ต้องขอโทษนักอ่านหลายคนที่รออ่านนะครับ
duckhero เรียบเรียงหลายรอบมาก
ไม่รู้จะบอกคนอ่านว่ายังไงดี
เพราะเห็นหลายคนเป็นกำลังใจให้เก่งกัน
แต่ duckhero ต้องซื่อสัตย์กับคนอ่านครับ
จึงได้บทส่งท้ายออกมาแบบนี้ครับ
ฝากติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนจบครับ
เปิดปาก (บทสรุปส่งท้าย)
หลังจากออกจากโรงพยาบาล เราไม่ได้กลับไปพักฟื้นอยู่ที่บ้าน เพราะอาการเราดีขึ้นมาก เราพักฟื้นอยู่ที่บ้านของน้าที่หาดใหญ่ บ้านที่เราพักอยู่ด้วยในตอนนั้น เมื่อกลับมาถึงบ้าน เรารีบเปิดโทรศัพท์และโทรไปหาตุ่นในทันที
“เก่งหายไปไหนมา โทรศัพท์เป็นอะไรทำไมโทรไม่ติดเลย” ตุ่นพูด
“เก่งไม่สบายนะ อยู่โรงพยาบาล” เราตอบ
“แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า” ตุ่นถาม
“ไม่เป็นอะไรแล้วละ” เราตอบ
“แล้วนี่อยู่ไหน” ตุ่นถามเราต่อ
“อยู่ที่บ้านแล้วละ” เราตอบ
“งั้นเดี๋ยวตุ่นไปเยี่ยมนะ” ตุ่นพูด
“ไม่เป็นไรหรอก เก่งสบายดีขึ้นมากแล้วครับ” เราตอบ
เราพักฟื้นอยู่ที่บ้านโดยที่ไม่ต้องไปทำงาน เพราะทางเจ้านายอนุญาตให้เราได้ลางานได้ยาวตามที่ต้องการ หรือจนกว่าเราจะแข็งแรงโดยที่เรายังคงได้รับเงินเดือนครบทุกบาท ทุกสตางค์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเป็นปลื้มมากในหลาย ๆ อย่างตั้งแต่เราได้ทำงานอยู่ที่นี่ เรารู้สึกดีขึ้นทั้งร่างกายและสภาพจิตใจ แต่สิ่งที่ยังคงรบกวนใจของเราอยู่ไม่เป็นเพียงเรื่องของตุ่น แต่กลับเป็นเรื่องที่เราคุยกับจิตแพทย์ เรารู้ดีว่าตอนนั้นหมอเขาไม่ได้พูดรายละเอียดอะไรมากนัก แต่สังเกตว่าหมอจะพูดวนอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เราฟังแล้วรู้สึกว่าเราเป็นกังวลยิ่งนัก แต่เรายังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมากนัก เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เราต้องเข้าโรงพยาบาลไปอีกครั้ง ด้วยอาการปวดท้องอย่างกะทันหัน เราปวดท้องมาก จนต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง เมื่อไปถึงโรงพยาบาลหมอตรวจดูอาการ และบอกเราว่าเราอาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งถ้ารุนแรงก็ต้องทำการผ่าตัด แต่ในขณะนั้นเราเป็น ๆ หาย ๆ หมอเลยตรวจปัสสาวะ และเจาะเลือดไปตรวจ แต่หมอบอกว่าผลที่ได้ไม่บ่งบอกว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ จึงต้องเป็นอีกครั้งที่เราต้องนอนเฝ้าสังเกตอาการอยู่ในโรงพยาบาล และเป็นอีกครั้งที่แม่และพี่สะใภ้ของเราต้องมาเฝ้าเราที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้ง ในระยะเวลาที่ห่างกันไม่เกินสองอาทิตย์ เรานอนปวดท้องอยู่ตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงเที่ยงคืน หมอตรวจเราไปหลายรอบ แต่ยังคงพูดเป็นประโยคเดิมว่า ผลที่ได้ไม่ได้บอกว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ในตอนนั้นเราปวดมากจนแทบจะทนไม่ได้ ปวดจนแทบจะขาดใจ เราจึงบอกหมอให้ทำอะไรสักอย่าง จะผ่าตัดก็ผ่า หมอหายไปจากเตียงของเราพักใหญ่ จึงมีนางพยาบาลเดินมาแจ้งให้เรารู้ว่าหมอสรุปว่าให้เราผ่าตัดทันที เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงที่เราเข้าไปสลบอยู่ในห้องผ่าตัด แม่ของเรายังคงนั่งเฝ้าเราอยู่ที่หน้าห้องโดยที่ไม่ได้ลุกไปไหน ที่เรารู้เพราะมีนางพยาบาลมากล่าวชมแม่ของเราให้เราฟังหลังจากที่เราผ่าตัดเสร็จแล้ว เราผ่าตัดไส้ติ่งไปโดยที่หมอเองยังไม่ได้สรุปว่าเราเป็นไส้ติ่งด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายในขณะที่ผ่าตัดอยู่นั้นไส้ติ่งเราแตกพอดี หลังจากที่เราพักฟื้นจากการผ่าตัดไปได้เพียงสองวัน เราได้คุยกับคุณหมอคนเดิมอีกครั้ง และในการได้เจอกันในครั้งนี้เป็นการเจอที่ทำให้ชีวิตของเราจบสิ้นลงในทันที
เราไม่ได้พูดคุยกับตุ่นมากนักหลังจากออกมาพักฟื้นหลังจากผ่าตัด ไม่เพียงแต่กับตุ่น แทบกับทุกคนที่เราไม่ได้คุยด้วย เพราะเรามีสิ่งที่เราจะต้องคิด น้าของเราที่เราอยู่ด้วยเป็นคนที่สังเกตเห็นสิ่งเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเรา น้าพยายามที่จะซักถาม พูดคุยกับเรา แต่เรายังคงไม่ปริปากบอกในสิ่งที่เราคิดและเป็นกังวลอยู่ให้น้าของเราได้รับรู้ เพราะเกรงว่าน้าของเราจะต้องเป็นทุกข์ไปด้วยอีกคน แต่สุดท้ายน้าของเราได้โทรไปคุยกับพี่ชายของเราเพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรามากในตอนนั้น พี่ชายของเราที่เราแทบจะไม่สนิทกันเลย จึงเป็นคนที่ทำให้เราได้เปิดปากพูดคุยออกมา เรารู้ว่าพี่ชายของเราตกใจและเจ็บปวดไม่แพ้เรา แต่สิ่งที่พี่ชายของเราทำให้เราในตอนนั้นคือให้กำลังใจเรา และทำให้พ่อ แม่ และน้าของเราได้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกคนเข้าใจเราเป็นอย่างดี ไม่มีใครรังเกียจเรา มีแต่ให้กำลังใจเรา
ในตอนนั้นเรารู้ดีว่าเราแย่ทั้งสุขภาพจิต และสุขภาพกาย เราทำได้ดีที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงผู้คน ไม่ยอมเจอหน้าใคร เราได้แต่นอนร้องไห้ให้เวลาหมดไปวัน ๆ จนเรามีโอกาสได้เห็นน้ำตาของน้าของเราที่เป็นทุกข์ไปกับเราด้วย น้ำตาของน้าทำให้เราคิดได้ว่าถ้าเรายังคงเป็นแบบนี้อยู่ เราอยู่ในสภาพที่เหมือนคนตาย ไม่มีรอยยิ้ม มีแต่คราบน้ำตา คนรอบข้างของเราก็จะเป็นอย่างเราเช่นกัน แต่ถ้าเราทำให้พวกเขาเห็นว่าเราสู้ พวกเขาก็จะได้สบายใจและสู้ไปกับเราด้วย ดังนั้นเราจึงเลิกที่จะร้องไห้ หลบหลีกสายตาผู้คน เลิกที่จะนอนอยู่แต่ในห้อง ก้าวเท้าออกมาสู้ และเรื่องแรกที่เราอยากจะทำในตอนนั้นคือสิ่งที่เราได้ทำค้างเอาไว้ตั้งแต่การเข้าโรงพยาบาลครั้งก่อน
เราขับรถมอเตอร์ไซค์ของเราไปหาตุ่นในตอนเย็นวันหนึ่ง เราไปเจอตุ่นตามที่เราคาดหมายเอาไว้ว่าเขาจะต้องมานั่งอยู่ที่บ้านที่อยู่ใจกลางเมืองของเขาแน่ เราเห็นตุ่นนั่งดื่มเบียร์อยู่เพียงคนเดียวที่หน้าบ้านของเขา
“ไม่เหงาเหรอ นั่งดื่มคนเดียวนะ” เราทักทาย
“อ้าวเก่ง เป็นไงบ้าง ทำไมหายไปเลยละ เงียบไม่ส่งข่าวกันเลย” ตุ่นพูดออกมายาวเหยียด
“จะให้เก่งตอบคำถามไหนก่อนละ” เราแหย่ไป
“ไม่ต้องตอบแล้ว เจอตัวแล้วนี่” ตุ่นพูดพร้อมกับยกแก้วเบียร์ชูขึ้นเหมือนกับต้องการชวนเราให้ดื่ม
“เก่งไม่ดื่มแล้วละ” เราตอบ
“เออ ว่าแต่ทำไมเก่งผอมอย่างนี้ละ ผอมมากเลยนะ” ตุ่นเอ่ยถาม เรายังไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ตุ่นกลับพูดขึ้นมาอีกว่า
“หรือกินยาลดความอ้วนรึเปล่าเนี่ย”
“จะบ้าเหรอ เก่งไม่ได้อ้วนซักหน่อย แล้วจะกินยาลดความอ้วนให้ผอมทำไมกันละ” เราตอบ
“มา มา มานั่งกินอะไรกันตรงนี้ดีกว่า” ตุ่นพูดพร้อมกับชี้ไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ให้เรานั่ง เรานั่งลงมองหน้าและแอบมองสายตาของตุ่น ทันใดนั้นน้ำตาของเราเอ่อออกมา เราจึงต้องหลบสายตามองไปทางด้านอื่นก่อนที่ตุ่นจะสังเกตเห็น
“แล้วนี่ไม่สบายมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ขอโทษที่ตุ่นไม่เคยได้ไปเยี่ยมนะ” ตุ่นพูด
“ไม่เป็นไรหรอก จะไปทำไมโรงพยาบาล ไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์สักหน่อย” เราตอบ
เราพูดคุยกับตุ่นอีกไม่นาน มันทำให้เราได้กำลังใจกลับมาไม่น้อย แต่เราต้องตัดใจเพื่อที่จะขอตัวกลับบ้าน เพราะถ้าเราอยู่ต่อไป เราคงต้องร้องไห้ออกมาต่อหน้าตุ่นแน่ และที่สำคัญเรารู้ว่าสิ่งที่เราตั้งใจจะมาบอกตุ่นนั้น เราพูดมันออกไปไม่ได้ โดยที่เราไม่ลืมที่จะบอกตุ่นว่าช่วงนี้เราอาจจะไม่ได้ออกไปไหนกับเขาบ่อยนัก เพราะว่าเราต้องพักรักษาตัวเราให้ดีขึ้นก่อน ตุ่นเองไม่ได้ว่าอะไร แค่เพียงบอกว่า ถ้าอยากได้อะไรให้บอก ถ้าไม่หนักหนาจนเกินไปเขาจะหาไปให้ที่บ้านของเรา
เราขาดการติดต่อกับเพื่อน กับตุ่น แต่เราไม่ได้หายไปจากชีวิตของพวกเขา ไม่พวกเขาก็จะเป็นเราที่คอยโทรฯ พูดคุยกัน แต่เราจะออกไปพบพวกเขานั้นน้อยนัก เพราะเราอยากที่จะพักผ่อน ดูแลสุขภาพของตัวเราเองให้ดีขึ้นให้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วความรู้สึกที่เรามีต่อตุ่นมาหลายปีนัก กับกระตุ้นให้เราอยากจะออกไปหาเขา ออกไปบอกกับเขา ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสที่จะได้ทำมัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นอีกครั้งที่เรานัดกับตุ่น คราวนี้เราโทรไปชวนตุ่นให้ออกไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารที่เราไปด้วยกันบ่อย ๆ ตุ่นเองตอบตกลงในทันใด เราไปพบกับตุ่นที่หน้าร้านที่เรานัดกันเอาไว้ ตุ่นเดินเข้ามาทักทายเราด้วยการเอามือมาขยี้ผมของเรา เราไม่รู้ว่าตุ่นจะเอะใจบ้างหรือไม่ว่าวันนี้จะเป็นวันที่เราจะสารภาพทุกอย่างกับเขา แต่เมื่อดูจากอาการที่เขามาทักทายเรา อีกทั้งเดินกอดไหล่เราเข้าไปหาโต๊ะนั่งในร้านอาหาร เราคิดว่าเขาคงไม่เอะใจอะไรอย่างแน่นอน
“ไหนบอกมีเรื่องสำคัญอะไรเหรอ” ตุ่นถามเมื่อเราสั่งอาหารกันเสร็จ
“จะรีบไปไหนละ คุยกันไปเรื่อย ๆ ก็ได้” เราตอบ
“อ้าว ก็เห็นว่าเรื่องสำคัญ” ตุ่นแย้ง
“เรื่องสำคัญ เดี๋ยวเอาไว้คุยตอนหลัง” เราตอบ
เราพูดคุยกับตุ่นไปเรื่อย ๆ โดยจะเลี่ยงเรื่องสำคัญที่เราอยากเก็บเอาไว้พูดตอนหลังสุด เพราะเราเกรงว่าถ้าเราพูดออกไป เราอาจจะหมดโอกาสที่จะได้เก็บเอาความสุขในวันนี้กลับไปมีความสุขต่อได้ เพราะฉะนั้นเราจึงอยากเก็บเกี่ยวเอาความสุขตรงหน้าให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ จนถึงเวลาสำคัญ เวลาที่เราต้องเปิดปากพูดสิ่งที่เราอยากพูดออกมา
“ตุ่น” เราเรียกในขณะที่ตุ่นยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม
“อะไรเหรอ” ตุ่นถาม
“ไม่เจอกันนาน มีแฟนแล้วยังละ” เราถาม
“ไม่มี ก็บอกแล้วว่าไม่หาแล้ว” ตุ่นตอบ
“ไม่คิดจะแต่งงานแล้วเหรอ” เราถาม
“ไม่แล้วละ อยู่อย่างนี้ดีกว่า” ตุ่นตอบ
“แล้วแก่ตัวไปใครจะดูแลละ” เราถาม
“ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่คิด” ตุ่นตอบ
“ตุ่น” เราเรียกแล้วก็เงียบ
“ว่ามา” ตุ่นพูด
“ถึงเรื่องสำคัญแล้วละ” เราบอก
“อ้าว คิดว่าจะไม่พูดซะแล้ว” ตุ่นพูด
“พูดสิ ว่าแต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง เก่งขอให้ตุ่นฟังเก่งให้จบได้ไหม” เราเอ่ย
“เก่งจะพูดอะไรกันแน่” ตุ่นถาม
“รับปากเก่งไหมละ” เราถามย้ำ
“ได้สิ ทำไมตุ่นถึงจะฟังให้จบไม่ได้” ตุ่นตอบมีสีหน้าจริงจังมากขึ้น เราเงียบไปนานเพราะเรากำลังรวบรวมเอาความกล้าที่เรามี เราคิดว่าในตอนนั้นเราคงรวบรวมเอาความกล้าที่เรามีทั้งหมดในชีวิตมาใช้ก็ว่าได้
“ตุ่นรู้ใช่ไหมว่าที่ผ่านมาเก่งคิดยังไงกับตุ่น” นี่คือประโยคที่เราเริ่มพูดออกไปได้ เราทำได้ดีที่สุดแค่เพียงนี้
“อืมม รู้สิ” ตุ่นตอบหน้าตาเฉย
“รู้ว่าอะไร” เราถาม
“เก่งก็พูดมาสิ” ตุ่นพูด เรารู้สึกใจหายนิดหน่อย แต่เรายังคงพูดต่อ
“เก่งยอมรับว่าที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกัน เก่งชอบตุ่น เก่งรักตุ่นมาตลอด” ทันทีที่เราพูดประโยคนี้จบเรารู้สึกว่าเราโล่งมาก รู้สึกว่าตัวของเราเบาหวิวเหมือนกับไม่มีมวลใด ๆ ในร่างกายของเรา เราพร้อมที่จะฟังคำตอบของตุ่น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ขอแค่ตุ่นอย่าเงียบ ขอให้เขาได้พูดออกมา
“แต่เก่งไม่ได้หวังว่าตุ่นจะคิดแบบเดียวกับเก่งหรอกนะ” เรารีบออกตัว ในตอนนั้นไม่เพียงตุ่นจะเงียบแต่กลับมองหน้าของเรา ทำให้เรารู้สึกใจหายเพิ่มมากขึ้น เริ่มชั่งใจที่จะกล้าพูดออกไปต่อไปหรือไม่ แต่ในเมื่อเราเริ่มแล้ว เราควรจะต่อให้มันจบ ถึงแม้ว่ามันจะจบไม่สวยก็ตาม
“เก่งไม่ถามนะว่าตุ่นคิดยังไง แต่ขอให้เก่งได้บอกตุ่นก็พอแล้ว” เรายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ขาด ๆ หาย ๆ
“หลังจากเก่งไม่สบาย เก่งคิดหนักว่าถ้าเกิดเก่งไม่มีโอกาสได้พูด เก่งคงจะไม่มีความสุข เก่งเลยขอที่จะได้พูดออกไป ตุ่นคงไม่ว่าอะไรเก่งนะ” เราพูดเป็นการปิดท้ายพร้อมกับก้มลงมองมือของเราเองที่ตอนนั้นมือทั้งสองข้างบิดกันไปบิดกันมาจนมือของเราเริ่มจะแดง
“ในตอนแรกเก่งไม่ได้คิดที่จะบอกกับตุ่นหรอก เพราะเก่งพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เก่งกับตุ่นยังคงได้เจอกัน กินข้าวด้วยกัน ดื่มด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน แค่นี้เก่งก็มีความสุขมากแล้ว แต่เก่งกลัวว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันจะไม่มีอีกหลังจากที่เก่งไม่สบาย เก่งจึงตัดสินใจที่จะบอกกับตุ่น” เราพูดยาว แต่ตุ่นยังคงเงียบเฉย ความเงียบเข้าปกคลุมที่โต๊ะของเราทั้งสองคน ทั้ง ๆ ที่ทางร้านดีเจยังคงเปิดเพลงดังกระหึ่ม ในสมองของเรากำลังคิดว่าเราจะนั่งต่อไปอย่างเงียบ ๆ หรือชวนตุ่นคุยเรื่องอื่นดี หรือเราควรจะลุกออกไปจากตรงนั้น แต่ในขณะที่เรากำลังคิด ตุ่นกลับพูดออกมาว่า
“ตุ่นเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกของตุ่นมันคืออะไรนะเก่ง ตุ่นรู้สึกได้ว่าตุ่นมีความรู้สึกอะไรบางอย่างกับเก่ง ความรู้สึกที่มากกว่าเพื่อน แต่จะใช่ความรู้สึกรักแบบที่หนุ่มสาวรักกันหรือไม่ ตุ่นไม่รู้ แต่ตุ่นรู้แค่เพียงว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนที่ตุ่นรู้สึกกับไอ้โต ไอ้สมเกียรติ ไอ้สมคิด กับเก่งมันพิเศษกว่านั้น” ตุ่นหยุดพูดและเงียบ เราเองจากที่นั่งก้มหน้าถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองหน้าตุ่นด้วยน้ำตาที่เอ่อท้น
“เก่งคงจำได้ว่าตุ่นเคยมีแฟนสมัยเรียน และตุ่นเคยแต่งงาน ตุ่นคิดว่ามันจะทำให้ตุ่นลบเอาความรู้สึกของตุ่นไปได้ แต่สุดท้ายเก่งก็เห็นผลของมันแล้วว่าตุ่นทำไม่ได้ และกับเก่งเองก็เช่นกัน เก่งจำได้ไหม คืนที่เราเมาด้วยกันตุ่นลองดูว่าถ้าให้เก่งทำอย่างนั้น ตุ่นจะรู้สึกอะไรรึเปล่า แต่ตุ่นก็ไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าที่รู้สึกอยู่คือเป็นห่วงเก่ง รักเก่ง แต่ความรู้สึกแบบนั้น เรื่องพวกนั้นมันไม่มี ตุ่นเองไม่รู้ว่าตุ่นเป็นอะไรกันแน่” ตุ่นพูดด้วยสีหน้าที่สลดลงไป เราเองยังคงเงียบต่อไป หลังจากที่ตุ่นยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มแบบรวดเดียวหมด ตุ่นจึงได้พูดต่อว่า
“คืนนั้นที่ตุ่นตบหน้าเก่ง ตุ่นหวังอะไรเก่งรู้ไหม ตุ่นหวังให้เก่งเกลียดตุ่น เลิกรักตุ่นเสียที เพราะตุ่นคิดว่าหลังจากที่ตุ่นลองให้เก่งทำแบบนั้นแล้วนั้น ตุ่นคงจะมีความรู้สึกกับเก่งอย่างแฟนไม่ได้ ถ้าตุ่นทำให้เก่งโกรธ เกลียด เก่งอาจจะเลิกรักตุ่นไปได้ แต่ท้ายที่สุดเก่งไม่เคยที่จะโกรธตุ่นเลย” ตุ่นพูดจบโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าน้ำตาของเราได้ไหลออกมาตั้งแต่ตอนไหน
“แต่เก่งรู้ไหม ตุ่นว่าเราอยู่อย่างทุกวันนี้ก็ดีนะ ถ้าแก่ตัวกันไปแล้วเรายังคบกันเหมือนทุกวันนี้ ตุ่นว่าเราคงจะดูแลกันและกันได้นะ” ตุ่นพูดประโยคนี้ทำให้เราถึงกับน้ำตาที่ไหลออกมาอยู่แล้วนั้นกลับไหลออกมาเพิ่มอีกอย่างไม่ขาดสาย
ถ้าเราได้รับฟังสิ่งที่ตุ่นพูดออกมานี้ก่อนที่เราจะไม่สบาย เราคงจะดีใจเป็นอย่างมาก และมันคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้มากที่สุด ถึงแม้เรากับตุ่นจะไม่ได้คอยดูแลกันเหมือนคู่ชีวิตอื่น แต่มีโอกาสได้ดูแลกันและกัน ไปมาหาสู่กัน มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว แต่เรากลับมาได้รับฟังคำตอบนี้จากตุ่นในตอนนี้ เราดีใจมากก็จริงอยู่แต่มันกลับทำให้เราเศร้ามากด้วยเหมือนกัน
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิตุ่น” เราพูดและเริ่มร้องโดยที่ไม่อายสายตาผู้คน
“เก่ง อย่าร้องไห้สิ ทำไมมันจะไม่ได้ละ” ตุ่นพูด
“เก่งกลัวเก่งจะอยู่ดูแลตุ่นไม่ได้นานอย่างนั้นนะสิ” เราพูด
“ทำไมละเก่ง เกิดอะไรขึ้น” ตุ่นถาม
เราทำได้แค่นั่งร้องไห้เงียบ ๆ เราไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้ง่ายนัก คราวนี้เราต้องเค้นเอาความกล้าที่เรามีมากกว่าตอนที่จะบอกรักตุ่นออกไป
“ตุ่นรู้ไหมว่าเก่งเข้าโรงพยาบาลบ่อยเพราะอะไร” เราพูดพร้อมกับยังคงร้องไห้
“เก่ง เก่งเป็นอะไร เก่งอย่าทำให้ตุ่นใจเสียสิ” ตุ่นพูด
“เก่งเป็นเอดส์นะตุ่น” เราพูดสิ่งที่เราอยากพูดออกไปอย่างยากเย็น แต่สุดท้ายมันก็หลุดออกมาจากปากของเราจนได้ ในตอนนั้นเรากลัวมาก กลัวว่าตุ่นจะรังเกียจเราแต่เรากลับได้รับการสวมกอดจากตุ่นอย่างแนบแน่น ตุ่นเดินมาหาเราและกอดเราโดยที่ไม่อายสายตาผู้คน เรายังคงร้องไห้แต่เมื่อตุ่นกอดเราเรากลับร้องไห้หนักขึ้นไปอีก ทั้งเราและตุ่นไม่พูดอะไรกันอีก เราต่างฝ่ายต่างเงียบ สิ่งที่เราได้รับมันมีทั้งความสุขและความเจ็บปวด หัวใจของเราในตอนนั้นมันแทบจะระเบิด อกของเราแทบจะแตก เรามีความสุขเป็นอย่างมากแต่ความสุขของเรากลับมาพร้อมความทุกข์ ความเจ็บปวดเป็นที่สุด
หลังจากวันนั้นรู้สึกว่าตุ่นจะเอาใจใส่เรามากขึ้น แต่เรากลับรู้สึกว่าแทนที่เราจะมีความสุข เรากลับรู้สึกเจ็บปวด ทุกครั้งที่เราได้เห็นหน้าตุ่น ได้ยินเสียงตุ่น เรารู้สึกว่าเราผิดต่อตุ่นมากนัก เราจึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะก้าวออกมาจากชีวิตของตุ่น
“ตุ่นเก่งลาออกจากงานแล้วนะ” เราพูดกับตุ่นในวันหนึ่ง
“ลาออก ทำไมเหรอที่ทำงานมีปัญหากับสิ่งที่เก่งเป็นอยู่เหรอ” ตุ่นพูด
“เปล่า ไม่มีหรอก เจ้านายของเก่งใจดีมาก ให้โอกาสเก่งด้วยดีมาตลอด” เราตอบ
“แล้วเก่งลาออกทำไม” ตุ่นถาม
“เก่งอยากที่จะเปลี่ยนอะไร ๆ ในชีวิตของเก่ง เปลี่ยนไปจากจุดนี้ จุดที่เป็นอยู่” เราตอบ
“แล้วเก่งจะทำอะไร” ตุ่นถามต่อ
“เก่งว่าเก่งจะไปหางานทำที่กรุงเทพฯ” เราตอบ
“เก่งจะไปได้ยังไง เก่งไม่สบายนะ” ตุ่นพูด
“เก่งไปได้ เก่งสบายดีแล้ว” เราตอบ
“ตอนที่ตุ่นไม่ได้อยู่หาดใหญ่ เก่งกลับมาอยู่หาดใหญ่ พอตอนนี้ตุ่นอยู่หาดใหญ่แล้ว ทำไมเก่งต้องไปอยู่ที่อื่นด้วยละ” ตุ่นพูด
“เก่งต้องไปนะตุ่น ตุ่นเข้าใจเก่งนะ” เราพูด
และแล้วในท้ายที่สุดเราได้จากมา จากหัวใจของเรามา แต่เรากลับรู้สึกมีความสุข เราดีใจที่เราได้นำเอาคำว่า รัก ของเราออกมาใช้ ถึงแม้ว่าคำว่ารักของเราจะไม่ได้จบอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ดีใจที่เราได้ใช้และได้ให้กับตุ่นไป เราดีใจในสิ่งที่เราได้รับกลับมาจากตุ่น ถึงแม้เราและตุ่นจะไม่ได้อยู่ดูแลกันและกันในบั้นปลายของชีวิต แต่แค่ประโยคที่ตุ่นพูดออกมาก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว และนอกจากความรู้สึกที่เราได้รับกลับมาจากตุ่นแล้วนั้น ตอนนี้เราได้รู้จักค่าของคำว่ารักจากคนในครอบครัว สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเราเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดให้เราได้ต่อสู้กับชะตาชีวิตของเราได้อย่างง่ายดาย