เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus  (อ่าน 2506657 ครั้ง)

ออฟไลน์ justlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
 :sad11: ...กาซิก..กาซิก  น้ำตาไหลเป็นทางแล้ว
สงสารนู๋ริวเป็นที่สุด  เด็กขนาดนั้นคงไม่รู้ด้วยว่าความตายคืออะไร
ได้นอนกอดแม่ที่แข็งและเย็นเฉียบ ก็ยังอบอุ่นได้...น้ำตาหยดติ๊งๆๆๆๆแล้ว

..........พลีส....มาต่อหน่อยเถอะ มันเศร้าเหลือเกิน พี่ไผ่ทำอะไรอยู่ อย่าลืมกอดปลอบนู๋ริวหน่อยนะ :m15:

ออฟไลน์ ChiOln

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
โอ๊ย เศร้าได้อีกหนูริวน่าสงสารมาก ๆ เลย T T

kaewkaewkaew

  • บุคคลทั่วไป
 :o12: very sad

น่าสงสารมากมาย

ออฟไลน์ Na_RimKLonG

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
โอ๊ยยย

หนูริว น่าสงสารได้อีกกก


ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
น่าสงสารน้องริว เด็ก 8 ขวบเจอเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิตเลยนะ

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
Re: เธอคือ...ลมหายใจ b
«ตอบ #65 เมื่อ19-08-2010 23:13:40 »

เฮ้อ เด็กเล็ก กะห้องเก็บศพ  :กอด1:

รูปอีกใบรูปไผ่รึเปล่าหว่า อิอิ

อ๋อ สุขสันต์ วันสำคัญของ writer ค้า

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
ตอนที่ 13


ความโกลาหลตามมาเมื่อพยาบาลพบว่าริวหายไป  ขณะที่ทุกคนตามหากันวุ่น  เจ้าหน้าที่ห้องชันสูตรก็ถึงกับผงะเมื่อพบริวนอนหลับอยู่กับศพ  ร่างเย็นเฉียบราวกับถูกแช่แข็ง

ริวถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินทันทีเพราะนอกจากอาการไข้เดิมแล้วยังมีอาการปอดบวมแทรกซ้อน  กว่าริวจะออกจากโรงพยาบาล  ศพของแม่ก็ถูกฝังเรียบร้อยแล้ว  ศาสตราจารย์อัลเบิร์ตรับริวมาเป็นลูกบุญธรรมเพราะริวไม่มีญาติที่ไหนอีก  เขาพาริวไปอยู่บ้านในชนบทเพื่อให้ลืมความทุกข์

แต่ดูเหมือนฝันร้ายจะไม่เคยหายไป  ริวไม่ยอมเปิดใจรับการบำบัด  เอาแต่ซุกตัวอยู่มุมห้อง นั่งกอดตัวเอง  และทุกครั้งที่เผลอหลับริวก็ต้องกรีดร้องจนผวาตื่นด้วยความหวาดกลัว  เพราะฝันเห็นแต่ตอนที่แม่ถูกฆ่า


“ดิฉันคิดว่าควรส่งตัวเด็กไปบำบัดในโรงพยาบาลนะคะ”  นักจิตวิทยาที่มาดูแลริวบ่นอย่างอดรนทนไม่ได้  เพราะริวไม่ยอมให้เธอแตะต้องตัว  ริวยังเด็กมากเสียจนหมอไม่อยากให้ยาระงับประสาท  มีเพียงอัลเบิร์ตเท่านั้นที่ริวยอมให้เข้าใกล้  แต่ริวก็ยังไม่ยอมพูดกับเขาอยู่ดี


“ผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง  ถ้าแกเป็นเด็กธรรมดาๆ  อีกไม่นานแกก็จะลืมความทุกข์  แต่แกเป็นเด็กอัจฉริยะ  สมองแกจดจำได้ราวกับผู้ใหญ่  ความคิดความอ่านก็โตกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก  ผมกลัวแกจะ...แย่ลงเรื่อยๆ”

ริวได้ยินสิ่งที่ทุกคนพูดกันตลอดเวลา  แต่หัวใจริวเจ็บปวดเสียจนไม่อยากรับรู้  โลกที่ไม่มีแม่  ช่างว่างเปล่าเหลือเกิน  ความรู้สึกเหมือนในอกกลวงว่าง  และเย็นยะเยือก  ทุกอย่างรอบตัวเหมือนถูกฉาบด้วยสีดำ.........ไม่ว่าจะกอดตัวเองสักแค่ไหน........ก็ไม่เคยรู้สึกอุ่นอีกเลย.....

สิ่งที่ศาสตราจารย์วัยเกษียณคิดได้คือลองหาอะไรให้ริวทำ  และสิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือดนตรี  ศาสตราจารย์อัลเบิร์ต เลือกเพลงที่คิดว่าริวน่าจะชอบมาลองเปิดให้ฟัง  ดูเหมือนจะได้ผลเมื่อริวมีอารมณ์ร่วม  ริวอ่อนไหวตามเพลง  ยิ่งเป็นเพลงที่คุ้นเคย  ริวก็จะเปิดฟังซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ  บางครั้งก็นั่งฮัมเพลงแล้วโยกตัวไปมา  ขณะที่ในสมองกลับมองเห็นแต่ภาพของแม่ที่กอดริวแน่นๆ ก่อนไปทำงานทุกวัน

ศาสตราจารย์อัลเบิร์ตซื้อเครื่องดนตรีมาให้ริวเล่น  แต่ชิ้นแรกที่ริวชอบเล่นก็คือกลอง

ริวไม่ได้เล่นมั่วซั่ว  แต่เล่นตามที่ได้ยิน  ไม่ว่าเพลงที่ได้ฟังมาจะมีโน้ตยังไง  ริวสามารถเล่นตามได้หมดทั้งที่ไม่เคยมีใครสอน  แม้บางเพลงจะได้ยินเพียงครั้งเดียว  แต่ริวก็เล่นตามได้  ศาสตราจารย์อัลเบิร์ตจึงลองหาเพลงบรรเลงของเครื่องดนตรีอื่นๆ มาให้ริวฟัง  ริวก็ยอมเปลี่ยนไปเล่นเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ ตามใจอัลเบิร์ต  ริวเรียนรู้อย่างรวดเร็วแล้วซึมซับเอาบทเพลงเป็นเครื่องเยียวยาหัวใจ  จนถึงขั้นหมกมุ่นอยู่กับเครื่องดนตรี  ริวแต่งเพลงได้ตั้งแต่ตอน 9 ขวบเท่านั้น

อาการซึมเศร้าของริวดีขึ้นเรื่อยๆ  แม้จะยังฝันร้ายอยู่ทุกคืนก็ตาม...แต่ถึงอย่างนั้น ริวก็ยังไม่ยอมพูดกับใครอยู่ดี  กระทั่งคืนวันหนึ่งที่ ศ.อัลเบิร์ตเกิดอาการหัวใจวายกำเริบ  ริวเป็นคนโทรแจ้งรถฉุกเฉินและคอยดูแลอัลเบิร์ตจนถึงโรงพยาบาล


“ริว...”

ริวลุกไปนั่งข้างเตียงทันทีที่อัลเบิร์ตเรียก


“เธอเป็นคนโทรแจ้ง 911 เหรอ...ขอบใจมากนะริว ที่ช่วยชีวิตฉัน”

ริวจ้องมองหน้าอัลเบิร์ตอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าไปจับปลายนิ้วก้อยของอัลเบิร์ตเขย่าเบาๆ


“ห้ามตายนะ”


“หืม? เธอพูดงั้นเหรอริว  เธอพูดเหรอเนี่ย! พระเจ้า! ถ้ารู้ว่าฉันป่วยแล้วเธอจะยอมพูดละก็ ฉันยอมป่วยตั้งนานแล้ว”


“ไม่เอา...สัญญาสิว่าจะไม่ตาย”


“ริว....เด็กน้อยที่รักของฉัน  ฉันสัญญาไม่ได้หรอก  คนป่วยแบบฉันมันก็เหมือนเปลวเทียนในสายลม  มันจะดับไปตอนไหนก็ไม่รู้  เธอต่างหากที่ยังมีอนาคต  มีชีวิตที่สดใสรออยู่  จำได้ไหมที่แม่เธอเคยพูดว่า ร่างกายของเธอทั้งหมดมาจากแม่น่ะ  อย่าลืมซะล่ะ  ถ้าไม่ดูแลรักษาร่างกายน้อยๆนี่ให้ดี  ก็เหมือนไม่ดูแลสิ่งสำคัญของคุณแม่นั่นแหละ  เข้าใจไหม”


“ถ้าไม่มีอัลเบิร์ต  แล้วผมจะอยู่กับใคร”


“มีหรือไม่มีฉันเธอก็ต้องอยู่ต่อไป  โลกนี้ยังต้องการอะไรจากสมองอันปราดเปรื่องของเธอมากมาย...ที่สำคัญ  เธอคือสิ่งที่แม่เธอรักและภูมิใจมากที่สุด  เป็นเหมือนตัวแทนโลกหน้าของแม่เธอยังไงล่ะ  ถ้าเธอเป็นเด็กดี  ก็เหมือนกับแม่ของเธอได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าเธอเป็นคนไม่ดี  แม่เธอก็เหมือนตกนรก  เข้าใจไหมริว”


“โธ่พ่อครับ  ริวยังเด็กอยู่เลยนะครับ  สอนซะขนาดนั้นแกจะไปเข้าใจได้ยังไง” อลันที่คงย่องเข้ามาสักพักแล้ว เอ่ยขัดคอขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้


“ผิดแล้วอลัน  ริวเข้าใจสิ่งที่พ่อพูดดี  ใช่ไหมริว”


“ครับ...แต่...ไม่รู้แหละถ้าอัลเบิร์ตตายผมก็จะตายด้วย  ไม่มีอัลเบิร์ต  ผมก็ไม่รู้จะอยู่กับใครนี่”


“อย่าคิดแบบนั้นเป็นอันขาดนะริว  โลกนี้ยังมีใครอีกคนรอเธออยู่นะ จริงอยู่ว่าวันนี้เธออาจจะยังไม่เจอ  แต่วันหน้าเธอต้องได้เจอคนๆ นั้นแน่ๆ  เชื่อฉันสิ”

อัลเบิร์ตสอนริว  แต่ดวงตากลับทอดเหม่อ  ริวรู้ดีว่าอัลเบิร์ตคงกำลังคิดถึงภรรยาของเขาที่ตายไปแล้ว  อัลเบิร์ตรักภรรยามาก  แม้เธอจะตายไปหลายสิบปีแล้ว  แต่อัลเบิร์ตก็ไม่คิดจะแต่งงานใหม่  และเขามักจะบอกริวว่า  เธอเกิดมาเพื่อเขา และเขาก็เกิดมาเพื่อเธอ..........................

 

“แต่ริวไม่รู้ว่า  ริวจะทนได้แบบอัลเบิร์ตหรือเปล่า   ถ้าริวต้องเสียคนที่รักไปอีกครั้ง...ริวคง...คงทนไม่ได้หรอก...แค่ครั้งเดียวนั่นก็เจ็บจนเหมือนจะตายแล้ว”  ริวเงยหน้าขึ้นสบตากับพสุ  แล้วเอนหัวมาอิงบนเข่าของพสุอีกครั้ง

พสุค่อยๆผ่อนลมหายใจยาวด้วยความสงสาร  เขาเพิ่งเข้าใจว่าทำไมเวลานอนริวถึงชอบเปิดแอร์เย็นเยือกขนาดนั้น  คงเพราะห้องเก็บศพคือสถานที่สุดท้ายที่ริวได้สัมผัสกับแม่  ริวถึงชอบนอนห้องเย็นๆ  เพื่อหวนกลับไปหาความอบอุ่นใจเหมือนตอนนั้น


“พี่ไผ่...”


“ครับ?” พสุชะงักมือที่กำลังลูบผมนุ่มเหมือนขนแมว  แล้วก้มลงมองหน้าเด็กหนุ่ม


“พี่ไผ่กอดริวหน่อยได้ไหม” ริวอ้อนแล้วส่งสายตาวิงวอนไปให้  สายตาที่ทำให้คนถูกมองใจอ่อนยวบได้เสมอ


“อ้อนอะไรละเนี่ย...”  แม้จะบ่นอย่างนั้นแต่พสุก็ยอมกอดเด็กหนุ่มแต่โดยดี  ด้วยความสงสารในสิ่งที่ริวเจอ


ริวยืนตัวแข็งเมื่อวงแขนอุ่นโอบรอบตัวเขา  แผ่นอกแน่นตึงที่สัมผัสให้ความรู้สึกแปลก  แปลกจนกระบอกตาร้อนผ่าว  ริวสอดแขนกอดรอบตัวพสุตอบ  แล้วซุกหน้าลงกับไหล่หนา


“อุ่นจัง...ไม่เคยมีใครกอดริวมาตั้งนาน...นานจนริวเกือบลืมไปแล้ว  ว่าเวลาถูกกอดรู้สึกยังไง...” หางเสียงสั่นเครือจนคนฟังรู้สึกได้  ยังความรู้สึกอุ่นชื้นบนไหล่ที่ค่อยๆ แผ่วงกว้างออกไปอีก


“ริว! ร้องไห้เหรอ....ร้องไห้ทำไม?” พสุอุทานแล้วขยับจะดันตัวริวออกมาดูหน้า  แต่ริวขืนตัวไว้  แขนยาวกอดพสุแน่นกว่าเดิม  จนชายหนุ่มต้องปล่อยให้ริวซุกหน้าอยู่อย่างเดิม


“ริวไม่ได้ร้อง  แต่มัน...ไม่รู้สิ น้ำตามันไหลเอง” ริวตอบพร้อมกับเช็ดน้ำตาบนไหล่หนา  เด็กหนุ่มไม่ได้อยากร้องไห้แต่ทำไมน้ำตามันถึงไหลไม่หยุดก็ไม่รู้


“....ไม่เป็นไร  อยากร้องก็ร้องไป  ไม่มีใครเห็นน้ำตาริวสักหน่อย...พี่ก็ไม่เห็น” พสุปลอบพร้อมกับลูบผมนุ่มบนไหล่เบาๆ  เขาเองก็ไม่คุ้นกับการกอดใครแบบนี้  เพิ่งรู้ว่าการได้ให้กำลังใจใครสักคน  มันรู้สึกวิเศษอย่างนี้นี่เอง


........................................

 


พอเห็นทีมโปรดิวเซอร์ที่เข้ามาในห้องประชุมพร้อมเขมชาติ  พสุกับตะวันก็ถึงกับหันมาสบตากัน  ในวงการเพลงไม่มีใครไม่รู้จักคนเหล่านี้  การที่คนระดับนี้มารวมตัวกันได้  แสดงว่าเขมชาติต้องทุ่มทุนไปมหาศาล

ทั้งทีมโปรดิวเซอร์และนักร้องส่วนใหญ่ก็รู้จักกันและกันดีอยู่แล้ว  มีก็แต่ริวเท่านั้นที่ไม่รู้จักใคร  แต่ก็มีพสุคอยแนะนำว่าแต่ละคนเป็นใคร  ชื่ออะไร

เขมชาติเริ่มประชุมทันทีอย่างคนใจร้อน  หลังจากประชุมสรุปแนวทางการทำเพลงของวงคิสมี ซึ่งใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงจึงหาข้อยุติได้  เขมชาติก็เชิญทีมโปรดิวเซอร์ไปทานอาหารด้วยกัน

ส่วน 5  หนุ่มนั้น  ประชุมเสร็จก็กลับไปที่บ้านพัก  ตะวันชวนทุกคนเข้าสตูดิโอ  เพราะเพิ่งแต่งเพลงรวมของวงเสร็จ  จึงอยากให้ทุกคนฟังด้วย


“แบบนี้เป็นไง” ตะวันถามแล้วไล่นิ้วไปตามโน้ตที่เพิ่งแต่งเสร็จให้ฟัง  ริวนั่งฟังนิ่ง  พอตะวันเล่นจบเด็กหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นไปนั่งที่เปียโนแล้วเล่นเพลงของตะวันโดยไม่ต้องเรียกหาโน้ต  แถมยังแก้บางคีย์ในเพลงของตะวันใหม่


“เฮ้ย! เสียงสูงขนาดนั้นใครจะไปร้องได้” ตะวันตะโกนท้วงมาจากคีย์บอร์ด


“พี่ไผ่ร้องได้  ท่อนนี้ให้พี่ไผ่ร้อง” ริวตะโกนตอบแล้วเล่นต่อ


“แต่มันจะโดดจากท่อนอื่นหรือเปล่า” ตะวันแย้งหลังจากหยุดฟังอยู่ครู่หนึ่ง


“ไม่โดด  ท่อนถัดมานี่ต้องให้พี่ไวย์ร้อง  จะประสานกับท่อนฮุคพอดี  แต่แก้โน้ตตรงนี้เป็น....แล้วก็....”  ริวพูดไปเล่นไป  ขณะที่ตะวันก็ลองเล่นตามคีย์ที่ริวแก้


พสุฟังแล้วจดโน้ตตามไปด้วย  ขณะที่ธีรดลเล่นกีตาร์คลอตามไปเรื่อยๆ  เพียงแต่เขาไม่หูเทพขนาดฟังครั้งแรกแล้วจะแม่นโน้ตเปะๆเหมือนอย่างริว

ไวยากรณ์เหลือบมองพสุที  ธีรดลที  ก่อนจะหันไปมองตะวันกับริว  แล้วนั่งหน้าบึ้ง  รู้สึกเหมือนตัวเองไร้ความสามารถอยู่คนเดียว  ขณะที่คนอื่นๆเหมือนคุยกันด้วยดนตรี  ตนเองกลับตามไม่ทันอยู่คนเดียว  ยิ่งท่อนหลังๆ ตะวันกับริวไม่พูดกันแล้ว  แต่ตะวันเล่นแล้วริวก็แก้  ตะวันก็เล่นใหม่ ริวก็แก้อีก  ก่อนที่ตะวันจะพยักหน้าหงึกๆ แล้วเล่นตามริวซะอย่างนั้น


“ตรงนี้มัน....” ริวเอ่ยขึ้นมาลอยๆ  หลังจากเล่นท่อนหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายเที่ยว


“อะไรริว” ตะวันหยุดเล่นเงยหน้ามาถาม


“อยากใส่อะไรลงไป  แบบที่ฟังแล้วเศร้าๆ” ขณะที่ปากพูดอย่างนั้น  ในหัวของริวไปไกลถึงเนื้อเพลงแล้ว


“...ใส่เสียงขลุ่ยลงไปได้ไหม  จะเข้ากันหรือเปล่า”  พสุที่นั่งจดโน้ตเงียบๆ เงยหน้าขึ้นแสดงความเห็น  ริวหันขวับไปทันที


“มันเป็นไงเหรอครับ  พี่ไผ่เล่นให้ฟังหน่อย”


“เดี๋ยวนะ”  พสุลุกออกไป  ครู่หนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมขลุ่ย  ชายหนุ่มลองเสียงนิดหน่อย  แล้วไล่นิ้วไปตามโน้ตที่จดเอาไว้


“โหพี่ไผ่เป่าขลุ่ยเก่งนะ”  ไวยากรณ์ที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่แต่แรกทำตาพอง  แล้วถลามานั่งฟังใกล้ๆ


“ตรงนี้ใส่เสียงขลุ่ยเข้าไปดีกว่า”  ริวเสนอทันทีที่ไผ่เป่าจบ  ตะวันพยักหน้าเห็นด้วย  แล้วก้มหน้าก้มตาจดโน้ต


“พี่ไผ่ๆ  เป่าเพลงนั้นหน่อยสิ  น้ำตาฟ้าอ่ะ” ไวยากรณ์ขอแล้วขยับเข้าไปนั่งจนเข่าแทบเกยเข่าพสุ  พสุพยักหน้ารับอย่างขันๆแล้วหันไปมองตะวัน  ตะวันกับธีรดลจึงเล่นนำขึ้นมาก่อนให้พสุรับด้วยเสียงขลุ่ย  ไวยากรณ์หันไปหยิบไมค์มาจ่อที่ขลุ่ยให้พสุพร้อมทั้งร้องเพลงไปด้วย

ริวนิ่วหน้า  รู้สึกร้อนวาบในอกอย่างบอกไม่ถูก  ไม่ชอบที่เห็นไวยากรณ์มานั่งแทนที่เขาแบบนั้น  ข้างตัวพสุควรต้องเป็นเขาสิไม่ใช่คนอื่น  เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นตรงเข้าไปดึงไมค์ที่จ่อตรงขลุ่ยมาถือให้เอง  แล้วนั่งแทรกลงไปจนไวยากรณ์ต้องถอยหนีไม่อย่างนั้นริวคงนั่งทับไปบนตัวเขา


“อะไรเนี่ยริว!” ไวยากรณ์โวยทันทีที่ร้องเพลงจบ  ริวก้มหน้างุดแล้วขยับเข้าไปจับชายเสื้อพสุไว้แน่นเหมือนจะขอความช่วยเหลือ


“พอเถอะไวย์  น้องไม่ได้ตั้งใจหรอก”  พสุปรามเพราะนึกสงสารที่เห็นริวหน้าจ๋อยๆ


“ไม่ได้ตั้งใจอะไรละพี่  นี่ถ้าผมไม่ถอยนี่คงนั่งตักผมเลยมั้ง จะนั่งทำไมไม่ยกเก้าอี้มา  อยู่ๆ ก็มาแทรก”  ไวยากรณ์โวยวายต่อ  เพราะยังเคืองไม่หายที่ริวแทรกเข้ามาจนเขาเกือบหงายหลังตกเก้าอี้  แถมต้องลุกให้ริวนั่งแทน


“ขอโทษครับ” ริวหันไปไหว้ไวยากรณ์ แล้วก้มหน้างุดๆ เหมือนเดิม  สีหน้าจืดจ๋อยด้วยความรู้สึกผิดของริว  ทำเอาคนขี้โวยวายพูดไม่ออก  แถมพอเหลือบไปมองคนอื่นๆ  เห็นทุกคนมองหน้าเขากันหมดไวยากรณ์ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด

สังคมที่เขาผ่านมา  มีแต่คนต้องคอยเอาอกเอาใจเพราะเขาเป็นซุปเปอร์โมเดลแถวหน้า  แต่ในขณะเดียวกันคนเหล่านั้นก็เหมือนถือมีดไว้ข้างหลังพร้อมจะจ้วงแทงได้ตลอดเวลาถ้าเขาพลาด ไวยากรณ์แม้จะอายุเพียง 19 แต่เขาก็เดินแบบมานาน  และรู้ดีว่าแทบจะหาความจริงใจในโลกมายาใบนี้ไม่ได้  ทุกคนล้วนแก่งแย่งแข่งขันกัน  ต้องเหยียบข้ามหัวคนอื่นเสมอเพื่อพาตัวเองไปให้ถึงจุดสูงสุด

เมื่อต้องมาเจอกับปฏิกิริยาซื่อๆ  ไร้เล่ห์เหลี่ยมของริว  ไวยากรณ์เองก็ทำตัวไม่ถูก  จะขอโทษก็กลัวจะเสียหน้า  แต่จะปล่อยผ่านเลยก็รู้สึกผิดที่เผลอตวาดริวไปซะขนาดนั้น


“เสียงไวย์นี่น่าจะร้องเพลงแนวสนุกๆ ดีนะ  หรือไงตะวัน” พสุเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย  เพราะไม่อยากให้ไวยากรณ์อึดอัดใจไปมากกว่านี้


“อืม...ลองเพลงนี้สิ”  ตะวันตอบรับแล้วเริ่มเล่นเพลงใหม่ขึ้นมา  ไวยากรณ์จึงทำเป็นลุกไปดูโน้ตที่คีย์บอร์ดเพื่อเลี่ยงที่จะมองหน้าจ๋อยๆ ของริวให้รู้สึกผิดต่อไป  พสุลูบหัวริวเบาๆแล้วดึงให้ไปนั่งที่เปียโนด้วยกัน  พอเล่นดนตรีไปได้สักครู่บรรยากาศก็กลับมาสนุกสนานเหมือนเดิม...



..................................

kenshinkenchu

  • บุคคลทั่วไป
สิ่งที่กลัวที่สุดตอนนี้คือ......

กลัวน้องริวจะเป็นเมะอ่ะ 
ขอน้องริวเป็นเคะนะคะ ได้โปรด.......

น้องริวโชคดีมากมายที่คนที่ตัวเองถูกชะตาด้วย  เป็นคนดีขนาดนี้

ออฟไลน์ Noi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-2
ชอบริวค่ะ ทั้งน่ารักและน่าสงสาร
ลืมตาแล้วมาเปิดคอมอ่านคนเราทำกันได้ :laugh: :laugh: :laugh: :bye2:

ออฟไลน์ BP109

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Phantom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 210
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
สงสารริว  :m15:
พี่ไผ่อบอุ่น อ่อนโยนมากเลย
รักพี่ไผ่  :กอด1:

cmos

  • บุคคลทั่วไป
สงสารริวจัง

ออฟไลน์ justlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
 :monkeysad: ดีใจจัง มาต่อไม่ค้างกับความเศร้าความหลังของริวแล้ว

อยู่กันครบทีมก็ดี สนิทกันมากขึ้น แต่ท่าทางนู๋ิริวก็คงยิ่งหวงพี่ไผ่แน่ๆเลย

pattyam

  • บุคคลทั่วไป
ชีวิตน้องริวตอนเด็ก น่าสงสารจริงๆ

ขวัญเอ๊ย ขวัญมา มามะพี่จะกอดปลอบ

หลังจากนี้ไปชีวิตน้องริวคงจะมีความสุข และอบอุ่นขึ้นนะคะ อิๆก็พี่ไผ่จะช่วยเป็นไออุ่นให้น้องริวเอง

ปล. ยังไงน้องริวจะต้องเมะแน่ๆ คาดว่า อิๆ ^^

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
ตอนที่ 14


วันนี้พสุมีงานเปิดตัวสินค้าในห้างใหญ่จึงออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า  ตอนแรกริวก็อ้อนวอนจะไปด้วย  แต่พสุไม่อยากให้เด็กหนุ่มไปเจอคนมากๆ  เพราะเกรงว่าอาจจะไม่สบายอีก  จึงไม่ยอมให้ไปด้วยทั้งที่เกือบใจอ่อนตั้งหลายหน  ดีว่ากรเวชมาตามริวไปวัดตัวกับทีมคอสตูมซะก่อน  พสุจึงไม่ต้องใจร้ายกับเด็กหนุ่มจริงๆ

ทันทีที่ไปถึงงานพสุก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีที่เห็นใครบางคนมาร่วมงานด้วย ในฐานะแขกวีไอพี  แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ  พสุจึงรักษาสีหน้ารื่นเริงสดใสไว้ได้ตลอดเวลา  และยังรักษาภาพลักษณ์พ่อลูกแสนสนิทใส่กล้องให้นักข่าวได้สัมภาษณ์และเก็บภาพกันอย่างเต็มที่


“เลิกงานแล้วคุยกันหน่อย” พ่อสั่งเสียงเครียดแค่พอให้ได้ยินกันสองคน  ก่อนจะหันไปส่งยิ้มกว้างให้กล้อง


“ครับ” พสุรับคำเสียงเรียบทั้งที่อยากจะถอนใจแรงๆ  เขาพอรู้หรอกว่าพ่อจะคุยอะไรด้วย

ทันทีที่งานเลิก  พสุก็ตรงดิ่งขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ ห้างที่จัดงาน  เขาแสร้งทำลืมว่าพ่อเช่าห้องที่นี่ไว้เพื่อให้ใครบางคนพักมาหลายเดือนแล้ว


“แกจะฉีกหน้าฉันอีกหรือไงถึงกลับไปร้องเพลง!”  เสียงตะคอกนำมาก่อนทันทีที่พสุเปิดประตูเข้าไปในห้อง  เด็กสาวร่างอวบที่เดินสวนพสุออกไปยังสะดุ้ง  เจ้าหล่อนรีบลนลานออกจากห้องไปแทบไม่ทัน  แถมยังปิดประตูให้เรียบร้อย


“คุณเขมชาติเป็นคนเสนอให้ผมไปร้องเพลง  ผมไม่ได้ไปสมัคร”


“แล้วมันต่างกันตรงไหนห๋า  เสียงทุเรศๆ แบบแก  ไม่ว่าจะค่ายดังขนาดไหนมันก็ไม่มีปัญญาทำให้มันฟังเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้หรอก”

พสุยังคงตีหน้าเรียบ  ทั้งที่ในอกเจ็บแปลบเหมือนถูกจ้วงแทงด้วยมีดนับสิบๆ เล่ม   ทั้งที่เตือนตัวเองไว้แล้วว่าต้องได้ยินคำพูดแบบนี้  แต่กลับไม่อาจทำใจไม่ให้เจ็บปวดได้ 


“รีบไปขอเลิกสัญญาเดี๋ยวนี้เลยนะ  ถ้ามันเรียกร้องค่าเสียหายเท่าไหร่มาเอาที่ฉัน  ฉันยอมฉิบหายดีกว่าต้องทนให้แกฉีกหน้าฉันอีกเป็นหนที่สอง”


“พ่อมีเงินถึง 100 ล้านเหรอครับ  ถ้ามีผมก็จะไปถอนสัญญาวันนี้เลยก็ได้”


“เงินบ้าอะไร 100 ล้าน”


“ค่าปรับ 10 เท่าของค่าตัวครับ”


“อย่ามาโกหก  นักร้องเสียงห่วยๆ อย่างแก  จะมีใครมาทุ่มเงินเป็นสิบๆ ล้านจ้าง” ทั้งที่ปากว่าอย่างนั้น  แต่สีหน้าตกใจนั้นบ่งบอกว่าพ่อเชื่อว่าค่าตัวของพสุถึง 10 ล้านจริงๆ


“นั่นสิครับ  แต่เผอิญว่าตอนนี้มีแล้ว  แถมยังคุยงานกับทีมโปรดิวเซอร์ไปแล้วด้วย  ทั้งพี่เผ่า  พี่ไมตรีเขาก็...”


“เดี๋ยว! เผ่าไหน?  อย่าบอกนะว่าเป็นทรงเผ่า โกล์ดเรคคอร์ด”


“เผอิญว่าใช่ครับ”


“บ้าไปแล้ว  ทำไมโปรดิวเซอร์ระดับนั้นต้องมาทำงานกับวงบอยแบนด์ห่วยๆ ด้วย”

สีหน้าริษยาของบิดาทำให้พสุขมขื่นจนแทบหลั่งน้ำตา  พ่อโทษมาตลอดว่าเป็นเพราะมีเขา  อาชีพการงานของพ่อถึงหายนะ  พ่อโทษว่าเขาเกิดมาทำให้พ่อไม่มีคนจ้าง  เพราะนักร้องที่มีลูกมีเมียนั้นไม่ได้รับการต้อนรับจากแฟนเพลงอีกต่อไป

พ่อไม่เคยโทษตัวเอง  ทั้งที่สิ่งที่พสุได้รับรู้มาจากอดีตผู้จัดการวง  หรือเพื่อนร่วมงานของพ่อ  คือนิสัยส่วนตัวที่หลงตัวเอง  และเอาแต่ใจตัวเองสุดๆของพ่อต่างหาก  ที่ทำให้ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย  ไม่ว่าพ่อจะเก่งสักแค่ไหน แต่เมื่อขาดคนสนับสนุน  ไม่นานพ่อก็กลายเป็นเพียงตำนานที่ยังมีลมหายใจเท่านั้น


“นั่นสิครับทำไม  คงเพราะคุณเขมชาติเขาเจ๋งพอมั้งครับ  วงบอยแบนด์ห่วยๆ ก็เลยได้โปรดิวเซอร์มือทองมาทำงานให้”


“หึ! ไอ้คนพรรณนั้น  มันก็ดีแต่ตามกระแสละสิ  คิดว่าเอาดารามาร้องเพลงแล้วจะมีแฟนหนังแฟนละครตามไปซื้อเทปหรือไง  เหอะ! ขายได้ถึงหมื่นแผ่นก็เก่งแล้ว”


“สมัยนี้เขาให้โหลดทีละซิงเกิ้ลกันหมดแล้วครับพ่อ  มัวรอให้ทำอัลบั้มคงไม่ทันพวกเทปผีซีดีเถื่อนหรอก”


“อย่ามาทำยอกย้อนฉัน!”


“ครับ...แล้วไงครับ  ถ้าพ่อไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว  ตอนเย็นวันนี้ผมต้องเข้าไปคุยงานด้วยสิครับ”


“ไสหัวไปเลย  อยากไปไหนก็ไป  แกมันไอ้ลูกทรพี  ดีแต่หาเรื่องมาให้  ฉีกหน้าฉันไม่ได้เว้นแต่ละวัน”

พสุยกมือไหว้พ่อแล้วเดินออกมาเงียบๆ  แม้จะได้ยินเสียงขว้างปาข้าวของแตกกระจายตามหลังมาก็ตาม


……………………………..

 

“พี่ไผ่...” ริวร้องเรียกมาแต่ไกลทันทีที่พสุเปิดประตูห้องเข้าไป  พสุชะงักกึก ความรู้สึกหงุดหงิด  อึดอัด  คับแค้นที่อัดแน่นมาจากข้างนอก  ถูกความไม่พอใจกระทบซ้ำจนหมดความอดทน


“นี่มันห้องส่วนตัวพี่นะ!  ทำไมถือวิสาสะมาอยู่ในห้องพี่  ห้องริวไม่มีอยู่หรือไง” พสุตวาดออกไปแล้วชะงักเมื่อเห็นหน้าริวถนัด  ใบหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่ม  เหมือนจะซีดยิ่งกว่าเดิม

ริวยืนตัวแข็ง  ปากที่เรียกชื่อเขายังอ้าค้างน้อยๆ  ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหุบปากลงพร้อมๆ กับหยาดน้ำเม็ดโตๆ ไหลพรากลงมา  ริวยกมือไหว้เขาแล้วก้มหน้างุดๆ  เดินออกไปจากห้อง

พสุได้สติรีบหันไปคว้าตัวเด็กหนุ่มไว้  แล้วดึงไหล่แข็งเกร็งเพราะเจ้าตัวพยายามกลั้นสะอื้นไว้กลับมา


“โทษทีริว...พี่ขอโทษ...”


“ไม่เป็นไรครับ”  ทั้งที่ปากว่าไม่เป็นไร  แต่ยังก้มหน้างุดๆ ไม่เงยขึ้นสบตาเหมือนเคย  น้ำตายังร่วงจากปลายจมูกโด่งหยดลงบนพื้นไม่ขาดสาย  พสุถอนใจเฮือก  ดึงหัวกลมๆ มาซุกกับไหล่  แล้วลูบหลังเบาๆ


“พี่ขอโทษนะที่ตวาดริว  พี่ไม่ได้ตั้งใจ  พี่หงุดหงิดจากข้างนอก  แต่ดันมาลงที่ริว  ขอโทษนะครับ”


“ครับ...พี่ไผ่ ฮึก!” ริวสะอื้นแรงจนพสุต้องกอดกระชับ  แล้วโยกตัวไปมาเพื่อปลอบ  ทั้งที่คิดว่าเจอเรื่องหนักหนามาจนเกินจะรับอะไรไหว  แต่พอเห็นสีหน้าขาวซีดของริวเมื่อครู่  ความทุกข์ของเขากลับเบาบางลงอย่างรวดเร็ว


“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ  วันนี้ริวดู...สีหน้าไม่ดีเลย”


“พี่ไผ่...ริวไม่อยากเป็นแบบนี้  ริว...พยายามจะอดทนแล้ว  แต่ริวทนไม่ไหวจริงๆ นะ”


“ไหนเล่าให้พี่ฟังหน่อยเร็ว”

วันนี้ทีมคอสตูมมาวัดตัวริวตามที่กรเวชนัดไว้  แต่ปัญหามาเกิดเมื่อเด็กหนุ่มทนให้วัดตัวไม่เสร็จก็อาเจียนออกมาซะก่อน  ริวรู้สึกผิดที่ตัวเองอดทนไม่พอ  ขณะที่กรเวชแก้ตัวให้ว่าเด็กหนุ่ม ไม่สบาย  ทางทีมคอสตูมจึงจะกลับมาวัดตัวริวอีกครั้งในวันพรุ่งนี้พร้อมพสุ


“ริวรู้ว่าเขาไม่ใช่พวกนั้น  แต่ริว...ริวทนไม่ไหว  มันขยะแขยง  มันหายใจไม่ออก...ริวจะทำไงดีครับพี่ไผ่...ริวไม่อยากเป็นโรคจิตแบบนี้เลย”


“ริวครับ  มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ  ริวแค่ฝังใจกับเรื่องร้ายมากเกินไป...ริวก็เหมือนกับคนที่ กลัวที่สูง  กลัวที่แคบ  กลัวความมืด อะไรแบบนั้นแหละ  เพียงแต่สิ่งที่ริวกลัวคือการสัมผัสของคนอื่นเท่านั้นเอง  ถ้าริวค่อยๆปรับตัวไป  พี่ว่าอีกหน่อยริวก็หาย  ไม่อย่างนั้นริวจะทนให้พี่กอดได้เหรอ...ริวรังเกียจพี่ไหมละครับ”


“ไม่ๆ  ริวไม่รังเกียจพี่  ริวชอบให้พี่กอด  เวลาพี่กอดแล้วริวอุ่นใจ”


“นั่นแหละ  ถ้าริวค่อยๆ ฝึกอดทนไปเรื่อยๆ  พี่ว่าอีกหน่อยริวก็จะปรับตัวได้เอง  แล้วริวก็จะหายเกลียดสัมผัสได้  เชื่อพี่สิ”


“ครับ...แล้ววันนี้พี่ไผ่ไปเจอเรื่องหงุดหงิดอะไรมาเหรอ” ริวเงยหน้าขึ้นมาถาม  ทั้งที่น้ำตายังค้างอยู่บนขนตายาว  แต่สีหน้าห่วงใยที่ส่งมาถึงทำให้พสุอดจะลูบหัวเด็กหนุ่มไม่ได้


“หายแล้วละครับ  พอเห็นริวร้องไห้ พี่ก็หายหงุดหงิดแล้วล่ะ”


“ทำไมละครับ”


“ก็พี่ต้องหายหงุดหงิดเร็วๆ เพื่อมาปลอบเด็กขี้แยนะสิ”


“ฮื้ออออ...ริวโตแล้ว”


“หึหึ...จริงนะ  งั้นคืนนี้นอนคนเดียวได้แล้ว  ริวโตแล้วก็ต้องไม่กลัวผีสิ”


“งั้นริวยังเป็นเด็กก็ได้”   ริวรีบยอมรับแต่อย่างนั้นก็ยังทำปากยื่นแก้มพองอย่างขัดใจ  พสุหัวเราะก๊าก  อดดึงแก้มกลมๆ เล่นไม่ได้

หลังจากแยกย้ายกันไปอาบน้ำ  พสุก็กลับมานั่งประจำที่หน้าคีย์บอร์ดเหมือนเคย  ริวตามมานอนพังพาบเล่นโน๊ตบุ๊คอยู่ที่ข้างเก้าอี้  ทำให้พสุต้องคอยระวังเวลาจะลุกขึ้นเพราะกลัวจะเผลอไปเหยียบเด็กหนุ่มเข้า  การที่ริวชอบอยู่ใกล้ๆเขา  พสุคิดว่าเป็นเพราะเด็กหนุ่มคงขาดความอบอุ่นนั่นเอง

กระดาษใบหนึ่งปลิวหล่นจากคีย์บอร์ดของพสุลงมาข้างๆ  ริวหยิบมาดูอย่างสนใจก่อนจะส่งกระดาษโน้ตคืนให้พสุ


“เพลงอะไรเหรอพี่”


“มากกว่ารัก...เคยฟังไหม?” พสุเหลือบมองโน้ตแวบเดียวก็บอกได้  เพราะเพลงนี้ก็เป็นเพลงโปรดที่เขาชอบเล่นประจำ


“พี่ร้องให้ฟังหน่อยสิ”



http://www.youtube.com/watch?v=3fgnEw0ln7A  กรุณากด ฟังเรียกน้ำลาย เอ๊ย! น้ำตา

 



ก่อนเคยเหงา  เคยรู้สึกเหว่ว้า

เคยมองหาความรักนั้นมันอยู่ที่ใด

โลกใบใหญ่เหลือเกิน  มีผู้คนอยู่มากมาย

แต่หัวใจมันกลับเหงาขึ้นทุกที





ริวกระพริบตาถี่ๆ  ลุกขึ้นมานั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ




แต่เมื่อฉันได้พบกับเธอ

สิ่งที่เธอให้ฉันไม่รู้มันคืออะไร

โลกใบใหญ่ใบเดิม  กลับไม่เคยต้องเหงาใจ

แค่ฉันนั้นยังมีเธออยู่ตรงนี้


**เธอเป็นมากกว่ารัก  เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต

ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน

และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ

จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ**





ริวเงยขึ้นมองหน้าพสุค้าง  รู้สึกเหมือนเนื้อเพลงนี้คือคำพูดทั้งหมดที่อัดแน่นอยู่ในใจ  โลก...ที่เปลี่ยนไปเมื่อได้เจอพสุ




หากว่าเธอนั้นคือความรัก

ก็เป็นรักที่ดีจนไม่มีคำบรรยาย

ฉันโชคดีเหลือเกิน  ที่มีเธอเดินข้างกาย

ชีวิตนั้นได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย

**เธอเป็นมากกว่ารัก  เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต

ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน

และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ

จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ**







“อ้าว! ร้องไห้ทำไมริว”


เด็กหนุ่มไม่ตอบ  แต่สะอื้นแรงจนพสุต้องลุกจากคีย์บอร์ดมานั่งข้างๆแล้วลูบหัวเด็กหนุ่มเบาๆ  ริวเอียงหัวซบหน้ากับไหล่พสุแล้วร้องไห้หนักกว่าเดิม  จนชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่นั่งนิ่งๆ  ปล่อยให้เด็กหนุ่มยืมไหล่เขาเป็นที่เช็ดน้ำตา


“เพลงนี้...เพราะจัง...” ริวกระซิบเสียงยังติดสะอื้นอยู่น้อยๆ  พสุถึงกับหลุดหัวเราะพรืด  ตอนแรกเขาใจหายคิดว่าเด็กหนุ่มมีปัญหาอะไรที่แท้ก็อินกับเพลงแค่นั้น


“ใจหายหมด  นึกว่ามีเรื่องอะไรทุกข์ใจเสียอีก”


“พี่ไผ่...อัดเสียงไว้ให้ริวทีสิครับ” 


“เดี๋ยวพี่ไรท์ต้นฉบับมาให้” 


“ไม่เอาอ่ะ  ริวอยากได้เสียงพี่ไผ่”


“เอางั้นเหรอ” พสุถามงงๆ  แต่เห็นสายตาเชื่อมั่นของริวแล้วก็อดยิ้มให้ไม่ได้


“ครับ”


“งั้นริวเล่นคีย์บอร์ดให้พี่หน่อยก็แล้วกัน”  พสุบอกยิ้มๆ  เขาแน่ใจว่าริวต้องเล่นเพลงนี้ได้เพราะพสุเคยทึ่งกับความสามารถนี้ของริวมาแล้ว

คืนนั้นดูเหมือนริวจะฟังเพลงที่พสุอัดเสียงไว้ให้ซ้ำไปซ้ำมาทั้งคืน  เพราะพสุตื่นขึ้นมาตอนไหน  ก็เห็นริวใส่หูฟังนั่งเล่น โน้ตบุ๊คอยู่บนที่นอนของตัวเอง  พสุอยากจะเตือนให้เด็กหนุ่มนอน  แต่เห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจขนาดนั้น  คงจะเล่นเกมเพลินตามประสาเด็กติดเกม  อีกอย่างวันพรุ่งนี้ก็ไม่มีอะไรมากกว่าวัดตัวตอนสายๆ  พสุจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มเล่นเกมต่อไป

.................................

ออฟไลน์ Noi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-2
ตอนที่สงสารพี่ไผ่ค่ะ น้องริวยังน่ารักเหมือนเดิม :L2: :L2:

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ ChiOln

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
ชอบเพลงนี้มาก ๆ เหมือนกัน

//พสุจะรักริวมั้งไมน่า

ออฟไลน์ อิสระ

  • ถ้า add ให้กอด,ถ้า give five ให้จุ๊บ,ถ้า ment ให้เบอร์ คิคิ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-8
    • https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-1433707443445407/?modal=admin_todo_tour
อา....... :o8:
ตกหลุมรักเรื่องนี้เข้าแล้ว :impress2:
จะเป็นไรมั้ยคือ.....
อยากให้ริวเป็นเมะหงะ
ก็ทั้งสรีระ ความรู้สึกหลงใหล  ความห่วงหวง
มันชวนให้จิ้นดี
แล้วรีบมาต่อเร็วๆนะไรเตอร์ :กอด1: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ถึงว่าพี่ไผ่ไม่อยากกลับบ้าน เป็นเค้ามีพ่อแบบนี้ก็คงไม่อยากเจอเหมือนกันนะเนี่ย
ว่าของริวน่าสงสาร พี่ไผ่ก็น่าสงสารอ่ะ มีอดีตที่ไม่สวยงามกันทั้งคู่เลย
ชอบที่เขียนมากเลยค่ะ แล้วมาอัพทุกวันด้วย  ดีใจค่ะ เข้ามาดูทุกเช้าเลย
สู้ๆ ขอแบบน่ารักๆนะค่ะ อยากให้ปัจจุบันของทั้งสองคนสนใส มีแต่ความสุข
ชดเชยกับเรื่องในอดีตค่ะ

ออฟไลน์ justlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
 :-[ ชอบเพลงนี้ มากกว่ารัก.... เนื้อหาเหมือนตัวพี่ไผ่เลย
โลกไม่เหงียบเหงาอีกต่อไปทั้งริวและไผ่นะ เพราะต่างคนหากันจนเจอแล้ว

 :L1:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ชอบเรื่องนี้มากมายอ่ะ

ไรเตอร์เก่งมากเลย

แต่งได้สนุกสุดๆ

พยายามเข้านะ

จะติดตามจนจบเลย

เราติดเรื่องนี้งอมแงมเลย

เพราะฉะนั้นไรเตอร์ต้องแต่งให้จบนะ

ปล. รักไรเตอร์ที่สุดเลย

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
อ่านรวดเดียว 14 ตอนเลย

ชอบมากๆเนื้อเรื่องดำเนินไปไม่ติดขัดเลย

อ่านตอน 12 13 แล้วแทบจะร้องไห้ออกมาเลย

อยากอ่านต่อเร็วๆจังค่ะ

ออฟไลน์ Paracetamol

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-2
ชอบเรื่องนี้จริงๆอ่ะ
พสุกับริวๆ น่ารักมากๆ  :m3:
รู้สึกติดใจตะหงิดๆยังไงกับไวย์ไงไม่รู้สิ :m21:

มาต่อเร็วๆน้า รออยู่คร้าบ   :L2:

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
จะเป็นไงต่อน้า อิอิ :o8:


 :L2:

ออฟไลน์ didi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1000
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-8

ออฟไลน์ *4_m3*

  • ~เธอคือของขวัญจากฟ้าไกล คือคำตอบของหัวใจ~
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะ ติดตามตลอดแหละ
ก็เค้าอ่านในมือถือเลยเม้นไม่ได้อ่ะ
เอาใจช่วยนะคะ  :กอด1:

ชอบตอนที่พี่ไผ่ลูบหัวริวอ่ะ อบอุ่นอ่อนหวานดีจัง :-[

SPSJ

  • บุคคลทั่วไป
ตามอ่านจนทัน สนุกน่าติดตาม
แปลกจากเรื่องอื่น
 :pig4:

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
มีคนลุ้นน้องริวเป็นทั้งเมะ ทั้งเคะ เลย เจ๊คนเขียนเค้าจะเลือกข้างไหนเนี่ย  :z1:




ตอนที่ 15


คงเพราะมีพสุอยู่ด้วย  เช้าวันนี้ริวถึงอดทนจนวัดตัวเสร็จสิ้นไป  เด็กหนุ่มพาหน้าขาวซีดขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน  แล้วถึงกลับลงมาที่ห้องรับแขกอีกครั้ง  พสุที่กำลังถูกวัดตัว  เหลือบมามองหน้าซีดๆของริวอย่างเห็นใจ


“โอเคค่ะ  เรียบร้อยแล้ว  แล้วพอเสื้อผ้าเสร็จพี่จะเอามาให้ลองกันอีกที” พี่นกเล็กบอกแล้วส่งอุปกรณ์วัดตัวให้พนักงานที่ร้านเก็บ  ปกติแค่ส่งพนักงานมาวัดก็พอ  แต่งานนี้เขมชาติจ่ายให้เธอสูงลิบจนเธอต้องมาดูแลด้วยตัวเอง  เพื่อให้สมบูรณ์แบบที่สุดตามที่เขมชาติต้องการ


“ทำอะไรกันอยู่คร๊าบบบบบ”  ไวยากรณ์  ตะวัน  และธีรดล ลงมาจากชั้นบนด้วยกัน  ก่อนที่ทุกคนจะไหว้พี่นกเล็กเจ้าของห้องเสื้อดังที่มาทำหน้าที่คอสตูมให้  พี่นกเล็กหันไปคุยกับไวยากรณ์เพลินระหว่างรอลูกน้องเก็บของไปใส่รถ   ขณะที่พสุ ตะวันและธีรดลนั่งดูตารางงานอยู่กับกรเวช


“ไงไอ้หนูริว!” เสียงทักดังลั่นอย่างแกล้งให้ตกใจนั้นไม่เท่ากับแขนล่ำๆ ของพี่ไมตรีที่สอดมาล็อคคอริวแล้วเหวี่ยงไปมาเล่น


ริวสะดุ้งสุดตัว  ดวงตาเบิกกว้างค้าง  ก่อนจะเกร็งแข็งไปทั้งร่าง


“อย่าพี่!” พสุร้องห้ามเสียงหลง  แล้วรีบวิ่งเข้ามาแต่ช้าไป


“ไม่ๆๆ...แม่!” ริวแผดเสียงลั่น  แล้วสะบัดตัวเต็มแรง  ไมตรีเซถลาเกือบล้ม  ขณะที่ทุกคนในห้องยืนตะลึงเมื่อริวทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นแล้วกุมคอตัวเองไว้แน่น  ดวงตาเบิกค้างมีน้ำตาไหลพรากลงมา  เด็กหนุ่มพยายามจะสูดอากาศเข้าไป  แต่กลับเหมือนหายใจเข้าไปไม่ได้จนหน้าเขียว

พสุตรงเข้าไปรวบตัวริวเข้ามากอด  แล้วลูบหลังให้


“ริวหายใจ!  หายใจสิครับ...ไม่มีอะไรแล้วริว...พี่อยู่นี่...ได้ยินไหม” พสุทำเสียงปลอบทั้งที่ร้อนใจ  เกรงว่าริวจะขาดอากาศไปซะก่อน  ริวสูดหายใจแรง  ก่อนจะไอโขลก  หน้าขาวจนเกือบเขียวเริ่มมีสีเลือด  เด็กหนุ่มคู้ตัวลงจนศีรษะเกือบติดพื้นขณะที่พสุยังคงปลอบไม่หยุด


“ไม่เป็นไร...มันผ่านไปแล้ว  พี่อยู่กับริวนะ  พี่อยู่ตรงนี้”


“พี่! พี่ไผ่...ช่วยด้วย!”  เด็กหนุ่มสะอื้นพลางขดตัวเข้าไปในอ้อมแขน  ไผ่กอดริวไว้แน่นพอเงยขึ้นมาเห็นสายตาตื่นตระหนกของทุกคน  ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นปรามแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงเตือนไม่ให้ใครเข้ามาใกล้


“ไวย์ เร่งแอร์ให้พี่หน่อย  เอาแบบเย็นที่สุดเลย”  พสุสั่งเสียงเรียบราวกับไม่มีเรื่องราวอะไร


“ครับ” ไวยากรณ์ที่ยืนตะลึงได้สติ  รีบวิ่งไปเร่งแอร์  ขณะที่ตะวันลุกไปหยิบผ้าเย็นในตู้เย็นมาส่งให้พสุ  พนักงานสองคนจากร้านพี่นกเล็ก  โผล่เข้ามาพอดี  พอเห็นพสุกอดริวอยู่บนพื้นก็หันไปมองหน้ากันเลิกลัก  พี่นกเล็กถึงได้สติ รีบไปไล่ให้คนของตัวเองออกไปรอที่รถก่อนจะขอตัวกลับไป

พสุประคองริวขึ้นไปนอนบนโซฟา  ก่อนจะใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าเช็ดคอให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าหมดรอยสัมผัส  เด็กหนุ่มขดตัวซุกหน้ากับตักของพสุขณะที่แขนกอดรัดเอวเขาไว้แน่น

กรเวชให้สัญญาณคนอื่นๆ  แล้วพากันออกไปที่ห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกัน


“ริวเป็นอะไรเหรอพี่”  ไวยากรณ์โพล่งออกมาทันทีที่กรเวชปิดประตูห้อง


“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”


“อ้าว!” ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกัน  แล้วต่างหันไปสบตากันอย่างงุนงง


“พี่รู้แค่ว่า  ริวเกลียดการถูกสัมผัสเพราะเคยถูกทำร้ายตอนเป็นเด็ก  แต่ไม่คิดว่าจะเป็นมากขนาดนี้...”

กรเวชตอบออกมาในที่สุดหลังจากนิ่งอยู่นาน  เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้ควรเปิดเผยให้คนอื่นๆ รู้ดีหรือไม่  แต่ในเมื่อต้องทำงานร่วมกันอีกนาน  การบอกความจริงให้ทุกคนรู้น่าจะเป็นผลดีต่อริวมากกว่า


“แล้วอย่างนี้ริวจะทำงานได้ยังไง”  ทรงเผ่าเอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากที่นิ่งดูเหตุการณ์อยู่ตลอด  เป็นนักร้อง  แต่เกลียดการสัมผัส  จะเป็นไปได้ยังไงที่ริวจะร้องเพลงโดยไม่ให้แฟนเพลงถูกตัวเขา  หรือแค่เรื่องแต่งหน้าทำผมก็มิกลายเป็นปัญหาใหญ่อีกหรืออย่างไร


“ริวทำงานได้ครับ  เพียงแค่อย่าไปเล่นกับเขาแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัวแบบวันนี้เท่านั้น”  พสุที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาบอกเสียงเรียบ


“โทษทีนะไผ่  แล้วริวเป็นอะไรมากไหม” ไมตรีถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก  เพราะยังตกใจกับอาการของริวไม่หาย


“คงตกใจครับ...แต่ได้พักสักครู่  เดี๋ยวตื่นก็ดีขึ้นเอง”

ทุกคนเหลียวมองหน้ากัน  ก่อนจะถอนใจยาวพร้อมๆ กันราวกับนัด


“พี่เผ่าเข้ามาที่นี่  มีอะไรหรือเปล่าครับ” พสุหันไปถามทรงเผ่าเพื่อเปลี่ยนเรื่อง  ไม่อยากให้ริวถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาแม้เขาเองจะหนักใจกับเรื่องนี้อยู่ก็ตาม


“อ้อจริง!  พี่เอาเพลงแรกมาให้...ของ..ไวย์” ทรงเผ่าเว้นระยะให้ตื่นเต้นแล้วส่งซองเอกสารให้ไวยากรณ์


“เย้! ผมได้เพลงคนแรกเลยเหรอ” ไวยากรณ์รับซองเอกสารไปเปิดดูอย่างตื่นเต้น  ในนั้นมีทั้งโน้ตเพลงและแผ่นที่น่าจะเป็นเดโม่เพลง

ตะวันผุดลุกขึ้น  แล้วเดินดุ่มๆออกไปจากห้อง  ทำให้ทรงเผ่ากับไมตรีหันมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจนัก


“ตะวันไม่ได้โกรธพวกพี่หรอกครับ  สงสัยจะไปเอาเพลงที่แต่งมาให้ดูมากกว่า” พสุรีบชี้แจงเพราะเกรงจะเข้าใจผิด  สองโปรดิวเซอร์จึงมีสีหน้าโล่งใจ


“ไผ่...ริวตื่นแล้วแต่สีหน้าไม่ดีเลย”

ตะวันกลับเข้ามาพร้อมกับประโยคบอกเล่าที่ทำเอาพสุรีบออกไปแทบไม่ทัน  ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอาโน้ตเพลงที่ถือมาส่งให้ทรงเผ่าดู


“ผมกำลังแต่งเนื้อร้อง  คิดว่าคงเสร็จพรุ่งนี้”

ตะวันบอกเสียงเรียบ  เป็นการบอกเล่าไม่ใช่การปรึกษาหรือขอความเห็นใดๆ  ความมั่นใจเกินร้อยแบบนี้  เคยทำให้โปรดิวเซอร์บางคนหมั่นไส้ตะวันถึงขนาดไม่ยอมร่วมงานด้วยมาแล้ว...แต่ไม่ใช่ทรงเผ่า

ทรงเผ่าเป็นพวกชอบคนเก่ง  เขามักมองคนที่ผลงานมากกว่าจะใส่ใจเรื่องส่วนตัวหยุมหยิม


“เพลงรวมเหรอ?”


“ครับ”


“จะเล่นสดให้พี่ฟัง  หรือจะทำเป็นเดโม่มาล่ะ” ทรงเผ่าถามขณะกวาดตาไปตามตัวโน้ต


“เดี๋ยวผมทำเป็นเดโม่ดีกว่าครับ”

ทรงเผ่าพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย  เป็นจังหวะเดียวกับที่พสุเดินนำริวเข้ามาในห้อง


“ขอโทษครับพี่ไมตรี”  ริวยกมือไหว้ขอโทษไมตรีด้วยใบหน้าที่ยังซีดเซียว


“พี่สิต้องขอโทษ  พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ริวตกใจขนาดนั้นเลยนะ...ตอนนี้เป็นไงบ้าง  หน้ายังซีดอยู่เลย” ไมตรีที่ผุดลุกขึ้นจะจับไหล่ริว  รีบหดมือกลับเมื่อนึกขึ้นมาได้  จึงทำได้เพียงมองเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิดไม่หาย


“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ  อีกสักพักก็หาย”  ริวยกมือขึ้นลูบหน้า  เห็นได้ชัดว่ามือเด็กหนุ่มยังสั่นอยู่

ธีรดลสะกิดไวยากรณ์ให้เขยิบที่ให้พสุกับริวนั่ง  ไวยากรณ์จึงลุกไปนั่งกับธีรดลที่เก้าอีกตัวยาว  ปล่อยให้พสุกับริวนั่งด้วยกันตามลำพัง

พอเห็นว่าทุกคนมาครบ  ทรงเผ่าจึงชี้แจงเรื่องเพลงที่กำลังจะทยอยออกมา  เพราะครั้งนี้แม้จะมีทรงเผ่าและไมตรีเป็นโปรดิวเซอร์หลัก  แต่เขมชาติก็ติดต่อนักแต่งเพลงฝีมือฉกาจไว้หลายคน  จึงเลือกเพลงที่น่าจะเหมาะกับแต่ละคนไว้ให้แล้ว  เหลือแต่ของพสุที่ทรงเผ่าสัญญาว่าจะทำให้เอง  เพียงแต่ขอเวลาอีกสักหน่อย

ระหว่างที่ทรงเผ่ากำลังพูดถึงเพลงที่แต่งมาให้ไวยากรณ์นั้น  ริวก็เหลือบไปมองพสุ  เห็นชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาดูโน้ตเพลงใหม่ของไวยากรณ์อย่างสนใจ  แต่ริวอดสงสัยไม่ได้ว่า  พสุจะรู้สึกอย่างไร  ที่เป็นหัวหน้าวงทั้งที  แต่ยังไม่ได้เพลงของตัวเอง

พสุเองก็กำลังคิดเรื่องนี้  เขาไม่ได้เสียใจเรื่องยังไม่ได้เพลง  แต่เสียใจที่ความสามารถด้านการร้องของเขาด้อยกว่าทุกคน ที่ทรงเผ่าต้องแต่งเพลงให้เขาเอง... คงเพราะนักแต่งเพลงคนอื่นไม่กล้าแต่งเพลงให้คนเสียงไม่ดีอย่างเขาร้องมากกว่า...


“ใครมีอะไรเสนอก็บอกมาได้เลยนะ  รวมถึงเพลงนี้ด้วยนะไวย์  ถ้าไวย์หรือคนอื่นๆคิดว่าน่าจะแก้ไขอะไรก็ขอให้บอกมาเลย”  ทรงเผ่าเปิดทางอย่างคนใจกว้าง  เขาต้องการแต่งานที่ดีที่สุด  โดยไม่สนว่างานจะออกมาจากสมองของใคร  และไม่ห่วงว่าผลงานของคนอื่นจะเกินหน้าเกินตา  มุมมองแบบนี้ทำให้ทรงเผ่ากลายเป็นโปรดิวเซอร์ที่ใครๆ ก็อยากทำงานด้วย   หลังจากที่สรุปงานกันเสร็จ  ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน

พอขึ้นมาถึงห้องริวก็ตรงไปหยิบเครื่องเล่นเพลงของตนเองมายื่นให้พสุ


“อะไรริว?”


“ริวแต่งทำนองเสร็จแล้ว  แต่ยังไม่ได้แต่งเนื้อร้องภาษาไทย...พี่ลองฟังสิ”


“หืม ทำเดโม่มาแล้วเหรอ?” พสุรับหูฟังจากริวแล้วนั่งลงฟังข้างๆ  ริวจ้องเขม็งอย่างลุ้นเต็มที่  ที่ผ่านมาเขาแต่งเพลงตามความพอใจของตนเอง  อยากใส่อะไรก็ใส่  แต่เพลงนี้เขาแต่งให้พสุ  จึงอดลุ้นไม่ได้ว่าพสุจะชอบมันหรือเปล่า


“เป็นไงครับ...ใช้ได้ไหม?” ริวถามทันทีที่พสุถอดหูฟังออก  แล้วมองโน้ตเพลงนิ่งงัน


“ใช้ได้เหรอ...ไม่ล่ะ...มันไม่ใช่แค่ใช้ได้...แต่มันดีมากๆเลยต่างหาก  เพราะมากเลยริว” พสุเงยหน้าขึ้นมาจ้องริวด้วยสายตาทึ่งจัด  ตอนแรกริวหน้าเสียแต่พอได้ฟังประโยคถัดมาเด็กหนุ่มยิ้มหน้าบาน


“ริวดีใจที่พี่ชอบ”


“ชอบสิ  ชอบมากๆ  เพราะจริงๆนะริว  แล้วจะเอาไปให้พี่เผ่าเมื่อไหร่...พี่ว่าพี่เผ่าต้องชอบแน่ๆ”


“ยังครับ  เอามาให้พี่ฟังก่อน  ถ้าพี่ชอบถึงจะเอาไปให้พี่เผ่า”


“เอาไปเลยริว  เชื่อสิว่าพี่เผ่าต้องชอบ  เผลอๆ แกจะรีบแต่งเนื้อร้องให้เลยด้วยซ้ำ”


“ริวอยากให้พี่แต่งเนื้อร้อง”


“อ้าว!...ทำไมล่ะ  พี่เผ่าแหละดีแล้ว  แกเป็นมืออาชีพ  พี่มันแค่มือสมัครเล่นเอง”  พสุรีบออกตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  จริงอยู่ว่าเขามีฝีมือทั้งเล่นดนตรีและแต่งเพลง  แต่พสุก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีประสบการณ์ด้านนี้มากนัก  เทียบกับทรงเผ่าแล้วเขาก็แค่เด็กอนุบาลเท่านั้น


“แต่ริวแต่งเพลงนี้ให้พี่นะ”


“แต่งให้พี่?”


“ครับ  จริงๆ ก็แต่งเนื้อร้องไว้แล้ว  แต่ไม่รู้พี่จะชอบไหม”  ริวพูดพร้อมกับส่งกระดาษโน้ตให้พสุ  เนื้อเพลงภาษาอังกฤษที่เขียนด้วยลายมือตัวป้อมๆ อ่านง่าย

ริวขยับเข้ามาใกล้  หยิบหูฟังข้างหนึ่งจากพสุมาใส่  แล้วเมื่อจบอินโทรท่อนแรก  เสียงทุ้มกังวานก็ร้องคลอไปกับดนตรี

พสุทำตาโตมองเด็กหนุ่ม  คำชมชะงักค้างอยู่ในลำคอเมื่อตาสบกัน...

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนดึงหลุดเข้าไปในเพลงของริว  ความหมายซึ้งๆ อ้อนๆ ของคนที่แอบหลงรักและเฝ้าละเมอหาคนที่รัก...รักจนแทบอยากจะกลืนกินไว้ในอก...อยากจะเก็บซ่อนคนที่หลงรักไว้ไม่ให้โลกเห็น  แต่ในความเป็นจริงกลับทำได้เพียงแค่เฝ้ามอง  และรอคอยให้อีกฝ่ายยอมมองกลับมาบ้าง  สักครั้ง....

สรรพเสียงรอบตัวเหมือนเงียบหายไปหมด  มีเพียงเสียงดนตรีในหูข้างซ้าย  และเสียงทุ้มนุ่มจากคนตรงหน้าที่สอดประสานกันอย่างไพเราะ  กับความหมายของทุกถ้อยคำที่ทำให้พสุเหมือนจะหายใจไม่ออก  ขยับตัวไม่ได้  น้ำเสียงออดอ้อนวิงวอนนั้นทำให้เขาใจสั่นอย่างประหลาด....เขาเชื่อว่าไม่ว่าผู้หญิงคนไหนถ้าถูกริวขอความรักด้วยน้ำเสียงและแววตาแบบนี้  ไม่แคล้วต้องยอมใจอ่อนทุกราย


“...เอ่อ...แฮ่ม...พี่ว่าริวร้องเพราะออก  ทำไมไม่ร้องเองเลยล่ะ” พสุกระแอมเบาๆ  เพื่อหาเสียงที่เหมือนจะหายไปดื้อๆ กลับมา


“ก็ริวแต่งมาให้พี่  พี่ไผ่ต้องลองร้องแล้วจะรู้ว่ามันเหมาะกับเสียงพี่มากกว่าริว”


“เหรอ...เออ แล้วริวแต่งตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”  พสุถามพลางพลิกกระดาษโน้ตไปมา  เพื่อรวบรวมสติที่กระเจิด กระเจิงกลับมา  นึกรำคาญตัวเองที่จู่ๆ ก็รู้สึกเขินริวขึ้นมาดื้อๆ จนไม่กล้าสบตาเด็กหนุ่ม


“เมื่อคืนนี้ครับ”


“อ้าว! พี่นึกว่าริวเล่นเกมเสียอีก”

ริวยิ้มไม่ได้อธิบายว่าจริงๆ เขาก็เล่นเกม  แล้วเกมเมื่อคืนเขาได้กำไรมาหลายล้านเหรียญ  แต่นั่นเป็นเพียงเงินขวัญถุงเล็กๆ เท่านั้น  ยังมีบางเกมที่จะได้รับแบบจุใจในคืนนี้เมื่อตลาดดาวน์โจนส์เปิด


“แต่งเพลงอยู่จนดึกนี่เอง  มิน่าเมื่อเช้าตาแดงเป็นกระต่ายเลย  ไปนอนไป เดี๋ยวพี่จะลองเกลาเนื้อเป็นภาษาไทยให้” พสุขยี้ผมเด็กหนุ่มเบาๆ อย่างเอ็นดู  ริวยิ้มจนตาหยี  เขยิบเข้ามานั่งพิงเตียงเหมือนพสุ  แล้วเอนหัวลงไปวางบนไหล่หนา

พสุยกมือขึ้นวางบนหัวกลม  แล้วลูบผมนุ่มเล่นอย่างเผลอๆ  ขณะหูฟังดนตรีตาก็กวาดตามเนื้อร้อง  ยิ่งฟังก็ยิ่งทึ่งจนขนลุก  ถึงจะเห็นเด็กหนุ่มเขียนโน้ตเพลงอยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าจะเพราะขนาดนี้  พสุฟังซ้ำไปซ้ำมาพลางนึกเทียบคำเหล่านั้นกับภาษาไทย  เขาอยากแปลงเนื้อเพลงนี้แบบไม่ให้ความหมายเปลี่ยน  เพราะรู้สึกว่าเนื้อร้องกับทำนองมันเข้ากันได้ดีเสียจนไม่กล้าจะแก้ไข

 

………………………………

 

วันรุ่งขึ้นพสุกับริวเอาเดโม่ไปให้ทรงเผ่าฟัง  ส่วนเนื้อเพลงภาษาอังกฤษนั้น  ริวขอให้พสุเก็บไว้ก่อน

ทรงเผ่าก็ทึ่งกับเพลงนี้มากเช่นกัน  ตอนแรกทรงเผ่าก็คิดจะให้ไมตรีไปแต่งเนื้อร้องมาให้  แต่เห็นอาการขยุกขยิกๆ ของริวก็อดจับตามองไม่ได้


“มีอะไรหรือเปล่า ริว ไผ่?”


“ผมว่าจะลองแต่งเนื้อเพลงภาษาไทยมาให้ครับ  พอดีว่าริวแต่งเนื้อภาษาอังกฤษไว้แล้ว” พสุบอกเสียงเบาอย่างเกรงใจทรงเผ่า  ทั้งยังอดกังวลไม่ได้ว่าถ้าเขาแต่งออกมาไม่ดีจะทำให้เพลงดีๆ เสียไปหรือเปล่า  เพราะเขาก็ไม่ใช่มืออาชีพ  แต่จะไม่ทำ  ก็ไม่ได้   เพราะรับปากริวไว้แล้ว


“เออดี  ลองดูๆ  แล้วยังไงค่อยเอามาดูกันอีกทีก็ดี” ทรงเผ่าตอบรับทันที  เขาชอบให้นักร้องมีส่วนร่วมในงานของตัวเองมากๆ  เพราะมันจะแสดงความเป็นตัวตนออกมาได้ชัดกว่าที่จะให้คนอื่นเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้วมีหน้าที่มาร้องเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทอง


“ครับ”

ทันทีที่สองหนุ่มลับตัวไป  ไมตรีก็ปราดเข้ามาเปิดเดโม่ของริวอีกครั้ง


“พี่เผ่า...ผมว่าริวนี่มันไม่ธรรมดา”


“อืม... เพลงนี้ก็ไม่มีตำหนิอะไรให้แก้เลย...มันสมบูรณ์แบบจนไม่น่าเชื่อว่าไอ้หนูนี่จะเป็นมือสมัครเล่น”


“แต่ผมว่าคีย์มันสูงไปนิดนะพี่” ไมตรีนิ่วหน้าเมื่อฟังดนตรีไปเรื่อยๆ


“พี่ก็ว่าสูง...แต่ถ้าคิดถึงเสียงของไผ่  อาจจะพอดีก็ได้  ต้องรอดูก่อนว่าพอไผ่ร้องจะออกมาเป็นยังไง”


“เพลงออกจะเพราะ ทำไมเจ้าหนูริวถึงให้ไผ่ร้องไม่รู้นะพี่  น่าจะเอาไว้ร้องเอง รับรองเกิดแน่”


“ไม่ดีเหรอ  เด็กๆ มันรักกันสามัคคีกันแบบนี้  ดีออก”


“ไม่ชินมั้งพี่  เคยเจอแต่ประเภทแย่งกันร้อง  ชิงกันเด่น  มาเจอแบบนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ ไงไม่รู้”


“ให้มันรักมันสามัคคีกันแบบนี้ไปตลอดเถอะวะ  อย่าให้ชื่อเสียงเงินทองมาทำให้แตกคอกันเหมือนวงอื่นๆ เลย”


……………………………………………………

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด