ตอนที่ ๒
“พับแบบนั้นไม่สวยเลย”
เขมมองดอกบัวในมือแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องคนพูดประโยคเมื่อครู่
แววตายากจะที่รู้ว่าความขุ่นมัวที่ซ้อนอยู่ภายในอยู่ระดับไหน
“คุณป้าครับ ผมพับแบบนี้สวยไหมครับ”
เขมยื้นดอกบัวที่ตนพับเสร็จให้ป้านาฏดู
“ป้าว่าพับแบบไหนก็สวยนะ แบบมะลิที่เขมพับก็สวย แบบดอกพุดตานที่ตาวินพับก็สวย”
“แม่ครับ พับแบบนั้นมันก็ง่ายเกินไป พับครึ่งลงมาแค่นั้นเอง”
“เอะตาวินนี่ยังไงนะ เขมเค้าอุตส่าห์ช่วย”
โถแม่ครับก็นั่งพับกันเงียบๆแบบเมื่อครู่ผมก็ไม่ได้แก้เผ็ดคืนตาเขมของแม่น่ะสิครับ ปรวินคิดในใจ
“แล้วคุณจะให้ผมพับยังไง”
เขมวางดอกบัวที่พับเสร็จแล้วลงบนถาด
“ก็พับแบบผมไง”
“ผมพับไม่เป็น”
“งั้นมาผมสอน ขยับมานั่งใกล้ๆกันสิ”
ปรวินพูดพร้อมกับพยักหน้าสงสายตาเชิญชวนไปให้เขม
เขมขยับตัวเข้าใกล้กับแต่ดูท่าทางจะไม่ค่อยเต็มใจนัก
พร้อมกันนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ทำจมูกฟุดฟิดสำรวจกลิ่น
“น้ำหอมเหรอ ไม่ได้ใส่แล้ว ก็คุณเล่นอ้วกขนาดนั้น ทำผมเสียความมั่นใจกับน้ำหอมกลิ่นโปรดไปเลย”
“โอเคผ่าน แต่ว่ายังได้กลิ่นอ่อนๆนะ”
“เฮ้ยคุณ!!! คงจะไม่แพ้กลิ่นโลชั่นอีกนะ”
“ก็ไม่แน่ ไหนเอามาดม” เขมพูดแล้วก็คว้าแขนซ้ายของปรวินขึ้นมาดม
โลชั่นอันนี้หอมดิแฮะ เขมคิดในใจ
คนโดนดมแขนจากที่คิดจะแก้เผ็ดเอาคืนแต่ตอนนี้ความคิดนั้นกระเจิดกระเจิงไปแล้ว สงสัยจะเขินที่โดนดมแขน
“เฮ้ยนี่คุณลวนลามผมเหรอเนี่ย แม่ครับตาเขมของแม่ลวนลามผมในเขตวัดเลยนะเนี่ย”
เขมได้ยินเท่านั้นก็รีบปล่อยแขน หันหน้าไปมองปรวินอย่างหงุดหงิด
“ตาวินเลิกแกล้งเขมได้แล้ว ตั้งใจพับบัว แล้วเข้าไปกราบพระได้แล้ว”
“ครับแม่ งั้นมาผมสอนคุณพับนะ คุณจะได้ช่วยผมพับจะเสร็จไวๆ” ปรวินรับคำแล้วหันไปพูดกัยเขม
“ไม่เอาแล้ว ผมจะพับแบบมะลินี่แหละ ไม่ชอบไม่สวยก็แล้วแต่คุณ”
....
ไม่ถึงสิบนาทีดอกบัวทั้งหมดก็ถูกพับสวยงามวางเรียงบนถาดเรียบร้อย
ปรวินยกถาดบัวขึ้นไปกราบพระบนอุโบสถแล้ว
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณป้า” เขมทำท่าจะเอ่ยลา
“เอางั้นเหรอลูกไม่รอตาวินเหรอ เดี๋ยวป้าให้ตาวินพาเที่ยวกรุงเทพ” ป้านาฏ อยากให้อยู่คุยกันต่อ
“ไม่เป็นไรคับผมไม่รบกวนดีกว่า วันเกิดเค้าเค้าควรอยู่กับครอบครัว อีกอย่างผมก็ยังไม่ได้ถ่ายรูปวัดเลย”
“อุ้ยป้าขอโทษ ป้าน่าจะให้เขมได้มีเวลาส่วนตัว ป้าขอโทษจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับได้รู้จักคุณป้าก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้ววันนี้”
“งั้นถ้าจะลงมากรุงเทพฯ เมื่อไหรก็โทรบอกป้านะ” ทั้งคู่แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กัน
“ครับถ้าคุณป้าเหงาก็โทรมาคุยกับผมนะ”
“จ่ะ”
เขมเดินออกจากวัดพระแก้วพร้อมกับกดดูรูปถ่ายในกล้องดิจิตอลที่ติดตัวมาด้วย
“โชคดีที่หยิบติดมือมาด้วย” กล้องแมนนวลตัวโปรดเสียไปแล้วแต่ยังมีกล้องติจิตอลตัวเล็กสำรองไว้อีกตัว
เมื่อได้รูปสวยสมใจแล้วก็เดินมาหยุดริมถนนโบกรถแท็กซี่คันสีส้มเปิดประตูก้าวขึ้นรถแล้วบอกคนขับว่า
“ไปสวน..............ครับ”
ทางด้านปรวินเมื่อกราบพระเสร็จก็หามุมสงบนั่งสมาธิ แม้ผู้คนและนักท่องเที่ยวจะมากมาย
แต่ท่ามกลางความวุ่นวายปรวินก็ยังความมีความสงบในจิตใจ แต่ทว่า
ความสงบนิ่งนั้นไม่เคยอยู่นานเขาจะรู้ตัวไหมว่าจิตใจกำลัง “คิดถึงอดีต”
...
เวลา: ๙ เดือนที่แล้ว
สถานที่: เสถียรธรรมสถาน
ปรวินในชุดกางเกงยีนส์สีขาวเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน พร้อมกับหญิงสาววัยเดียวกัน
นั่งอยู่ในมุมสงบใต้ร่มไม้ใกล้บึงดอกบัวสีขาว
“กลับมาไม่บอกไม่กล่าวเลยนะ ต้องให้ฉันไปถามแม่แกถึงรู้ว่าแกมาอยู่ที่นี่”
ปรวินเริ่มบทสนทนาขึ้นหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบตั้งแต่พบกันเมื่อสิบกว่านาทีที่แล้ว
“แล้วฉันต้องรายงานแกทุกเรื่องหรือไง อีกอย่างฉันมาอยู่ที่นี่ต้องการความสงบ แกยังจะตามมาก่อกวนอีก”
หญิงสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทร่วมสุขและทุกข์กันมาตั้งแต่สมัยประถม
หญิงสาวผู้แปลงร่างจากสาวเปรี้ยวแสนซนเมื่อสองปีก่อนกลายเป็นหญิงผู้มีแววตาโอบอ้อมอารีย์กล่าวตอบ
ขณะนั้นผีเสื้อสีเหลืองตัวน้อยก็ค่อยๆบินมาเกาะที่หัวเข่าของปรวิน เขานิ่งมองผีเสื้อตัวน้อย
จนกระทั่ง มันแน่ใจแล้วว่าตรงที่มันกำลังเกาะอยู่นั้นไม่ใช่ดอกไม้หอม มันจึงค่อยคลี่ปีกบางบินจากไป
“อกหักอีกแล้วว่ะแก” ปรวินเอ่ยน้ำเสียงเรียบแต่ชัดเจนเหลือเกินสำหรับคนฟัง
เพราะเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เธอเองก็จำไม่ได้กับการได้ยินประโยคความหมายเดียวกันนี้ออกจากปากของเพื่อนชาย
“เสียใจสินะ ก็บอกให้เลือกดีๆ” หญิงสาวเอ่ยคำปลอบแสนราบเรียบเช่นกัน
“ก็คิดว่าคนนี้เลือกดีแล้วนะ แต่ก็เฮ้อ...”
“แผ่เมตตาสิแก ไม่ว่าเขาจะใช่หรือไม่ใช่ เขาก็เป็นเพื่อนร่วมโลกเป็นคนที่ต้องดิ้นรนเหมือนๆกันกับเรา”
“แต่เค้าก็ไม่ควรทำเราเจ็บ”
“เค้าเป็นอย่างไรไม่สำคัญนะแก สำคัญอยู่ที่แกรักเค้ายังไง แกตั้งเงื่อนไขไว้มากหรือน้อย”
“....” ปรวินปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบของคำถาม นั่นเพราะเขาเองก็ยังไม่มีคำตอบของคำถามที่ได้ยิน
“รักเค้ามากเหรอ” หญิงสาวถาม
“อื้ม รักมากไม่เคยรักใครเท่านี้มาก่อน ซื้อบ้านไว้กะจะอยู่ด้วยกันกับเค้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วที่เค้าจากไป” คำพูดของเธอทำให้ปรวิณละสายตาจากสระบัวตรงหน้าแล้วหันมาที่เธอ
“ดียังไง เจ็บนะแก”
“จะเจ็บกว่าถ้าเค้าจากไปตอนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้านที่แกเตรียมไว้เป็นเรือนหอไง”
“...” ก็คงจะจริง ปรวินคิดตาม
“เอาน่า หล่อๆอย่างแกหาใหม่ไม่ยากหรอกวิน”
“หาใหม่ไม่ยาก แต่คนดีๆหายากนะ”
“แกแน่ใจเหรอว่าแกรักคนดี”
“...” ใครจะไม่ชอบคนดี
“ถามอะไรหน่อยสิวินคนดีของแก คือคนที่ทำให้แกรู้สึกดีตลอดเวลารึเปล่า”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น”
“งั้นแกเปลี่ยนเข็มทิศเถอะ ไม่มีใครเป็นอย่างที่แกชอบได้ตลอดเวลาหรอก”
“แล้วคนแบบไหนคือคนดีละ”
“คนที่เมตตากันและกันไง คนที่อยู่ด้วยกันแล้วต่างฝ่ายต่างต้องพัฒนาตัวเองเกื้อกูลภายในจิตใจกัน”
“งงว่ะแก”
“เอาเถอะแกจะเข้าใจเมื่อแกเข้าใจ” ตกลงจะเข้าใจกันไหมเนี่ย
“งั้นก็ขอให้มีวันนั้นวันที่ฉันจะเข้าใจ”
“การรอคอยทำให้คนเราเติบโต” ไม่อยากเชื่อเล้ยว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากของสาวเคยเปรี้ยวคนนี้
“ตกลงที่แกบอกว่าจะไปฝึกญาณทัศนะที่ ธิเบตได้เรื่องว่ายังไงวะเพตรา”
“ก็ได้เรียนสมใจ”
“งั้นแกก็ดูให้ฉันหน่อยได้ป่ะ ว่าเมื่อไหร่ฉันจะสมหวังในความรักกับเขาซักที”
“คิดจะลองวิชากันเหรอเนี่ย”
“เปล่าครับ อยากรู้จริงๆนะครับคุณเพตรา”
“อ่ะๆๆๆ ดูก็ดู ส่งมือมาซิ” เพตราผายมือออกไปพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกแล้วค่อยหลับตาลง
ปรวินวางมือทาบลงบนฝ่ามือของเพื่อนอย่างตื่นเต้น
“แกจะไปทำอะไรที่ภูเก็ตวะวิน” เธอพูดออกมาแทบจะทันทีที่ฝ่ามือของปรวินทาบลงไปบนฝ่ามือของเธอ
ปรวินถึงกับสะดุ้งกับสิ่งที่ได้ยิน...เพราะเดือนหน้าทั้งเดือนเค้าต้องไปดูแลกิจการร้านอาหารสาขาใหม่ที่กำลังจะเปิดที่ภูเก็ต
ซึ่งเขายังไม่ได้บอกใครนอกจากแม่ของเขา
“ไม่เห็นแล้ว” เพตราลืมตาขึ้นก่อนพูดแล้วก็ค่อยๆยิ้ม (ยกมุมปากด้านขวาขึ้นเล็กน้อย)
“อ้าว ไหงดูได้แค่นิดเดียว”
“ฉันไม่รู้อาจจะเป็นเพราะแกไม่มีสมาธิด้วยมั้ง”
“งั้นเอาใหม่ แกไม่บอกให้ฉันตั้งสมาธิด้วยนี่นา ฉันก็ตื่นเต้นอยากรู้อยู่ด้วย”
“รอตรงนี้แปบนึงนะ” เพตราลุกออกจากที่ตรงนั้นเพื่อไปขอกระดาษเปล่าจากร้านหนังสือ
ที่มีแม่ชีใจดีคอยต้อนรับญาติธรรมทางด้านประตูทางเข้า ไม่ไกลจากที่ที่ปรวินนั่งอยู่เท่าใดนักแล้วเดินกลับมา ปรวินมองตามอย่างงงๆ
“มันมีอีกวิธีหนึ่ง คือแกตั้งจิตให้เป็นสมาธิ อธิษฐานถึงใครคนนั้นแล้วขยำกระดาษ”
“แล้วจะดูยังไงเนี่ยขยำกระดาษเนี่ยนะ”
“เอาน่าทำตามที่บอกก็แล้วกัน”
ปรวินทำตามที่เพตราบอกแล้ว ส่งกระดาษที่เป็นรอยยับยู่ยี้ให้กับเพตรา เธอรับเอากระดาษแผ่นนั้นไปพิจารณาแล้วจึงเอ่ย
“ฉันเห็นดอกบัว กับวัด”
“แล้วไง”
“ก็แกอธิษฐานว่าไง”
“ก็บอกว่าขอให้เจอเนื้อคู่”
“เจอ...เดี๋ยวก็เจอกัน เนื้อคู่แกอยู่ที่วัดกับดอกบัว”
“หวังว่าเนื้อคู่ฉันคงยังไม่บวชไปแล้วนะ ฉันไม่อยากทำให้พระต้องอาบัติ”
...
อีกครั้งที่ลมหายใจเข้าพาปรวินกลับมาสู่ปัจจุบัน ทันทีที่ลืมตาปากของเขาก็พึมพำ
“วัด....ดอกบัว....หรือว่าจะเป็น...”
------------------------------------------------------------------------------------------------
ปล.คลิกอ่านเรื่องอื่นๆในโครงการกรุงเทพผมรักคุณได้ตามลิ้งเลยนะครับ
เรื่อง อยู่ที่ไหนไม่สำคัญ มันสำคัญที่...
ตามไปที่ลิงค์นี้ครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17161.0