วย
เอาล่ะกลับมาที่เรื่องของเรากันดีกว่า และแล้วผมก็มานั่งอยู่ที่นี่ ฟังผู้รับผิดชอบในการจ้างพนักงานของสำนักงานกฎหมายรายใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์เล่าให้ฟังเรื่องกระทู้ที่ผมเป็นคนปั่นเองเพื่อให้ได้ค่าจ้างที่ผมพอใจ
“ตอนแรกผมก็ไม่คิดหรอกนะว่าพอประกาศจะจ่ายอาทิตย์ละ2,100 และ5,000เหรียญเว็บบอร์ดนั่นแทบจะระเบิด แล้วสำนักงานอื่นๆก็แห่กันเพิ่งค่าจ้างกันหมด เรื่องมันเป็นอย่างนี้แหละ” จอร์ชสรุป
ให้ตายเหอะ!ตลอดเวลาที่ผมนั่งฟังเขาพูด ผมให้ความพยายามทั้งหมดให้การกลั้นขำหัวเราะ และคิดในใจว่า”ไอ้ความเอ๊ย กูนี่แหละเป็นคนปั่นกระทู้เอง”
หลังจากนั้นจอห๋ชก็ขอคุยกับคมเป็นการส่วนตัว เขาพาผมเข้าไปในห้องประชุมสองต่อสอง แล้วก็เริ่มตักเตือนผมเกี่ยวกับชื่อเสียงของผม ด้านไหนน่ะเหรอ? ก็ด้านความเป็น “พ่อหนุ่มเจ้าสำราญ” ในหมู่พนักงานด้วยกันไง ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกแย่หรอกนะที่มีชื่อเสียงด้านนี้ ที่ผมทำตัวอย่างนั้นไม่ใช่ผมไม่ชอบหรอกนะที่ได้เงินอาทิตย์ละห้าพันห้าร้อยเหรียญ แต่ผมเกลียดการเป็นนักกฎหมายก็เท่านั้นเอง เขาพยายามทำให้ให้สนทนาดูไม่สลักสำคัญอะไรและเตือนแบบอ้อมๆ แต่ผมไม่ใช่พวกที่ตีความคำเตือนอ้อมๆเก่งกาจอะไรหรอก และถึงผมจะตีความออกมันก็เรื่องอะไรล่ะที่ผมต้องเชื่อเขา
สองสามวันต่อมาผมยังคงทำตัวงี่เง่าอีกสอสามเรื่อง แต่ผมจำรายละเอียดไม่ได้หรอกนะ เพราะไอ้เรื่องที่ผมทำน่ะ สมองผมไม่ได้คิดว่าเป็นเหตุการณ์สลักสำลัญอะไร แต่คนอื่นๆกลับมองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เช่นมีวันหนึ่ง ผมนั่งโทรศัพย์อยู่ในสำนักงาน จู่ๆก็มีเจ้าหน้าที่สรรหาพนักงานใหม่เข้ามาในห้องผม เธอถามผมว่าผมคุยโทรศัพท์กับใครอยู่ ผมตอบเธอว่า “อ๋อ ผมโทรไปฟังฮอตไลน์สายสยิวอยู่น่ะครับ” แน่ล่ะใครจะโทรไปจริงๆแต่แม่นี่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงแถมคิดว่ามันเป็นเรื่องบัดสีมาก
วันต่อมาผมถูกเรียกให้ไปนั่งประชุมร่วมกับผู้ที่จะมาเป็นลูกค้า หุ้นส่วนฝ่ายบริหารและนักกฎหมายอาวุโส ลูกค้าที่ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือเด็กโง่ท่าทางเป็นลูกคุณหนูที่เพิ่งเรียนจบจากสแตนฟอร์ดมาหมาดๆ ผมก็เพิ่มรู้เหมือนกันว่าแกสเป็นจิตกรด้วย เพราะจากที่ผมรู้แค่เบื้องต้นคือเขาทำงาน(ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตำแหน่งไหน)ในบริษัทกางเกงยีนส์ราคาแพง นักลงทุนที่เป็นศิษย์เก่าของสแตนฟอร์ดดแนะนำว่าแกสควรจะร่วมมือกับเขา และกำหนดราคาเริ่มต้นของผลงานศิลปะของเขา ถึงแม้ผมจะเคยหักอกเขามาก่อนแต่เขากลับฟังข้อเสนอของผม ผมบอกกับเขาตรงๆว่าไม่เคยได้ยินว่าใครจะต้องการร่วมมือกับศิลปินหน้าใหม่มาก่อน นี่มันเรื่องตลกหรือเปล่า ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องอนาคตความมั่นคงในการทำงานและการขายหุ้นของเขาด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเดวิด โบวี่(*) คงแนะนำให้เขารับข้อเสนอที่ว่าอย่างเป็นทางการแล้วขายหุ้นออกไปเพื่อให้มีคนทำงานให้เขา แต่ผมบอกให้เขาสนใจเลิกสนใจไอ้นักลงทุนนั่น เพราะมันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศิลปะเลย แต่มันคงต้องการเข้ามาเป็นนายหน้าหรือผู้จัดการให้เขาทำงานศิลปะออกขายและแสดงมากกว่า ดังนั้นการเข้าร่วมครั้งนี้จะทำให้เขาเสียผลประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ข้อเสนอแบบที่ว่ามานี่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในแวดวงศิลปะ และที่สำคัญที่สุด มันเป็นข้อเสนอที่ปัญญาอ่อนสิ้นดี ผมคิดว่าการประชุมครั้งนี้กำลังไปได้สวย แต่หุ้นส่วนบริหารกลับไม่คิดอย่างนั้น เขาอดูจะไม่ชอบใจเอามากๆ ที่ผมบอกว่าข้อเสนอของนักลงทุนนั่นปัญญาอ่อน(ผมเดาว่านักลงทุนนั่นคงเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในซิลิค่อนวัลเลย์) หลังเราประชุมเสร็จแกสพยายามเดินเข้ามาคุยแบบส่วนตัวกับผม แต่ค่อนข้างโชคดีที่ผมสามารถเลี่ยงออกมาได้ ทำให้ผมข้ามผ่านบทสนทนาที่อาจจะชวนกระอักกระอ่วนไปได้
วันต่อมาจอร์ช คาโนวาเรียกผมเข้าไปพบในห้องทำงาน แล้วเขาก็เตือนผมเรื่องความประพฤติอีกครั้ง ผมคงไม่ต้องบอกนะว่าไม่มีใครในเฟนวิคบอกว่า จะไม่ทนกับผมอีกแล้ว อันที่จริงตอนนี้ก็ไม่มีใครทนผมแล้วแล้วล่ะ แต่เรื่องที่ตามมากลับเป็นข่าวดี นักฎหมายกับหุ้นส่วนบริหารที่ผมเข้าไปประชุมด้วยเมื่อวันก่อนบอกว่าผมทำงานดีมาก และพวกเขาก็ชอบผม แน่นอน ผมถือเอาสิ่งที่จอร์ชบอกเป็นหลักยึดว่าผมจะทำอะไรก็ได้ที่ผมอยากทำ(เพราะตราบใดก็ตามที่ผลงานของผมออกมาดี ก็ไม่มีใครมีปัญหาใช่ไหม? แต่ไม่ใช่ตอนที่ผมทำตัวแบบ คาแบลท์ ฮูแซกที่แท้จริงหรอกนะ) แล้วเขาก็ปิดท้ายว่า “ผมเห็นคุณที่ทำในเวบเอสเอฟเกิร์ลเมื่ออาทิตย์ก่อนนะ ผมว่ามันตลกดี”
อะไรนะ! เขารู้ได้ยังไง ผมนึกในใจ จอร์ชพูดอีกว่า “เรื่องกรงหมาน่ะขำสุดๆ ขำจนผมน้ำตาไหลเลย ขนาดเมียผมมาเห็นเข้ายังว่าขำเลยคุณ แน่ละ ผมไม่อยากให้คุณเอ่ยชื่อสำนักงานเฟนวิค หรือนักเต้นระบำโป๊อ้วนๆชาวเปอร์โตริโก้ลงไปในนั้นหรอก ต่คุณรู้ไหม ว่าผมรู่ว่าคนที่เอาเรื่องไปลงน่ะคุณแน่ๆ” ผมว่าผมไม่เคยบอกใครในเฟนวิคเลยนะ ตอนนั้นผมก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเหมือนทอม ครูซ ในเรื่องเดอะเฟริ์ม(**)เลยนะคุณ แต่ต่างกันตรงที่ผมตัดสินใจที่จะไม่สนใจต่อคำเตือนและจะเป็นตัวของตัวเองต่อไป
วันศุกร์ต่อมาสำนักงานของผมมีจัดงานประมูลขึ้นที่ซิลเวอร์ราโดเรนซ์ในนาปาวัลเลย์ ผมกับคาลอสขับรถไปที่นั่นตอนบ่ายวันศุกร์เพื่อเปิดห้องพักที่โรงแรม จากนั้นก็มารวมตัวกับคนอื่นๆที่ล็อบบี้ โดยงานเลี้ยงเริ่มตอนประมาณทุ่มหนึ่ง โดยเริ่มเสิร์ฟค็อกเทลกับออเดิร์ฟก่อน พอสามทุ่มการประมูลเพื่อการกุศลก็เริ่มขึ้น ผมลงไปที่นั่นตอนหกโมงสิบห้านาที ยังไม่มีอะไรให้กิน แต่มีซุ้มเครื่องดื่มที่เพียบไปด้วยเหล้านานาชนิดอยู่หลายซุ้ม อ้อ! แต่ก็มีกุ้งค็อกเทลกับบัคลาวา(***) นิดหน่อยอาจจะพอกินได้สามสี่คน แต่นั่นก็ถือว่ายังไม่มีอาหารให้กินเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ดี คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ คนที่จัดงานนี้ไม่เคยรู้หรือไงว่าถ้ากินเหล้าโดยไม่มีอะไรรองท้องจะเกิดอะไรขึ้น....
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
David Bowie นักร้อง นักแสดง นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ มีความสามารถหลากหลาย
The Firm ภาพยนตร์จากนวนิยายของจอห์น กริชแมนเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักกฎหมายหนุ่ม(แสดงโดยทอม ครูซ)ที่เข้าไปพันพันกับความลับของสำนักงานกฎหมายที่ตัวเองทำงานอยู่
Baklava ขนมพื้นเมืองแถบคาบสมุทรบอลข่าน ทำจากแป้งคล้ายๆพาย ไส้ทำจากถั่วต่างๆบดผสมกับน้ำตาลและน้ำผึ้ง

edit เพิ่มรูปคาเรกเตอร์คาแบลท์ ฮูแซก

