จวบจนวันเวลาได้ผ่านเลยไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนแล้วก็เดือนเล่า เก่งและตุ่นยังคงอยู่ในปฏิกิริยาที่ยังคงเดิมต่อกัน โดยที่เก่งจะต้องเก็บกดเอาความรู้สึกเจ็บปวด รวดร้าวหัวใจเอาไว้ในอก ไม่ให้ปรากฏออกมาบนหน้าของตัวเอง เกรงว่าจะทำให้ตุ่นไม่สบายใจ เก่งและตุ่นยังคงนั่งเล่นกีต้าร์ด้วยกันตรงจุดเดิม ตุ่นยังคงเตรียมมอเตอร์ไซค์ไว้ให้เก่งใช้ ยามที่เก่งต้องใช้ โดยที่เก่งไม่ต้องไหว้วาน ดื่มเหล้ากิจวัตรประจำที่ทำร่วมกัน เก่งและตุ่นยังคงนั่งใกล้กันในวงเหล้า เพียงแต่น้อยครั้งที่เก่งจะเอามือไปวางไว้บนหน้าขาของตุ่นเหมือนที่เคย ๆ ทำ ตุ่นเองก็น้อยครั้งที่จะเอามือมาขยี้ผมของเก่งเหมือนแต่ก่อน
ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันถ้าเราไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเราเอง เราว่าตุ่นก็ดูจะอึดอัด หรือดูท่าทางจะไม่สบายใจอยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนทั้งเราและตุ่นต่างก็เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ ในส่วนตัวของเราเองนั้น เราพยายามที่จะเก็บเกี่ยวเอาความสุขจากตุ่นให้ได้มากที่สุด เพราะเรามีแผนอยู่แล้วในใจของเรา ส่วนตุ่นนั้น เราบอกตามตรงว่าเราเริ่มรู้สึกว่านับวันเรายิ่งหยั่งใจของเขาไม่ถึงลงไปทุกที
ภาคเรียนที่ 1 ผ่านพ้นไป ช่วงเวลาปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่เราได้พักความคิด ความเครียดเกี่ยวกับตุ่น เพราะเราได้มีโอกาสกลับไปอยู่บ้าน อยู่กับพ่อ กับแม่ หลายกิจกรรมที่เราทำด้วยกันจึงทำให้เราลืมที่จะคิดเรื่องของตุ่นไปได้เหมือนกัน
แต่ความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เมื่อวันเปิดเทอมมาถึง เรากลับรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าตุ่นคนที่เรารักมานาน เมื่อเราเจอกันที่บ้านเช่าของตุ่น เราจึงถือโอกาสบอกสิ่งที่เราคิดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนปิดภาคเรียน
บอกรักตุ่นนะเหรอครับ ไม่ใช่แน่นอน เรามันคนขี้ขลาด เราไม่กล้าที่จะทำอย่างนั้นแน่นอน สิ่งที่เราบอกตุ่นมันทำให้เราเจ็บปวดใจเสียเอง
“เทอม 2 นี้เก่งย้ายไปอยู่กับเพื่อนห้องคอมฯ นะตุ่น” เราเริ่มต้นบอกสิ่งที่เราคิดเอาไว้ โดยที่ตุ่นยังคงเงียบ และยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
“เทอมนี้เราต้องทำโปรเจคจบ เราต้องอยู่ใกล้เพื่อน ๆ และสถาบัน เพื่อที่จะได้ช่วยกันติวและสะดวกกับการเข้าไปขอใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สถาบัน” ตุ่นยังคงเงียบ
“เก่งเรียนไม่ได้เก่ง อยากให้เพื่อน ๆ ช่วย ไม่งั้นเก่งคงไม่ได้จบพร้อมเพื่อน” เก่งยังคงเน้นย้ำ
“ให้ตุ่นไปส่งมั๊ย” ตุ่นพูดออกมาหนึ่งประโยค หลังจากนั้น เราและตุ่นต่างก็เงียบ
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเก่งนั่งรถสองแถวไปก็ได้” เราตอบตุ่นกลับไป
“แวะมาหาบ้างละ” ตุ่นตอบก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนเราเองเดินจากมาด้วยอาการหน้าชา ตัวชา ขึ้นรถสองแถวมาโดยที่เหมือนกับไร้ความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น เราจากมาโดยที่เก็บเอาเฉพาะข้าวของที่จำเป็นมาก่อน เราเลือกที่จะกลับไปเก็บข้าวของที่เหลือในวันเสาร์ เพราะวันเสาร์เป็นวันที่เราคิดว่าตุ่นคงจะไม่อยู่ที่บ้าน ตุ่นคงจะไปต่างจังหวัดเพื่อไปอยู่กับแฟนของเขา เราไม่อยากที่จะเจอตุ่นตอนที่เราต้องขนของย้ายออกมา เพราะมันคงยากที่เราจะกลั้นเอาน้ำตาไว้ได้
เราวุ่นวายกับการทำโปรเจคทุกเวลาที่ว่างหลังจากการเรียน สนามวอลเล่ย์บอล สนามเปตอง หรือแม้แต่ร้านหนังสือเช่าของพี่เยาว์ เราแทบจะไม่ย่างกรายเข้าไปเลย เพราะเมื่อใดที่เราเข้าไป ภาพความทรงจำดี ๆ มันก็มาตอกย้ำให้เราต้องเจ็บปวดใจอยู่เสมอไป แต่ถึงยังไง เราก็ยังได้เจอตุ่นที่สถาบันอยู่บ้าง เรายังคงได้ยินเสียงตะโกนบอกเขาว่า “ไอ้ตุ่น แฟนมึงมาหา” เหมือนเดิม เวลาเราเดินไปหาตุ่นที่บ่อประมง ตุ่นเองก็ยังคงพูดคุยกับเราอย่างอบอุ่น แต่การย้ายมาอยู่ไกลกับตุ่นแบบนี้ มันทำให้เราห่างกัน ห่างกันมาก เหมือนอยู่กันคนละโลก เราไม่รู้ความเป็นไปของตุ่น เราไม่รู้ว่าเวลาตุ่นเมาแล้วใครจะพาเขาไปอาเจียน ใครจะเช็ดตัวให้เขา ถึงแม้ที่หอที่เราอยู่รวมกับเพื่อน ๆ จะมีเสียงกีตาร์ของเพื่อน ๆ เราดังอยู่เป็นประจำ แต่มันก็ไม่ใช่เสียงกีตาร์ของตุ่น เสียงที่เราคุ้นเคย ยิ่งนับวันยิ่งดูเหมือนว่าเราจะห่างกันมากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น และในช่วงหลัง ๆ เราก็ไม่ได้เจอตุ่นที่สถาบันมากนัก เพราะตอนนั้นนักศึกษาคอมฯ ส่วนใหญ่จะฝังตัวเองอยู่ในห้องคอมฯ เพื่อเขียนโปรแกรม ทำโปรเจคจบกัน รวมทั้งเราด้วย เราเลยไม่มีโอกาสได้ไปเจอเขาที่บ่อประมงสักเท่าไหร่
วันเวลาผ่านเลยไปโดยที่เราไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว และแล้วในเย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นเย็นของวันเสาร์ เราและเพื่อน ๆ อยู่ที่ห้องเช่า นอนดูหนัง ฟังเพลงกันตามประสา เราได้ยินเสียงของชัยที่อยู่หน้าห้องเช่ากับน้อยตะโกนประโยคที่ทำให้เราถึงกับกระโดดลงจากเตียงนอนในทันควัน
“เก่ง เก่ง แฟนเก่งมาหา” คำว่าแฟนที่ชัยพูดถึง เราเข้าใจความหมายได้ดีว่าชัยหมายถึงใคร เรารีบวิ่งออกไปที่หน้าหอพักทันที เราเห็นตุ่นนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเราก็ไม่คุ้นเหมือนกันว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ของใคร
“แต่งตัวเร็วเข้า ไปหาอะไรกินกัน” ตุ่นพูดเมื่อเราไปยืนอยู่ใกล้ ๆ เขา ในตอนนั้นหัวใจของเราเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เราตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เราทำได้แค่เพียงยืนยิ้มให้ตุ่น
“ไหนละ บอกว่าให้ไปแต่งตัวไง” ตุ่นย้ำขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกตัว
“รอแป๊บนึงนะ” เราพูดจบก็หายกลับเข้าไปในหอพัก เปลี่ยนชุดให้พอดูได้ แล้วจึงออกมานั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของตุ่น ตุ่นไม่พูดอะไรแต่กลับขับรถออกไปจากจุดนั้นในทันที
คราวนี้เราไม่ปฏิเสธ ไม่ลังเล เหมือนตอนที่ตุ่นเคยชวนเราตอนแรกที่เราเพิ่งได้เจอกัน ตอนนี้เราไว้ใจตุ่น ตุ่นจะพาไปไหนเราก็ไป ถึงแม้ว่าไปแล้วจะไม่ได้กลับมา เราก็จะไปถ้าได้ไปกับตุ่น วันนี้เป็นวันที่หัวใจเราเต้นแรงอีกครั้ง หลังจากที่เราจากกันมานาน เราไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานาน เราตื่นเต้นอีกครั้งที่ได้นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กับตุ่น คราวนี้เรากล้าที่จะเอามือไปจับสะเอวของตุ่นอีกครั้ง จับโดยที่เราไม่ได้เมาเหมือนตอนมางานสังสรรค์ในสถาบัน ถ้าเรามีความกล้าขึ้นอีกหน่อย เราอยากจะเอามือเราโอบกอดไปที่สะเอวตุ่นด้วยซ้ำไป ตุ่นขับรถไปไม่ได้พูดอะไรมาก เราก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จนไปถึงร้านร้านนึง
“นี่ไงร้านผัดไท ที่เคยซื้อไปให้กินนะ วันนี้พามากินถึงที่เลยดีไหม” ตุ่นบอกเราพร้อมกับจอดรถที่หน้าร้าน
ตอนนั้นเราอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ อยากจะกอดตุ่นให้เต็มแรง ด้วยความที่ดีใจ ไม่ได้ดีใจที่ได้มากิน แต่ดีใจที่ตุ่นจำรายละเอียดของช่วงเวลาที่เราเจอกันได้ เพราะตุ่นเคยซื้อผัดไท ไปฝากเราและบอกว่าเป็นร้านที่อร่อย มีโอกาสจะพาเราไปกินที่ร้าน นี่เขายังจำได้เหรอ ส่วนเรานั้นจำได้ไม่มีวันลืม
วันนั้นเราสั่งผัดไทมากิน แต่ตุ่นไม่ได้กิน ตุ่นสั่งเบียร์ แล้วเราก็กินไป คุยกันไป ตุ่นก็ถามเราหลาย ๆ เรื่อง อยู่ที่หอเป็นไงบ้าง โปรเจคทำไปถึงไหนแล้ว ไม่เห็นไปหาที่บ่อเลย ฯลฯ สารพัดคำถาม เราก็ตอบกลับไป
และถามคำถามที่เราอยากจะถามเขามากออกไป
“ยังไปสุราษฎร์อยู่อีกไหม” เราถามออกไป
ตุ่นเงยหน้าจากแก้วเบียร์ แล้วมองหน้าเรา “ รู้ด้วยเหรอว่าที่ไปนะไปสุราษฎร์” เราพยักหน้ารับรู้
“ไม่ไปแล้ว” ตุ่นตอบสั้น ๆ
“ทำไมละ” เราถามต่อ
“เลิกแล้ว” ตุ่นตอบ
ได้ยินคำตอบออกมาจากปากตุ่นเรารู้สึกว่าตัวเราลอยอีกครั้งหนึ่งแล้ว เราบอกไม่ได้ว่าเราดีใจที่ตุ่นเลิกกับคนคนนั้นซะได้ หรือว่าตุ่นดีใจที่ตุ่นไม่ต้องขับรถไปสุราษฎร์อีก เราเป็นห่วง กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก แล้วถ้าเกิดขึ้นอีกคราวนี้ใครจะดูแลเขา เราไม่ได้อยู่ใกล้ที่จะดูแลเขาได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราพูดคุยกันต่อหลังจากจบเรื่องนั้นของตุ่น คราวนี้เราคุยกันแต่เรื่องสนุก ๆ จนทำให้เขาหัวเราะได้ แต่สำหรับเรานั้น เราอยากจะร้อง ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าจะร้องทำไม ร้องเพราะอะไร แต่ที่รู้คือ ไม่ได้ร้องเพราะเสียใจอะไรในตัวตุ่นเลย ตุ่นเป็นตุ่น ตุ่นเป็นคนที่เรารักมาเกือบ 2 ปี
เมื่อเรากินผัดไทเสร็จ เขาก็ดื่มเบียร์หมดพอดี หลังจากออกมาจากร้านนั้น ตุ่นขับรถพาเราชมแสงสีของตัวเมืองในยามค่ำคืน ผ่านซอยนั้น ไปทะลุยังซอยนี้ โดยที่ตุ่นไม่ได้ถามเราเลยว่าเราจะรีบกลับรึเปล่า ซึ่งในตอนนั้นถ้าตุ่นถาม เราก็คงตอบว่าไม่รีบกลับ เราอยากเก็บเวลาได้ใช้ร่วมกับตุ่นเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะว่าหลังจากนี้ เราทั้งสองคนคงต้องแยกจากกันเมื่อเรียนจบ
“เรียนจบแล้วเก่งจะเรียนต่อไหม” ตุ่นถามในขณะที่ขับรถไปเรื่อย ๆ
“เก่งยังไม่เรียนต่อละครับ เก่งอยากหางานทำก่อน ได้งานแล้วค่อยหาโอกาสเรียนต่อ” เราตอบไปยาวเหยียดเพราะรู้ดีว่าฐานะทางบ้านของเราคงไม่พร้อมที่จะส่งเสียให้เราได้เรียนต่อ
“แล้วเก่งจะไปหางานที่ไหนละ” ตุ่นถามต่อ
“เก่งกะว่าจะไปหางานที่หาดใหญ่ เพราะใกล้บ้านเก่ง และคงมีงานมากกว่าแถวบ้านเก่ง” เราตอบ แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกสาเหตุที่เราอยากไปทำงานที่หาดใหญ่ เพราะว่า บ้านของตุ่นอยู่ที่นั่นนั่นเอง ซึ่งถ้าเราและตุ่นอยู่หาดใหญ่ เราก็อาจจะยังคงได้ใกล้ชิดกันต่อไป
“แต่ตุ่นต้องไปเรียนต่อให้จบปริญญาตรีนะ” ตุ่นพูด ทำให้วิมานที่เราวาดไว้พังลงทันใด
“ไปเรียนที่ไหนละ” เราเค้นเสียงถามออกไป
“สุรินทร์” ตุ่นตอบสั้น ๆ
“แต่ปิดเทอมตุ่นก็กลับมาอยู่บ้าน เราคงจะได้เจอกันที่หาดใหญ่” ตุ่นพูดทิ้งท้าย ทำให้เราใจชื้นขึ้นมาบ้าง
เราขับรถชมเมืองกันพักใหญ่ ก่อนที่ตุ่นจะขับรถไปตามเส้นทางกลับหอพักของเรา เวลาช่วงสั้น ๆ ในวันนี้ทำให้เรามีความสุขยิ่งนัก หลังจากที่ห่างหาย ไม่เห็นหน้ากันมานานแสนนาน
“ขอบคุณนะที่พาไปกินผัดไท” เราพูดเมื่อตุ่นจอดรถที่หน้าหอพักของเรา
“ไม่เป็นไร กลับเข้าห้องไปได้แล้ว” ตุ่นพูด
“ตุ่นก็กลับได้แล้ว ขับรถดี ๆ นะ” เราพูด
“เก่งเข้าหอไปก่อนเหอะ เดี๋ยวตุ่นกลับเอง” ตุ่นพูด เหมือนเคยทุกครั้งที่ตุ่นพาเราไปไหนมาไหน ถ้าเขามาส่งเรา เขาจะรอให้เรากลับเข้าบ้านไปก่อนทุกครั้ง
หลังจากนั้นเราก็ต่างวุ่นกันอยู่กับเรื่องโปรเจคและเรื่องเตรียมสอบปลายภาค จนห่างกันไปอีกครั้ง
แต่ห่างครั้งนี้มีความสุขมากกว่าครั้งก่อน จนเราได้เจอกันอีกครั้งก่อนจบ เราได้มีโอกาสบอกแผนการของเรากับเพื่อน ๆ ว่าจะฉลองการเรียนจบ และการอำลาอาลัยกันยังไง ตุ่นเองก็บอกแผนการของเขาเหมือนกัน แผนของเราและเพื่อน ๆ คือ หลังจากสอบเสร็จ จะอยู่ต่อกันอีกสองวัน ไปเที่ยวน้ำตกด้วยกัน และฉลองกันเพื่อล่ำลาในคืนสุดท้ายของชีวิตในสถาบัน ส่วนของตุ่นตุ่นบอกว่าไม่ได้กำหนดว่าจะอยู่กี่วัน แต่คงจะอยู่นานกว่าเรา แต่ยังไงวันที่เรากลับ ตุ่นจะมาส่งเราที่สถานีรถไฟ
เมื่อถึงวันสอบวันสุดท้าย ตุ่นมารับเราไปฉลองกันกับกลุ่มเพื่อนประมง แต่เราไม่สามารถที่จะไปร่วมฉลองด้วยกันได้ เพราะว่าเพื่อน ๆ เราเองต่างก็จัดฉลองกันเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดตกดึกตุ่นยังคงขับรถมาหาเราที่กำลังฉลองกันอย่างสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ไปร่วมฉลองกับพวกเขาจนได้
“ไอ้พวกนั้นมันบอกให้มารับเก่งไปให้ได้” ตุ่นพูดเมื่อเห็นหน้าเรา
“งั้นตุ่นต้องมาส่งเก่งด้วยนะ” เราบอก
“ได้สิ” ตุ่นตอบ พร้อมกับขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปโดยที่มีเรานั่งซ้อนท้ายเหมือนเช่นเคย
เราฉลองกับตุ่นและเพื่อนกลุ่มประมงด้วยการร้องไห้อีกครั้ง เพราะในครั้งนี้ เพื่อน ๆ ต่างแย่งกันดึงเอาเราไปกอด คนนั้นกอด คนนี้กอด จนเราไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ไหว ส่วนตุ่นนั้นไม่ได้กอดแต่กลับเอามือมาขยี้ผมของเรา ตุ่นขยี้ผมของเราอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปเนิ่นนาน ในใจของเรารู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ อย่างบอกไม่ถูก
ในวันรุ่งขึ้น เราเตรียมตัวกลับบ้าน โดยที่ยกเลิกแผนไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อน ๆ แผนการที่จะฉลองกันต่ออีกคืน เพราะว่าเราเองรู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับการล่ำลา การล่ำลามันช่างเจ็บปวดเกินที่จะบรรยาย เราจึงอยากที่จะกลับบ้านก่อนเพื่อน ๆ คนอื่น เราบอกตุ่นแล้วว่าเราจะกลับในวันนี้ ตุ่นเองก็ย้ำว่าจะมาส่งที่สถานีรถไฟ จนถึงเวลาที่เราที่เราหิ้วกระเป๋าก้าวขึ้นสู่ขบวนรถไฟ เรายังไม่เห็นตุ่น เรารู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่ไม่ได้เห็นหน้าเขาก่อนจาก แต่เราก็พยายามที่จะเข้าใจว่าเมื่อคืนเขาค่อนข้างเมา เขาอาจจะตื่นไม่ไหว ขบวนรถเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีอย่างช้า ๆ เรายังไม่เห็นวี่แววของตุ่น เราเลือกที่จะยืนชิดขอบหน้าต่างของรถไฟเพื่อที่จะได้หันหน้าไปล่ำลาสถาบันที่เราได้เรียนรู้มาสองปีเต็ม แต่ในทันใดนั้น เราเห็นชายหนุ่มที่เราแสนจะคุ้นเคย นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ริมถนน เขายกมือขึ้นโบกเบา ๆ การกระทำของเขาทำให้เราถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลนองหน้าอย่างไม่อายผู้คนบนขบวนรถไฟนั้น เราหันมองเขาจนเขาหายไปจากสายตา เราถึงได้นั่งลง แต่ยังคงร้องได้อยู่เหมือนเดิม
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เราต้องจากกับรักแรกของเรา คนที่เรารักมากที่สุด คนที่เรารักมานานเกือบสองปีเต็ม แล้วต่อไปนี้ชีวิตของเราจะเป็นยังไง เราหมดหนทางที่จะให้คำตอบตัวเราเองจริง ๆ
“ลาก่อน สุดที่รัก”