ตอนที่ 39
=====================ตอนสาย ค่ายของเราก็ร้างอีก พอท่านเซอซัสตื่นมาก็รีบผลุนผลันไปแต่งตัวและคงโผล่ไปนำทัพแบบสายๆ ท่านบอกว่าวันนี้จะนำทัพไปไกลหลายไมล์ฮะ ต้องตัดผ่านแนวผา อะไรของท่านก็ไม่รู้ ผมฟังไม่ถนัดเพราะยังง่วงอยู่
“ท่านเซอซัสโกหกผม ท่านบอกท่านบาลิธเรื่องของเรา ”ผมพูดในผ้าห่ม เพราะรู้สึกโกรธฮะ
“บ้ะ! ดูซิ นากัล เจ้าเลียนแบบคำพูดของพวกมเหสีหรือ? ” ยักษ์ใช้ร่างใหญ่กอดรัดผม ผมดิ้น
“ข้าห้ามฝ่าบาทแล้ว แต่เขาไม่ยอม อีกอย่างเมื่อคืนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก”
“ท่านเซอซัสทนดูผมถูกทำได้หรอฮะ” ผมโผล่หน้าออกมา แกล้งหน้าบึ้ง
“ท่านเซอซัสไม่ได้รักผมหรอก”
“เฮ้ย…! พูดเพ้อไปน่ะ เจ้าเด็ก… ” ท่านส่ายหน้า ขยี้ผมรุงรัง
“ข้าต้องรีบไปแล้ว ข้าสาย เจ้าอย่าโกรธข้าเลย” เขาพยายามจะจับผมไปจูบ แต่ผมเบือนหน้าไม่ยอม
“ไม่เอาหน่า” ท่านประคองแก้มผมไว้ กดน้ำหนักลงมาบนตัว
“เจ้าก็รู้ว่า สถานะมันลำบาก..เรื่องของข้ากับเจ้าน่ะ อย่างน้อยข้าได้กินเจ้าไม่ใช่หรอ? ” ท่านกระซิบ งับหูผมเล่น
ผมแพ้ฮะ พอสายตาเราเชื่อมกัน แววตาร้ายๆนี้ก็กลืนกินผมไปอีกครั้ง ริมฝีปากเราเข้าหากันทันที
ท่านจูบผมดูดดื่ม ครั้งแล้วครั้งเล่า….
…
..
.
คาบสอง เมยาเข้ามาลากผมทำความสะอาดห้องท่านบาลิธ ผมรับปากจะทำเองทั้งหมดคนเดียว เมยาดูผอมและซีดไปมาก เธอไม่ชอบทานเนื้อนก
ผมกำลังนั่งขัดพื้นครืดๆอยู่ริมระเบียง มีเสียงคนเดินขึ้นมา
เด็กหนุ่มร่างผอมยาว กับผมเลอะเทอะ
“ข้าเอาอาหารมาให้” กิลวางชามลง
“นกกระจอกเทศแดดเดียวสำหรับมื้อกลางวัน นกกระจอกเทศทอดสำหรับมื้อเย็น นกกระจอกเทศต้มมันฝรั่งสำหรับมื้อดึก”
ผมพูดเป็นกลอน กิลหัวเราะพลางนั่ง
“สะเบียงเราเหลือแต่นก”กิลว่า มองหน้าผม
“…พวกโจรออกมากันแล้ว ท่านบาลิธเล่าอะไรให้เจ้าฟังบ้างรึเปล่า?”
“ไม่” ผมส่ายหัว กัดเนื้อแก้มตุ่ย “ท่าน-ไอ้พูด เอื้องพวกนี้กับข้าอ่อก”
กิลขมวดคิ้วกังวลๆ
“เจ้าจะต้องออกไปกับพวกทาสผู้หญิงแล้วนะ”
“อื้ม….ข้าอู๊ ร่องเรือออกไปทางแม่น้ำที่เราไปตากเนื้อ ท่านบัทเป็นคนนำขบวณ…เนื้อนี้เหนียวชะมัด!”
“มันไม่ง่ายอย่างงั้นน่ะสิ นากัล” กิลส่ายหน้า
“พวกโจรมีแผนอะไรไม่รู้ ถ้ามันหาค่ายพวกเราเจอก่อน เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย”
“แต่ข้าไปพรุ่งนี้แล้วนะ กิล” ผมพูดเชิงปลอบ
กิลชะโงกหน้าเข้ามา เพื่อกระซิบ
“มันมีมากกว่าสองร้อย! สามคืนก่อน ทัพเราเจอพวกมันกำลังเดินทางออกจากหุบเขา ทัพเราตีพวกมันแตกกระเจิง พวกทหารบอกว่า สังหารไปเกือบร้อยแล้ว แต่ยังมีพวกที่ซุ่มยิงธนูอีก เจ้าเคยนับจำนวนทหารของเราที่กลับมาบ้างรึเปล่า?”
ผมส่ายหัว อ่า..นั่นสิ ผมเห็นว่าท่านบาลิธมีแผลบ้าง แต่ไม่เคยสังเกตุ…รู้แต่ท่านเซอซัสแทบไม่มีแผลใหม่เลย
“ทหารพวกเราตายไปหลายสิบคนแล้ว ยังมีพวกตามป่าเขาอีก พวกโจรเปอร์เซียไม่ใช่แค่โจรกระจอก”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าบอกข้าเรื่องนี้ทำใมอะ?” ผมงง
กิลถอนหายใจ “โจรพวกนี้ อาจจะรับงานจากราชวงศ์เปอร์เซียโดยตรงก็ได้ ไม่ใช่โจรท้องถิ่น เจ้าเข้าใจมั๊ย นากัล!?” พอผมทำหน้าเอ๋อใส่ กิลก็ดูไม่พอใจขึ้นเอามากๆ
“พวกเขามีจำนวน เพิ่มขึ้น…เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนทางนู้นส่งมาเรื่อยๆ ข้าว่าเปอร์เซียกำลังเริ่มบุกภาคท้องถิ่นแล้ว…ท่านบาลิธไม่เคยบอกอะไรเจ้าเลยรึไง!??”
ผมเริ่มฉุนนิดๆ “ข้าไม่รู้นี่หน่า! ก็ท่านบาลิธไม่เคยบอกเลย ท่านเหนื่อย กลับจากรบก็พักผ่อน- -” เสียงผมแหลมเล็กจนหายไป
พอพวกท่านกลับมาก็ยิ้มแย้มให้ผมปกติ แล้วก็…ทำเรื่องอย่างว่ากับผมนี่หน่า
“ทำใมเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ! นากัล!!”
“ก็ข้ามีหน้าที่ผ่อนคลายพวกเขา!!!!” ผมตะโกนออกไปลั่น
…. กิลเงียบสนิท ผมรู้สึกโมโหจนมือตัวเองสั่นนิดๆ
…
.
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะว่าเจ้าเรื่องนั้น..”
ผมนั่งห่อใหล่
ก้มมองเนื้อในชามตัวเอง
ผมหยิบมาฉีกเป็นเส้นเล็กๆ ก่อนเอาเข้าปาก
ยังไม่มีใครเอ่ยอะไร…
“…เจ้าแค่” กิลค่อยๆเริ่ม “ควรจะสังเกตุฟัง หรือ ถามบ้าง”
ผมเม้มปาก
“มันจะดีกับตัวเจ้าเองนะ นากัล”
“อือ..” ผมอ่อนลงเมื่อเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของกิล
“ข้าจะพยายาม ขอบคุณที่เอามาให้นะ”
ผมดันชามคืนกิล กลับไปคลานขัดระเบียงต่อ….
“พอเสร็จแล้วเจ้ามาเล่นกับข้าสิ ข้าจะพาไปหาผลไม้อร่อยๆในป่า”
“ได้ เดี๋ยวข้าไป- -” ผมยิ้มน้อยๆ โบกผ้าขี้ริ้วให้
กิลกระโดดโหยงเหยงลงบันใด ทำเอาเส้นผมสีดำลู่ลมสวย
เป็นครั้งแรกที่อยู่ๆ ผมก็มีความคิดประหลาดๆขึ้นมาอะ ความคิดที่ผมไม่เคยนึกมาก่อน
แต่มันทำให้รู้สึกโปร่งโล่งมาก เหมือนท้องฟ้าไร้ขอบเขต ผมคิดว่า
ถ้าผมไม่ต้องนอนกับผู้ชายอีกเลย ก็ดีสิฮะ ผมจะทำได้รึเปล่าน๊า?? (แต่เว้นท่านเซอซัสไว้เถอะนะ)
ผมอยากไปวิ่งเล่นกับ กิล เอลลี่ แฝด ชาทรัช เด็กคนอื่นๆ …และ ลูกหมูของผม ‘เจ้างุ่น’
มีอิสระ…
มีเสรีภาพ…
=============================================
ผมรู้ว่าท่านเซอซัสขู่กิลไว้ว่าอย่างไร ถ้าเขาพาผมไปเที่ยวอีก แต่กิลดูไม่ทุกข์ร้อนเลย ผมจึงทำเป็นลืม
ป่ายามเย็นสวยงามมากเลยฮะ ไอเย็นฉ่ำจากพื้นดินหญ้า และ แมกไม้เขียวชอุ่ม ไรแดดทอผ่านช่องว่างระหว่างใบ ส่องลงมาเป็นเส้นๆ
“ระวังน้ำฝนบนใบไม้สูงๆนะ”
กิลจับต้นแขนผม
“มันจะทำใมหรอ?”
“มันก็จะราดลงมาบนหัวเจ้าน่ะสิ” เขาพาผมเดินต่อ พวกเราสวมรองเท้าหนังหลวมๆ ย่ำลงไปในโคลนถึงข้อเท้า
“ไม่หรอก ถ้าข้าเลือกต้นที่อยู่บนหัวเจ้า”
ผมแกล้งเขย่ากิ่งไม้ยึกยัก
“ระวังแมลงด้วย!”
“เจ้านี้จู้จี้จริง”
“หัวหน้าข้าเป็นผู้เฒ่าขี้บ่น เชื่อเถอะ ข้าไม่ใช่คนเรื่องมากหรอก… เจ้าเคยเห็นคนกลัวแมลงในเล็บเท้าตัวเองไหมล่ะ? ท่านผู้เฒ่าสั่งให้เอาน้ำมะนาวล้างขาก่อนนอนทุกครั้ง”
ผมเลิกคิ้วฉงน “ขนาดนั้นเลยเรอะ?” ผู้เฒ่าของกิล ก็คือชาวยิวสินะ
เราเดินลุยป่ามาเรื่อยๆ จนพวกไม้สูง บางตาลง แล้วเราก็เจอ บริเวณวงกลมที่หญ้าขึ้นไม่สูง
“ทับทิม ต้นทับทิมเยอะจัง” ผมร้องตาวาว
“ข้าตามพวกสาวใช้มาเก็บผลไม้ที่นี้ มันเคยเป็นวัดเก่า”
ผมวิ่งไปดูรอบๆ มีซากอิฐจมอยู่ในดินด้วยฮะ! แล้วเหนือพุ่มไม้ใหญ่ ผมก็เจอรูปปั้น
“มีรูปปั้นคนตรงนี้ด้วยอะ สวยจังเลย”
ผมจ้องใบหน้าบนหินผุพัง
“เขาหน้าเหมือนเจ้าเลย ฮะๆๆ ” ผมหันไปบอกกิล
“บ้าสิ เหมือนเจ้านั่นแหละ”
“ข้าไม่มีคางเหลี่ยมๆซะหน่อย”
กิลเดินไปเด็ดดอกไม้สีน้ำเงิน มายีๆในมือ แล้วก็เดินกลับมา ละเลงกลีบบนตาของรูปปั้น
“เจ้า..ทำอะไร”
ตารูปปั้นถูกโปะด้วยกลีบดอกไม้สีน้ำเงิน
“นี่ไง ตาเหมือนเจ้าแล้ว เหลือแค่เอา หญ้าแห้งๆสีเหลืองพวกนี้ไปผูกไว้บนหัว ”
ผมหัวเราะร่า
พวกเราปีนขึ้นบนรูปปั้น ช่วยกันผูกหญ้าสีเหลือง เพื่อให้คล้ายผมสีทอง
“ฮ๊า…สำเร็จแล้ว ลอร์ดนากัลผู้ยิ่งใหญ่” กิลล้อ เรานั่งกินทับทิม บนสันกำแพงวัดที่เหลืออยู่
“เขาเป็นใครหรอ?”ผมถาม เงยมองผลงาน
“เจ้าไง”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงรูปปั้นจริงๆน่ะ ปั้นเป็นใคร?”
“ก็คงนักรบซักคนละมั๊ง”
“เจ้ารู้มั๊ย…เศรษฐีอ้วนคนหนึ่งเคยบอกจะปั้นรูปปั้นข้า” แวบนึง ผมก็นึกถึงท่านอ้วนขึ้นมา
กิลหัวเราะ “ปั้นเจ้าเนี่ยนะ? ไหงงั้นล่ะ”
“ไม่รู้ซี เขาตะโกนลั่นตอนที่ประมูลข้าให้ท่านบาลิธได้ ข้าอยากรู้จริงๆว่าเขาสร้างมันรึเปล่า” ผมยิ้มขำ “นึกแล้วคงสยองน่าดูแหละ เดินไปตอนดึกๆแล้วเจอรูปปั้นตัวเองเข้าในสวนที่ไหนซักแห่งน่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“มันคงไม่เหมือนตัวจริงเจ้านักหรอก”
“เขาคงปั้นข้าเปลือย…. น่าขยะแขยงชะมัด” ผมพ่นเมล็ดทับทิมลงไปที่หญ้า
“ถ้าวันหนึ่ง เจ้ามีโอกาศได้เป็นรูปปั้น ข้ามั่นใจว่า เจ้าจะได้ใส่เสื้อผ้าแน่นอน นากัล” กิลพูดอย่างมั่นใจ
“…” …นั่นทำให้ผมเขินจนหน้าแดง
แววตากิลเปล่งประกาย เขายื่นมือมาลูบปอยผม ราวเอ็นดู …
==================================
ดึกวันนั้น เมยาพาผมมาช่วยจัดข้าวของขึ้นเรือออกไปจากหุบเขาเฮนน์
เรานั่งอยู่หน้ากองไฟ ข้างที่พักคนงานยิว ท่านบาลิธกำลังประชุมกับท่านเซอซัสและหัวหน้าทหารอยู่ในศาลาเดิม
พวกทหารลดจำนวนลงจริงๆ พวกม้าก็มีบาดแผลกันมาก ผมเห็นชาวยิว นั่งพันแผลม้าในแสงริบหรี่
“นากัลไปเอาพวกเครื่องเทศ กระเทียมต่างๆที่เหลืออยู่ในครัวมาให้ข้าหน่อย แล้วค่อยกลับมาจัดของต่อ”
“ฮะ”
ผมลุกขึ้นไปทำตามที่เมยาสั่ง
จังหวะนั้นเอง ที่มีเสียงประหลาดขึ้น…
เป็นเสียงเหมือนของใหญ่ๆตกดังตุบ!!
“อะไรน่ะ? ” พวกคนงานชายบางคน ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อไปดู
“กรี้ดดดดดดดดด!!!!!” มีเสียงสาวใช้ที่อยู่อีกฝากหนึ่งของค่ายกรี้ดลั่น
ผมวิ่งกลับมาดู พวกผู้ใหญ่กั้นผมไว้ใต้แขน ทุกคนต่างมองไปที่
?? อ่า…มันคืออะไรน่ะ
วัตถุเหมือนถุงใหญ่ๆอะฮะ….. ตกอยู่กลางลานค่าย
ทันใดนั้น ธนูลูกหนึ่ง …!!! ที่มีไฟ ก็พุ่งด้วยความเร็วมาปักลงที่ถุง
เปลวไฟลุกโชนภายในวินาทีเดียว!!!!!!
“กรี้ดดดดด!!!!” เมยากรีดร้อง ผมวิ่งลอดแขนคนงานออกมา เพื่อเห็นให้ชัดขึ้น
มันไม่ใช่ถุงที่ผมเข้าใจ มันคือ กองศพเป็นสิบๆที่ถูกมัดพันกัน….กองศพที่สวมชุดทหารของเรา!!! กำลังถูกเผาอยู่กลางค่าย
พวกทหารกรูกันออกมาที่ลานเร็วจนแทบจะไม่ทันมอง ทุกคนถืออาวุธ พวกที่เฝ้ายามบนหอคอย หันมาส่งสัญญาณ แล้วเสียงคนรอบตัวผมก็เปล่องแข่งกันแซงแซ่
“มันมากันแล้ว!!! มันมากันแล้ว!!!”
ผมเห็นท่านเซอซัสวิ่งไปที่ประตูค่ายแล้วฮะ ท่านบาลิธปีนขึ้นไปบนหอคอย
“พร้อม!! ยิง!!”
พวกทหารยิงธนูออกไปนอกค่ายฮะ!!! ศรนับสิบพุ่งทะยานหายไปในความมืด ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงคน ลั่นอยู่นอกกำแพง!! แค่ชั่วขณะเดียว คนงานวิ่งหนีกันอลหม่าน ผมวิ่งไปอย่างไร้ทิศทาง
มีเสียงร้องจากคนในค่ายดังหนักไปอีก เมื่อลูกศรติดไฟ ถูกยิงสวนกลับมา
“ท่านเซอซัส!!!” ผมร้องลั่น ศรีษะกระแทกสะโพกของผู้ใหญ่ที่กำลังวิ่งจนเจ็บ
“ท่านเซอซัส!!!”
ผมจะวิ่งไปหาท่านเซอซัส ลูกธนูไฟเป็นเหมือนห่าฝนพุ่งลงมาแล้ว และมันก็
“อ้ากกกกก!!” คนงานชายที่กำลังวิ่งอยู่ใกล้ๆผมถูกเสียบเข้าที่ลำคอ
ผมเปล่งเสียงร้องโหยหวญออกมาไม่ได้ศัพท์ รู้สึกว่าน้ำตาแห่งความตกใจนองหน้า
แต่ขาผมยังวิ่งไปไม่หยุด ผมมองไม่เห็นอะไรแล้วฮะ ทุกคนเบียดเสียด เหยียบกันไปหมด
“ผู้หญิงและเด็กไปที่แม่น้ำ!!! เดี๋ยวนี้!!” ทหารชูดาบสั่งในความโกลาหล
ผมถูกดันล้มลงไปที่พื้น จุกสีข้างจนพูดไม่ออก
ท่านเซอซัส ท่านบาลิธ ผมเงยหน้ามองหาเลิกลั่ก
อย่าเป็นอะไรนะฮะ…. ขอร้องล่ะ
“นากัล!!” เสียงหนึ่งดังจากข้างหลัง
“ลุกขึ้นเร็ว!!” กิลฮะ กิลลากผมขึ้นจากพื้นด้วยแรงมหาศาล “ตามข้ามาทางนี้ พวกมันบุกมาแล้ว!!”
“ไม่!!” ผมกรีดร้องดังที่สุด จะวิ่งไปที่ประตูค่าย “ท่านเซอซัส!!”
กิลเกี่ยวรัดเอวผมไว้ ผมดิ้นแรงมากอย่างไม่คิดชีวิต “หยุด!!นากัล!! เจ้าต้องมา”
กิลลากผมอย่างรุนแรง จับผมล็อคเอาไว้ ผมร้องให้ไม่ได้สติ กิลดึงผมไปตามทาง
เขาแรงเยอะมาก โอบเอวผมไว้แล้ววิ่งไปข้างหน้าปราณลมกรด
ผมยังร้องชื่อท่านเซอซัสซ้ำๆอยู่เหมือนคนบ้า
หูผมอื้อ ตัวผมชาไปหมด ทำใมมันถึงเกิดขึ้น… ผมมองไม่เห็นเขาแล้ว
… มองไม่เห็นแล้ว
ผมยังไม่ได้ลาเลยฮะ…ไม่ได้ลาเลย
ไม่ได้กอดร่างใหญ่ๆที่ผมต้องการมากกว่าอะไรในโลก
ร่างกายผมสั่นไปหมด ซักพัก ขาผมก็ลอยจากพื้น
กิลทั้งลากทั้งอุ้มผมออกมาด้วยร่างกายของเด็กวัยเดียวกัน เขาพึมพำปลอบผมไปตลอดทาง แต่ผมไม่ได้ยิน
“ท่านเซอซัส….” ผมครางเสียงแหบ
กิลพาผมออกมาจากกำแพงค่าย ในเส้นทางมืดแคบและรก ผมมองไม่เห็นแสงไฟอีกแล้ว….
==============================
สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่เคารพแง้วว ขอบคุณสำหรับคอมเม้นและกำลังใจสำหรับตอนที่แล้วนะคะ
จริงๆ คนเขียนก็ไม่เคยอ่านหรือเขียนแนวดราม่าเท่าไหร่ เพราะชอบนิยายแอกชั่นผจญภัยเป็นทุนเดิมค่า
ไม่รู้ว่านี้เรียกว่า มาม่า อย่างที่เขาเรียกกันรึเปล่าหว่า?? งิๆๆๆ
ติดตามตอนต่อไปน้ะค๊า ผู้อ่านที่รักของเรา ตอบคำถามค่า
เรื่องตอบจบเป็นความลับน่ะสิ ^^ อิอิ แต่ว่า คนเขียนคิดว่าคงไม่โศกโศกาหรอกค่ะ ยังไงก็เป็นเรื่องเด็กน้อยนี่เนอะ (ขนาดเป็นเรื่องเด็ก = =" ) หนูนากัลมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นค่ะ คงเจิดจ้าไปได้อีกหลายเลย