อาจจะเป็นคนนี้
ตอนที่๑
เวลา: วันนี้
สถานที่: สนามบินสุวรรณภูมิ
หลังจากที่เขมทำธุระส่วนตัว(ถ่ายหนัก)ในห้องน้ำ ของสนามบินสุวรรณภูมิเสร็จเรียบร้อยก็ได้ยินเสียงใครบ้างคนเดินเข้ามา
“ครับมาถึงแล้วครับ ผมขอเปลี่ยนเสื้อก่อนนะครับ เมื่อกี้นั่งเครื่องมาเด็กคนที่นั่งเบาะข้างๆเค้าอ้วกพุ่งมาทางผม”
เขมเปิดประตูห้องน้ำออกมาเพื่อมาล้างหน้าเพราะวันนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาขึ้นเครื่องเที่ยวบินเที่ยวแรกทำให้ง่วงนิดหน่อย
พลันเหลือบไปเห็นแผงหลังเปลือยเปล่าสีขาวจั๊วะของเจ้าของเสียงเมื่อครู่ แต่การยกเป้ขึ้นสะพายทำให้กล้องถ่ายรูปแบบแมนนวลตัวโปรดกำลังจะหลุดมือ
การทรงตัวของเขาจึงเป็นไปเพื่อการประคองกล้องถ่ายรูปตัวนั้น
“กร่าก!!!” เสียงวัตถุหล่นลงพื้นโดยที่ไม่ก้มลงไปมองก็รู้ว่าวัตถุนั้นได้หักไปเสียแล้ว
เขมเงยหน้าขึ้นมาพบกับแผงอกสีขาวของคนที่เขาเซเข้าไปชนเมื่อครู่ เพื่อกล่าวขอโทษ
“ขอโท...” แต่ไม่ทันที่คำขอโทษจะจบ น้ำส้มและถั่วที่เคี้ยวเป็นอาหารว่างบนเครื่องบินก็พุ่งออกมาจากปากของเขมแทนคำขอโทษ
“อูว้ากกกกกกกกก”
“เฮ้ย อะไรกันเนี่ย ทำไมต้องมาซวยแบบนี้ด้วยเนี่ย” ปรวินที่เพิ่งถูกอ้วกใส่เป็นครั้งที่สองกล่าวออกมาอย่างหมดอารมณ์
อ้วกก่อนหน้านี้เลอะเสื้อ แต่อ้วกเมื่อครู่นี้เลอะเป้ากางเกง คนที่เป็นคนอ้วกอย่างเขมส่ายหน้าสองสามทีพร้อมกับสีหน้ายับย่นด้วยความขมของรสอ้วก
ก่อนที่จะหันไปล้างปากที่อ่างล้างหน้าแล้วรีบเงยหน้าขึ้นเอ่ย “ขอโทษครับ ผมแพ้น้ำหอม”
หน้าแดงก่ำของเขมทำให้ปรวินรู้สึกประหลาดๆ นานเท่าไหรแล้วที่ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกประหม่าเช่นนี้ คำต่อขานที่คิดไว้ในใจหายวับวิ่งไปไหนหมดก็ไม่รู้
‘ต้องทำอะไรซักอย่างกลบเกลื่อนความรู้สึกแบบนี้แล้วนะวิน’ จิตใจสำนึกของเขาเริ่มสั่งการ
“ผม...ไม่เป็นไร (ก็ได้)ครับ” ปรวินเอ่ยขำๆ ส่งยิ้มให้กับหนุ่มน่ารักที่กำลังทำหน้าตารู้สึกผิดอยู่ข้างๆ
“กางเกงคุณเละหมดเลย” เขมชี้เป้ากางเกงที่เปื้อนอ้วกน้ำส้ม... “หน้าแดงเชียว ขอลองแกล้งหน่อยละกัน” อีกครั้งที่ปรวินคิดในใจ
เขาค่อยๆปลดเข็มขัดทำท่างจะถอดกางเกงแต่เขมรีบห้ามเอาไว้
“เฮ้ยนี่คุณจะถอดตรงนี้เลยเหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคุณ ก็ในนี้มันห้องน้ำไม่ใช่เหรอ”
“คุณก็ไปเปลี่ยนในห้องดี๊ มาเปลี่ยนอะไรตรงนี้เล่า เดี๋ยวใครเค้าเดินมาเข้าห้องน้ำก็มาเห็นเอาหรอก”
“ก็ผมกลัวคุณอ้วกอีก แล้วถ้าเกิดคุณอ้วกจนเป็นลมไปผมจะได้ช่วยคุณทันไง” นั่นโดนเข้าแล้วไง เขมเอ้ย โดนทีเด็ดเข้าไปแบบนี้
เขมจึงเริ่มชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจถูกแกล้งแบบนี้
“เอาเป็นว่าผมขอโทษที่ผมเดินมาชนคุณ และอ้วกใส่คุณเพราะไอ้กลิ่นน้ำหอมที่คุณใช้มันทำให้ผมเวียนหัวเหลือเกิน”
พูดจบก็คว้ากล้องถ่ายรูปสุดรักและกระเป๋าเป้เดินออกมาจากห้องน้ำ มุ่งตรงไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนที่อยู่ใกล้ที่สุด
แล้วเข้าไปบอกเจ้าหน้าที่คนนั้นว่า
“พี่ครับ มีผู้ชายคนหนึ่งในห้องน้ำพยามยามจะทำอาณาจาร...” ได้ยินเพียงเท่านั้นพี่ยามก็กล่าวขอบคุณเขมที่มาแจ้งแล้ววิ่งแจ้นไปยังห้องน้ำทันที
เขมเดินออกจากสนามบินด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มกับการรักษาความปลอดภัยของสนามบินยิ่งนัก
...
เวลา: วันนี้
สถานที่: วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ผู้คนเนืองแน่นในพระอุโบสถ...
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ เสียงสวดบทนมัสการคุณพระรัตนตรัยของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังอยู่ในลำคอ
ก่อนที่จะบรรจงกราบลงนอบน้อม พระพุทธรูปอันเป็นรูปรำลึกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้ทรงเบิกบาน ...
เมื่อครบสามกราบตามวิถีปฏิบัติ ชายหนุ่มจึงค่อยปิดเปลือกตาลง สูดหายใจเข้าลึกแล้วค่อยอธิฐาน
“ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเขม พุทธาภิวาท ขอตั้งจิตอธิฐาน ขอผลบุญใดใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำทั้งด้วย กาย วาจาและใจ จงแผ่ไปถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เทวดาทั้งหลาย ครอบครัวของข้าพเจ้า เพื่อนร่วมทุกข์ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักกัน สัตว์ทั้งหลาย รวมถึงสัมภเวสี เปรต และอสุรกาย ขอจงได้รับผลบุญด้วยจิตเมตตานี้ ขอพระองค์ทรงประธานพร ความเจริญ ความเพียร และความอดทน เพื่อให้ข้าพเจ้าเข้าถึงนิพพานตามกาลอันสมควรด้วยเทอญ” ชายหนุ่มค่อยผ่อนลมหายใจแล้วเปิดดวงตาก่อนคลี่ยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยความสุขเต็มหัวใจ
ขณะที่เขามองดวงเนตรของพระปติมานั้น
หญิงอายุวัยใกล้เกษียณคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ทว่าด้วยร่างกายที่ผ่านเลยกาลเวลามานาน
จึงทำให้ความยากของการลุกจากท่านั่งพับเพียบนั้นมีมากขึ้น ชายหนุ่มจึงปรี่เข้าช่วยพยุงหญิงผู้นั้น
“ค่อยๆนะครับ” เข้าเอ่ยด้วยวาจาไพเราะเจือด้วยความเป็นห่วง
“ขอบใจมากจ่ะ” หญิงผู้นั้นยิ้มรับความอารีอย่างเติมใจ
“พอจะก้าวเท้าไหวไหมครับ”
“ป้ารู้สึกชาที่ปลายเท้านิดหน่อย เดี๋ยวก็คงหาย”
“งั้นผมพยุงคุณป้าไปที่ข้างหน้าต่างดีกว่าครับ อยู่ตรงนี้นักท่องเที่ยงเข้าออกกันเยอะ”
เขาค่อยประคองหญิงที่ตอนนี้เค้าใช้คำว่า “ป้า” เป็นคำเรียกให้มายืนที่ข้างหน้าต่างของอุโบสถ
“พ่อหนุ่มชื่ออะไรหรือจ๊ะ”
“ผมชื่อเขมครับ ”
“ชื่อเพราะดี พ่อแม่เข้าใจตั้งนะ ป้าชื่อนาฏอนงค์นะคะ ดูท่าทางเขมไม่เหมือนคนกรุงเทพเลย”
“อ๋อไม่ครับ ผมอยู่จังหวัดเชียงราย ผมมาเที่ยวน่ะครับ”
“ดีจ่ะ มีเวลาก็เข้ามากราบพระ แล้วมาคนเดียวหรือไร”
“ครับผมมาคนเดียวครับ”
“คุณป้าล่ะครับ”
“ป้านัดลูกเอาไว้ เค้าไปทำงานต่างจังหวัด เดี๋ยวก็คงจะมาถึง”
“ขาเป็นยังไงบ้างครับ”
“อ่อหายแล้วจ่ะ ขอบใจมากๆนะที่ช่วยป้า แล้วนี่จะไปที่ไหนต่อล่ะ”
“ผมว่าจะเดินถ่ายรูปซักหน่อยน่ะครับ ตามรอยท่านมาตั้งแต่อินเดีย จนมาถึงที่นี่ เลยอยากขอถ่ายภาพเก็บไว้หน่อย”
“ตามรอย?”
“อ๋อครับ ผมตามรอยนมัสการพระแก้วมรกตไปตามวัดต่างๆที่ท่านเคยไป ประดิษฐานอยู่น่ะครับ”
“นี่เขมพูดจริงเหรอเนี่ย ป้าหูฟาดไปรึเปล่า” หญิงสูงวัยตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน
“จริงครับผม เริ่มตั้งแต่สองปีที่แล้ว เรื่อยมาจนถึงวันนี้นี่แหละครับ”
“น่าชื่นชม ในความศรัทธาของหนูจังเลย ป้าขออนุโมทนาบุญด้วยนะ เล่าให้ป้าฟังบ้างได้ไหมว่าไปที่ไหนมาบ้าง”
“ถ้าจะให้เล่าหมดเลยคงไม่จบในสองสามนาทีครับ เรื่องยาวมาก”
“งั้นเอาคร่าวๆนะ ระหว่างที่เราเดินถ่ายรูป ป้าก็จะฟังไประหว่างที่รอลูก ไม่รบกวนใช่ไหม”
“ไม่เลยครับ ผมไม่ได้รีบไปไหน กว่าจะถึงเวลากลับก็อีกตั้ง 10 ชั่วโมง” ระหว่างบทสนทนาทั้งคู่เดินสอดผ่านผู้คนเพื่อมาสวมรองเท้าที่วางไว้ข้างอุโบสถ
“อ้าวแล้วนี่จะกลับวันนี้เลยเหรอ”
“ครับ ผมลางานมาวันเดียว”
“งั้นยิ่งมีเวลาน้อย เริ่มเล่าเลยจ่ะ เริ่มตั้งแต่ทำไมหนูจึงคิดที่จะตามรอยท่านล่ะลูก” คุณป้าเงยหน้าขึ้นพูดหลังจากที่สวมรองเท้าได้เพียงข้างเดียว
“ก่อนที่แม่ของผมจะเสียท่านบอกผมว่า ให้ผมตามรอยพระแก้วมรกต”
“ทำไมล่ะจ๊ะ”
“ตอนผมอายุ 15 ผมป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ อาการหนักมากเกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้วครับ คุณแม่ผมจึงอธิษฐานขอให้พระแก้วมรกตท่านช่วย คืนนั้นท่านก็ฝันว่าท่านวิ่งตามพระแก้วมรกต หลังจากนั้นอาการของผมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆจนหายดี แม่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังเสมอเวลาที่เราไปทำบุญที่วัด แต่ท่านก็เสียชีวิตหลังจากที่ผมหายป่วยได้ไม่ถึงปี”
“ชีวิตต่อชีวิตสินะ” ป้านาฏพึมพำกับตัวเอง
“เหตุการณ์ผ่านมานานเกือบสิบปี จนกระทั้งมีอยู่ช่วงนึงผมฝันว่าแม่ร้องไห้ ฝันอย่างนั้นติดต่อกันหลายวัน ผมไม่รู้จะทำยังไงก็เลยไปที่วัด ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน หลวงตาท่านก็เรียกให้เข้าไปใกล้ๆแล้วยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผม ”
“หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสืออะไรเหรอจ๊ะ” ...เขมเอี้ยวไหล่ปล่อยสายสะพายเป้ข้างหนึ่งเพื่อรูดซิปแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา
“หนังสือพระแก้วมรกตครับ ผมกลับมานั่งอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าแม่บอกให้ผมตามรอยท่าน” เขาพูดก่อนที่จะส่งหนังสือเล่านั้นให้คนข้างๆ ได้พิจารณา “ใครๆที่ได้ยินว่าผมจะตามรอยท่านก็บอกว่าผมเพ้อเจ้อ”
“แต่วันนี้หนูก็ทำได้แล้วนะ” คุณป้าให้กำลังใจเขม
“ครับผม ผมเริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินไปที่รัฐปัตนะ ในอินเดีย มีตำนานเล่าว่าเมื่อประมาณ2000 ปีที่แล้วที่นั่นคือต้นกำเนิดของพระแก้วมรกตองค์ที่เรากราบไหว้บูชากันอยู่นี่แหละครับ”
@%#@$^%$#^$#@^$@&$# เสียงโทรศัพท์ของป้านาฏดังขึ้น
“.... ถึงไหนแล้วลูก” ป้านาฏพูดด้วยน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น
“ผมกำลังหาที่จอดรถอยู่ครับ” เสียงตอบจากปลายสาย ดังเล็ดออกมาจากลำโพงโทรศัพท์เครื่องเล็กโดยที่คนข้างๆไม่ต้องเงี่ยหูฟังก็ยังได้ยิน
“อย่างนั้นแม่นั่งรออยู่ที่ใต้ต้นลีลาวดีข้างๆอุโบสถที่เราเคยนั่งพับดอกบัวกันเมื่อปีที่แล้วนะลูก” ประโยคที่ได้ยินทำให้เขม คลี่ยิ้มออกมา
พร้อมกับคิดว่าช่างเป็นคู่แม่ลูกที่น่ารักอะไรเช่นนี้ ถ้าหากแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ก็คนไม่ต่างกับคู่ของป้านาฏกับลูกชายเป็นแน่ ...
“อากาศร้อนจัง ผมไปซื้อน้ำให้นะครับ ป้านาฏนั่งรอคนเดียวได้ไหมเอ่ย”
“ไม่ต้องห่วงจ่ะ รีบกลับมานะป้าอยากฟังเรื่องเล่าของหนูเต็มทนแล้ว”...