พิเศษ..แตงกวา
ย้อนกลับไปวันที่จะกลับมาอยู่กรุงเทพ พอเท้าแตะพื้นสนามบิน ยังไม่ทันจะได้มองหาหรือโบกไม้โบกมือเรียกหาแท็กซี่ ก็ดันมีมือดีคว้าหมับเข้าที่กระเป๋าคนอื่น แล้วรีบเดินตัวปลิวนำหน้าไปเลย ตอนแรกก็นึกว่าเป็นขโมย ที่ไหนได้พอหันไปก็เจอกับรอยยิ้มกว้างของไอ้หมาลูกครึ่งตัวโต...มารอ...ตั้งแต่เมื่อไหร่
“แตงกวา!! เอากระเป๋าคืนมา!!” พอจะเอื้อมมือไปคว้ากลับ มันก็เอี้ยวตัวหลบซะ แถมยังหันมายิ้มกว้างให้อย่างไม่สำนึกอีก พอเดินมาถึงลานจอดรถ กระเป๋าก็ถูกยัดใส่กระโปรงหลังพร้อมกับเป้ของเจ้าตัวเสร็จสรรพ
“คุณเนส..ให้ผมไปส่งนะๆ” ประตูรถถูกเปิดให้พร้อมกับคนขับรถที่ยืนยิ้มหน้าบานอยู่นั่น หมอเนสเหลือบมองด้วยหางตาประหนึ่งจะบอกว่าชักเริ่มจะหมั่นไส้ขึ้นมา แต่ก็ยอมก้าวไปนั่งแต่โดยดี
“มารอตั้งแต่เมื่อไหร่!!?” หมอเนสเอ่ยถามตอนที่โชเฟอร์ขึ้นมานั่งข้าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ไอ้เจ้าแตงกวามันหันมายิ้มแหยๆให้ ก่อนจะตอบออกมาเสียงเบา
“ผมโทรไปถามคุณแม่มา..ก็เลยอาสามารับครับ” อ๋อ!! เพราะอย่างแบบนี้นี่เอง
ก็ตอนที่กลับบ้านคราวก่อน นึกอยากแนะนำให้ไอ้เด็กโข่งมันได้เห็นเจ้าของชื่อแตงกวาตัวจริง ก็เลยพาไปที่บ้านแล้วกะว่าจะไล่กลับเลย แต่เผอิญอย่างสุดซึ้งคุณหญิงแม่กลับมาบ้านพอดี ก็เลยได้ทำความรู้จักกัน...แล้วนับแต่บัดนั้นแหละ ไอ้แตงกวานัมเบอร์สองมันก็เลยเข้าออกที่บ้านได้ยังกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งของที่บ้าน
“อ้าว...แล้วนี่จะเลี้ยวไปไหน ไม่ใช่ทางไปบ้าน..!!”
“ขอผมแวะเอาของไปให้ที่ร้านแป๊บเดียว คุณเนสนั่งรออยู่บนรถก็ได้ครับ” คนขับรถหันมาบอก จะกลับตัวก็ไม่ได้แล้วไอ้คุณเนส ก้าวขึ้นมานั่งรถเค้าแล้ว แถมยังวิ่งอยู่บนถนน แล้วไอ้หมาตัวนี่มันก็ดันฉลาด เอากระเป๋าไปเก็บที่หลังรถซะ..จะให้วิ่งลงยังไงก็ยังต้องห่วงของอยู่ดีนั่นแหละ..!! สงสัยจะฝึกดีไปหน่อยล่ะมั้ง ถึงได้ฉลาดเป็นกรดขนาดนี้
ธีโอขับรถมุ่งหน้าไปยังสตูดิโอของตัวเองทันที ไม่มีเสียงตอบรับจากคนข้างๆที่กำลังเอนหลังไปกับเบาะแล้วหลับตา แค่ไม่มีคำปฏิเสธว่า ’ไม่’ ออกจากปาก เข้าใจว่าคงไม่ว่าอะไร ที่อยากแวะเข้าร้านก่อน เพราะจะได้เอางานไปฝากให้เด็กที่ร้านช่วยสานต่อ งานง่ายๆเช่นการล้างรูปที่เลือกเอาไว้แล้ว เพราะเจ้าของเค้าเพิ่งจะโทรมาตามเมื่อตะกี้
รถเลี้ยวเข้ามาจอดสนิทอยู่ที่หน้าสตูดิโอ ก่อนที่คนขับจะค่อยๆเปิดประตูลงไปโดยไม่ดับเครื่องยนต์ เพราะใครบางคนยังนอนหลับตาอยู่บนนั้น ก่อนจะกวาดข้าวของที่ใช้ทำงานหอบหิ้วเข้าไปข้างใน แต่ก็ยังไม่วายหันหลังกลับมามองคนที่อยู่ในรถอีกรอบอย่างกังวล แล้วรีบวิ่งเข้าไปข้างในเพื่อจัดการธุระของตัวเองให้เสร็จ ก่อนที่คนหลับจะรู้ตัวตื่นขึ้นมาโวย
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะที่กระจกรถด้านข้างทำเอาคนที่เอนเบาะนอนงีบอยู่ข้างใน สะดุ้งลุกขึ้นมานั่งหน้าตาตื่น พอเหลือบมองไปข้างๆก็พบว่าคนขับหายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แถมบรรยากาศแถวนี้ก็ดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เสียงเคาะกระจกดังขึ้นอีกรอบจนต้องกดเลื่อนกระจกลง
“เพื่อนของเจ้าธีมันรึ!!?”
“ใช่ครับ..”เจ้าธี...ที่ว่าคงจะเป็นธีโอซินะ.. หมอเนสไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากถามอะไรก่อนดี นึกโมโหที่โดนทิ้งเอาไว้ในรถแบบนี้ แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน อาจเป็นเพราะไอ้เจ้าแตงกวามันคงไม่กล้าปลุก
“ลงมากินน้ำกินท่าก่อนสิ เจ้าธีมันสั่งงานลูกน้องอยู่ข้างในโน่นน่ะ” ไม่ต้องรอให้คนในรถตอบ คุณตาแกก็เปิดประตูรถออก เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าให้ลงไป หมอเนสเริ่มทำหน้าไม่ถูกแต่ก็ยอมลงจากรถแล้วก้าวตามหลังเข้าไปข้างในแต่โดยดี
ข้างในสตูดิโอไม่ได้หรูหรามากนัก ถ้าเทียบกับร้านที่เปิดใหม่ แต่ดูคลาสสิค สะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก รูปภาพตามงานต่างๆ ตั้งแต่รุ่นก่อน ถูกนำมาแปะติดไว้ตรงผนังทางเข้า มองดูคล้ายวอลเปเปอร์ที่เป็นลายรูปถ่าย ตั้งแต่ภาพขาวดำ มาจนถึงภาพสีในยุคปัจจุบัน ถัดมาอีกหน่อย เป็นเหมือนภาพบทความที่ตัดมาจากนิตยสารการท่องเที่ยว แปะเอาไว้กับรูปถ่ายจากสถานที่จริงที่เจ้าของไปตามเก็บมาจากที่ต่างๆทั่วประเทศ
“เห็นนั่งอยู่ในรถ ก็เลยให้ตาไปเรียกมา ไม่ว่าอะไรกันนะ” คุณยายที่อุตส่าห์เดินถือถาดใส่น้ำมาให้เอง ส่งยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มจริงใจแบบที่เห็นบ่อยๆบนหน้าใครบางคน
“พอดีผมหลับเพลินไปหน่อยน่ะครับ” หมอเนสยกมือไหว้ทั้งคู่ ก่อนจะยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำขึ้นมาจิบตามมารยาท แล้วเดินดูภาพถ่ายมากมายที่แปะไว้เต็มผนังเลยมาจนถึงด้านใน
“เพื่อนที่ขึ้นมาจากระนองรึ เราน่ะ?” คุณตาเอ่ยหลังจากที่ปล่อยให้แขกของหลานชายเดินดูรูปอยู่นาน
“ครับ..ผมชื่อเนสเป็นหมอไปใช้ทุนอยู่ที่นั่น กำลังจะกลับมาอยู่กรุงเทพครับ” สองตายายหันไปสบตากัน ก่อนจะหันมายิ้มให้ เพิ่งจะรู้ว่าที่ไอ้เจ้าหลานชายมันเทียวไปเทียวมา กรุงเทพ-ระนอง เป็นเพราะมีเพื่อนอยู่ที่นั่น สองสามวันมานี่หลานชายมันถึงได้คุยโม้ว่าคนสำคัญกำลังจะกลับมา
“เป็นหมอ..คนที่เจ้าธีมันเอามาคุยอวดว่าสอนภาษาไทยให้ล่ะซิ!!?” หมอเนสจำต้องหลบสายตาของผู้สูงวัยทั้งคู่ พร้อมกับตอบรับ ทั้งที่อยากจะรู้ว่าไอ้เจ้าแตงกวามันเอาอะไรมาเล่าบ้าง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามเกรงว่างานจะเข้าได้ จำต้องหาเรื่องอื่นมาคุยแทน ถามเรื่องรูปถ่ายแต่ละใบที่สนใจมาตั้งแต่แรก โชคดีที่ท่านทั้งสองอัธยาศัยดีก็เลยคุยกันได้สนุกปาก
“ที่ห้องเจ้าธียังมีอีกนะ รูปพวกนี้ ถ้าอยากจะดูก็ขึ้นไปข้างบนได้ เผื่อว่าอยากเข้าห้องน้ำห้องท่าก็ตามสบายนะ” คุณยายเอ่ยปากบอกตอนที่คุยมาได้ซักพัก ตอนแรกก็ว่าจะไม่ขึ้นไป แต่หมอเนสก็คิดขึ้นมาได้ว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้หาทางหลบ ก็เลยลุกขึ้นขอตัวไปตามทางที่คุณตาบอก
ทางขึ้นชั้นสองเป็นบันไดแคบๆที่เดินได้แค่สวนกันยังต้องเอียงตัวหลบ คงเพราะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เป็นที่พัก แต่พอขึ้นไปถึง ความกว้างขวางก็ไม่ได้ต่างจากข้างล่างมากนัก หมอเนสเดินตรงไปยังประตูห้องที่เห็นตรงหน้า ห้องพักเพียงห้องเดียวของเจ้าของร้าน
บรรยากาศในห้องออกแนวทึมๆ เพราะเจ้าของห้องติดผ้าม่านสีน้ำตาลเข้มผืนหนาเอาไว้ แถมยังดึงปิดสนิทชนิดที่ว่าไม่ยอมให้แสงลอดเข้ามาได้ กว่าจะคลำหาสวิตซ์ไฟเจอก็เกือบจะไปเตะข้าวของให้ห้องร่วงลงมา ดีที่ยังคว้าเอาไว้ได้ทัน พอไฟทั้งห้องสว่าง ถึงได้เห็นว่า...ผนังห้องถูกต้องแต่งด้วยภาพถ่ายเหมือนข้างล่างอย่างที่คุณยายบอก เพียงแต่รูปที่เห็นส่วนใหญ่นอกจากวิวทิวทัศน์ ครอบครัว...ก็ยังมีรูปตัวเองแปะรวมอยู่ด้วย ทุกอิริยาบถตอนที่โดนไอ้หมาแตงกวามันแอบถ่าย ไม่เคยได้เห็นว่าตัวเองจะทำหน้าแบบนี้ได้ ส่วนรูปที่แปะอยู่ข้างกันก็คือรูปเจ้าของห้อง ที่หมอเนสจำได้แม่นว่าเป็นฝีมือการถ่ายรูปของตัวเองในครั้งนั้น...น่าอับอายจริงๆให้ตายเหอะ
“มาอยู่นี่เอง ผมตามหาแทบแย่!!” เสียงทักที่ดังขึ้นพร้อมกับอ้อมแขนที่สอดมาทางด้านหลังทำเอาคนที่กำลังเพลินสะดุ้ง ไอ้เจ้าของห้องมันมายืนซบหอบหายใจอยู่ข้างหูเหมือนไปวิ่งร้อยเมตรที่ไหนมา
ธีโอบ่นพึมพำก็ตอนที่ชะโงกหน้าออกมามองรถที่จอดอยู่ข้างนอก แล้วพบว่ามันว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาของใครบางคนที่สมควรจะหลับอยู่ข้างใน ทำเอาใจหายวาบ ทิ้งกองงานในมือแล้ววิ่งออกไปดูข้างนอก กลัวว่าคุณหมอขี้หงุดหงิดจะไม่อยู่รอเสียแล้ว
“พอเหอะ ปล่อยได้แล้ว จะให้ไปไหนได้กระเป๋าอยู่ในรถโน่น” น้ำเสียงกึ่งประชดพร้อมกับพยายามแกะมือที่โอบเอวตัวเองออก แต่...ได้โอกาสทั้งที ธีโอก็เลยฉวยหอมแก้มคนที่คิดถึงไปฟอดใหญ่
“ชื่นใจจังเลยครับ..โอ๊ย!!! คุณเนสอ่ะ!!” ผลของการฉวยโอกาสทำให้เจ้าตัวอึ้งไปแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะโดนศอกเข้าให้ที่หน้าท้องแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เล่นเอาจุกเจ็บ แต่ก็ต้องรีบคว้าตัวคนประทุษร้ายเอาไว้ให้แน่น ไม่งั้นอาจจะโดนหนักกว่านี้ หากปล่อยให้หลุดมือ
“ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ!! เดี๋ยวไม่ตายดีแน่!!” หมอเนสขู่ฟ่อทั้งที่ยังดิ้นไม่หลุด โดนไอ้หมาลูกครึ่งมันเล่นงานตอนเผลอ แถมมันยังฉลาดจับทางได้ไปเสียหมด
“ก็คนมันคิดถึงนี่นา” ไอ้เด็กโข่งทำเสียงอ่อน ซบหน้าลงบนไหล่ไม่ยอมปล่อย ประโยคที่ได้ยินทำเอาคนที่ยืนนิ่งฟังหน้าร้อนฉ่าไปถึงหูได้ง่ายๆ
“มีแผนอะไรอีกล่ะ!!?”
“แผน!!?” หมอเนสเริ่มขืนตัวออกจากอ้อมแขนคนข้างหลังอีกรอบ แต่ก็กลับโดนรั้งเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิม เล่นเอาหายใจไม่ออกจนต้องตัดใจเลิกล้มความพยายาม
“ก็แผนที่พามาที่นี่ไง อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง!!?” คนฟังเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างด้วยความงงจัด
“ผมเปล่ามีแผนนะ ลูกค้าเค้าโทรตามจะเอางานด่วน ผมก็เลยต้องแวะมา” ธีโอยืนยันเสียงหนักแน่น เพราะคุณตาเป็นคนบอกว่าลูกค้ารายนี้เป็นลูกค้าประจำ ต้องการงานด่วนก็เลยต้องแวะกลับมา ตอนแรกก็แค่จะสั่งงานแล้วกลับ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเด็กในร้านมันเหมือนทำงานไม่เป็นกันซะอย่างงั้น ก็เลยต้องลงมือทำเองทั้งหมด
“แล้วคุณตากับคุณยายรู้เรื่องได้ไง เรื่องเราน่ะ!!” พอตวาดไปแล้ว หมอเนสก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย ที่ดันพูดออกไปแบบนั้น มันก็ไม่ต่างกับการยอมรับดีๆนี่เอง นั่นไง!!...รอยยิ้มรู้ทันแบบที่เกลียดนักหนา
“หึ หึ ที่แท้ก็โมโห ’เรื่องของเรา’ นี่เอง คุณเนสของผม” เสียงกระซิบที่จงใจให้มันมาอยู่ใกล้หู แม้จะเบี่ยงตัวหลบก็ยังโดนไอ้หมาลูกครึ่งมันกดจมูกลงมาบนแก้มอยู่ดี สภาพแบบนี้หนียังไงก็โดนมันงับอย่างเดียว
“แล้ว..คุณตากับคุณยาย รู้อะไรบ้าง!!?” โดนคำถามนี้เข้าไป ไอ้เจ้าเด็กโข่งตัวโตก็ทำหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ทำเอาคนถามแทบจะได้คำตอบในทันที
“คะ..คือ..คุณยายเข้ามาจัดห้องให้ ก็เลยเห็นรูป แล้วก็ชวนคุณตามาดู แล้วก็เลย...โดนสอบสวน ผมก็เลย...บอกไป” ธีโอตอบตามความจริง
“บอกออกไปเนี้ยะนะ แล้วท่านทั้งสองไม่ตกใจแย่รึไง บ้าไปเปล่า!!” ที่จริงเรื่องความรักของคนสองคน ไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันติดอยู่ตรงที่..หลานชายดันไปชอบพอกับผู้ชายด้วยกันนี่ซิ มันเป็นเรื่องที่คนรุ่นก่อนยากจะยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ได้ แล้วอีกอย่างท่านทั้งสองก็อายุเยอะ เกิดความดันขึ้น โรคหัวใจกำเริบ หรือเป็นอะไรขึ้นมา ไม่บาปกันทั้งคู่รึไง!!!
“ท่านบอกผมว่า ถ้าผมรักใคร ท่านก็จะรักด้วย” ธีโอตอบตามความจริง เหลือบมองอีกคนเป็นระยะๆ กลัวว่าจะโดนโกรธขึ้นมาจริงๆ เพราะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าแดงจัดไปจนเกือบถึงใบหู แต่ก็เกินคาด เพราะแทนที่จะโดนโวยคนตรงหน้ากลับหันหลบไปอีกทาง...แบบนี้มันน่ารักเกินไปแล้ว!!
“จะกลับแล้ว...ลงไปข้างล่างกัน!!” เมื่อบรรยากาศในห้องมันเริ่มมีกลิ่นหวานแปลกๆ และความเงียบที่ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของคนข้างหลัง แผ่นอกที่แนบชิดจนรับรู้ได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นรัวเป็นจังหวะเดียวกัน เป็นครั้งแรกที่หมอเนสไม่กล้าหันไปสบตาอีกคน กลัว..ว่าตัวเองจะพลอยยอมใจอ่อนให้ด้วยความที่คิดถึงเหมือนกัน แต่ก็ทนปากแข็งมาตลอด
“เดี๋ยวค่อยลงไปไม่ได้เหรอ ขออยู่แบบนี้อีกนิดได้ไหม..นะครับ..?” จมูกโด่งกดลงมาแถวซอกคอจนต้องเอียงตัวหลบ แถมไอ้เจ้าเด็กโข่งมันยังจงใจสูดลมหายใจเข้าทำให้ยิ่งรู้สึกแปลกๆเข้าไปอีก
“ก็..ก็กลับมาอยู่ใกล้ๆแล้วไง เวลาที่จะเจอกันยังมีอีกนะ ไม่ใช่แค่วันนี้..” กว่าจะตัดสินใจพูดออกไปได้ก็ช่างยากลำบากเต็มที ไม่ใช่ไม่รู้ความต้องการของอีกฝ่าย แต่เพียงเพราะหมอเนสไม่อยากจะหาเหตุผลไปบอกคนที่รออยู่ข้างล่าง ว่าหายไปไหนกันมาตั้งนานสองนาน แล้วก็พาลจะไม่กล้ามองหน้าผู้สูงอายุทั้งสองท่านที่อุตส่าห์ให้ความเอ็นดูด้วย
อ้อมแขนแน่นหนาที่โอบอยู่รอบตัวคลายออกอย่างง่ายดายพร้อมกับเสียงถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนที่ตัวจะถูกหมุนให้หันกลับไปเผชิญหน้ากัน ด้วยความสูงที่ไม่ต่างกันมากนัก ยามที่อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระดับสายตา ก็แทบจะต้องกลั้นลมหายใจ แต่ริมฝีปากอุ่นก็เพียงแค่แตะลงบนแก้มแผ่วเบา ไล่เรื่อยไปจนถึงริมฝีปากและหยุดอ้อยอิ่งเรียกร้องอยู่พักใหญ่ ตักตวงเอาจนพอใจถึงได้ปล่อยให้ได้พัก
“ขอมัดจำไว้แค่นี้ก่อนนะครับ วันหลังค่อยเอาคืนแบบ Full course” ไอ้เด็กโข่งกระซิบ พร้อมจุมพิตอีกทีแถวขมับเหมือนกับอาลัยอาวรณ์นักหนา หมอเนสถอยออกมายืนห่างๆสองสามก้าว เพราะขืนอยู่ฟังคงได้เขินจนระบบทางเดินหายใจทำงานไม่ทัน อาจหัวใจวายตายได้ก่อนถึงวันเอาคืนที่ว่า
“ใคร...จะให้เอาคืนกันวะ ไอ้เด็กบ้า!!” กว่าจะสามารถเปล่งเสียงออกไปได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ยกมือเช็ดริมฝีปากตัวเองก่อนจะเบี่ยงตัวหลบ รีบชิ่งวิ่งหนีลงไปข้างล่างได้ทันก่อนที่เจ้าของห้องจะยื่นมือมาคว้าตัวเอาไว้ มีเพียงเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังตามมาข้างหลัง
“อ้าว!! จะกลับกันแล้วเรอะ นึกว่าจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันซักมื้อ” เสียงทักอารมณ์ดีของคุณตาทำเอาคุณหมอที่กำลังลนลานจะหนีหันขวับไปมอง แล้วรีบก้มหลบสายตารู้ทันที่มองมา
“ผมคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับ บอกคุณแม่ไว้ ป่านนี้ท่านคงรอแย่” หมอเนสยกมือไหว้ผู้สูงวัยทั้งสองท่านตามมารยาท ก่อนจะเดินตัวปลิวออกมาจากร้าน ไม่สนใจเสียงเรียกของไอ้เจ้าเด็กโข่งมัน ...
“คุณเนส!! รอผมด้วยซิครับ!!” เสียงตึงตังวิ่งลงมาจากข้างบน ทำเอาหมอเนสยิ่งต้องรีบก้าวยาวๆไปที่รถ...ไม่ได้จะหนี แต่ขืนอยู่นานกว่านี้ใบหน้าได้ร้อนจนระเบิดแน่
ธีโอแทบจะโดดพุ่งตัวลงมาจากทางเดินชั้นสอง ยิ่งเห็นแผ่นหลังของใครบางคนวิ่งตัวปลิวออกไปก่อน โดยไม่หันมามองก็ยิ่งร้อนใจ กลัวจะไปกระตุ้นต่อมโกรธอีกฝ่ายเข้าให้ แต่ยังไม่ทันจะได้วิ่งตามคุณตาก็กวักมือเรียกเอาไว้เสียก่อน
“ตาถึงนี่หว่าไอ้หลานชาย เอาไว้คราวหน้าพามาเที่ยวอีกนะ” คุณตาหัวเราะชอบใจตอนที่โดนคุณยายฟาดเผียะที่แขนไปทีด้วยความหมั่นไส้
“เราก็นะ..คราวหน้าคราวหลังจะทำธุระอย่าเอาของสำคัญไปทิ้งไว้ในรถแบบนั้นสิ” คราวนี้เป็นคุณยายที่หันมาเอ็ดหลานชายตัวโตที่กำลังชะเง้อคอมองไปข้างนอกอย่างกังวล
“ขอโทษครับ เอาไว้ผมกลับมาคุยนะ เดี๋ยวเกิดเรื่องแน่เลย..โธ่~~!!” ทั้งสองคนเหลือบมองหลานชายที่ขอตัววิ่งออกไปข้างนอก ก่อนจะหันมาสบตากันอย่างรู้ความ
“เป็นไงล่ะตา เจ้าแผนการดีนัก หลานมันโกรธกันเลยเห็นไหม!!?” คุณยายหันมาส่งสายตาค้อนให้วงใหญ่ ก่อนจะหันไปมองรถของหลานชายที่กำลังเคลื่อนออกไปอย่างอารมณ์ดี
“ทำเป็นมาว่ากัน ก็ยายไม่ใช่รึที่มาบอกว่าอยากเห็นนักหนา โยนความให้กันซะอย่างงั้นแหละ” คุณยายหันกลับมามอง ก่อนจะทำเป็นเชิดไม่สนใจ
ก็ตอนที่รู้ว่าธุระของหลานชายที่บอกว่าด่วน นั่นคือการไปรับเพื่อนที่มาจากระนอง สองตายายก็เลยวางแผนที่จะได้เห็นหน้าเพื่อนคนสำคัญที่เจ้าหลานชายมันแปะรูปเอาไว้ในห้อง บางทีก็นั่งมองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อยากจะเห็นด้วยตาของตัวเองว่าคนที่หลานชายมันฝากหัวใจ จะเป็นคนดีซักแค่ไหน....แล้วก็วางใจได้ตอนที่ได้เจอ..ก็ดูท่าดุขนาดนั้น ทั้งที่ขี้อาย คงจะเอาไอ้เจ้าธีมันได้อยู่หมัดก็คราวนี้
.
.
.
"คุณเนสอย่าเงียบแบบนี้ซิครับ ผมขอโทษก็ได้เอ๊า!!"
~~~ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากบุคคลที่ท่านเรียก~~ เนื่องจากเจ้าตัวแกล้งทำเป็นเอนเบาะแล้วหลับตาลงซะอย่างงั้น
“คุณเนสไม่คิดถึงผมเหรอ ผมรักคุณเนสนะคร้าบบบบบ”
~~สัญญาณยังคง..กริบ...เหมือนเดิม~~~
“จะให้ผมทำยังไงก็ยอมล่ะ หายโกรธเถอะนะ..นะ...นะ”
“พูดไปซิ!!” ปฏิกิริยาตอบกลับแบบกระชับฉับไวเหมือนข่าวสั้นทันโลกซะไม่มี
“จะให้ผมพูดอะไรอ่ะ ผมยอมทุกอย่างเลย!!” มือก็ขับรถ สายตาก็มองถนน แต่ใจมันยังจดจ่ออยู่กับคนที่แกล้งหลับอยู่ข้าง ๆ
“
พูดแบบเมื่อกี้...ให้ถึงบ้าน”
ธีโอกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด เพราะมัวแต่พล่ามจนจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมาบ้าง ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างตอนที่คิดออกว่าอะไรที่คุณหมอขี้หงุดหงิดต้องการจะฟังพอดีกับจังหวะที่รถติดพอดี ก็เลยแกล้งเอี้ยวตัวไปหยิบของที่เบาะหลัง
“ผม รัก คุณ เนส ครับ” คำพูดที่ได้ยินทำเอามุมปากของคนแกล้งหลับตาขยับรอยยิ้มออกมาได้ ก่อนจะโดนจมูกโด่งฉกลงมาที่แก้มแบบผ่านๆ จนต้องลืมตาขึ้นมา ส่งสายตาดุๆไปให้ไอ้หมาจอมเจ้าเล่ห์ที่กำลังฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริอยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็หมั่นไส้ขึ้นมา!!
“พูดไปจนกว่าจะถึงบ้าน แล้วถ้าทำอะไรแบบเมื่อกี้ ไอ้ Full course ที่ติดไว้ ล้มเลิก!!!” คำขู่ที่ทำเอาไอ้หมาลูกครึ่งหูตั้ง ทำหน้าหงอยได้ในพริบตา ยังไม่ทันจะได้แก้ตัวอะไรมากสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว
ธีโอถอนหายใจออกมายาวเหยียด แต่ไม่ใช่เพราะความรำคาญหรืออะไร แต่เพราะประโยคที่จะพูดออกไปไม่ใช่แค่คนฟังที่รู้สึกเขิน แม้ว่าตัวเองจะพูดบ่อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชิน
“คร้าบๆ ผมรักคุณเนส” ประโยคต่อๆมาที่ดูเหมือนคำประชด ทำเอาคนฟังที่แกล้งโกรธต้องเปิดปากหัวเราะก๊ากออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ได้ยินแบบนั้นไอ้คนพูดมันก็เลยยิ่งได้ใจใหญ่
“ผมรักคุณเนส”
“ผมรักคุณเนส!!”
“ผมรักคุณเนสคร้าบบบบบบบ”
==================================
แอบมาลงนิ่ง ๆ เนียน ๆ
ผู้อ่านทุกท่านอีกทีก่อนไป