มาแล้วค่ะ เขียนนานมาก พล๊อตก็ตีกันอยู่ในสมองน้อยๆมากมาย
ในที่สุดเลยตัดสินใจจับสองพล๊อตมารวมกันซะเลย (เล่นเอาแอบยาก)
กลัวว่าพออ่านตอนนี้ปุ๊บ เรททิ่งของเรื่องเล่าจากความฝันจะตกลงทันที
ความจริงคิดอย่างนี้ตั้งแต่เขียนตอนแรกแล้วค่ะ
เคยเล่าให้น้องที่คุยกันบ่อยๆนอกรอบรู้แล้วด้วย น้องบอกว่าปล่อยๆให้คลุมเครือไว้ก็ดีนะ
แต่ๆๆๆ.......เมื่อมีไฟ ก็ต้องเขียนนะคะ เพราะงั้น...ท่านไหนเปิดเข้ามา ก็เชิญไปอ่านกันได้เลยค่ะ
คำแนะนำสำหรับตอนนี้: ควรอ่านตอนแรก "ในค่ำคืนแห่งความฝัน" ที่หน้าแรกก่อนนะคะ แล้วจะเข้าถึงเรื่องได้มากขึ้น...............................................
นิมิตกลางกูณฑ์
อคฺนิมีเฬ ปุโรหิตํ ยชฺญสฺย เทวมฺฤตฺวิชมฺ โหตารํ รตฺนธาตมมฺ
อคฺนิะ ปูรฺเวภิรฺรฺษิภิรีฑฺโย นูตไนรุต ส เทวาเนห วกฺษติ
(*อ้างอิงจากฤคเวท บทที่หนึ่ง)
บทสวดบำบวงต่อองค์อัคนิเทพดังต่อเนื่องจากร่างในอาภรณ์สีขาวที่เยื้องกรายแช่มช้าประทักษิณรอบกองไฟ นิ้วมือเรียวยาวปลายเล็บเจียนเรียบสะอาดสะอ้านตามแบบฉบับผู้ทรงศีลชั้นสูงโปรยเครื่องหอมเข้าสู่กองไฟนั้นจนเกิดประกายไฟสีเหลือบฟ้าลุกโชติช่วง ส่งกลิ่นหอมอวลราวอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์กำจายไปทั่วทั้งบริเวณ
‘มัฏฏกะ........มัฏฏกะบุตรแห่งเรา’ สุ้มสำเนียงเปี่ยมไปด้วยเมตตาพลันดังขึ้นโดยตรงในดวงจิตของมัฏฏกะพราหมณ์ คุรุหนุ่มบุตรแห่งสำนักพราหมณ์อันยึดเอาอัคนิเทพเป็นเทพสูงสุด
ด้วยสดับสำเนียงนั้น มัฏฏกะพลันเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบนอันเป็นที่สถิตแห่งทวยเทพ เปล่งเสียงตอบโต้ออกไปด้วยเคารพและปรีติใจ
“โอ......อัคนิเทพผู้เป็นบิดา พระผู้ให้กำเนิดแก่ทุกชีวิต......ข้าพระองค์ขอน้อมศิระกราบกราน”
‘ด้วยการปฏิบัติบูชาต่อเราเป็นนิจ และวัตระงดงามแห่งเจ้า มัฏฏกะเอย....พ่อมีคำเตือนมาสู่เจ้า จงรับฟังเถิด.....’
“ข้าพระองค์ขอน้อมรับ”
‘เช่นนั้นจงทำการเพ่งกสิณ เปิดจิตให้กว้าง แล้วเจ้าจักได้รู้ถึงพฤติการณ์อันเป็นเหตุแห่งทุกขเวทนาในอนาคตอันใกล้นี้.....พ่อทำได้แค่ตักเตือน หนทางที่เจ้าเลือกจักเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของเจ้าเอง หากเจ้ายอมละพันธะสัญญาที่ได้ลั่นวาจาแต่ปางบรรพ์ เจ้าย่อมมิต้องเผชิญทุกขเวทนาอันจะเกิดขึ้นตามมา จงใช้สติพิจารณาเถิดมัฏฏกะบุตรแห่งข้า....’
ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาวล้วนยอบกายทำศิรประณามอีกครั้งแล้วจึงทรุดกายลงนั่งในท่าขัดสมาธิ เพ่งตาและจิตยึดเอาเปลวไฟในกองกูณฑ์เป็นที่ตั้ง เพียงชั่วขณะเท่านั้น พลันปรากฏภาพขึ้นกลางเปลวเพลิง แจ่มชัดราวกับมัฏฏกะได้เข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์กระนั้น
สถานที่ในนิมิตงดงามราวทิพย์พิมาน ทุกโต๊ะตั่งล้วนแล้วแต่ส่งประกายราวสลักเสลาขึ้นด้วยอัญมณี หากสิ่งที่เรียกความสนใจคือเสียงบัญชาจากบุรุษผู้มีรัศมีแห่งเทพซึ่งสถิตเหนือพระแท่นสูงสุด
“มาตลี จงรับบัญชาแห่งเรา เดินทางสู่คิริปุระ แห่งชมพูทวีป เชิญเสด็จราชธิดาองค์สุดท้องมาเป็นบาทบริจาริกาแห่งเรา”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า”พลันภาพสถานที่ในคลองจักษุกลับแปรเปลี่ยนเป็นตลาดกลางเมืองใหญ่ แน่นขนัดไปด้วยผู้คนและสินค้าหลากหลาย นายวาณิชต่างแก่งแย่งส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากลูกค้าที่สัญจรผ่านไปมา มัฏฏกะมองเห็นเทพบุตรนามมาตลีในอาภรณ์ราวคนยาก หัตถ์สีทองแดงแกร่งหนาถือพิณเก่าคร่ำคร่ายืนอยู่ด้านหน้ารูปสำริดซึ่งมีอักษรจารว่าเป็นต้นวงศ์กษัตริย์ผู้ครองแคว้น สายตาสอดส่องไปตามร้านรวงอย่างสบายอารมณ์
กระแสความคิดของสารถีเทพพลันดังขึ้นให้มัฏฏกะได้ร่วมรับรู้ราวกับเป็นผู้คิดเฉกนั้นด้วยตนเอง
‘เราออกเดินทางทันทีจึงมาถึงตั้งแต่สุริยเทพยังทอแสงกล้า ท่าอยู่ที่นี่จนถึงเพลาดึกสงัดค่อยเข้าไปสู่ราชฐานรับพระธิดาตามพระบัญชาจักเหมาะกว่า’
สิ้นกระแสความคิด มัฏฏกะก็เห็นเทพบุตรในคราบคนจรเริ่มบรรเลงเพลงพิณ เกิดท่วงทำนองสนุกสนานรื่นเริงราวกับจะปลุกชีวิตชีวาของทุกสรรพสิ่งรอบกาย เพียงไม่นานก็มีผู้คนหยุดยืนฟังเพลงพิณจนแน่นขนัด
ทันใดนั้นบรรยากาศจ้อกแจ้กจอแจของตลาดกลางจัตุรัสพลันเงียบสนิท เมื่อมีเสียงฝีเท้าม้ากว่าสิบตัวควบตะบึงมาทางทิศที่เจ้าคนจรกำลังยืนบรรเลงเพลงพิณ ผู้ชมกว่ายี่สิบชีวิตแตกฮือไปคนละทิศละทาง จะเหลือก็แต่เจ้ามานพน้อยที่โพกผ้าเนื้อหนากระดำกระด่างปกคลุมใบหน้ากว่าครึ่งที่ยังยืนอยู่ที่เดิมหันซ้ายหันขวาล่อกแล่ก ชวนให้ผู้แสดงตนเป็นวณิพกพนเจรเข้าใจไปว่าเจ้าหนุ่มน้อยมัวตื่นตกใจจนไม่ทันหลบหลีกกองม้าขนาดย่อมที่กำลังพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว
เทพบุตรจำแลงพุ่งกายรั้งร่างเจ้ามานพน้อยแนบอกแล้วพาหายตัวไปสู่สถานที่ลี้ลับเท่าที่ดวงจิตที่กำลังหวั่นจะเกิดอันตรายกับเจ้าหนุ่มน้อยจะนึกออกในทันที ชั่วขณะจิตสารถีเทพแห่งสวรรค์ก็พาร่างน้อยนั้นไปถึงสระอโนดาตแห่งป่าหิมพานต์ เมื่อทรงตัวยืนได้เจ้ามานพน้อยก็โวยวายเสียงดังพร้อมทั้งผลักไสให้เจ้าคนจรถอยออกห่าง
เทพจำแลงเห็นดังนั้นจึงเอื้อมคว้า ตั้งใจจะดึงรั้งไว้ หากพลาดคว้าจับได้เพียงชายผ้าโพกกระดำกระด่างนั้น เสียงอุทานเล็กแหลมดังขึ้นพร้อมกับเกศาดำสนิทดกหนาเป็นคลื่นทิ้งตัวยาวถึงโค้งสะโพกที่มาตลีเทพเพิ่งจะได้สังเกตว่าทั้งผายทั้งงอนเกินชาย วงพักตร์ที่เปิดเผยแก่สายตาเล่าก็ผุดผ่องพริ้มเพรา โดยเฉพาะแววเนตรที่ทอประกายครึ่งโกรธระคนหวาดกลัวนั้น ระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาราที่ทอประกายบนฟากฟ้า
ดวงจิตของมัฏฏกะพราหมณ์พลันกระตุกวาบราวกับถูกของร้อนทันทีที่เจ้ามานพน้อยซึ่งกำลังตระหนกเงยหน้าขึ้นสบตากับเทพจำแลง
เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่มาตลีเทพบุตรก็สัมผัสได้มิต่างกัน และเจ้าพราหมณ์หนุ่มก็รับรู้ในบัดนั้นว่าดวงจิตของตนและเทพจำแลงในนิมิตนั้นเป็นดวงจิตเดียวกัน หาได้แยกจากกันไม่
ณ ริมธาราสีเขียวมรกตใสกระจ่างราวกระจกเงานั้น การณ์ปรากฏว่าเจ้าร่างน้อยที่แต่งกายอำพรางราวกับมานพหนุ่มนั้นแท้จริงแล้วเป็นสตรี และที่นั้นเอง.....ที่ตำนานรักระหว่างเทพและมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้น เพียงเนตรสบเนตรก็ราวกับมีพลังงานบางอย่างดึงดูดให้ต่างเคลื่อนกายเข้าหา
สองต่างเคลื่อนกายเข้าหา ไม่ปล่อยเวลา
ให้ผ่านแม้สักนาที
โอษฐ์แย้มยั่วเย้าในที ไร้ถ้อยพจี
สื่อสารแค่เพียงแววตา
เนตรน้องสบเนตรพี่ยา เปี่ยมเสน่หา
ร้อนรนล้นห้วงหทัย
เอื้อมหัตถ์แตะเนื้อเหนือใจ นิ่มน้องอุ่นไอ
สะท้านซ่านถึงวิญญาณ์
ร้อนร้อนรุมเร้าราวบ้า เร่งโลมแก้วตา
ตามเชิงชำนาญโลกีย์
ปทุมมาลย์ในสระศรี บานเหนือนที
ส่งกลิ่นยวนเย้าภมร
ภู่ผึ้งเคล้าคลึงเกสร ลิ้มชิมเนื้ออ่อน
สั่นสั่นสะท้อนรับลิ้น
ไหวเอนราวจะพังภิณฑ์ ภมรลืมถิ่น
เฝ้าเคล้าแต่เจ้าเยาวมาลย์ไร้ซึ่งบทสนทนา ไร้ซึ่งคำถามและข้อสงสัย......
สองร่างแตะต้องเรียนรู้กันและกันราวเฝ้ารอมานาน ราวปุถุชนกระหายน้ำแล้วพานพบกระแสธาราใสไหลเย็นกระนั้น
บทรักร้อนแรงเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจบลงอย่างอ้อยอิ่ง ร่างน้อยนุ่มละมุนวรรณะขาวกระจ่างราวน้ำนมที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อจนทั่วซุกซบอยู่กับแผ่นอกกว้างสีทองแดง
“ท่าน......ต้องพาข้ากลับไปส่งบ้าน แล้วก็รีบหนีไปให้ไกลที่สุด........” เสียงแว่วหวานดังขึ้นเพียงแผ่วปนหอบสะอื้นเมื่อเริ่มได้สติ
“อย่าร้องไห้สิ พี่พาเจ้ากลับไปส่งบ้านได้ แต่คงไม่ทำตามที่เจ้าบอกให้หนีแน่.....พี่รักเจ้าจริงแท้ เหตุไฉนจึงต้องหนีให้ไกลด้วยเล่า หรือเจ้ารังเกียจที่พี่เป็นเพียงคนจร”
ด้วยลักษณาการเช่นนั้น มาตลีเทพบุตรในร่างจำแลงดุจวณิพกพเนจรตั้งคำถามลองใจกับนางงามที่ยังซบพักตร์อยู่กับอุระแห่งพระองค์แล้วสะอื้นไห้
“อย่าได้ลองใจข้าเช่นนี้ ถึงท่านจะเป็นเพียงคนจรก็มีวิชา หาใช่วณิพกธรรมดาไม่”
สุ้มเสียงหวานจัดหากแต่ห้วนจัดทำให้สารถีเทพต้องแย้มสรวลอย่างไม่มีผู้ใดเคยได้เห็น ความพึงพอใจในนางงามนี้ยิ่งเพิ่มพูน ใช่จะพบเจอได้ง่ายๆสตรีที่งามทั้งรูปแลเปี่ยมด้วยปัญญา
“เมื่อเจ้าเองก็รู้ว่าพี่มิใช่วณิพกธรรมดา แล้วจักกังวลอันใด เจ้าเองก็ไม่ได้รังเกียจพี่ ฉะนั้นพี่จะไปพบพ่อแม่ของเจ้า คุยกับท่านว่าจะขอเจ้าไปอยู่กับพี่ เช่นนี้ไม่ดีหรือไร”
“ท่านมั่นใจได้อย่างไร ว่า.....เอ่อ....ที่บ้านข้าจะยอมให้ข้าไปกับท่านได้โดยง่าย”
ร่างน้อยคว้าเอาผ้าที่หลุดกองกระจัดกระจายมาห่มตัวแล้วค่อยลุกขึ้นนั่ง และต้องสูดปากครางด้วยความเจ็บร้าวไปจนถึงปลายเท้า เมื่อนึกถึงสาเหตุแห่งอาการเจ็บร้าวนี้ก็รู้สึกเขินอายจนต้องผินหลังให้บุรุษที่เพิ่งได้สังเกตว่ามีเรือนร่างสง่างามผึ่งผาย ผิวสีทองแดงเสมอกันไปทั้งเรือนกาย
เห็นท่าทางของนางงามและได้สดับคำพูดดังนั้น มาตลีเทพบุตรจึงจำแลงกายกลับสู่ภาวะแห่งเทพ ปลดปล่อยรัศมีเรืองรองออกมาทั่วร่าง ทรงผ้าทิพย์สีเขียวมะกอกสอดดิ้นทอง เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ก็ล้วนแล้วแต่อัญมณีมีค่า
“เจ้าหันมาดูทีหรือว่าพี่เป็นใคร เผื่อจะเลิกสงสัยว่าที่บ้านเจ้าจะยอมให้ไปกับพี่หรือไม่ หึๆๆ”
“........ทะ ท่าน.......ท่านไม่ใช่มนุษย์”
“เก่งจริงเจ้า.....กระนี้แล้ว ยังจักให้พี่หนีไปให้ไกลอีกหรือ” สารถีเทพถือโอกาสที่ร่างน้อยยังพิศวงกับการสำแดงองค์จริงรั้งให้นางงามนั้นนั่งลงซ้อนตัก
“อ๊ะ! อย่า.......ขะ ข้า......”
“พี่ไม่ได้จะทำอะไร เห็นว่าเจ้าเจ็บ พี่ก็จะรักษาให้ อยู่นิ่งๆสิคนดี ว่าแต่ บ้านเจ้าอยู่ไหน แล้วเจ้ามีนามว่าอย่างไร......เดี๋ยวไม่ใช่ไปถึงบ้านเจ้า พี่ไปขอบุตรีกับท่านพ่อของเจ้าแต่กลับไม่รู้นามแห่งนาง พี่คงขายหน้าแย่”
มาตลีเทพบุตรยึดให้ร่างงามอยู่นิ่ง ก่อนจะแผ่รัศมีเทพจนเข้มข้นแล้วปล่อยให้ซึมเข้าสู่ผิวเนื้อของนางมนุษย์ ความรู้สึกอบอุ่นพลันวาบเข้าถึงเนื้อหัวใจ และความเจ็บร้าวก็ปลาสนาการไปจนสิ้น
“คือ....ขอความมั่นใจให้ข้าก่อน ว่าท่านไม่ใช่อสูรปลอมแปลงมา”
“ฮ่าๆๆๆๆ เจ้านี่นะ เอาเถิด...ข้าขอกล่าววาจาสัตย์ ข้าคือมาตลีเทพ ตำแหน่งสารถีเทพแห่งสวรรค์ ใกล้ชิดกับจอมเทพแห่งสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เจ้าพอใจแล้วหรือไม่”
อ้อมพาหาที่รัดรึงให้แผ่นหลังเปลือยเปล่าเบียดแนบกับอ้อมอุระออกแรงมากขึ้นจนเหมือนจะแกล้งให้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวทำให้เสียงหัวเราะกังวานหวานหลุดออกจากปากของร่างน้อยที่บัดนี้ผิวเนียนละเอียดกลับมีบางส่วนขึ้นสีจัดราวกับแต้มแต่งด้วยกลีบบุปผาสีชมพูเข้ม
ร่างน้อยนุ่มนิ่มปลดอ้อมพาหาแห่งองค์เทพออก แล้วหมุนกายประนมกรกราบลงกับพระอุระราวจะฝากชีวิต
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็ต้องแทนตัวใหม่ หม่อมฉันพลาดไปแล้วที่พูดจาล่วงเกินพระองค์.....อภัยให้หม่อมฉันนะ....นะเพคะ”
“พี่ไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก แล้วเจ้าก็ไม่ต้องเปลี่ยนคำแทนตัว ไม่ต้องเพคะกับพี่ พูดตามที่ถนัดกับพี่เช่นเดิมเถิด.....แล้วนี่พี่จะมีหวังได้รู้นามของเจ้าหรือไม่”
พระกรหนาโอบอ้อมร่างน้อยให้ซุกซบกับอุระ หัตถ์อีกข้างก็กอบกุมมือน้อยๆทั้งสองข้างที่ยังประนมไว้แนบแน่น แย้มสรวลอ่อนหวานให้กับกิริยาออดอ้อนนั้นอย่างพึงใจ ทันทีที่คำถามเชิงเย้าหลุดจากพระศอก็เรียกเสียงหัวเราะระรื่นหวานหูให้ดังขึ้น
“ฮะๆๆๆๆ ศวัตรา....นามของหม่อมฉันคือศวัตรากุมารี สมเด็จพ่อของหม่อมฉันคือพระราชาผู้ครองคิริปุระ ส่วนสมเด็จแม่....”
“เดี๋ยว.....เจ้าว่ากระไรนะ พระราชาผู้ครองคิริปุระกระนั้นหรือ ช่วยบอกพี่ทีเถิดศวัตรา.....ว่าเจ้ามิใช่ราชธิดาองค์เล็กของราชาแห่งคิริปุระ”
“.....ทำไม......มีเรื่องอันใดหรือ ใช่แล้ว หม่อมฉันคือลูกคนสุดท้องของสมเด็จพ่อ”
“โอ......รักของเรามีอุปสรรคเสียแล้วศวัตราของพี่”น้ำตาหนึ่งหยดหลั่งรินจากดวงตาของมัฏฏกะพราหมณ์ หนึ่งในคุรุผู้ได้รับการนับถือในนิกายแห่งไฟอย่างไม่ทันห้ามตนเอง ถึงไม่ทำการเพ่งกสิณต่อ บทตอนต่อไปของตำนานรักที่เกิดขึ้นจริงแต่ปางบรรพ์ก็ชัดเจนในจิตวิญญาณ
สารถีเทพแห่งสวรรค์ครุ่นคำนึงอยู่ชั่วขณะ ก่อนบอกเล่าเหตุผลที่เดินทางมาสู่คิริปุระกับศวัตรายอดดวงใจ นางทั้งตื่นตระหนกทั้งสำแดงอาการต่อต้านออกมาทันที
“แล้วพระองค์จักทำเช่นไร ได้ตัวหม่อมฉันออกมาแล้ว จักทรงนำหม่อมฉันไปถวายตามบัญชาแห่งองค์สักกะเทวราชหรือไม่ หากทรงทำเช่นนั้นหม่อมฉันจักไม่มีวันให้อภัยพระองค์เลย”
“เดี๋ยวๆศวัตรา อย่าเพิ่งโวยวายไป เจ้าจักยอมเสี่ยงกับพี่หรือไม่ หากเจ้าเลือกที่จะไปกับพี่ จากนี้ต่อไป เจ้าจักต้องละทิ้งชีวิตเบื้องหลัง เจ้าจักไม่มีสิทธิ์กลับบ้าน ไม่มีสิทธิ์กลับมาพบสมเด็จพ่อสมเด็จแม่ของเจ้าอีก เจ้าจักยอมแลกหรือไม่”
“......ทำไม”
“พี่มีวิธีจักซ่อนเจ้าไว้ ไม่ให้ผู้ใดได้พบเห็น เจ้าจะว่าอย่างไร”
“แล้วสมเด็จพ่อสมเด็จแม่ของหม่อมฉันเล่า จักไม่ถูกเพลิงพิโรธจากองค์สักกะเทวราชทำลายจนแหลกลาญกระนั้นหรือ”
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าจึงต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ และไม่กลับไปที่บ้านอีก หากทำเช่นนี้ แม้นองค์สักกะเทวราชทรงทราบความว่าพี่ลักตัวเจ้าไว้เอง สมเด็จพ่อสมเด็จแม่ของเจ้าก็จักไม่มีส่วนรู้เห็นใดใด”
“แล้ว.....แล้วพระองค์เล่า หากองค์เทวราชทรงล่วงรู้ พระองค์จักเป็นเช่นไร”
“สักวันความลับย่อมเปิดเผย หากถึงจะรู้เช่นนั้นแต่พี่พร้อมเสี่ยงเพื่อจะมีเจ้าอยู่ข้างกาย ไม่ว่าโทสะของพระองค์จะหนักหนาเพียงไหน พี่ก็พร้อมจักน้อมรับ.....”
“......เช่นนั้นหม่อมฉันก็มีคำตอบให้พระองค์แล้ว จากนี้ทั้งกายและใจ ทั้งชีวิตของหม่อมฉันก็เป็นของพระองค์ หม่อมฉันจักไปกับพระองค์ จักมีชีวิตอยู่เพื่อฝ่าบาทพระองค์เดียว....”รอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้าที่สงบนิ่งเป็นนิจของพราหมณ์หนุ่ม ด้วยซาบซึ้งถึงหัวใจว่าคำพูดจากปากอิสตรีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแค่ลมปากและมักเชื่อถือมิได้นั้น แท้จริงมีสตรีนางหนึ่งเคยพิสูจน์มาแล้ว ว่าหนักแน่นยิ่งกว่าภูผาหิน
ณ ปางนั้น มาตลีเทพบุตรร่ายมนตรา เปลี่ยนร่างให้ยอดดวงใจกลับกลายเป็นมานพน้อย แล้วพากลับไปครองรักยังวิมานบนสรวงสวรรค์ จักเปลี่ยนให้กลับคืนสู่ร่างอิสตรีก็ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสองในที่รโหฐาน จากนั้นกลับไปรายงานกับองค์สักกะเทวราชว่าบุตรสุดท้องของราชาแห่งคิริปุระเป็นบุรุษมิใช่อิสตรี
หากคำกล่าวที่ว่าความลับไม่มีในโลกนั้นเป็นสัจจะของโลกทั้งสาม ซึ่งรวมไปถึงโลกสวรรค์
และโทสะแห่งเทพนั้นก็ร้ายแรงเกินคาดเดา ความผิดของสารถีเทพแห่งสวรรค์จึงล่วงถึงพระกรรณแห่งองค์เทวราชหลังจากเพลานั้นไม่นาน“เจ้าอาจหาญกระทำการหยามเกียรติเราถึงเพียงนี้ มีอันใดจะอธิบายหรือไม่”
“ข้าพระบาทไม่มีอันใดจักอธิบาย นอกจากจะขอน้อมรับโทษผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว”
“ขอน้อมรับไว้เพียงผู้เดียวกระนั้นหรือ”
“พระเจ้าข้า การนี้ข้าพระบาทกระทำเพียงผู้เดียว ไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิดแต่อย่างใด แม้แต่ศวัตรากุมารีก็ถูกล่อลวงมา นางมิได้รับรู้เลยว่าที่แท้แล้วจักต้องไปเป็นบาทบาริจาริกาแห่งพระองค์”
“หยุดกล่าวความเท็จต่อเรามาตลี เผื่อเราจะเมตตาลดโทษแก่เจ้า” ไม่มีคำใดหลุดจากโอษฐ์แห่งสารถีเทพ จนกระทั่งองค์เทวราชสั่งให้นำศวัตรากุมารีขึ้นเฝ้า นางนั้นกลับยืนกรานขอรับโทษแม้จะสั่นไปทั้งกายด้วยเกรงฤทธิ์โทสะแห่งองค์เทวราช
และยิ่งทรงชายเนตรแลเห็นสายตาของมาตลีเทพบุตรและนางมนุษย์ที่ลอบสบกัน โทสะก็ยิ่งทับทวี
“เจ้าควรรู้ดียิ่งกว่าใครมาตลี ว่านามหนึ่งของข้าคือสหัสนัยน์ ผู้มีดวงตาถึงพัน.....ข้ารับรู้ทั้งหมด ทุกรายละเอียด ใช้วิธีแปลงร่างนางให้เป็นบุรุษเพื่ออำพรางข้าสินะ......งั้นข้าจักอำนวยพร ต่อจากนี้เจ้าจะไม่ต้องเหนื่อยอีกมาตลี ด้วยโองการแห่งข้า ขอให้นางศวัตรากุมารีผู้นี้จงอยู่ในร่างบุรุษเพศตลอดกาล!”มาตลีเทพบุตรโอบอุ้มร่างไร้สติของศวัตราแล้วพาเหาะกลับวิมาน หากเมื่อเจ้าร่างน้อยฟื้นคืนสติก็กลับรับสภาพของตัวเองไม่ได้ ความมั่นใจที่จะยืนอยู่ข้างกายองค์เทพหมดไป ไม่ใช่แค่ไม่ยอมเปิดเผยร่างกายต่อหน้าสารถีเทพอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ยอมแม้แต่จะให้องค์เทพเข้าใกล้
“อย่าเข้ามา อย่าเข้ามาใกล้หม่อมฉัน ฮือ.....หม่อมฉันไม่มีสิ่งที่จะทำให้พระองค์มีความสุขได้ ไม่มีวันมีอีกแล้ว ฮือ.....”
“ศวัตรา.....ฟังพี่ คนดีของพี่ พี่รักเจ้า ไม่ว่าร่างกายเจ้าจักเป็นเช่นไร ไม่สำคัญเลยสักนิด เจ้าอย่าได้คิดว่าเป็นเช่นนี้แล้วจะทำให้พี่ไม่มีความสุข เพียงรอยยิ้มของเจ้า เพียงเสียงหัวเราะของเจ้า ก็ทำให้พี่ยิ้มได้ ศวัตราของพี่เป็นคนเก่ง เป็นคนเข้มแข็งมิใช่หรือ”
อุ้งหัตถ์ใหญ่หนายื่นออกไปหา ทรงรอด้วยความอดทน ตั้งพระทัยจะรอจนกว่ายอดดวงใจจะพร้อมก้าวออกมาหาด้วยตนเอง
หากเนื้อแท้ของศวัตรานั้นเป็นเฉกที่องค์เทพทรงรู้.....จิตใจเข้มแข็งนัก และแน่ล่ะ เมื่อได้สดับคำปลอบประโลมเช่นนั้น แม้จะยังไม่มั่นใจในร่างกายของตน แต่ความอบอุ่นที่รู้ดีว่าจะได้รับจากอุ้งหัตถ์ใหญ่หนานั้นก็เย้ายวนเกินกว่าจะทนอยู่กับตัวเองลำพังต่อไปได้
หัตถ์น้อยอันประกอบด้วยนิ้วเรียวยาวเกลี้ยงเกลาราวลำเทียน อูมอิ่มราวโกมุทแรกผุดจากบึงน้ำค่อยยื่นออกมาจากหลังม่านเหนือแท่นบรรทมสี่เสาประดับด้วยรัตนชาติมีค่าทั้งเก้าอย่างกล้าๆกลัวๆ หากอุ้งหัตถ์แกร่งที่ยื่นรอก็มิได้เร่งเร้าแต่อย่างใด จวบจนปลายนิ้วแตะเข้าที่กลางหัตถ์หนาสีทองแดงจึงถูกรวบจับไว้อย่างแน่นหนา หากแต่ร่างน้อยก็ยังมิยอมจะเยี่ยมพักตร์จากหลังม่านนั้นแม้เพียงนิด
“ศวัตรา......คนดีของพี่ ไหนเจ้าเคยบอกกับพี่ จะมีชีวิตอยู่เพื่อพี่ แล้วนี่พี่ต้องการให้เจ้ามาอยู่ในอ้อมกอด เจ้ากลับไม่ยอมแม้จะเยี่ยมหน้าออกมาหากระนั้นหรือ”
สิ้นกระแสสุรเสียงอ่อนโยนนั้น วงพักตร์ที่ยังคงงดงามราวจันทร์กระจ่างฟ้า ผิดก็แต่มีความเข้มคมของขนงและเนตรเพิ่มขึ้นก็ค่อยเยี่ยมออกมาพ้นชายม่าน หัตถ์เรียวยาวขาวผ่องอีกข้างคอยเช็ดอัสสุชลที่ยังคงไหลรินไม่ขาดสาย
มาตลีเทพบุตรส่งรอยแย้มสรวลอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่เคยไปให้ กระตุกหัตถ์น้อยในอุ้งหัตถ์เบาๆ เพียงเท่านั้น ศวัตราก็โถมกายเข้าใส่ทั้งตัว
“หม่อมฉันเป็นเช่นนี้ จากนี้ต่อไปพระองค์ก็ไม่ต้องมาบรรทมกับหม่อมฉันอีก.....”
“ไม่ให้นอนกับเจ้า แล้วจะให้พี่ไปนอนที่ไหนเล่าศวัตรา.....นี่เจ้าคิดจะยึดเตียงนี้ไว้แต่ผู้เดียวล่ะหรือ หึๆๆ”
เสียงสรวลเบาๆนั้นเรียกค้อนวงโตได้จนมาตลีเทพห้ามพระทัยไม่อยู่ ก้มลงจุมพิตไปทั่ววงพักตร์นวลเนียนนั้นซ้ำๆ
“เทพอัปสรล้วนแล้วแต่งามๆ ชายเนตรให้พระองค์ หม่อมฉันเห็นอยู่มากมาย......”
“แล้วอย่างไร เจ้าจะให้พี่ไปขอนอนเตียงเดียวกับพวกนางหรือ”
“หากนั่นจักทำให้พระองค์มีความสุข หม่อมฉันก็......”
“แล้วยอดดวงใจของพี่จะมีความสุขหรือ.......แค่คิดเจ้าก็ร้องไห้อีกแล้วนะศวัตรา พี่ไม่ชอบเห็นเจ้าร้องไห้ แล้วใช่ว่าร่างกายของเจ้าตอนนี้จะทำให้พี่มีความสุขไม่ได้นี่นะ”
“เอ๊ะ!”
“ตกใจอันใด หากเจ้าไม่เชื่อ พี่จะพิสูจน์เดี๋ยวนี้ล่ะ”
อืออื้อเสียงครวญครางลั่น กายก่ายเกยกัน
เหนือพระแท่นทองรูจี
เนตรสบเนตรน้องไม่หนี รักล้นฤดี
ส่งผ่านสู่ห้วงหทัย
อะอาเสียงหอบหายใจ หันเหียนเวียนไล่
รุกเร้าด้วยเล่ห์กลกาม
โอษฐ์พร้องร้องเรียกเพรียกนาม โอ้เจ้านงราม
เปิดทางให้พี่ได้ชม
อ๊ะอื้อแล้วขบเขี้ยวคม ตามห้วงอารมณ์
ฝากรอยเหนือเบื้องอังสา
รุกล้ำดำดิ่งมรรคา หฤหรรษา
ลืมสิ้นโศกหม่นเศร้าหมอง
มธุธาราเจิ่งนอง ถ้วนกันทั้งสอง
ต่างองค์ต่างเปรมปรีดา
กอดน้องกล่อมนวลนิทรา ยอดเสน่หา
หลับเสียแก้วตาขวัญใจ เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง ความเศร้าหมองและความกังวลจะไม่สามารถทำให้มาตลีเทพพอพระทัยได้หายไป หากแต่ศวัตรายังคงไม่พอใจจะใช้ชีวิตบนวิมาน ท่ามกลางสายเนตรของเทพเทวาและเทพอัปสรองค์อื่น อีกทั้งกังวลว่าเทพองค์อื่นจักเย้ยหยันสารถีเทพอันเป็นที่รักที่บูชา จึงขอร้องให้องค์เทพบุตรไปสร้างสถานที่ลับบนโลกมนุษย์ สำหรับจะอยู่แต่เพียงผู้เดียว
มาตลีเทพบุตรให้ตามคำขอของมนุษย์น้อยหนึ่งเดียวอันเป็นที่รัก เนรมิตปราสาทขึ้นไม่ไกลจากสระอโนดาตใจกลางหิมพานต์ ว่างเว้นจากหน้าที่ที่ได้รับบัญชาจากองค์สักกะเทวราชเมื่อใด สารถีเทพแห่งสวรรค์จะไปใช้ชีวิตเรียบง่ายกับศวัตรายอดดวงใจทุกครั้ง
“หม่อมฉันเป็นเพียงมนุษย์ ไม่อาจมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะเช่นพระองค์ ทั้งน้ำอมฤตก็ถูกราหูเทพใช้ไปจนหมดแล้ว อีกไม่นานจากเพลานี้ หม่อมฉันก็จักถึงอายุขัย หากชีวิตต้องสิ้นไปแม้นได้ไปถือกำเนิดใหม่ หม่อมฉันจักขอพรข้อเดียว......ขอให้ได้พบและได้รักกับพระองค์ทุกคราวไปได้หรือไม่” “ลงไปนั่งตรงหน้าพี่สิ ศวัตรา....”
เทพสารถีแห่งสวรรค์ประนมกรระลึกถึงพระคุณแห่งองค์สหัสนัยน์ ส่งกระแสจิตขอรับพลังเพื่อประสาทพรจากพระองค์ เมื่อสำเร็จแล้วจึ่งลืมเนตรทั้งสองขึ้น สบเนตรกับมนุษย์น้อยผู้เดียวอันเป็นที่รัก ก่อนยื่นหัตถ์ลากอักขระประสาทพรลงตรงนลาฏที่เงยขึ้นน้อมรับพระพร
“ไม่ว่าเจ้าจักเกิดหรือตายอีกกี่คราว เราสองจักได้พบและได้รักกันตามที่เจ้าขอทุกครั้งไป” มัฏฏกะพราหมณ์สดับเสียงอำนวยพรจากโอษฐ์องค์เทพตามคำขอของเจ้าร่างน้อย แล้วนึกรู้ได้ทันที ที่องค์อัคนิเทพอันเป็นที่เคารพบูชาสูงสุดในชีวิตนี้ทรงสำแดงเดชมาตักเตือนเรื่องของทุกขเวทนาที่ใกล้เข้ามา จักต้องเกี่ยวพันกับคำพรนั้นเป็นแน่
ยังไม่ทันละจากการเพ่งกสิณ พราหมณ์หนุ่มก็แว่วเสียงม้าร้องก้องขึ้นอย่างเจ็บปวดหนึ่งครั้ง ไม่ไกลจากอาศรมที่เลือกปลูกสร้างขึ้นโดดเดี่ยวกลางป่าห่างไกลจากชุมชนนัก ตบะฌานอันบำเพ็ญมาแต่ยังเยาว์ทำให้รู้ได้ทันที ว่าเจ้าของพันธะสัญญาอยู่ไม่ไกล
มัฏฏกะพราหมณ์กระทำศิรประณามคารวะต่อองค์อัคนิเทพ แล้วเร่งเดินไปตามทิศที่ได้ยินเสียงม้าร้อง ดวงจิตได้คำตอบของหนทางที่จะเลือกเดินตั้งแต่ยังไม่ทันได้พบหน้าของอีกคนในชีวิตนี้
แม้จะเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม แลแม้ต้องทนทุกขเวทนาเพียงใด เราจักไม่ยอมปล่อยให้เจ้าของดวงเนตรแวววามในห้วงนิมิตต้องเผชิญกับเรื่องร้ายเพียงลำพังแน่นอน ..................................................
..................จบตอนค่ะ.....................
ปล.ว่าแล้วก็หนีก่อน
