"The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง  (อ่าน 38648 ครั้ง)

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


นิยายเรื่องนี้เคยโพสต์ในบางเวปไซต์และเคยนำเสนอในบางสำนักพิมพ์ โดยที่ใช้ชื่อผู้เขียนที่ต่างกัน แต่ duckhero ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ duckhero เป็นคนเขียนขึ้นมาเองครับ ที่ต้องแจ้งให้ทราบเพราะว่าเผื่อใครบางคนอาจจะเคยอ่านแล้วที่เวปอื่น ตอนนี้ duckhero ทำการปรับปรุงให้ดีขึ้นและยาวขึ้นกว่าเดิม นำมาให้เพื่อน ๆ ในเล้าเป็ดแห่งนี้ได้อ่านกันครับ เหมือนเดิมครับคอมเม้นต์ได้เหมือนเดิม

จากใจผู้เขียน

     หากคุณมีความเชื่อว่า รักไม่มีแบ่งพรมแดน, รักไม่มีแบ่งยศฐาบรรดาศักดิ์, รักไม่มีแบ่งเชื้อชาติ วงศ์ตระกูล, รักไม่มีขอบเขตจำกัด, รักไม่มีรูปแบบ หรืออะไรก็ตามแต่ที่จะไม่เป็นอุปสรรคต่อความรัก คุณคงจะให้โอกาสเรื่องราวดังต่อไปนี้ที่ได้นำเอาบทบรรยายความรักอีกรูปแบบที่ไม่เหมือนดั่งผู้คนส่วนใหญ่ หรือเป็นความรักที่หลายคนคิดว่า ผิดประเภท รักแบบชายรักชาย
     หากคุณมีความคิดว่าความรักที่ผิดประเภทแบบนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นความรักที่ยาวนานได้ จะมีแต่เพียงเพื่อสรรหาความสุขเกี่ยวกับเซ็กซ์มาใส่ตัว คุณยิ่งควรให้โอกาสเรื่องราวต่อไปนี้ให้มากขึ้นไปอีก แล้วคุณจะได้รู้ว่าความรักที่หลายคนบอกว่าผิดประเภทนั้น มันมีส่วนที่สวยงามได้ไม่ต่างกับรักแบบชายหญิงทั่วไป
     หากคุณเป็นคนที่มีความชอบแบบเดียวกับตัวละครในเรื่อง คุณยิ่งควรให้โอกาสเรื่องราวต่อไปนี้ให้มากที่สุด เพราะถ้าคุณเป็นแบบรักที่ผิดประเภท แล้วคุณไม่เชื่อมั่นในความรักของคุณว่ามันจะไม่สวยงาม จะไม่ยาวนาน คุณหวังแค่เพียงเซ็กซ์เพื่อหาความสุขใส่ตัว คุณจะต้องลองอ่านเรื่องราวของตัวละครในเรื่อง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรื่องเป็นเรื่องราวในประสบการณ์ชีวิตจริงของคนคนหนึ่งที่มีความประทับใจกับความรักที่ตัวละครเจ้าของเรื่องได้มอบให้กับอีกหนึ่งตัวละครในเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวจะจบลงเช่นไร หรือแม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไรนั้น แต่ความรักที่หลายคนเรียกว่าผิดประเภทนั้นก็เป็นสิ่งที่สวยงาม และมีคุณค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่ง
ความรักมีค่า อย่าได้ดูถูกและลดค่าของความรักครับ
                     ด้วยรัก
                                                                    Duckhero ผู้เขียน
บทนำ

           อดีต เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของคนทุกคน เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่แสนจะดี หรือว่าเลวร้ายแค่ไหน ทุกคนไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเป็นอดีตที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเป็นอดีตที่ไม่ดี คนที่ได้พบเจอเข้าก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีลืม หรือไม่ก็อยู่กับมันให้ได้ เพื่อที่จะมีชีวิตในปัจจุบันที่ดี เพื่อที่จะส่งผลไปสู่อนาคตที่สวยงาม
    อดีต นอกจากจะเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วนั้น เรายังกลับไปย้อนแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงแม้เรื่องราวเหล่านั้นจะผ่านพ้นมาได้แค่ชั่วโมงเดียวหรือนาทีเดียวก็ตาม สำหรับหลายคนอดีตอาจจะเป็นสิ่งที่ลืมไปแล้ว แต่สำหรับบางคนอดีตเป็นสิ่งที่ส่งผลกับชีวิตของเขาทั้งชีวิต อย่างเช่นชีวิตของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา กลับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาขึ้นมาได้เพราะเรื่องราวในอดีตของเขา
           “ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่รัก ไอ้เด็กพ่อแม่ทิ้ง” เป็นประโยคที่เราได้ยินทุกครั้งเมื่อเราทะเลาะกับเพื่อนเล่นในวัยเด็ก ซึ่งทุกครั้งที่เราได้ยินเพื่อนล้อด้วยประโยคเหล่านี้ เรามักจะเกิดความสลด หดหู่ในใจ เศร้าใจอย่างเป็นที่สุด เพราะสิ่งที่คอยตอกย้ำให้ความเจ็บปวดใจของเรานั้นยิ่งฝังลึกลงไปทุก ๆ ครั้งนั่นก็คือ ทุกคำพูดที่โดนเพื่อนล้อนั้นมันคือความจริง เราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เราต้องอาศัยอยู่กับยาย โดยที่รู้เพียงว่าพ่อแม่ไปทำงานที่ต่างจังหวัดเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัว ข้อนี้นั้นเรารู้ดีว่าพ่อแม่มีความจำเป็นที่ต้องไป เพราะถ้าไม่ไปเราก็ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ที่เรามักจะต้องคล้อยตามคำล้อของเพื่อนอยู่ทุกครั้งไปนั้นก็เพราะว่า เราไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงได้พาพี่ชายและน้องชายของเราไปอยู่ด้วย ทิ้งไว้แค่เราคนเดียวที่ต้องอยู่กับยาย ข้อนี้ที่ทำให้เราขุดหลุมลึกขึ้นภายในใจ แล้วก็เอาคำว่า “ความรัก” ฝังไว้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
           จนวันเวลาในชีวิตเด็กบ้านนอกของเราที่อาศัยอยู่กับยายอย่างค่นแค้น ค่อย ๆ ผันผ่านไป วันแล้ว วันเล่า ปนเปกันไประหว่างความสุข ความทุกข์ เราผ่านวัยเด็กเข้าสู่วัยมัธยม เราเรียนโรงเรียนใกล้บ้านจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พ่อและแม่พร้อมน้องชายได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านเดียวกันกับเรา ส่วนพี่ชายของเราตอนนั้นได้สอบผ่านเข้าไปเป็นนักเรียนตำรวจ จึงไม่ได้กลับมาอยู่บ้านด้วยกัน เรามีโอกาสได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ได้เพียงปีเดียว เพียงปีเดียวเท่านั้นที่เราได้ซึมซับเอาความอบอุ่นจากพ่อและแม่ ถึงแม้ครอบครัวจะลำบาก ยากแค้นเพียงไร แต่เราก็ยังดีใจที่มีพ่อและแม่อยู่ด้วยเสมอ ไม่ใช่เราจะไม่รักยาย แต่เราอยากให้ชีวิตเราเหมือนชีวิตคนอื่น ๆ ที่มีพ่อแม่อยู่ด้วย หลังจากปีเดียวที่ได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่นั้นผ่านไป นั่นหมายถึงว่าเราเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พ่อเราอยากให้เรามีโอกาสได้ไปเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง ประกอบกับเราสอบได้โควตาของสถาบันเทคโนโลยีแห่งหนึ่งของรัฐบาล เราจึงตัดสินใจไปตามคำชี้แนะของพ่อว่า การออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองจะทำให้เรามีประสบการณ์มากยิ่งขึ้นและประสบการณ์เหล่านั้นจะช่วยทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น แต่ในบางครั้งความรู้สึกลึก ๆ ของเราก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าทำไมพ่อถึงไม่อยากให้เราอยู่บ้าน หรือว่าพ่อไม่ได้รักเราอย่างที่เพื่อน ๆ คอยตอกย้ำในวัยเด็ก แต่เราไม่ใช่คนที่คิดอะไรด้านเดียว เราหวนคิดถึงเหตุผลที่พ่อบอกว่าอยากให้เราได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ได้มีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างออกไปจากการเรียนอยู่แถวบ้านเหมือนตอนประถมและมัธยม เหตุผลดังกล่าวสามารถทำให้เราใจชื้นขึ้นมาบ้างและตกลงเดินทางไปเรียนที่สถาบันแห่งนั้น แต่ถึงกระนั้น “ความรัก” ของเรายังคงถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจไม่เคยมีโอกาสได้นำออกมามอบให้กับใครสักคน เหมือนกับเพื่อนวัยรุ่นคนอื่น ๆ ที่เขามีแฟนกันแล้วเป็นส่วนใหญ่
           จากเรื่องราวในอดีตที่คิดว่าพ่อแม่ได้รัก ตามคำหยอกล้อ ด่าทอ ของเพื่อน ๆ ในวัยเด็ก ทำให้เราไม่กล้าที่จะมอบหัวใจให้กับใครถึงแม้ว่าเราจะย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้วก็ตามที แต่เมื่อมาถึงตอนนี้เราไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยที่สมัยเด็กหรือในวัยรุ่นแรกเริ่มของเรานั้น เราไม่ได้มอบความรักให้กับใคร จนเราได้รู้จักความรักที่เรียกว่ารักแรก รักที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่งที่จะมีได้ สามารถพูดได้เต็มปากว่าคุ้มค่าการรอคอย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าการรอคอยนั้นจะสิ้นสุดลงที่ไหน และสิ้นสุดลงแบบใด



*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 15:45:17 โดย THIP »

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
ใครคนนั้น
     เวลาของการใช้ชีวิตนักศึกษาในสถาบันแห่งนั้นของเราผ่านไปได้เกือบสองเดือนแล้ว การรับน้องเริ่มสร่างซา และเราเริ่มเห็นผลดีจากการรับน้องนั่นก็คือ รุ่นพี่ต่าง ๆ จะทำตัวเป็นกันเอง คอยให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ ในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งยิ่งทำให้เรารู้สึกอบอุ่นมากไปกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก จากที่เคยรู้สึกกลัวรุ่นพี่มาก่อน
     สองเดือนกว่า ๆ ผ่านไปจนใกล้ถึงเวลาสอบระหว่างภาค เรายังคงทำตัวเป็นตังเม กับชัย จะตามเขาไปตลอด ชัยเองก็ดูจะไม่เบื่อที่มีเพื่อนคนหนึ่งที่เปรียบเหมือนภาระน้อย ๆ ของเขา ที่ต้องคอยช่วยเหลืออยู่บ่อย ๆ จนวันที่ชัยมีความรักก็มาถึง ชัยเกิดความรักขึ้นกับเพื่อนร่วมห้องเรียนที่ชื่อน้อย เราจึงต้องกลายเป็นสะพานเชื่อมในความรักของเพื่อนผู้แสนดี เพราะในบรรดาหนุ่ม ๆ ในห้องเราจะเป็นคนที่สนิทกับบรรดาสาว ๆ มากกว่าใครอื่น เมื่อทั้งชัยและน้อยตกลงปลงใจที่จะเรียนรู้ใจของกันและกัน พวกเขาจึงต้องการเวลาส่วนตัวของพวกเขามากขึ้น ซึ่งในตอนแรก ๆ นั้น เราเอง ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เพราะเราเองไม่เคยมีแฟนมาก่อน ความรักของเรายังคงถูกฝังลึกเอาไว้ในใจ เราจึงคอยทำตัวเป็นเครื่องหมายไปยาลน้อยที่คอยห้อยตามชัยและน้อยอยู่เสมอ น้อยโอกาสนักที่จะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพัง จนเรามาคิดได้ว่าชัยและน้อยอาจจะต้องการเวลาส่วนตัวของพวกเขาบ้าง เราเลยต้องทำตัวแกร่ง พยายามใช้ชีวิตด้วยตัวเองมากขึ้น หลังจากเลิกเรียนชัยและน้อยก็จะเดินกระหนุงกระหนิงกันระหว่างทางเดินเพื่อกลับหอ ส่วนเราก็จะพยายามเดินให้ทิ้งห่างเพื่อนทั้งสองให้มากขึ้นหรือไม่ก็ไปเดินกับเพื่อนคนอื่น ๆ ตอนเย็นชัยและน้อยมักจะไปนั่งที่สโมสร ทานข้าวด้วยกัน ไปเล่นกีฬาด้วยกัน โดยที่ชัยเลือกเล่นบาสฯ น้อยเลือกเล่นวอลเล่ย์ ส่วนเครื่องหมายไปยาลน้อยอย่างเราก็ไปนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ริมสนามและคอยวิ่งเก็บบอลให้เพื่อน และแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องเป็นนักกีฬาเองบ้าง ผู้เล่นในทีมวอลเล่ย์บอลของน้อยขาดไปหนึ่งคน น้อยจึงเดินมาลากมือให้เราลงไปเล่นด้วย แต่อีกฝ่ายซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมดเกิดการคัดค้านขึ้นมาว่าไม่ยุติธรรมที่จะพาผู้ชายมาร่วมทีมเพื่อแข่งกับพวกเขา แต่น้อยก็ให้เหตุผลที่ฟังดูแปลก ๆ กลับไปจน ทุกคนยอมรับให้เราลงเล่นด้วย
     “ถึงเก่งจะเป็นผู้ชาย แต่พวกเธอดูหุ่น ดูรูปร่างเขาสิ บางซะยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมีแรงตบบอลเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไป ให้เขาเล่นเหอะ ทีมจะได้ครบ ๆ จะได้เล่นกันต่อ” น้อยร่ายยาวจนเรารู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงกับคำพูดของเพื่อนสนิท
     “น้อย นี่เธอพูดซะเราเป็นหญิงไปเลยนะ” เรารีบแขวะน้อย
     “เหอะน่า จะได้เล่นต่อกันซะที” น้อยตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเลศนัยอะไรบางอย่าง
     หลังจากวันนั้นเราจึงเริ่มชอบที่จะได้ออกกำลังกายกับคนอื่นเขาบ้าง เรามักจะลงเล่นวอลเล่ย์บอล (กับทีมผู้หญิง) เพราะพวกผู้ชายถ้าแข่งกันแล้วเล่นกันรุนแรงมาก ลูกตบแต่ละครั้งเล่นเอาแขนอันบอบบางของเราแดงข้ามวันข้ามคืน เราเลยเลือกที่จะเล่นกับทีมหญิง เมื่อทีมไม่ว่างเราจึงต้องย้ายสนามไปเล่นเปตอง อันนี้เราว่าเราเล่นได้ดีทีเดียว เพราะเราได้เป็นตัวยิงประจำทีมด้วย เราจะมีความสุข ยิ้มกว้าง ยิ้มไม่เฉพาะเพียงริมฝีปาก แต่จะยิ้มไปทั้งใบหน้าและดวงตา เมื่อเรายิงลูกของฝ่ายตรงข้ามออกไปห่างจากลูกแกนได้
     นักศึกษาในหลาย ๆ สาขาที่จะต้องมีการลงงาน (ลงงานคือการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น นักศึกษาสาขาสัตว์ ต้องไปคอกวัว คอกหมู คอกไก่ เพื่อทำความสะอาดและให้อาหาร, นักศึกษาประมงก็จะต้องมาเดินตักเศษขยะ เศษใบไม้ในบ่อปลา พร้อมทั้งให้อาหารปลา) จะมีเพียงนักศึกษาสาขาการจัดการและคอมพิวเตอร์ธุรกิจที่ไม่ต้องทำกิจกรรมเหล่านี้ หรือไม่ต้องลงงานนั่นเอง ตอนเช้านักศึกษาสองสาขานี้จึงไม่ต้องรีบตื่น ตอนเย็นก็มีเวลาเล่นกีฬาหรือพักผ่อนกันมากกว่านักศึกษาสาขาอื่น ๆ อีกทั้งนักศึกษาสาขาการจัดการและคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จะเป็นเพียงสองสาขาที่มีนักศึกษาผู้หญิงมาก บรรดาหนุ่ม ๆ สาขาอื่นจึงหมั่นแวะเวียนกันเข้ามาทำความรู้จัก พวกนักศึกษาชายในห้องจึงมักจะมีเพื่อนต่างสาขากันหลายคน หลายสาขา เพราะโดนคนเหล่านั้นขอให้เป็นสะพานเชื่อมรักในเบื้องต้นให้กับพวกเขา เราเองก็จะมีบรรดาเพื่อน ๆ จากสาขาอื่นเข้ามาขอให้ช่วยเป็นสะพานเชื่อมรักให้บ่อยครั้ง เพราะเราเป็นผู้ชายคนเดียวในห้องที่สนิทกับเพื่อนหญิงทุกคนในห้อง แต่เรามักจะทำหน้าที่กลั่นกรองให้เพื่อน ๆ เป็นด่านแรกก่อนเสมอ นั่นคือ คนไหนที่เราดูแล้วไม่ผ่าน เราจะไม่บอกข้อความที่เขาฝากไปบอกเพื่อน ของที่เขาฝากไปให้เราจะให้แต่ไม่บอกว่าของใคร แต่ถ้าใครเราเห็นว่าผ่านเราก็สนับสนุน
     ในช่วงฤดูผลไม้ พวกเรานักศึกษาในห้องคอมพิวเตอร์ธุรกิจมักจะได้กินผลไม้สดตามฤดูกาลกันอยู่เสมอ เพราะพวกนักศึกษาสาขาพืชที่ริอาจจะเป็นแฟนกับสาว ๆ คอมพิวเตอร์ธุรกิจจะต้องผ่านด่านเพื่อน ๆ ให้ได้ก่อน นั่นคือ เวลาจะมาจีบใครจะต้องพกพาเอาผลไม้ที่พวกเขาต้องหมั่นคอยดูแล เอาใจใส่มาฝากพวกเราด้วยเสมอ จากการที่เพื่อนคนแล้ว คนเล่าของเราเริ่มจะมีแฟนกัน เราเองจึงลองมองย้อนกลับมายังตัวเอง คิดหาคำตอบให้กับตัวเอง ว่าความรักที่เราฝังลึกไว้ในใจนั้น ถึงเวลาที่จะใช้แล้วหรือยัง แล้วถ้าจะใช้เราจะใช้กับใครในเมื่อผ่านไปก็หลายเดือนเรายังไม่เกิดความรู้สึกซาบซ่านหรือซึ้งใจกับใครเลยสักคน แต่แล้วความรักที่เราได้เคยขุดหลุมฝังเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ก็ได้เวลาเปิดตัวออกมาบ้าง เมื่อเหตุการณ์บางเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราในเย็นวันหนึ่งที่เราและน้อยพร้อมเพื่อนร่วมห้องไปเล่นวอลเล่ย์บอลกัน สนามวอลเล่ย์บอลจะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับบ่อเลี้ยงปลาของนักศึกษาประมงที่มีเพียงถนนสายหลักของสถาบันกั้นกลาง เมื่อบอลหลุดออกไปนอกสนามและข้ามฝั่งไปตกลงในบ่อประมงที่นักศึกษาประมงหลาย ๆ คนกำลังจับปลากันอยู่นั้น เรา ที่เป็นผู้ชายหนึ่งเดียวในทีมวอลเล่ย์บอลจึงอาสาวิ่งไปเก็บบอลเอง แต่เมื่อเราไปถึงยังขอบบ่อประมง ความรู้สึกประหลาดของเราที่เราไม่เคยรู้สึกมาก่อนมันก็สำแดงเดชออกมา เราถึงกับหยุดชะงัก ยืนตัวแข็ง พูดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นเป็นที่สุด ทั้งใบหน้าและหูของเรารู้สึกร้อนผ่าวไปหมด ด้วยเพราะเรามองไปภายในบ่อประมงแล้วไปสะดุดตากับนักศึกษาประมงคนที่กำลังยืนจ้องหน้าเราอยู่ เขาลงไปยืนอยู่ในบ่อประมงเลี้ยงปลาเพื่อช่วยเพื่อน ๆ จับปลา ทั้ง ๆ ที่เขายังอยู่ในชุดนักศึกษา เขาพับขากางเกงของเขาขึ้นทั้งสองข้างจนเผยให้เห็นขาขาว ๆ ของเขาที่โผล่พ้นโคลนในบ่อเลี้ยงปลา เสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวของเขา ถูกดึงชายเสื้อออกมานอกกางเกง กระดุมถูกปลดออก 2 – 3 เม็ด เผยให้เห็นแผงหน้าอกกว้างของเขารำไร มือทั้งสองข้างของเขาเปื้อนโคลนเหมือนกับเท้าของเขา แต่สายตาภายใต้กรอบแว่นตาของเขาดูจะเฉยชามากที่มองเรา อาจจะเพราะบอลที่ตกลงไปในบ่อทำโคลนกระเด็นไปโดนเสื้อของเขา เขาจึงยืนจ้องหน้าเราอย่างไม่ลดละสายตา ส่วนเราเองนั้นทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พูดติด ๆ ขัด ๆ เพื่อขอให้ใครสักคนช่วยหยิบบอลส่งคืนมาให้ เขาคนนั้นซึ่งเป็นคนที่ยืนอยู่ใกล้บอลมากที่สุดไม่ยอมเก็บให้เอาแต่จ้องหน้าเราอย่างเดียว จนเพื่อนเขาอีกคนหยิบบอลโยนมาให้เราแทน
     “ขอบคุณครับ” เราพูดได้แค่นั้นแล้วรีบพาบอลวิ่งกลับไปยังสนามวอลเล่ย์บอล
     “เฮ้ย ไอ้เก่งไปเก็บบอลกลับหน้าแดงมาเลยวะ สงสัยหนุ่ม ๆ ประมงจีบมันเข้าแล้ว” เสียงของหญิงเพื่อนร่วมห้องแซวมาเป็นคนแรก
     “เออ เก่ง ไปซะนานเชียว ตกลงมีใครจีบเก่งจริง ๆ เหรอ คนไหน น้อยจะได้ช่วยเชียร์ให้อีกแรง” น้อยเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีแบบยิ้ม ๆ
     “นี่ น้อยเธอจะบ้าเหรอ พวกนั้นผู้ชายนะ แล้วเราเองก็ผู้ชายนะ จะจีบกันได้ยังไงกันละ” เรารีบค้อนเพื่อนกลับไป แต่ความรู้สึกของเราตอนนั้นเราเองก็รู้สึกว่า ใบหน้าและหูของตัวเองจะดูร้อน ๆ ผิดปกติ หัวใจเต้นแรงเหมือนดั่งมีใครรัวกลองอยู่ข้างใน มือไม้สั่นไปหมด แต่ก็ยังฝืนปฏิเสธเพื่อน ๆ ไปเพียงว่า
     “ก็คนวิ่งไปแล้วต้องวิ่งกลับมาอีก มันก็ต้องเหนื่อยจนหน้าแดงเป็นธรรมดา”
พูดจบเสียงโห่ ดังขึ้นทั่วสนาม เพื่อน ๆ เลยล้อเรากันใหญ่ ไม่ยอมให้เราได้เอ่ยปากแก้ตัวกับอาการสั่น ประหม่า หน้าแดง อย่างผิดปกติของเรา
     หลังจากวันนั้น เรารู้ตัวดีแล้วว่า “ความรัก” ที่เราได้เคยขุดหลุมลึกฝังไว้ในหัวใจของตัวเอง เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาแล้ว เราไม่รู้ว่ามันจะมีผลอย่างไรกับเราบ้าง เมื่อเราปล่อยให้ความรักเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตที่แสนจะธรรมดาและเรียบง่ายของเรา แต่ตอนนั้นเรารู้เพียงว่าเรามักจะนั่งยิ้มกับตัวเองเสมอเมื่อภายในจินตนาการของเราเห็นใบหน้าของหนุ่มประมงคนนั้น และไม่มีคราใดที่เดินผ่านบ่อประมงแล้วเราจะไม่พยายามสอดส่ายสายตาเพื่อค้นหาว่าเขาคนนั้นอยู่ตรงไหน ยามได้เห็นถึงแม้จะแบบไกล ๆ เราก็หัวใจพองโตเป็นที่สุด แต่ยามที่มองไปแล้วไม่พบเจอเขา เราก็รู้สึกว่าหัวใจที่เคยพองโต ลิงโลดกับความรู้สึกปลาบปลื้มคนคนนั้นมันกลับห่อเหี่ยวลงไปทันที
     “เขาชื่ออะไรนะ อยากรู้จัง” เราแอบคิดในใจยามที่ได้เห็นหน้าของเขา
     และแล้วอีกเหตุการณ์ที่เราได้พบหน้าของเขาคนนั้นอย่างใกล้ ๆ มันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ยากที่จะบรรยายออกมา บอกได้เพียงคำเดียวว่า เมื่อเราเห็นเขาแล้วเรารู้สึกว่ามวลในร่างกายของเรามีค่าเท่ากับศูนย์ เรารู้สึกว่าตัวเองตัวเบาจนแทบจะลอยได้ จากเราที่มีท่าทางใจเย็น เรียบเฉย จะเปลี่ยนเป็นลุกลี้ลุกลน ทำอะไรไม่ถูกไปหมด โดยในเย็นวันนั้น เราเดินตามเพื่อน ๆ ไปยังห้องสมุดเพื่อทำรายงานกลุ่มที่ค้างอยู่ให้เสร็จทันส่งในวันรุ่งขึ้น จากหอพักไปถึงห้องสมุด แน่นอนว่าเราจะต้องเดินไปบนถนนสายหลักของสถาบันและจะต้องผ่านบ่อประมง ถึงแม้เราจะเร่งรีบในการเดินเพราะผิดเวลากับเพื่อนมากแล้ว แต่เมื่อถึงบ่อประมงเราทำได้เพียงเดินอย่างช้า ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้สายตาของตัวเองได้สอดส่ายหาใครคนนั้นได้อย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายแล้วไม่มีวี่แววของเขาคนนั้นปรากฏให้เห็นเลย เราจึงรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้าเขา ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนเป็นรีบเดินต่อไปยังห้องสมุด เพราะเห็นว่าตัวเองไปช้ากว่าเวลาที่เพื่อน ๆ นัดกันมากแล้ว แต่ในขณะที่เรากำลังเดินอย่างเร่งรีบอยู่นั้น เรามีความรู้สึกว่าด้านหลังของเรามีรถมอเตอร์ไซค์ขับตามมาอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ แซงผ่านเราไป เราจึงหันไปมองตามสัญชาติญาณว่าบนรถคนนั้นเป็นใครกัน แต่เมื่อเราเห็นใบหน้าของคนที่นั่งอยู่หลังคนขับมอเตอร์ไซค์เราถึงกับเดินสะดุดเท้าของตัวเอง เพราะคนคนนั้นเป็นเขา คนที่เรามองหาอยู่เมื่อครู่ที่บ่อประมง ตอนนี้เขาเองก็มองมาทางเราเหมือนกัน ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าเขามองเราหรือไม่ เราจึงหยุดเดิน และหันไปมองซ้ายที ขวาที ดูว่ามีใครเดินอยู่อีกบ้างนอกจากเรา แต่ไม่มีใคร มีเราคนเดียวบนถนนสายนั้น
     “นี่เขากำลังมองเราอยู่เหรอ” เราแอบคิดในใจพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก
     “แล้วทำไมยิ้มยากอย่างนี้ ไม่เห็นจะยิ้มให้กันบ้างเลย” เรายังคนบ่นต่อไป เพราะหนุ่มคนนั้นนอกจากจะหันหน้ามามองเราจนลับสายตาด้วยรถที่เคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ แล้ว บนใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขา ไม่มีอารมณ์ใดปรากฏอยู่เลย
     “เขาคงมองเราแหละ” เราพูดขึ้นมาเบา ๆ เมื่อเขาคล้อยหลังจากไปแล้ว รอยยิ้มอย่างมีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเรา ใบหน้าร้อนวูบวาบ เหมือนโดนไฟลน หูก็เหมือนกัน จนเราต้องเดินเอามือจับหูตัวเองไปจนถึงห้องสมุด
     “เก่ง นายไปทำอะไรมา หน้าแดงเชียว” ชัยรีบถามเมื่อเราโผล่เข้าไปในกลุ่ม
     “ไม่มีไรหรอก” ตอบเพื่อนไปแล้วเราก็ยังคงยิ้มกว้าง
     “เก่งโดนเด็กประมงที่บ่อจีบอีกเหรอ” น้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชัยแซวเราขึ้นมาบ้าง
     “น้อย เด็กประมงจีบเก่งเหรอ น้อยรู้ได้ไง” ชัยรีบหันกลับไปถามแฟนตัวเอง
     “ก็วันก่อนตอนเล่นวอลเล่ย์บอล ...” น้อยตอบยังไม่จบประโยคเราก็รีบพูดขัดขึ้นมาก่อน
     “รายงานไปถึงไหนแล้วละ ให้เราช่วยอะไรบ้าง” เราเสนอตัวเพราะรู้ว่าตัวเองมาเข้ากลุ่มช้า อีกทั้งอยากเปลี่ยนเรื่องคุย
     “เสร็จแล้ว เหลือแต่ให้เก่งไปรายงานหน้าห้องพรุ่งนี้” ปอย เพื่อนผู้หญิงอีกคนในกลุ่มบอก
     “ทำไมต้องเป็นเราละ ไม่เอานะ เราพูดหน้าชั้นเรียนไม่เก่งนะ” เรารีบปฏิเสธทันควัน
     “ก็เก่งไม่ได้ช่วยทำนี่นา” ว่าแล้วเพื่อน ๆ มองหน้ากันพร้อมกับส่งยิ้มให้กันอย่างผู้มีชัยในการเลือกตัวผู้ออกรายงานหน้าชั้นเรียน

ออฟไลน์ Vesi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +204/-3
แปะกฎด้วยเด้อ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อ่าน "จากใจผู้เขียน" แล้ว รู้สึกว่า นิยายเรื่องนี้ น่าสนใจ  :o9:

puremind

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วลื่นดีจัง   :mc4:  :mc4:

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
ก่อนที่จะได้อ่านตอนต่อไปกันครับ ขอสอบถามผู้รู้นิดนึงครับว่า "แปะกฏ" คืออะไรครับ แล้วจะต้องทำยังไงเพื่อที่จะให้กระทู้ได้ปักหมุดอะครับ กลัวว่าจะหากันไม่เจอนะครับ หรือว่าต้องรอให้คนอ่านจำนวนมากถึงจะปักหมุดเองครับ ใครทราบรบกวนบอกด้วยนะครับ
เอาละครับมาต่อกันเลยดีกว่าครับ

การเปลี่ยนแปลง
     ตั้งแต่ได้เจอกับเขาคนนั้น เรารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเราเอง เรารู้สึกว่า “ความรัก” ที่เราได้ฝังไว้ในส่วนลึกของจิตใจนั้น ตอนนี้มันต้องการที่จะออกมาโลดแล่นไปตามครรลองความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของที่ในขณะนี้ไม่ว่าจะมองอะไรก็กลายเป็นสิ่งสวยงามไปหมด รอยยิ้มบนริมฝีปากของเราที่มักจะปรากฏเพื่ออวดโฉมกับใคร ๆ อยู่เสมอ ตอนนี้นั้นมันมีเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว แต่มักจะปรากฏขึ้นมาโดยที่ตัวเราเองมักจะไม่รู้สึกตัวนัก บรรดาเพื่อน ๆ รอบกายของเราจึงตั้งข้อสงสัยกันขึ้นมาว่า คนคนไหนที่ทำให้เราดูมีความสุขได้ขนาดนี้ โดยที่เพื่อน ๆ ทุกคนจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มนักศึกษาสาขาประมง เพราะต่างได้รับรู้และเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของเราหลังจากไปเก็บบอลที่บ่อประมง
     “เก่ง บอกหน่อยสิ ว่าใคร ชื่ออะไร” น้อยถามขณะที่เรา น้อย ชัย และวิสูตรนั่งกินข้าวกันที่สโมสรของเย็นวันหนึ่ง
     “อะไรเหรอน้อย” เราทำเป็นไม่เข้าใจคำถาม แต่ตอนนั้นเรารู้สึกได้ว่ารอยยิ้มที่ไม่สามารถบังคับให้หยุดได้ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเราอีกแล้ว
     “อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง น้อยรู้แหละว่าเก่งไปปิ๊งเด็กประมงมานะ” น้อยพูดเหมือนกับรู้ว่าเราคิดอะไร ส่วนเราก็ได้แต่เลี่ยงคำตอบของเพื่อนโดยการส่งยิ้มหวานไปให้แทน แต่จริง ๆ แล้วเราเองก็อยากรู้ไม่น้อยไปกว่าเพื่อนว่าเขาคนนั้นชื่ออะไร ทำไมจึงไม่เห็นเขาในสถาบันบ่อยนัก
     “เขาคงเป็นรุ่นพี่” เราเผลอพูดความคิดของตัวเองออกมาเบา ๆ
     “รุ่นพี่ไหนเก่ง เก่งชอบรุ่นพี่เหรอ” วิสูตรถามบ้างหลังจากที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินด้วยความอร่อยกับอาหารตรงหน้ามานาน
     “กินต่อไปเหอะ” เรารีบตอบกลับไป
     หลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์ นักศึกษาทุกคนต่างก็วุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือเพื่อสอบปลายภาค เราเองก็เช่นกัน อ่านหนังสือบ้าง คิดถึงเขาคนนั้นบ้าง สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง จนวันเวลาของการสอบเสร็จสิ้นลง ต่างคนจึงต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เราไม่มีโอกาสได้เจอเขาคนนั้นแบบใกล้ ๆ อีกเลย และที่สำคัญยังไม่เคยได้พูดกันเลยสักครั้งเดียว ทำได้เพียงเพ้อฝันถึงอยู่คนเดียว ปล่อยให้วันเวลาผ่านไปแล้วผ่านไปอีก จากสอบเสร็จ จนปิดเทอม ปิดเทอมผ่านไปจนถึงเวลาเปิดเทอมใหม่ เราก็ยังไม่ลืมดวงตาเฉยเมยภายใต้กรอบแว่นตาของเทพบุตรคนนั้นของเราเลยแม้แต่วันเดียว
     เมื่อถึงเวลาเปิดเรียนในภาคเรียนที่สอง การเดินทางกลับไปยังสถาบัน สภาพสองข้างทางดูเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก แต่ทุกคนต่างดูมีความตื่นเต้นระคนมีความสุข พูดคุยกันไปต่าง ๆ นานา เพราะจากกกันไปนาน ต่างคนจึงต่างมีเรื่องพูดคุยเล่าสู่กันฟัง เปิดเรียนภาคเรียนที่สองนี้ นักศึกษาชายที่พักอยู่ในหอพักของสถาบันได้รับข่าวร้ายกันถ้วนหน้า นั่นคือ ทุกคนจะต้องย้ายออกไปพักข้างนอก ออกไปหาที่พักกันเอง เนื่องจากหอพักหญิงจะถูกปิดเพื่อทำการซ่อมแซม นักศึกษาหญิงจึงต้องย้ายมาพักที่หอพักชายเป็นการชั่วคราว ส่วนนักศึกษาชายผู้ที่เป็นเพศที่แกร่งกว่าในสายตาของอาจารย์ จึงต้องย้ายออกจากหอกันในอาทิตย์ที่สองของการเปิดเรียน เราเองตกลงกับชัยและวิสูตรแล้วว่าจะไปเช่าหอพักใกล้ ๆ สถาบัน เพราะนักศึกษาผู้หญิงหลายคนในห้องรวมทั้งน้อยแฟนของชัยออกไปเช่าหอใกล้ ๆ กันด้วย
     “ห้องเดียวอยู่กันสามคน คงจะไม่คับแคบเกินไปหรอกนะ” ชัยพูดขณะที่ดูห้องที่จะเช่า
     “ไงก็ได้ เราสบาย ๆ” วิสูตรออกความเห็นสั้น ๆ
     “เราก็โอเคนะ แต่พวกนายอย่าให้เรานอนที่พื้นนะ เรากลัวต้องนอนกับคางคก” เราให้คำตอบเพื่อน แต่ก่อนที่จะตกลงจ่ายเงินค่าเช่ากัน ทิวเพื่อนร่วมห้องอีกคนที่ไปด้วยได้เอ่ยขึ้นเพื่อชวนเราให้ไปเช่าอยู่ด้วยกันกับเขา โดยทิวให้เหตุผลที่เราฟังแล้วพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
     “ผมจะไปอยู่กับประทีปเพื่อนเก่าผม เขาเรียนประมง ตอนนี้เขาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนเขาอีกคน บ้านหลังใหญ่ มี 2 ห้องนอน ถ้าเก่งอยากจะไปเช่าด้วยก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องมาเบียดกันที่นี่” ทิวเอ่ยขึ้นเพียงเพื่อเพราะมีข้อเสนอที่น่าจะดีกว่า แต่เรานั้นคิดไปไกลแล้วในตอนนั้นว่าถ้าได้ไปเช่าอยู่กับทิวนั้นมันหมายถึงว่าได้ไปอยู่ร่วมบ้านกับเด็กประมง ถ้าโชคดีคนที่ชื่อประทีปเป็นเขาคนนั้นขึ้นมาเราก็คงจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขาอย่างเป็นแน่ หรือไม่ถ้าไม่ใช่เขาอย่างน้อยที่สุดแล้ว กลุ่มเด็กประมงน่าจะไปมาหาสู่กันบ้าง เผื่อมีสักวันที่เขาจะแวะไปหาเด็กประมงที่บ้านที่เรากำลังจะตัดสินใจไปอยู่ด้วย คิดได้ดังนั้นแล้วหัวใจของเราพองตัวขึ้นมาและเต้นแรงขึ้นกว่าเก่า เหมือนจะเร่งเร้าให้เราตอบรับปากทิวไปเร็ว ๆ
     “ได้ เราไปอยู่เป็นเพื่อนทิวก็ได้” เราตอบรับโดยมีเหตุมาอ้างว่า
     “อีกอย่างที่นี่ห้องน้ำเราดูแล้วว่าต้องมีคางคกอยู่ด้วย เรากลัวคางคก” เป็นเหตุผลสนับสนุนข้อต่อไปที่เรายกขึ้นมาอ้าง เพราะเพื่อน ๆ ต่างรู้กันดีว่าถ้าให้เราเลือกที่จะจับงูเห่าหรือคางคกนั้น เราจะต้องเลือกจับงูเห่า
     “ก็แล้วแต่เก่งจะสะดวกแล้วกัน แต่ไปอยู่ไกลเปลืองค่ารถไปกลับนะ” ชัยเตือนด้วยห่วงใยในตัวเพื่อน
     “มันก็จริง แต่เราว่ายังดีกว่าให้เราเข้าห้องน้ำพร้อมคางคกละ หรือว่าชัยจะคอยไล่คางคกให้เราเวลาที่เราจะเข้าห้องน้ำ” เราพูดติดตลก
     “เรื่องอะไรละ กลัวก็จัดการเอาเองสิ” ชัยแหย่
     “งั้นเราไปดูบ้านกันดีกว่าเก่ง” ทิวเอ่ยชวน
     เรานั่งรถสองแถวไปกับทิวตามเส้นทางที่มุ่งไปสู่ตัวอำเภอ จนถึงจุดที่ตั้งของบ้านหลังที่จะต้องย้ายเข้าไปอยู่ เราและทิวเดินเข้าซอย โดยผ่านบ้านอื่น ๆ ไปอีกประมาณ 5 หลังจึงถึงบ้านที่เราจะอาศัยอยู่ต่อไป ทิวทำหน้าที่แนะนำเพื่อนของเขาทั้งสองคน คือ ประทีปและเต้ ที่เช่าบ้านอยู่ก่อน โดยเมื่อก่อนพวกเขาจะอยู่กันคนละห้อง แต่เมื่อเราและทิวย้ายมาอยู่ด้วย พวกเขาสองคนจึงอยู่ห้องเดียวกัน และยกอีกห้องให้เป็นของเราและทิว เรารู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ทั้งประทีปและเต้ไม่ใช่เขาคนนั้น แต่เรายังพอจะมีหวังอยู่บ้าง เพราะว่าบ้านหลังที่ 2 ที่อยู่ก่อนที่จะถึงบ้านเรานั้นมีกลุ่มเด็กประมงอีกกลุ่มเช่าอยู่ ไม่แน่ว่าเขาคนนั้นอาจจะอยู่บ้านหลังนั้นด้วยก็เป็นได้ หรือไม่อย่างนั้นแล้ว อย่างน้อยพวกเขาเด็กนักศึกษาประมงด้วยกันจะต้องมีการไปมาหาสู่ สังสรรค์กันบ้าง ไม่มากก็น้อย เขาอาจจะมาปรากฏตัวขึ้นที่บ้านหลังที่เราอยู่ หรือที่บ้านเช่าของนักศึกษาประมงกลุ่มนั้นเข้าสักวันก็เป็นได้ เราได้แต่เพียงให้กำลังใจตัวเอง ก่อนที่จะรู้สึกผิดหวังกับการย้ายไปอยู่ห่างจากเพื่อนสนิททั้งชายและหญิงที่เช่าหออยู่ใกล้ ๆ กัน แถมยังใกล้กับสถาบันอีกต่างหาก แต่เราย้ายไปอยู่จนครบหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ไม่เห็นจะมีวี่แววของเขาคนนั้นปรากฏให้เห็นเลย

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
เริ่มต้นด้วยการพูดคุย
   วันเวลาผันผ่านล่วงเลยไปเกือบสองอาทิตย์แล้วที่เราได้ย้ายเข้ามาพักในบ้านหลังใหม่ กับเพื่อนกลุ่มใหม่ และสภาพแวดล้อมแบบใหม่ การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเก่าเล็กน้อยที่เราจะต้องรีบตื่นขึ้นมาแต่เช้า เดินผ่านบ้านเด็กประมงหลังนั้น พร้อมกับแอบมองเผื่อว่าจะได้เจอกับใครคนนั้น และมุ่งตรงออกไปยังปากซอยเพื่อรอรถสองแถวโดยสารไปเรียน ตกเย็นก็ใช้แผนผังเดิม เพียงแต่กลับทิศของลูกศร โดยรอรถสองแถวหน้าสถาบัน ลงรถหน้าปากซอยเดินผ่านบ้านเด็กประมง พร้อมกับแอบมองอีกครั้ง และผลก็เหมือนทุกครั้งไม่เห็นเคยเจอเขาคนนั้นเลย
   “คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาคนนั้นแล้วมั้งชีวิตนี้” เราบ่นเบา ๆ ขณะเดินผ่านไปบ้านตัวเอง
   ตลอดเวลาที่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังเดียวกับเพื่อนนักศึกษาประมง เราไม่เคยคิดจะถามประทีบและเต้ เกี่ยวกับข้อมูลของเขาคนนั้นเลยเพราะเรารู้ดีว่า เพื่อนประมงที่อยู่บ้านเดียวกับเรานั้น จะค่อนข้างสันโดษไม่สนิทสนมกับกลุ่มนักศึกษาประมงอีกบ้านมากนัก สังเกตได้จากสองอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกัน ไม่เห็นเพื่อนทั้งสองแวะเวียนไปหาหรือร่วมสังสรรค์ยามนักศึกษาประมงอีกบ้านสังสรรค์กัน จะมีไปร่วมสังสรรค์กันบ้างก็เนื่องในโอกาสอย่างเช่นเป็นวันเกิดของใครสักคน เพื่อนร่วมบ้านของเราก็จะไปร่วมด้วย แต่ไปไม่นานก็กลับ เราเองเหล่าเพื่อน ๆ ประมงก็ชักชวน พูดคุย ด้วยเช่นกัน และอาจจะด้วยลักษณะท่าทางของเรา ที่ดูจะอ่อนนุ่ม เรียบร้อยจนน่าสงสาร จึงมักจะโดนหนุ่ม ๆ บ้านนั้นแซวอยู่บ่อยครั้ง แต่เราก็มีมิตรสัมพันธ์อันดีกับทุกคน แต่ไม่สนิทสนมขนาดเข้าไปนั่งอยู่ในบ้านของพวกเขา หรือไปตั้งวงดื่มกับพวกเขาเลยสักครั้ง
   แต่แล้ววันที่ฟ้าประทานโอกาสให้กับเราก็มาถึง วันที่เรานอนตื่นสาย เลยออกไปเรียนช้ากว่าปกติทุก ๆ วัน เราจึงเดินอย่างรีบเร่งเพื่อออกไปขึ้นรถที่ปากซอย แต่แล้วจากการเดินอย่างรวดเร็วของเรานั้นกลับต้องหยุดชะงักลงโดยกระทันหันจนหัวแทบคะมำ เพราะสายตาของเราที่ยังคงแอบเหลือบมองไปยังบ้านของเด็กประมงกลุ่มนั้น ไปสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งที่เราใฝ่ฝันที่จะได้เจอเขาอีกสักครั้ง เขากำลังสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ของเขาอยู่เพื่อเตรียมตัวออกไปเรียนเหมือนกัน
   “มาสิ ไปด้วยกันไหม” เป็นเสียงแรกที่เรามีโอกาสได้ยินจากปากของเขา ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าเขาชวนเราหรือไม่ เราจึงหันซ้ายที ขวาที ดูว่ามีใครให้เขาชวนไปด้วยอยู่ตรงนั้นอีกบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีใคร เราจึงหันหน้าไปมองเขาอย่างอาย ๆ พร้อมกับสั่นศีรษะเพื่อบอกเขาว่าไม่ไป ดวงตาของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง รอยยิ้มยังไม่มีปรากฏบนใบหน้าเรียวงามของเขา แล้วใครเล่าจะกล้าไปนั่งรถกับเขาได้
   “ไหน ๆ ก็ไปทางเดียวกันจะไปนั่งสองแถวอีกทำไมละ” เขาพูดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแข็ง ๆ เหมือนประโยคแรก
คนอะไรไม่อ่อนโยนเอาเสียเลย เราทำได้แต่เพียงคิดในใจตัวเอง
   “ไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณครับ” เราพูดตอบไปได้แค่นั้น ทั้งที่ในใจแอบคิดไปว่าหากได้ไปนั่งมอเตอร์ไซค์กับเขา อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราและเขาได้ใกล้ชิดกัน แต่เรากลับปล่อยโอกาสนั้นไป
   “งั้นตามใจ” เป็นคำพูดทิ้งท้ายจากเขาคนนั้น ก่อนที่จะออกรถไปอย่างไม่หันหลังกลับมามองเราเลย
   “สายอยู่แล้ว ยังต้องมาเสียเวลาเพิ่มเข้าไปอีก แต่ก็คุ้มที่ได้เจอเขา” เราพูดกับตัวเองเบา ๆ ขณะยืนยิ้มกว้างรอรถสองแถว
   วันนั้นเป็นวันที่มวลสารในร่างกายของเราได้อันตรธานหายไปอีกครั้ง นอกจากเราจะเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว (ซึ่งปกติก็เป็นเช่นนั้น) เรายังคอยเผลอยิ้มให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อคิดไปถึงว่าเขาคนนั้นเป็นคนเอ่ยปากพูดกับเราก่อน ถึงแม้น้ำเสียงจะแข็ง ๆ สีหน้าจะเย็นชา เฉยเมย แต่แค่นั้นเราก็ยิ้มไปทั้งวันได้เหมือนกัน เราเพิ่งมารู้ว่าทำไมเราถึงไม่ได้เจอเขาเลยตลอดเวลาที่ย้ายไปอยู่ที่นั่น เพราะปกติเราจะออกมาเรียนเช้ากว่าเขา และกลับเข้าบ้านเร็วกว่าเขา และแน่นอนเมื่อเข้ากลับไปบ้านแล้วเราก็อยู่แต่ในบ้าน ไม่มีโอกาสที่จะออกไปไหนมากนัก เพราะทั้งไม่สะดวกและไม่มีเพื่อน ทิวเพื่อนร่วมห้องเรียนที่มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเขาก็ช่างมีโลกส่วนตัวซะเหลือเกิน ทำอะไรก็ทำคนเดียว ไปไหนมาไหนก็ไปคนเดียว เราไปอยู่ที่นั่นเลยเหมือนตัวคนเดียว แต่หลังจากนี้ไปมันจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เพราะเมื่อเราเดินเข้าซอยไปหลังจากลงจากรถสองแถวในวันนั้น เราเห็นเขาคนนั้นนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้าน เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงยังเป็นกางเกงนักศึกษาที่ใส่ไปเรียนเมื่อตอนกลางวัน เขากำลังก้มหน้าก้มตาเล่นกีตาร์และร้องเพลงไปเบา ๆ เราแอบเดินไปอย่างช้า ๆ และเบา ๆ เพื่อแอบฟังเสียงเพลงของเขา แต่เมื่อได้ยินว่าเสียงกีตาร์ที่เขาเล่นนั้นหยุดลง แสดงว่าเขาคงจะรู้ตัวแล้วว่ามีสิ่งแปลกปลอมไปรบกวนเขา สิ่งแปลกปลอมอย่างเราเลยรีบตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อ เพื่อที่จะผ่านเขาไปยังบ้านของตัวเอง
   “เมื่อเช้าทำไมไม่ไปด้วยกันละ” เสียงที่ฟังดูนุ่มขึ้นกว่าเมื่อเช้าเอ่ยขึ้นก่อนที่เราจะเดินผ่านไป เราถึงกับหยุดเดินโดยอัตโนมัติ แล้วจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับไปทางเขา แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนรองเท้าของตัวเอง
   “เกรงใจนะครับ” เราพูดออกไปได้แค่นั้น
   “เกรงใจอะไรกัน ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว” เขายังคงพูดต่อ ทำให้เรามั่นใจขึ้นว่าเสียงของเขาดูนุ่มขึ้น และถ้าให้คิดให้ดีไปกว่านั้น ดูน้ำเสียงของเขาออกจะผิดหวัง อยู่สักหน่อย
   “เข้ามานั่งก่อนสิ จะรีบไปไหน มาคุยกันก่อน” เขาเชื้อเชิญเราให้เข้าไปนั่งคุยกับเขา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ถึงแม้เราจะเฝ้าฝันหาแต่เราก็ไม่เคยคาดหวังมันมาก่อนและตอนนั้นเราก็ไม่ได้เก่งสมชื่อเพราะเราไม่มีความกล้าพอที่จะเดินเข้าไปนั่งพูดคุยกับเขาตามคำเชื้อเชิญได้
   “ไม่เป็นไรครับ เราจะรีบกลับไปเปลี่ยนชุด” เราตอบปฏิเสธไปอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ใจนั้นไปอยู่ข้าง ๆ เขาแล้วในตอนนั้น
   “ชื่อเก่ง เรียนคอมใช่ไหม” เขาเอ่ยถามขึ้นมา
   “โอ้แม่เจ้า เขารู้จักชื่อเราด้วย” เราคิดในใจ แต่เผยรอยยิ้มออกมาซะแก้มแทบปริ
   “เปลี่ยนชุดแล้วกลับมาที่นี่นะ” เขาคนนั้นย้ำอีกครั้งก่อนก้มหน้าก้มตาลงไปหากีตาร์ตัวโปรดของเขาอีกครั้ง
   “ครับ” เราตอบรับ เพราะคิดว่าหากปฏิเสธเขาอีกมันอาจจะดูไม่ดีนัก จะลองเข้าไปคุยกับเขาตามความต้องการของหัวใจตัวเองบ้างจะเป็นไรไป ว่าแล้วเราจึงรีบเดินกลับไปบ้านด้วยหัวใจที่แสนจะพองโต เรารู้สึกมีความสุขอย่างที่สุด ถึงแม้การเริ่มต้นของเรากับเขาคนนั้นจะเป็นเพียงภาพที่ผ่านสายตากันไปมา แต่ในตอนนี้เราได้พูดคุยกับเขาแล้ว โดยที่เขาเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำไป และที่สำคัญที่สุด เราที่คอยมองหาเขาอยู่ตลอดเวลา กลับไม่รู้จักชื่อของเขา แต่เขากลับรู้จักชื่อของเราและรู้แม้กระทั่งว่าเราเรียนอยู่สาขาอะไร
   เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำรองที่เราคิดว่าจะทำให้เราดูดีที่สุดในสายตาของเขาแล้วนั้น เราจึงเดินย้อนกลับไปยังบ้านของเขาคนนั้น เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม อยู่ในอิริยาบถเดิม คือ นั่งเล่นกีตาร์และร้องเพลงคลอไปเบา ๆ
   “เพื่อน ๆ นายไปไหนกันหมดละครับวันนี้” เราส่งเสียงถามไปก่อนที่จะเดินเข้าไปถึงตัวเขาเพื่อเป็นการเตือนให้เขารู้ว่าเรามาแล้ว
   “ไม่รู้มันสิ” เขาตอบ
   “เอ่อ ว่าแต่ นายชื่ออะไรละ เรายังไม่รู้จักชื่อนายเลย” เราถามเขาไปด้วยที่ไม่รู้จักชื่อเขามาก่อนจริง ๆ เขาหยุดเล่นกีตาร์ เงยหน้าขึ้นและหันมามองทางเรา ถ้าเราดูสายตาของเขาไม่ผิด ดูแววตาของเขาจะเจือไปด้วยความผิดหวังอยู่น้อย ๆ กับคำถามที่เราถามไป
   “ตุ่น ผมชื่อตุ่น เรียนประมง ปี 1 เหมือนเรานะแหละ เด็กปี 1 เหมือนกัน” ตุ่นตอบกลับมาน้ำเสียงเบา ๆ
   “อ้าว คิดว่ารุ่นพี่ซะอีก” เราพูดไปโดยไม่ได้คิดว่าเขาหน้าตาแก่แต่อย่างใด แต่เพราะไม่เคยเห็นเขาในกลุ่มเด็กปี 1 เวลามีการประชุม ปฐมนิเทศ หรืออะไรก็ตามแต่ที่รวมเด็กปี 1 พร้อม ๆ กัน เราไม่เคยเห็นเขาเลย
   “นี่หาว่าผมแก่เหรอ” ตุ่นพูดสวนกลับมา
   “เปล่า” เราเลยต้องอธิบายเหตุผลอย่างที่คิดว่าทำไมถึงได้คิดว่าเขาเป็นรุ่นพี่
   “งั้นก็แล้วไป เล่นกีตาร์เป็นไหม” ตุ่นถามต่อ
   “ไม่เป็น” เราตอบไปตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าเราจะชอบฟังเพลงและฟังได้ทุกแนว แต่ความสามารถด้านดนตรีของเราไม่เคยปรากฏให้เห็นเลยในชีวิตนี้ ถึงแม้จะเคยพยายามเท่าไหร่มันก็ไม่เคยเป็นผล
   “งั้นเดี๋ยวตุ่นเล่นกีตาร์ แล้วเก่งร้องเพลงนะ” ตุ่นยังคงพูดต่อเพื่อให้เราได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของเขา
   “ตุ่นให้เราร้องไห้จะง่ายกว่าร้องเพลงนะ” เราตอบกลับไปอย่างติดตลก
   “ได้ งั้นนั่งฟังอย่างเดียวแล้วกัน” ตุ่นหมดหนทางที่จะดึงให้เราเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของเขา
   เราเองนั้นไม่รู้ตัวเองว่าได้แสดงท่าทีหรือท่าทางอะไรออกไปบ้างในขณะที่นั่งฟังเขาร้องเพลงเบา ๆ คลอกับเสียงกีตาร์ เรารู้เพียงอย่างเดียวว่า รู้สึกอิ่มเอมหัวใจ ดีใจ มีความสุขเป็นที่สุด ตุ่นเองก็หันหน้ามามองคนฟังอย่างเราอยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับเผยรอยยิ้มอันแสนจะอบอุ่นของเขาให้กับเรา
และแล้ววันเวลาที่แสนจะอบอุ่น วันเวลาที่ทำให้เราและคนที่เราแอบปลื้มได้ทำความรู้จักกันก็ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับที่หลาย ๆ คนพูดไว้ว่า เมื่อไหร่ที่มีความสุข วันเวลานั้นจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวันเวลาแห่งความสุขของเราผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องขอตัวลาจากตุ่นเพื่อกลับบ้านไปนอน
   “เจอกันพรุ่งนี้นะ” ตุ่นพูดทิ้งท้ายหลังจากที่เราบอกว่าจะกลับบ้านไปนอนแล้วเพราะมันดึกมากแล้ว
   “ครับ ไปละ” เราตอบก่อนเดินจากไป
   และแล้วคืนวันนั้นเราได้นอนหลับไปอย่างมีความสุขเป็นที่สุด หลับไปทั้งที่บนใบหน้ายังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข การย้ายที่พักของเราไม่ทำให้เราผิดหวังอีกต่อไป เพราะเราได้พาร่างกายของตัวเองเข้าใกล้กับหัวใจของเราที่แอบไปอยู่ข้าง ๆ เขาคนนั้น ที่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเขาอยู่ใกล้ ๆ เรานี่เอง หากมีโอกาสเราจะคว้าเอาหัวใจเขามาเป็นของตัวเราเองด้วยให้ได้ จะไม่เพียงมอบหัวใจให้เขาเพียงฝ่ายเดียว
หลังจากวันนั้น เราและตุ่นก็เริ่มที่จะสนิทและพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองมากขึ้น
   “เก่ง เก่ง ตื่นนอนแล้วยัง” เสียงตุ่นมาตะโกนอยู่หน้าบ้าน ปลุกให้เราตื่นจากการนอนหลับฝันหวาน
   “มาเรียกทำไมกันเนี่ย ยังเช้าอยู่เลยนะ” เราบ่นเบา ๆ พร้อมกับเดินไปเปิดประตูระเบียงหน้าบ้านเพื่อสนทนากับคนพิเศษที่มาเยือนในยามเช้า โดยลืมสำรวจสภาพของตัวเองว่าหลังจากนอนหลับอย่างมีความสุขแล้วสภาพของตัวเองเป็นอย่างไร
   “ตื่นแล้วครับ มีอะไรเหรอ มาเรียกแต่เช้าเลย” เรางัวเงียถามกลับไป
   “สภาพดูไม่ได้เลย รีบอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้า เดี๋ยวมารับนะ” พูดเสร็จ คนออกคำสั่งก็เดินย้อนกลับไปยังบ้านของตัวเอง โดยไม่ได้บอกด้วยซ้ำไปว่าเช้าวันเสาร์อย่างนี้จะชวนเราไปไหน มันควรจะเป็นเวลาที่ได้นอนมากกว่า
   “ครับ” เราตอบรับเขาไป แต่แล้วก็กลับไปนอนลงอีกครั้ง จนต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงเรียกอีกครั้ง
   “เก่ง เก่ง เสร็จแล้วยัง” เสียงตุ่นมาตะโกนอีกครั้ง เรารีบเดินออกไปหน้าระเบียงบ้านในสภาพเดิม
   “อ้าว ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ” ตุ่นถามกลับมาเมื่อเห็นเราอยู่ในสภาพงัวเงียเหมือนเดิม
   “จะไปไหนละ เราไม่ไปดีกว่า อยากจะนอน” เราตอบไป เหตุผลฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นัก ทั้ง ๆ ที่เราเองอยากจะใกล้ชิดกับเขา แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดที่ปากเอ่ยปฏิเสธออกไปทุกที
   “ตามใจ” ว่าแล้วตุ่นก็กลับไปบ้านของตัวเองอีกครั้งหนึ่งด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างเคย
   “นี่เราปฏิเสธไปทำไม แต่นอนต่อดีกว่า” คิดได้ดังนั้นแล้วเราจึงเดินกลับไปนอนต่อ จนหลับไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อท้องของตัวเองร้องเตือนให้รู้ว่าหิวแล้ว
   “ไปกินข้าวหน้าปากซอยดีกว่า” ว่าแล้วเราจึงลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งตัว เพื่อจะเดินออกไปร้านหน้าปากซอยเพื่อหาอะไรทาน แต่ก็ต้องไปหยุดอยู่ที่บ้านของตุ่น เพราะเจอกับตุ่นที่หน้าบ้าน บนเก้าอี้ตัวเดิม เหมือนทุกวัน
   “อ้าว แล้วตุ่นไม่ได้ออกไปไหนเหรอ” เราถาม เพราะไม่คิดว่าตุ่นจะยกเลิกโปรแกรมของตนเมื่อเราไม่ตกลงจะไปด้วย
   “ไม่ไปแล้ว” เสียงตอบกลับมาแข็ง ๆ อีกแล้ว
   “ทำไมละ โกรธเราเหรอ” เราถามกลับไปอย่างยียวนนัก
   “โกรธทำไมกัน แล้วนั่นจะไปไหน” ตุ่นตอบและถามกลับมาบ้าง
   “ไปกินข้าวสิ หน้าปากซอยเนี่ย หิวแล้ว” เราตอบกลับ
   “มากินที่บ้านสิ มีแกงส้มนะ” ตุ่นเอ่ยปากชวนเป็นครั้งที่สามหรือสี่แล้วหลังจากเราและเขาเริ่มพูดคุยกัน เขามีไมตรีที่ดียื่นมาให้เสมอ แต่เราก็เช่นเดิม เหมือนเดิมทุกครั้งที่เขาชวน
   “ไม่ละ เราไม่ชอบกินแกงส้ม จะไปกินข้าวไข่เจียวหมูสับ” เราตอบ
   “ตามใจ” ตุ่นตอบสั้น ๆ
   “งั้นไปละนะ” ว่าแล้วเราจึงเดินจากไปปล่อยตุ่นไว้กับกีตาร์ตัวโปรดของเขา
   เมื่อกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเดินกลับเข้าบ้าน โดยตั้งใจจะไปแวะหาตุ่นอีก แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้อยู่ที่หน้าบ้านแล้วในตอนนั้น เราได้ยินเพียงแต่เสียง ซึ่งฟังดูเหมือนจะเป็นเสียงซักผ้า เราจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้านของตุ่น เมื่อมองไปยังด้านหลังของบ้าน เห็นตุ่นกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ๆ หน้ากะละมังซักผ้า โดยท่อนบนนั้นเปลือยเปล่า เราเองถึงกับใบหน้าร้อนวูบวาบ ด้วยเขินอายเพราะแอบคิดอะไรที่ทะเล้นเกินความเป็นเพื่อนไปแล้วในตอนนั้น
   “มายืนมองอะไรละ มาช่วยซักผ้าดีกว่า” ตุ่นพูดขึ้นมาทำให้เรารู้สึกตัวว่าตอนนั้นตัวเองกำลังยืนจ้องมองผู้ชายที่เปลือยร่างกายส่วนบนคนนั้นอยู่
   “เรื่องไรจะช่วย ผ้าใครใครก็ซักสิ” เราตอบไปแก้เขิน พร้อมกับเดินไปนั่งลงใกล้ ๆ เขา
   “แล้วเพื่อน ๆ ไปไหนกันหมดละ” เราถามต่อ
   “กลับบ้านกันหมด” ตุ่นตอบมาพร้อมกับก้มหน้าก้มตาซักผ้าต่อไป
   “แล้วตุ่นไม่กลับบ้างเหรอ” เราถามกลับไปพร้อมกับรู้สึกว่าตัวเองนั้นได้นั่งลงข้าง ๆ เขา มือของตัวเองนั้นกำลังเล่นฟองจากผงซักฟอกในกะละมังที่ตุ่นกำลังซักผ้าอยู่
   “เพิ่งกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ถ้าอาทิตย์นี้กลับไปอีก แม่ได้กระทืบให้” ตุ่นตอบกลับมา
   “แล้วถ้าไม่ช่วยซัก จะมานั่งเล่นฟองให้มันสกปรกทำไม” ตุ่นถามพร้อมกับหยุดมองไปที่มือของเราเพื่อเป็นการเตือนให้รู้ว่าเรากำลังเล่นฟองผงซักฟอกในกะละมังของเขาอยู่
   “อยากให้กำลังใจ” เราตอบไปได้แค่นั้น ไม่สามารถพูดอะไรได้ต่อไป เพราะอาการเขินอายมันทำให้คอของเราตีบตันไปแล้วในตอนนั้น
   “แล้วเมื่อเช้าตุ่นชวนเราไปไหนละ แล้วทำไมตุ่นถึงไม่ไปละ” เราถามไปตามความคิดสงสัยของตัวเองหลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน
   “ก็กะว่าจะชวนเก่งไปเที่ยวที่สวนสาธารณะในตัวเมือง ไม่เคยไปใช่ไหม” ตุ่นตอบกลับมา
   “อืมม ใช่ งั้นไปก็ได้ รีบซักผ้าสิ จะได้ไปกันเลย” เราตอบไปอย่างรู้สึกผิด
   “ไปทำไมกันตอนนี้ แดดร้อนแล้ว เดี๋ยวได้เป็นลมแดดกันพอดี” ตุ่นย้อนกลับมา
   “ก็ใครจะไปรู้ละ ก็เมื่อเช้าถามแล้วไม่ยอมบอกเองนี่” เราค้อนกลับไปบ้าง
   “บอกไปจะเซอร์ไพรส์ไหมละ” ตุ่นพูด หลังจากประโยคนี้ของตุ่น ทั้งเราและตุ่นต่างฝ่ายต่างเงียบ ไม่มีบทสนทนาใดออกมา ต่างหวังให้อีกฝ่ายเอ่ยพูดขึ้นมาก่อน แต่โชคดีเหมือนมีระฆังช่วยให้ภาวะของความเงียบคลายลง เมื่อมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้าน
   “เฮ้ย ไอ้สองคนนั้นแอบทำไรกันวะ อายฟ้าอายฝนบ้างนะโว้ย” เสียงพูดดังขึ้นหน้าบ้าน เมื่อเสียงมอเตอร์ไซค์ที่คนพูดพามาเงียบเสียงลง
   “ซักผ้า มึงไม่เห็นรึไง” ตุ่นตอบเพื่อนกลับไป
   “ซักผ้าเหรอ เห็นนั่งออเซาะกันขนาดนั้น” สมคิดเพื่อนร่วมกลุ่มของตุ่น ผู้มาเยือนเอ่ยขึ้น จึงทำให้เรารู้ตัวว่าตัวเองนั้นนั่งไหล่ชนกันกับไหล่อันเปลือยเปล่าของตุ่นไปตอนไหนแล้วก็ไม่รู้
   “มึงไม่ต้องพูดมาก มีอะไร” ตุ่นพูดสวนกลับเพื่อนของเขาไป
   “รีบซัก เดี๋ยวไปบ้านสมเกียรติกัน” สมคิดเอ่ยชวนขึ้น
   “ได้ ๆ รอแป๊บนึงนะ” ตุ่นตอบกลับไป พร้อมกับรีบก้มหน้าก้มตาซักผ้าอย่างรวดเร็ว
   “งั้นเรากลับบ้านก่อนนะ” เมื่อเห็นว่าตุ่นต้องจะออกไปกับเพื่อน จึงรีบเอ่ยเพื่อขอตัวกลับบ้านตัวเองบ้าง
   “จะไปไหน เดี๋ยวไปด้วยกัน” ตุ่นชวน
   “ไม่ดีกว่า ตุ่นไปกับเพื่อน ๆ ตุ่นเถอะ” เราตอบปฏิเสธไปอีกครั้ง
   “ก็เพื่อน ๆ กันทั้งนั้น ไปนะ” ตุ่นเว้าวอน
   “ไม่เป็นไร ตุ่นไปสนุกกับเพื่อน ๆ เถอะ” ว่าแล้วเรารีบเดินจากไป เพราะไม่อยากให้ตุ่นต้องเชื้อเชิญหลายครั้งหลายครา ด้วยความที่รู้สึกผิดที่ไม่ยอมไปกับเขาสักครั้งเมื่อเขาเอ่ยชวน
   ตกเย็นของวันนั้น เรายังคงนอนดูทีวีอยู่บนที่นอนไปเรื่อยเปื่อยทั้ง ๆ ที่รู้สึกหิวแล้ว ในใจก็อยากจะออกไปดูว่าตุ่นกลับมาแล้วหรือยัง อยากจะไปนั่งคุยกับเขาเหลือเกิน แต่เราก็ยังขี้เกียจที่จะลุกเดินไปจากที่นอน
   “เก่ง เก่ง อยู่ไหม เปิดประตูหน่อย” เสียงตุ่นดังขึ้นที่หน้าบ้าน
   “แป๊บนึงครับ” เราตะโกนตอบกลับไปพร้อมกับวิ่งลงบันไดไปเปิดประตูบ้านเพื่อเปิดให้ตุ่นได้เข้ามาในบ้าน
   “กินอะไรแล้วยัง เอ้านี่ผัดไท ตุ่นซื้อมาฝาก ร้านนี้อร่อยนะ วันหลังจะพาไปกินที่ร้าน” ตุ่นพูดพร้อมกับยื่นถุงในมือให้กับเรา
   “โหหหหหหห ขอบคุณมาก กำลังหิวเลย ขึ้นไปข้างบนก่อนสิ” เราเอ่ยชวนตุ่นขึ้นไปยังห้องของเรา
   “คนอื่น ๆ กลับบ้านกันเหรอ” ตุ่นเอ่ยถามในขณะที่เราเริ่มแกะห่อผัดไทที่อยู่ตรงหน้า
   “ใช่” เราตอบไปสั้น ๆ พร้อมกับลงมือกินผัดไท เราไม่รู้ว่าผัดไทมื้อนั้นอร่อยมากน้อยสักเพียงใด แต่เราว่ามันเป็นผัดไทที่วิเศษที่สุดที่เราเคยได้กินมา เพราะมันเป็นผัดไทที่ตุ่น คนที่เราแอบหลงรักซื้อมาฝาก ส่วนตุ่นนั้นบอกว่ากินมาแล้วกับเพื่อน เลยได้แต่นั่งมองเรากินผัดไทสลับกับการหันดูจอทีวี จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ตุ่นจึงขอตัวกลับบ้านเพื่อไปนอน
   ถึงวันนี้ ตอนนี้ เวลานี้ หลุมที่เคยฝังความรักของเราเอาไว้ ถูกขุดเปิดออกแล้ว ความรักของเรามารออยู่เต็มหัวใจแล้ว เตรียมพร้อมที่จะมอบให้กับใครคนนั้น เพียงแต่เราจะมีความกล้ามากน้อยเพียงใด เพราะเราเองไม่มั่นใจว่าตุ่นจะคิดกับเราเช่นไร เพียงเพื่อน หรือมากกว่า ตุ่นจะใช่คนประเภทเดียวกับเราหรือไม่ที่ชอบเพศเดียวกัน ถึงเราจะอึดอัดที่ยังไม่รับรู้คำตอบ แต่เราก็มีความสุขและเป็นปลื้มกับหลายวันที่ได้รู้จักกัน พูดคุยกันกับตุ่นคนพิเศษคนนั้น
   หลังจากวันนั้นเรามีความสนิทสนมกับกลุ่มเด็กประมงในบ้านหลังดังกล่าวนั้นมากกว่าเพื่อนร่วมบ้านของเราอีก 3 คนด้วยซ้ำไป ทุกเวลาว่าง เราจะต้องไปขลุกอยู่กับตุ่นตลอดเวลา ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรทำกันมากมาย นอกจากไปนั่งเล่นฟองผงซักฟอกในกะละมังซักผ้าของเขา หรือไม่ก็ไปเป็นผู้ฟังที่ดียามเขาเล่นกีตาร์ และร้องเพลง ถึงแม้เสียงร้องเพลงของเขาจะไม่เอาไหนหนัก แต่เราก็ยังอยากไปนั่งฟังเสมอ ส่วนกับเพื่อน ๆ ในบ้านของตุ่นดูทุกคนจะรักและแสนดีกับเราเช่นกัน ทุกคนจะคอยหยอกเย้า ช่วยเหลือ คอยพูดจาแซว โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับตุ่นอยู่เสมอยามที่เราและตุ่นอยู่ใกล้กัน
   “พวกมึงอย่าหวานกันมากได้ไหม”
   “เฮ้ย กูเลี่ยนวะ ห่าง ๆ กันหน่อย”
   “ไอ้คู่นี้มันเป็นแฟนกันแล้วเหรอ”
   “มึงติดกันจนจะเป็นคนเดียวกันอยู่แล้วนะ”
   เป็นประโยคที่ได้ยินจนชินหูจากปากของนักศีกษาประมงที่อยู่บ้านเดียวกับตุ่น แต่ตุ่นเองดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดของเพื่อน ๆ มากนัก ไม่เคยที่จะตอบรับคำหรือตอบปฏิเสธข้อกล่าวหาของเพื่อนเลย ส่วนเรานั้นไม่ต้องพูดถึง อยากให้ทุกคำพูดของเพื่อนนั้นเป็นจริงตลอดเวลา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2010 21:15:44 โดย duckhero »

non~animé

  • บุคคลทั่วไป
ความรักของเรากะไรเตอร์ถูกฝังไว้ที่ก้นบิ้งของหัวใจเหมือนกัน
แต่ต่างกันตรงที่เหตุผลของการขุดหลุมฝังมันไว้....

เห็นด้วยที่ว่า "ความรักมีค่า อย่าได้ดูถูกและลดค่าของมัน" เพราะเราเคยดูถูกมันและที่ผ่านว่าไม่เคยเห็นว่ามันจะราบรื่นและยาวนานเหมือนความรักแบบชายหญิงทั่วๆ ไป
เห็นด้วยที่ว่า "รักแรก..เป็นรักที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่งที่จะมีได้ สามารถพูดได้เต็มปากว่าคุ้มค่าการรอคอย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าการรอคอยนั้นจะสิ้นสุดลงที่ไหน และสิ้นสุดลงแบบใด" เพราะทุกวันนี้ก้อไม่มีวันที่จะลืมความรักครั้งนั้นลงได้ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึง...แต่ก้อไม่อยากลืมและมิเคยลืมเลือนไปจากหัวใจได้เลย

ปล.ขอสมัครเปน Fc เรื่องนี้ด้วยคน อาจจะไม่ได้เข้ามาอ่านบ่อย แต่ก้อจะตามเรื่อยๆจ๊ะ
ปล2.เพราะเปิดเทอมแล้ว อะไรๆ มานก้อช่างหนักหน่วง....หัวจายยย  :เฮ้อ:

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
ใกล้ชิด ... ชิดใกล้

   การดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปบ้างเมื่อใกล้ชิดกับตุ่น แต่เรารู้ดีว่ามันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ถึงแม้เราจะรู้สึกคลุมเครือกับความรู้สึกของตุ่นว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา เขามีความรักให้เราหรือไม่ หรือมีไปในแนวทางใด แต่เมื่อเราสัมผัสได้กับการกระทำที่เขากระทำสิ่งต่าง ๆ ต่อเรา ทำให้เราคิดว่า คำตอบที่ว่าตุ่นจะคิดอย่างไรกับเรานั้น มันไม่สำคัญเลย ขอเพียงแค่เขายังคงเป็นตุ่นคนเดิมคนนี้ เป็นแบบเดิมแบบนี้ไปตลอดก็เพียงพอแล้ว
   “เก่งอยากเล่นกีตาร์เป็นไหม” ตุ่นเอ่ยถามขึ้นในเย็นวันหนึ่งขณะที่เขากำลังเล่นกีตาร์และเราทำหน้าที่คนฟังที่ดีอยู่
   “ถ้าเล่นเป็นก็ดีสินะ” เราตอบเขาไป
   “งั้นเดี๋ยวตุ่นสอนให้ เอาไหม” ตุ่นยื่นข้อเสนอ
   “แต่เราบอกไว้ก่อนนะ ว่าเราไม่เอาไหนเรื่องเครื่องดนตรี” เราพูด
   “ก็บอกว่าจะสอนให้อยู่นี่ไง” ตุ่นย้ำ
   “ก็ได้” เราตอบไปพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้ตุ่นผู้แสนดีเสมอมา
   “งั้นก็มานั่งตรงนี้สิ อยู่ตรงนั้นจะสอนได้ไงกัน” ตุ่นพูดพร้อมกับเรียกให้เราเข้าไปนั่งด้วยกับเขา ตุ่นขยับถอยหลังเข้าไปนั่งจนติดพนักพิงของเก้าอี้ เพื่อเว้นที่ว่างด้านหน้าของเขาสำหรับเรา เราเดินไปหาเขา แต่ยังคงไม่กล้าที่จะนั่งลงไปยังตำแหน่งที่เขาเว้นไว้ให้ นั่นคือระหว่างขาสองข้างของเขา
   “นั่งลงสิ จะมายืนค้ำหัวอยู่ทำไมกัน” ตุ่นเตือน เราจึงค่อย ๆ นั่งลงอย่างตื่นเต้นพอตัวกับการใกล้ชิดกันแบบเนื้อแนบเนื้อขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะมีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่แต่เรารู้สึกได้ถึงแรงจากการเต้นของหัวใจภายในทรวงอกของตุ่น ส่วนหัวใจของเราเองกลายเป็นกลองที่กำลังตีรัวรวดเร็วยิ่งนัก กลิ่นหอมจากร่างกายของตุ่น เราไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นหอมจากน้ำหอมชนิดใด เรารู้อยู่อย่างเดียวว่ามันหอมใกล้จมูกของเรามาก หอมเหมือนกับเราได้เอาปลายจมูกไปวางอยู่บนร่างกายส่วนหนึ่งสวนใดของตุ่นอย่างแนบชิด
   “รับกีตาร์ไปสิ แล้วทำไมเกร็งขนาดนี้ละเนี่ย” ตุ่นพูดหลังจากที่ยื่นกีตาร์มาให้เราถือ แต่ด้วยความที่เราเก้อเขินกับความใกล้ชิดขนาดนั้น เราจึงทำอะไรไม่ถูกแม้แต่จับกีตาร์ให้ถูกวิธี
   “เอ้า จับอย่างนี้” ตุ่นพูดไปพร้อมกับเอื้อมมือมาจากด้านหลังโอบผ่านหัวไหล่ของเราทั้งสองด้านเพื่อจับมือของเราไปจับกีตาร์ให้ถูกวิธี พร้อมทั้งเอ่ยปากสอนว่าเวลาจะดีดให้ดีดอย่างไร เวลาจับคอร์ดนี้จับยังไง คอร์ดนั้นจับยังไง แต่เราเองหูอื้อ ตาลายไปหมดแล้ว เพราะไหนจะตื่นเต้นกับการที่ต้องมานั่งตัวชิดติดกันขนาดนั้น ตุ่นยังโอบแขนของเขาคล่อมตัวของเราเอาไว้ พร้อมทั้งก้มหน้าลงมาเพื่อสอนให้เราจับกีตาร์ ลมหายใจและลมจากปากของเขาเป่าอยู่ที่หูของเราตลอดเวลา
   “ทำไมไม่ดีดละ ฟังไหมเนี่ยที่สอนไปนะ” ตุ่นถามขึ้นมา ทำให้เราตื่นจากความฝัน
   “ดีด เอ้าดีดแล้ว” เราพูดพร้อมกับดีดไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
   “ไหน ไม่เห็นจะดังเลย กดสายลงไปแรง ๆ สิ” ตุ่นสั่งพร้อมกับจับนิ้วอันเรียวงามของเราให้กดลงไปบนสายกีตาร์
   “ดีดใหม่อีกที เขาดีดกันอย่างนี้” ตุ่นพูดพร้อมกับพามือเราให้ดีดสายกีตาร์
   “อย่ากดแรงสิ เจ็บนิ้วนะ” เราบ่น
   “ไม่กดแรง ๆ แล้วเสียงมันจะดังได้ยังไงกัน” ตุ่นพูด
   “ตุ่นจะให้เรากดลงไปแรง ๆ ได้ยังไงกันละ ดูสายกีตาร์สิบางออกจะตายไป เดี๋ยวมันบาดนิ้วเอาสิ” เราพูดไปตามความคิดของตัวเอง
   “เดี๋ยวนิ้วสวย ๆ ของเราเป็นแผล ไม่เอาแล้วดีกว่า” เราพูดพร้อมความคิดล้มเลิกที่จะหัดเล่นกีตาร์
   “เออนะ นิ้วของเด็กคอมฯ ก็เป็นแบบนี้แหละ บอบบางซะเหลือเกิน ไหนดูซิ” ว่าแล้วตุ่นก็จับมือของเรายกขึ้น แล้วโบกไปมาอยู่ตรงหน้าของตน
   “ต่อไปน่าจะให้เด็กคอมฯ ต้องลงงานบ้าง จับจอบ จับเสียมบ้าง มือจะได้ด้าน ๆ เหมือนคนอื่น ๆ เขาบ้าง” ตุ่นพูดไปทั้ง ๆ ที่ยังคงจับมือของเราโบกไปมา
   “เดี๋ยว ไหนดูนิ้วของตุ่นซิ นี่รอยอะไรนะ” เราพูดขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนกลับไปจับข้อมือตุ่นเพื่อดูรอยบนนิ้วมือของตุ่นบ้าง
   “ทำไมเป็นรอยลึกแบบนี้ทุกนิ้วเลยละ” เราถามตุ่น
   “ก็คนเล่นกีตาร์ ก็เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ” ตุ่นบอก
   “มันเป็นรอยจากการกดสายกีตาร์ไงละ มันก็แค่เป็นรอยไม่เห็นมันจะเคยบาดนิ้วเลยสักครั้ง” ตุ่นพูดเสริมอีก
   “งั้นเราไม่เล่นแล้วนะ เจ็บนิ้วแย่เลยแบบนี้” เราปฏิเสธเลิกเล่นเด็ดขาด
   “งั้นก็ตามใจ” ว่าแล้วตุ่นก็เอามือกดลงไปบนหัวเราเบา ๆ เพื่อเป็นการแกล้งที่เราไม่ยอมอดทน เมื่อเราตัดสินใจที่จะไม่หัดเล่นกีตาร์แล้ว จึงคิดจะลุกเพื่อเปลี่ยนกลับไปนั่งที่เดิม แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะตุ่นยังคงเอาแขนของเขาล็อคเอาไว้ที่คอของเรา
   “ตุ่น เราหายใจไม่ออกนะ” เราพูดไป แต่ด้วยความเขินมากกว่า
   “มึงช่วยห่าง ๆ กันหน่อยได้ไหม กูจะอ้วกแล้ว” เสียงแซวจากเพื่อนดังมาจากในบ้าน
   “ยุ่ง” ตุ่นตอบกลับไปสั้น ๆ
   แล้ววันคืนแห่งความสนิทสนมของเราและตุ่นก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนไม่เพียงแต่เพื่อนร่วมบ้านเดียวกับตุ่นเท่านั้นที่แซวว่าเราและตุ่นเป็นแฟนกัน แต่เมื่อไหร่ที่เราเดินไปรอตุ่นที่บ่อประมงเพื่อกลับบ้านด้วยกัน เพื่อน ๆ ของเขาจะตะโกนบอกตุ่นทุกครั้งว่า
   “เฮ้ย ไอ้ตุ่นแฟนมึงมารอแล้ว” เป็นประโยคที่ทำเอาเราหน้าแดงได้เหมือนกัน แต่ก็รู้สึกดีที่ไม่มีใครเคยต่อว่ากับความสัมพันธ์แปลก ๆ ของเราและตุ่น เราเลยมีเพื่อนเป็นกลุ่มเด็กประมงเพิ่มขึ้นอีกหลายคน
   นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมื่อบรรดาเด็กประมงทั้งหลายตั้งวงเหล้ากัน ในวงเหล้านั้นจะมีที่ว่างหนึ่งที่สำหรับเราเสมอ ซึ่งมักจะเป็นด้านซ้าย หรือด้านขวาของตุ่นด้านใดด้านหนึ่ง ตุ่นจะเป็นคนไปชวนให้เรามาร่วมวงด้วย แต่ไม่ยอมให้เราดื่มเหล้าเลยในตอนแรก ๆ แค่ให้นั่งช่วยผสมเหล้า หรือนั่งเฉย ๆ และทุก ๆ ครั้งจะไม่รอดพ้นการแซวของเพื่อน ๆ
   “มึงจะห่วงมันถึงไหน ให้มันหัดดื่มบ้างสิ ให้ไอ้เก่งมานั่งเฉย ๆ อยู่ได้ มึงบ้าแล้วไอ้ตุ่น” สมคิดเป็นคนพูดขึ้นในค่ำหนึ่งกลางวงเหล้า
   “มันดื่มไม่เป็น” ตุ่นตอบกลับไป
   “เดี๋ยวได้เมาตายหรอก” ตุ่นยังคงพูดต่อไป
   “เวลามึงเมากูไม่เห็นมึงตายสักครั้งเลยนะ” สมคิดยังคงแย้ง
   “เก่งมานั่งข้าง ๆ พี่นี่มา เดี๋ยวพี่ให้เก่งดื่มเอง” สมเกียรติเพื่อนประมงที่มีขนาดตัวใหญ่โตมหึมา ที่มักจะชอบแหย่เรา โดยเรียกเราว่าน้อง และมักจะขอกอดเราเสมอ ๆ แต่ก็มักจะโดนตุ่นขวางเอาไว้ทุกครั้งไป
   “นั่งนี่แหละ ดื่มก็ได้แต่บาง ๆ นะ ผสมโค้กให้มันแล้วกัน มันจะได้ไม่ขม” ตุ่นพูดสั่งเพื่อนอีกคนที่นั่งข้างขวดเหล้า
   “ห่วงกันเสียจริง” สมคิดยังคงกัดตุ่นต่อไป
แล้วเราก็ได้หัดดื่มเหล้ากับใคร ๆ เขาก็ตอนนั้นเอง โดยที่จะมีตุ่นที่นั่งข้าง ๆ เป็นคนคอยกำกับทุกครั้งเวลามีการผสมเหล้าให้กับเรา
   “ไม่ต้องใส่ให้มันเยอะ” ตุ่นคอยกำชับเพื่อนที่ผสมเหล้า แต่ทุกทีที่ตุ่นเผลอเพื่อน ๆ มักจะแอบเติมเหล้าในแก้วเราทุกครั้งไป แต่เมื่อเราเริ่มมีอาการเมา ตุ่นก็จะทำหน้าที่ยึดเอาแก้วเหล้าของเราไปวางไว้ด้านหลังของเขา พร้อมกับบอกให้หยุดดื่ม
   “ทำไมละ เรายังไม่เมานะ ยังดื่มได้” เราแย้งตุ่นไปเพราะเริ่มสนุกกับอาการหน้าชา ตัวร้อน ๆ จากผลของการเมาเหล้าแล้ว
   “เก่งเมาแล้วนะ หยุดได้แล้ว” ตุ่นพูดน้ำเสียงเบาเหมือนกระซิบ
   “เออ มึงก็ห่วงมันเกินไป ปล่อยให้มันดื่มต่อเหอะ” สมเกียรติพูดขึ้นบ้าง
   “แล้วถ้ามันเมา เดี๋ยวใครจะเป็นคนเก็บของพวกนี้ละ” ตุ่นพูดให้เหตุผลกับเพื่อน ๆ ซึ่งเมื่อเราได้ยินเหตุผลข้อดังกล่าว เราถึงกับตีหน้าซึม เพราะผิดหวังที่คิดว่าตุ่นเป็นห่วงกลัวว่าเราจะเมา กลับเป็นห่วงว่าจะไม่มีใครเก็บของ แต่ตุ่นคงมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเรา ตุ่นจึงเอามือมาลูบผมบนหน้าขาของเราเบา ๆ มันเป็นสัมผัสที่แปลกประหลาด เรารู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ซึมผ่านมาจากการสัมผัสของตุ่นว่าเขาเป็นห่วงจริง ๆ
   “ไม่ดื่มแล้วก็ได้” เราตอบตุ่นไป เลยได้รับรอยยิ้มแสนอบอุ่นจากตุ่นกลับมาให้ใจชื้นเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว พร้อมกับการกระเซ้าเย้าแหย่จากตุ่นอยู่เรื่อย ทั้งตบหัว จับแขน โอบไหล่
   หลังจากการดื่มผ่านพ้นไป หลายคนกลับไปบ้านตัวเอง หลายคนก็อาศัยนอนกันที่บ้านตุ่น ซึ่งใครเมาก่อน นอนก่อนก็จะได้เลือกที่นอนก่อน ตุ่นมักจะเป็นคนรั้งท้ายเสมอที่นอนจึงมักจะไม่เหลือให้กับเขาเลย เมื่อทุกคนไปนอนกันหมดเหลือเพียงตุ่นและเรา เราจึงเริ่มต้นเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า แต่กลับโดนตุ่นจับข้อมือเอาไว้
   “ยังไม่ต้องเก็บ เอาไว้เก็บพรุ่งนี้” ตุ่นพูดสั่ง
   “ก็ตุ่นกลัวจะไม่มีใครเก็บไม่ใช่เหรอ” เราทำทีเป็นพูดประชดประชัน จนโดนตุ่นเอามือตบลงไปบนหัวเบา ๆ
   “ประชดเหรอ” ตุ่นพูด
   “เปล่าซะหน่อย ก็เก็บซะเลยสิ จะปล่อยให้เหม็นทำไม” เราตอบกลับไป
   “จะไปอ้วก พาไปอ้วกก่อน” ว่าแล้วตุ่นพยายามยันร่างกายของตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อจะไปห้องน้ำ เราจึงรีบคว้าแขนของเขาขึ้นมาคล้องคอของเราและเอามืออีกข้างโอบไปที่สะเอวของเขา โชคดีที่ขนาดร่างกายไม่ต่างกันมาก ถ้าขืนตุ่นตัวโตกว่าเราและเมาขนาดนี้ มีหวังได้ล้มกันทั้งคู่แน่นอนเพราะเราก็เมาไม่น้อยแล้วเหมือนกัน
เมื่อเสร็จธุระในห้องน้ำ ตุ่นรีบเดินตัวปลิวตรงไปยังโซฟาที่ว่างอยู่แล้วล้มตัวลงนอน เราเห็นดังนั้นจึงรีบทำความสะอาดห้องน้ำแล้วตามตุ่นออกไป
   “ตุ่นไม่อาบน้ำเหรอ ไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ” เราพูดไปพร้อมกับเขย่าตัวให้ตุ่นรู้สึกตัว
   “ไม่อาบ หาผ้ามาเช็ดหน้า เช็ดตัวให้หน่อยสิ” ตุ่นสั่ง
   “ว่าไงนะ สั่งกันเลยนะ” เราบ่นในขณะที่ลุกเดินไปหาผ้าและกะละมังใส่น้ำเย็น ๆ มาวางลงตรงด้านหน้าโซฟาที่ตุ่นนอนอยู่ แล้วเริ่มต้นเอาผ้าที่เปียกน้ำหมาด ๆ เช็ดใบหน้าของตุ่นอย่างทะนุถนอม โดยไม่ลืมที่จะถอดแว่นตาของเขาออกก่อน เราเช็ดหน้าตลอดไปจนถึงลำคอของตุ่น ด้วยสภาพจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วในตอนนั้น เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่น มือสั่น ใจสั่น เราอยากที่จะโผเข้าไปกอดคนที่นอนอยู่ตรงหน้าเสียยิ่งนัก แต่เราไม่สามารถที่จะทำได้ จึงได้แต่หักห้ามใจและเช็ดตัวให้เขาต่อไป โดยปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของเขาออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวของเขา เห็นทั่วทั้งแผงอกและเห็นแม้กระทั้งจุดเด่นเล็ก ๆ สองจุดบนแผงอกนั้น ตุ่นพลิกตัวจากที่นอนตะแคงให้เปลี่ยนเป็นนอนหงายขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการเช็ดตัวของเรา เราเช็ดจากลำคอเรื่อยไปตามแขนของเขาและเช็ดต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนถึงขอบกางเกงของตุ่น ไรขนรอบบริเวณสะดือของตุ่นทำให้เส้นขนบนแขนของเราถึงกับตั้งชัน เราวนเวียนเช็ดอยู่บริเวณนั้นอย่างไร้จุดสิ้นสุด จนตุ่นเอามือมาจับมือของเราให้หยุด เราถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองเช็ดวนบริเวณรอบสะดือของตุ่นอยู่นานมากแล้ว เราเข้าใจว่าตุ่นอาจจะรู้สึกรำคาญจึงจับมือให้เราหยุดเช็ด เรายิ่งตะลึงและงงกับการกระทำของตุ่นยิ่งนัก คำถามต่าง ๆ มากมายที่เราเคยถามตัวเอง คำถามที่เราอยากได้คำตอบ หวนกลับเข้ามาในห้วงคำนึงของเราอีกครั้ง
   “เขาคิดอะไรกับเรากันแน่”
   “ทำไมเขาทำแบบนี้”
ก่อนที่เราจะคิดอะไรไปมากมาย เสียงของตุ่นดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของเราให้หยุดลง
   “คืนนี้เก่งนอนที่นี่นะ” ตุ่นพูดเสียงเบา ๆ
   “จะให้เรานอนตรงไหนละ ไม่มีที่ว่างแล้ว” เราตอบตุ่นกลับไปทั้ง ๆ ที่มือยังคงถูกตุ่นจับเอาไว้
   “ก็ขึ้นมานอนกับตุ่นบนนี้แหละ” ว่าแล้วตุ่นดึงมือของเราที่จับไว้แล้วให้เข้าไปหาตัวเองมากขึ้นพร้อมกับลากเอาตัวเราขึ้นไปนอนข้าง ๆ เขา แล้วเขาก็นอนหลับตาของเขาต่อไปอยู่ข้าง ๆ เรา การนอนด้วยกันในคราวนี้ทำให้การสัมผัสที่เกิดขึ้นนั้นแนบแน่นกว่าตอนที่ตุ่นสอนให้เราเล่นกีตาร์มากนัก
   “ตุ่น” เราพูดขึ้นมาสั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่มีอะไรต่อมิอะไรมากมายในความคิดที่จะพูดที่จะถามออกมา แต่สัมผัสอันอบอุ่นที่ได้จากคนที่ตัวเองรัก ทำให้ทุกคำถามจบลงได้
   เช้าวันถัดมา เราไม่รู้ว่าใครจะตื่นลงมาเห็นการนอนของเราและตุ่นบ้าง แต่ดูจากสภาพของประตูบ้านบอกให้รู้ว่ามีคนออกไปจากบ้านแล้ว เราจึงรีบลุกขึ้นเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ไปทำความสะอาด ตุ่นตื่นขึ้นมาในตอนนั้นแล้วเดินไปหาเราที่กำลังนั่งล้างจานอยู่ พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างของเขาจับลงบนไหล่สองข้างของเราและบีบเบา ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เราเองได้แต่หันไปส่งยิ้มให้กับคนที่ตนเองมอบความรักให้ไปหมดหัวใจ โดยไม่ต้องการคำตอบใด ๆ ให้กับคำถามในใจของตนอีกต่อไป
   หลังจากวันนั้นทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เรายังคงอยู่ใกล้ ๆ กับตุ่น และตุ่นมักจะพกพาเราไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ถึงแม้เขาจะไปร่วมตั้งวงเหล้ากับเพื่อนของเขาที่บ้านเพื่อนคนอื่น ๆ เขาก็จะนั่งรอให้เรากลับจากเรียนและรอรับไปด้วยกัน ตอนนั้นเราแทบจะไม่ได้เจอกับเพื่อนร่วมบ้านเดียวกันเลย ในทุกเวลาว่างของเราจะมีเพียงตุ่นเท่านั้น
   เมื่อไปเมานอกสถานที่กันมาตุ่นจะทำหน้าที่ขับรถมอเตอร์ไซค์โดยที่มีเราเป็นคนนั่งเอามือจับที่สะเอวของตุ่นเสมอ แต่ถ้าครั้งไหนที่เราเมาหน่อยเราก็จะเอามือกอดรอบสะเอวของตุ่น เพราะนอกจากจะทำให้ปลอดภัยแล้วนั้นเรายังได้รับสัมผัสที่อบอุ่นอันแสนที่จะมีค่าต่อชีวิตของเราอย่างใหญ่หลวงนัก บางครั้งเราถึงกับซบใบหน้าลงไปบนแผ่นหลังของตุ่น เพราะยามที่ได้ทำแบบนั้นเราจะรู้สึกถึงความปลอดภัย ความอบอุ่น ตุ่นเองไม่เคยที่จะปฏิเสธการโอบกอดหรือการซบใบหน้าของเราบนแผ่นหลังของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะมีเพียงคำพูดหยอกล้อเท่านั้นที่ยิ่งเพิ่มความสุขให้กับเรา
   “เมาแล้วเหรอ พาหัวตัวเองไม่ไหวแล้วสินะ” ตุ่นแซวยามที่เราซบลงไปบนแผ่นหลังของเขา
   “อือ” คำตอบสั้น ๆ ที่เราตอบไปได้ พร้อมกับการกอดรัดตุ่นให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ตุ่นเองก็ตอบรับด้วยการขับรถมอเตอร์ไซค์ของเขาโดยใช้มือเพียงข้างเดียว อีกมือมากุมเอาไว้ที่มือของเรา ยามนั้นถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะมืดมิดสักเพียงใดก็ตาม แต่ในหัวใจของเรานั้นกลับสุกสว่างไปด้วยแสงแห่งรักที่มอบให้กับชายที่ตัวเองกำลังโอบกอดอยู่อย่างเปี่ยมสุข
เส้นทางกลับบ้านทำไมมันถึงเร็วไปทุกครั้งยามที่เรากำลังมีความสุข เมื่อตุ่นจอดรถที่หน้าบ้านเราและบอกว่า
   “ไปนอนได้แล้วไป อย่าลืมอาบน้ำละ”
   “สั่งแต่คนอื่น ตัวเองไม่รู้ว่าจะอาบหรือไม่อาบ” เราย้อนกลับไป
   “ยังจะเถียงอีก หรือจะให้จับอาบน้ำ เอาไหม” ตุ่นพูดพร้อมกับมีทีท่าจะจับเรามัด
   “ไม่เอา ไม่เอา เราอาบเองได้” เรารีบหนีจากการจับตัวของตุ่น
   “เข้าบ้านไปได้แล้ว” ตุ่นพูดทิ้งท้าย
แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปนอน ไม่เคยมีอะไรที่เกินเลยไปกว่านั้นตลอดระยะเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ค่อยๆ ผูกพันกันไป หวังว่าคงไม่มีอะไรมาทำให้ช็อคกลางอากาศนะ

ส่วนเรื่องกฎ ลองดูจากกระทู้ของคนแต่งคนอื่นๆ นะคะ จะมีแปะกฎของเล้่าฯ ไว้ที่กระทู้อันที่ 1  ไป copy มาแปะไว้เลยก็ได้ค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






duckhero

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


InKMoNsTeR

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ยังไม่จบง่ะ...เดี๋ยวค่อยอ่านนะครับ แหะๆ

TaMa

  • บุคคลทั่วไป
ติดตามตอนต่อไปอยู่นะงับ  o13

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
ไม่อยากคิดเลยว่าเรียนจบแล้วรักก้อต้องจบด้วย ไม่อยากคิดเลย
เป็นกำลังใจให้กับความรักของเก่งกับตัวตุ่นน่ะ มันคงไม่ใช่อย่างที่เราคิดน่ะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
วันนี้มามั้ยเอ่ย  :m13:

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
   ทุก ๆ สัปดาห์สุดท้ายของเดือนทางสถาบันจะจัดกิจกรรมรื่นเริงให้กับนักศึกษา โดยการมีงานเลี้ยงสังสรรค์ เลี้ยงอาหาร เครื่องดื่มต่าง ๆ ที่ปราศจากแอลกอฮอล์ จุดเด่นของงานคือจะมีการรับวงดนตรีทั้งแบบที่พอมีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียงก็ตามแต่ หากเดือนไหนมีวันสำคัญ ๆ มาก งานสังสรรค์จึงมีมากตามไปด้วย อาจจะมีมากกว่าเดือนละครั้ง
   เราเองจะเป็นคนที่ไม่ยอมพลาดกิจกรรมสังสรรค์นี้ตั้งแต่ตอนที่พักอยู่ในหอพักของสถาบันแล้ว แต่เมื่อย้ายที่พักไปอยู่ไกลจากสถาบัน จึงทำให้เกิดปัญหาในการเดินทางกลับเมื่องานสังสรรค์เสร็จสิ้นลง แต่ด้วยความที่เราชอบงานสังสรรค์ รักในการเต้นรำ เราจึงหาหนทางที่จะไปจนได้ โดยคิดไว้ว่าจะนอนค้างที่หอพักของเพื่อนนักศึกษาในห้องเดียวกัน โดยก่อนไปไม่ลืมที่จะแวะเวียนไปถามคนสำคัญ
   “ตุ่นจะไปงานเลี้ยงคืนนี้ไหม” เราถามด้วยความหวังว่าตุ่นจะไปด้วย ซึ่งหากตุ่นไปด้วย เราจะได้มีโอกาสเดินทางกลับพร้อมกับตุ่น
   “ไม่ไป ไม่ชอบที่ที่คนเยอะ ๆ นั่งดื่มเหล้าที่บ้านดีกว่า” ตุ่นตอบปฏิเสธพร้อมด้วยเหตุผลยาวยืด
   “เก่งไปเหรอ” ตุ่นถามกลับมาบ้าง
   “แน่นอน พลาดได้ไงกันละ” เราตอบไปด้วยอาการกระตือรือร้นเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเราเองอยากไปมากน้อยแค่ไหน
   “อย่าไปเลยนะ มานั่งดื่มด้วยกันดีกว่า” ตุ่นพูดในขณะที่ยังนั่งถือแก้วเหล้าเอาไว้
   “ไหนงานจะเลิกดึกอีกนะ แล้วจะกลับยังไง” ตุ่นถามพร้อมกับเดินมาลากมือเราที่ยังคงยืนอยู่หน้าบ้านให้ไปนั่งลงข้าง ๆ เขาบนโซฟา
   “เก่งนอนหอเพื่อนได้” เราตอบ
   “ไม่ต้องนอน” ตุ่นพูดสวนกลับมาทันควัน
   “อ้าว แล้วตุ่นจะให้เก่งกลับยังไงละ” เราถามกลับไป
   “งานเลิกแล้วตุ่นจะไปรับเอง” ตุ่นตอบ
   เมื่อได้ยินคำตอบจากตุ่นเราถึงกับตื้นตันใจ เราหันไปมองหน้าของคนดีที่แสนอบอุ่นเสมอของเราด้วยอยากจะห้ามปราม แต่เมื่อหันไปก็พบกับสายตาที่ดูจริงจังของตุ่นจ้องมองใบหน้าของเราอยู่ก่อนแล้ว
   “ไปรับกลับเอง รอนะ เข้าใจไหม” ตุ่นพูดย้ำกลับมาก่อนที่เราจะทันพูดบอกปัดออกไป
   “อย่าเมาหลับซะก่อนละ” เราพูดพร้อมกับเอามือไปตบไหล่ของตุ่นเบา ๆ
   “โอย พวกมึงช่วยห่าง ๆ กันหน่อยได้ไหม ไอ้ตุ่นมึงมาดื่มเหล้าต่อเลยมา ไอ้เก่งมันจะได้ไปซะที มืดค่ำแล้วนะ” สมคิดพูดขัดจังหวะขึ้นมาเมื่อเห็นเราและตุ่นพูดกันไม่จบเสียที
   “พวกมึงไม่พากันขึ้นห้องไปซะเลยละ ไอ้ตุ่น” สมเกียรติแซวขึ้นมาบ้าง
   “ไอ้นี่ เดี๋ยวกูเตะปากแตก” ตุ่นต่อว่าเพื่อน พร้อมกับเดินออกไปส่งเราขึ้นรถสองแถว
   “ไปรับเก่งแน่นะ” เรายังคงถามย้ำไปกับตุ่นก่อนที่ก้าวขึ้นรถสองแถว
   “สัญญา” ตุ่นพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้เป็นการบอกยืนยันคำสัญญา
เราแวะที่หอพักของชัยก่อนเพื่อรวมกลุ่มกับเพื่อนนักศึกษาห้องเดียวกัน ก่อนยกขบวนกันเข้าสู่หอประชุมสถานที่ที่จัดงานสังสรรค์
   “เฮ้ย แฟนไม่มาส่งเหรอ” ชัยถามเมื่อเห็นเราเดินเข้าไปในหอพัก
   “แฟนไหนกันละ เขาบอกว่าเขาไม่มา จะดื่มเหล้าอยู่บ้าน” เราตอบกลับเพื่อนไปด้วยไม่ได้คิดอะไรในคำตอบ
   “แล้วมาถามว่าแฟนไหนกัน แล้วตอบมาได้ไงว่าเขาไม่มา” น้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชัยแหย่เราเข้าบ้าง
   “แล้วคืนนี้นอนห้องผมรึเปล่า” ชัยถามด้วยเป็นห่วงเพื่อนอย่างเรา
   “ไม่ละ เดี๋ยวงานเลิกแล้วตุ่นจะมารับ” เราตอบ พอสิ้นเสียงตอบเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับส่งเสียงโห่กันเล็กน้อย
   “ไม่ใช่แฟน แต่ถึงกับมารับกลับกันเนี่ยนะ” หญิงแซวขึ้นมาบ้าง
เราหมดคำพูดจะแย้งเพื่อนไป เพราะอีกใจไม่อยากที่จะแย้งเพื่อนเหมือนกัน ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าสิ่งที่เพื่อน ๆ ล้อนั้น คือสิ่งที่เราใฝ่ฝันถึงมาตลอด
   “ไปกันดีกว่า เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง” น้อยพูดเพื่อเตือนเพื่อน ๆ
   “เราไม่นั่งอยู่แล้วละน้อย เราจะเต้นมันทั้งคืนไปเลย” เราพูดไปตามความคิด
   ในห้องประชุมใหญ่ของสถาบันที่ถูกตัดแปลงเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง โต๊ะถูกจัดไว้บริเวณรอบ ๆ ติดผนังห้องประชุม อาหารและเครื่องดื่มนั้นถูกจัดวางไว้ด้านนอกใครจะนั่งทานด้านนอกหรือนำเข้ามาทานในหอประชุมก็ตามแต่ใครจะสะดวก บนเวทีนั้นมีวงดนตรีที่เริ่มบรรเลงไปแล้วอย่างครึกครื้น พื้นที่ส่วนกลางของห้องประชุมที่จัดไว้เป็นที่โล่งบางส่วนถูกจับจองด้วยขาเต้นไปบ้างแล้ว จากสภาพภายในห้องประชุม หลาย ๆ คนเริ่มแสดงอาการเมามายกันบ้างแล้วเช่นกัน
   “ไหนบอกว่าไม่เลี้ยงเหล้า แล้วไหงเมากันหมดแล้ว” ปอยเริ่มต้นบ่น เพราะมีหนุ่ม ๆ หลายคนเริ่มมาวอแวกับเธอ เพื่อแย่งกันป้อนคำหวานต่าง ๆ นานา
   “ชัยเราออกไปเต้นกันเถอะ วิสูตรไปไหม” เราเอ่ยชวนเพื่อน ๆ เราวาดลวดลายอยู่ท่ามกลางผู้คนอื่น ๆ ที่ต่างก็งัดเอาลีลาท่าเต้นต่าง ๆ ของตนเออกมาโชว์กัน เมื่อเหนื่อยก็กลับไปนั่งพักกับกลุ่มเพื่อน ๆ หายเหนื่อยแล้วกลับไปเต้นต่อ จนเวลาใกล้จะถึงเที่ยงคืน เราจึงเริ่มที่จะเต้นไปด้วยพร้อมกับหันมองไปนอกหน้าต่างห้องประชุมไปด้วยอยู่บ่อยครั้ง เพื่อมองดูว่าคนพิเศษของตัวเองมาแล้วหรือยัง แต่มองยังไงยังคงไม่เห็นวี่แววของเขาเลย
   “ชัย ถ้าตุ่นไม่มารับเรานอนด้วยนะ” เราตะโกนพูดกับชัยแข่งกับเสียงเพลงบนเวที
   “ได้สิ” ชัยตอบพร้อมกับวาดลวดลายต่อไป
   เรายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่บ่อย ๆ หวังเพื่อที่จะได้เห็นใครคนนั้นทำตามคำพูดที่เขาได้บอกไว้ และแล้วเขาก็มารับเราจริง ๆ เราหันไปเห็นเขานั่งดื่มอยู่ด้านนอกหอประชุม เมื่อเห็นดังนั้นเราจึงรีบวิ่งออกไปจากหอประชุมตรงไปหาคนสำคัญทันที
   “ตุ่น มานานแล้วยัง” เรารีบถามเมื่อไปถึงตัวของตุ่น
   “เพิ่งมาถึง” ตุ่นตอบพร้อมกับยกแก้วเหล้าในมือป้อนให้เราดื่มเหล้า เราเองที่เริ่มจะเมาแล้วเหมือนกันจึงไม่มีความอายบนใบหน้าเท่าไหร่นัก จึงยืนให้ตุ่นป้อนเหล้าเข้าปากท่ามกลางสายตาของใครต่อใคร
   “จะกลับเลยไหม” เราถามตุ่นเมื่อแก้วเหล้าถูกยกออกไปจากปากของเรา
   “งานยังไม่เลิกนี่ เข้าไปต่อเถอะ ตุ่นจะรออยู่นี่นะ” ตุ่นตอบ
   “โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ” เราพูดเสร็จก็รีบวิ่งเข้าสู่ภายในห้องประชุมอีกครั้ง จนถึงเวลางานเลิกเราและเพื่อน ๆ ทยอยกันออกมาจากห้องประชุม
   “ตกลงจะนอนที่หอไหม” ชัยเอ่ยถามเราขณะที่เบียดเสียดผู้คนกันตรงประตูทางออก
   “ไม่ละ ตุ่นมารออยู่แล้ว ขอบใจชัยนะ” เราตอบไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมบนใบหน้า
   “มีความสุขซะเหลือเกินนะเพื่อนเรา” ชัยแหย่เข้าให้
   “เก่ง แฟนมารับแล้ว” น้อยเป็นคนตะโกนแข่งกับเสียงดังของคนอื่น ๆ
   “จ้า รู้แล้ว” เราตอบกลับไป
   “เรากลับก่อนนะทุกคน” เราเอ่ยลาเพื่อนก่อนที่จะเดินตามหลังตุ่นไปยังจุดที่เขาจอดรถมอเตอร์ไซค์
   “เมาแล้วยัง ท่าทางคงจะเมาแล้วสินะเนี่ย” ตุ่นพูดพร้อมกับเอามือมาขยี้ผมของเรา
   “ผมเหม็นควันบุหรี่จะตาย จะไปเล่นมันทำไม” เรายังคงเอ่ยปากปกป้องตัวเอง
   ตุ่นขับรถออกไปช้า ๆ ไม่รู้ว่ากลัวว่าเราที่กำลังเมาจะตกรถไปซะก่อนที่จะถึงบ้านหรือว่าเพราะไม่อยากให้ถึงบ้านเร็ว ๆ แบบเดียวกับที่เราคิดรึเปล่า เพราะในตอนนั้นเราอยากให้เส้นทางกลับบ้านเป็นเส้นทางที่ยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อลมหนาวยามค่ำคืนพัดเข้ามาประกอบกับเราที่เมาอยู่ไม่น้อย เราจึงรีบโอบรอบสะเอวตุ่นพร้อมซบใบหน้าลงไปบนแผ่นหลังของตุ่น เพื่อเรียกหาความอบอุ่นจากคนพิเศษมาลบเลือนความหนาวของสายลม
   “เมาทีไรพาหัวไม่รอดทุกทีเลยนะ” ตุ่นแซวพร้อมกับเอามือมาเกาะกุมมือของเราเอาไว้เพื่อแบ่งปันความอบอุ่นจากร่างกายของเขาให้ไหลผ่านฝ่ามือมาสู่เรา เราซึมซับเอาความอบอุ่นที่ได้รับไปทุกอณูของร่างกาย โดยเฉพาะในหัวใจตอนนี้มันพองโต ตื้นตัน แทบจะจะล้นออกมานอกหน้าอก
ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นานอย่างที่ใคร ๆ ว่าไว้จริง ๆ เมื่อตุ่นเอ่ยขึ้นมาว่า
   “ถึงแล้วละ ลงไปนอนได้แล้ว”
   “ถึงแล้วเหรอ” เรายังคงไม่ยอมลงจากรถ ยังคงต้องการที่จะซึมซับเอาความอบอุ่นจากร่างกายของตุ่นให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
   “อย่าดื้อสิ ลงไปนอนได้แล้ว” ตุ่นกำชับด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเก่า
   “ก็ได้” เราปล่อยมือจากการโอบกอดคนพิเศษแล้วตั้งหน้าจะเดินเข้าบ้าน แต่ข้อมือของเราโดนตุ่นรั้งเอาไว้ ทำให้เราต้องหยุดและหันกลับมามอง
   “ลืมอะไรรึเปล่า” ตุ่นถาม
   “อือ ขอบคุณครับที่ไปรับ” เราพูดพร้อมกับยิ้มหวานส่งไปให้
   “ฝันดีนะ” ตุ่นพูดพร้อมกับเอามือของเขามาขยี้ผมและดึงเอาเราเข้าไปกอด โดยตุ่นกอดคอเราเหมือนเพื่อนกอดคอกัน แต่เราเองไม่สามารถที่จะให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าการที่ตุ่นทำเช่นนั้นมีความหมายว่ายังไง ทำกับเพื่อน ทำกับน้องหรือทำด้วยความรู้สึกอะไรกันแน่
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นผ่านพ้นไป เราและตุ่นยังคงเป็นคู่หูกันอยู่เหมือนเดิม นั่งร้องเพลง เล่นกีตาร์ด้วยกัน อีกคนซักผ้า อีกคนคอยนั่งเล่นฟองผงซักฟอก แต่สิ่งที่ต่างไปจากเดิม เรารู้สึกได้ว่าตุ่นเหมือนพยายามปิดกั้นตัวเอง โดยเฉพาะการสัมผัสตัวของเรา เราไม่โดนตุ่นเอาสองมือที่แข็งแกร่งมาคอยบีบบนไหล่ เราไม่โดนตุ่นเอามือขยี้ผม และเราไม่โดนตุ่นแหย่เราเหมือนเมื่อก่อน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในหัวใจของเราได้เป็นอย่างดี และถ้ามองดูสีหน้าของตุ่น เขาเองก็เหมือนมีอะไรให้คิดอยู่ตลอด เราเองยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้ว ที่ตุ่นได้กอดลาเราก่อนเราจะก้าวเข้าบ้าน ทุกอย่างน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่มันกลับกลายเป็นว่าทั้งเราและตุ่นต่างมีทุกข์เข้ามาปะปน
   “คืนนี้จะไปรับเก่งอีกไหม” เราเอ่ยถามตุ่นขึ้นเมื่อมีงานสังสรรค์ขึ้นอีกครั้งที่สถาบัน
   “จะไปรอที่เดิม” ตุ่นตอบสั้น ๆ
   “ครับ ไปละ” เราตอบรับพร้อมกับเดินออกไปขึ้นรถสองแถวที่ปากซอย โดยคราวนี้ไม่มีคนดีของหัวใจเดินไปส่งขึ้นรถสองแถว เมื่อไปถึงงานเราและเพื่อน ๆ ยังคงสนุกสนานกันเช่นเคย วาดลวดลายเท้าไฟกันเต็มที่จนใกล้เวลาเลิกงานเราหันไปเห็นตุ่นกำลังยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ตรงริมหน้าต่าง เห็นดังนั้นเราจึงรีบออกไปหาเจ้าชายของเรา
   “มานานแล้วยัง” เรารีบถามเจ้าชายผู้แสนดีมีน้ำใจ
   “สักพักแล้วละ จะกลับแล้วยัง” ตุ่นถาม
   “งานยังไม่เลิกเลย อยู่ต่ออีกหน่อยนะ” เราออดอ้อน
   “จะกลับแล้ว ถ้าเก่งจะอยู่ต่อ คืนนี้เก่งนอนหอเพื่อนแล้วกัน” ตุ่นพูดออกมาพร้อมกับหันกลับ ปล่อยให้เรายืนงงอยู่คนเดียวว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายผู้แสนดี ทำไมคืนนี้ไม่รอ
   “งั้นพรุ่งนี้เราไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อนนะ” เราวิ่งตามไปจนทันตุ่นและบอกให้เขารับรู้แผนการในวันต่อไป
   “ไปน้ำตก ว่ายน้ำไม่เป็นไม่ใช่เหรอ ระวัง ๆ ละ” ตุ่นพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย แล้วจึงจากไป
   “เป็นอะไรของเค้านะ แต่ก็ยังดีที่ยังห่วงอยู่” เราเดินบ่นกับตัวเองกลับเข้าไปสนุกต่อกับเพื่อน ๆ แต่ถึงแม้เพลงจะสนุกขนาดไหน เราก็ไม่สามารถสนุกได้เต็มที่อีกต่อไปแล้ว ในใจยังคงคิดเพียงว่าคนดีของตัวเองเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงไม่รอเหมือนครั้งก่อน ๆ
   บ่ายของวันถัดมา หลังจากทุกคนอาหารเช้าและเที่ยงที่รวมเป็นมื้อเดียวกันตกถึงท้องแล้วนั้นจึงพากันเดินทางไปยังน้ำตกเป้าหมายของความสนุกเป้าหมายต่อไป แต่สำหรับเราการไปน้ำตกนั้นไม่สนุกสักเท่าไหร่ เพราะสาเหตุแรกคือเราไม่เคยได้ลงไปเล่นน้ำนอกจากนั่งแช่เท้าในน้ำหรือนั่งแช่น้ำในบริเวณที่น้ำตื้น เพราะเราว่ายน้ำไม่เป็น ประการที่สองที่น้ำตกมักจะมีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกกันว่า “กง” ซึ่งกงนี้เปรียบได้เหมือนปู่ของคางคก ผิวหนังของมันจะเหมือนคางคก ขนาดตัวของมันจะใหญ่กว่าคางคกหลายเท่าตัว ตาสองข้างแดงก่ำ มักจะชอบอยู่ตามซอกหินแถวน้ำตก ขนาดคางคกเรายังกลัวกว่างู แล้วถ้าเจอกับกง เราคงช็อคตายเป็นแน่ แต่การตัดสินใจไปน้ำตกในครั้งนี้เราชั่งใจดูแล้วว่า เป็นเพราะเราน้อยใจที่ตุ่นไม่ยอมรอรับเรากลับไปด้วยเมื่อคืนที่ผ่านมา เราจึงตกลงไปกับเพื่อน ๆ ทั้งที่ได้เคยบอกปฏิเสธไปแล้วก่อนหน้านั้น
   เมื่อทีมของเราเข้าใกล้น้ำตกเข้าไปทุกทีก็เริ่มได้ยินเสียงดัง สรวลเสเฮฮา มาจากน้ำตก แน่นอนว่าวันหยุดแบบนี้ ใคร ๆ ก็อยากมาพักผ่อน แต่เมื่อเข้าใกล้ในระยะที่มองเห็นต้นเหตุแห่งเสียงดังกล่าว น้อยจึงตะโกนขึ้นมาว่า
   “เฮ้ย เก่งนัดแฟนมันไว้ละ นั่นไง”
   “ไหนกัน” เราถามพร้อมกับรีบสอดส่ายสายตาหาคนพิเศษ ตุ่นนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ โดยร่วมกันดื่มเหล้าข้างน้ำตก บางคนลงไปเล่นน้ำบ้างแล้ว บางคนยังคงตัวแห้งอยู่รวมทั้งตุ่นด้วย บรรดาเพื่อน ๆ ของเราเมื่อไปถึงก็รีบรุดลงไปว่ายน้ำกันจะเหลือก็เพียงแต่เราที่ได้แต่นั่งแช่เท้าอยู่ในน้ำมองดูเพื่อนสลับกับการแอบมองดูกลุ่มของตุ่น เรายังไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปทักทายคนพิเศษและกลุ่มเพื่อนประมง เพราะยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมตุ่นถึงไม่รอเราเมื่อคืนที่ผ่านมา จึงได้แต่นั่งก้มหน้ามองเท้าของตัวเองที่แช่อยู่ในน้ำใสเย็นที่ไหลมาจากน้ำตก คิดอะไรไปต่าง ๆ นานา แต่สุดท้ายความคิดก็จะวกกลับไปที่เดิมว่า ทำไมตุ่นถึงไม่ยอมรอรับกลับด้วย ทำไมตุ่นถึงทำตัวออกห่าง จนต้องหยุดความคิดลงเมื่อมีเสียงทักขึ้นมา
   “ลงไปว่ายน้ำไหม” เสียงตุ่นดังขึ้นข้าง ๆ เราจึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเจ้าของเสียงยืนส่งยิ้มแสนอบอุ่นมาให้ แต่สีหน้ายังคงดูกังวล ในมือยังคงถือแก้วเหล้าเอาไว้
   “ลงไปได้ไงกันละ ตุ่นก็รู้ว่าเราว่ายน้ำไม่เป็น” เราตอบกลับไป
   “เดี๋ยวขี่หลังตุ่นไง” ตุ่นพูดพร้อมกับวางแก้วเหล้าลงแล้วเปลี่ยนเป็นจับข้อมือเรา เดินจูงมือเราลงไปในน้ำที่เริ่มจะลึกขึ้นเรื่อย ๆ
   “ตุ่น ไม่เอาดีกว่า เรากลัว” เราพูดปฏิเสธตุ่นไปอีกเพราะทั้งกลัวและอายเพื่อน ๆ เนื่องจากเริ่มมีเสียงโห่แซวมาเบา ๆ บ้างแล้ว
   “เก่งไม่เชื่อใจตุ่นเหรอ” ตุ่นถามกลับมาถามพร้อมกับจ้องมองหน้าของเรา
   “เชื่อสิ” เราตอบกลับคนดีของตัวเองไป
   “งั้นจับตุ่นไว้แน่น ๆ นะ” ตุ่นพูดพร้อมกับเอามือสองข้างของเราไปวางไว้บนไหล่ของตน
   “ไปละนะ” ว่าแล้วตุ่นก็เริ่มพาเราล่องไปในน้ำตก ด้วยความที่เรากลัวมือจะหลุดจึงเปลี่ยนจากการเกาะไหล่เป็นการกอดที่คอของตุ่นแทน
   “เก่ง เก่งกอดแบบนี้เดี๋ยวได้จมทั้งคู่หรอก จับแบบเมื่อกี๊นะดีแล้ว ไม่ต้องกลัว” ตุ่นพยายามเค้นเสียงพูดออกมา เพราะมือเรากำลังไปรัดคอของเขาไว้แน่น ตุ่นพาเราล่องน้ำเล่นอีกสักพักจึงพาเรากลับมาส่งที่เดิมแล้วหยิบแก้วเหล้ากลับไปหาเพื่อน ๆ ของตน โดยที่ยังไม่ยอมพูดเคลียร์เรื่องเมื่อคืนนี้ให้เราได้สบายใจ แต่เราก็ดีใจขึ้นอีกหน่อย เพราะอย่างน้อยความใกล้ชิดเริ่มกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
   ถึงแม้เราจะยังคงคลางแคลงใจกับการกระทำของคนที่เรารัก แต่การเที่ยวน้ำตกของเราในครั้งนี้เป็นครั้งที่วิเศษที่สุด ถึงแม้ว่าน้ำตกแห่งนี้จะดูร่มรื่น สวยงามอยู่ด้วยธรรมชาติของตัวเองแล้ว แต่การที่เราได้เกาะไหล่ตุ่นลงไปล่องในน้ำตก มันทำให้น้ำตกแห่งนี้กลายเป็นแดนสวรรค์สำหรับเราไปเลยทีเดียว ภาพใบไม้ที่หลุดร่วงจากต้นลงมาสู่ผิวน้ำ เรายังมองเป็นภาพที่สวยงามที่สุดเลยในตอนนั้น จนถึงเวลาที่หนุ่ม ๆ ประมงจะเดินทางกลับ ตุ่นจึงเดินมาหาเราอีกครั้ง
   “กลับบ้านได้แล้ว” ตุ่นเอ่ยปากชวน
   “เก่งจะกลับพร้อมเพื่อน” เราตอบไปเพราะเห็นว่ามาพร้อมเพื่อนก็ควรจะกลับพร้อมเพื่อน
   “กลับกับเพื่อนเดี๋ยวก็ต้องนั่งสองแถวกลับบ้านอีก กลับพร้อมกันนี่แหละ ไหนตัวก็เปียก จะนั่งรถไปได้ยังไงกัน” ว่าแล้วตุ่นก็คว้าข้อมือของเราฉุดให้ลุกขึ้นเดินตามเขาไป สิ่งที่เราทำได้ในตอนนั้นคือการตะโกนบอกเพื่อน ๆ ว่าต้องกลับบ้านก่อนแล้ว
   ตุ่นขับรถพาเรากลับจากน้ำตกมาเรื่อย ๆ สายลมที่พัดมาโดนตัวเราทำให้เรารู้สึกหนาวขึ้นมา แต่คราวนี้เราไม่ได้เมา คราวนี้เรารู้สึกว่าตุ่นเองจะห่าง ๆ กับเรา เราจึงไม่กล้าที่จะโอบรอบสะเอวของอุ่นเหมือนก่อน ตุ่นขับรถไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ จนถึงโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้าน ตุ่นจึงเลี้ยวรถเข้าไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ริมสนามฟุตบอล ที่ตอนนั้นไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ไร้ซึ่งผู้คน
สิ่งแวดล้อมโดยรอบในตอนนั้น นอกจากสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ที่มีลู่วิ่งที่ล้อมรอบอยู่ ข้างขอบสนามยังมีต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ หลายต้นที่คอยให้ความร่มรื่น สลับกันไปกับแปลงดอกไม้หลากหลายชนิด แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนนี้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ดีจนน่าชื่นชม
   “ไหนว่าจะกลับบ้านไงละ แล้วมาแวะที่นี่ทำไม” เราเอ่ยถามตุ่น
   ไม่มีเสียงตอบใด ๆ ออกมาจากปากตุ่น แต่ตุ่นกลับ นั่งบนรถมอเตอร์ไซค์และมองออกไปยังสนามฟุตบอลที่อยู่เบื้อหน้า พร้อมทั้งเอามือตบเบาะรถมอเตอร์ไซค์เป็นการบอกให้เราไปนั่งข้าง ๆ เรานั่งตัวสั่นไปด้วยความหนาวเพราะเสื้อผ้ายังคงเปียกอยู่ แต่เมื่อลอบมองตุ่นจะเห็นว่าตุ่นไม่ได้สั่นได้แต่เพียงนั่งเอานิ้วมือของตัวเองเคาะลงบนหน้าขาของตัวเอง เราได้แต่เพียงลอบมองตุ่นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
   บรรยากาศในตอนนั้นช่างเงียบสงบ สงบจนเราว่าเราได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านเราและตุ่น เราไม่รู้ว่าตุ่นจะได้ยินเสียงหัวใจของเราที่เต้นดังทะลุออกมานอกทรวงอกรึเปล่า แต่เราเองได้ยินมันดังชัดเจนมาก เราพยายามเงี่ยหูฟังว่าจะมีเสียงหัวใจที่ตื่นเต้นของตุ่นดังอยู่ข้าง ๆ หรือไม่ แต่เรากลับไม่ได้ยินอะไรเลย ทั้งเราและตุ่นจึงต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ถ้าเราไม่ได้เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป ดูเหมือนตุ่นกำลังคิดอะไรอยู่ เรารู้สึกเหมือนกับตุ่นต้องการที่จะพูดอะไร แต่ก็ไม่ยอมพูด ส่วนเราถ้าจะให้พูดก็คงจะพูดได้อย่างเดียวคือสารภาพไปว่าตัวเองคิดอะไร คิดยังไงกับตุ่นคนที่นั่งข้าง ๆ อยู่ในตอนนั้น
   สภาพบรรยากาศรอบข้างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในสนามเริ่มมีคนรักสุขภาพเข้ามาวิ่งเพื่อออกกำลังกายกัน เสื้อผ้าของเราและตุ่นเริ่มแห้ง แต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรกันออกมาสักคน หลายคนที่วิ่งออกกำลังกายกันเริ่มหันมามองผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้ บ้างก็ยิ้ม บ้างก็มองด้วยสีหน้าที่ให้ความสนใจ บ้างก็มองเพียงเฉย ๆ ตุ่นเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นเอามือตบหัวเราเบา ๆ พร้อมกับพูดออกมาเป็นประโยคแรก
   “กลับบ้านกันเถอะ”
   “โอเค กลับก็กลับ” เราตอบพร้อมกับลุกขึ้นเดินตามหลังตุ่นไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตุ่น
   ในตอนนั้นถึงแม้เราจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตุ่น เกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา แต่การที่ได้มานั่งกันเงียบ ๆ อย่างนี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกดีไปได้อีกแบบ ถ้าจะคิดไปในทางที่ดีแล้ว มันเหมือนกับการที่เราสองคนได้เคลียร์ความรู้สึกกันและกัน แต่เคลียร์กันแบบเงียบ ๆ และถึงแม้จะเคลียร์กันแบบเงียบ ๆ ไปแล้ว เราเองยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือต่อไปจะเป็นอย่างไร เราก็ขอมีความสุขกับทุกวันนี้ของเราต่อไป โดยที่จะไม่เรียกร้องอะไรจากตุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว

duckhero

  • บุคคลทั่วไป

vvivy

  • บุคคลทั่วไป
 o13

เพิ่งตามอ่านค่ะ..ชอบๆ รอตอนต่อไปน๊า

duckhero

  • บุคคลทั่วไป

   วันเวลาล่วงเลยไปอย่างมีความสุข ชีวิตการเรียนเริ่มที่จะเข้มข้นขึ้น ยากขึ้น การเล่นกีฬาในตอนเย็นที่สถาบันของเราลดน้อยลง เพราะเราต้องกลับบ้านพร้อมกับตุ่น จะมีโอกาสได้เล่นบ้างเป็นบางวันที่ต้องรอตุ่นนาน ๆ วันไหนตุ่นต้องลงบ่อประมงเราจะคอยไปนั่งอยู่ริมปากบ่อเสมือนว่าเป็นกำลังใจให้กับตุ่น แต่ถ้าหากโดนแซวมากเข้า เราก็จะเลี่ยงไปเล่นเปตอง หรือวอลเล่ย์บอลเป็นการรอตุ่นแทน
   อีกหนึ่งกิจกรรมที่เราไว้ฆ่าเวลาเมื่อต้องรอตุ่นนาน ๆ ก็คือเดิมมุ่งตรงไปยังบ้านพักของอาจารย์หลังหนึ่งที่อยู่ในเขตของวิทยาลัย สาเหตุที่เราไปที่นั่นเพราะภรรยาของอาจารย์ได้ใช้พื้นที่ชั้นล่างของบ้านพัก จัดหาหนังสือการ์ตูน นิยาย มาให้นักศึกษาในวิทยาลัยได้เช่า เราเป็นอีกหนึ่งสมาชิกที่โผล่หน้าไปที่นั่นเมื่อไหร่ พี่เยาว์เจ้าของร้านมักจะรีบบอกเราเสมอว่า "ตอนนี้พี่ไม่มีหนังสือใหม่มาเลยนะเก่ง” พี่เยาว์มักจะรีบออกตัว แต่สำหรับเราแล้ว ไปทุกครั้งไม่ได้ตั้งใจไปหาหนังสือใหม่ทุกครั้งไป เพราะเท่าที่มีอยู่ในร้านเราก็ยังอ่านไม่หมด แค่เพียงเกือบจะหมดร้านก็แค่นั้นเอง
   การลำดับความสำคัญของการอ่านหนังสือของเรา อันดับหนึ่งจะเป็นหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นแนวสยองขวัญ สืบสวน สอบสวน ความรัก เมื่อไม่มีหนังสือญี่ปุ่นให้อ่านแล้ว เราก็จะเล็งไปที่หนังสือนิยาย ซึ่งแนวที่จะอ่านก็ไม่เปลี่ยนไปจากหนังสือญี่ปุ่นเหมือนกัน จะว่าไปแล้วเราก็อ่านไปไม่น้อย จนบางครั้งยืมติดมือไปหลาย ๆ เล่ม นอกจากพี่เยาว์จะลดราคาให้แล้ว บางเล่มก็ให้ยืมฟรีก็ยังมี
   “เก่ง กลับบ้านกัน” เสียงคุ้นเคยของตุ่นมาตะโกนเรียกที่หน้าร้าน ในขณะที่เราและพี่เยาว์คุยกันอย่างเมามันส์เรื่องหนังสือเล่มนั้น เล่มนี้
   “รู้ได้ไงว่าเก่งอยู่ที่นี่” เราถามออกไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตุ่นก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว
   “ก็สนามวอลเล่ย์บอล สนามเปตองไม่มี ก็มีที่นี่ที่เดียวละที่เก่งจะมา” ตุ่นตอบ
   “พี่เยาว์ครับ เก่งกลับแล้วนะครับ วันนี้เอาแค่สามเล่มนี่ก่อนละกันครับ แล้วอย่าลืมถ้าเรื่องที่สั่งไว้มาพี่เยาว์เก็บไว้ให้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับพี่” เราพูดพร้อมกับยกมือไหว้พี่เยาว์เจ้าของร้าน แล้วจึงเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่มีตุ่นสตาร์ทเครื่องรออยู่แล้ว
   วันเวลาผ่านวันผ่านคืนไปวันแล้ว วันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เรากับตุ่นยังคงมีปฏิกิริยาที่เหมือนเดิมต่อกัน ไม่มีอะไรก้าวหน้า แต่ในความพึงพอใจของเรา แค่นี้เราก็มีความสุขเพียงพอแล้ว เราไม่หวังที่จะให้ได้รู้ว่าตุ่นคิดยังไงกับเรา แค่เป็นเช่นทุกวันนี้ก็ดีเกินพอแล้ว
   ในเดือนธันวาคมของทุกปี จะมีวันที่เรารู้สึกเศร้ากับโชคชะตาชีวิตของตัวเราเองทุกครั้งที่มันมาถึง ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นวันที่เรามีความสุข สำหรับคนอื่น ๆ นั้น จะมีการฉลองกัน แต่สำหรับเรา มันก็แค่เป็นวันที่ตอกย้ำให้เรารู้ว่า เราก็มีวันนั้นกับใคร ๆ เขาเหมือนกัน นั่นคือ วันเกิดของเราเอง ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราไม่เคยมีโอกาสได้เลี้ยงฉลองวันเกิด ไม่เคยมีโอกาสได้เป่าเทียนบนเค้กวันเกิดของตัวเอง และไม่เคยได้แม้แต่ของขวัญสักชิ้นในวันเกิด เราได้แต่อิจฉาคนอื่น ๆ ที่มีโอกาสดีกว่าตัวเราเอง ในปีนี้ก็เช่นกัน เราเริ่มหงอยตั้งแต่เช้า จนกระทั่งเลิกเรียน  หลังจากลงรถสองแถวแล้ว เราเดินกลับเข้าบ้าน โดยไม่แวะที่บ้านตุ่น แล้วเราก็เก็บตัวอยู่ในห้องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพยายามข่มตาให้นอนหลับไปเร็ว ๆ เพื่อที่วันเกิดวันนี้จะได้ผ่านพ้นไปเสียที แต่แล้วเราก็ต้องตื่นขึ้นมาเมื่อตุ่นเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“เก่งเป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า รีบนอนจังเลย” ตุ่นพูดในขณะที่เดินเข้ามานั่งลงใกล้ ๆ กับที่ที่เรานอนอยู่เรารู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนวูบ ๆ ไม่ใช่เพราะพิษไข้ เพราะเราไม่ได้เป็นไข้ แต่เพราะตุ่นมานั่งอยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่เรานอนอยู่นั่นเอง ถึงแม้เราและตุ่นใกล้ชิดกันมากกว่านี้ในบางโอกาส แต่เราก็อดที่จะคิดอะไรต่อมิอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรสักเท่าไหร่ จนส่งผลให้เราถึงกับหน้าแดงและหน้าร้อนวูบ โชคดีที่ตุ่นไม่ได้เปิดไฟตอนเข้ามาในห้อง ตุ่นจึงไม่ได้เห็นใบหน้าของเราที่แดงระเรื่อเพราะความคิดของเราเอง ในขณะที่เราคิดอยู่นั้น มือของตุ่นก็ถูกเจ้าของมือนำมาวางลงบนหน้าผากของเรา
   “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา” ตุ่นพูดต่อ
   “ลุกขึ้น ไปดื่มเหล้ากันที่บ้านดีกว่า ตามมานะ” ว่าแล้วตุ่นจึงลุกขึ้นยืนเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง
   เรายังคงนอนต่อไม่ยอมลุกตามตุ่นออกไป เพราะคิดว่าไหน ๆ วันเกิดของตัวเราเองไม่เคยได้เลี้ยงฉลอง เราจะไปมีอารมณ์นั่งดื่มเหล้าได้อย่างไรกัน เราจึงนอนหลับไปอีกครั้งนานแค่ไหนไม่อาจจะทราบได้ จนมีเสียงเปิดประตูห้องอีกครั้ง ตุ่นเดินเข้ามาในสภาพที่เมามาย เดินโซซัดโซเซมานั่งลงที่เก่า
   “ทำไมเก่งถึงไม่ยอมไป เก่งเป็นอะไรทำไมไม่บอก” ตุ่นพูดพลางกับล้มตัวลงนอนข้าง ๆ เรา
   เรารู้สึกแปลกใจและประหลาดใจกับพฤติกรรมของตุ่น การที่เราไม่ไปดื่มเหล้าด้วย ตุ่นน่าจะพอใจ เพราะทุกครั้งที่เราไปดื่มด้วย ตุ่นจะคอยกันไม่ให้เราดื่ม หรือให้ดื่มให้น้อยที่สุด แต่ในคราวนี้ตุ่นดูเหมือนกับโกรธที่เราไม่ยอมไปดื่มเหล้าด้วย
   “เก่งโกรธอะไรตุ่นรึเปล่า ทำไมชวนไปที่บ้านไม่ยอมไปละคืนนี้” ตุ่นเริ่มพูดออกมามากกว่าที่จะเป็นคำพูด
   “เก่งไม่ได้โกรธอะไรตุ่น” เราตอบไปตามความจริง
   “ถ้าเก่งไม่โกรธอะไรตุ่น แล้วทำไมเก่งไม่ยอมไปอวยพรวันเกิดให้ตุ่นละ วันนี้วันเกิดของตุ่นนะรู้ไหม วันเกิดของตุ่น ตุ่นอยากให้เก่งปร่วมฉลองด้วยกับเพื่อน ๆ ของตุ่น ตุ่นอยากให้เก่งนั่งฉลองวันเกิดของตุ่นอยู่ข้าง ๆ ตุ่น” ตุ่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม เราได้ยินดังนั้นถึงกับดีดตัวเองจากนอนเป็นลุกขึ้นนั่ง
   “วันนี้วันเกิดตุ่นด้วยเหรอ” เราถามกลับไป
   “ใช่ ตุ่นถึงเสียใจที่เก่งไม่ยอมไปไงละ” ตุ่นตอบหลังจากที่เปลี่ยนมานั่งบ้าง
   “เก่งขอโทษ เก่งไม่รู้ ที่เก่งไม่ยอมไปเพราะวันนี้ก็เป็นวันเกิดของเก่งด้วย แต่เก่งไม่เคยมีการฉลองวันเกิดเลยแม้แต่ปีเดียว แล้วตุ่นจะให้เก่งมีอารมณ์ไปกินเหล้าเหรอ” เราอธิบายเหตุผลให้กับตุ่นฟัง
   “วันเกิดเก่ง วันนี้ด้วยเหรอ” ตุ่นถามกลับ
   “งั้นดีเลย เดี๋ยวเราไปฉลองด้วยกัน วันเกิดของเราสองคน” ตุ่นพูดพร้อมกับลากตัวเราให้ลุกขึ้นตามไป
ตุ่นนเดินจับมือเราไปตลอดจนถึงบ้านเหมือนกับกลัวว่าเราจะหายไประหว่างทาง เมื่อก้าวเข้าไปในบ้านก้าวแรกตุ่นจึงรีบป่าวประกาศทันที
   “วันนี้วันเกิดเก่งด้วย เก่งเกิดวันเดียวกับกู”
   “เออ ๆ ดี ๆ งั้นมาเมาด้วยกันเลย” สมคิดพูดตอบกลับมา ตุ่นจึงคว้าเอาเราเข้าไปกอดคอเอาไว้แล้วพาไปนั่งลงข้าง ๆ ที่นั่งของเขา
   “วันนี้จะปล่อยให้ดื่มเต็มที่เลย” ตุ่นกระซิบบอกเรา
   “ไม่กลัวเก่งจะเมาแล้วเหรอคราวนี้” เราแกล้งถามย้อนกลับไป
   “วันนี้จะยอมปล่อยสักวัน” ตุ่นพูดพร้อมกับยังคงโอบกอดไหล่เราอยู่ตลอดเวลา
   “เก่งเมาแล้วใครจะเก็บข้าวของอีกละ” เรายังคงแกล้งประชด
   “พรุ่งนี้ตุ่นจัดการเอง” ตุ่นตอบพร้อมรอยยิ้มหวานบนใบหน้าที่แดงระเรื่องด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
หลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยง บรรดาหนุ่ม ๆ แยกย้ายกันไปจับจองที่นอน เหลือเพียงเจ้าของวันเกิดสองคนยังคงนั่งดื่มกันต่อไป
   “ไปนอนกันดีกว่า” ตุ่นพูดเมื่อเหล้าแก้วสุดท้ายหายเข้าไปในลำคอของเขา
   “นอนที่ไหนละ คนอื่นจองที่นอนกันหมดแล้ว” เราพูดบ้าง
   “ก็นอนบนโซฟาที่ว่างอยู่ไง” ตุ่นพูดพร้อมกับสบตาเราอย่างทะเล้น
   “ไม่เอา แคบจะตาย อึดอัดด้วย” เราพูดปฏิเสธแก้เขินจากสายตาของตุ่น
   “แล้วเก่งจะปล่อยให้ตุ่นนอนอยู่คนเดียวเหรอ แล้วถ้าตุ่นอ้วกขึ้นมาละ ใครจะช่วย ไม่เป็นห่วงกันแล้วใช่ไหม” ตุ่นยังคงพูดต่อไป
   “ก็ได้” เราตอบรับไปด้วยรอยยิ้มกว้างขวางบนใบหน้า แล้วตุ่นจึงลากเอาเราขึ้นไปนอนบนโซฟา
   เช้าในวันถัดมาเรารีบตื่นขึ้นมาเก็บกวาด เสร็จแล้วอาบน้ำ แต่งตัวออกไปยังตลาดในตัวอำเภอ เพื่อเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้กับคนพิเศษของเรา เราเดินเลือกดูของขวัญอยู่เนิ่นนาน หยิบชิ้นนี้ วางชิ้นนั้น พยายามเลือกคัดสรรให้ของสิ่งนั้นถูกใจตุ่นมากที่สุด จะว่าไปแล้ว เรารู้จักกับตุ่นได้เพียงไม่นาน ที่รู้จักกันก็ดูเหมือนจะผิวเผิน เราไม่ได้รู้เลยว่าตุ่นชอบอะไร ไม่ชอบอะไร การเลือกของขวัญวันเกิดให้กับตุ่นจึงดูยากเย็นมาก เราเลือกแล้ว เลือกอีก เดินวนไปวนมาอยู่ในร้านหลายสิบรอบ จนสุดท้ายจึงไปจบลงที่นาฬิกาตั้งโต๊ะที่เป็นงานฝีมือ ทำจากไม้เป็นรูปรถช๊อปเปอร์ เรารีบคว้ามาถือไว้ในมือด้วยกลัวว่าใครจะแย่งเอาสินค้าชิ้นนั้นไปซะก่อน
   “ตุ่นชอบรถ ตุ่นต้องชอบนี่แน่เลย” เราพูดให้กำลังใจตัวเองเบา ๆ
เมื่อจ่ายเงินและให้พนักงานห่อของขวัญให้เรียบร้อยแล้วเราจึงรีบเดินทางกลับไปที่บ้านของตุ่น ซึ่งพอไปถึงเห็นตุ่นกำลังจะออกไปจากบ้านพอดี
   “ตุ่นจะไปไหน” เรารีบเข้าไปขวางและยิงคำถามเข้าใส่
   “กลับบ้าน จะกลับไปเอาของขวัญที่แม่” ตุ่นตอบพร้อมส่งยิ้มกลับมาให้
   “แล้วไม่เอาของขวัญจากเก่งเหรอ” เราถาม
   “ได้แล้วนี่เมื่อคืน” ตุ่นพูดพร้อมรอยยิ้มติดทะลึ่ง
   “บ้า งั้นไม่ให้แล้วนะ” เราแกล้งบ้าง
   “เอาสิ ไหนละ” ตุ่นรีบง้อ
   “ไม่รู้จะถูกใจตุ่นรึเปล่านะ” เราพูดเป็นการป้องกันตัวเอง เกรงว่าของขวัญจะไม่ถูกใจคนรับ
   “แกะเลยได้ไหม อยากรู้ว่าเป็นอะไร” ตุ่นถาม
   “ก็แล้วแต่ตุ่นสิ ตอนนี้มันเป็นของตุ่นแล้วนะ” เราตอบ
ตุ่นรีบแกะกล่องของขวัญออก เมื่อเห็นของขวัญข้างใน ตุ่นหันมามองหน้าเรา ทำสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับจับมือเราจูงเราขึ้นไปบนห้องนอนของเขา
   “จะพาเราไปไหน” เรารีบถาม เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เราไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นไปบนห้องที่เป็นห้องนอนของตุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตุ่นเดินนำเราเข้าไปในห้อง แล้ววางของขวัญลงข้าง ๆ หมอนของเขา พร้อมกับหันกลับมาถามเรา
   “วางไว้ตรงนี้ดีไหม”
   “แล้วแต่ตุ่นสิ” เราตอบไปด้วยอาการเก้อเขิน
   “ขอบคุณมากนะเก่ง ตุ่นชอบมาก แต่ตุ่นต้องรีบไปแล้วนะ เดี๋ยวไม่ทันรถ” ตุ่นพูดพร้อมกับจะเดินออกกลับจากห้องนอน
   “ลืมอะไรรึเปล่า” เราถาม
   “ขอบคุณนะครับ” ว่าแล้วตุ่นจึงโผเข้ามาหาเรา ทำท่าเหมือนจะกอดเรา แต่กลับเปลี่ยนเป็นเอามือมาขยี้ผมของเราเหมือนเคย
   เราไม่รู้ว่าการกระทำของตุ่นนั้นจะมีความหมายแบบไหน แค่เพื่อนหรือมากกว่าเพื่อนอย่างที่เราคิดกับตุ่น แต่เราเองไม่อาจจะทราบได้ เพราะตุ่นทำตัวเองที่ค่อนข้างจะติดทะลึ่ง ทีเล่นทีจริงอย่างนี้มาตลอด
   “เดี๋ยวนี้พวกมึงถึงขั้นนี้กันแล้วเหรอ ไม่เกรงใจกูที่นอนอยู่เลยนะ” สมคิดเป็นคนเอ่ยขัดขึ้นมา
   “ตุ่นไปละ เจอกันพรุ่งนี้ตอนค่ำนะ” ตุ่นพูดพร้อมกับจากไป
เย็นของวันรุ่งขึ้นเรายังคงนอนดูทีวีอยู่ในห้องของตัวเอง โดยที่จิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับรายการในทีวี แต่ดูเหมือนจะจดจ่อ รอคอยฟังเสียงอยู่ว่าเมื่อไหร่ตุ่นจะมาเรียก และแล้วการรอคอยของเราก็ส่งผลเมื่อมีเสียงมาตะโกนเรียกที่หน้าบ้าน
   “เก่ง อยู่ไหม” ตุ่นตะโกนถามมา
   “อยู่ครับ เดี๋ยวลงไป” เราตะโกนตอบกลับไป
   “ตามไปที่บ้านนะ” ตุ่นตะโกนกลับมาอีกครั้ง
   หลังจากเราจัดแจงตัวเอง ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้น จึงได้ก้าวออกจากบ้านตรงไปยังบ้านของตุ่น พบตุ่นนั่งอยู่บนโซฟาตัวที่เคยเป็นที่นอนของเรา
   “เก่งรอตรงนี้นะ ตุ่นมีอะไรจะให้” ตุ่นพูดพร้อมกับวิ่งกลับขึ้นไปยังห้องนอนของตนและลงกลับมาใหม่ในมือถือกระเป๋าเป้ที่ทำจากผ้า ใบเล็ก ๆ เอามายื่นส่งให้กับเราพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ยังคงอบอุ่นอยู่เช่นเดิม
   “ตุ่นให้เก่งนะ ของขวัญวันเกิด” ตุ่นพูดทั้ง ๆ ที่ยังคงยิ้มกว้างอยู่ต่อไป
   “สุขสันต์วันเกิดนะเก่ง” ตุ่นพูดตบท้าย
   “ขอบคุณมาก นี่เป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในชีวิตของเก่งเลยรู้ไหม” เราพูดพร้อมกับอยากจะโผเข้าไปกอดตุ่นและฝังจมูกลงไปที่แก้มของตุ่นข้างละครั้ง ด้วยความตื้นตันใจเป็นที่สุด กับของขวัญชิ้นแรกที่ได้รับในวันเกิด และยังเป็นของขวัญจากคนพิเศษของหัวใจอีกด้วย แต่เราก็ทำได้เพียงแค่คิด เราปล่อยน้ำตาให้มันไหลออกมาสองข้างแก้ม ด้วยความดีใจเป็นที่สุด ตื้นตันใจเป็นที่สุด
   “อ้าว ร้องทำไม” ตุ่นถาม
   “เปล่าหรอก ไม่ได้ร้องซักหน่อย แค่เก่งดีใจนะ” เราตอบ
   “แล้วจะไม่เปิดออกดูเหรอ” ตุ่นถามพร้อมกับเอามือขยี้ผมบนหัวของเราเบา ๆ
   “ไหนดูซิ ข้างในเป็นอะไร” เราพูดพร้อมกับเปิดกระเป๋าออกมา พบว่าข้างในกระเป๋าเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ก่อนที่เราจะทันได้พูดอะไรต่อไป ตุ่นก็ได้พูดขึ้นมาก่อน
   “ตุ่นขอให้พี่สาวเป็นคนเลือกให้นะ ไม่รู้เก่งจะชอบไหม” ตุ่นบอก
   “ชอบสิ” เราพูดพร้อมกับเอาเสื้อมาทาบลงบนตัว เรารู้สึกว่าในกระเป๋ายังมีของอีกชิ้นหลงเหลืออยู่
   “ยังมีอีกชิ้นนะเก่ง” ตุ่นรีบบอก
   เราจึงล้วงเข้าไปหยิบของอีกชิ้นที่อยู่ในกระเป๋าออกมา มันเป็นผีเสื้อที่ถูกสต๊าฟไว้ในกรอบรูปที่เป็นกระจกใส เพื่อให้สามารถมองเห็นลวดลายบนตัวผีเสื้อได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเห็นชื่อของผีเสื้อแต่ละตัวที่อยู่ในกรอบรูปนั้นด้วย
   “ชอบไหม อันนี้ตุ่นเลือกเองนะ” ตุ่นถามขึ้นมาอีกด้วยอาการกระวนกระวายไม่น้อย แต่เรายังไม่ได้ให้คำตอบกลับไป เราพลิกไปดูด้านหลังของกรอบรูปนั้น มีข้อความที่เราเห็นลายมือก็จำได้ว่าลายมือนี้เป็นลายมือของตุ่น ตุ่นเขียนข้อความไว้ด้านหลังด้วย เราจึงตั้งหน้าตั้งตาอ่านข้อความที่ตุ่นเขียนเอาไว้ให้ อ่านแล้วอ่านอีก อ่านวนไปวนมาอยู่หลายเที่ยว

                            "ให้ น้อง สาว (มีกากบาททับคำว่าสาวเอาไว้) ชาย
                            ขอให้พบสิ่งดี ๆ ในชีวิต และเป็นที่รักของคนทุกคน
                                                                จาก พี่ตุ่น"
   “ตุ่น ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ” เราพูดพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มจะเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง
พรข้อที่ตุ่นขอให้เราได้พบสิ่งดี ๆ ในชีวิตนั้น เรารู้ว่าเราได้เจอมันแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เราได้เจอกับตุ่น แต่พรที่บอกว่าให้เป็นที่รักของทุกคนนั้น เราคิดว่ามันไม่สำคัญเลย ถึงแม้มันจะเป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ที่เราอยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดก็คือ ให้เราได้เป็นที่รักของคนคนเดียว ก็คือ ตุ่น นั่นเอง
   หลังจากวันนั้นเราเอาเสื้อที่ตุ่นซื้อให้เป็นของขวัญใส่อวดคนให้ ให้เขาได้เห็นว่าตัวเราเองนั้นเป็นปลื้มมากน้อยแค่ไหน แต่แล้วเราก็คิดขึ้นมาได้ว่า หากเรานำเอาเสื้อจากคนพิเศษมาใส่อยู่บ่อย ๆ ไม่นานมันคงจะเก่าและถูกทิ้งไปสักวัน ดังนั้นเราจึงไม่นำมันมาใส่อีกเลย เรานำไปซัก รีด แขวนไว้อย่างดี แต่ละเดือนเราจะนำมาซักรีดหนึ่งครั้ง เพื่อให้เสื้อไม่มีกลิ่นอับ เราตั้งใจไว้ว่าของขวัญชิ้นแรกในวันเกิดสองชิ้นนี้เราจะต้องนำติดตัวไปด้วยเสมอ ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน
   วันเวลาที่แสนดียังคงเดินหน้าผ่านไปเรื่อย ๆ เราเองดูจะเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความสุขอยู่ตลอดเวลา จากเราที่อัธยาศัยดีกับทุก ๆ คน เรายิ่งร่าเริง โปรยรอยยิ้มกว้างด้วยมิตรไมตรีให้กับคนอื่นเพิ่มมากขึ้นไปอีก ในยามที่เรากำลังมีความสุขอยู่เช่นทุกวันนี้
   “เก่ง ตุ่นจะกลับบ้านนะ” ตุ่นเดินเข้ามาหาเราในสโมสรของบ่ายวันศุกร์ ขณะที่เรากำลังนั่งกินขนมอยู่กับเพื่อน ๆ
   “ครับ แล้วมาวันไหน” เราถามกลับไป โดยที่ลืมไปว่ารอบกายมีเพื่อนของตัวเองนั่งอยู่อีก 3 – 4 คนด้วยกัน
   “มาวันจันทร์เช้าเลย แล้วเก่งไม่กลับเหรอ จะได้กลับพร้อมกัน” ตุ่นถาม
   “ไม่กลับ แม่เพิ่งโทรมาบอกว่าส่งเงินมาให้แล้ว คงถึงวันจันทร์” เราตอบกลับไป
   “อ้าว แล้วมีตังค์จ่ายไหมละ กว่าจะถึงวันจันทร์นะ” ตุ่นถามด้วยห่วงใย เราจึงหยิบเอากระเป๋าเงิน ส่งให้ตุ่นเปิดดูเงินที่อยู่ข้างใน
   “มีอยู่แค่นี้จะพอถึงวันจันทร์เหรอ” ตุ่นยังคงถามต่อ
   “ไม่สนใจคนรอบข้างกันเลยนะ” ชัยแซวขึ้นมา
   “ไม่เป็นไร เพื่อนเรามี คงไม่มีใครปล่อยให้เราอดหรอก ใช่ไหมชัย” เราย้อนกลับไปถามชัยที่กำลังแซวเราอยู่
   “งั้นรอนี่นะ แป๊บเดียว เดี๋ยวกลับมา อย่าไปไหน” ว่าแล้วตุ่นรีบเดินออกไปจากสโมสร ขึ้นนั่งมอเตอร์ไซค์กับเพื่อนที่จอดรออยู่ หายไปประมาณ 20 นาที ตุ่นจึงวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปหาเราอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับวางเงินลงให้เราจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก แต่มีค่าทางจิตใจของเราอย่างมหาศาล
   “เอาไว้ใช้จนกว่าจะได้ตังค์ที่แม่ส่งมาให้” ตุ่นพูด
   “โหหหหหหหห ขนาดนี้กันเลยเหรอเนี่ยเก่ง” น้อยถามลากเสียงยาว
   “ก็คนดีกัน ช่วยเหลือกัน จะเป็นไรไปละ” เราตอบน้อย แต่ในดวงตานั้นเอ่อไปด้วยน้ำตาที่พร้อมจะหลั่งรินลงมาด้วยความเปี่ยมสุข ปลื้มใจ กับน้ำใจที่คนพิเศษของตัวเองมีทิ้งไว้ให้
   “แล้วเก่งจะเอาอะไรไหม” ตุ่นยังคงถามต่อ
   “ซื้อขนมมาฝากสิ แถวบ้านตุ่นขนมเยอะไม่ใช่เหรอ” เราตอบกลับไปพร้อมสายตาออดอ้อน
   “ได้สิ งั้นรอนะ เจอกันวันจันทร์” ตุ่นตอบพร้อมกับเดินจากไป
   “เมื่อไหร่จะยอมรับซะทีว่าเป็นแฟนกันนะ” ชัยถาม
   “เออ น่า” เราตอบปัดไปสั้น ๆ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
หวังว่า ตุ๋น คงไม่ได้คิดกับเก่ง แค่พี่น้อง หรอกนะ  o22 
ว่าแต่ทำไมตุ๋นถึงดูแปลกไป หรือแอบคิดอะไรเกินเลย แล้วพยายามห้ามใจอยู่ป่าว ไม่ต้องห้าม จีบไปเลยเก่งน่ารักดีออก ดูซื่อๆใสๆไร้มารยา  :a2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






subaru

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาลุ้นเรื่องของสองหนุ่มเก่งกะตุ่น ...  o13

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
   วันเวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนพวกเรานักศึกษาทุกคนต้องสอบปลายภาคกันอีกครั้ง เราจำต้องห่างจากการทำตัวติดแจกับตุ่น เพราะต้องมาอ่านหนังสือกับเพื่อน ๆ ให้เพื่อนช่วยติวในส่วนวิชาการเขียนโปรแกรม เพราะเราออกจะไม่เอาไหน และวิชาเดียวที่เราสามารถเปิดห้องเรียนทั้งห้องเพื่อสอนให้กับเพื่อน ๆ ได้ก็คือวิชาบัญชี ช่วงนั้นเราจึงห่าง ๆ จากตุ่นไปบ้าง แต่ทุกวันหลังการติว เวลา 5 ทุ่ม ตุ่นก็จะทำหน้าที่ของตัวเอง คือมารับเรากลับไปนอนที่บ้าน ไม่เคยยอมปล่อยให้เรานอนค้างที่หอเพื่อนเลย ช่วงเวลานั้น เราและตุ่นจึงได้ขี่รถชมดวงดาวและแสงจันทร์กันเกือบทุกคืน
   “ตุ่นไม่ต้องมารับเราอย่างนี้ทุกคืนก็ได้” เราพูดในขณะที่นั่งรถไปกับตุ่น
   “แน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้มารับ” ตุ่นย้อน
   “ก็ถ้าตุ่นไม่มาเราก็นอนกับเพื่อนก็ได้” เราตอบ
   “นอนกันไปตรงไหน ที่อยู่กันก็เห็นแน่นกันจะแย่อยู่แล้ว” ตุ่นแย้ง
   “แหม เพื่อนกัน นอนเบียด ๆ กันไม่มีปัญหาหรอก” เราตอบ
   “ตกลงจะไม่ให้มารับใช่ไหม” ตุ่นพูด
   “มารับสิ ดีออกที่ตุ่นคอยมารับ ขอบคุณนะครับ” เราพูด ถ้าตุ่นสามารถมองเห็นแววตาของเราตอนนั้น เราว่าตุ่นคงจะเข้าใจความรู้สึกของเราที่เราส่งผ่านไปทางสายตาได้ แต่น่าเสียดายที่ตุ่นไม่สามารถมองเห็นได้เพราะสายตาของตุ่นต้องมองไปเบื้องหน้า
   จนวันเวลาของการสอบผ่านพ้นไป นักศึกษาทุกคนต่างต้องเตรียมตัวเพื่อการเดินทางไปฝึกงาน เราและเพื่อนอีก 5 คนไปฝึกงานที่ต่างจังหวัด ตุ่นเองก็เช่นกัน ต้องออกไปฝึกงานในช่วงปิดเทอม เราและตุ่นไปฝึกงานอยู่ในจังหวัดเดียวกัน แต่คนละอำเภอกัน ซึ่งค่อนข้างจะอยู่ไกลกันพอดูเหมือนคนละฟากของตัวจังหวัด เราและตุ่นจึงไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันเลยตลอดระยะเวลาการฝึกงาน ในตอนนั้นโทรศัพท์มือถือไม่ได้ราคาถูก แม้แต่เพจเจอร์ยังคงราคาแพงสำหรับนักศึกษาที่ใช้ทุนพ่อแม่อย่างเรา ดังนั้นการติดต่อกับคนพิเศษจึงขาดหายไปเป็นช่วงที่แสนยาวนาน
   ถึงแม้ว่าการไปฝึกงาน จะทำให้มีประสบการณ์แปลกใหม่เพิ่มเข้ามาในชีวิต ได้รับความรู้ต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาตลอดเวลา พี่ ๆ ที่คอยดูแลน้องฝึกงานต่างก็เป็นคนดี มีไมตรีจิต แต่เราก็ยังคงเหงาอยู่ บ่อยครั้งที่หวนคิดคำนึงไปถึงอ้อมแขนของตุ่นที่เคยกอด สัมผัสเบา ๆ หรือแม้การที่ตุ่นคอยเอามือขยี้ผมของเรา บ่อยครั้งนักที่เรามักจะแอบเศร้าอยู่คนเดียว เราได้รู้รสของความเจ็บปวดในการที่ไม่มีคนที่ตัวเองรักอยู่เคียงข้างกายแล้วว่ามันเจ็บปวด ทรมานขนาดไหน แต่ถึงเราจะเจ็บปวดสักเพียงไร เราจะเฝ้ารอที่จะได้กลับไปเจอกับตุ่นและได้รับความอบอุ่นจากทุก ๆ พฤติกรรมที่เขาและเรามีให้กันอย่างตั้งตารอ เมื่อถึงวันนั้นความเจ็บปวดทรมานทั้งหลาย คงจะหายไปเอง
   วันเวลาการฝึกงานผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนจบสิ้นลง พวกเรามีโอกาสกลับไปอยู่บ้านกันเพียงหนึ่งอาทิตย์ สถาบันก็เปิดเรียนในปีการศึกษาต่อไปแล้ว ปีนี้เราและเพื่อน ๆ กลายมาเป็นรุ่นพี่บ้างแล้ว แต่ละคนวางแผนรับน้องกันเต็มที่ในขณะที่นั่งรถไฟกลับมาที่สถาบัน ไม่เหมือนกับเมื่อปีที่ต้องเป็นน้องใหม่ ที่ทุกคนต่างช่วยกันหาทางออก หาทางแก้ หลบหลีกการรับน้องของรุ่นพี่ แต่เรื่องเดียวที่รบกวนจิตใจของเราอยู่ตอนนี้คืออยากให้ถึงที่พักเร็ว ๆ จะได้กลับไปเจอหน้าตุ่นเสียที จากที่ห่างหายกันไปนาน ความคิดถึงมันแทบจะทำให้หัวใจของเราแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ไปได้เลยทีเดียว เมื่อลงรถไฟแล้วเราจึงรีบขอตัวแยกกับเพื่อน ๆ กลับบ้านเช่าของตัวเองเพื่อกลับไปรอคนพิเศษ จนเปิดเรียนไปได้สองวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววของตุ่นที่จะมาเรียนเลย
   “เขาหายไปไหน หรือเขาจะไม่สบาย” เป็นคำถามกวนใจของเราตลอดมา จนต้นเหตุของคำถามต่าง ๆ กลับมาในวันที่สามของการเปิดเรียน
   “ทำไมเพิ่งมาวันนี้ละ” เรารีบเข้าไปถาม เมื่อเห็นตุ่นมาถึงบ้าน
   “เพิ่งกลับมาจากที่ฝีกงาน” ตุ่นตอบ
   “คนอื่นเขากลับกันมาตั้งนานแล้ว เราถามพวกเพื่อน ๆ ไม่เห็นมีใครบอกว่าตุ่นยังอยู่ที่ฝึกงานต่อ” เราพูดไปยาวเหยียดเพราะอยากให้ได้คำตอบที่ค้างคาใจ
   “ตุ่นอยู่ต่อเองแหละ” ตุ่นตอบแค่นั้น ไม่ให้เหตุผลอะไรต่อ
   ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติแล้ว วันเวลาที่ห่างหายจากกันไป ที่ทำให้หัวใจเจ็บปวดทรมาน ได้รับการเยียวยาแล้วจากคนที่เรารอคอย ถ้าเพียงแต่ที่หลังจากนั้นตุ่นมักจะหายไปจากบ้านทุก ๆ สองสัปดาห์ ไม่ได้เดินทางกลับบ้าน แต่ไม่รู้ว่าไปไหน ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปด้วย และผิดปกติวิสัยที่สุดที่ตุ่นไม่เอ่ยปากบอกเราเลยว่าไปไหน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะไปไหน จะคอยชวนให้เราไปด้วยเสมอ หรือไม่ก็บอกว่าจะไปไหน เย็นวันศุกร์ตุ่นจะขับรถมอเตอร์ไซค์หายไป แล้วจะกลับมาในเย็นวันอาทิตย์หรือเช้าวันจันทร์ ในตอนแรก ๆ เราไม่ได้สังเกตในความผิดปกติมากนัก แต่ผ่านไปนานเข้าเราเองจึงเริ่มสงสัยและลองไต่ถามกับเจ้าตัว แต่เจ้าตัวยังคงตอบปฏิเสธหรือเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเรา แต่ทุกครั้งที่ตุ่นกลับมา หรือพูดได้ว่าตลอดเวลาที่ตุ่นอยู่ข้าง ๆ เรา ตุ่นปฏิบัติตัวเหมือนปกติทุกอย่าง มอบความอบอุ่น ความห่วงใย อาทร ความช่วยเหลือแก่เราอย่างไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจเรายังคงอยากที่จะรู้ว่าตุ่นหายไปไหนทุก ๆ สองสัปดาห์
   ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ตุ่นหายไป เราไม่สามารถอดรนทนต่อไปได้ จึงไปรบเร้ากับเพื่อนร่วมบ้านของตุ่นว่าตุ่นหายไปไหนบ่อย ๆ แต่ไม่มีใครที่เอ่ยปากบอกเราเลย มีแต่คำถามกลับมาเท่านั้น
   “แล้วมันไม่ได้บอกเก่งเหรอ ว่ามันไปไหน” โตเพื่อนที่เช่าบ้านหลังเดียวกับตุ่นเอ่ยถาม
   “เปล่า ไม่เคยบอกเลย” เราตอบ
   “เก่ง ผมถามจริง ๆ นะ เก่งชอบมันจริง ๆ เหรอ เก่งชอบมันได้ไง มันทั้งบ้า ทั้งขี้เมา” สมคิดถามขึ้นมา
   “ไม่รู้สิ” เราตอบได้แค่นั้น แต่กลับถามเพื่อนกลับไปอีกหวังว่ายังไงจะต้องเอาคำตอบจากปากของเพื่อนให้ได้ในวันนี้
   “แล้วตุ่นไปไหน บอกเราหน่อยนะ” เราเว้าวอน
   “มันไปหาแฟนมัน มันรู้จักกันตอนฝึกงาน” สมคิดพูดแค่นั้น แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
   เราได้ยินคำตอบของเพื่อน เรารู้สึกว่าท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่ สดใสเสมอมาในชีวิตของเรา กลับกลายเป็นฟ้าที่มืดมิด และพร้อมใจกันหล่นลงมาทับหัวของเราเข้าอย่างจัง เราแทบจะหมดแรงยืน เราปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงสองข้างแก้มโดยไม่อายต่อสายตาของเพื่อน ๆ
   “เก่ง ทำใจเถอะนะ” โตเป็นคนปลอบ
   “ไอ้ตุ่นมันก็บ้า มันทำอย่างนี้ได้ไง” สมคิดพูดขึ้นมาอีก
   “ช่างเขาเหอะ อย่าบอกเขานะว่าเก่งรู้แล้ว” พูดจบเราจึงเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง ที่พึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนั้นคือหมอนที่อยู่บนที่นอน เราซุกใบหน้าลงไปบนหมอน หวังให้หมอนใบนั้นได้คอยซับเอาน้ำตาของเราที่ไหลรินไม่ยอมหยุด แทนมือสองข้างของตุ่นที่เคยคอยเช็ดน้ำตาให้ยามเราร้องไห้ แต่ตอนนี้ไม่มีเขาแล้ว เราสะอื้นไห้ด้วยความปวดร้าวในใจ เมื่อการโหมร้องไห้ของเราผ่านพ้นไป เราจึงได้หวนคิดไปถึงว่า ตุ่นเองไม่เคยที่จะบอก หรือสารภาพกับเราเลยว่ารัก หรือคิดอะไรแบบนั้นกับเรา ที่ผ่านมาถึงตุ่นจะดีกับเรามาก ถึงตุ่นจะเคยโอบกอด แม้แต่คอยซับน้ำตาให้เรา ดูแลเรา แต่ตุ่นไม่เคยบอกอะไรพวกนั้นกับเราเลย ชอบเรา รักเรา ไม่เคยมีออกมาจากปากของตุ่น เราเองที่รักตุ่นและคิดไปเองว่ากากระทำต่าง ๆ ที่ตุ่นแสดงออกออกมานั้น คือความรู้สึกที่ตุ่นคิดเหมือนกับตัวเราเอง ยิ่งคิดเรายิ่งเจ็บปวด เราคิดเกินเลยกับตุ่นไปเอง ตอนนี้เรารู้แล้วว่าตุ่นเป็นห่วงเราจริง ๆ ตุ่นดูแลเราจริง ๆ แต่ตุ่นไม่ได้รัก หรือชอบเราในทำนองที่เราคิดไว้เลย
ถึงแม้เราจะคิดได้ว่าตนเป็นคนคิดไปเองข้างเดียว ตนเป็นคนคิดเกินเลยไปกับตุ่นเอง แต่ก่อนที่เราจะหลับไปเพราะร้องไห้อย่างหนักนั้น เราอยากจะให้มีมือของตุ่นมากอด หรือโอบไหล่ หรือแม้แต่มาขยี้ผมของเราเหมือนเคย แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ตุ่นมีแฟนแล้ว มีแฟนเป็นผู้หญิง นี่เป็นความคิดที่ตอกย้ำความรู้สึกของเราก่อนที่เราจะหลับไป
   แต่เมื่อตุ่นกลับมาทุก ๆ ครั้ง เขายังคงทำตัวปกติกับเรา ปกติทุกอย่าง ทุกการกระทำ มันทำให้เราที่รู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น ยิ่งปวดร้าวในใจสุดจะทน เราจึงพยายามที่จะทำตัวเองให้ยุ่งกับการเรียน มีกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ของตัวเองให้มากขึ้น เพราะจะได้ห่างจากตุ่นไปบ้าง เปิดโอกาสให้ตุ่นได้ใช้ชีวิตตามที่เขาต้องการ
   “ทำไมเก่งถึงหายมาแบบนี้บ่อย ๆ” ตุ่นถามขึ้นมาในเย็นวันหนึ่งขณะที่เรากำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนจากร้านเช่าหนังสือของพี่เยาว์ในสถาบัน ซึ่งเวลาปีกว่า ๆ ที่ผ่านมาเราอ่านจนเกือบจะหมดทุกเล่มที่มีอยู่ในร้าน
   “ไม่ได้หาย แค่มาหาเพื่อน” เราตอบกลับไป โดยที่ยังไม่กล้าสบตากับตุ่น เพราะเรารู้ว่าหากเขาเห็นแววตาของเราตอนนั้น ตุ่นจะต้องรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่
   “ไป กลับบ้านกัน” ตุ่นพูดขึ้นมาดื้อ ๆ แถมยังกึ่งจูงกึ่งลากพาเรากลับบ้านไปจนได้ ตุ่นยังคงไม่บอกอะไรกับเราเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหายไป และเราไม่เคยเอ่ยปากถามตุ่นเลยเช่นกัน แต่เราจะมีเพียงปฏิกิริยาที่เป็นเหมือนวัคซีนป้องกันตัวเองมากขึ้น ยามตุ่นจะเข้าใกล้เราเหมือนเคย เรากลับปัดป้อง ยามตุ่นเอามือสองข้างมาจับบนไหล่ของเรา เราจะพยายามเลี่ยง และแน่นอนเราไม่เปิดโอกาสให้ตุ่นได้ขยี้ผมของเราอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น
   “มึงสองคนช่วยเคลียร์อะไรกันซะหน่อยดีไหม กูเห็นแล้วกูเครียดวะ” โตเอ่ยขึ้นขณะเห็นภาวะตึงเครียดต่อหน้า
   และแล้วคืนนั้นทุกอย่างก็จบลงในวงเหล้า ตุ่นดูไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน ตุ่นนั่งดื่มเหมือนกับคนที่เต็มไปด้วยปัญหาในหัวใจ ปัญหาที่ยากที่จะพูดออกมา ตุ่นดื่มหนัก จนเราเริ่มเป็นห่วง จึงเปลี่ยนบทบาทจากที่ตุ่นเคยเป็นคนคอยห้ามไม่ให้เราดื่ม คราวนี้เราเองกลับเป็นคนห้ามไม่ให้ตุ่นดื่ม เราขยับเข้าไปนั่งใกล้เขามากขึ้น จากที่ตอนแรกพยายามนั่งออกไปห่าง ๆ พร้อมกับเอามือไปวางไว้บนขาของตุ่น ตุ่นเงยหน้าขึ้นมอง ตุ่นบีบมือของเรากลับแต่ไม่ยอมพูดอะไร ออกมาเลย
   “กูว่าวงแตกแล้วละ ไปต่อบ้านมึงดีกว่าไอ้คิด” สมเกียรติพูดขึ้น พร้อมกับเก็บขวดเหล้า ขวดโซดาใส่ถุงย้ายวงเหล้าหายกันไปหมด เหลือไว้แค่เพียงเราและตุ่นที่นั่งมองหน้ากันและกันอยู่อย่างเนิ่นนาน เราเห็นว่าตุ่นเมามากแล้ว และดูท่าทางจะเพลีย หมดแรง จึงรีบประคองพาตุ่นไปนอนบนโซฟาตัวเดิม พร้อมทั้งเตรียมตัวหาผ้าจะมาเช็ดหน้า เช็ดตัวให้ตุ่น แต่โดนตุ่นรั้งข้อมือเอาไว้แล้วดึงเรานั่งลงข้าง ๆ ตุ่นยังคงไม่ยอมพูดอะไรออกมา แต่มือยังคงจับเขาไว้ที่แขนของเรา ตุ่นทำแบบนี้อยู่เนิ่นนานจนตุ่นหลับไปเอง เราจึงได้ลุกขึ้นไปหาผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เขา การเช็ดตัวให้กับตุ่นในคราวนี้เราไม่มีความรู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกวาบหวามเหมือนเมื่อครั้งก่อน เรามีเพียงความรู้สึกที่อึดอัด เจ็บปวด ทรมานใจอย่างเป็นที่สุด หลังจากเช็ดตัวให้ตุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราจึงจัดเก็บกวาดบ้านเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่จะนอนลงตรงด้านหน้าโซฟา โดยเราไม่ลืมที่จะกระซิบข้าง ๆ หูของคนที่ตัวเองรัก
   “เก่งก็รักตุ่นมากนะ”
   เราไม่รู้ว่าตุ่นจะได้ยินหรือเปล่า แต่ในตอนนั้นเราเองก็เมาไม่น้อยไปกว่าตุ่นเหมือนกัน ถึงได้กล้าที่จะพูดอะไรที่อยู่ในใจมานานแสนนานออกไป เป็นธรรมดาที่เมื่อเราได้มอบความรักให้กับใครไปสักคน เราก็อยากที่จะให้ใครคนนั้นมีความรักมอบกลับมาให้เราด้วย เพียงแต่ว่าในกรณีของเรานั้น ถึงเราจะต้องการให้ตุ่นตอบรับรักเรากลับมาสักเพียงไร แต่ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไร เพราะการที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้นั้น มันก็ทำให้เรามีความสุขมากเพียงพออยู่แล้ว
   ช่วงหลังนี้หลังจากที่ตุ่นแอบไปมีแฟน เรารู้ว่าตุ่นเองก็อึดอัด แต่เราเองนั้นก็ไม่ได้มีความสุขมากเหมือนก่อน แต่ถ้าให้เลือกระหว่างความสุขของเรา และความสุขของตุ่น เราเองคงตัดสินใจที่จะเลือกให้คนที่เรารักได้มีความสุขมากกว่าความสุขของเราเอง
   ถึงแม้ว่าเราเองพยายามที่จะคิดว่าการที่คนที่เรารักมีความสุขแล้วเราจะสุขไปด้วยนั้น มันกลับไม่จริงอย่างที่คิดเลย ทุกวันการยิ้มของเราก็แทบจะต้องฝืน การนอนก็แทบจะต้องข่มตาให้หลับ การใช้ชีวิตอันราบเรียบของเราอย่างที่ผ่านมา มันเป็นอะไรที่ยากเย็นขึ้นมาในทันที เพราะปกติเราจะเป็นคนที่ร่าเริง แต่ในทุกวันนี้ความร่าเริงของเราแทบจะคั้นเอามาจากอก เพื่อน ๆ ของเราคงจะสังเกตกันได้ แต่เพื่อนก็คือเพื่อน พวกเขาได้แต่ปลอบใจเรากันไปต่าง ๆ นานา โดยที่ไม่มีใครเอ่ยถามถึงสาเหตุเลยแม้สักคน
   จนในวันหนึ่ง วันที่ทำให้เรารู้ว่าตุ่นนั้นมีค่ากับเรามากแค่ไหนก็มาถึง วันนั้นเราจำได้ดีว่าเป็นตอนพลบค่ำของวันอาทิตย์ เรานอนอยู่บนที่นอนในห้องของเรา โดยที่ไมได้เปิดทีวี หรือเปิดเพลงฟัง เราแค่เพียงนอนเฉย ๆ เพื่อเงี่ยหูฟังเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของตุ่นที่เราแสนจะคุ้นเคยว่าเมื่อไหร่ มันจะพาตุ่นกลับมาเสียที เรารอการกลับมาของตุ่นตั้งแต่บ่าย แต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ในใจก็เริ่มหมดหวัง คิดว่าตุ่นคงจะค้างกับแฟนต่อแล้วกลับมาเรียนในตอนเช้าวันจันทร์ แค่คิดว่า ตุ่นจะนอนค้างที่บ้านแฟนของเขาต่อ หัวใจของเราในตอนนั้นเหมือนกับโดนเข็มที่เล็กและแหลมคมนับจำนวนเป็นร้อยเป็นพันพุ่งผ่านทะลุหัวใจ เรารู้สึกว่าเจ็บจี๊ดในหัวใจ ในขณะที่เรากำลังเอามือเช็ดน้ำตาของเราที่ไหลออกมาตั้งแต่ตอนไหนเราเองก็ไม่รู้ เราได้ยินเสียงของโตมาตะโกนเรียกที่หน้าบ้านของเรา
   “เก่ง เก่ง อยู่มั๊ย”
   “อยู่ครับ” เราตะโกนตอบออกไป แต่ยังไม่ได้ลุกไปเปิดประตูที่ระเบียง เพราะกลัวว่าถ้าลุกออกไปทันทีโตจะเห็นน้ำตาของเรา เมื่อเราเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วจึงรีบลุกออกไปเปิดประตูที่ระเบียงและก้มลงไปคุยกับโตที่ยืนกระวนกระวายอยู่ที่หน้าบ้าน
   “มีอะไรรึเปล่า” เราถามโต
   “เก่งมาที่บ้านหน่อยสิ รีบมาเลยนะ” โตตอบ
   “ไปทำไมเหรอ” เราถามกลับไป ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้านี้เราจะรีบไปโดยที่ไม่ต้องถามเลยว่าจะให้เราไปทำไมกัน
   “มาเถอะ ตุ่นอยากเจอ” โตตอบ
   “ตุ่นกลับมาแล้วเหรอ” เราถามกลับไป
   “เก่งรีบมาเถอะ ผมไปรอที่บ้านนะ” โตพูดจบก็เดินย้อนกลับไปยังบ้านพักของเขา
   หลังจากที่เราล้างหน้าล้างตาเพื่อลบร่องรอยของน้ำตาออกแล้วนั้น เราจึงเดินมุ่งตรงไปยังบ้านของตุ่น เมื่อไปใกล้หน้าบ้านเราสังเกตว่าไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ของตุ่นจอดอยู่ ทำให้เราคิดว่าแล้วตุ่นกลับมายังไง จนเมื่อเราเดินเข้าไปถึงหน้าบ้านของพวกเขา ทำให้เราถึงกับต้องหยุดความคิดทุกอย่างเอาไว้ แล้วรีบวิ่งไปนั่งลงตรงหน้าโซฟาที่มีตุ่นกึงนั่งกึ่งนอนอยู่  ตุ่นอยู่ในสภาพที่มอมแมมไปทั้งตัว ที่มือและที่เข่ามีบาดแผลสด ๆ มีรอยเลือดให้เห็นได้อย่างเด่นชัด
   “เกิดอะไรขึ้น” เราพูดในขณะที่มือของเราเองนั้นไปจับอยู่ที่หน้าขาของตุ่นพร้อมกับบีบเบา ๆ
   “โดนรถสิบล้อเบียดตกข้างทาง ตอนขับรถกลับมานี่” ตุ่นตอบ
   “เจ็บมากรึเปล่า” เราถามพร้อมกับน้ำตาของเราเริ่มไหลออกมาจากสองข้างดวงตา
   “ไม่เป็นไรมากหรอก เก่งจะร้องทำไมกันละ ตุ่นเป็นคนที่เจ็บนะ” ตุ่นพูดเชิงหยอกล้อ
   “ทำไมละตุ่น ทำไม” เราถามไปแค่นั้น แล้วเราก็ร้องไห้อย่างหนัก อย่างไม่อายเพื่อนคนไหนเลย คำถามของเราในตอนนั้น เราไม่ได้ถามว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตุ่น แต่เราอยากจะถามว่า ทำไมตุ่นต้องลงทุนทำให้ชีวิตของตัวเองอยู่ในอันตรายแบบนี้ด้วย การขับรถมอเตอร์ไซค์ไปกลับ ข้ามจังหวัดนั้นมันอันตรายใคร ๆ ก็รู้กันดี แต่เราไม่ได้ถามออกไปเพราะคำตอบที่ตอบเราสวนกลับมานั้น ทำให้เราร้องไห้ออกมาเสียก่อน นั่นก็คือ ทำไมที่ตุ่นต้องเสี่ยงอันตรายนะเหรอ ก็เพราะเขาอยากไปอยู่กับแฟนของเขานะสิ
   “เก่งทำแผลให้ตุ่นหน่อยสิ” ตุ่นพูดออกมาในขณะที่เรากำลังก้มหน้าร้องไห้ เพื่อน ๆ ทุกคนมองหน้าตุ่นทีมองหน้าเราที
   “เดี๋ยวเก่งไปซื้อยาและอุปกรณ์มาก่อนนะ” พูดเสร็จเราก็วิ่งทั้งน้ำตาออกไปที่ร้านขายของชำหน้าปากซอย เพื่อซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น
หลังจากทำแผลให้ตุ่นเสร็จ เราก็เอายาแก้อักเสบให้เขากิน พร้อมทั้งบอกให้เขานอนลงบนโซฟา ตุ่นเองทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากที่เราเอาเสื้อผ้าของตุ่นไปแช่เราจึงจัดแจงต้มข้าวต้มให้ตุ่น เตรียมไว้ให้เขาทานเมื่อเขาตื่นขึ้นมา
   “ให้มันอยู่กันสองคนเถอะ พวกเราไปกินเหล้ากันดีกว่า” โตพูดก่อนชวนเพื่อน ๆ ออกไปตั้งวงดื่มเหล้ากันที่บ้านของเพื่อนคนอื่น
เราเลยถือโอกาสนอนเฝ้าตุ่นที่บ้านของตุ่นในคืนนั้น เผื่อตุ่นขาดเหลืออะไรหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเรา ในขณะที่ตุ่นนอนหลับไป เรานั่งมองหน้าของเขาอยู่เนิ่นนาน จากการที่เคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ตุ่นไปมีแฟน จากการที่เราอยู่ในอาการเหมือนอกหัก มาถึงตอนนี้ เรากลับคิดว่า ไม่ว่าตุ่นจะไปไหน จะไปทำอะไร เราขออย่างเดียวแค่ให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย เราก็ดีใจแล้ว เพราะจากเหตุการณ์ในวันนี้ที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขามันทำให้เรารู้ดีว่า การกลับมาของเขา ไม่ว่าจะกลับมาสภาพไหน ก็ยังดีกว่าที่เขาจะไม่กลับมาให้เราได้เห็นหน้าอีกต่อไป ถึงแม้เขาจะมีแฟนแล้ว แต่เราก็ขอให้เขากลับมาอยู่กับเรา มาเล่นกีต้าร์ให้เราฟัง มาขยี้ผมของเราเหมือนเดิมก็เพียงพอแล้ว
   รถมอเตอร์ไซค์ของตุ่นเสียหายมาก ถ้าเทียบกับอาการของตุ่นแล้ว ถือว่าตุ่นโชคดีมากที่บาดเจ็บไม่มากนัก ตุ่นส่งเศษรถมอเตอร์ไซค์ของเขากลับบ้าน เพราะไม่สามารถที่จะซ่อมได้แล้ว แต่ในยามที่เราเองต้องใช้มอเตอร์ไซค์ ตุ่นจะหยิบยืมจากเพื่อนเตรียมไว้ให้เราเสมอ อย่างเช่น กรณีที่เราต้องไปเปิดเพลงที่สถาบันตั้งแต่ตี 5 ของทุกวันเพื่อให้นักเรียนหลาย ๆ สาขาได้เตรียมตัวไปลงงาน ปกติเราจะต้องใช้รถมอเตอร์ไซค์ของตุ่น เมื่อเปิดเพลงเสร็จเราจะขับมอเตอร์ไซค์กลับไปอาบน้ำที่บ้านเตรียมตัวออกมาเรียนพร้อมกับตุ่น แต่ตอนนี้เมื่อไม่มีมอเตอร์ไซค์ของตุ่นแล้ว ตุ่นจะหยิบยืมมอเตอร์ไซค์ของคนนั้น คนนี้มาจอดเตรียมไว้ให้ในบ้านเราเสมอ
   ตุ่นที่แสนดีของเรา ยังคงเป็นตุ่นที่แสนดีเสมอ แต่ตุ่นเขาก็มีแฟนแล้ว เขามีแฟนแล้ว คำนี้ทำให้เราเศร้าเสมอ แต่เราก็ยังคงรักและทำตัวดีกับเขามาตลอด

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ไงเป็นแบบนี้ล่ะ ชักจะไม่อยากเชียร์ตุ่นแล้วนะเนี่ย ความจริงน่าจะเคลียร์ความสัมพันธ์ให้ชัดเจนเลยดีกว่า อึ้มครึ้มอยู่แบบนี้สงสารเก่งอะ

ออฟไลน์ Phing

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-0
มาตามอ่านเรื่องนี้ด้วยคน :mc4:
ถึงจะมาไม่บ่อยแต่ก็ตามอ่านนะค่ะ


 :L2:

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ติดตามด้วยคน :L2:

subaru

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วเศร้า สงสารเก่ง....

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
 :L1:
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ
ขอบคุณทุกคนที่คอมเม้นต์ให้ครับ
และขอบคุณทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้กับเก่งและตุ่นครับ
แล้ว duckhero จะรีบนำตอนต่อ ๆ ไปมาอัพเดทให้ได้อ่านกันนะครับ
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ hotladyanyavee

  • ขึ้นจากเกาะ มาใช้ชีวิตบนอ่าวนาง มันก็อินดี้ไปอีกแบบ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2384
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-10
อ่านแล้วก็หนุกดีอะ แต่แปะกฎของบอร์ดเราก่อนดีกว่าไหม จะได้ไม่ผิดกติกา

vvivy

  • บุคคลทั่วไป
รอติดตามค่ะๆ o13

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
ไรเตอร์อย่าใจร้ายน่ะ สงสารเก่งง่ะที่ตุ่นมันทำแบบนั้นมันอาจจะมีเหตุผลอื่นมั้งนะ คิดไปไกลๆจะได้ไม่คิดมาก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด