หนู ikki จิ้นได้ถูกใจเจ๊จังเลยอ้ะ
เง้อ ยิ่งใกล้กลับกรุงเทพฯเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่ากลัวเท่านั้น
ตอนที่ 83 นี่นายเต๋าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อย่าบอกนะว่า ตื่นตั้งแต่แรกแล้วน่ะ ถ้างั้น เรื่องเมื่อกี้นี้ล่ะ มันไม่ได้ยินหมดแล้วเหรอ โอย จะบ้าตาย เครียดนะเนี่ย
“แหม ออกไปทำใจนานเชียวนะจ้ะจืด” น่าน ยังไม่เลิกแซวกันอีกนะ
“ไปห้องน้ำย่ะ ไม่ได้ไปทำใจ”
“หรอ ป๋ามันตื่นขึ้นมาก็ถามหาแกใหญ่เลยน้า” อิโป้ง เอาเข้าไป พูดบ้าอะไรอีกล่ะนั่น
“ถามหาทำไมไม่ทราบ” ฉันนั่งลงตรงข้ามกับพวกมัน
“คิดถึงแกมั้ง” อ่ะนะ
“บ้า” ฉันหยิบแก้วเหล้ามาชงแล้วก็ดื่มเข้าไปอีก ไม่เอาแล้ว เรื่องพวกนี้ ไม่อยากฟังอีกแล้ว
“เอ้า ดื่มมากเด๋วก็เมาแอ๋หรอก” จอยเตือนมาเบา ๆ
“ก็เราอยากเมานี่ มาจอย ชนกัน” หึ จอยก็รู้ใจ ชนแก้วกับฉันสู้ตาย
ทุกอย่างที่ฉันทำอยู่ในสายตาของนายเต๋าตลอด ตานั่นไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ฉันเข้ามา เอาแต่นั่งมองแล้วก็มองมาทางพวกเรา จนฉันรู้สึกอึดอัดมาก ๆ แล้วในที่สุดเหล้าก็สัมฤทธิ์ผลของมันจนได้ ฉันเมามากจนฟุบไป (หลับไปเลยนะ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกแล้ว ดีเหมือนกัน)
/////////////////////////
มารู้ตัวอีกทีก็สายของวันต่อมานั่นแหละ จริง ๆ แล้ววันนี้ต้องออกเดินทางกันตั้งแต่บ่ายแล้ว โชคดีที่พวกเราจัดเสื้อผ้าไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกก็นึกว่าตัวเองจะตื่นสายกว่าชาวบ้านเค้า ที่ไหนได้ อิตาโป้งนั่นแหละ ตื่นสายกว่าอีก ปากไม่ดี ยังขี้เซาอีก ชิ
“ลุกไหวมั้ยจืด” โห จอยนี่อึดแฮะ
“อือ ไหว กี่โมงแล้ว”
“เก้าโมงเช้าจ้ะ ป่ะ ไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ”
“จ้ะ อืม ปวดหัวจัง เอ่อ จอย ขอกาแฟเราสักแก้วสิ”
“ได้ ๆ เด๋วเราไปชงมาให้นะ ตัวเองไปอาบน้ำเถอะ”
“ขอบใจจ้ะ”
ฉันลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้า ก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำไป ตอนนี้ทุกคนอาบน้ำแต่งตัวกันเกือบหมดแล้ว เหลือฉันกับนายโป้งเนี่ยแหละ คนอื่น ๆ ที่เหลือก็แบกกระเป๋าลงไปรอที่โรงอาหารกัน เพราะมื้อนี้จะเป็นมื้อสุดท้ายของที่นี่แล้ว
ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ก็เจอกับเต๋าออกมาจากห้องของตัวเองพอดี เราสองคนมองหน้ากัน ฉันยิ้มให้นิด ๆ แล้วก้มหน้าเดินกลับเข้าห้องไป
“จืด กาแฟจ้า” จอยเอากาแฟมาให้ฉันในห้อง
“ขอบใจมาก ๆ จอย ยังอุ่นอยู่เลย” ฉันดื่มมันเข้าไปจนหมดแก้ว มันช่วยให้สร่างเมาได้น่ะสิ
“คนอื่น ๆ ลงไปข้างล่างหมดแล้วเหรอ” ฉันถามจอย
“อืม เหลือพวกเรานี่แหละ”
“หรอ... ป่ะ เราเสร็จแล้ว ลงไปกินข้าวกันดีกว่า”
พอเราสองคนจะเดินออกจากบ้านก็เจอนายเต๋ายืนรออยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว ป๋า ยังไม่ลงไปอีกเหรอ” จอยถามมัน
“รอพวกจอยอยู่น่ะแหละ” มันว่างั้น
“งั้นก็ไปกันเถอะ เด๋วพวกนั้นจะรอนาน”
“อืม เอ่อ กระเป๋านั่น เราถือให้เอามั้ย” นายเต๋าเดินเข้ามาหยิบกระเป๋าของจอยแล้วก็
“ไม่เป็นไร ฉันถือเองได้ ขอบใจนะ” รวมทั้งของฉันด้วย
“ทำไม รังเกียจเหรอ”
“ฮะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ก็ของแกแล้วก็ของจอยมันก็หนักแล้วนี่”
“ป่ะ รีบไปกันเถอะ เด๋วจะสาย” ฉันเดินนำสองคนนั้นลงไปก่อน พอมองกลับไปดูก็เห็นสองคนนั้นเดินคุยอะไรกันก็ไม่รู้
พอกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว พี่ก็ขับรถพาไปส่งยังท่าเรือ เพื่อที่จะไปส่งยังสถานีรถไฟในตัวเมืองต่อไป (ขอตัดรายละเอียดตอนที่ไปค้างบ้านของเพื่อนคนนึงในเมืองก่อนที่จะกลับบ้าน เพราะมันไม่มีอะไรสำคัญมาก)
พอมาถึงตัวเมืองฉันก็รีบเปิดโทรศัพท์หาเบสทันที ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้คุยกับเขา หนึ่งเดือนที่ไม่ได้เจอกัน ไม่รู้ว่าทางนั้นจะคิดถึงเราบ้างรึปล่าว ฉันกดหมายเลขโทรศัพท์ของเบสแล้วรอฟังเสียงคนรับสายอย่างใจจดใจจ่อ
“ตรู๊ดดดด ตรู๊ดดดด.....” สักพักนึงก็มีเสียงคนกดรับสาย
“อ่า.....” ฉันกำลังจะพูดขึ้นก่อน แต่ว่า
“สวัสดีค่ะ…..” เสียงผู้หญิงรับสาย
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ....” เสียงนั้นยังถามมาอยู่เหมือนเดิม
“เอ่อ... ขอสายเบสหน่อยค่ะ” ฉันพูดออกไปเบา ๆ
“เบสเหรอคะ ออกไปซื้อของอยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าใครจะคุยด้วยเหรอคะ”
“เพื่อนค่ะ” ชื่อฉันไม่โชว์อยู่ที่หน้าจอหรือไงนะ
“มีธุระอะไรรึปล่าวคะ ฝากบอกก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้นะคะ” ฉันกดวางสายไป แล้วก็ต้องมานั่งเครียดว่าใครเป็นคนรับสาย
งานนี้ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้แล้วว่า อะไรเป็นอะไร ฉันพยายามมองโลกในแง่ดี ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นพี่เป็นน้องกับเบสก็ได้ หรืออาจะเป็นเพื่อนกันเฉย ๆ ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ แต่ให้คิดแบบนั้นเท่าไหร่ ฉันก็ไม่อาจจะหนีพ้นจากความจริงไปได้ ความจริงที่ฉันต้องยอมรับมันด้วยความเจ็บปวด ความจริงที่ฉันต้องชดใช้มันกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++