พิมพ์หน้านี้ - "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: duckhero ที่ 10-06-2010 01:12:24

หัวข้อ: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 10-06-2010 01:12:24
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


นิยายเรื่องนี้เคยโพสต์ในบางเวปไซต์และเคยนำเสนอในบางสำนักพิมพ์ โดยที่ใช้ชื่อผู้เขียนที่ต่างกัน แต่ duckhero ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ duckhero เป็นคนเขียนขึ้นมาเองครับ ที่ต้องแจ้งให้ทราบเพราะว่าเผื่อใครบางคนอาจจะเคยอ่านแล้วที่เวปอื่น ตอนนี้ duckhero ทำการปรับปรุงให้ดีขึ้นและยาวขึ้นกว่าเดิม นำมาให้เพื่อน ๆ ในเล้าเป็ดแห่งนี้ได้อ่านกันครับ เหมือนเดิมครับคอมเม้นต์ได้เหมือนเดิม

จากใจผู้เขียน

     หากคุณมีความเชื่อว่า รักไม่มีแบ่งพรมแดน, รักไม่มีแบ่งยศฐาบรรดาศักดิ์, รักไม่มีแบ่งเชื้อชาติ วงศ์ตระกูล, รักไม่มีขอบเขตจำกัด, รักไม่มีรูปแบบ หรืออะไรก็ตามแต่ที่จะไม่เป็นอุปสรรคต่อความรัก คุณคงจะให้โอกาสเรื่องราวดังต่อไปนี้ที่ได้นำเอาบทบรรยายความรักอีกรูปแบบที่ไม่เหมือนดั่งผู้คนส่วนใหญ่ หรือเป็นความรักที่หลายคนคิดว่า ผิดประเภท รักแบบชายรักชาย
     หากคุณมีความคิดว่าความรักที่ผิดประเภทแบบนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นความรักที่ยาวนานได้ จะมีแต่เพียงเพื่อสรรหาความสุขเกี่ยวกับเซ็กซ์มาใส่ตัว คุณยิ่งควรให้โอกาสเรื่องราวต่อไปนี้ให้มากขึ้นไปอีก แล้วคุณจะได้รู้ว่าความรักที่หลายคนบอกว่าผิดประเภทนั้น มันมีส่วนที่สวยงามได้ไม่ต่างกับรักแบบชายหญิงทั่วไป
     หากคุณเป็นคนที่มีความชอบแบบเดียวกับตัวละครในเรื่อง คุณยิ่งควรให้โอกาสเรื่องราวต่อไปนี้ให้มากที่สุด เพราะถ้าคุณเป็นแบบรักที่ผิดประเภท แล้วคุณไม่เชื่อมั่นในความรักของคุณว่ามันจะไม่สวยงาม จะไม่ยาวนาน คุณหวังแค่เพียงเซ็กซ์เพื่อหาความสุขใส่ตัว คุณจะต้องลองอ่านเรื่องราวของตัวละครในเรื่อง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรื่องเป็นเรื่องราวในประสบการณ์ชีวิตจริงของคนคนหนึ่งที่มีความประทับใจกับความรักที่ตัวละครเจ้าของเรื่องได้มอบให้กับอีกหนึ่งตัวละครในเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวจะจบลงเช่นไร หรือแม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไรนั้น แต่ความรักที่หลายคนเรียกว่าผิดประเภทนั้นก็เป็นสิ่งที่สวยงาม และมีคุณค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่ง
ความรักมีค่า อย่าได้ดูถูกและลดค่าของความรักครับ
                     ด้วยรัก
                                                                    Duckhero ผู้เขียน
บทนำ

           อดีต เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของคนทุกคน เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่แสนจะดี หรือว่าเลวร้ายแค่ไหน ทุกคนไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเป็นอดีตที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเป็นอดีตที่ไม่ดี คนที่ได้พบเจอเข้าก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีลืม หรือไม่ก็อยู่กับมันให้ได้ เพื่อที่จะมีชีวิตในปัจจุบันที่ดี เพื่อที่จะส่งผลไปสู่อนาคตที่สวยงาม
    อดีต นอกจากจะเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วนั้น เรายังกลับไปย้อนแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงแม้เรื่องราวเหล่านั้นจะผ่านพ้นมาได้แค่ชั่วโมงเดียวหรือนาทีเดียวก็ตาม สำหรับหลายคนอดีตอาจจะเป็นสิ่งที่ลืมไปแล้ว แต่สำหรับบางคนอดีตเป็นสิ่งที่ส่งผลกับชีวิตของเขาทั้งชีวิต อย่างเช่นชีวิตของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา กลับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาขึ้นมาได้เพราะเรื่องราวในอดีตของเขา
           “ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่รัก ไอ้เด็กพ่อแม่ทิ้ง” เป็นประโยคที่เราได้ยินทุกครั้งเมื่อเราทะเลาะกับเพื่อนเล่นในวัยเด็ก ซึ่งทุกครั้งที่เราได้ยินเพื่อนล้อด้วยประโยคเหล่านี้ เรามักจะเกิดความสลด หดหู่ในใจ เศร้าใจอย่างเป็นที่สุด เพราะสิ่งที่คอยตอกย้ำให้ความเจ็บปวดใจของเรานั้นยิ่งฝังลึกลงไปทุก ๆ ครั้งนั่นก็คือ ทุกคำพูดที่โดนเพื่อนล้อนั้นมันคือความจริง เราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เราต้องอาศัยอยู่กับยาย โดยที่รู้เพียงว่าพ่อแม่ไปทำงานที่ต่างจังหวัดเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัว ข้อนี้นั้นเรารู้ดีว่าพ่อแม่มีความจำเป็นที่ต้องไป เพราะถ้าไม่ไปเราก็ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ที่เรามักจะต้องคล้อยตามคำล้อของเพื่อนอยู่ทุกครั้งไปนั้นก็เพราะว่า เราไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงได้พาพี่ชายและน้องชายของเราไปอยู่ด้วย ทิ้งไว้แค่เราคนเดียวที่ต้องอยู่กับยาย ข้อนี้ที่ทำให้เราขุดหลุมลึกขึ้นภายในใจ แล้วก็เอาคำว่า “ความรัก” ฝังไว้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
           จนวันเวลาในชีวิตเด็กบ้านนอกของเราที่อาศัยอยู่กับยายอย่างค่นแค้น ค่อย ๆ ผันผ่านไป วันแล้ว วันเล่า ปนเปกันไประหว่างความสุข ความทุกข์ เราผ่านวัยเด็กเข้าสู่วัยมัธยม เราเรียนโรงเรียนใกล้บ้านจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พ่อและแม่พร้อมน้องชายได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านเดียวกันกับเรา ส่วนพี่ชายของเราตอนนั้นได้สอบผ่านเข้าไปเป็นนักเรียนตำรวจ จึงไม่ได้กลับมาอยู่บ้านด้วยกัน เรามีโอกาสได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ได้เพียงปีเดียว เพียงปีเดียวเท่านั้นที่เราได้ซึมซับเอาความอบอุ่นจากพ่อและแม่ ถึงแม้ครอบครัวจะลำบาก ยากแค้นเพียงไร แต่เราก็ยังดีใจที่มีพ่อและแม่อยู่ด้วยเสมอ ไม่ใช่เราจะไม่รักยาย แต่เราอยากให้ชีวิตเราเหมือนชีวิตคนอื่น ๆ ที่มีพ่อแม่อยู่ด้วย หลังจากปีเดียวที่ได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่นั้นผ่านไป นั่นหมายถึงว่าเราเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พ่อเราอยากให้เรามีโอกาสได้ไปเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง ประกอบกับเราสอบได้โควตาของสถาบันเทคโนโลยีแห่งหนึ่งของรัฐบาล เราจึงตัดสินใจไปตามคำชี้แนะของพ่อว่า การออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองจะทำให้เรามีประสบการณ์มากยิ่งขึ้นและประสบการณ์เหล่านั้นจะช่วยทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น แต่ในบางครั้งความรู้สึกลึก ๆ ของเราก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าทำไมพ่อถึงไม่อยากให้เราอยู่บ้าน หรือว่าพ่อไม่ได้รักเราอย่างที่เพื่อน ๆ คอยตอกย้ำในวัยเด็ก แต่เราไม่ใช่คนที่คิดอะไรด้านเดียว เราหวนคิดถึงเหตุผลที่พ่อบอกว่าอยากให้เราได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ได้มีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างออกไปจากการเรียนอยู่แถวบ้านเหมือนตอนประถมและมัธยม เหตุผลดังกล่าวสามารถทำให้เราใจชื้นขึ้นมาบ้างและตกลงเดินทางไปเรียนที่สถาบันแห่งนั้น แต่ถึงกระนั้น “ความรัก” ของเรายังคงถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจไม่เคยมีโอกาสได้นำออกมามอบให้กับใครสักคน เหมือนกับเพื่อนวัยรุ่นคนอื่น ๆ ที่เขามีแฟนกันแล้วเป็นส่วนใหญ่
           จากเรื่องราวในอดีตที่คิดว่าพ่อแม่ได้รัก ตามคำหยอกล้อ ด่าทอ ของเพื่อน ๆ ในวัยเด็ก ทำให้เราไม่กล้าที่จะมอบหัวใจให้กับใครถึงแม้ว่าเราจะย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้วก็ตามที แต่เมื่อมาถึงตอนนี้เราไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยที่สมัยเด็กหรือในวัยรุ่นแรกเริ่มของเรานั้น เราไม่ได้มอบความรักให้กับใคร จนเราได้รู้จักความรักที่เรียกว่ารักแรก รักที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่งที่จะมีได้ สามารถพูดได้เต็มปากว่าคุ้มค่าการรอคอย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าการรอคอยนั้นจะสิ้นสุดลงที่ไหน และสิ้นสุดลงแบบใด



*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 10-06-2010 01:53:07
ใครคนนั้น
     เวลาของการใช้ชีวิตนักศึกษาในสถาบันแห่งนั้นของเราผ่านไปได้เกือบสองเดือนแล้ว การรับน้องเริ่มสร่างซา และเราเริ่มเห็นผลดีจากการรับน้องนั่นก็คือ รุ่นพี่ต่าง ๆ จะทำตัวเป็นกันเอง คอยให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ ในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งยิ่งทำให้เรารู้สึกอบอุ่นมากไปกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก จากที่เคยรู้สึกกลัวรุ่นพี่มาก่อน
     สองเดือนกว่า ๆ ผ่านไปจนใกล้ถึงเวลาสอบระหว่างภาค เรายังคงทำตัวเป็นตังเม กับชัย จะตามเขาไปตลอด ชัยเองก็ดูจะไม่เบื่อที่มีเพื่อนคนหนึ่งที่เปรียบเหมือนภาระน้อย ๆ ของเขา ที่ต้องคอยช่วยเหลืออยู่บ่อย ๆ จนวันที่ชัยมีความรักก็มาถึง ชัยเกิดความรักขึ้นกับเพื่อนร่วมห้องเรียนที่ชื่อน้อย เราจึงต้องกลายเป็นสะพานเชื่อมในความรักของเพื่อนผู้แสนดี เพราะในบรรดาหนุ่ม ๆ ในห้องเราจะเป็นคนที่สนิทกับบรรดาสาว ๆ มากกว่าใครอื่น เมื่อทั้งชัยและน้อยตกลงปลงใจที่จะเรียนรู้ใจของกันและกัน พวกเขาจึงต้องการเวลาส่วนตัวของพวกเขามากขึ้น ซึ่งในตอนแรก ๆ นั้น เราเอง ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เพราะเราเองไม่เคยมีแฟนมาก่อน ความรักของเรายังคงถูกฝังลึกเอาไว้ในใจ เราจึงคอยทำตัวเป็นเครื่องหมายไปยาลน้อยที่คอยห้อยตามชัยและน้อยอยู่เสมอ น้อยโอกาสนักที่จะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพัง จนเรามาคิดได้ว่าชัยและน้อยอาจจะต้องการเวลาส่วนตัวของพวกเขาบ้าง เราเลยต้องทำตัวแกร่ง พยายามใช้ชีวิตด้วยตัวเองมากขึ้น หลังจากเลิกเรียนชัยและน้อยก็จะเดินกระหนุงกระหนิงกันระหว่างทางเดินเพื่อกลับหอ ส่วนเราก็จะพยายามเดินให้ทิ้งห่างเพื่อนทั้งสองให้มากขึ้นหรือไม่ก็ไปเดินกับเพื่อนคนอื่น ๆ ตอนเย็นชัยและน้อยมักจะไปนั่งที่สโมสร ทานข้าวด้วยกัน ไปเล่นกีฬาด้วยกัน โดยที่ชัยเลือกเล่นบาสฯ น้อยเลือกเล่นวอลเล่ย์ ส่วนเครื่องหมายไปยาลน้อยอย่างเราก็ไปนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ริมสนามและคอยวิ่งเก็บบอลให้เพื่อน และแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องเป็นนักกีฬาเองบ้าง ผู้เล่นในทีมวอลเล่ย์บอลของน้อยขาดไปหนึ่งคน น้อยจึงเดินมาลากมือให้เราลงไปเล่นด้วย แต่อีกฝ่ายซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมดเกิดการคัดค้านขึ้นมาว่าไม่ยุติธรรมที่จะพาผู้ชายมาร่วมทีมเพื่อแข่งกับพวกเขา แต่น้อยก็ให้เหตุผลที่ฟังดูแปลก ๆ กลับไปจน ทุกคนยอมรับให้เราลงเล่นด้วย
     “ถึงเก่งจะเป็นผู้ชาย แต่พวกเธอดูหุ่น ดูรูปร่างเขาสิ บางซะยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมีแรงตบบอลเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไป ให้เขาเล่นเหอะ ทีมจะได้ครบ ๆ จะได้เล่นกันต่อ” น้อยร่ายยาวจนเรารู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงกับคำพูดของเพื่อนสนิท
     “น้อย นี่เธอพูดซะเราเป็นหญิงไปเลยนะ” เรารีบแขวะน้อย
     “เหอะน่า จะได้เล่นต่อกันซะที” น้อยตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเลศนัยอะไรบางอย่าง
     หลังจากวันนั้นเราจึงเริ่มชอบที่จะได้ออกกำลังกายกับคนอื่นเขาบ้าง เรามักจะลงเล่นวอลเล่ย์บอล (กับทีมผู้หญิง) เพราะพวกผู้ชายถ้าแข่งกันแล้วเล่นกันรุนแรงมาก ลูกตบแต่ละครั้งเล่นเอาแขนอันบอบบางของเราแดงข้ามวันข้ามคืน เราเลยเลือกที่จะเล่นกับทีมหญิง เมื่อทีมไม่ว่างเราจึงต้องย้ายสนามไปเล่นเปตอง อันนี้เราว่าเราเล่นได้ดีทีเดียว เพราะเราได้เป็นตัวยิงประจำทีมด้วย เราจะมีความสุข ยิ้มกว้าง ยิ้มไม่เฉพาะเพียงริมฝีปาก แต่จะยิ้มไปทั้งใบหน้าและดวงตา เมื่อเรายิงลูกของฝ่ายตรงข้ามออกไปห่างจากลูกแกนได้
     นักศึกษาในหลาย ๆ สาขาที่จะต้องมีการลงงาน (ลงงานคือการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น นักศึกษาสาขาสัตว์ ต้องไปคอกวัว คอกหมู คอกไก่ เพื่อทำความสะอาดและให้อาหาร, นักศึกษาประมงก็จะต้องมาเดินตักเศษขยะ เศษใบไม้ในบ่อปลา พร้อมทั้งให้อาหารปลา) จะมีเพียงนักศึกษาสาขาการจัดการและคอมพิวเตอร์ธุรกิจที่ไม่ต้องทำกิจกรรมเหล่านี้ หรือไม่ต้องลงงานนั่นเอง ตอนเช้านักศึกษาสองสาขานี้จึงไม่ต้องรีบตื่น ตอนเย็นก็มีเวลาเล่นกีฬาหรือพักผ่อนกันมากกว่านักศึกษาสาขาอื่น ๆ อีกทั้งนักศึกษาสาขาการจัดการและคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จะเป็นเพียงสองสาขาที่มีนักศึกษาผู้หญิงมาก บรรดาหนุ่ม ๆ สาขาอื่นจึงหมั่นแวะเวียนกันเข้ามาทำความรู้จัก พวกนักศึกษาชายในห้องจึงมักจะมีเพื่อนต่างสาขากันหลายคน หลายสาขา เพราะโดนคนเหล่านั้นขอให้เป็นสะพานเชื่อมรักในเบื้องต้นให้กับพวกเขา เราเองก็จะมีบรรดาเพื่อน ๆ จากสาขาอื่นเข้ามาขอให้ช่วยเป็นสะพานเชื่อมรักให้บ่อยครั้ง เพราะเราเป็นผู้ชายคนเดียวในห้องที่สนิทกับเพื่อนหญิงทุกคนในห้อง แต่เรามักจะทำหน้าที่กลั่นกรองให้เพื่อน ๆ เป็นด่านแรกก่อนเสมอ นั่นคือ คนไหนที่เราดูแล้วไม่ผ่าน เราจะไม่บอกข้อความที่เขาฝากไปบอกเพื่อน ของที่เขาฝากไปให้เราจะให้แต่ไม่บอกว่าของใคร แต่ถ้าใครเราเห็นว่าผ่านเราก็สนับสนุน
     ในช่วงฤดูผลไม้ พวกเรานักศึกษาในห้องคอมพิวเตอร์ธุรกิจมักจะได้กินผลไม้สดตามฤดูกาลกันอยู่เสมอ เพราะพวกนักศึกษาสาขาพืชที่ริอาจจะเป็นแฟนกับสาว ๆ คอมพิวเตอร์ธุรกิจจะต้องผ่านด่านเพื่อน ๆ ให้ได้ก่อน นั่นคือ เวลาจะมาจีบใครจะต้องพกพาเอาผลไม้ที่พวกเขาต้องหมั่นคอยดูแล เอาใจใส่มาฝากพวกเราด้วยเสมอ จากการที่เพื่อนคนแล้ว คนเล่าของเราเริ่มจะมีแฟนกัน เราเองจึงลองมองย้อนกลับมายังตัวเอง คิดหาคำตอบให้กับตัวเอง ว่าความรักที่เราฝังลึกไว้ในใจนั้น ถึงเวลาที่จะใช้แล้วหรือยัง แล้วถ้าจะใช้เราจะใช้กับใครในเมื่อผ่านไปก็หลายเดือนเรายังไม่เกิดความรู้สึกซาบซ่านหรือซึ้งใจกับใครเลยสักคน แต่แล้วความรักที่เราได้เคยขุดหลุมฝังเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ก็ได้เวลาเปิดตัวออกมาบ้าง เมื่อเหตุการณ์บางเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราในเย็นวันหนึ่งที่เราและน้อยพร้อมเพื่อนร่วมห้องไปเล่นวอลเล่ย์บอลกัน สนามวอลเล่ย์บอลจะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับบ่อเลี้ยงปลาของนักศึกษาประมงที่มีเพียงถนนสายหลักของสถาบันกั้นกลาง เมื่อบอลหลุดออกไปนอกสนามและข้ามฝั่งไปตกลงในบ่อประมงที่นักศึกษาประมงหลาย ๆ คนกำลังจับปลากันอยู่นั้น เรา ที่เป็นผู้ชายหนึ่งเดียวในทีมวอลเล่ย์บอลจึงอาสาวิ่งไปเก็บบอลเอง แต่เมื่อเราไปถึงยังขอบบ่อประมง ความรู้สึกประหลาดของเราที่เราไม่เคยรู้สึกมาก่อนมันก็สำแดงเดชออกมา เราถึงกับหยุดชะงัก ยืนตัวแข็ง พูดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นเป็นที่สุด ทั้งใบหน้าและหูของเรารู้สึกร้อนผ่าวไปหมด ด้วยเพราะเรามองไปภายในบ่อประมงแล้วไปสะดุดตากับนักศึกษาประมงคนที่กำลังยืนจ้องหน้าเราอยู่ เขาลงไปยืนอยู่ในบ่อประมงเลี้ยงปลาเพื่อช่วยเพื่อน ๆ จับปลา ทั้ง ๆ ที่เขายังอยู่ในชุดนักศึกษา เขาพับขากางเกงของเขาขึ้นทั้งสองข้างจนเผยให้เห็นขาขาว ๆ ของเขาที่โผล่พ้นโคลนในบ่อเลี้ยงปลา เสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวของเขา ถูกดึงชายเสื้อออกมานอกกางเกง กระดุมถูกปลดออก 2 – 3 เม็ด เผยให้เห็นแผงหน้าอกกว้างของเขารำไร มือทั้งสองข้างของเขาเปื้อนโคลนเหมือนกับเท้าของเขา แต่สายตาภายใต้กรอบแว่นตาของเขาดูจะเฉยชามากที่มองเรา อาจจะเพราะบอลที่ตกลงไปในบ่อทำโคลนกระเด็นไปโดนเสื้อของเขา เขาจึงยืนจ้องหน้าเราอย่างไม่ลดละสายตา ส่วนเราเองนั้นทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พูดติด ๆ ขัด ๆ เพื่อขอให้ใครสักคนช่วยหยิบบอลส่งคืนมาให้ เขาคนนั้นซึ่งเป็นคนที่ยืนอยู่ใกล้บอลมากที่สุดไม่ยอมเก็บให้เอาแต่จ้องหน้าเราอย่างเดียว จนเพื่อนเขาอีกคนหยิบบอลโยนมาให้เราแทน
     “ขอบคุณครับ” เราพูดได้แค่นั้นแล้วรีบพาบอลวิ่งกลับไปยังสนามวอลเล่ย์บอล
     “เฮ้ย ไอ้เก่งไปเก็บบอลกลับหน้าแดงมาเลยวะ สงสัยหนุ่ม ๆ ประมงจีบมันเข้าแล้ว” เสียงของหญิงเพื่อนร่วมห้องแซวมาเป็นคนแรก
     “เออ เก่ง ไปซะนานเชียว ตกลงมีใครจีบเก่งจริง ๆ เหรอ คนไหน น้อยจะได้ช่วยเชียร์ให้อีกแรง” น้อยเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีแบบยิ้ม ๆ
     “นี่ น้อยเธอจะบ้าเหรอ พวกนั้นผู้ชายนะ แล้วเราเองก็ผู้ชายนะ จะจีบกันได้ยังไงกันละ” เรารีบค้อนเพื่อนกลับไป แต่ความรู้สึกของเราตอนนั้นเราเองก็รู้สึกว่า ใบหน้าและหูของตัวเองจะดูร้อน ๆ ผิดปกติ หัวใจเต้นแรงเหมือนดั่งมีใครรัวกลองอยู่ข้างใน มือไม้สั่นไปหมด แต่ก็ยังฝืนปฏิเสธเพื่อน ๆ ไปเพียงว่า
     “ก็คนวิ่งไปแล้วต้องวิ่งกลับมาอีก มันก็ต้องเหนื่อยจนหน้าแดงเป็นธรรมดา”
พูดจบเสียงโห่ ดังขึ้นทั่วสนาม เพื่อน ๆ เลยล้อเรากันใหญ่ ไม่ยอมให้เราได้เอ่ยปากแก้ตัวกับอาการสั่น ประหม่า หน้าแดง อย่างผิดปกติของเรา
     หลังจากวันนั้น เรารู้ตัวดีแล้วว่า “ความรัก” ที่เราได้เคยขุดหลุมลึกฝังไว้ในหัวใจของตัวเอง เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาแล้ว เราไม่รู้ว่ามันจะมีผลอย่างไรกับเราบ้าง เมื่อเราปล่อยให้ความรักเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตที่แสนจะธรรมดาและเรียบง่ายของเรา แต่ตอนนั้นเรารู้เพียงว่าเรามักจะนั่งยิ้มกับตัวเองเสมอเมื่อภายในจินตนาการของเราเห็นใบหน้าของหนุ่มประมงคนนั้น และไม่มีคราใดที่เดินผ่านบ่อประมงแล้วเราจะไม่พยายามสอดส่ายสายตาเพื่อค้นหาว่าเขาคนนั้นอยู่ตรงไหน ยามได้เห็นถึงแม้จะแบบไกล ๆ เราก็หัวใจพองโตเป็นที่สุด แต่ยามที่มองไปแล้วไม่พบเจอเขา เราก็รู้สึกว่าหัวใจที่เคยพองโต ลิงโลดกับความรู้สึกปลาบปลื้มคนคนนั้นมันกลับห่อเหี่ยวลงไปทันที
     “เขาชื่ออะไรนะ อยากรู้จัง” เราแอบคิดในใจยามที่ได้เห็นหน้าของเขา
     และแล้วอีกเหตุการณ์ที่เราได้พบหน้าของเขาคนนั้นอย่างใกล้ ๆ มันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ยากที่จะบรรยายออกมา บอกได้เพียงคำเดียวว่า เมื่อเราเห็นเขาแล้วเรารู้สึกว่ามวลในร่างกายของเรามีค่าเท่ากับศูนย์ เรารู้สึกว่าตัวเองตัวเบาจนแทบจะลอยได้ จากเราที่มีท่าทางใจเย็น เรียบเฉย จะเปลี่ยนเป็นลุกลี้ลุกลน ทำอะไรไม่ถูกไปหมด โดยในเย็นวันนั้น เราเดินตามเพื่อน ๆ ไปยังห้องสมุดเพื่อทำรายงานกลุ่มที่ค้างอยู่ให้เสร็จทันส่งในวันรุ่งขึ้น จากหอพักไปถึงห้องสมุด แน่นอนว่าเราจะต้องเดินไปบนถนนสายหลักของสถาบันและจะต้องผ่านบ่อประมง ถึงแม้เราจะเร่งรีบในการเดินเพราะผิดเวลากับเพื่อนมากแล้ว แต่เมื่อถึงบ่อประมงเราทำได้เพียงเดินอย่างช้า ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้สายตาของตัวเองได้สอดส่ายหาใครคนนั้นได้อย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายแล้วไม่มีวี่แววของเขาคนนั้นปรากฏให้เห็นเลย เราจึงรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้าเขา ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนเป็นรีบเดินต่อไปยังห้องสมุด เพราะเห็นว่าตัวเองไปช้ากว่าเวลาที่เพื่อน ๆ นัดกันมากแล้ว แต่ในขณะที่เรากำลังเดินอย่างเร่งรีบอยู่นั้น เรามีความรู้สึกว่าด้านหลังของเรามีรถมอเตอร์ไซค์ขับตามมาอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ แซงผ่านเราไป เราจึงหันไปมองตามสัญชาติญาณว่าบนรถคนนั้นเป็นใครกัน แต่เมื่อเราเห็นใบหน้าของคนที่นั่งอยู่หลังคนขับมอเตอร์ไซค์เราถึงกับเดินสะดุดเท้าของตัวเอง เพราะคนคนนั้นเป็นเขา คนที่เรามองหาอยู่เมื่อครู่ที่บ่อประมง ตอนนี้เขาเองก็มองมาทางเราเหมือนกัน ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าเขามองเราหรือไม่ เราจึงหยุดเดิน และหันไปมองซ้ายที ขวาที ดูว่ามีใครเดินอยู่อีกบ้างนอกจากเรา แต่ไม่มีใคร มีเราคนเดียวบนถนนสายนั้น
     “นี่เขากำลังมองเราอยู่เหรอ” เราแอบคิดในใจพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก
     “แล้วทำไมยิ้มยากอย่างนี้ ไม่เห็นจะยิ้มให้กันบ้างเลย” เรายังคนบ่นต่อไป เพราะหนุ่มคนนั้นนอกจากจะหันหน้ามามองเราจนลับสายตาด้วยรถที่เคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ แล้ว บนใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขา ไม่มีอารมณ์ใดปรากฏอยู่เลย
     “เขาคงมองเราแหละ” เราพูดขึ้นมาเบา ๆ เมื่อเขาคล้อยหลังจากไปแล้ว รอยยิ้มอย่างมีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเรา ใบหน้าร้อนวูบวาบ เหมือนโดนไฟลน หูก็เหมือนกัน จนเราต้องเดินเอามือจับหูตัวเองไปจนถึงห้องสมุด
     “เก่ง นายไปทำอะไรมา หน้าแดงเชียว” ชัยรีบถามเมื่อเราโผล่เข้าไปในกลุ่ม
     “ไม่มีไรหรอก” ตอบเพื่อนไปแล้วเราก็ยังคงยิ้มกว้าง
     “เก่งโดนเด็กประมงที่บ่อจีบอีกเหรอ” น้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชัยแซวเราขึ้นมาบ้าง
     “น้อย เด็กประมงจีบเก่งเหรอ น้อยรู้ได้ไง” ชัยรีบหันกลับไปถามแฟนตัวเอง
     “ก็วันก่อนตอนเล่นวอลเล่ย์บอล ...” น้อยตอบยังไม่จบประโยคเราก็รีบพูดขัดขึ้นมาก่อน
     “รายงานไปถึงไหนแล้วละ ให้เราช่วยอะไรบ้าง” เราเสนอตัวเพราะรู้ว่าตัวเองมาเข้ากลุ่มช้า อีกทั้งอยากเปลี่ยนเรื่องคุย
     “เสร็จแล้ว เหลือแต่ให้เก่งไปรายงานหน้าห้องพรุ่งนี้” ปอย เพื่อนผู้หญิงอีกคนในกลุ่มบอก
     “ทำไมต้องเป็นเราละ ไม่เอานะ เราพูดหน้าชั้นเรียนไม่เก่งนะ” เรารีบปฏิเสธทันควัน
     “ก็เก่งไม่ได้ช่วยทำนี่นา” ว่าแล้วเพื่อน ๆ มองหน้ากันพร้อมกับส่งยิ้มให้กันอย่างผู้มีชัยในการเลือกตัวผู้ออกรายงานหน้าชั้นเรียน
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง"
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 10-06-2010 01:55:15
แปะกฎด้วยเด้อ
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 10-06-2010 15:36:09
อ่าน "จากใจผู้เขียน" แล้ว รู้สึกว่า นิยายเรื่องนี้ น่าสนใจ  :o9:
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง"
เริ่มหัวข้อโดย: puremind ที่ 10-06-2010 17:51:06
อ่านแล้วลื่นดีจัง   :mc4:  :mc4:
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 10-06-2010 23:58:12
ก่อนที่จะได้อ่านตอนต่อไปกันครับ ขอสอบถามผู้รู้นิดนึงครับว่า "แปะกฏ" คืออะไรครับ แล้วจะต้องทำยังไงเพื่อที่จะให้กระทู้ได้ปักหมุดอะครับ กลัวว่าจะหากันไม่เจอนะครับ หรือว่าต้องรอให้คนอ่านจำนวนมากถึงจะปักหมุดเองครับ ใครทราบรบกวนบอกด้วยนะครับ
เอาละครับมาต่อกันเลยดีกว่าครับ

การเปลี่ยนแปลง
     ตั้งแต่ได้เจอกับเขาคนนั้น เรารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเราเอง เรารู้สึกว่า “ความรัก” ที่เราได้ฝังไว้ในส่วนลึกของจิตใจนั้น ตอนนี้มันต้องการที่จะออกมาโลดแล่นไปตามครรลองความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของที่ในขณะนี้ไม่ว่าจะมองอะไรก็กลายเป็นสิ่งสวยงามไปหมด รอยยิ้มบนริมฝีปากของเราที่มักจะปรากฏเพื่ออวดโฉมกับใคร ๆ อยู่เสมอ ตอนนี้นั้นมันมีเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว แต่มักจะปรากฏขึ้นมาโดยที่ตัวเราเองมักจะไม่รู้สึกตัวนัก บรรดาเพื่อน ๆ รอบกายของเราจึงตั้งข้อสงสัยกันขึ้นมาว่า คนคนไหนที่ทำให้เราดูมีความสุขได้ขนาดนี้ โดยที่เพื่อน ๆ ทุกคนจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มนักศึกษาสาขาประมง เพราะต่างได้รับรู้และเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของเราหลังจากไปเก็บบอลที่บ่อประมง
     “เก่ง บอกหน่อยสิ ว่าใคร ชื่ออะไร” น้อยถามขณะที่เรา น้อย ชัย และวิสูตรนั่งกินข้าวกันที่สโมสรของเย็นวันหนึ่ง
     “อะไรเหรอน้อย” เราทำเป็นไม่เข้าใจคำถาม แต่ตอนนั้นเรารู้สึกได้ว่ารอยยิ้มที่ไม่สามารถบังคับให้หยุดได้ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเราอีกแล้ว
     “อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง น้อยรู้แหละว่าเก่งไปปิ๊งเด็กประมงมานะ” น้อยพูดเหมือนกับรู้ว่าเราคิดอะไร ส่วนเราก็ได้แต่เลี่ยงคำตอบของเพื่อนโดยการส่งยิ้มหวานไปให้แทน แต่จริง ๆ แล้วเราเองก็อยากรู้ไม่น้อยไปกว่าเพื่อนว่าเขาคนนั้นชื่ออะไร ทำไมจึงไม่เห็นเขาในสถาบันบ่อยนัก
     “เขาคงเป็นรุ่นพี่” เราเผลอพูดความคิดของตัวเองออกมาเบา ๆ
     “รุ่นพี่ไหนเก่ง เก่งชอบรุ่นพี่เหรอ” วิสูตรถามบ้างหลังจากที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินด้วยความอร่อยกับอาหารตรงหน้ามานาน
     “กินต่อไปเหอะ” เรารีบตอบกลับไป
     หลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์ นักศึกษาทุกคนต่างก็วุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือเพื่อสอบปลายภาค เราเองก็เช่นกัน อ่านหนังสือบ้าง คิดถึงเขาคนนั้นบ้าง สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง จนวันเวลาของการสอบเสร็จสิ้นลง ต่างคนจึงต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เราไม่มีโอกาสได้เจอเขาคนนั้นแบบใกล้ ๆ อีกเลย และที่สำคัญยังไม่เคยได้พูดกันเลยสักครั้งเดียว ทำได้เพียงเพ้อฝันถึงอยู่คนเดียว ปล่อยให้วันเวลาผ่านไปแล้วผ่านไปอีก จากสอบเสร็จ จนปิดเทอม ปิดเทอมผ่านไปจนถึงเวลาเปิดเทอมใหม่ เราก็ยังไม่ลืมดวงตาเฉยเมยภายใต้กรอบแว่นตาของเทพบุตรคนนั้นของเราเลยแม้แต่วันเดียว
     เมื่อถึงเวลาเปิดเรียนในภาคเรียนที่สอง การเดินทางกลับไปยังสถาบัน สภาพสองข้างทางดูเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก แต่ทุกคนต่างดูมีความตื่นเต้นระคนมีความสุข พูดคุยกันไปต่าง ๆ นานา เพราะจากกกันไปนาน ต่างคนจึงต่างมีเรื่องพูดคุยเล่าสู่กันฟัง เปิดเรียนภาคเรียนที่สองนี้ นักศึกษาชายที่พักอยู่ในหอพักของสถาบันได้รับข่าวร้ายกันถ้วนหน้า นั่นคือ ทุกคนจะต้องย้ายออกไปพักข้างนอก ออกไปหาที่พักกันเอง เนื่องจากหอพักหญิงจะถูกปิดเพื่อทำการซ่อมแซม นักศึกษาหญิงจึงต้องย้ายมาพักที่หอพักชายเป็นการชั่วคราว ส่วนนักศึกษาชายผู้ที่เป็นเพศที่แกร่งกว่าในสายตาของอาจารย์ จึงต้องย้ายออกจากหอกันในอาทิตย์ที่สองของการเปิดเรียน เราเองตกลงกับชัยและวิสูตรแล้วว่าจะไปเช่าหอพักใกล้ ๆ สถาบัน เพราะนักศึกษาผู้หญิงหลายคนในห้องรวมทั้งน้อยแฟนของชัยออกไปเช่าหอใกล้ ๆ กันด้วย
     “ห้องเดียวอยู่กันสามคน คงจะไม่คับแคบเกินไปหรอกนะ” ชัยพูดขณะที่ดูห้องที่จะเช่า
     “ไงก็ได้ เราสบาย ๆ” วิสูตรออกความเห็นสั้น ๆ
     “เราก็โอเคนะ แต่พวกนายอย่าให้เรานอนที่พื้นนะ เรากลัวต้องนอนกับคางคก” เราให้คำตอบเพื่อน แต่ก่อนที่จะตกลงจ่ายเงินค่าเช่ากัน ทิวเพื่อนร่วมห้องอีกคนที่ไปด้วยได้เอ่ยขึ้นเพื่อชวนเราให้ไปเช่าอยู่ด้วยกันกับเขา โดยทิวให้เหตุผลที่เราฟังแล้วพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
     “ผมจะไปอยู่กับประทีปเพื่อนเก่าผม เขาเรียนประมง ตอนนี้เขาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนเขาอีกคน บ้านหลังใหญ่ มี 2 ห้องนอน ถ้าเก่งอยากจะไปเช่าด้วยก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องมาเบียดกันที่นี่” ทิวเอ่ยขึ้นเพียงเพื่อเพราะมีข้อเสนอที่น่าจะดีกว่า แต่เรานั้นคิดไปไกลแล้วในตอนนั้นว่าถ้าได้ไปเช่าอยู่กับทิวนั้นมันหมายถึงว่าได้ไปอยู่ร่วมบ้านกับเด็กประมง ถ้าโชคดีคนที่ชื่อประทีปเป็นเขาคนนั้นขึ้นมาเราก็คงจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขาอย่างเป็นแน่ หรือไม่ถ้าไม่ใช่เขาอย่างน้อยที่สุดแล้ว กลุ่มเด็กประมงน่าจะไปมาหาสู่กันบ้าง เผื่อมีสักวันที่เขาจะแวะไปหาเด็กประมงที่บ้านที่เรากำลังจะตัดสินใจไปอยู่ด้วย คิดได้ดังนั้นแล้วหัวใจของเราพองตัวขึ้นมาและเต้นแรงขึ้นกว่าเก่า เหมือนจะเร่งเร้าให้เราตอบรับปากทิวไปเร็ว ๆ
     “ได้ เราไปอยู่เป็นเพื่อนทิวก็ได้” เราตอบรับโดยมีเหตุมาอ้างว่า
     “อีกอย่างที่นี่ห้องน้ำเราดูแล้วว่าต้องมีคางคกอยู่ด้วย เรากลัวคางคก” เป็นเหตุผลสนับสนุนข้อต่อไปที่เรายกขึ้นมาอ้าง เพราะเพื่อน ๆ ต่างรู้กันดีว่าถ้าให้เราเลือกที่จะจับงูเห่าหรือคางคกนั้น เราจะต้องเลือกจับงูเห่า
     “ก็แล้วแต่เก่งจะสะดวกแล้วกัน แต่ไปอยู่ไกลเปลืองค่ารถไปกลับนะ” ชัยเตือนด้วยห่วงใยในตัวเพื่อน
     “มันก็จริง แต่เราว่ายังดีกว่าให้เราเข้าห้องน้ำพร้อมคางคกละ หรือว่าชัยจะคอยไล่คางคกให้เราเวลาที่เราจะเข้าห้องน้ำ” เราพูดติดตลก
     “เรื่องอะไรละ กลัวก็จัดการเอาเองสิ” ชัยแหย่
     “งั้นเราไปดูบ้านกันดีกว่าเก่ง” ทิวเอ่ยชวน
     เรานั่งรถสองแถวไปกับทิวตามเส้นทางที่มุ่งไปสู่ตัวอำเภอ จนถึงจุดที่ตั้งของบ้านหลังที่จะต้องย้ายเข้าไปอยู่ เราและทิวเดินเข้าซอย โดยผ่านบ้านอื่น ๆ ไปอีกประมาณ 5 หลังจึงถึงบ้านที่เราจะอาศัยอยู่ต่อไป ทิวทำหน้าที่แนะนำเพื่อนของเขาทั้งสองคน คือ ประทีปและเต้ ที่เช่าบ้านอยู่ก่อน โดยเมื่อก่อนพวกเขาจะอยู่กันคนละห้อง แต่เมื่อเราและทิวย้ายมาอยู่ด้วย พวกเขาสองคนจึงอยู่ห้องเดียวกัน และยกอีกห้องให้เป็นของเราและทิว เรารู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ทั้งประทีปและเต้ไม่ใช่เขาคนนั้น แต่เรายังพอจะมีหวังอยู่บ้าง เพราะว่าบ้านหลังที่ 2 ที่อยู่ก่อนที่จะถึงบ้านเรานั้นมีกลุ่มเด็กประมงอีกกลุ่มเช่าอยู่ ไม่แน่ว่าเขาคนนั้นอาจจะอยู่บ้านหลังนั้นด้วยก็เป็นได้ หรือไม่อย่างนั้นแล้ว อย่างน้อยพวกเขาเด็กนักศึกษาประมงด้วยกันจะต้องมีการไปมาหาสู่ สังสรรค์กันบ้าง ไม่มากก็น้อย เขาอาจจะมาปรากฏตัวขึ้นที่บ้านหลังที่เราอยู่ หรือที่บ้านเช่าของนักศึกษาประมงกลุ่มนั้นเข้าสักวันก็เป็นได้ เราได้แต่เพียงให้กำลังใจตัวเอง ก่อนที่จะรู้สึกผิดหวังกับการย้ายไปอยู่ห่างจากเพื่อนสนิททั้งชายและหญิงที่เช่าหออยู่ใกล้ ๆ กัน แถมยังใกล้กับสถาบันอีกต่างหาก แต่เราย้ายไปอยู่จนครบหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ไม่เห็นจะมีวี่แววของเขาคนนั้นปรากฏให้เห็นเลย
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You .. เรื่องเล่าของเราสอง" เพิ่มตอนต่อไป"เริ่มต้นด้ว
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 12-06-2010 21:12:37
เริ่มต้นด้วยการพูดคุย
   วันเวลาผันผ่านล่วงเลยไปเกือบสองอาทิตย์แล้วที่เราได้ย้ายเข้ามาพักในบ้านหลังใหม่ กับเพื่อนกลุ่มใหม่ และสภาพแวดล้อมแบบใหม่ การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเก่าเล็กน้อยที่เราจะต้องรีบตื่นขึ้นมาแต่เช้า เดินผ่านบ้านเด็กประมงหลังนั้น พร้อมกับแอบมองเผื่อว่าจะได้เจอกับใครคนนั้น และมุ่งตรงออกไปยังปากซอยเพื่อรอรถสองแถวโดยสารไปเรียน ตกเย็นก็ใช้แผนผังเดิม เพียงแต่กลับทิศของลูกศร โดยรอรถสองแถวหน้าสถาบัน ลงรถหน้าปากซอยเดินผ่านบ้านเด็กประมง พร้อมกับแอบมองอีกครั้ง และผลก็เหมือนทุกครั้งไม่เห็นเคยเจอเขาคนนั้นเลย
   “คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาคนนั้นแล้วมั้งชีวิตนี้” เราบ่นเบา ๆ ขณะเดินผ่านไปบ้านตัวเอง
   ตลอดเวลาที่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังเดียวกับเพื่อนนักศึกษาประมง เราไม่เคยคิดจะถามประทีบและเต้ เกี่ยวกับข้อมูลของเขาคนนั้นเลยเพราะเรารู้ดีว่า เพื่อนประมงที่อยู่บ้านเดียวกับเรานั้น จะค่อนข้างสันโดษไม่สนิทสนมกับกลุ่มนักศึกษาประมงอีกบ้านมากนัก สังเกตได้จากสองอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกัน ไม่เห็นเพื่อนทั้งสองแวะเวียนไปหาหรือร่วมสังสรรค์ยามนักศึกษาประมงอีกบ้านสังสรรค์กัน จะมีไปร่วมสังสรรค์กันบ้างก็เนื่องในโอกาสอย่างเช่นเป็นวันเกิดของใครสักคน เพื่อนร่วมบ้านของเราก็จะไปร่วมด้วย แต่ไปไม่นานก็กลับ เราเองเหล่าเพื่อน ๆ ประมงก็ชักชวน พูดคุย ด้วยเช่นกัน และอาจจะด้วยลักษณะท่าทางของเรา ที่ดูจะอ่อนนุ่ม เรียบร้อยจนน่าสงสาร จึงมักจะโดนหนุ่ม ๆ บ้านนั้นแซวอยู่บ่อยครั้ง แต่เราก็มีมิตรสัมพันธ์อันดีกับทุกคน แต่ไม่สนิทสนมขนาดเข้าไปนั่งอยู่ในบ้านของพวกเขา หรือไปตั้งวงดื่มกับพวกเขาเลยสักครั้ง
   แต่แล้ววันที่ฟ้าประทานโอกาสให้กับเราก็มาถึง วันที่เรานอนตื่นสาย เลยออกไปเรียนช้ากว่าปกติทุก ๆ วัน เราจึงเดินอย่างรีบเร่งเพื่อออกไปขึ้นรถที่ปากซอย แต่แล้วจากการเดินอย่างรวดเร็วของเรานั้นกลับต้องหยุดชะงักลงโดยกระทันหันจนหัวแทบคะมำ เพราะสายตาของเราที่ยังคงแอบเหลือบมองไปยังบ้านของเด็กประมงกลุ่มนั้น ไปสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งที่เราใฝ่ฝันที่จะได้เจอเขาอีกสักครั้ง เขากำลังสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ของเขาอยู่เพื่อเตรียมตัวออกไปเรียนเหมือนกัน
   “มาสิ ไปด้วยกันไหม” เป็นเสียงแรกที่เรามีโอกาสได้ยินจากปากของเขา ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าเขาชวนเราหรือไม่ เราจึงหันซ้ายที ขวาที ดูว่ามีใครให้เขาชวนไปด้วยอยู่ตรงนั้นอีกบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีใคร เราจึงหันหน้าไปมองเขาอย่างอาย ๆ พร้อมกับสั่นศีรษะเพื่อบอกเขาว่าไม่ไป ดวงตาของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง รอยยิ้มยังไม่มีปรากฏบนใบหน้าเรียวงามของเขา แล้วใครเล่าจะกล้าไปนั่งรถกับเขาได้
   “ไหน ๆ ก็ไปทางเดียวกันจะไปนั่งสองแถวอีกทำไมละ” เขาพูดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแข็ง ๆ เหมือนประโยคแรก
คนอะไรไม่อ่อนโยนเอาเสียเลย เราทำได้แต่เพียงคิดในใจตัวเอง
   “ไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณครับ” เราพูดตอบไปได้แค่นั้น ทั้งที่ในใจแอบคิดไปว่าหากได้ไปนั่งมอเตอร์ไซค์กับเขา อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราและเขาได้ใกล้ชิดกัน แต่เรากลับปล่อยโอกาสนั้นไป
   “งั้นตามใจ” เป็นคำพูดทิ้งท้ายจากเขาคนนั้น ก่อนที่จะออกรถไปอย่างไม่หันหลังกลับมามองเราเลย
   “สายอยู่แล้ว ยังต้องมาเสียเวลาเพิ่มเข้าไปอีก แต่ก็คุ้มที่ได้เจอเขา” เราพูดกับตัวเองเบา ๆ ขณะยืนยิ้มกว้างรอรถสองแถว
   วันนั้นเป็นวันที่มวลสารในร่างกายของเราได้อันตรธานหายไปอีกครั้ง นอกจากเราจะเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว (ซึ่งปกติก็เป็นเช่นนั้น) เรายังคอยเผลอยิ้มให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อคิดไปถึงว่าเขาคนนั้นเป็นคนเอ่ยปากพูดกับเราก่อน ถึงแม้น้ำเสียงจะแข็ง ๆ สีหน้าจะเย็นชา เฉยเมย แต่แค่นั้นเราก็ยิ้มไปทั้งวันได้เหมือนกัน เราเพิ่งมารู้ว่าทำไมเราถึงไม่ได้เจอเขาเลยตลอดเวลาที่ย้ายไปอยู่ที่นั่น เพราะปกติเราจะออกมาเรียนเช้ากว่าเขา และกลับเข้าบ้านเร็วกว่าเขา และแน่นอนเมื่อเข้ากลับไปบ้านแล้วเราก็อยู่แต่ในบ้าน ไม่มีโอกาสที่จะออกไปไหนมากนัก เพราะทั้งไม่สะดวกและไม่มีเพื่อน ทิวเพื่อนร่วมห้องเรียนที่มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเขาก็ช่างมีโลกส่วนตัวซะเหลือเกิน ทำอะไรก็ทำคนเดียว ไปไหนมาไหนก็ไปคนเดียว เราไปอยู่ที่นั่นเลยเหมือนตัวคนเดียว แต่หลังจากนี้ไปมันจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เพราะเมื่อเราเดินเข้าซอยไปหลังจากลงจากรถสองแถวในวันนั้น เราเห็นเขาคนนั้นนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้าน เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงยังเป็นกางเกงนักศึกษาที่ใส่ไปเรียนเมื่อตอนกลางวัน เขากำลังก้มหน้าก้มตาเล่นกีตาร์และร้องเพลงไปเบา ๆ เราแอบเดินไปอย่างช้า ๆ และเบา ๆ เพื่อแอบฟังเสียงเพลงของเขา แต่เมื่อได้ยินว่าเสียงกีตาร์ที่เขาเล่นนั้นหยุดลง แสดงว่าเขาคงจะรู้ตัวแล้วว่ามีสิ่งแปลกปลอมไปรบกวนเขา สิ่งแปลกปลอมอย่างเราเลยรีบตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อ เพื่อที่จะผ่านเขาไปยังบ้านของตัวเอง
   “เมื่อเช้าทำไมไม่ไปด้วยกันละ” เสียงที่ฟังดูนุ่มขึ้นกว่าเมื่อเช้าเอ่ยขึ้นก่อนที่เราจะเดินผ่านไป เราถึงกับหยุดเดินโดยอัตโนมัติ แล้วจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับไปทางเขา แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนรองเท้าของตัวเอง
   “เกรงใจนะครับ” เราพูดออกไปได้แค่นั้น
   “เกรงใจอะไรกัน ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว” เขายังคงพูดต่อ ทำให้เรามั่นใจขึ้นว่าเสียงของเขาดูนุ่มขึ้น และถ้าให้คิดให้ดีไปกว่านั้น ดูน้ำเสียงของเขาออกจะผิดหวัง อยู่สักหน่อย
   “เข้ามานั่งก่อนสิ จะรีบไปไหน มาคุยกันก่อน” เขาเชื้อเชิญเราให้เข้าไปนั่งคุยกับเขา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ถึงแม้เราจะเฝ้าฝันหาแต่เราก็ไม่เคยคาดหวังมันมาก่อนและตอนนั้นเราก็ไม่ได้เก่งสมชื่อเพราะเราไม่มีความกล้าพอที่จะเดินเข้าไปนั่งพูดคุยกับเขาตามคำเชื้อเชิญได้
   “ไม่เป็นไรครับ เราจะรีบกลับไปเปลี่ยนชุด” เราตอบปฏิเสธไปอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ใจนั้นไปอยู่ข้าง ๆ เขาแล้วในตอนนั้น
   “ชื่อเก่ง เรียนคอมใช่ไหม” เขาเอ่ยถามขึ้นมา
   “โอ้แม่เจ้า เขารู้จักชื่อเราด้วย” เราคิดในใจ แต่เผยรอยยิ้มออกมาซะแก้มแทบปริ
   “เปลี่ยนชุดแล้วกลับมาที่นี่นะ” เขาคนนั้นย้ำอีกครั้งก่อนก้มหน้าก้มตาลงไปหากีตาร์ตัวโปรดของเขาอีกครั้ง
   “ครับ” เราตอบรับ เพราะคิดว่าหากปฏิเสธเขาอีกมันอาจจะดูไม่ดีนัก จะลองเข้าไปคุยกับเขาตามความต้องการของหัวใจตัวเองบ้างจะเป็นไรไป ว่าแล้วเราจึงรีบเดินกลับไปบ้านด้วยหัวใจที่แสนจะพองโต เรารู้สึกมีความสุขอย่างที่สุด ถึงแม้การเริ่มต้นของเรากับเขาคนนั้นจะเป็นเพียงภาพที่ผ่านสายตากันไปมา แต่ในตอนนี้เราได้พูดคุยกับเขาแล้ว โดยที่เขาเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำไป และที่สำคัญที่สุด เราที่คอยมองหาเขาอยู่ตลอดเวลา กลับไม่รู้จักชื่อของเขา แต่เขากลับรู้จักชื่อของเราและรู้แม้กระทั่งว่าเราเรียนอยู่สาขาอะไร
   เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำรองที่เราคิดว่าจะทำให้เราดูดีที่สุดในสายตาของเขาแล้วนั้น เราจึงเดินย้อนกลับไปยังบ้านของเขาคนนั้น เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม อยู่ในอิริยาบถเดิม คือ นั่งเล่นกีตาร์และร้องเพลงคลอไปเบา ๆ
   “เพื่อน ๆ นายไปไหนกันหมดละครับวันนี้” เราส่งเสียงถามไปก่อนที่จะเดินเข้าไปถึงตัวเขาเพื่อเป็นการเตือนให้เขารู้ว่าเรามาแล้ว
   “ไม่รู้มันสิ” เขาตอบ
   “เอ่อ ว่าแต่ นายชื่ออะไรละ เรายังไม่รู้จักชื่อนายเลย” เราถามเขาไปด้วยที่ไม่รู้จักชื่อเขามาก่อนจริง ๆ เขาหยุดเล่นกีตาร์ เงยหน้าขึ้นและหันมามองทางเรา ถ้าเราดูสายตาของเขาไม่ผิด ดูแววตาของเขาจะเจือไปด้วยความผิดหวังอยู่น้อย ๆ กับคำถามที่เราถามไป
   “ตุ่น ผมชื่อตุ่น เรียนประมง ปี 1 เหมือนเรานะแหละ เด็กปี 1 เหมือนกัน” ตุ่นตอบกลับมาน้ำเสียงเบา ๆ
   “อ้าว คิดว่ารุ่นพี่ซะอีก” เราพูดไปโดยไม่ได้คิดว่าเขาหน้าตาแก่แต่อย่างใด แต่เพราะไม่เคยเห็นเขาในกลุ่มเด็กปี 1 เวลามีการประชุม ปฐมนิเทศ หรืออะไรก็ตามแต่ที่รวมเด็กปี 1 พร้อม ๆ กัน เราไม่เคยเห็นเขาเลย
   “นี่หาว่าผมแก่เหรอ” ตุ่นพูดสวนกลับมา
   “เปล่า” เราเลยต้องอธิบายเหตุผลอย่างที่คิดว่าทำไมถึงได้คิดว่าเขาเป็นรุ่นพี่
   “งั้นก็แล้วไป เล่นกีตาร์เป็นไหม” ตุ่นถามต่อ
   “ไม่เป็น” เราตอบไปตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าเราจะชอบฟังเพลงและฟังได้ทุกแนว แต่ความสามารถด้านดนตรีของเราไม่เคยปรากฏให้เห็นเลยในชีวิตนี้ ถึงแม้จะเคยพยายามเท่าไหร่มันก็ไม่เคยเป็นผล
   “งั้นเดี๋ยวตุ่นเล่นกีตาร์ แล้วเก่งร้องเพลงนะ” ตุ่นยังคงพูดต่อเพื่อให้เราได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของเขา
   “ตุ่นให้เราร้องไห้จะง่ายกว่าร้องเพลงนะ” เราตอบกลับไปอย่างติดตลก
   “ได้ งั้นนั่งฟังอย่างเดียวแล้วกัน” ตุ่นหมดหนทางที่จะดึงให้เราเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของเขา
   เราเองนั้นไม่รู้ตัวเองว่าได้แสดงท่าทีหรือท่าทางอะไรออกไปบ้างในขณะที่นั่งฟังเขาร้องเพลงเบา ๆ คลอกับเสียงกีตาร์ เรารู้เพียงอย่างเดียวว่า รู้สึกอิ่มเอมหัวใจ ดีใจ มีความสุขเป็นที่สุด ตุ่นเองก็หันหน้ามามองคนฟังอย่างเราอยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับเผยรอยยิ้มอันแสนจะอบอุ่นของเขาให้กับเรา
และแล้ววันเวลาที่แสนจะอบอุ่น วันเวลาที่ทำให้เราและคนที่เราแอบปลื้มได้ทำความรู้จักกันก็ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับที่หลาย ๆ คนพูดไว้ว่า เมื่อไหร่ที่มีความสุข วันเวลานั้นจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวันเวลาแห่งความสุขของเราผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องขอตัวลาจากตุ่นเพื่อกลับบ้านไปนอน
   “เจอกันพรุ่งนี้นะ” ตุ่นพูดทิ้งท้ายหลังจากที่เราบอกว่าจะกลับบ้านไปนอนแล้วเพราะมันดึกมากแล้ว
   “ครับ ไปละ” เราตอบก่อนเดินจากไป
   และแล้วคืนวันนั้นเราได้นอนหลับไปอย่างมีความสุขเป็นที่สุด หลับไปทั้งที่บนใบหน้ายังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข การย้ายที่พักของเราไม่ทำให้เราผิดหวังอีกต่อไป เพราะเราได้พาร่างกายของตัวเองเข้าใกล้กับหัวใจของเราที่แอบไปอยู่ข้าง ๆ เขาคนนั้น ที่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเขาอยู่ใกล้ ๆ เรานี่เอง หากมีโอกาสเราจะคว้าเอาหัวใจเขามาเป็นของตัวเราเองด้วยให้ได้ จะไม่เพียงมอบหัวใจให้เขาเพียงฝ่ายเดียว
หลังจากวันนั้น เราและตุ่นก็เริ่มที่จะสนิทและพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองมากขึ้น
   “เก่ง เก่ง ตื่นนอนแล้วยัง” เสียงตุ่นมาตะโกนอยู่หน้าบ้าน ปลุกให้เราตื่นจากการนอนหลับฝันหวาน
   “มาเรียกทำไมกันเนี่ย ยังเช้าอยู่เลยนะ” เราบ่นเบา ๆ พร้อมกับเดินไปเปิดประตูระเบียงหน้าบ้านเพื่อสนทนากับคนพิเศษที่มาเยือนในยามเช้า โดยลืมสำรวจสภาพของตัวเองว่าหลังจากนอนหลับอย่างมีความสุขแล้วสภาพของตัวเองเป็นอย่างไร
   “ตื่นแล้วครับ มีอะไรเหรอ มาเรียกแต่เช้าเลย” เรางัวเงียถามกลับไป
   “สภาพดูไม่ได้เลย รีบอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้า เดี๋ยวมารับนะ” พูดเสร็จ คนออกคำสั่งก็เดินย้อนกลับไปยังบ้านของตัวเอง โดยไม่ได้บอกด้วยซ้ำไปว่าเช้าวันเสาร์อย่างนี้จะชวนเราไปไหน มันควรจะเป็นเวลาที่ได้นอนมากกว่า
   “ครับ” เราตอบรับเขาไป แต่แล้วก็กลับไปนอนลงอีกครั้ง จนต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงเรียกอีกครั้ง
   “เก่ง เก่ง เสร็จแล้วยัง” เสียงตุ่นมาตะโกนอีกครั้ง เรารีบเดินออกไปหน้าระเบียงบ้านในสภาพเดิม
   “อ้าว ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ” ตุ่นถามกลับมาเมื่อเห็นเราอยู่ในสภาพงัวเงียเหมือนเดิม
   “จะไปไหนละ เราไม่ไปดีกว่า อยากจะนอน” เราตอบไป เหตุผลฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นัก ทั้ง ๆ ที่เราเองอยากจะใกล้ชิดกับเขา แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดที่ปากเอ่ยปฏิเสธออกไปทุกที
   “ตามใจ” ว่าแล้วตุ่นก็กลับไปบ้านของตัวเองอีกครั้งหนึ่งด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างเคย
   “นี่เราปฏิเสธไปทำไม แต่นอนต่อดีกว่า” คิดได้ดังนั้นแล้วเราจึงเดินกลับไปนอนต่อ จนหลับไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อท้องของตัวเองร้องเตือนให้รู้ว่าหิวแล้ว
   “ไปกินข้าวหน้าปากซอยดีกว่า” ว่าแล้วเราจึงลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งตัว เพื่อจะเดินออกไปร้านหน้าปากซอยเพื่อหาอะไรทาน แต่ก็ต้องไปหยุดอยู่ที่บ้านของตุ่น เพราะเจอกับตุ่นที่หน้าบ้าน บนเก้าอี้ตัวเดิม เหมือนทุกวัน
   “อ้าว แล้วตุ่นไม่ได้ออกไปไหนเหรอ” เราถาม เพราะไม่คิดว่าตุ่นจะยกเลิกโปรแกรมของตนเมื่อเราไม่ตกลงจะไปด้วย
   “ไม่ไปแล้ว” เสียงตอบกลับมาแข็ง ๆ อีกแล้ว
   “ทำไมละ โกรธเราเหรอ” เราถามกลับไปอย่างยียวนนัก
   “โกรธทำไมกัน แล้วนั่นจะไปไหน” ตุ่นตอบและถามกลับมาบ้าง
   “ไปกินข้าวสิ หน้าปากซอยเนี่ย หิวแล้ว” เราตอบกลับ
   “มากินที่บ้านสิ มีแกงส้มนะ” ตุ่นเอ่ยปากชวนเป็นครั้งที่สามหรือสี่แล้วหลังจากเราและเขาเริ่มพูดคุยกัน เขามีไมตรีที่ดียื่นมาให้เสมอ แต่เราก็เช่นเดิม เหมือนเดิมทุกครั้งที่เขาชวน
   “ไม่ละ เราไม่ชอบกินแกงส้ม จะไปกินข้าวไข่เจียวหมูสับ” เราตอบ
   “ตามใจ” ตุ่นตอบสั้น ๆ
   “งั้นไปละนะ” ว่าแล้วเราจึงเดินจากไปปล่อยตุ่นไว้กับกีตาร์ตัวโปรดของเขา
   เมื่อกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเดินกลับเข้าบ้าน โดยตั้งใจจะไปแวะหาตุ่นอีก แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้อยู่ที่หน้าบ้านแล้วในตอนนั้น เราได้ยินเพียงแต่เสียง ซึ่งฟังดูเหมือนจะเป็นเสียงซักผ้า เราจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้านของตุ่น เมื่อมองไปยังด้านหลังของบ้าน เห็นตุ่นกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ๆ หน้ากะละมังซักผ้า โดยท่อนบนนั้นเปลือยเปล่า เราเองถึงกับใบหน้าร้อนวูบวาบ ด้วยเขินอายเพราะแอบคิดอะไรที่ทะเล้นเกินความเป็นเพื่อนไปแล้วในตอนนั้น
   “มายืนมองอะไรละ มาช่วยซักผ้าดีกว่า” ตุ่นพูดขึ้นมาทำให้เรารู้สึกตัวว่าตอนนั้นตัวเองกำลังยืนจ้องมองผู้ชายที่เปลือยร่างกายส่วนบนคนนั้นอยู่
   “เรื่องไรจะช่วย ผ้าใครใครก็ซักสิ” เราตอบไปแก้เขิน พร้อมกับเดินไปนั่งลงใกล้ ๆ เขา
   “แล้วเพื่อน ๆ ไปไหนกันหมดละ” เราถามต่อ
   “กลับบ้านกันหมด” ตุ่นตอบมาพร้อมกับก้มหน้าก้มตาซักผ้าต่อไป
   “แล้วตุ่นไม่กลับบ้างเหรอ” เราถามกลับไปพร้อมกับรู้สึกว่าตัวเองนั้นได้นั่งลงข้าง ๆ เขา มือของตัวเองนั้นกำลังเล่นฟองจากผงซักฟอกในกะละมังที่ตุ่นกำลังซักผ้าอยู่
   “เพิ่งกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ถ้าอาทิตย์นี้กลับไปอีก แม่ได้กระทืบให้” ตุ่นตอบกลับมา
   “แล้วถ้าไม่ช่วยซัก จะมานั่งเล่นฟองให้มันสกปรกทำไม” ตุ่นถามพร้อมกับหยุดมองไปที่มือของเราเพื่อเป็นการเตือนให้รู้ว่าเรากำลังเล่นฟองผงซักฟอกในกะละมังของเขาอยู่
   “อยากให้กำลังใจ” เราตอบไปได้แค่นั้น ไม่สามารถพูดอะไรได้ต่อไป เพราะอาการเขินอายมันทำให้คอของเราตีบตันไปแล้วในตอนนั้น
   “แล้วเมื่อเช้าตุ่นชวนเราไปไหนละ แล้วทำไมตุ่นถึงไม่ไปละ” เราถามไปตามความคิดสงสัยของตัวเองหลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน
   “ก็กะว่าจะชวนเก่งไปเที่ยวที่สวนสาธารณะในตัวเมือง ไม่เคยไปใช่ไหม” ตุ่นตอบกลับมา
   “อืมม ใช่ งั้นไปก็ได้ รีบซักผ้าสิ จะได้ไปกันเลย” เราตอบไปอย่างรู้สึกผิด
   “ไปทำไมกันตอนนี้ แดดร้อนแล้ว เดี๋ยวได้เป็นลมแดดกันพอดี” ตุ่นย้อนกลับมา
   “ก็ใครจะไปรู้ละ ก็เมื่อเช้าถามแล้วไม่ยอมบอกเองนี่” เราค้อนกลับไปบ้าง
   “บอกไปจะเซอร์ไพรส์ไหมละ” ตุ่นพูด หลังจากประโยคนี้ของตุ่น ทั้งเราและตุ่นต่างฝ่ายต่างเงียบ ไม่มีบทสนทนาใดออกมา ต่างหวังให้อีกฝ่ายเอ่ยพูดขึ้นมาก่อน แต่โชคดีเหมือนมีระฆังช่วยให้ภาวะของความเงียบคลายลง เมื่อมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้าน
   “เฮ้ย ไอ้สองคนนั้นแอบทำไรกันวะ อายฟ้าอายฝนบ้างนะโว้ย” เสียงพูดดังขึ้นหน้าบ้าน เมื่อเสียงมอเตอร์ไซค์ที่คนพูดพามาเงียบเสียงลง
   “ซักผ้า มึงไม่เห็นรึไง” ตุ่นตอบเพื่อนกลับไป
   “ซักผ้าเหรอ เห็นนั่งออเซาะกันขนาดนั้น” สมคิดเพื่อนร่วมกลุ่มของตุ่น ผู้มาเยือนเอ่ยขึ้น จึงทำให้เรารู้ตัวว่าตัวเองนั้นนั่งไหล่ชนกันกับไหล่อันเปลือยเปล่าของตุ่นไปตอนไหนแล้วก็ไม่รู้
   “มึงไม่ต้องพูดมาก มีอะไร” ตุ่นพูดสวนกลับเพื่อนของเขาไป
   “รีบซัก เดี๋ยวไปบ้านสมเกียรติกัน” สมคิดเอ่ยชวนขึ้น
   “ได้ ๆ รอแป๊บนึงนะ” ตุ่นตอบกลับไป พร้อมกับรีบก้มหน้าก้มตาซักผ้าอย่างรวดเร็ว
   “งั้นเรากลับบ้านก่อนนะ” เมื่อเห็นว่าตุ่นต้องจะออกไปกับเพื่อน จึงรีบเอ่ยเพื่อขอตัวกลับบ้านตัวเองบ้าง
   “จะไปไหน เดี๋ยวไปด้วยกัน” ตุ่นชวน
   “ไม่ดีกว่า ตุ่นไปกับเพื่อน ๆ ตุ่นเถอะ” เราตอบปฏิเสธไปอีกครั้ง
   “ก็เพื่อน ๆ กันทั้งนั้น ไปนะ” ตุ่นเว้าวอน
   “ไม่เป็นไร ตุ่นไปสนุกกับเพื่อน ๆ เถอะ” ว่าแล้วเรารีบเดินจากไป เพราะไม่อยากให้ตุ่นต้องเชื้อเชิญหลายครั้งหลายครา ด้วยความที่รู้สึกผิดที่ไม่ยอมไปกับเขาสักครั้งเมื่อเขาเอ่ยชวน
   ตกเย็นของวันนั้น เรายังคงนอนดูทีวีอยู่บนที่นอนไปเรื่อยเปื่อยทั้ง ๆ ที่รู้สึกหิวแล้ว ในใจก็อยากจะออกไปดูว่าตุ่นกลับมาแล้วหรือยัง อยากจะไปนั่งคุยกับเขาเหลือเกิน แต่เราก็ยังขี้เกียจที่จะลุกเดินไปจากที่นอน
   “เก่ง เก่ง อยู่ไหม เปิดประตูหน่อย” เสียงตุ่นดังขึ้นที่หน้าบ้าน
   “แป๊บนึงครับ” เราตะโกนตอบกลับไปพร้อมกับวิ่งลงบันไดไปเปิดประตูบ้านเพื่อเปิดให้ตุ่นได้เข้ามาในบ้าน
   “กินอะไรแล้วยัง เอ้านี่ผัดไท ตุ่นซื้อมาฝาก ร้านนี้อร่อยนะ วันหลังจะพาไปกินที่ร้าน” ตุ่นพูดพร้อมกับยื่นถุงในมือให้กับเรา
   “โหหหหหหห ขอบคุณมาก กำลังหิวเลย ขึ้นไปข้างบนก่อนสิ” เราเอ่ยชวนตุ่นขึ้นไปยังห้องของเรา
   “คนอื่น ๆ กลับบ้านกันเหรอ” ตุ่นเอ่ยถามในขณะที่เราเริ่มแกะห่อผัดไทที่อยู่ตรงหน้า
   “ใช่” เราตอบไปสั้น ๆ พร้อมกับลงมือกินผัดไท เราไม่รู้ว่าผัดไทมื้อนั้นอร่อยมากน้อยสักเพียงใด แต่เราว่ามันเป็นผัดไทที่วิเศษที่สุดที่เราเคยได้กินมา เพราะมันเป็นผัดไทที่ตุ่น คนที่เราแอบหลงรักซื้อมาฝาก ส่วนตุ่นนั้นบอกว่ากินมาแล้วกับเพื่อน เลยได้แต่นั่งมองเรากินผัดไทสลับกับการหันดูจอทีวี จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ตุ่นจึงขอตัวกลับบ้านเพื่อไปนอน
   ถึงวันนี้ ตอนนี้ เวลานี้ หลุมที่เคยฝังความรักของเราเอาไว้ ถูกขุดเปิดออกแล้ว ความรักของเรามารออยู่เต็มหัวใจแล้ว เตรียมพร้อมที่จะมอบให้กับใครคนนั้น เพียงแต่เราจะมีความกล้ามากน้อยเพียงใด เพราะเราเองไม่มั่นใจว่าตุ่นจะคิดกับเราเช่นไร เพียงเพื่อน หรือมากกว่า ตุ่นจะใช่คนประเภทเดียวกับเราหรือไม่ที่ชอบเพศเดียวกัน ถึงเราจะอึดอัดที่ยังไม่รับรู้คำตอบ แต่เราก็มีความสุขและเป็นปลื้มกับหลายวันที่ได้รู้จักกัน พูดคุยกันกับตุ่นคนพิเศษคนนั้น
   หลังจากวันนั้นเรามีความสนิทสนมกับกลุ่มเด็กประมงในบ้านหลังดังกล่าวนั้นมากกว่าเพื่อนร่วมบ้านของเราอีก 3 คนด้วยซ้ำไป ทุกเวลาว่าง เราจะต้องไปขลุกอยู่กับตุ่นตลอดเวลา ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรทำกันมากมาย นอกจากไปนั่งเล่นฟองผงซักฟอกในกะละมังซักผ้าของเขา หรือไม่ก็ไปเป็นผู้ฟังที่ดียามเขาเล่นกีตาร์ และร้องเพลง ถึงแม้เสียงร้องเพลงของเขาจะไม่เอาไหนหนัก แต่เราก็ยังอยากไปนั่งฟังเสมอ ส่วนกับเพื่อน ๆ ในบ้านของตุ่นดูทุกคนจะรักและแสนดีกับเราเช่นกัน ทุกคนจะคอยหยอกเย้า ช่วยเหลือ คอยพูดจาแซว โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับตุ่นอยู่เสมอยามที่เราและตุ่นอยู่ใกล้กัน
   “พวกมึงอย่าหวานกันมากได้ไหม”
   “เฮ้ย กูเลี่ยนวะ ห่าง ๆ กันหน่อย”
   “ไอ้คู่นี้มันเป็นแฟนกันแล้วเหรอ”
   “มึงติดกันจนจะเป็นคนเดียวกันอยู่แล้วนะ”
   เป็นประโยคที่ได้ยินจนชินหูจากปากของนักศีกษาประมงที่อยู่บ้านเดียวกับตุ่น แต่ตุ่นเองดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดของเพื่อน ๆ มากนัก ไม่เคยที่จะตอบรับคำหรือตอบปฏิเสธข้อกล่าวหาของเพื่อนเลย ส่วนเรานั้นไม่ต้องพูดถึง อยากให้ทุกคำพูดของเพื่อนนั้นเป็นจริงตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" มาเพิ่มตอนต่อไปครับ "การ
เริ่มหัวข้อโดย: non~animé ที่ 13-06-2010 07:26:40
ความรักของเรากะไรเตอร์ถูกฝังไว้ที่ก้นบิ้งของหัวใจเหมือนกัน
แต่ต่างกันตรงที่เหตุผลของการขุดหลุมฝังมันไว้....

เห็นด้วยที่ว่า "ความรักมีค่า อย่าได้ดูถูกและลดค่าของมัน" เพราะเราเคยดูถูกมันและที่ผ่านว่าไม่เคยเห็นว่ามันจะราบรื่นและยาวนานเหมือนความรักแบบชายหญิงทั่วๆ ไป
เห็นด้วยที่ว่า "รักแรก..เป็นรักที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่งที่จะมีได้ สามารถพูดได้เต็มปากว่าคุ้มค่าการรอคอย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าการรอคอยนั้นจะสิ้นสุดลงที่ไหน และสิ้นสุดลงแบบใด" เพราะทุกวันนี้ก้อไม่มีวันที่จะลืมความรักครั้งนั้นลงได้ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึง...แต่ก้อไม่อยากลืมและมิเคยลืมเลือนไปจากหัวใจได้เลย

ปล.ขอสมัครเปน Fc เรื่องนี้ด้วยคน อาจจะไม่ได้เข้ามาอ่านบ่อย แต่ก้อจะตามเรื่อยๆจ๊ะ
ปล2.เพราะเปิดเทอมแล้ว อะไรๆ มานก้อช่างหนักหน่วง....หัวจายยย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ใกล้ชิด ชิดใกล้"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 13-06-2010 21:12:06
ใกล้ชิด ... ชิดใกล้

   การดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปบ้างเมื่อใกล้ชิดกับตุ่น แต่เรารู้ดีว่ามันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ถึงแม้เราจะรู้สึกคลุมเครือกับความรู้สึกของตุ่นว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา เขามีความรักให้เราหรือไม่ หรือมีไปในแนวทางใด แต่เมื่อเราสัมผัสได้กับการกระทำที่เขากระทำสิ่งต่าง ๆ ต่อเรา ทำให้เราคิดว่า คำตอบที่ว่าตุ่นจะคิดอย่างไรกับเรานั้น มันไม่สำคัญเลย ขอเพียงแค่เขายังคงเป็นตุ่นคนเดิมคนนี้ เป็นแบบเดิมแบบนี้ไปตลอดก็เพียงพอแล้ว
   “เก่งอยากเล่นกีตาร์เป็นไหม” ตุ่นเอ่ยถามขึ้นในเย็นวันหนึ่งขณะที่เขากำลังเล่นกีตาร์และเราทำหน้าที่คนฟังที่ดีอยู่
   “ถ้าเล่นเป็นก็ดีสินะ” เราตอบเขาไป
   “งั้นเดี๋ยวตุ่นสอนให้ เอาไหม” ตุ่นยื่นข้อเสนอ
   “แต่เราบอกไว้ก่อนนะ ว่าเราไม่เอาไหนเรื่องเครื่องดนตรี” เราพูด
   “ก็บอกว่าจะสอนให้อยู่นี่ไง” ตุ่นย้ำ
   “ก็ได้” เราตอบไปพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้ตุ่นผู้แสนดีเสมอมา
   “งั้นก็มานั่งตรงนี้สิ อยู่ตรงนั้นจะสอนได้ไงกัน” ตุ่นพูดพร้อมกับเรียกให้เราเข้าไปนั่งด้วยกับเขา ตุ่นขยับถอยหลังเข้าไปนั่งจนติดพนักพิงของเก้าอี้ เพื่อเว้นที่ว่างด้านหน้าของเขาสำหรับเรา เราเดินไปหาเขา แต่ยังคงไม่กล้าที่จะนั่งลงไปยังตำแหน่งที่เขาเว้นไว้ให้ นั่นคือระหว่างขาสองข้างของเขา
   “นั่งลงสิ จะมายืนค้ำหัวอยู่ทำไมกัน” ตุ่นเตือน เราจึงค่อย ๆ นั่งลงอย่างตื่นเต้นพอตัวกับการใกล้ชิดกันแบบเนื้อแนบเนื้อขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะมีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่แต่เรารู้สึกได้ถึงแรงจากการเต้นของหัวใจภายในทรวงอกของตุ่น ส่วนหัวใจของเราเองกลายเป็นกลองที่กำลังตีรัวรวดเร็วยิ่งนัก กลิ่นหอมจากร่างกายของตุ่น เราไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นหอมจากน้ำหอมชนิดใด เรารู้อยู่อย่างเดียวว่ามันหอมใกล้จมูกของเรามาก หอมเหมือนกับเราได้เอาปลายจมูกไปวางอยู่บนร่างกายส่วนหนึ่งสวนใดของตุ่นอย่างแนบชิด
   “รับกีตาร์ไปสิ แล้วทำไมเกร็งขนาดนี้ละเนี่ย” ตุ่นพูดหลังจากที่ยื่นกีตาร์มาให้เราถือ แต่ด้วยความที่เราเก้อเขินกับความใกล้ชิดขนาดนั้น เราจึงทำอะไรไม่ถูกแม้แต่จับกีตาร์ให้ถูกวิธี
   “เอ้า จับอย่างนี้” ตุ่นพูดไปพร้อมกับเอื้อมมือมาจากด้านหลังโอบผ่านหัวไหล่ของเราทั้งสองด้านเพื่อจับมือของเราไปจับกีตาร์ให้ถูกวิธี พร้อมทั้งเอ่ยปากสอนว่าเวลาจะดีดให้ดีดอย่างไร เวลาจับคอร์ดนี้จับยังไง คอร์ดนั้นจับยังไง แต่เราเองหูอื้อ ตาลายไปหมดแล้ว เพราะไหนจะตื่นเต้นกับการที่ต้องมานั่งตัวชิดติดกันขนาดนั้น ตุ่นยังโอบแขนของเขาคล่อมตัวของเราเอาไว้ พร้อมทั้งก้มหน้าลงมาเพื่อสอนให้เราจับกีตาร์ ลมหายใจและลมจากปากของเขาเป่าอยู่ที่หูของเราตลอดเวลา
   “ทำไมไม่ดีดละ ฟังไหมเนี่ยที่สอนไปนะ” ตุ่นถามขึ้นมา ทำให้เราตื่นจากความฝัน
   “ดีด เอ้าดีดแล้ว” เราพูดพร้อมกับดีดไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
   “ไหน ไม่เห็นจะดังเลย กดสายลงไปแรง ๆ สิ” ตุ่นสั่งพร้อมกับจับนิ้วอันเรียวงามของเราให้กดลงไปบนสายกีตาร์
   “ดีดใหม่อีกที เขาดีดกันอย่างนี้” ตุ่นพูดพร้อมกับพามือเราให้ดีดสายกีตาร์
   “อย่ากดแรงสิ เจ็บนิ้วนะ” เราบ่น
   “ไม่กดแรง ๆ แล้วเสียงมันจะดังได้ยังไงกัน” ตุ่นพูด
   “ตุ่นจะให้เรากดลงไปแรง ๆ ได้ยังไงกันละ ดูสายกีตาร์สิบางออกจะตายไป เดี๋ยวมันบาดนิ้วเอาสิ” เราพูดไปตามความคิดของตัวเอง
   “เดี๋ยวนิ้วสวย ๆ ของเราเป็นแผล ไม่เอาแล้วดีกว่า” เราพูดพร้อมความคิดล้มเลิกที่จะหัดเล่นกีตาร์
   “เออนะ นิ้วของเด็กคอมฯ ก็เป็นแบบนี้แหละ บอบบางซะเหลือเกิน ไหนดูซิ” ว่าแล้วตุ่นก็จับมือของเรายกขึ้น แล้วโบกไปมาอยู่ตรงหน้าของตน
   “ต่อไปน่าจะให้เด็กคอมฯ ต้องลงงานบ้าง จับจอบ จับเสียมบ้าง มือจะได้ด้าน ๆ เหมือนคนอื่น ๆ เขาบ้าง” ตุ่นพูดไปทั้ง ๆ ที่ยังคงจับมือของเราโบกไปมา
   “เดี๋ยว ไหนดูนิ้วของตุ่นซิ นี่รอยอะไรนะ” เราพูดขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนกลับไปจับข้อมือตุ่นเพื่อดูรอยบนนิ้วมือของตุ่นบ้าง
   “ทำไมเป็นรอยลึกแบบนี้ทุกนิ้วเลยละ” เราถามตุ่น
   “ก็คนเล่นกีตาร์ ก็เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ” ตุ่นบอก
   “มันเป็นรอยจากการกดสายกีตาร์ไงละ มันก็แค่เป็นรอยไม่เห็นมันจะเคยบาดนิ้วเลยสักครั้ง” ตุ่นพูดเสริมอีก
   “งั้นเราไม่เล่นแล้วนะ เจ็บนิ้วแย่เลยแบบนี้” เราปฏิเสธเลิกเล่นเด็ดขาด
   “งั้นก็ตามใจ” ว่าแล้วตุ่นก็เอามือกดลงไปบนหัวเราเบา ๆ เพื่อเป็นการแกล้งที่เราไม่ยอมอดทน เมื่อเราตัดสินใจที่จะไม่หัดเล่นกีตาร์แล้ว จึงคิดจะลุกเพื่อเปลี่ยนกลับไปนั่งที่เดิม แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะตุ่นยังคงเอาแขนของเขาล็อคเอาไว้ที่คอของเรา
   “ตุ่น เราหายใจไม่ออกนะ” เราพูดไป แต่ด้วยความเขินมากกว่า
   “มึงช่วยห่าง ๆ กันหน่อยได้ไหม กูจะอ้วกแล้ว” เสียงแซวจากเพื่อนดังมาจากในบ้าน
   “ยุ่ง” ตุ่นตอบกลับไปสั้น ๆ
   แล้ววันคืนแห่งความสนิทสนมของเราและตุ่นก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนไม่เพียงแต่เพื่อนร่วมบ้านเดียวกับตุ่นเท่านั้นที่แซวว่าเราและตุ่นเป็นแฟนกัน แต่เมื่อไหร่ที่เราเดินไปรอตุ่นที่บ่อประมงเพื่อกลับบ้านด้วยกัน เพื่อน ๆ ของเขาจะตะโกนบอกตุ่นทุกครั้งว่า
   “เฮ้ย ไอ้ตุ่นแฟนมึงมารอแล้ว” เป็นประโยคที่ทำเอาเราหน้าแดงได้เหมือนกัน แต่ก็รู้สึกดีที่ไม่มีใครเคยต่อว่ากับความสัมพันธ์แปลก ๆ ของเราและตุ่น เราเลยมีเพื่อนเป็นกลุ่มเด็กประมงเพิ่มขึ้นอีกหลายคน
   นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมื่อบรรดาเด็กประมงทั้งหลายตั้งวงเหล้ากัน ในวงเหล้านั้นจะมีที่ว่างหนึ่งที่สำหรับเราเสมอ ซึ่งมักจะเป็นด้านซ้าย หรือด้านขวาของตุ่นด้านใดด้านหนึ่ง ตุ่นจะเป็นคนไปชวนให้เรามาร่วมวงด้วย แต่ไม่ยอมให้เราดื่มเหล้าเลยในตอนแรก ๆ แค่ให้นั่งช่วยผสมเหล้า หรือนั่งเฉย ๆ และทุก ๆ ครั้งจะไม่รอดพ้นการแซวของเพื่อน ๆ
   “มึงจะห่วงมันถึงไหน ให้มันหัดดื่มบ้างสิ ให้ไอ้เก่งมานั่งเฉย ๆ อยู่ได้ มึงบ้าแล้วไอ้ตุ่น” สมคิดเป็นคนพูดขึ้นในค่ำหนึ่งกลางวงเหล้า
   “มันดื่มไม่เป็น” ตุ่นตอบกลับไป
   “เดี๋ยวได้เมาตายหรอก” ตุ่นยังคงพูดต่อไป
   “เวลามึงเมากูไม่เห็นมึงตายสักครั้งเลยนะ” สมคิดยังคงแย้ง
   “เก่งมานั่งข้าง ๆ พี่นี่มา เดี๋ยวพี่ให้เก่งดื่มเอง” สมเกียรติเพื่อนประมงที่มีขนาดตัวใหญ่โตมหึมา ที่มักจะชอบแหย่เรา โดยเรียกเราว่าน้อง และมักจะขอกอดเราเสมอ ๆ แต่ก็มักจะโดนตุ่นขวางเอาไว้ทุกครั้งไป
   “นั่งนี่แหละ ดื่มก็ได้แต่บาง ๆ นะ ผสมโค้กให้มันแล้วกัน มันจะได้ไม่ขม” ตุ่นพูดสั่งเพื่อนอีกคนที่นั่งข้างขวดเหล้า
   “ห่วงกันเสียจริง” สมคิดยังคงกัดตุ่นต่อไป
แล้วเราก็ได้หัดดื่มเหล้ากับใคร ๆ เขาก็ตอนนั้นเอง โดยที่จะมีตุ่นที่นั่งข้าง ๆ เป็นคนคอยกำกับทุกครั้งเวลามีการผสมเหล้าให้กับเรา
   “ไม่ต้องใส่ให้มันเยอะ” ตุ่นคอยกำชับเพื่อนที่ผสมเหล้า แต่ทุกทีที่ตุ่นเผลอเพื่อน ๆ มักจะแอบเติมเหล้าในแก้วเราทุกครั้งไป แต่เมื่อเราเริ่มมีอาการเมา ตุ่นก็จะทำหน้าที่ยึดเอาแก้วเหล้าของเราไปวางไว้ด้านหลังของเขา พร้อมกับบอกให้หยุดดื่ม
   “ทำไมละ เรายังไม่เมานะ ยังดื่มได้” เราแย้งตุ่นไปเพราะเริ่มสนุกกับอาการหน้าชา ตัวร้อน ๆ จากผลของการเมาเหล้าแล้ว
   “เก่งเมาแล้วนะ หยุดได้แล้ว” ตุ่นพูดน้ำเสียงเบาเหมือนกระซิบ
   “เออ มึงก็ห่วงมันเกินไป ปล่อยให้มันดื่มต่อเหอะ” สมเกียรติพูดขึ้นบ้าง
   “แล้วถ้ามันเมา เดี๋ยวใครจะเป็นคนเก็บของพวกนี้ละ” ตุ่นพูดให้เหตุผลกับเพื่อน ๆ ซึ่งเมื่อเราได้ยินเหตุผลข้อดังกล่าว เราถึงกับตีหน้าซึม เพราะผิดหวังที่คิดว่าตุ่นเป็นห่วงกลัวว่าเราจะเมา กลับเป็นห่วงว่าจะไม่มีใครเก็บของ แต่ตุ่นคงมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเรา ตุ่นจึงเอามือมาลูบผมบนหน้าขาของเราเบา ๆ มันเป็นสัมผัสที่แปลกประหลาด เรารู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ซึมผ่านมาจากการสัมผัสของตุ่นว่าเขาเป็นห่วงจริง ๆ
   “ไม่ดื่มแล้วก็ได้” เราตอบตุ่นไป เลยได้รับรอยยิ้มแสนอบอุ่นจากตุ่นกลับมาให้ใจชื้นเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว พร้อมกับการกระเซ้าเย้าแหย่จากตุ่นอยู่เรื่อย ทั้งตบหัว จับแขน โอบไหล่
   หลังจากการดื่มผ่านพ้นไป หลายคนกลับไปบ้านตัวเอง หลายคนก็อาศัยนอนกันที่บ้านตุ่น ซึ่งใครเมาก่อน นอนก่อนก็จะได้เลือกที่นอนก่อน ตุ่นมักจะเป็นคนรั้งท้ายเสมอที่นอนจึงมักจะไม่เหลือให้กับเขาเลย เมื่อทุกคนไปนอนกันหมดเหลือเพียงตุ่นและเรา เราจึงเริ่มต้นเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า แต่กลับโดนตุ่นจับข้อมือเอาไว้
   “ยังไม่ต้องเก็บ เอาไว้เก็บพรุ่งนี้” ตุ่นพูดสั่ง
   “ก็ตุ่นกลัวจะไม่มีใครเก็บไม่ใช่เหรอ” เราทำทีเป็นพูดประชดประชัน จนโดนตุ่นเอามือตบลงไปบนหัวเบา ๆ
   “ประชดเหรอ” ตุ่นพูด
   “เปล่าซะหน่อย ก็เก็บซะเลยสิ จะปล่อยให้เหม็นทำไม” เราตอบกลับไป
   “จะไปอ้วก พาไปอ้วกก่อน” ว่าแล้วตุ่นพยายามยันร่างกายของตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อจะไปห้องน้ำ เราจึงรีบคว้าแขนของเขาขึ้นมาคล้องคอของเราและเอามืออีกข้างโอบไปที่สะเอวของเขา โชคดีที่ขนาดร่างกายไม่ต่างกันมาก ถ้าขืนตุ่นตัวโตกว่าเราและเมาขนาดนี้ มีหวังได้ล้มกันทั้งคู่แน่นอนเพราะเราก็เมาไม่น้อยแล้วเหมือนกัน
เมื่อเสร็จธุระในห้องน้ำ ตุ่นรีบเดินตัวปลิวตรงไปยังโซฟาที่ว่างอยู่แล้วล้มตัวลงนอน เราเห็นดังนั้นจึงรีบทำความสะอาดห้องน้ำแล้วตามตุ่นออกไป
   “ตุ่นไม่อาบน้ำเหรอ ไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ” เราพูดไปพร้อมกับเขย่าตัวให้ตุ่นรู้สึกตัว
   “ไม่อาบ หาผ้ามาเช็ดหน้า เช็ดตัวให้หน่อยสิ” ตุ่นสั่ง
   “ว่าไงนะ สั่งกันเลยนะ” เราบ่นในขณะที่ลุกเดินไปหาผ้าและกะละมังใส่น้ำเย็น ๆ มาวางลงตรงด้านหน้าโซฟาที่ตุ่นนอนอยู่ แล้วเริ่มต้นเอาผ้าที่เปียกน้ำหมาด ๆ เช็ดใบหน้าของตุ่นอย่างทะนุถนอม โดยไม่ลืมที่จะถอดแว่นตาของเขาออกก่อน เราเช็ดหน้าตลอดไปจนถึงลำคอของตุ่น ด้วยสภาพจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วในตอนนั้น เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่น มือสั่น ใจสั่น เราอยากที่จะโผเข้าไปกอดคนที่นอนอยู่ตรงหน้าเสียยิ่งนัก แต่เราไม่สามารถที่จะทำได้ จึงได้แต่หักห้ามใจและเช็ดตัวให้เขาต่อไป โดยปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของเขาออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวของเขา เห็นทั่วทั้งแผงอกและเห็นแม้กระทั้งจุดเด่นเล็ก ๆ สองจุดบนแผงอกนั้น ตุ่นพลิกตัวจากที่นอนตะแคงให้เปลี่ยนเป็นนอนหงายขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการเช็ดตัวของเรา เราเช็ดจากลำคอเรื่อยไปตามแขนของเขาและเช็ดต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนถึงขอบกางเกงของตุ่น ไรขนรอบบริเวณสะดือของตุ่นทำให้เส้นขนบนแขนของเราถึงกับตั้งชัน เราวนเวียนเช็ดอยู่บริเวณนั้นอย่างไร้จุดสิ้นสุด จนตุ่นเอามือมาจับมือของเราให้หยุด เราถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองเช็ดวนบริเวณรอบสะดือของตุ่นอยู่นานมากแล้ว เราเข้าใจว่าตุ่นอาจจะรู้สึกรำคาญจึงจับมือให้เราหยุดเช็ด เรายิ่งตะลึงและงงกับการกระทำของตุ่นยิ่งนัก คำถามต่าง ๆ มากมายที่เราเคยถามตัวเอง คำถามที่เราอยากได้คำตอบ หวนกลับเข้ามาในห้วงคำนึงของเราอีกครั้ง
   “เขาคิดอะไรกับเรากันแน่”
   “ทำไมเขาทำแบบนี้”
ก่อนที่เราจะคิดอะไรไปมากมาย เสียงของตุ่นดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของเราให้หยุดลง
   “คืนนี้เก่งนอนที่นี่นะ” ตุ่นพูดเสียงเบา ๆ
   “จะให้เรานอนตรงไหนละ ไม่มีที่ว่างแล้ว” เราตอบตุ่นกลับไปทั้ง ๆ ที่มือยังคงถูกตุ่นจับเอาไว้
   “ก็ขึ้นมานอนกับตุ่นบนนี้แหละ” ว่าแล้วตุ่นดึงมือของเราที่จับไว้แล้วให้เข้าไปหาตัวเองมากขึ้นพร้อมกับลากเอาตัวเราขึ้นไปนอนข้าง ๆ เขา แล้วเขาก็นอนหลับตาของเขาต่อไปอยู่ข้าง ๆ เรา การนอนด้วยกันในคราวนี้ทำให้การสัมผัสที่เกิดขึ้นนั้นแนบแน่นกว่าตอนที่ตุ่นสอนให้เราเล่นกีตาร์มากนัก
   “ตุ่น” เราพูดขึ้นมาสั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่มีอะไรต่อมิอะไรมากมายในความคิดที่จะพูดที่จะถามออกมา แต่สัมผัสอันอบอุ่นที่ได้จากคนที่ตัวเองรัก ทำให้ทุกคำถามจบลงได้
   เช้าวันถัดมา เราไม่รู้ว่าใครจะตื่นลงมาเห็นการนอนของเราและตุ่นบ้าง แต่ดูจากสภาพของประตูบ้านบอกให้รู้ว่ามีคนออกไปจากบ้านแล้ว เราจึงรีบลุกขึ้นเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ไปทำความสะอาด ตุ่นตื่นขึ้นมาในตอนนั้นแล้วเดินไปหาเราที่กำลังนั่งล้างจานอยู่ พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างของเขาจับลงบนไหล่สองข้างของเราและบีบเบา ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เราเองได้แต่หันไปส่งยิ้มให้กับคนที่ตนเองมอบความรักให้ไปหมดหัวใจ โดยไม่ต้องการคำตอบใด ๆ ให้กับคำถามในใจของตนอีกต่อไป
   หลังจากวันนั้นทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เรายังคงอยู่ใกล้ ๆ กับตุ่น และตุ่นมักจะพกพาเราไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ถึงแม้เขาจะไปร่วมตั้งวงเหล้ากับเพื่อนของเขาที่บ้านเพื่อนคนอื่น ๆ เขาก็จะนั่งรอให้เรากลับจากเรียนและรอรับไปด้วยกัน ตอนนั้นเราแทบจะไม่ได้เจอกับเพื่อนร่วมบ้านเดียวกันเลย ในทุกเวลาว่างของเราจะมีเพียงตุ่นเท่านั้น
   เมื่อไปเมานอกสถานที่กันมาตุ่นจะทำหน้าที่ขับรถมอเตอร์ไซค์โดยที่มีเราเป็นคนนั่งเอามือจับที่สะเอวของตุ่นเสมอ แต่ถ้าครั้งไหนที่เราเมาหน่อยเราก็จะเอามือกอดรอบสะเอวของตุ่น เพราะนอกจากจะทำให้ปลอดภัยแล้วนั้นเรายังได้รับสัมผัสที่อบอุ่นอันแสนที่จะมีค่าต่อชีวิตของเราอย่างใหญ่หลวงนัก บางครั้งเราถึงกับซบใบหน้าลงไปบนแผ่นหลังของตุ่น เพราะยามที่ได้ทำแบบนั้นเราจะรู้สึกถึงความปลอดภัย ความอบอุ่น ตุ่นเองไม่เคยที่จะปฏิเสธการโอบกอดหรือการซบใบหน้าของเราบนแผ่นหลังของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะมีเพียงคำพูดหยอกล้อเท่านั้นที่ยิ่งเพิ่มความสุขให้กับเรา
   “เมาแล้วเหรอ พาหัวตัวเองไม่ไหวแล้วสินะ” ตุ่นแซวยามที่เราซบลงไปบนแผ่นหลังของเขา
   “อือ” คำตอบสั้น ๆ ที่เราตอบไปได้ พร้อมกับการกอดรัดตุ่นให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ตุ่นเองก็ตอบรับด้วยการขับรถมอเตอร์ไซค์ของเขาโดยใช้มือเพียงข้างเดียว อีกมือมากุมเอาไว้ที่มือของเรา ยามนั้นถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะมืดมิดสักเพียงใดก็ตาม แต่ในหัวใจของเรานั้นกลับสุกสว่างไปด้วยแสงแห่งรักที่มอบให้กับชายที่ตัวเองกำลังโอบกอดอยู่อย่างเปี่ยมสุข
เส้นทางกลับบ้านทำไมมันถึงเร็วไปทุกครั้งยามที่เรากำลังมีความสุข เมื่อตุ่นจอดรถที่หน้าบ้านเราและบอกว่า
   “ไปนอนได้แล้วไป อย่าลืมอาบน้ำละ”
   “สั่งแต่คนอื่น ตัวเองไม่รู้ว่าจะอาบหรือไม่อาบ” เราย้อนกลับไป
   “ยังจะเถียงอีก หรือจะให้จับอาบน้ำ เอาไหม” ตุ่นพูดพร้อมกับมีทีท่าจะจับเรามัด
   “ไม่เอา ไม่เอา เราอาบเองได้” เรารีบหนีจากการจับตัวของตุ่น
   “เข้าบ้านไปได้แล้ว” ตุ่นพูดทิ้งท้าย
แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปนอน ไม่เคยมีอะไรที่เกินเลยไปกว่านั้นตลอดระยะเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ใกล้ชิด ชิดใกล้"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 13-06-2010 22:16:19
ค่อยๆ ผูกพันกันไป หวังว่าคงไม่มีอะไรมาทำให้ช็อคกลางอากาศนะ

ส่วนเรื่องกฎ ลองดูจากกระทู้ของคนแต่งคนอื่นๆ นะคะ จะมีแปะกฎของเล้่าฯ ไว้ที่กระทู้อันที่ 1  ไป copy มาแปะไว้เลยก็ได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: นิยาย "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ใกล้ชิด ชิดใกล้"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 13-06-2010 22:54:43
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ใกล้ชิด ชิดใกล้"
เริ่มหัวข้อโดย: InKMoNsTeR ที่ 14-06-2010 17:15:14
เป็นกำลังใจให้ครับ

ยังไม่จบง่ะ...เดี๋ยวค่อยอ่านนะครับ แหะๆ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ใกล้ชิด ชิดใกล้"
เริ่มหัวข้อโดย: TaMa ที่ 16-06-2010 14:24:02
ติดตามตอนต่อไปอยู่นะงับ  o13
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ใกล้ชิด ชิดใกล้"
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 16-06-2010 19:41:14
ไม่อยากคิดเลยว่าเรียนจบแล้วรักก้อต้องจบด้วย ไม่อยากคิดเลย
เป็นกำลังใจให้กับความรักของเก่งกับตัวตุ่นน่ะ มันคงไม่ใช่อย่างที่เราคิดน่ะ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ใกล้ชิด ชิดใกล้"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 17-06-2010 22:31:25
วันนี้มามั้ยเอ่ย  :m13:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ใกล้ชิด ชิดใกล้"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 17-06-2010 23:29:06
   ทุก ๆ สัปดาห์สุดท้ายของเดือนทางสถาบันจะจัดกิจกรรมรื่นเริงให้กับนักศึกษา โดยการมีงานเลี้ยงสังสรรค์ เลี้ยงอาหาร เครื่องดื่มต่าง ๆ ที่ปราศจากแอลกอฮอล์ จุดเด่นของงานคือจะมีการรับวงดนตรีทั้งแบบที่พอมีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียงก็ตามแต่ หากเดือนไหนมีวันสำคัญ ๆ มาก งานสังสรรค์จึงมีมากตามไปด้วย อาจจะมีมากกว่าเดือนละครั้ง
   เราเองจะเป็นคนที่ไม่ยอมพลาดกิจกรรมสังสรรค์นี้ตั้งแต่ตอนที่พักอยู่ในหอพักของสถาบันแล้ว แต่เมื่อย้ายที่พักไปอยู่ไกลจากสถาบัน จึงทำให้เกิดปัญหาในการเดินทางกลับเมื่องานสังสรรค์เสร็จสิ้นลง แต่ด้วยความที่เราชอบงานสังสรรค์ รักในการเต้นรำ เราจึงหาหนทางที่จะไปจนได้ โดยคิดไว้ว่าจะนอนค้างที่หอพักของเพื่อนนักศึกษาในห้องเดียวกัน โดยก่อนไปไม่ลืมที่จะแวะเวียนไปถามคนสำคัญ
   “ตุ่นจะไปงานเลี้ยงคืนนี้ไหม” เราถามด้วยความหวังว่าตุ่นจะไปด้วย ซึ่งหากตุ่นไปด้วย เราจะได้มีโอกาสเดินทางกลับพร้อมกับตุ่น
   “ไม่ไป ไม่ชอบที่ที่คนเยอะ ๆ นั่งดื่มเหล้าที่บ้านดีกว่า” ตุ่นตอบปฏิเสธพร้อมด้วยเหตุผลยาวยืด
   “เก่งไปเหรอ” ตุ่นถามกลับมาบ้าง
   “แน่นอน พลาดได้ไงกันละ” เราตอบไปด้วยอาการกระตือรือร้นเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเราเองอยากไปมากน้อยแค่ไหน
   “อย่าไปเลยนะ มานั่งดื่มด้วยกันดีกว่า” ตุ่นพูดในขณะที่ยังนั่งถือแก้วเหล้าเอาไว้
   “ไหนงานจะเลิกดึกอีกนะ แล้วจะกลับยังไง” ตุ่นถามพร้อมกับเดินมาลากมือเราที่ยังคงยืนอยู่หน้าบ้านให้ไปนั่งลงข้าง ๆ เขาบนโซฟา
   “เก่งนอนหอเพื่อนได้” เราตอบ
   “ไม่ต้องนอน” ตุ่นพูดสวนกลับมาทันควัน
   “อ้าว แล้วตุ่นจะให้เก่งกลับยังไงละ” เราถามกลับไป
   “งานเลิกแล้วตุ่นจะไปรับเอง” ตุ่นตอบ
   เมื่อได้ยินคำตอบจากตุ่นเราถึงกับตื้นตันใจ เราหันไปมองหน้าของคนดีที่แสนอบอุ่นเสมอของเราด้วยอยากจะห้ามปราม แต่เมื่อหันไปก็พบกับสายตาที่ดูจริงจังของตุ่นจ้องมองใบหน้าของเราอยู่ก่อนแล้ว
   “ไปรับกลับเอง รอนะ เข้าใจไหม” ตุ่นพูดย้ำกลับมาก่อนที่เราจะทันพูดบอกปัดออกไป
   “อย่าเมาหลับซะก่อนละ” เราพูดพร้อมกับเอามือไปตบไหล่ของตุ่นเบา ๆ
   “โอย พวกมึงช่วยห่าง ๆ กันหน่อยได้ไหม ไอ้ตุ่นมึงมาดื่มเหล้าต่อเลยมา ไอ้เก่งมันจะได้ไปซะที มืดค่ำแล้วนะ” สมคิดพูดขัดจังหวะขึ้นมาเมื่อเห็นเราและตุ่นพูดกันไม่จบเสียที
   “พวกมึงไม่พากันขึ้นห้องไปซะเลยละ ไอ้ตุ่น” สมเกียรติแซวขึ้นมาบ้าง
   “ไอ้นี่ เดี๋ยวกูเตะปากแตก” ตุ่นต่อว่าเพื่อน พร้อมกับเดินออกไปส่งเราขึ้นรถสองแถว
   “ไปรับเก่งแน่นะ” เรายังคงถามย้ำไปกับตุ่นก่อนที่ก้าวขึ้นรถสองแถว
   “สัญญา” ตุ่นพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้เป็นการบอกยืนยันคำสัญญา
เราแวะที่หอพักของชัยก่อนเพื่อรวมกลุ่มกับเพื่อนนักศึกษาห้องเดียวกัน ก่อนยกขบวนกันเข้าสู่หอประชุมสถานที่ที่จัดงานสังสรรค์
   “เฮ้ย แฟนไม่มาส่งเหรอ” ชัยถามเมื่อเห็นเราเดินเข้าไปในหอพัก
   “แฟนไหนกันละ เขาบอกว่าเขาไม่มา จะดื่มเหล้าอยู่บ้าน” เราตอบกลับเพื่อนไปด้วยไม่ได้คิดอะไรในคำตอบ
   “แล้วมาถามว่าแฟนไหนกัน แล้วตอบมาได้ไงว่าเขาไม่มา” น้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชัยแหย่เราเข้าบ้าง
   “แล้วคืนนี้นอนห้องผมรึเปล่า” ชัยถามด้วยเป็นห่วงเพื่อนอย่างเรา
   “ไม่ละ เดี๋ยวงานเลิกแล้วตุ่นจะมารับ” เราตอบ พอสิ้นเสียงตอบเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับส่งเสียงโห่กันเล็กน้อย
   “ไม่ใช่แฟน แต่ถึงกับมารับกลับกันเนี่ยนะ” หญิงแซวขึ้นมาบ้าง
เราหมดคำพูดจะแย้งเพื่อนไป เพราะอีกใจไม่อยากที่จะแย้งเพื่อนเหมือนกัน ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าสิ่งที่เพื่อน ๆ ล้อนั้น คือสิ่งที่เราใฝ่ฝันถึงมาตลอด
   “ไปกันดีกว่า เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง” น้อยพูดเพื่อเตือนเพื่อน ๆ
   “เราไม่นั่งอยู่แล้วละน้อย เราจะเต้นมันทั้งคืนไปเลย” เราพูดไปตามความคิด
   ในห้องประชุมใหญ่ของสถาบันที่ถูกตัดแปลงเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง โต๊ะถูกจัดไว้บริเวณรอบ ๆ ติดผนังห้องประชุม อาหารและเครื่องดื่มนั้นถูกจัดวางไว้ด้านนอกใครจะนั่งทานด้านนอกหรือนำเข้ามาทานในหอประชุมก็ตามแต่ใครจะสะดวก บนเวทีนั้นมีวงดนตรีที่เริ่มบรรเลงไปแล้วอย่างครึกครื้น พื้นที่ส่วนกลางของห้องประชุมที่จัดไว้เป็นที่โล่งบางส่วนถูกจับจองด้วยขาเต้นไปบ้างแล้ว จากสภาพภายในห้องประชุม หลาย ๆ คนเริ่มแสดงอาการเมามายกันบ้างแล้วเช่นกัน
   “ไหนบอกว่าไม่เลี้ยงเหล้า แล้วไหงเมากันหมดแล้ว” ปอยเริ่มต้นบ่น เพราะมีหนุ่ม ๆ หลายคนเริ่มมาวอแวกับเธอ เพื่อแย่งกันป้อนคำหวานต่าง ๆ นานา
   “ชัยเราออกไปเต้นกันเถอะ วิสูตรไปไหม” เราเอ่ยชวนเพื่อน ๆ เราวาดลวดลายอยู่ท่ามกลางผู้คนอื่น ๆ ที่ต่างก็งัดเอาลีลาท่าเต้นต่าง ๆ ของตนเออกมาโชว์กัน เมื่อเหนื่อยก็กลับไปนั่งพักกับกลุ่มเพื่อน ๆ หายเหนื่อยแล้วกลับไปเต้นต่อ จนเวลาใกล้จะถึงเที่ยงคืน เราจึงเริ่มที่จะเต้นไปด้วยพร้อมกับหันมองไปนอกหน้าต่างห้องประชุมไปด้วยอยู่บ่อยครั้ง เพื่อมองดูว่าคนพิเศษของตัวเองมาแล้วหรือยัง แต่มองยังไงยังคงไม่เห็นวี่แววของเขาเลย
   “ชัย ถ้าตุ่นไม่มารับเรานอนด้วยนะ” เราตะโกนพูดกับชัยแข่งกับเสียงเพลงบนเวที
   “ได้สิ” ชัยตอบพร้อมกับวาดลวดลายต่อไป
   เรายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่บ่อย ๆ หวังเพื่อที่จะได้เห็นใครคนนั้นทำตามคำพูดที่เขาได้บอกไว้ และแล้วเขาก็มารับเราจริง ๆ เราหันไปเห็นเขานั่งดื่มอยู่ด้านนอกหอประชุม เมื่อเห็นดังนั้นเราจึงรีบวิ่งออกไปจากหอประชุมตรงไปหาคนสำคัญทันที
   “ตุ่น มานานแล้วยัง” เรารีบถามเมื่อไปถึงตัวของตุ่น
   “เพิ่งมาถึง” ตุ่นตอบพร้อมกับยกแก้วเหล้าในมือป้อนให้เราดื่มเหล้า เราเองที่เริ่มจะเมาแล้วเหมือนกันจึงไม่มีความอายบนใบหน้าเท่าไหร่นัก จึงยืนให้ตุ่นป้อนเหล้าเข้าปากท่ามกลางสายตาของใครต่อใคร
   “จะกลับเลยไหม” เราถามตุ่นเมื่อแก้วเหล้าถูกยกออกไปจากปากของเรา
   “งานยังไม่เลิกนี่ เข้าไปต่อเถอะ ตุ่นจะรออยู่นี่นะ” ตุ่นตอบ
   “โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ” เราพูดเสร็จก็รีบวิ่งเข้าสู่ภายในห้องประชุมอีกครั้ง จนถึงเวลางานเลิกเราและเพื่อน ๆ ทยอยกันออกมาจากห้องประชุม
   “ตกลงจะนอนที่หอไหม” ชัยเอ่ยถามเราขณะที่เบียดเสียดผู้คนกันตรงประตูทางออก
   “ไม่ละ ตุ่นมารออยู่แล้ว ขอบใจชัยนะ” เราตอบไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมบนใบหน้า
   “มีความสุขซะเหลือเกินนะเพื่อนเรา” ชัยแหย่เข้าให้
   “เก่ง แฟนมารับแล้ว” น้อยเป็นคนตะโกนแข่งกับเสียงดังของคนอื่น ๆ
   “จ้า รู้แล้ว” เราตอบกลับไป
   “เรากลับก่อนนะทุกคน” เราเอ่ยลาเพื่อนก่อนที่จะเดินตามหลังตุ่นไปยังจุดที่เขาจอดรถมอเตอร์ไซค์
   “เมาแล้วยัง ท่าทางคงจะเมาแล้วสินะเนี่ย” ตุ่นพูดพร้อมกับเอามือมาขยี้ผมของเรา
   “ผมเหม็นควันบุหรี่จะตาย จะไปเล่นมันทำไม” เรายังคงเอ่ยปากปกป้องตัวเอง
   ตุ่นขับรถออกไปช้า ๆ ไม่รู้ว่ากลัวว่าเราที่กำลังเมาจะตกรถไปซะก่อนที่จะถึงบ้านหรือว่าเพราะไม่อยากให้ถึงบ้านเร็ว ๆ แบบเดียวกับที่เราคิดรึเปล่า เพราะในตอนนั้นเราอยากให้เส้นทางกลับบ้านเป็นเส้นทางที่ยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อลมหนาวยามค่ำคืนพัดเข้ามาประกอบกับเราที่เมาอยู่ไม่น้อย เราจึงรีบโอบรอบสะเอวตุ่นพร้อมซบใบหน้าลงไปบนแผ่นหลังของตุ่น เพื่อเรียกหาความอบอุ่นจากคนพิเศษมาลบเลือนความหนาวของสายลม
   “เมาทีไรพาหัวไม่รอดทุกทีเลยนะ” ตุ่นแซวพร้อมกับเอามือมาเกาะกุมมือของเราเอาไว้เพื่อแบ่งปันความอบอุ่นจากร่างกายของเขาให้ไหลผ่านฝ่ามือมาสู่เรา เราซึมซับเอาความอบอุ่นที่ได้รับไปทุกอณูของร่างกาย โดยเฉพาะในหัวใจตอนนี้มันพองโต ตื้นตัน แทบจะจะล้นออกมานอกหน้าอก
ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นานอย่างที่ใคร ๆ ว่าไว้จริง ๆ เมื่อตุ่นเอ่ยขึ้นมาว่า
   “ถึงแล้วละ ลงไปนอนได้แล้ว”
   “ถึงแล้วเหรอ” เรายังคงไม่ยอมลงจากรถ ยังคงต้องการที่จะซึมซับเอาความอบอุ่นจากร่างกายของตุ่นให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
   “อย่าดื้อสิ ลงไปนอนได้แล้ว” ตุ่นกำชับด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเก่า
   “ก็ได้” เราปล่อยมือจากการโอบกอดคนพิเศษแล้วตั้งหน้าจะเดินเข้าบ้าน แต่ข้อมือของเราโดนตุ่นรั้งเอาไว้ ทำให้เราต้องหยุดและหันกลับมามอง
   “ลืมอะไรรึเปล่า” ตุ่นถาม
   “อือ ขอบคุณครับที่ไปรับ” เราพูดพร้อมกับยิ้มหวานส่งไปให้
   “ฝันดีนะ” ตุ่นพูดพร้อมกับเอามือของเขามาขยี้ผมและดึงเอาเราเข้าไปกอด โดยตุ่นกอดคอเราเหมือนเพื่อนกอดคอกัน แต่เราเองไม่สามารถที่จะให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าการที่ตุ่นทำเช่นนั้นมีความหมายว่ายังไง ทำกับเพื่อน ทำกับน้องหรือทำด้วยความรู้สึกอะไรกันแน่
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นผ่านพ้นไป เราและตุ่นยังคงเป็นคู่หูกันอยู่เหมือนเดิม นั่งร้องเพลง เล่นกีตาร์ด้วยกัน อีกคนซักผ้า อีกคนคอยนั่งเล่นฟองผงซักฟอก แต่สิ่งที่ต่างไปจากเดิม เรารู้สึกได้ว่าตุ่นเหมือนพยายามปิดกั้นตัวเอง โดยเฉพาะการสัมผัสตัวของเรา เราไม่โดนตุ่นเอาสองมือที่แข็งแกร่งมาคอยบีบบนไหล่ เราไม่โดนตุ่นเอามือขยี้ผม และเราไม่โดนตุ่นแหย่เราเหมือนเมื่อก่อน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในหัวใจของเราได้เป็นอย่างดี และถ้ามองดูสีหน้าของตุ่น เขาเองก็เหมือนมีอะไรให้คิดอยู่ตลอด เราเองยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้ว ที่ตุ่นได้กอดลาเราก่อนเราจะก้าวเข้าบ้าน ทุกอย่างน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่มันกลับกลายเป็นว่าทั้งเราและตุ่นต่างมีทุกข์เข้ามาปะปน
   “คืนนี้จะไปรับเก่งอีกไหม” เราเอ่ยถามตุ่นขึ้นเมื่อมีงานสังสรรค์ขึ้นอีกครั้งที่สถาบัน
   “จะไปรอที่เดิม” ตุ่นตอบสั้น ๆ
   “ครับ ไปละ” เราตอบรับพร้อมกับเดินออกไปขึ้นรถสองแถวที่ปากซอย โดยคราวนี้ไม่มีคนดีของหัวใจเดินไปส่งขึ้นรถสองแถว เมื่อไปถึงงานเราและเพื่อน ๆ ยังคงสนุกสนานกันเช่นเคย วาดลวดลายเท้าไฟกันเต็มที่จนใกล้เวลาเลิกงานเราหันไปเห็นตุ่นกำลังยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ตรงริมหน้าต่าง เห็นดังนั้นเราจึงรีบออกไปหาเจ้าชายของเรา
   “มานานแล้วยัง” เรารีบถามเจ้าชายผู้แสนดีมีน้ำใจ
   “สักพักแล้วละ จะกลับแล้วยัง” ตุ่นถาม
   “งานยังไม่เลิกเลย อยู่ต่ออีกหน่อยนะ” เราออดอ้อน
   “จะกลับแล้ว ถ้าเก่งจะอยู่ต่อ คืนนี้เก่งนอนหอเพื่อนแล้วกัน” ตุ่นพูดออกมาพร้อมกับหันกลับ ปล่อยให้เรายืนงงอยู่คนเดียวว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายผู้แสนดี ทำไมคืนนี้ไม่รอ
   “งั้นพรุ่งนี้เราไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อนนะ” เราวิ่งตามไปจนทันตุ่นและบอกให้เขารับรู้แผนการในวันต่อไป
   “ไปน้ำตก ว่ายน้ำไม่เป็นไม่ใช่เหรอ ระวัง ๆ ละ” ตุ่นพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย แล้วจึงจากไป
   “เป็นอะไรของเค้านะ แต่ก็ยังดีที่ยังห่วงอยู่” เราเดินบ่นกับตัวเองกลับเข้าไปสนุกต่อกับเพื่อน ๆ แต่ถึงแม้เพลงจะสนุกขนาดไหน เราก็ไม่สามารถสนุกได้เต็มที่อีกต่อไปแล้ว ในใจยังคงคิดเพียงว่าคนดีของตัวเองเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงไม่รอเหมือนครั้งก่อน ๆ
   บ่ายของวันถัดมา หลังจากทุกคนอาหารเช้าและเที่ยงที่รวมเป็นมื้อเดียวกันตกถึงท้องแล้วนั้นจึงพากันเดินทางไปยังน้ำตกเป้าหมายของความสนุกเป้าหมายต่อไป แต่สำหรับเราการไปน้ำตกนั้นไม่สนุกสักเท่าไหร่ เพราะสาเหตุแรกคือเราไม่เคยได้ลงไปเล่นน้ำนอกจากนั่งแช่เท้าในน้ำหรือนั่งแช่น้ำในบริเวณที่น้ำตื้น เพราะเราว่ายน้ำไม่เป็น ประการที่สองที่น้ำตกมักจะมีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกกันว่า “กง” ซึ่งกงนี้เปรียบได้เหมือนปู่ของคางคก ผิวหนังของมันจะเหมือนคางคก ขนาดตัวของมันจะใหญ่กว่าคางคกหลายเท่าตัว ตาสองข้างแดงก่ำ มักจะชอบอยู่ตามซอกหินแถวน้ำตก ขนาดคางคกเรายังกลัวกว่างู แล้วถ้าเจอกับกง เราคงช็อคตายเป็นแน่ แต่การตัดสินใจไปน้ำตกในครั้งนี้เราชั่งใจดูแล้วว่า เป็นเพราะเราน้อยใจที่ตุ่นไม่ยอมรอรับเรากลับไปด้วยเมื่อคืนที่ผ่านมา เราจึงตกลงไปกับเพื่อน ๆ ทั้งที่ได้เคยบอกปฏิเสธไปแล้วก่อนหน้านั้น
   เมื่อทีมของเราเข้าใกล้น้ำตกเข้าไปทุกทีก็เริ่มได้ยินเสียงดัง สรวลเสเฮฮา มาจากน้ำตก แน่นอนว่าวันหยุดแบบนี้ ใคร ๆ ก็อยากมาพักผ่อน แต่เมื่อเข้าใกล้ในระยะที่มองเห็นต้นเหตุแห่งเสียงดังกล่าว น้อยจึงตะโกนขึ้นมาว่า
   “เฮ้ย เก่งนัดแฟนมันไว้ละ นั่นไง”
   “ไหนกัน” เราถามพร้อมกับรีบสอดส่ายสายตาหาคนพิเศษ ตุ่นนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ โดยร่วมกันดื่มเหล้าข้างน้ำตก บางคนลงไปเล่นน้ำบ้างแล้ว บางคนยังคงตัวแห้งอยู่รวมทั้งตุ่นด้วย บรรดาเพื่อน ๆ ของเราเมื่อไปถึงก็รีบรุดลงไปว่ายน้ำกันจะเหลือก็เพียงแต่เราที่ได้แต่นั่งแช่เท้าอยู่ในน้ำมองดูเพื่อนสลับกับการแอบมองดูกลุ่มของตุ่น เรายังไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปทักทายคนพิเศษและกลุ่มเพื่อนประมง เพราะยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมตุ่นถึงไม่รอเราเมื่อคืนที่ผ่านมา จึงได้แต่นั่งก้มหน้ามองเท้าของตัวเองที่แช่อยู่ในน้ำใสเย็นที่ไหลมาจากน้ำตก คิดอะไรไปต่าง ๆ นานา แต่สุดท้ายความคิดก็จะวกกลับไปที่เดิมว่า ทำไมตุ่นถึงไม่ยอมรอรับกลับด้วย ทำไมตุ่นถึงทำตัวออกห่าง จนต้องหยุดความคิดลงเมื่อมีเสียงทักขึ้นมา
   “ลงไปว่ายน้ำไหม” เสียงตุ่นดังขึ้นข้าง ๆ เราจึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเจ้าของเสียงยืนส่งยิ้มแสนอบอุ่นมาให้ แต่สีหน้ายังคงดูกังวล ในมือยังคงถือแก้วเหล้าเอาไว้
   “ลงไปได้ไงกันละ ตุ่นก็รู้ว่าเราว่ายน้ำไม่เป็น” เราตอบกลับไป
   “เดี๋ยวขี่หลังตุ่นไง” ตุ่นพูดพร้อมกับวางแก้วเหล้าลงแล้วเปลี่ยนเป็นจับข้อมือเรา เดินจูงมือเราลงไปในน้ำที่เริ่มจะลึกขึ้นเรื่อย ๆ
   “ตุ่น ไม่เอาดีกว่า เรากลัว” เราพูดปฏิเสธตุ่นไปอีกเพราะทั้งกลัวและอายเพื่อน ๆ เนื่องจากเริ่มมีเสียงโห่แซวมาเบา ๆ บ้างแล้ว
   “เก่งไม่เชื่อใจตุ่นเหรอ” ตุ่นถามกลับมาถามพร้อมกับจ้องมองหน้าของเรา
   “เชื่อสิ” เราตอบกลับคนดีของตัวเองไป
   “งั้นจับตุ่นไว้แน่น ๆ นะ” ตุ่นพูดพร้อมกับเอามือสองข้างของเราไปวางไว้บนไหล่ของตน
   “ไปละนะ” ว่าแล้วตุ่นก็เริ่มพาเราล่องไปในน้ำตก ด้วยความที่เรากลัวมือจะหลุดจึงเปลี่ยนจากการเกาะไหล่เป็นการกอดที่คอของตุ่นแทน
   “เก่ง เก่งกอดแบบนี้เดี๋ยวได้จมทั้งคู่หรอก จับแบบเมื่อกี๊นะดีแล้ว ไม่ต้องกลัว” ตุ่นพยายามเค้นเสียงพูดออกมา เพราะมือเรากำลังไปรัดคอของเขาไว้แน่น ตุ่นพาเราล่องน้ำเล่นอีกสักพักจึงพาเรากลับมาส่งที่เดิมแล้วหยิบแก้วเหล้ากลับไปหาเพื่อน ๆ ของตน โดยที่ยังไม่ยอมพูดเคลียร์เรื่องเมื่อคืนนี้ให้เราได้สบายใจ แต่เราก็ดีใจขึ้นอีกหน่อย เพราะอย่างน้อยความใกล้ชิดเริ่มกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
   ถึงแม้เราจะยังคงคลางแคลงใจกับการกระทำของคนที่เรารัก แต่การเที่ยวน้ำตกของเราในครั้งนี้เป็นครั้งที่วิเศษที่สุด ถึงแม้ว่าน้ำตกแห่งนี้จะดูร่มรื่น สวยงามอยู่ด้วยธรรมชาติของตัวเองแล้ว แต่การที่เราได้เกาะไหล่ตุ่นลงไปล่องในน้ำตก มันทำให้น้ำตกแห่งนี้กลายเป็นแดนสวรรค์สำหรับเราไปเลยทีเดียว ภาพใบไม้ที่หลุดร่วงจากต้นลงมาสู่ผิวน้ำ เรายังมองเป็นภาพที่สวยงามที่สุดเลยในตอนนั้น จนถึงเวลาที่หนุ่ม ๆ ประมงจะเดินทางกลับ ตุ่นจึงเดินมาหาเราอีกครั้ง
   “กลับบ้านได้แล้ว” ตุ่นเอ่ยปากชวน
   “เก่งจะกลับพร้อมเพื่อน” เราตอบไปเพราะเห็นว่ามาพร้อมเพื่อนก็ควรจะกลับพร้อมเพื่อน
   “กลับกับเพื่อนเดี๋ยวก็ต้องนั่งสองแถวกลับบ้านอีก กลับพร้อมกันนี่แหละ ไหนตัวก็เปียก จะนั่งรถไปได้ยังไงกัน” ว่าแล้วตุ่นก็คว้าข้อมือของเราฉุดให้ลุกขึ้นเดินตามเขาไป สิ่งที่เราทำได้ในตอนนั้นคือการตะโกนบอกเพื่อน ๆ ว่าต้องกลับบ้านก่อนแล้ว
   ตุ่นขับรถพาเรากลับจากน้ำตกมาเรื่อย ๆ สายลมที่พัดมาโดนตัวเราทำให้เรารู้สึกหนาวขึ้นมา แต่คราวนี้เราไม่ได้เมา คราวนี้เรารู้สึกว่าตุ่นเองจะห่าง ๆ กับเรา เราจึงไม่กล้าที่จะโอบรอบสะเอวของอุ่นเหมือนก่อน ตุ่นขับรถไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ จนถึงโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้าน ตุ่นจึงเลี้ยวรถเข้าไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ริมสนามฟุตบอล ที่ตอนนั้นไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ไร้ซึ่งผู้คน
สิ่งแวดล้อมโดยรอบในตอนนั้น นอกจากสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ที่มีลู่วิ่งที่ล้อมรอบอยู่ ข้างขอบสนามยังมีต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ หลายต้นที่คอยให้ความร่มรื่น สลับกันไปกับแปลงดอกไม้หลากหลายชนิด แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนนี้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ดีจนน่าชื่นชม
   “ไหนว่าจะกลับบ้านไงละ แล้วมาแวะที่นี่ทำไม” เราเอ่ยถามตุ่น
   ไม่มีเสียงตอบใด ๆ ออกมาจากปากตุ่น แต่ตุ่นกลับ นั่งบนรถมอเตอร์ไซค์และมองออกไปยังสนามฟุตบอลที่อยู่เบื้อหน้า พร้อมทั้งเอามือตบเบาะรถมอเตอร์ไซค์เป็นการบอกให้เราไปนั่งข้าง ๆ เรานั่งตัวสั่นไปด้วยความหนาวเพราะเสื้อผ้ายังคงเปียกอยู่ แต่เมื่อลอบมองตุ่นจะเห็นว่าตุ่นไม่ได้สั่นได้แต่เพียงนั่งเอานิ้วมือของตัวเองเคาะลงบนหน้าขาของตัวเอง เราได้แต่เพียงลอบมองตุ่นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
   บรรยากาศในตอนนั้นช่างเงียบสงบ สงบจนเราว่าเราได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านเราและตุ่น เราไม่รู้ว่าตุ่นจะได้ยินเสียงหัวใจของเราที่เต้นดังทะลุออกมานอกทรวงอกรึเปล่า แต่เราเองได้ยินมันดังชัดเจนมาก เราพยายามเงี่ยหูฟังว่าจะมีเสียงหัวใจที่ตื่นเต้นของตุ่นดังอยู่ข้าง ๆ หรือไม่ แต่เรากลับไม่ได้ยินอะไรเลย ทั้งเราและตุ่นจึงต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ถ้าเราไม่ได้เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป ดูเหมือนตุ่นกำลังคิดอะไรอยู่ เรารู้สึกเหมือนกับตุ่นต้องการที่จะพูดอะไร แต่ก็ไม่ยอมพูด ส่วนเราถ้าจะให้พูดก็คงจะพูดได้อย่างเดียวคือสารภาพไปว่าตัวเองคิดอะไร คิดยังไงกับตุ่นคนที่นั่งข้าง ๆ อยู่ในตอนนั้น
   สภาพบรรยากาศรอบข้างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในสนามเริ่มมีคนรักสุขภาพเข้ามาวิ่งเพื่อออกกำลังกายกัน เสื้อผ้าของเราและตุ่นเริ่มแห้ง แต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรกันออกมาสักคน หลายคนที่วิ่งออกกำลังกายกันเริ่มหันมามองผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้ บ้างก็ยิ้ม บ้างก็มองด้วยสีหน้าที่ให้ความสนใจ บ้างก็มองเพียงเฉย ๆ ตุ่นเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นเอามือตบหัวเราเบา ๆ พร้อมกับพูดออกมาเป็นประโยคแรก
   “กลับบ้านกันเถอะ”
   “โอเค กลับก็กลับ” เราตอบพร้อมกับลุกขึ้นเดินตามหลังตุ่นไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตุ่น
   ในตอนนั้นถึงแม้เราจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตุ่น เกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา แต่การที่ได้มานั่งกันเงียบ ๆ อย่างนี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกดีไปได้อีกแบบ ถ้าจะคิดไปในทางที่ดีแล้ว มันเหมือนกับการที่เราสองคนได้เคลียร์ความรู้สึกกันและกัน แต่เคลียร์กันแบบเงียบ ๆ และถึงแม้จะเคลียร์กันแบบเงียบ ๆ ไปแล้ว เราเองยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือต่อไปจะเป็นอย่างไร เราก็ขอมีความสุขกับทุกวันนี้ของเราต่อไป โดยที่จะไม่เรียกร้องอะไรจากตุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปล.ขอแค่นี้ก็พอใจแล้ว"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 20-06-2010 20:46:20
 :monkeysad: รอ comment.
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปล.ขอแค่นี้ก็พอใจแล้ว"
เริ่มหัวข้อโดย: vvivy ที่ 21-06-2010 00:20:19
 o13

เพิ่งตามอ่านค่ะ..ชอบๆ รอตอนต่อไปน๊า
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปล.ขอแค่นี้ก็พอใจแล้ว"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 21-06-2010 01:13:49

   วันเวลาล่วงเลยไปอย่างมีความสุข ชีวิตการเรียนเริ่มที่จะเข้มข้นขึ้น ยากขึ้น การเล่นกีฬาในตอนเย็นที่สถาบันของเราลดน้อยลง เพราะเราต้องกลับบ้านพร้อมกับตุ่น จะมีโอกาสได้เล่นบ้างเป็นบางวันที่ต้องรอตุ่นนาน ๆ วันไหนตุ่นต้องลงบ่อประมงเราจะคอยไปนั่งอยู่ริมปากบ่อเสมือนว่าเป็นกำลังใจให้กับตุ่น แต่ถ้าหากโดนแซวมากเข้า เราก็จะเลี่ยงไปเล่นเปตอง หรือวอลเล่ย์บอลเป็นการรอตุ่นแทน
   อีกหนึ่งกิจกรรมที่เราไว้ฆ่าเวลาเมื่อต้องรอตุ่นนาน ๆ ก็คือเดิมมุ่งตรงไปยังบ้านพักของอาจารย์หลังหนึ่งที่อยู่ในเขตของวิทยาลัย สาเหตุที่เราไปที่นั่นเพราะภรรยาของอาจารย์ได้ใช้พื้นที่ชั้นล่างของบ้านพัก จัดหาหนังสือการ์ตูน นิยาย มาให้นักศึกษาในวิทยาลัยได้เช่า เราเป็นอีกหนึ่งสมาชิกที่โผล่หน้าไปที่นั่นเมื่อไหร่ พี่เยาว์เจ้าของร้านมักจะรีบบอกเราเสมอว่า "ตอนนี้พี่ไม่มีหนังสือใหม่มาเลยนะเก่ง” พี่เยาว์มักจะรีบออกตัว แต่สำหรับเราแล้ว ไปทุกครั้งไม่ได้ตั้งใจไปหาหนังสือใหม่ทุกครั้งไป เพราะเท่าที่มีอยู่ในร้านเราก็ยังอ่านไม่หมด แค่เพียงเกือบจะหมดร้านก็แค่นั้นเอง
   การลำดับความสำคัญของการอ่านหนังสือของเรา อันดับหนึ่งจะเป็นหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นแนวสยองขวัญ สืบสวน สอบสวน ความรัก เมื่อไม่มีหนังสือญี่ปุ่นให้อ่านแล้ว เราก็จะเล็งไปที่หนังสือนิยาย ซึ่งแนวที่จะอ่านก็ไม่เปลี่ยนไปจากหนังสือญี่ปุ่นเหมือนกัน จะว่าไปแล้วเราก็อ่านไปไม่น้อย จนบางครั้งยืมติดมือไปหลาย ๆ เล่ม นอกจากพี่เยาว์จะลดราคาให้แล้ว บางเล่มก็ให้ยืมฟรีก็ยังมี
   “เก่ง กลับบ้านกัน” เสียงคุ้นเคยของตุ่นมาตะโกนเรียกที่หน้าร้าน ในขณะที่เราและพี่เยาว์คุยกันอย่างเมามันส์เรื่องหนังสือเล่มนั้น เล่มนี้
   “รู้ได้ไงว่าเก่งอยู่ที่นี่” เราถามออกไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตุ่นก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว
   “ก็สนามวอลเล่ย์บอล สนามเปตองไม่มี ก็มีที่นี่ที่เดียวละที่เก่งจะมา” ตุ่นตอบ
   “พี่เยาว์ครับ เก่งกลับแล้วนะครับ วันนี้เอาแค่สามเล่มนี่ก่อนละกันครับ แล้วอย่าลืมถ้าเรื่องที่สั่งไว้มาพี่เยาว์เก็บไว้ให้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับพี่” เราพูดพร้อมกับยกมือไหว้พี่เยาว์เจ้าของร้าน แล้วจึงเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่มีตุ่นสตาร์ทเครื่องรออยู่แล้ว
   วันเวลาผ่านวันผ่านคืนไปวันแล้ว วันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เรากับตุ่นยังคงมีปฏิกิริยาที่เหมือนเดิมต่อกัน ไม่มีอะไรก้าวหน้า แต่ในความพึงพอใจของเรา แค่นี้เราก็มีความสุขเพียงพอแล้ว เราไม่หวังที่จะให้ได้รู้ว่าตุ่นคิดยังไงกับเรา แค่เป็นเช่นทุกวันนี้ก็ดีเกินพอแล้ว
   ในเดือนธันวาคมของทุกปี จะมีวันที่เรารู้สึกเศร้ากับโชคชะตาชีวิตของตัวเราเองทุกครั้งที่มันมาถึง ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นวันที่เรามีความสุข สำหรับคนอื่น ๆ นั้น จะมีการฉลองกัน แต่สำหรับเรา มันก็แค่เป็นวันที่ตอกย้ำให้เรารู้ว่า เราก็มีวันนั้นกับใคร ๆ เขาเหมือนกัน นั่นคือ วันเกิดของเราเอง ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราไม่เคยมีโอกาสได้เลี้ยงฉลองวันเกิด ไม่เคยมีโอกาสได้เป่าเทียนบนเค้กวันเกิดของตัวเอง และไม่เคยได้แม้แต่ของขวัญสักชิ้นในวันเกิด เราได้แต่อิจฉาคนอื่น ๆ ที่มีโอกาสดีกว่าตัวเราเอง ในปีนี้ก็เช่นกัน เราเริ่มหงอยตั้งแต่เช้า จนกระทั่งเลิกเรียน  หลังจากลงรถสองแถวแล้ว เราเดินกลับเข้าบ้าน โดยไม่แวะที่บ้านตุ่น แล้วเราก็เก็บตัวอยู่ในห้องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพยายามข่มตาให้นอนหลับไปเร็ว ๆ เพื่อที่วันเกิดวันนี้จะได้ผ่านพ้นไปเสียที แต่แล้วเราก็ต้องตื่นขึ้นมาเมื่อตุ่นเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“เก่งเป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า รีบนอนจังเลย” ตุ่นพูดในขณะที่เดินเข้ามานั่งลงใกล้ ๆ กับที่ที่เรานอนอยู่เรารู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนวูบ ๆ ไม่ใช่เพราะพิษไข้ เพราะเราไม่ได้เป็นไข้ แต่เพราะตุ่นมานั่งอยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่เรานอนอยู่นั่นเอง ถึงแม้เราและตุ่นใกล้ชิดกันมากกว่านี้ในบางโอกาส แต่เราก็อดที่จะคิดอะไรต่อมิอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรสักเท่าไหร่ จนส่งผลให้เราถึงกับหน้าแดงและหน้าร้อนวูบ โชคดีที่ตุ่นไม่ได้เปิดไฟตอนเข้ามาในห้อง ตุ่นจึงไม่ได้เห็นใบหน้าของเราที่แดงระเรื่อเพราะความคิดของเราเอง ในขณะที่เราคิดอยู่นั้น มือของตุ่นก็ถูกเจ้าของมือนำมาวางลงบนหน้าผากของเรา
   “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา” ตุ่นพูดต่อ
   “ลุกขึ้น ไปดื่มเหล้ากันที่บ้านดีกว่า ตามมานะ” ว่าแล้วตุ่นจึงลุกขึ้นยืนเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง
   เรายังคงนอนต่อไม่ยอมลุกตามตุ่นออกไป เพราะคิดว่าไหน ๆ วันเกิดของตัวเราเองไม่เคยได้เลี้ยงฉลอง เราจะไปมีอารมณ์นั่งดื่มเหล้าได้อย่างไรกัน เราจึงนอนหลับไปอีกครั้งนานแค่ไหนไม่อาจจะทราบได้ จนมีเสียงเปิดประตูห้องอีกครั้ง ตุ่นเดินเข้ามาในสภาพที่เมามาย เดินโซซัดโซเซมานั่งลงที่เก่า
   “ทำไมเก่งถึงไม่ยอมไป เก่งเป็นอะไรทำไมไม่บอก” ตุ่นพูดพลางกับล้มตัวลงนอนข้าง ๆ เรา
   เรารู้สึกแปลกใจและประหลาดใจกับพฤติกรรมของตุ่น การที่เราไม่ไปดื่มเหล้าด้วย ตุ่นน่าจะพอใจ เพราะทุกครั้งที่เราไปดื่มด้วย ตุ่นจะคอยกันไม่ให้เราดื่ม หรือให้ดื่มให้น้อยที่สุด แต่ในคราวนี้ตุ่นดูเหมือนกับโกรธที่เราไม่ยอมไปดื่มเหล้าด้วย
   “เก่งโกรธอะไรตุ่นรึเปล่า ทำไมชวนไปที่บ้านไม่ยอมไปละคืนนี้” ตุ่นเริ่มพูดออกมามากกว่าที่จะเป็นคำพูด
   “เก่งไม่ได้โกรธอะไรตุ่น” เราตอบไปตามความจริง
   “ถ้าเก่งไม่โกรธอะไรตุ่น แล้วทำไมเก่งไม่ยอมไปอวยพรวันเกิดให้ตุ่นละ วันนี้วันเกิดของตุ่นนะรู้ไหม วันเกิดของตุ่น ตุ่นอยากให้เก่งปร่วมฉลองด้วยกับเพื่อน ๆ ของตุ่น ตุ่นอยากให้เก่งนั่งฉลองวันเกิดของตุ่นอยู่ข้าง ๆ ตุ่น” ตุ่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม เราได้ยินดังนั้นถึงกับดีดตัวเองจากนอนเป็นลุกขึ้นนั่ง
   “วันนี้วันเกิดตุ่นด้วยเหรอ” เราถามกลับไป
   “ใช่ ตุ่นถึงเสียใจที่เก่งไม่ยอมไปไงละ” ตุ่นตอบหลังจากที่เปลี่ยนมานั่งบ้าง
   “เก่งขอโทษ เก่งไม่รู้ ที่เก่งไม่ยอมไปเพราะวันนี้ก็เป็นวันเกิดของเก่งด้วย แต่เก่งไม่เคยมีการฉลองวันเกิดเลยแม้แต่ปีเดียว แล้วตุ่นจะให้เก่งมีอารมณ์ไปกินเหล้าเหรอ” เราอธิบายเหตุผลให้กับตุ่นฟัง
   “วันเกิดเก่ง วันนี้ด้วยเหรอ” ตุ่นถามกลับ
   “งั้นดีเลย เดี๋ยวเราไปฉลองด้วยกัน วันเกิดของเราสองคน” ตุ่นพูดพร้อมกับลากตัวเราให้ลุกขึ้นตามไป
ตุ่นนเดินจับมือเราไปตลอดจนถึงบ้านเหมือนกับกลัวว่าเราจะหายไประหว่างทาง เมื่อก้าวเข้าไปในบ้านก้าวแรกตุ่นจึงรีบป่าวประกาศทันที
   “วันนี้วันเกิดเก่งด้วย เก่งเกิดวันเดียวกับกู”
   “เออ ๆ ดี ๆ งั้นมาเมาด้วยกันเลย” สมคิดพูดตอบกลับมา ตุ่นจึงคว้าเอาเราเข้าไปกอดคอเอาไว้แล้วพาไปนั่งลงข้าง ๆ ที่นั่งของเขา
   “วันนี้จะปล่อยให้ดื่มเต็มที่เลย” ตุ่นกระซิบบอกเรา
   “ไม่กลัวเก่งจะเมาแล้วเหรอคราวนี้” เราแกล้งถามย้อนกลับไป
   “วันนี้จะยอมปล่อยสักวัน” ตุ่นพูดพร้อมกับยังคงโอบกอดไหล่เราอยู่ตลอดเวลา
   “เก่งเมาแล้วใครจะเก็บข้าวของอีกละ” เรายังคงแกล้งประชด
   “พรุ่งนี้ตุ่นจัดการเอง” ตุ่นตอบพร้อมรอยยิ้มหวานบนใบหน้าที่แดงระเรื่องด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
หลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยง บรรดาหนุ่ม ๆ แยกย้ายกันไปจับจองที่นอน เหลือเพียงเจ้าของวันเกิดสองคนยังคงนั่งดื่มกันต่อไป
   “ไปนอนกันดีกว่า” ตุ่นพูดเมื่อเหล้าแก้วสุดท้ายหายเข้าไปในลำคอของเขา
   “นอนที่ไหนละ คนอื่นจองที่นอนกันหมดแล้ว” เราพูดบ้าง
   “ก็นอนบนโซฟาที่ว่างอยู่ไง” ตุ่นพูดพร้อมกับสบตาเราอย่างทะเล้น
   “ไม่เอา แคบจะตาย อึดอัดด้วย” เราพูดปฏิเสธแก้เขินจากสายตาของตุ่น
   “แล้วเก่งจะปล่อยให้ตุ่นนอนอยู่คนเดียวเหรอ แล้วถ้าตุ่นอ้วกขึ้นมาละ ใครจะช่วย ไม่เป็นห่วงกันแล้วใช่ไหม” ตุ่นยังคงพูดต่อไป
   “ก็ได้” เราตอบรับไปด้วยรอยยิ้มกว้างขวางบนใบหน้า แล้วตุ่นจึงลากเอาเราขึ้นไปนอนบนโซฟา
   เช้าในวันถัดมาเรารีบตื่นขึ้นมาเก็บกวาด เสร็จแล้วอาบน้ำ แต่งตัวออกไปยังตลาดในตัวอำเภอ เพื่อเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้กับคนพิเศษของเรา เราเดินเลือกดูของขวัญอยู่เนิ่นนาน หยิบชิ้นนี้ วางชิ้นนั้น พยายามเลือกคัดสรรให้ของสิ่งนั้นถูกใจตุ่นมากที่สุด จะว่าไปแล้ว เรารู้จักกับตุ่นได้เพียงไม่นาน ที่รู้จักกันก็ดูเหมือนจะผิวเผิน เราไม่ได้รู้เลยว่าตุ่นชอบอะไร ไม่ชอบอะไร การเลือกของขวัญวันเกิดให้กับตุ่นจึงดูยากเย็นมาก เราเลือกแล้ว เลือกอีก เดินวนไปวนมาอยู่ในร้านหลายสิบรอบ จนสุดท้ายจึงไปจบลงที่นาฬิกาตั้งโต๊ะที่เป็นงานฝีมือ ทำจากไม้เป็นรูปรถช๊อปเปอร์ เรารีบคว้ามาถือไว้ในมือด้วยกลัวว่าใครจะแย่งเอาสินค้าชิ้นนั้นไปซะก่อน
   “ตุ่นชอบรถ ตุ่นต้องชอบนี่แน่เลย” เราพูดให้กำลังใจตัวเองเบา ๆ
เมื่อจ่ายเงินและให้พนักงานห่อของขวัญให้เรียบร้อยแล้วเราจึงรีบเดินทางกลับไปที่บ้านของตุ่น ซึ่งพอไปถึงเห็นตุ่นกำลังจะออกไปจากบ้านพอดี
   “ตุ่นจะไปไหน” เรารีบเข้าไปขวางและยิงคำถามเข้าใส่
   “กลับบ้าน จะกลับไปเอาของขวัญที่แม่” ตุ่นตอบพร้อมส่งยิ้มกลับมาให้
   “แล้วไม่เอาของขวัญจากเก่งเหรอ” เราถาม
   “ได้แล้วนี่เมื่อคืน” ตุ่นพูดพร้อมรอยยิ้มติดทะลึ่ง
   “บ้า งั้นไม่ให้แล้วนะ” เราแกล้งบ้าง
   “เอาสิ ไหนละ” ตุ่นรีบง้อ
   “ไม่รู้จะถูกใจตุ่นรึเปล่านะ” เราพูดเป็นการป้องกันตัวเอง เกรงว่าของขวัญจะไม่ถูกใจคนรับ
   “แกะเลยได้ไหม อยากรู้ว่าเป็นอะไร” ตุ่นถาม
   “ก็แล้วแต่ตุ่นสิ ตอนนี้มันเป็นของตุ่นแล้วนะ” เราตอบ
ตุ่นรีบแกะกล่องของขวัญออก เมื่อเห็นของขวัญข้างใน ตุ่นหันมามองหน้าเรา ทำสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับจับมือเราจูงเราขึ้นไปบนห้องนอนของเขา
   “จะพาเราไปไหน” เรารีบถาม เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เราไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นไปบนห้องที่เป็นห้องนอนของตุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตุ่นเดินนำเราเข้าไปในห้อง แล้ววางของขวัญลงข้าง ๆ หมอนของเขา พร้อมกับหันกลับมาถามเรา
   “วางไว้ตรงนี้ดีไหม”
   “แล้วแต่ตุ่นสิ” เราตอบไปด้วยอาการเก้อเขิน
   “ขอบคุณมากนะเก่ง ตุ่นชอบมาก แต่ตุ่นต้องรีบไปแล้วนะ เดี๋ยวไม่ทันรถ” ตุ่นพูดพร้อมกับจะเดินออกกลับจากห้องนอน
   “ลืมอะไรรึเปล่า” เราถาม
   “ขอบคุณนะครับ” ว่าแล้วตุ่นจึงโผเข้ามาหาเรา ทำท่าเหมือนจะกอดเรา แต่กลับเปลี่ยนเป็นเอามือมาขยี้ผมของเราเหมือนเคย
   เราไม่รู้ว่าการกระทำของตุ่นนั้นจะมีความหมายแบบไหน แค่เพื่อนหรือมากกว่าเพื่อนอย่างที่เราคิดกับตุ่น แต่เราเองไม่อาจจะทราบได้ เพราะตุ่นทำตัวเองที่ค่อนข้างจะติดทะลึ่ง ทีเล่นทีจริงอย่างนี้มาตลอด
   “เดี๋ยวนี้พวกมึงถึงขั้นนี้กันแล้วเหรอ ไม่เกรงใจกูที่นอนอยู่เลยนะ” สมคิดเป็นคนเอ่ยขัดขึ้นมา
   “ตุ่นไปละ เจอกันพรุ่งนี้ตอนค่ำนะ” ตุ่นพูดพร้อมกับจากไป
เย็นของวันรุ่งขึ้นเรายังคงนอนดูทีวีอยู่ในห้องของตัวเอง โดยที่จิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับรายการในทีวี แต่ดูเหมือนจะจดจ่อ รอคอยฟังเสียงอยู่ว่าเมื่อไหร่ตุ่นจะมาเรียก และแล้วการรอคอยของเราก็ส่งผลเมื่อมีเสียงมาตะโกนเรียกที่หน้าบ้าน
   “เก่ง อยู่ไหม” ตุ่นตะโกนถามมา
   “อยู่ครับ เดี๋ยวลงไป” เราตะโกนตอบกลับไป
   “ตามไปที่บ้านนะ” ตุ่นตะโกนกลับมาอีกครั้ง
   หลังจากเราจัดแจงตัวเอง ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้น จึงได้ก้าวออกจากบ้านตรงไปยังบ้านของตุ่น พบตุ่นนั่งอยู่บนโซฟาตัวที่เคยเป็นที่นอนของเรา
   “เก่งรอตรงนี้นะ ตุ่นมีอะไรจะให้” ตุ่นพูดพร้อมกับวิ่งกลับขึ้นไปยังห้องนอนของตนและลงกลับมาใหม่ในมือถือกระเป๋าเป้ที่ทำจากผ้า ใบเล็ก ๆ เอามายื่นส่งให้กับเราพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ยังคงอบอุ่นอยู่เช่นเดิม
   “ตุ่นให้เก่งนะ ของขวัญวันเกิด” ตุ่นพูดทั้ง ๆ ที่ยังคงยิ้มกว้างอยู่ต่อไป
   “สุขสันต์วันเกิดนะเก่ง” ตุ่นพูดตบท้าย
   “ขอบคุณมาก นี่เป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในชีวิตของเก่งเลยรู้ไหม” เราพูดพร้อมกับอยากจะโผเข้าไปกอดตุ่นและฝังจมูกลงไปที่แก้มของตุ่นข้างละครั้ง ด้วยความตื้นตันใจเป็นที่สุด กับของขวัญชิ้นแรกที่ได้รับในวันเกิด และยังเป็นของขวัญจากคนพิเศษของหัวใจอีกด้วย แต่เราก็ทำได้เพียงแค่คิด เราปล่อยน้ำตาให้มันไหลออกมาสองข้างแก้ม ด้วยความดีใจเป็นที่สุด ตื้นตันใจเป็นที่สุด
   “อ้าว ร้องทำไม” ตุ่นถาม
   “เปล่าหรอก ไม่ได้ร้องซักหน่อย แค่เก่งดีใจนะ” เราตอบ
   “แล้วจะไม่เปิดออกดูเหรอ” ตุ่นถามพร้อมกับเอามือขยี้ผมบนหัวของเราเบา ๆ
   “ไหนดูซิ ข้างในเป็นอะไร” เราพูดพร้อมกับเปิดกระเป๋าออกมา พบว่าข้างในกระเป๋าเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ก่อนที่เราจะทันได้พูดอะไรต่อไป ตุ่นก็ได้พูดขึ้นมาก่อน
   “ตุ่นขอให้พี่สาวเป็นคนเลือกให้นะ ไม่รู้เก่งจะชอบไหม” ตุ่นบอก
   “ชอบสิ” เราพูดพร้อมกับเอาเสื้อมาทาบลงบนตัว เรารู้สึกว่าในกระเป๋ายังมีของอีกชิ้นหลงเหลืออยู่
   “ยังมีอีกชิ้นนะเก่ง” ตุ่นรีบบอก
   เราจึงล้วงเข้าไปหยิบของอีกชิ้นที่อยู่ในกระเป๋าออกมา มันเป็นผีเสื้อที่ถูกสต๊าฟไว้ในกรอบรูปที่เป็นกระจกใส เพื่อให้สามารถมองเห็นลวดลายบนตัวผีเสื้อได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเห็นชื่อของผีเสื้อแต่ละตัวที่อยู่ในกรอบรูปนั้นด้วย
   “ชอบไหม อันนี้ตุ่นเลือกเองนะ” ตุ่นถามขึ้นมาอีกด้วยอาการกระวนกระวายไม่น้อย แต่เรายังไม่ได้ให้คำตอบกลับไป เราพลิกไปดูด้านหลังของกรอบรูปนั้น มีข้อความที่เราเห็นลายมือก็จำได้ว่าลายมือนี้เป็นลายมือของตุ่น ตุ่นเขียนข้อความไว้ด้านหลังด้วย เราจึงตั้งหน้าตั้งตาอ่านข้อความที่ตุ่นเขียนเอาไว้ให้ อ่านแล้วอ่านอีก อ่านวนไปวนมาอยู่หลายเที่ยว

                            "ให้ น้อง สาว (มีกากบาททับคำว่าสาวเอาไว้) ชาย
                            ขอให้พบสิ่งดี ๆ ในชีวิต และเป็นที่รักของคนทุกคน
                                                                จาก พี่ตุ่น"
   “ตุ่น ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ” เราพูดพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มจะเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง
พรข้อที่ตุ่นขอให้เราได้พบสิ่งดี ๆ ในชีวิตนั้น เรารู้ว่าเราได้เจอมันแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เราได้เจอกับตุ่น แต่พรที่บอกว่าให้เป็นที่รักของทุกคนนั้น เราคิดว่ามันไม่สำคัญเลย ถึงแม้มันจะเป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ที่เราอยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดก็คือ ให้เราได้เป็นที่รักของคนคนเดียว ก็คือ ตุ่น นั่นเอง
   หลังจากวันนั้นเราเอาเสื้อที่ตุ่นซื้อให้เป็นของขวัญใส่อวดคนให้ ให้เขาได้เห็นว่าตัวเราเองนั้นเป็นปลื้มมากน้อยแค่ไหน แต่แล้วเราก็คิดขึ้นมาได้ว่า หากเรานำเอาเสื้อจากคนพิเศษมาใส่อยู่บ่อย ๆ ไม่นานมันคงจะเก่าและถูกทิ้งไปสักวัน ดังนั้นเราจึงไม่นำมันมาใส่อีกเลย เรานำไปซัก รีด แขวนไว้อย่างดี แต่ละเดือนเราจะนำมาซักรีดหนึ่งครั้ง เพื่อให้เสื้อไม่มีกลิ่นอับ เราตั้งใจไว้ว่าของขวัญชิ้นแรกในวันเกิดสองชิ้นนี้เราจะต้องนำติดตัวไปด้วยเสมอ ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน
   วันเวลาที่แสนดียังคงเดินหน้าผ่านไปเรื่อย ๆ เราเองดูจะเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความสุขอยู่ตลอดเวลา จากเราที่อัธยาศัยดีกับทุก ๆ คน เรายิ่งร่าเริง โปรยรอยยิ้มกว้างด้วยมิตรไมตรีให้กับคนอื่นเพิ่มมากขึ้นไปอีก ในยามที่เรากำลังมีความสุขอยู่เช่นทุกวันนี้
   “เก่ง ตุ่นจะกลับบ้านนะ” ตุ่นเดินเข้ามาหาเราในสโมสรของบ่ายวันศุกร์ ขณะที่เรากำลังนั่งกินขนมอยู่กับเพื่อน ๆ
   “ครับ แล้วมาวันไหน” เราถามกลับไป โดยที่ลืมไปว่ารอบกายมีเพื่อนของตัวเองนั่งอยู่อีก 3 – 4 คนด้วยกัน
   “มาวันจันทร์เช้าเลย แล้วเก่งไม่กลับเหรอ จะได้กลับพร้อมกัน” ตุ่นถาม
   “ไม่กลับ แม่เพิ่งโทรมาบอกว่าส่งเงินมาให้แล้ว คงถึงวันจันทร์” เราตอบกลับไป
   “อ้าว แล้วมีตังค์จ่ายไหมละ กว่าจะถึงวันจันทร์นะ” ตุ่นถามด้วยห่วงใย เราจึงหยิบเอากระเป๋าเงิน ส่งให้ตุ่นเปิดดูเงินที่อยู่ข้างใน
   “มีอยู่แค่นี้จะพอถึงวันจันทร์เหรอ” ตุ่นยังคงถามต่อ
   “ไม่สนใจคนรอบข้างกันเลยนะ” ชัยแซวขึ้นมา
   “ไม่เป็นไร เพื่อนเรามี คงไม่มีใครปล่อยให้เราอดหรอก ใช่ไหมชัย” เราย้อนกลับไปถามชัยที่กำลังแซวเราอยู่
   “งั้นรอนี่นะ แป๊บเดียว เดี๋ยวกลับมา อย่าไปไหน” ว่าแล้วตุ่นรีบเดินออกไปจากสโมสร ขึ้นนั่งมอเตอร์ไซค์กับเพื่อนที่จอดรออยู่ หายไปประมาณ 20 นาที ตุ่นจึงวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปหาเราอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับวางเงินลงให้เราจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก แต่มีค่าทางจิตใจของเราอย่างมหาศาล
   “เอาไว้ใช้จนกว่าจะได้ตังค์ที่แม่ส่งมาให้” ตุ่นพูด
   “โหหหหหหหห ขนาดนี้กันเลยเหรอเนี่ยเก่ง” น้อยถามลากเสียงยาว
   “ก็คนดีกัน ช่วยเหลือกัน จะเป็นไรไปละ” เราตอบน้อย แต่ในดวงตานั้นเอ่อไปด้วยน้ำตาที่พร้อมจะหลั่งรินลงมาด้วยความเปี่ยมสุข ปลื้มใจ กับน้ำใจที่คนพิเศษของตัวเองมีทิ้งไว้ให้
   “แล้วเก่งจะเอาอะไรไหม” ตุ่นยังคงถามต่อ
   “ซื้อขนมมาฝากสิ แถวบ้านตุ่นขนมเยอะไม่ใช่เหรอ” เราตอบกลับไปพร้อมสายตาออดอ้อน
   “ได้สิ งั้นรอนะ เจอกันวันจันทร์” ตุ่นตอบพร้อมกับเดินจากไป
   “เมื่อไหร่จะยอมรับซะทีว่าเป็นแฟนกันนะ” ชัยถาม
   “เออ น่า” เราตอบปัดไปสั้น ๆ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันเกิดเขาวันเกิดเรา"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 21-06-2010 11:23:38
หวังว่า ตุ๋น คงไม่ได้คิดกับเก่ง แค่พี่น้อง หรอกนะ  o22 
ว่าแต่ทำไมตุ๋นถึงดูแปลกไป หรือแอบคิดอะไรเกินเลย แล้วพยายามห้ามใจอยู่ป่าว ไม่ต้องห้าม จีบไปเลยเก่งน่ารักดีออก ดูซื่อๆใสๆไร้มารยา  :a2:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันเกิดเขาวันเกิดเรา"
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 21-06-2010 13:42:47
เข้ามาลุ้นเรื่องของสองหนุ่มเก่งกะตุ่น ...  o13
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันเกิดเขาวันเกิดเรา"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 25-06-2010 01:16:19
   วันเวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนพวกเรานักศึกษาทุกคนต้องสอบปลายภาคกันอีกครั้ง เราจำต้องห่างจากการทำตัวติดแจกับตุ่น เพราะต้องมาอ่านหนังสือกับเพื่อน ๆ ให้เพื่อนช่วยติวในส่วนวิชาการเขียนโปรแกรม เพราะเราออกจะไม่เอาไหน และวิชาเดียวที่เราสามารถเปิดห้องเรียนทั้งห้องเพื่อสอนให้กับเพื่อน ๆ ได้ก็คือวิชาบัญชี ช่วงนั้นเราจึงห่าง ๆ จากตุ่นไปบ้าง แต่ทุกวันหลังการติว เวลา 5 ทุ่ม ตุ่นก็จะทำหน้าที่ของตัวเอง คือมารับเรากลับไปนอนที่บ้าน ไม่เคยยอมปล่อยให้เรานอนค้างที่หอเพื่อนเลย ช่วงเวลานั้น เราและตุ่นจึงได้ขี่รถชมดวงดาวและแสงจันทร์กันเกือบทุกคืน
   “ตุ่นไม่ต้องมารับเราอย่างนี้ทุกคืนก็ได้” เราพูดในขณะที่นั่งรถไปกับตุ่น
   “แน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้มารับ” ตุ่นย้อน
   “ก็ถ้าตุ่นไม่มาเราก็นอนกับเพื่อนก็ได้” เราตอบ
   “นอนกันไปตรงไหน ที่อยู่กันก็เห็นแน่นกันจะแย่อยู่แล้ว” ตุ่นแย้ง
   “แหม เพื่อนกัน นอนเบียด ๆ กันไม่มีปัญหาหรอก” เราตอบ
   “ตกลงจะไม่ให้มารับใช่ไหม” ตุ่นพูด
   “มารับสิ ดีออกที่ตุ่นคอยมารับ ขอบคุณนะครับ” เราพูด ถ้าตุ่นสามารถมองเห็นแววตาของเราตอนนั้น เราว่าตุ่นคงจะเข้าใจความรู้สึกของเราที่เราส่งผ่านไปทางสายตาได้ แต่น่าเสียดายที่ตุ่นไม่สามารถมองเห็นได้เพราะสายตาของตุ่นต้องมองไปเบื้องหน้า
   จนวันเวลาของการสอบผ่านพ้นไป นักศึกษาทุกคนต่างต้องเตรียมตัวเพื่อการเดินทางไปฝึกงาน เราและเพื่อนอีก 5 คนไปฝึกงานที่ต่างจังหวัด ตุ่นเองก็เช่นกัน ต้องออกไปฝึกงานในช่วงปิดเทอม เราและตุ่นไปฝึกงานอยู่ในจังหวัดเดียวกัน แต่คนละอำเภอกัน ซึ่งค่อนข้างจะอยู่ไกลกันพอดูเหมือนคนละฟากของตัวจังหวัด เราและตุ่นจึงไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันเลยตลอดระยะเวลาการฝึกงาน ในตอนนั้นโทรศัพท์มือถือไม่ได้ราคาถูก แม้แต่เพจเจอร์ยังคงราคาแพงสำหรับนักศึกษาที่ใช้ทุนพ่อแม่อย่างเรา ดังนั้นการติดต่อกับคนพิเศษจึงขาดหายไปเป็นช่วงที่แสนยาวนาน
   ถึงแม้ว่าการไปฝึกงาน จะทำให้มีประสบการณ์แปลกใหม่เพิ่มเข้ามาในชีวิต ได้รับความรู้ต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาตลอดเวลา พี่ ๆ ที่คอยดูแลน้องฝึกงานต่างก็เป็นคนดี มีไมตรีจิต แต่เราก็ยังคงเหงาอยู่ บ่อยครั้งที่หวนคิดคำนึงไปถึงอ้อมแขนของตุ่นที่เคยกอด สัมผัสเบา ๆ หรือแม้การที่ตุ่นคอยเอามือขยี้ผมของเรา บ่อยครั้งนักที่เรามักจะแอบเศร้าอยู่คนเดียว เราได้รู้รสของความเจ็บปวดในการที่ไม่มีคนที่ตัวเองรักอยู่เคียงข้างกายแล้วว่ามันเจ็บปวด ทรมานขนาดไหน แต่ถึงเราจะเจ็บปวดสักเพียงไร เราจะเฝ้ารอที่จะได้กลับไปเจอกับตุ่นและได้รับความอบอุ่นจากทุก ๆ พฤติกรรมที่เขาและเรามีให้กันอย่างตั้งตารอ เมื่อถึงวันนั้นความเจ็บปวดทรมานทั้งหลาย คงจะหายไปเอง
   วันเวลาการฝึกงานผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนจบสิ้นลง พวกเรามีโอกาสกลับไปอยู่บ้านกันเพียงหนึ่งอาทิตย์ สถาบันก็เปิดเรียนในปีการศึกษาต่อไปแล้ว ปีนี้เราและเพื่อน ๆ กลายมาเป็นรุ่นพี่บ้างแล้ว แต่ละคนวางแผนรับน้องกันเต็มที่ในขณะที่นั่งรถไฟกลับมาที่สถาบัน ไม่เหมือนกับเมื่อปีที่ต้องเป็นน้องใหม่ ที่ทุกคนต่างช่วยกันหาทางออก หาทางแก้ หลบหลีกการรับน้องของรุ่นพี่ แต่เรื่องเดียวที่รบกวนจิตใจของเราอยู่ตอนนี้คืออยากให้ถึงที่พักเร็ว ๆ จะได้กลับไปเจอหน้าตุ่นเสียที จากที่ห่างหายกันไปนาน ความคิดถึงมันแทบจะทำให้หัวใจของเราแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ไปได้เลยทีเดียว เมื่อลงรถไฟแล้วเราจึงรีบขอตัวแยกกับเพื่อน ๆ กลับบ้านเช่าของตัวเองเพื่อกลับไปรอคนพิเศษ จนเปิดเรียนไปได้สองวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววของตุ่นที่จะมาเรียนเลย
   “เขาหายไปไหน หรือเขาจะไม่สบาย” เป็นคำถามกวนใจของเราตลอดมา จนต้นเหตุของคำถามต่าง ๆ กลับมาในวันที่สามของการเปิดเรียน
   “ทำไมเพิ่งมาวันนี้ละ” เรารีบเข้าไปถาม เมื่อเห็นตุ่นมาถึงบ้าน
   “เพิ่งกลับมาจากที่ฝีกงาน” ตุ่นตอบ
   “คนอื่นเขากลับกันมาตั้งนานแล้ว เราถามพวกเพื่อน ๆ ไม่เห็นมีใครบอกว่าตุ่นยังอยู่ที่ฝึกงานต่อ” เราพูดไปยาวเหยียดเพราะอยากให้ได้คำตอบที่ค้างคาใจ
   “ตุ่นอยู่ต่อเองแหละ” ตุ่นตอบแค่นั้น ไม่ให้เหตุผลอะไรต่อ
   ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติแล้ว วันเวลาที่ห่างหายจากกันไป ที่ทำให้หัวใจเจ็บปวดทรมาน ได้รับการเยียวยาแล้วจากคนที่เรารอคอย ถ้าเพียงแต่ที่หลังจากนั้นตุ่นมักจะหายไปจากบ้านทุก ๆ สองสัปดาห์ ไม่ได้เดินทางกลับบ้าน แต่ไม่รู้ว่าไปไหน ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปด้วย และผิดปกติวิสัยที่สุดที่ตุ่นไม่เอ่ยปากบอกเราเลยว่าไปไหน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะไปไหน จะคอยชวนให้เราไปด้วยเสมอ หรือไม่ก็บอกว่าจะไปไหน เย็นวันศุกร์ตุ่นจะขับรถมอเตอร์ไซค์หายไป แล้วจะกลับมาในเย็นวันอาทิตย์หรือเช้าวันจันทร์ ในตอนแรก ๆ เราไม่ได้สังเกตในความผิดปกติมากนัก แต่ผ่านไปนานเข้าเราเองจึงเริ่มสงสัยและลองไต่ถามกับเจ้าตัว แต่เจ้าตัวยังคงตอบปฏิเสธหรือเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเรา แต่ทุกครั้งที่ตุ่นกลับมา หรือพูดได้ว่าตลอดเวลาที่ตุ่นอยู่ข้าง ๆ เรา ตุ่นปฏิบัติตัวเหมือนปกติทุกอย่าง มอบความอบอุ่น ความห่วงใย อาทร ความช่วยเหลือแก่เราอย่างไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจเรายังคงอยากที่จะรู้ว่าตุ่นหายไปไหนทุก ๆ สองสัปดาห์
   ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ตุ่นหายไป เราไม่สามารถอดรนทนต่อไปได้ จึงไปรบเร้ากับเพื่อนร่วมบ้านของตุ่นว่าตุ่นหายไปไหนบ่อย ๆ แต่ไม่มีใครที่เอ่ยปากบอกเราเลย มีแต่คำถามกลับมาเท่านั้น
   “แล้วมันไม่ได้บอกเก่งเหรอ ว่ามันไปไหน” โตเพื่อนที่เช่าบ้านหลังเดียวกับตุ่นเอ่ยถาม
   “เปล่า ไม่เคยบอกเลย” เราตอบ
   “เก่ง ผมถามจริง ๆ นะ เก่งชอบมันจริง ๆ เหรอ เก่งชอบมันได้ไง มันทั้งบ้า ทั้งขี้เมา” สมคิดถามขึ้นมา
   “ไม่รู้สิ” เราตอบได้แค่นั้น แต่กลับถามเพื่อนกลับไปอีกหวังว่ายังไงจะต้องเอาคำตอบจากปากของเพื่อนให้ได้ในวันนี้
   “แล้วตุ่นไปไหน บอกเราหน่อยนะ” เราเว้าวอน
   “มันไปหาแฟนมัน มันรู้จักกันตอนฝึกงาน” สมคิดพูดแค่นั้น แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
   เราได้ยินคำตอบของเพื่อน เรารู้สึกว่าท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่ สดใสเสมอมาในชีวิตของเรา กลับกลายเป็นฟ้าที่มืดมิด และพร้อมใจกันหล่นลงมาทับหัวของเราเข้าอย่างจัง เราแทบจะหมดแรงยืน เราปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงสองข้างแก้มโดยไม่อายต่อสายตาของเพื่อน ๆ
   “เก่ง ทำใจเถอะนะ” โตเป็นคนปลอบ
   “ไอ้ตุ่นมันก็บ้า มันทำอย่างนี้ได้ไง” สมคิดพูดขึ้นมาอีก
   “ช่างเขาเหอะ อย่าบอกเขานะว่าเก่งรู้แล้ว” พูดจบเราจึงเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง ที่พึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนั้นคือหมอนที่อยู่บนที่นอน เราซุกใบหน้าลงไปบนหมอน หวังให้หมอนใบนั้นได้คอยซับเอาน้ำตาของเราที่ไหลรินไม่ยอมหยุด แทนมือสองข้างของตุ่นที่เคยคอยเช็ดน้ำตาให้ยามเราร้องไห้ แต่ตอนนี้ไม่มีเขาแล้ว เราสะอื้นไห้ด้วยความปวดร้าวในใจ เมื่อการโหมร้องไห้ของเราผ่านพ้นไป เราจึงได้หวนคิดไปถึงว่า ตุ่นเองไม่เคยที่จะบอก หรือสารภาพกับเราเลยว่ารัก หรือคิดอะไรแบบนั้นกับเรา ที่ผ่านมาถึงตุ่นจะดีกับเรามาก ถึงตุ่นจะเคยโอบกอด แม้แต่คอยซับน้ำตาให้เรา ดูแลเรา แต่ตุ่นไม่เคยบอกอะไรพวกนั้นกับเราเลย ชอบเรา รักเรา ไม่เคยมีออกมาจากปากของตุ่น เราเองที่รักตุ่นและคิดไปเองว่ากากระทำต่าง ๆ ที่ตุ่นแสดงออกออกมานั้น คือความรู้สึกที่ตุ่นคิดเหมือนกับตัวเราเอง ยิ่งคิดเรายิ่งเจ็บปวด เราคิดเกินเลยกับตุ่นไปเอง ตอนนี้เรารู้แล้วว่าตุ่นเป็นห่วงเราจริง ๆ ตุ่นดูแลเราจริง ๆ แต่ตุ่นไม่ได้รัก หรือชอบเราในทำนองที่เราคิดไว้เลย
ถึงแม้เราจะคิดได้ว่าตนเป็นคนคิดไปเองข้างเดียว ตนเป็นคนคิดเกินเลยไปกับตุ่นเอง แต่ก่อนที่เราจะหลับไปเพราะร้องไห้อย่างหนักนั้น เราอยากจะให้มีมือของตุ่นมากอด หรือโอบไหล่ หรือแม้แต่มาขยี้ผมของเราเหมือนเคย แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ตุ่นมีแฟนแล้ว มีแฟนเป็นผู้หญิง นี่เป็นความคิดที่ตอกย้ำความรู้สึกของเราก่อนที่เราจะหลับไป
   แต่เมื่อตุ่นกลับมาทุก ๆ ครั้ง เขายังคงทำตัวปกติกับเรา ปกติทุกอย่าง ทุกการกระทำ มันทำให้เราที่รู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น ยิ่งปวดร้าวในใจสุดจะทน เราจึงพยายามที่จะทำตัวเองให้ยุ่งกับการเรียน มีกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ของตัวเองให้มากขึ้น เพราะจะได้ห่างจากตุ่นไปบ้าง เปิดโอกาสให้ตุ่นได้ใช้ชีวิตตามที่เขาต้องการ
   “ทำไมเก่งถึงหายมาแบบนี้บ่อย ๆ” ตุ่นถามขึ้นมาในเย็นวันหนึ่งขณะที่เรากำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนจากร้านเช่าหนังสือของพี่เยาว์ในสถาบัน ซึ่งเวลาปีกว่า ๆ ที่ผ่านมาเราอ่านจนเกือบจะหมดทุกเล่มที่มีอยู่ในร้าน
   “ไม่ได้หาย แค่มาหาเพื่อน” เราตอบกลับไป โดยที่ยังไม่กล้าสบตากับตุ่น เพราะเรารู้ว่าหากเขาเห็นแววตาของเราตอนนั้น ตุ่นจะต้องรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่
   “ไป กลับบ้านกัน” ตุ่นพูดขึ้นมาดื้อ ๆ แถมยังกึ่งจูงกึ่งลากพาเรากลับบ้านไปจนได้ ตุ่นยังคงไม่บอกอะไรกับเราเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหายไป และเราไม่เคยเอ่ยปากถามตุ่นเลยเช่นกัน แต่เราจะมีเพียงปฏิกิริยาที่เป็นเหมือนวัคซีนป้องกันตัวเองมากขึ้น ยามตุ่นจะเข้าใกล้เราเหมือนเคย เรากลับปัดป้อง ยามตุ่นเอามือสองข้างมาจับบนไหล่ของเรา เราจะพยายามเลี่ยง และแน่นอนเราไม่เปิดโอกาสให้ตุ่นได้ขยี้ผมของเราอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น
   “มึงสองคนช่วยเคลียร์อะไรกันซะหน่อยดีไหม กูเห็นแล้วกูเครียดวะ” โตเอ่ยขึ้นขณะเห็นภาวะตึงเครียดต่อหน้า
   และแล้วคืนนั้นทุกอย่างก็จบลงในวงเหล้า ตุ่นดูไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน ตุ่นนั่งดื่มเหมือนกับคนที่เต็มไปด้วยปัญหาในหัวใจ ปัญหาที่ยากที่จะพูดออกมา ตุ่นดื่มหนัก จนเราเริ่มเป็นห่วง จึงเปลี่ยนบทบาทจากที่ตุ่นเคยเป็นคนคอยห้ามไม่ให้เราดื่ม คราวนี้เราเองกลับเป็นคนห้ามไม่ให้ตุ่นดื่ม เราขยับเข้าไปนั่งใกล้เขามากขึ้น จากที่ตอนแรกพยายามนั่งออกไปห่าง ๆ พร้อมกับเอามือไปวางไว้บนขาของตุ่น ตุ่นเงยหน้าขึ้นมอง ตุ่นบีบมือของเรากลับแต่ไม่ยอมพูดอะไร ออกมาเลย
   “กูว่าวงแตกแล้วละ ไปต่อบ้านมึงดีกว่าไอ้คิด” สมเกียรติพูดขึ้น พร้อมกับเก็บขวดเหล้า ขวดโซดาใส่ถุงย้ายวงเหล้าหายกันไปหมด เหลือไว้แค่เพียงเราและตุ่นที่นั่งมองหน้ากันและกันอยู่อย่างเนิ่นนาน เราเห็นว่าตุ่นเมามากแล้ว และดูท่าทางจะเพลีย หมดแรง จึงรีบประคองพาตุ่นไปนอนบนโซฟาตัวเดิม พร้อมทั้งเตรียมตัวหาผ้าจะมาเช็ดหน้า เช็ดตัวให้ตุ่น แต่โดนตุ่นรั้งข้อมือเอาไว้แล้วดึงเรานั่งลงข้าง ๆ ตุ่นยังคงไม่ยอมพูดอะไรออกมา แต่มือยังคงจับเขาไว้ที่แขนของเรา ตุ่นทำแบบนี้อยู่เนิ่นนานจนตุ่นหลับไปเอง เราจึงได้ลุกขึ้นไปหาผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เขา การเช็ดตัวให้กับตุ่นในคราวนี้เราไม่มีความรู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกวาบหวามเหมือนเมื่อครั้งก่อน เรามีเพียงความรู้สึกที่อึดอัด เจ็บปวด ทรมานใจอย่างเป็นที่สุด หลังจากเช็ดตัวให้ตุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราจึงจัดเก็บกวาดบ้านเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่จะนอนลงตรงด้านหน้าโซฟา โดยเราไม่ลืมที่จะกระซิบข้าง ๆ หูของคนที่ตัวเองรัก
   “เก่งก็รักตุ่นมากนะ”
   เราไม่รู้ว่าตุ่นจะได้ยินหรือเปล่า แต่ในตอนนั้นเราเองก็เมาไม่น้อยไปกว่าตุ่นเหมือนกัน ถึงได้กล้าที่จะพูดอะไรที่อยู่ในใจมานานแสนนานออกไป เป็นธรรมดาที่เมื่อเราได้มอบความรักให้กับใครไปสักคน เราก็อยากที่จะให้ใครคนนั้นมีความรักมอบกลับมาให้เราด้วย เพียงแต่ว่าในกรณีของเรานั้น ถึงเราจะต้องการให้ตุ่นตอบรับรักเรากลับมาสักเพียงไร แต่ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไร เพราะการที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้นั้น มันก็ทำให้เรามีความสุขมากเพียงพออยู่แล้ว
   ช่วงหลังนี้หลังจากที่ตุ่นแอบไปมีแฟน เรารู้ว่าตุ่นเองก็อึดอัด แต่เราเองนั้นก็ไม่ได้มีความสุขมากเหมือนก่อน แต่ถ้าให้เลือกระหว่างความสุขของเรา และความสุขของตุ่น เราเองคงตัดสินใจที่จะเลือกให้คนที่เรารักได้มีความสุขมากกว่าความสุขของเราเอง
   ถึงแม้ว่าเราเองพยายามที่จะคิดว่าการที่คนที่เรารักมีความสุขแล้วเราจะสุขไปด้วยนั้น มันกลับไม่จริงอย่างที่คิดเลย ทุกวันการยิ้มของเราก็แทบจะต้องฝืน การนอนก็แทบจะต้องข่มตาให้หลับ การใช้ชีวิตอันราบเรียบของเราอย่างที่ผ่านมา มันเป็นอะไรที่ยากเย็นขึ้นมาในทันที เพราะปกติเราจะเป็นคนที่ร่าเริง แต่ในทุกวันนี้ความร่าเริงของเราแทบจะคั้นเอามาจากอก เพื่อน ๆ ของเราคงจะสังเกตกันได้ แต่เพื่อนก็คือเพื่อน พวกเขาได้แต่ปลอบใจเรากันไปต่าง ๆ นานา โดยที่ไม่มีใครเอ่ยถามถึงสาเหตุเลยแม้สักคน
   จนในวันหนึ่ง วันที่ทำให้เรารู้ว่าตุ่นนั้นมีค่ากับเรามากแค่ไหนก็มาถึง วันนั้นเราจำได้ดีว่าเป็นตอนพลบค่ำของวันอาทิตย์ เรานอนอยู่บนที่นอนในห้องของเรา โดยที่ไมได้เปิดทีวี หรือเปิดเพลงฟัง เราแค่เพียงนอนเฉย ๆ เพื่อเงี่ยหูฟังเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของตุ่นที่เราแสนจะคุ้นเคยว่าเมื่อไหร่ มันจะพาตุ่นกลับมาเสียที เรารอการกลับมาของตุ่นตั้งแต่บ่าย แต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ในใจก็เริ่มหมดหวัง คิดว่าตุ่นคงจะค้างกับแฟนต่อแล้วกลับมาเรียนในตอนเช้าวันจันทร์ แค่คิดว่า ตุ่นจะนอนค้างที่บ้านแฟนของเขาต่อ หัวใจของเราในตอนนั้นเหมือนกับโดนเข็มที่เล็กและแหลมคมนับจำนวนเป็นร้อยเป็นพันพุ่งผ่านทะลุหัวใจ เรารู้สึกว่าเจ็บจี๊ดในหัวใจ ในขณะที่เรากำลังเอามือเช็ดน้ำตาของเราที่ไหลออกมาตั้งแต่ตอนไหนเราเองก็ไม่รู้ เราได้ยินเสียงของโตมาตะโกนเรียกที่หน้าบ้านของเรา
   “เก่ง เก่ง อยู่มั๊ย”
   “อยู่ครับ” เราตะโกนตอบออกไป แต่ยังไม่ได้ลุกไปเปิดประตูที่ระเบียง เพราะกลัวว่าถ้าลุกออกไปทันทีโตจะเห็นน้ำตาของเรา เมื่อเราเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วจึงรีบลุกออกไปเปิดประตูที่ระเบียงและก้มลงไปคุยกับโตที่ยืนกระวนกระวายอยู่ที่หน้าบ้าน
   “มีอะไรรึเปล่า” เราถามโต
   “เก่งมาที่บ้านหน่อยสิ รีบมาเลยนะ” โตตอบ
   “ไปทำไมเหรอ” เราถามกลับไป ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้านี้เราจะรีบไปโดยที่ไม่ต้องถามเลยว่าจะให้เราไปทำไมกัน
   “มาเถอะ ตุ่นอยากเจอ” โตตอบ
   “ตุ่นกลับมาแล้วเหรอ” เราถามกลับไป
   “เก่งรีบมาเถอะ ผมไปรอที่บ้านนะ” โตพูดจบก็เดินย้อนกลับไปยังบ้านพักของเขา
   หลังจากที่เราล้างหน้าล้างตาเพื่อลบร่องรอยของน้ำตาออกแล้วนั้น เราจึงเดินมุ่งตรงไปยังบ้านของตุ่น เมื่อไปใกล้หน้าบ้านเราสังเกตว่าไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ของตุ่นจอดอยู่ ทำให้เราคิดว่าแล้วตุ่นกลับมายังไง จนเมื่อเราเดินเข้าไปถึงหน้าบ้านของพวกเขา ทำให้เราถึงกับต้องหยุดความคิดทุกอย่างเอาไว้ แล้วรีบวิ่งไปนั่งลงตรงหน้าโซฟาที่มีตุ่นกึงนั่งกึ่งนอนอยู่  ตุ่นอยู่ในสภาพที่มอมแมมไปทั้งตัว ที่มือและที่เข่ามีบาดแผลสด ๆ มีรอยเลือดให้เห็นได้อย่างเด่นชัด
   “เกิดอะไรขึ้น” เราพูดในขณะที่มือของเราเองนั้นไปจับอยู่ที่หน้าขาของตุ่นพร้อมกับบีบเบา ๆ
   “โดนรถสิบล้อเบียดตกข้างทาง ตอนขับรถกลับมานี่” ตุ่นตอบ
   “เจ็บมากรึเปล่า” เราถามพร้อมกับน้ำตาของเราเริ่มไหลออกมาจากสองข้างดวงตา
   “ไม่เป็นไรมากหรอก เก่งจะร้องทำไมกันละ ตุ่นเป็นคนที่เจ็บนะ” ตุ่นพูดเชิงหยอกล้อ
   “ทำไมละตุ่น ทำไม” เราถามไปแค่นั้น แล้วเราก็ร้องไห้อย่างหนัก อย่างไม่อายเพื่อนคนไหนเลย คำถามของเราในตอนนั้น เราไม่ได้ถามว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตุ่น แต่เราอยากจะถามว่า ทำไมตุ่นต้องลงทุนทำให้ชีวิตของตัวเองอยู่ในอันตรายแบบนี้ด้วย การขับรถมอเตอร์ไซค์ไปกลับ ข้ามจังหวัดนั้นมันอันตรายใคร ๆ ก็รู้กันดี แต่เราไม่ได้ถามออกไปเพราะคำตอบที่ตอบเราสวนกลับมานั้น ทำให้เราร้องไห้ออกมาเสียก่อน นั่นก็คือ ทำไมที่ตุ่นต้องเสี่ยงอันตรายนะเหรอ ก็เพราะเขาอยากไปอยู่กับแฟนของเขานะสิ
   “เก่งทำแผลให้ตุ่นหน่อยสิ” ตุ่นพูดออกมาในขณะที่เรากำลังก้มหน้าร้องไห้ เพื่อน ๆ ทุกคนมองหน้าตุ่นทีมองหน้าเราที
   “เดี๋ยวเก่งไปซื้อยาและอุปกรณ์มาก่อนนะ” พูดเสร็จเราก็วิ่งทั้งน้ำตาออกไปที่ร้านขายของชำหน้าปากซอย เพื่อซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น
หลังจากทำแผลให้ตุ่นเสร็จ เราก็เอายาแก้อักเสบให้เขากิน พร้อมทั้งบอกให้เขานอนลงบนโซฟา ตุ่นเองทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากที่เราเอาเสื้อผ้าของตุ่นไปแช่เราจึงจัดแจงต้มข้าวต้มให้ตุ่น เตรียมไว้ให้เขาทานเมื่อเขาตื่นขึ้นมา
   “ให้มันอยู่กันสองคนเถอะ พวกเราไปกินเหล้ากันดีกว่า” โตพูดก่อนชวนเพื่อน ๆ ออกไปตั้งวงดื่มเหล้ากันที่บ้านของเพื่อนคนอื่น
เราเลยถือโอกาสนอนเฝ้าตุ่นที่บ้านของตุ่นในคืนนั้น เผื่อตุ่นขาดเหลืออะไรหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเรา ในขณะที่ตุ่นนอนหลับไป เรานั่งมองหน้าของเขาอยู่เนิ่นนาน จากการที่เคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ตุ่นไปมีแฟน จากการที่เราอยู่ในอาการเหมือนอกหัก มาถึงตอนนี้ เรากลับคิดว่า ไม่ว่าตุ่นจะไปไหน จะไปทำอะไร เราขออย่างเดียวแค่ให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย เราก็ดีใจแล้ว เพราะจากเหตุการณ์ในวันนี้ที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขามันทำให้เรารู้ดีว่า การกลับมาของเขา ไม่ว่าจะกลับมาสภาพไหน ก็ยังดีกว่าที่เขาจะไม่กลับมาให้เราได้เห็นหน้าอีกต่อไป ถึงแม้เขาจะมีแฟนแล้ว แต่เราก็ขอให้เขากลับมาอยู่กับเรา มาเล่นกีต้าร์ให้เราฟัง มาขยี้ผมของเราเหมือนเดิมก็เพียงพอแล้ว
   รถมอเตอร์ไซค์ของตุ่นเสียหายมาก ถ้าเทียบกับอาการของตุ่นแล้ว ถือว่าตุ่นโชคดีมากที่บาดเจ็บไม่มากนัก ตุ่นส่งเศษรถมอเตอร์ไซค์ของเขากลับบ้าน เพราะไม่สามารถที่จะซ่อมได้แล้ว แต่ในยามที่เราเองต้องใช้มอเตอร์ไซค์ ตุ่นจะหยิบยืมจากเพื่อนเตรียมไว้ให้เราเสมอ อย่างเช่น กรณีที่เราต้องไปเปิดเพลงที่สถาบันตั้งแต่ตี 5 ของทุกวันเพื่อให้นักเรียนหลาย ๆ สาขาได้เตรียมตัวไปลงงาน ปกติเราจะต้องใช้รถมอเตอร์ไซค์ของตุ่น เมื่อเปิดเพลงเสร็จเราจะขับมอเตอร์ไซค์กลับไปอาบน้ำที่บ้านเตรียมตัวออกมาเรียนพร้อมกับตุ่น แต่ตอนนี้เมื่อไม่มีมอเตอร์ไซค์ของตุ่นแล้ว ตุ่นจะหยิบยืมมอเตอร์ไซค์ของคนนั้น คนนี้มาจอดเตรียมไว้ให้ในบ้านเราเสมอ
   ตุ่นที่แสนดีของเรา ยังคงเป็นตุ่นที่แสนดีเสมอ แต่ตุ่นเขาก็มีแฟนแล้ว เขามีแฟนแล้ว คำนี้ทำให้เราเศร้าเสมอ แต่เราก็ยังคงรักและทำตัวดีกับเขามาตลอด
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปิดบังกัน"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 25-06-2010 11:49:03
ไงเป็นแบบนี้ล่ะ ชักจะไม่อยากเชียร์ตุ่นแล้วนะเนี่ย ความจริงน่าจะเคลียร์ความสัมพันธ์ให้ชัดเจนเลยดีกว่า อึ้มครึ้มอยู่แบบนี้สงสารเก่งอะ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปิดบังกัน"
เริ่มหัวข้อโดย: Phing ที่ 25-06-2010 11:59:52
มาตามอ่านเรื่องนี้ด้วยคน :mc4:
ถึงจะมาไม่บ่อยแต่ก็ตามอ่านนะค่ะ


 :L2:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปิดบังกัน"
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 25-06-2010 14:14:17
ติดตามด้วยคน :L2:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปิดบังกัน"
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 25-06-2010 15:47:17
อ่านแล้วเศร้า สงสารเก่ง....
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปิดบังกัน"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 25-06-2010 18:49:36
 :L1:
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ
ขอบคุณทุกคนที่คอมเม้นต์ให้ครับ
และขอบคุณทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้กับเก่งและตุ่นครับ
แล้ว duckhero จะรีบนำตอนต่อ ๆ ไปมาอัพเดทให้ได้อ่านกันนะครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปิดบังกัน"
เริ่มหัวข้อโดย: hotladyanyavee ที่ 25-06-2010 21:44:14
อ่านแล้วก็หนุกดีอะ แต่แปะกฎของบอร์ดเราก่อนดีกว่าไหม จะได้ไม่ผิดกติกา
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปิดบังกัน"
เริ่มหัวข้อโดย: vvivy ที่ 25-06-2010 22:57:36
รอติดตามค่ะๆ o13
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปิดบังกัน"
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 25-06-2010 23:27:46
ไรเตอร์อย่าใจร้ายน่ะ สงสารเก่งง่ะที่ตุ่นมันทำแบบนั้นมันอาจจะมีเหตุผลอื่นมั้งนะ คิดไปไกลๆจะได้ไม่คิดมาก
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ปิดบังกัน"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 26-06-2010 01:15:39
   จวบจนวันเวลาได้ผ่านเลยไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนแล้วก็เดือนเล่า เก่งและตุ่นยังคงอยู่ในปฏิกิริยาที่ยังคงเดิมต่อกัน โดยที่เก่งจะต้องเก็บกดเอาความรู้สึกเจ็บปวด รวดร้าวหัวใจเอาไว้ในอก ไม่ให้ปรากฏออกมาบนหน้าของตัวเอง เกรงว่าจะทำให้ตุ่นไม่สบายใจ เก่งและตุ่นยังคงนั่งเล่นกีต้าร์ด้วยกันตรงจุดเดิม ตุ่นยังคงเตรียมมอเตอร์ไซค์ไว้ให้เก่งใช้ ยามที่เก่งต้องใช้ โดยที่เก่งไม่ต้องไหว้วาน ดื่มเหล้ากิจวัตรประจำที่ทำร่วมกัน เก่งและตุ่นยังคงนั่งใกล้กันในวงเหล้า เพียงแต่น้อยครั้งที่เก่งจะเอามือไปวางไว้บนหน้าขาของตุ่นเหมือนที่เคย ๆ ทำ ตุ่นเองก็น้อยครั้งที่จะเอามือมาขยี้ผมของเก่งเหมือนแต่ก่อน
   ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันถ้าเราไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเราเอง เราว่าตุ่นก็ดูจะอึดอัด หรือดูท่าทางจะไม่สบายใจอยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนทั้งเราและตุ่นต่างก็เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ ในส่วนตัวของเราเองนั้น เราพยายามที่จะเก็บเกี่ยวเอาความสุขจากตุ่นให้ได้มากที่สุด เพราะเรามีแผนอยู่แล้วในใจของเรา ส่วนตุ่นนั้น เราบอกตามตรงว่าเราเริ่มรู้สึกว่านับวันเรายิ่งหยั่งใจของเขาไม่ถึงลงไปทุกที
   ภาคเรียนที่ 1 ผ่านพ้นไป ช่วงเวลาปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่เราได้พักความคิด ความเครียดเกี่ยวกับตุ่น เพราะเราได้มีโอกาสกลับไปอยู่บ้าน อยู่กับพ่อ กับแม่ หลายกิจกรรมที่เราทำด้วยกันจึงทำให้เราลืมที่จะคิดเรื่องของตุ่นไปได้เหมือนกัน
แต่ความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เมื่อวันเปิดเทอมมาถึง เรากลับรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าตุ่นคนที่เรารักมานาน เมื่อเราเจอกันที่บ้านเช่าของตุ่น เราจึงถือโอกาสบอกสิ่งที่เราคิดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนปิดภาคเรียน
   บอกรักตุ่นนะเหรอครับ ไม่ใช่แน่นอน เรามันคนขี้ขลาด เราไม่กล้าที่จะทำอย่างนั้นแน่นอน สิ่งที่เราบอกตุ่นมันทำให้เราเจ็บปวดใจเสียเอง
   “เทอม 2 นี้เก่งย้ายไปอยู่กับเพื่อนห้องคอมฯ นะตุ่น” เราเริ่มต้นบอกสิ่งที่เราคิดเอาไว้ โดยที่ตุ่นยังคงเงียบ และยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
   “เทอมนี้เราต้องทำโปรเจคจบ เราต้องอยู่ใกล้เพื่อน ๆ และสถาบัน เพื่อที่จะได้ช่วยกันติวและสะดวกกับการเข้าไปขอใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สถาบัน” ตุ่นยังคงเงียบ
   “เก่งเรียนไม่ได้เก่ง อยากให้เพื่อน ๆ ช่วย ไม่งั้นเก่งคงไม่ได้จบพร้อมเพื่อน” เก่งยังคงเน้นย้ำ
   “ให้ตุ่นไปส่งมั๊ย” ตุ่นพูดออกมาหนึ่งประโยค หลังจากนั้น เราและตุ่นต่างก็เงียบ
   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเก่งนั่งรถสองแถวไปก็ได้” เราตอบตุ่นกลับไป
   “แวะมาหาบ้างละ” ตุ่นตอบก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนเราเองเดินจากมาด้วยอาการหน้าชา ตัวชา ขึ้นรถสองแถวมาโดยที่เหมือนกับไร้ความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น เราจากมาโดยที่เก็บเอาเฉพาะข้าวของที่จำเป็นมาก่อน เราเลือกที่จะกลับไปเก็บข้าวของที่เหลือในวันเสาร์ เพราะวันเสาร์เป็นวันที่เราคิดว่าตุ่นคงจะไม่อยู่ที่บ้าน ตุ่นคงจะไปต่างจังหวัดเพื่อไปอยู่กับแฟนของเขา เราไม่อยากที่จะเจอตุ่นตอนที่เราต้องขนของย้ายออกมา เพราะมันคงยากที่เราจะกลั้นเอาน้ำตาไว้ได้
เราวุ่นวายกับการทำโปรเจคทุกเวลาที่ว่างหลังจากการเรียน สนามวอลเล่ย์บอล สนามเปตอง หรือแม้แต่ร้านหนังสือเช่าของพี่เยาว์ เราแทบจะไม่ย่างกรายเข้าไปเลย เพราะเมื่อใดที่เราเข้าไป ภาพความทรงจำดี ๆ มันก็มาตอกย้ำให้เราต้องเจ็บปวดใจอยู่เสมอไป แต่ถึงยังไง เราก็ยังได้เจอตุ่นที่สถาบันอยู่บ้าง เรายังคงได้ยินเสียงตะโกนบอกเขาว่า “ไอ้ตุ่น แฟนมึงมาหา” เหมือนเดิม เวลาเราเดินไปหาตุ่นที่บ่อประมง ตุ่นเองก็ยังคงพูดคุยกับเราอย่างอบอุ่น แต่การย้ายมาอยู่ไกลกับตุ่นแบบนี้ มันทำให้เราห่างกัน ห่างกันมาก เหมือนอยู่กันคนละโลก เราไม่รู้ความเป็นไปของตุ่น เราไม่รู้ว่าเวลาตุ่นเมาแล้วใครจะพาเขาไปอาเจียน ใครจะเช็ดตัวให้เขา ถึงแม้ที่หอที่เราอยู่รวมกับเพื่อน ๆ จะมีเสียงกีตาร์ของเพื่อน ๆ เราดังอยู่เป็นประจำ แต่มันก็ไม่ใช่เสียงกีตาร์ของตุ่น เสียงที่เราคุ้นเคย ยิ่งนับวันยิ่งดูเหมือนว่าเราจะห่างกันมากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น และในช่วงหลัง ๆ เราก็ไม่ได้เจอตุ่นที่สถาบันมากนัก เพราะตอนนั้นนักศึกษาคอมฯ ส่วนใหญ่จะฝังตัวเองอยู่ในห้องคอมฯ เพื่อเขียนโปรแกรม ทำโปรเจคจบกัน รวมทั้งเราด้วย เราเลยไม่มีโอกาสได้ไปเจอเขาที่บ่อประมงสักเท่าไหร่
   วันเวลาผ่านเลยไปโดยที่เราไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว และแล้วในเย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นเย็นของวันเสาร์ เราและเพื่อน ๆ อยู่ที่ห้องเช่า นอนดูหนัง ฟังเพลงกันตามประสา เราได้ยินเสียงของชัยที่อยู่หน้าห้องเช่ากับน้อยตะโกนประโยคที่ทำให้เราถึงกับกระโดดลงจากเตียงนอนในทันควัน
   “เก่ง เก่ง แฟนเก่งมาหา” คำว่าแฟนที่ชัยพูดถึง เราเข้าใจความหมายได้ดีว่าชัยหมายถึงใคร เรารีบวิ่งออกไปที่หน้าหอพักทันที เราเห็นตุ่นนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเราก็ไม่คุ้นเหมือนกันว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ของใคร
   “แต่งตัวเร็วเข้า ไปหาอะไรกินกัน” ตุ่นพูดเมื่อเราไปยืนอยู่ใกล้ ๆ เขา ในตอนนั้นหัวใจของเราเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เราตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เราทำได้แค่เพียงยืนยิ้มให้ตุ่น
   “ไหนละ บอกว่าให้ไปแต่งตัวไง” ตุ่นย้ำขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกตัว
   “รอแป๊บนึงนะ” เราพูดจบก็หายกลับเข้าไปในหอพัก เปลี่ยนชุดให้พอดูได้ แล้วจึงออกมานั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของตุ่น ตุ่นไม่พูดอะไรแต่กลับขับรถออกไปจากจุดนั้นในทันที
   คราวนี้เราไม่ปฏิเสธ ไม่ลังเล เหมือนตอนที่ตุ่นเคยชวนเราตอนแรกที่เราเพิ่งได้เจอกัน ตอนนี้เราไว้ใจตุ่น ตุ่นจะพาไปไหนเราก็ไป  ถึงแม้ว่าไปแล้วจะไม่ได้กลับมา เราก็จะไปถ้าได้ไปกับตุ่น วันนี้เป็นวันที่หัวใจเราเต้นแรงอีกครั้ง  หลังจากที่เราจากกันมานาน  เราไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานาน เราตื่นเต้นอีกครั้งที่ได้นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กับตุ่น คราวนี้เรากล้าที่จะเอามือไปจับสะเอวของตุ่นอีกครั้ง จับโดยที่เราไม่ได้เมาเหมือนตอนมางานสังสรรค์ในสถาบัน  ถ้าเรามีความกล้าขึ้นอีกหน่อย เราอยากจะเอามือเราโอบกอดไปที่สะเอวตุ่นด้วยซ้ำไป ตุ่นขับรถไปไม่ได้พูดอะไรมาก เราก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จนไปถึงร้านร้านนึง   
   “นี่ไงร้านผัดไท ที่เคยซื้อไปให้กินนะ วันนี้พามากินถึงที่เลยดีไหม” ตุ่นบอกเราพร้อมกับจอดรถที่หน้าร้าน
ตอนนั้นเราอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ อยากจะกอดตุ่นให้เต็มแรง ด้วยความที่ดีใจ ไม่ได้ดีใจที่ได้มากิน   แต่ดีใจที่ตุ่นจำรายละเอียดของช่วงเวลาที่เราเจอกันได้ เพราะตุ่นเคยซื้อผัดไท ไปฝากเราและบอกว่าเป็นร้านที่อร่อย มีโอกาสจะพาเราไปกินที่ร้าน นี่เขายังจำได้เหรอ ส่วนเรานั้นจำได้ไม่มีวันลืม
วันนั้นเราสั่งผัดไทมากิน แต่ตุ่นไม่ได้กิน ตุ่นสั่งเบียร์ แล้วเราก็กินไป คุยกันไป ตุ่นก็ถามเราหลาย ๆ เรื่อง อยู่ที่หอเป็นไงบ้าง โปรเจคทำไปถึงไหนแล้ว ไม่เห็นไปหาที่บ่อเลย ฯลฯ สารพัดคำถาม เราก็ตอบกลับไป
และถามคำถามที่เราอยากจะถามเขามากออกไป   
   “ยังไปสุราษฎร์อยู่อีกไหม” เราถามออกไป
ตุ่นเงยหน้าจากแก้วเบียร์ แล้วมองหน้าเรา “  รู้ด้วยเหรอว่าที่ไปนะไปสุราษฎร์” เราพยักหน้ารับรู้
   “ไม่ไปแล้ว” ตุ่นตอบสั้น ๆ
   “ทำไมละ” เราถามต่อ
   “เลิกแล้ว” ตุ่นตอบ
   ได้ยินคำตอบออกมาจากปากตุ่นเรารู้สึกว่าตัวเราลอยอีกครั้งหนึ่งแล้ว เราบอกไม่ได้ว่าเราดีใจที่ตุ่นเลิกกับคนคนนั้นซะได้ หรือว่าตุ่นดีใจที่ตุ่นไม่ต้องขับรถไปสุราษฎร์อีก เราเป็นห่วง กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก แล้วถ้าเกิดขึ้นอีกคราวนี้ใครจะดูแลเขา  เราไม่ได้อยู่ใกล้ที่จะดูแลเขาได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราพูดคุยกันต่อหลังจากจบเรื่องนั้นของตุ่น คราวนี้เราคุยกันแต่เรื่องสนุก ๆ จนทำให้เขาหัวเราะได้ แต่สำหรับเรานั้น เราอยากจะร้อง ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าจะร้องทำไม ร้องเพราะอะไร แต่ที่รู้คือ ไม่ได้ร้องเพราะเสียใจอะไรในตัวตุ่นเลย ตุ่นเป็นตุ่น ตุ่นเป็นคนที่เรารักมาเกือบ 2 ปี
   เมื่อเรากินผัดไทเสร็จ เขาก็ดื่มเบียร์หมดพอดี หลังจากออกมาจากร้านนั้น ตุ่นขับรถพาเราชมแสงสีของตัวเมืองในยามค่ำคืน ผ่านซอยนั้น ไปทะลุยังซอยนี้ โดยที่ตุ่นไม่ได้ถามเราเลยว่าเราจะรีบกลับรึเปล่า ซึ่งในตอนนั้นถ้าตุ่นถาม เราก็คงตอบว่าไม่รีบกลับ เราอยากเก็บเวลาได้ใช้ร่วมกับตุ่นเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะว่าหลังจากนี้ เราทั้งสองคนคงต้องแยกจากกันเมื่อเรียนจบ
   “เรียนจบแล้วเก่งจะเรียนต่อไหม” ตุ่นถามในขณะที่ขับรถไปเรื่อย ๆ
   “เก่งยังไม่เรียนต่อละครับ เก่งอยากหางานทำก่อน ได้งานแล้วค่อยหาโอกาสเรียนต่อ” เราตอบไปยาวเหยียดเพราะรู้ดีว่าฐานะทางบ้านของเราคงไม่พร้อมที่จะส่งเสียให้เราได้เรียนต่อ
   “แล้วเก่งจะไปหางานที่ไหนละ” ตุ่นถามต่อ
   “เก่งกะว่าจะไปหางานที่หาดใหญ่ เพราะใกล้บ้านเก่ง และคงมีงานมากกว่าแถวบ้านเก่ง” เราตอบ แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกสาเหตุที่เราอยากไปทำงานที่หาดใหญ่ เพราะว่า บ้านของตุ่นอยู่ที่นั่นนั่นเอง ซึ่งถ้าเราและตุ่นอยู่หาดใหญ่ เราก็อาจจะยังคงได้ใกล้ชิดกันต่อไป
   “แต่ตุ่นต้องไปเรียนต่อให้จบปริญญาตรีนะ” ตุ่นพูด ทำให้วิมานที่เราวาดไว้พังลงทันใด
   “ไปเรียนที่ไหนละ” เราเค้นเสียงถามออกไป
   “สุรินทร์” ตุ่นตอบสั้น ๆ
   “แต่ปิดเทอมตุ่นก็กลับมาอยู่บ้าน เราคงจะได้เจอกันที่หาดใหญ่” ตุ่นพูดทิ้งท้าย ทำให้เราใจชื้นขึ้นมาบ้าง
   เราขับรถชมเมืองกันพักใหญ่ ก่อนที่ตุ่นจะขับรถไปตามเส้นทางกลับหอพักของเรา เวลาช่วงสั้น ๆ ในวันนี้ทำให้เรามีความสุขยิ่งนัก หลังจากที่ห่างหาย ไม่เห็นหน้ากันมานานแสนนาน
   “ขอบคุณนะที่พาไปกินผัดไท” เราพูดเมื่อตุ่นจอดรถที่หน้าหอพักของเรา
   “ไม่เป็นไร กลับเข้าห้องไปได้แล้ว” ตุ่นพูด
   “ตุ่นก็กลับได้แล้ว ขับรถดี ๆ นะ” เราพูด
   “เก่งเข้าหอไปก่อนเหอะ เดี๋ยวตุ่นกลับเอง” ตุ่นพูด เหมือนเคยทุกครั้งที่ตุ่นพาเราไปไหนมาไหน ถ้าเขามาส่งเรา เขาจะรอให้เรากลับเข้าบ้านไปก่อนทุกครั้ง
   หลังจากนั้นเราก็ต่างวุ่นกันอยู่กับเรื่องโปรเจคและเรื่องเตรียมสอบปลายภาค จนห่างกันไปอีกครั้ง
แต่ห่างครั้งนี้มีความสุขมากกว่าครั้งก่อน     จนเราได้เจอกันอีกครั้งก่อนจบ เราได้มีโอกาสบอกแผนการของเรากับเพื่อน ๆ ว่าจะฉลองการเรียนจบ และการอำลาอาลัยกันยังไง ตุ่นเองก็บอกแผนการของเขาเหมือนกัน แผนของเราและเพื่อน ๆ คือ หลังจากสอบเสร็จ จะอยู่ต่อกันอีกสองวัน ไปเที่ยวน้ำตกด้วยกัน และฉลองกันเพื่อล่ำลาในคืนสุดท้ายของชีวิตในสถาบัน ส่วนของตุ่นตุ่นบอกว่าไม่ได้กำหนดว่าจะอยู่กี่วัน แต่คงจะอยู่นานกว่าเรา แต่ยังไงวันที่เรากลับ ตุ่นจะมาส่งเราที่สถานีรถไฟ
   เมื่อถึงวันสอบวันสุดท้าย ตุ่นมารับเราไปฉลองกันกับกลุ่มเพื่อนประมง แต่เราไม่สามารถที่จะไปร่วมฉลองด้วยกันได้ เพราะว่าเพื่อน ๆ เราเองต่างก็จัดฉลองกันเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดตกดึกตุ่นยังคงขับรถมาหาเราที่กำลังฉลองกันอย่างสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ไปร่วมฉลองกับพวกเขาจนได้
   “ไอ้พวกนั้นมันบอกให้มารับเก่งไปให้ได้” ตุ่นพูดเมื่อเห็นหน้าเรา
   “งั้นตุ่นต้องมาส่งเก่งด้วยนะ” เราบอก
   “ได้สิ” ตุ่นตอบ พร้อมกับขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปโดยที่มีเรานั่งซ้อนท้ายเหมือนเช่นเคย
   เราฉลองกับตุ่นและเพื่อนกลุ่มประมงด้วยการร้องไห้อีกครั้ง เพราะในครั้งนี้ เพื่อน ๆ ต่างแย่งกันดึงเอาเราไปกอด คนนั้นกอด คนนี้กอด จนเราไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ไหว ส่วนตุ่นนั้นไม่ได้กอดแต่กลับเอามือมาขยี้ผมของเรา ตุ่นขยี้ผมของเราอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปเนิ่นนาน ในใจของเรารู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ อย่างบอกไม่ถูก
   ในวันรุ่งขึ้น เราเตรียมตัวกลับบ้าน โดยที่ยกเลิกแผนไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อน ๆ แผนการที่จะฉลองกันต่ออีกคืน เพราะว่าเราเองรู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับการล่ำลา การล่ำลามันช่างเจ็บปวดเกินที่จะบรรยาย เราจึงอยากที่จะกลับบ้านก่อนเพื่อน ๆ คนอื่น เราบอกตุ่นแล้วว่าเราจะกลับในวันนี้ ตุ่นเองก็ย้ำว่าจะมาส่งที่สถานีรถไฟ จนถึงเวลาที่เราที่เราหิ้วกระเป๋าก้าวขึ้นสู่ขบวนรถไฟ เรายังไม่เห็นตุ่น เรารู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่ไม่ได้เห็นหน้าเขาก่อนจาก แต่เราก็พยายามที่จะเข้าใจว่าเมื่อคืนเขาค่อนข้างเมา เขาอาจจะตื่นไม่ไหว ขบวนรถเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีอย่างช้า ๆ เรายังไม่เห็นวี่แววของตุ่น เราเลือกที่จะยืนชิดขอบหน้าต่างของรถไฟเพื่อที่จะได้หันหน้าไปล่ำลาสถาบันที่เราได้เรียนรู้มาสองปีเต็ม แต่ในทันใดนั้น เราเห็นชายหนุ่มที่เราแสนจะคุ้นเคย นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ริมถนน เขายกมือขึ้นโบกเบา ๆ การกระทำของเขาทำให้เราถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลนองหน้าอย่างไม่อายผู้คนบนขบวนรถไฟนั้น เราหันมองเขาจนเขาหายไปจากสายตา เราถึงได้นั่งลง แต่ยังคงร้องได้อยู่เหมือนเดิม
   ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เราต้องจากกับรักแรกของเรา คนที่เรารักมากที่สุด คนที่เรารักมานานเกือบสองปีเต็ม แล้วต่อไปนี้ชีวิตของเราจะเป็นยังไง เราหมดหนทางที่จะให้คำตอบตัวเราเองจริง ๆ
   “ลาก่อน สุดที่รัก”
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ลาก่อนสุดที่รัก"
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 26-06-2010 06:49:56
จะได้เจอกันอีกไหมหนอ :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ลาก่อนสุดที่รัก"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 28-06-2010 01:22:13
เรื่องราวของเก่งและตุ่น ยังไม่จบลงเพียงแค่นี้นะครับ
ยังไงฝากติดตามต่อกันด้วยนะครับถ้าหากตอนต่อ ๆ ไปโพสต์ช้าหน่อย
ไม่ใช่เพราะอะไรครับ เพราะ duckhero พิมพ์ไม่ทันแล้วครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ลาก่อนสุดที่รัก"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 28-06-2010 03:06:30

   หลังจากที่เราทิ้งคนที่เรารัก ทิ้งกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ยังฉลองการเรียนจบกันที่วิทยาลัยไว้เบื้องหลัง คราบน้ำตาของเราเหือดแห้งลงได้เมื่อเราได้กลับมาอยู่บ้าน ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้คิดถึงตุ่น ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้คิดถึงเพื่อน ๆ แต่เพราะเมื่อเราอยู่บ้าน เราได้อยู่กับพ่อ กับแม่ กับน้อง ได้อยู่กับครอบครัวที่เราเองห่างหายไปเกือบตลอดชีวิต มีหลาย ๆ อย่างให้เราได้ทำที่บ้าน เราจึงไม่มีเวลาว่างมากนักที่จะมานั่งคิดเรื่องราวของตุ่นและเพื่อน ๆ ของเรา
   “จะเอายังไงต่อ จะเรียนหรือจะทำงาน” พ่อของเราเอ่ยถามเราในค่ำวันหนึ่ง
   “เก่งรอใบประกาศจากวิทยาลัยอยู่ครับพ่อ ได้แล้วเก่งจะรีบไปหางานทำที่หาดใหญ่” เราตอบไปตามความคิด
   “แล้วจะเรียนต่ออีกไหม หรือหยุดไว้แค่นี้” พ่อยังคงถามต่อ ดูเหมือนพ่อจะยังอยากให้เราได้เรียนต่อให้จบในระดับปริญญาตรี แต่พ่อเองก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะพ่อไม่มีทุนให้เรานั่นเอง
   “ไว้ทำงานสักปีก่อนครับพ่อ แล้วเก่งจะเรียนต่อปริญญาตรีเอง เรียนวันเสาร์ อาทิตย์เอาก็ได้” เราตอบพ่อไปตามโปรแกรมที่เราคิดเอาไว้
   “พ่ออยากให้เก่งได้เรียนสูง ๆ นะลูก จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อกับแม่ แต่กำลังกับพ่อและแม่คงจะส่งเก่งได้ไม่ดีนัก พ่อขอโทษเก่งด้วยนะที่ต้องให้เก่งส่งตัวเองเรียน” พ่อพูดคำพูดนี้ที่ทำให้เราถึงกับน้ำตาคลอ เราเองไม่ได้หวังที่จะให้พ่อและแม่ส่งเราเรียนต่อ เราคิดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเมื่อเราสามารถทำงานเองได้ โดยวุฒิประกาศนียบัตรชั้นสูงของเราได้ เราจะส่งตัวเราเรียนโดยที่ไม่ต้องลำบากพ่อกับแม่ เพราะพ่อกับแม่ยังมีน้องชายของเราต้องส่งเสียอีกคน
   “เก่งเข้าใจครับพ่อ” เราพูดพร้อมกับหันไปดูหน้าแม่ที่นั่งเงียบมาตลอด เราจึงได้รู้สาเหตุที่แม่นั่งเงียบเพราะแม่เองเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาแล้ว
   “แม่จะร้องทำไม เก่งสัญญาเก่งจะจบปริญญาตรีให้พ่อกับแม่ให้ได้” เราให้คำสัญญา
   เมื่อใบประกาศรับรองการจบการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงของเราถูกส่งมาถึงบ้าน ตามความจำนงของเราที่ได้แจ้งกับทางวิทยาลัยเอาไว้ว่า เราจะไม่ไปรับ ให้ทางวิทยาลัยจัดส่งให้ เราจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ รูปถ่าย เตรียมความพร้อมของตัวเราเองอีกสองวันให้พร้อมกับการสัมภาษณ์งาน และเมื่อเอกสารทุกอย่างพร้อม ตัวเราพร้อม เราจึงมุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอหาดใหญ่ของจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นอำเภอที่ถือว่าเป็นอำเภอที่มีความเจริญมากในแถวนั้น อำเภอหาดใหญ่ถึงแม้จะอยู่คนละจังหวัดกับบ้านของเรา แต่ก็ถือว่าไม่ไกลนัก เราคิดหางานที่นั่นเพราะว่าไม่ไกลจากบ้านของเรานัก และเมืองใหญ่แบบนั้นคงจะมีงานให้เราทำตามที่เราวาดฝันเอาไว้ และที่สำคัญ บ้านของตุ่นอยู่ที่หาดใหญ่นี่เอง
   ถือว่าเราโชคดีมากที่ได้งานหลังจากที่ไปสมัครได้เพียง 3 ที่เท่านั้น
   “พร้อมทำงานได้เมื่อไหร่” ฝ่ายบุคคลที่นัดแนะรายละเอียดการทำงานต่าง ๆ ถาม
   “พร้อมทำได้พรุ่งนี้เลยครับ” เราตอบไป เพราะไม่อยากให้เขาต้องรอและที่สำคัญเราเองก็อยากที่จะได้เงินเดือนให้เร็วที่สุด
   ในช่วงแรกเราเองยังคงนั่งรถประจำทางไป กลับ ระหว่างบ้านกับที่ทำงาน เพราะยังไม่มีความพร้อมที่จะเช่าห้องพักอาศัย นับเป็นการเดินทางที่ไม่ได้ไกลนัก แต่ค่อนข้างที่จะเหนื่อย เพราะต้องตื่นแต่เช้า กลับถึงบ้านก็มืดค่ำ แต่หลังจากที่ได้รับเงินเดือนเดือนแรกเราจึงขอพ่อและแม่ไปเช่าห้องอยู่ด้วยตัวเองในอำเภอหาดใหญ่
   “ต้องกลับมาบ้านทุก ๆ เดือนนะ” แม่พูดก่อนที่เราจะหิ้วกระเป๋าสัมภาระขึ้นรถประจำทางไปอาศัยยังห้องเช่าที่เราเช่าเอาไว้
   “แหม กลัวว่าจะไม่เอาเงินเดือนมาส่งเหรอแม่” เราแกล้งแซวแม่
   “แม่ไม่ได้หวังเงินจากลูกหรอก ใช้จ่ายให้พอตัวเองเถอะ อย่าลืมเก็บไว้สำหรับเรียนต่อด้วยละ” แม่พูด
   “แหม แม่ เก่งล้อเล่นนะ” เราพูด
   “โน่น พ่อแกโน่นที่สั่งให้แม่มาบอกว่าให้กลับบ้านทุกเดือนนะ” แม่พูดพร้อมกับชี้ไปหาพ่อที่ไม่ได้มาส่งเราขึ้นรถ แต่นั่งมองอยู่ไกล ๆ
   “บอกพ่อด้วยแม่ แล้วจะกลับมาให้เห็นจนเบื่อหน้าเลย” เราแหย่แม่กลับไป
   “ไม่ต้องบ่อยหรอก เสียดายค่ารถ” แม่พูด
   “คร้าบแม่” เราพูดพร้อมกับยกมือไหว้แม่อีกครั้งก่อนก้าวขึ้นรถ
   ชีวิตการทำงานของเราไม่ได้ยากอะไรนัก เพราะเราได้ทำงานที่เราถนัด นั่นคือ งานที่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ ถึงแม้ในตอนนั้น คอมพิวเตอร์ถือว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับหลาย ๆ คน แต่สำหรับแล้วนั้น สองปีที่อยู่กับคอมพิวเตอร์ทำให้เราสามารถรับภาระงานได้เป็นอย่างดี ส่วนกับเพื่อนร่วมงาน เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เป็นเพราะพื้นฐานนิสัยของเราที่อัธยาศัยดีและในตอนนั้นเราเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในที่ทำงาน ทั้งเจ้านาย หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน ต่างเอ็นดูเราทั้งนั้น เราจึงถือว่าโชคดีกับเรื่องงานที่ได้ทำมาก
   ชีวิตการทำงานของเราเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เราเพิ่งได้สัมผัส เพื่อนกลุ่มใหม่ ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เรายอมรับว่าในตอนนั้นเราลืมคิดถึงตุ่นไปได้เหมือนกัน แต่เมื่อใดที่เราคิดถึงตุ่นขึ้นมา เป็นอันให้เราต้องโกรธตัวเองทุกครั้งไป เพราะว่าเราจากตุ่นมาโดยที่หวังว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง แต่เรากลับไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านของตุ่นเอาไว้ ในช่วงนั้นโทรศัพท์มือถือยังแพงมาก พวกเราที่เพิ่งเรียนกันจบใหม่ ๆ ไม่มีใช้แน่นอน แล้วเราจะเจอตุ่นได้ยังไงกัน ถึงแม้หาดใหญ่จะเป็นแค่อำเภอ ๆ หนึ่งของจังหวัดสงขลา แต่จำนวนประชากรของหาดใหญ่ เท่ากับจังหวัดเล็ก ๆ ได้เลยทีเดียว
   วันเวลาผ่านเลยไป เราสนุกกับการทำงาน แต่เราไม่เคยที่จะลืมคิดถึงตุ่น จนถึงช่วงปิดเทอม เราคิดว่าตุ่นเองคงจะต้องกลับมาบ้านแน่นอน ยิ่งทำให้เรากระวนกระวายใจเป็นยิ่งนักที่เราหาทางติดต่อตุ่นไม่ได้ แต่เรายังไม่สิ้นหวัง เพราะเราคิดว่าความรักที่เรามีให้ตุ่นมาสองปีเต็ม คงจะส่งผลให้เราได้พบกับตุ่นเข้าสักวัน เรายังคงมีหวังอยู่เต็มเปี่ยม
   จนวันที่ฟ้าเห็นใจเรา วันนั้นเราสะพายกระเป๋าเป้ออกไปรอรถประจำทางเพื่อที่จะกลับบ้าน ในขณะที่กำลังยืนรอรถอยู่นั้น เราได้ยินเสียงที่เราค่อนข้างคุ้นเรียกชื่อของเรา
   “เก่ง ใช่เก่งรึเปล่า” เราหันไปตามทิศของเสียงที่เราได้ยิน ภาพที่เราได้เห็นเบื้องหน้าทำให้เราใจชื้นขึ้นได้เป็นที่สุดและยิ้มออกมาได้
   “โต เก่งเอง” เราตอบกลับเจ้าของเสียงที่เรียกชื่อของเรา
   “เก่งมาทำอะไรอยู่ที่นี่” โตถามเรากลับมา
   “เก่งทำงานอยู่แถวนี้ละโต แล้วโตละมาทำอะไรที่หาดใหญ่” เราย้อนถามกลับไป
   “อ๋อ โตมาทำธุรแถวนี้ และพอดีได้ข่าวว่าปิดเทอมไอ้ตุ่นมันกลับมาบ้านถึงแวะมาหามัน” โตพูด
   “จริงเหรอโต ตอนนี้ตุ่นอยู่หาดใหญ่เหรอโต” เราถามกลับไปด้วยท่าทางที่บ่งบอกถึงความดีใจ
   “อ้าวเก่งไม่รู้เหรอ” โตถาม
   “เก่งไม่ได้ติดต่อกับตุ่นตั้งแต่เรียนจบแล้วละ” เราตอบ
   “ไม่รักมันแล้วเหรอ” โตถามด้วยน้ำเสียงแกมหยอก
   “โตก็ ... เราไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อตุ่นนะ เลยติดต่อเขาไม่ได้เลย” เราตอบ
   “อะ เดี๋ยวโตบอกให้ แต่บอกโตก่อนสิว่า ถึงตอนนี้แล้ว เก่งยังรักมันอยู่อีกเหรอ” โตถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากยิ่งขึ้น
   “อืมมม” เราตอบไปสั้น ๆ
   โตได้ยินคำตอบจากเราเป็นการยืนยันไปแล้ว โตจึงได้จดเบอร์โทรของตุ่นให้กับเรา วันนั้นเป็นวันที่เราถือว่าเป็นที่พิเศษมากวันหนึ่ง เพราะนอกจากได้เจอเพื่อนเก่าอย่างโตที่คอยดูแลเรามาตลอดแล้วนั้น เรายังมีหนทางที่จะได้ติดต่อกับคนที่เรารักและคิดถึงเหลือเกิน ก่อนที่เราและโตจะกล่าวคำลากัน โตโผเข้ามากอดเราท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มารอรถประจำทาง เราเองไม่ได้อายอะไรกับการกระทำของโต กลับเต็มใจและปลื้มใจมากกว่า
   เราตัดสินใจอยู่นานกับการที่จะโทรหาตุ่นในตอนนั้น หรือไว้โทรหาหลังจากที่กลับมาจากบ้านแล้ว ในที่สุดเราตัดสินใจที่จะโทรหาตุ่นหลังจากกลับมาจากบ้านแล้ว เพราะเรารู้ดีกว่าถ้าหากเราโทรไปหาตุ่น เกิดตุ่นบอกว่าอยากที่จะเจอเรา ให้เราไปหาตุ่น เราคงไม่ได้กลับบ้าน เพราะเรารู้ดีว่า เราไม่เคยที่จะปฏิเสธตุ่นได้เลยแม้แต่สักครั้ง และถ้าปฏิเสธตุ่นไม่ได้แล้ว เราก็คงจะไม่ได้กลับบ้านตามที่สัญญากับพ่อและแม่ไว้ พ่อและแม่คงจะเป็นห่วง เราจึงตัดสินใจที่จะขึ้นรถประจำทางกลับบ้านไปก่อน ตลอดเส้นทางที่นั่งรถกลับบ้านเรารู้สึกว่าหัวใจของเราพอโต เราเห็นอะไรก็แล้วแต่เป็นอันว่าเราจะต้องยิ้มตลอด
   “เก่ง เก็บกระเป๋าได้แล้ว มัวชักช้าเดี๋ยวรถก็หมดซะก่อนหรอก” แม่พูดเตือนเมื่อเห็นว่าเรายังไม่ได้จัดเตรียมอะไรเลย
   “ครับแม่ กำลังจะไปเก็บเสื้อที่ซักไว้ครับ” เราตอบแม่ไป แต่ในทันใดนั้นเมื่อพูดถึงคำว่าซัก หัวใจของเราตกวูบหายไปจากตัวทันที อาการหน้าชา ตัวชา เข้ามาจับจองพื้นที่บนตัวเราในทันใด เราจำได้ว่าเราเอากระดาษที่โตจดเบอร์โทรศัพท์บ้านของตุ่นให้เราใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวที่เราซัก โดยที่เราลืมที่จะหยิบมันออกมา คิดได้ดังนั้นเราจึงรีบล้วงไปดูในกระเป๋าเสื้อหยิบเอากระดาษชิ้นเล็ก ๆ ที่เปื่อยจนไม่มีชิ้นดีออกมาดู กระดาษสภาพเปื่อยยุ่ยปรากฏสีของน้ำหมึกปากกาให้เห็น แต่ไม่สามารถที่จะอ่านได้เลยว่าเป็นตัวเลขอะไรบ้าง เราเห็นดังนั้นถึงกับเข่าอ่อนไปกับความสะเพร่าของตัวเราเอง เราได้เบอร์โทรฯ ของบ้านตุ่นมาอย่างไม่คาดฝัน แต่เรากลับมาทำให้มันหายไปด้วยฝีมือของเราเอง ในตอนนั้นเรารู้สึกโกรธตัวเราเองยิ่งนัก
   “เก่ง เมื่อไหร่จะเสร็จละเนี่ย” แม่พูดอีกครั้ง ทำให้เราหลุดจากความคิดที่อยากจะเอามือทั้งสองข้างจิกลงไปบนผมของเรา แล้วดึงมันออกมา ดึง ดึง ดึง มันให้หลุดออกมาให้หมดหัว แล้วหาอะไรมาแทงสมองของเราให้มันเจ็บกว่าที่ใจของเรากำลังเจ็บอยู่ในตอนนี้
   “ครับแม่ เสร็จแล้วครับ” เราตอบแม่ไป
   เรานั่งรถประจำทางกลับหาดใหญ่ด้วยความคิดที่รู้สึกโกรธ รู้สึกผิดหวังกับตัวเองเป็นอย่างมาก เราถึงที่หมายโดยที่เราไม่รู้ตัว เราโกรธตัวเองที่ทั้งโง่และงี่เง่าที่ทำให้วิธีเดียวที่เราจะติดต่อคนที่เรารักและรอคอยได้หายไปกับตา แต่เมื่อถึงเวลาทำงาน เราต้องลืมทุกอย่างและตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
   ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่เราได้พบกับโต เรายังคงเก็บเศษกระดาษที่โตจดเบอร์โทรฯ บ้านของตุ่นให้เราเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่มันเปื่อยจนไม่มีชิ้นดี เราหวังว่าถ้าเราได้เห็นมันอาจจะทำให้นึกตัวเลขที่อยู่บนกระดาษนั้นออกได้ แต่ยิ่งมองยิ่งทำให้โมโหตัวเองเป็นที่สุด
   “เก่ง หาเบอร์โทรร้านซ่อมแอร์ให้พี่จูนหน่อย” พี่จูนพี่ในที่ทำงานพูดกับเรา แต่เราไม่ได้ยินหรอก จนพี่เขาพูดมาเป็นครั้งที่สอง เพราะเรามัวแต่คิดโกรธตัวเองอยู่
   “พี่จูนจะให้เก่งหาจากไหนละครับ” เราย้อนถามพี่จูนกลับไป
   “เดี๋ยวจะเคาะกะโหลกให้สักที สมุดหน้าเหลืองไงน้องรัก” พี่จูนบอก
   “พี่จูนรอแป๊บนึงครับพี่” เราพูดพร้อมกับหยิบสมุดหน้าเหลืองมาเปิดหาร้านซ่อมแอร์ตามชื่อร้านที่พี่จูนให้มา เราเปิดผ่านไปหลายหน้าแต่ก็ยังไม่พบ เพราะเปิดไปแต่ใจคิดไปถึงไหน ๆ จนความคิดของเรามาสะดุดอยู่ที่
   “ทำไมเราไม่หาในสมุดหน้าเหลืองละ” เราพูดออกมาเบา ๆ
   “อะไรของเก่ง ก็ที่หาอยู่ไม่ใช่สมุดหน้าเหลืองเหรอ” พี่จูนพูดสวนกลับมา
   “เปล่าครับพี่จูน โหเก่งพูดเบา ๆ คนเดียวยังจะได้ยินอีกนะครับ” เรารีบย้อนพี่จูนกลับไป
   “เออ ไม่ต้องมาย้อน หาเจอแล้วยัง” พี่จูนถาม
   “อีกแป๊บนึงครับ” เราพูดพร้อมกับเปิดสมุดหน้าเหลืองอย่างมีจุดหมายในการค้นหา ตอนนี้ความคิดเราไม่ได้ล่องลอยอีกต่อไปแล้ว เพราะเรารู้แล้วว่าเราจะหาเบอร์โทรฯ ของบ้านตุ่นได้ยังไง ไม่นานนักเราจึงหาเบอร์ของร้านซ่อมแอร์ให้พี่จูนได้สำเร็จ
   หลังจากที่เราทำงานให้พี่จูนได้ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีเวลาว่างเราจึงลงมือปฏิบัติตามแผนที่เราได้คิดเอาไว้นั่นคือ เปิดสมุดหน้าเหลืองหาเบอร์โทรฯ ของบ้านตุ่น โดยในตอนนั้นเราคิดว่าการจดทะเบียนเบอร์โทรของแต่ละบ้าน จะต้องใช้ชื่อของคนที่เป็นเจ้าของบ้านตามทะเบียนบ้าน และเจ้าของบ้านตามทะเบียนบ้านน่าจะเป็นชื่อของพ่อของตุ่น และเราจำชื่อของพ่อของตุ่นได้ดี เพราะว่าในตอนที่อยู่ในวงเหล้ากันกับตุ่นและเพื่อน ๆ นั้น เมื่อตุ่นทำอะไรที่แสบ ๆ กับเพื่อน ๆ ตุ่นมักจะโดนเพื่อนล้อชื่อพ่ออยู่เสมอ เราจึงจำได้ขึ้นใจส่วนนามสกุลของตุ่นนั้นเราจำได้ดีกว่าอะไร เพราะเป็นนามสกุลที่เราอยากจะใช้พอ ๆ กับใช้นามสกุลของพ่อเราเอง เราคิดได้ตามนั้น เราจึงรีบเปิดหาไปในสมุดหน้าเหลือง และโชคดีมากที่ชื่อที่เราหานั้นมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวในสมุดหน้าเหลือง เรารีบจดเบอร์โทรฯ นั้นลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ เพราะกลัวว่าถ้าเป็นแผ่นเล็ก ๆ เราจะทำมันหายหรือเผลอทิ้งมันไปซะอีก
   ก่อนที่จะโทรตามเบอร์ที่เราได้มานั้น เราคิดคำพูดเอาไว้เสร็จสรรพ ว่าถ้าเกิดไม่ใช่เบอร์โทรฯ ของบ้านตุ่น เราก็จะแก้เก้อแกล้งเป็นว่าโทรผิดไปแล้วกัน
   “ฮัลโหล” เสียงผู้หญิงจากปลายสายตอบรับ
   “สวัสดีครับ ขอสายตุ่นครับ” เราพูดไปด้วยความมั่นใจว่ายังไงก็ไม่ผิดแน่ แต่ถ้าผิดก็คิดคำแก้ตัวเอาไว้แล้ว
   “ตุ่นเหรอ ตุ่นกลับไปเรียนแล้วละ” เสียงนั้นตอบกลับมา เราเองไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกันดี ดีใจที่เบอร์นั้นใช่เบอร์บ้านตุ่นอย่างแน่นอน แต่ที่เสียใจก็เพราะว่ากว่าเราจะคิดได้ หาเบอร์มาได้ ตุ่นก็กลับไปเรียนซะแล้ว
   “ตุ่นกลับไปเมื่อไหร่ครับ” เรายังถามต่อ
   “เมื่อไม่กี่วันนี่เอง แล้วใครโทรมาละ” เสียงผู้หญิงคนดังกล่าวถามกลับมา
   “อ๋อ ผมเป็นเพื่อนของตุ่นครับ” เราตอบกลับไป ทั้ง ๆ ที่ใจบอกว่าไม่ได้อยากเป็นแค่นั้น
   “จะเอาเบอร์ที่หอพักของเขาไหมละลูก” เสียงปลายสายถามกลับมา
   “ครับ ดีครับ ดี” เราตอบด้วยอาการหัวใจพองโต เรารีบจดเบอร์โทรหอพักของตุ่นหลังจากที่ผู้หญิงจากปลายสายบอกให้
   “ขอบคุณมากครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ สวัสดีครับ” เราพูดก่อนจะวางสาย การโทรศัพท์ของเราในครั้งนี้เหมือนกับการได้โอกาสใหม่อีกครั้ง เราจะไม่มีวันที่จะลืมเบอร์โทรทั้งสองนี่เลย
   หลังจากเลิกงานในวันนั้น เมื่อเรากลับถึงห้องพัก หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จ เราก็นั่งรอเวลาให้เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึก เป็นเวลาที่เราคิดว่าตุ่นน่าจะอยู่ที่หอพักแน่นอน เราจึงได้กดเบอร์ที่เพิ่งได้มาในวันนี้ทันที
   “ฮัลโหล” เสียงปลายตอบรับเป็นเสียงที่เราค่อนข้างจะแน่ใจว่าเป็นเสียงของตุ่น เสียงที่ทำให้หัวใจของเราพองโต เสียงที่ทำให้เราตื่นเต้น หลังจากที่เราไม่ได้มีความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้มานานแสนนานแล้ว
   “สวัสดีครับ ขอสายตุ่นครับ” เราพูดกลับไป เพื่อให้แน่ใจว่านั่นเป็นตุ่นแน่นอน ป้องกันการหน้าแตก
   “กำลังพูดครับ นั่นใครครับ” ตุ่นพูดกลับมา ถึงแม้จะน้อยใจนิดหน่อยที่ตุ่นจำเสียงเราไม่ได้ แต่ก็สู้อาการดีใจที่ได้คุยกับตุ่นอีกครั้งไม่ได้
   “จำกันไม่ได้แล้วเหรอ” เราถามประชดไปนิดหน่อย
   “จำไม่ได้ครับ” เป็นการตอกย้ำเหมือนโดนตีแสกเข้ากลางหน้าเลยครับกับคำตอบของตุ่น
   “โอ้โห ตุ่น นี่เก่งเอง” เรายังตอบกลับไป
   “อ้าว เก่งเหรอ โทษที” ตุ่นพูดพร้อมกับเสียงหัวเราดัง ๆ เสียงหัวเราะของตุ่นที่เราแสนจะคุ้นเคยนัก
   “ตุ่นคิดว่าไอ้พวกบ้าไอ้คิด ไอ้โต โทรมาอำนะ” ตุ่นพูดต่อหลังจากที่หยุดหัวเราะ
   “แล้วได้เบอร์มายังไง” ตุ่นถามต่อ
   เราก็เลยได้โอกาสเล่าเรื่องราวต่าง ๆ และวิธีที่ได้เบอร์โทรของตุ่นมา
   “ต้องให้ขอบคุณไอ้พวกนั้นไหมเนี่ย ที่ชอบด่าชื่อพ่อตุ่นตอนเมานะ ทำให้เก่งหาเบอร์โทรมาได้นะ” ตุ่นพูดพร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง
   หลังจากนั้น เราก็พูดคุยกันอีกหลาย ๆ เรื่อง ตุ่นถามเราเรื่องงาน เรื่องเพื่อนในที่ทำงาน เราถามตุ่นเรื่องเรียน เรื่องเพื่อนใหม่ของเขาไปเหมือนกัน แต่มีคำถามหนึ่งที่เราอยากจะถามมากแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามนั่นคือ มีแฟนแล้วหรือยัง เราคิดว่าประโยคคำถามนี้ไม่ควรจะอยู่ในการสนทนากันหลังจากที่ไม่ได้พูดคุยกันมานาน หรืออีกใจหนึ่งเรากลัวคำตอบมากกว่า ถ้าหากตุ่นตอบกลับมาว่า มีแล้ว หัวใจเราคงแตกสลายอีกครั้ง เราเลยไม่ได้ถามไป วันนี้ขอเราเก็บเอาความสุขเอาไว้ให้มากที่สุดจะดีกว่า
   “ปิดเทอมใหญ่กลับบ้านแล้วจะไปหานะ” ตุ่นพูดเป็นการปิดท้ายในการสนทนากันในครั้งนี้
   “ครับ ดูแลตัวเองนะ” เราตอบกลับไป คืนนั้นเป็นคืนที่เรานอนหลับอย่างมีความสุขที่สุด ขอบคุณฟ้าที่ให้โอกาสเราอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ฟ้าแกล้งหรือฟ้าเป็นใจ"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 28-06-2010 10:40:31
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ เก่ง นะ บอกไม่ถูกไม่รู้ทำไม ไม่อยากให้เห็นเก่งเศร้าเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ฟ้าแกล้งหรือฟ้าเป็นใจ"
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 28-06-2010 11:01:34
ดีนะที่หาเจออิอิ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ฟ้าแกล้งหรือฟ้าเป็นใจ"
เริ่มหัวข้อโดย: teerasak ที่ 28-06-2010 11:47:56
 :L2: มาให้กำลังใจนะครับ ชอบแบบนี้ อ่านแล้วมีความสุขจัง :L1:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ฟ้าแกล้งหรือฟ้าเป็นใจ"
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 28-06-2010 12:57:31
แล้วไอ้คุณตัวตุ่นมันมีแฟนเปล่าน้อ อยากรู้จังเลยนิ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"ฟ้าแกล้งหรือฟ้าเป็นใจ"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 01-07-2010 01:27:21
   หลังจากการที่ได้ติดต่อกันอีกครั้งกับตุ่นในวันนั้น ทำให้เราตระหนักถึงความต้องการของเราดีว่า ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านเลยไปแค่ไหน ไม่ว่าเราจะไม่ได้คุย ไม่ได้เห็นหน้ากันนานแค่ไหน แต่เรายังคงรักตุ่นอย่างที่ไม่เคยจะเปลี่ยนแปลงได้ ทุกครั้งที่เราพูดคุยกัน ทุกครั้งที่เราได้เจอหน้ากัน เราจะยังคงตื่นเต้น หัวใจพองโต ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มเหมือนกับครั้งแรกที่ได้รู้จักเขาทุกครั้งไป
   ถึงแม้ว่าเราทั้งสองคนจะไม่ได้ติดต่อกันบ่อยนัก แต่จะมีวันหนึ่งในหนึ่งปีที่เราจะต้องโทรไปหาเขาให้ได้ เมื่อวันนั้นได้เวียนกลับมาถึงอีกครั้ง
   “สุขสันต์วันเกิดนะตุ่น” เราพูดเมื่อตุ่นรับสาย โดยที่เรายังได้ยินเสียงที่เล็ดลอดมาทางสายโทรศัพท์ถึงเสียงของผู้คนจำนวนหลายคน ที่พูดคุยกันอยากออกรส เสียงเพลงที่ดังไม่น้อย
   “กำลังเลี้ยงฉลองอยู่กับเพื่อนเหรอ” เราถามตุ่นกลับไป
   “ใช่แล้วละ ก็กับเพื่อน ๆ ในห้องนั่นแหละ” ตุ่นตอบกลับมา
   “แล้วเก่งละ ฉลองวันเกิดที่ไหนรึเปล่า” ตุ่นถามเรากลับมา
   “ก็เหมือนเดิมแหละ ไม่ได้เลี้ยงฉลองอะไร” เราตอบ
   “งั้นเดี๋ยวตุ่นสนุกเผื่อเก่งแล้วกันนะ” ตุ่นพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสุข
   “ได้ ขอบคุณมาก ว่าแต่ตุ่นลืมอะไรรึเปล่า” เราแกล้งถาม
   “ของขวัญเหรอ ไกลกันจะให้ได้ไง” ตุ่นตอบกลับเรามา
   “เปล่า ไม่ได้ขอของขวัญซักหน่อย” เราพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกให้รู้ว่ากำลังงอน
   “ตุ่นไม่ลืมหรอกน่า ก็กะว่าก่อนจะวางสาย เดี๋ยวจะอวยพรวันเกิดให้เก่ง” ตุ่นพูด
   “โอเค คิดว่าลืมซะอีก” เราพูด
   “วันเกิดปีนี้ ตุ่นของให้เก่งยังคงเป็นที่รักของทุกคนนะ และก็เป็นคนดี มีความสุขเยอะ ๆ” ตุ่นพูดคำอวยพรวันเกิดให้กับเรา ในขณะที่เรารู้สึกว่าหน้าของเราร้อนผ่าว ซึ่งถ้าใครเห็นเราในตอนนั้น คงจะเข้าใจได้ว่าเรากำลังอาย หลังจากได้มอบคำอวยพรให้แก่กันแล้ว เราพูดต่อกันอีกนิดหน่อย เพราะไม่อยากขัดจังหวะสนุกของตุ่น
   หลังจากที่ได้ติดต่อกับตุ่นแล้ว ถึงแม้ว่าเราตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นใบหน้าของเขาอีกครั้งนั้น ทำให้เราทรมานใจอยู่บ้างในบางครั้ง แต่โดยรวมแล้วเราก็มีความสุขที่ยังคงได้ยินเสียงของเขา และยังคงมีความสุขที่ได้รอวันที่เขาจะกลับมา และจะแวะมาหาเราตามที่เขาได้สัญญาเอาไว้
   ชีวิตการทำงานของเราก็เป็นไปได้ด้วยดี เราได้รับโอกาสจากทางเจ้านาย และทางหัวหน้าที่ไว้ใจมอบหมายงานให้เราได้รับผิดชอบอยู่เรื่อย ๆ
   “เก่ง คืนนี้ไปนั่งกินอะไรกันไหม” พี่โจ้ พี่ในที่ทำงานเอ่ยปากชวนเรา
   “ไปไหนอะครับพี่ แล้วจะไปกันกี่คน” เราถามพี่โจ้กลับไป โดยที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
   “ก็ไปกินข้าว กินเบียร์กัน” พี่โจ้สาธยาย
   “แล้วมีใครไปบ้างครับ” เรายังคงถามคำถามที่พี่โจ้ยังไม่ได้ตอบ
   “ก็มีพี่กับเก่งไง” พี่โจ้ตอบกลับมา
   “ไม่ชวนคนอื่นไปอีกละครับ หลาย ๆ คนสนุกดี” เราพูดตอบกลับพี่โจ้
   “ชวนแล้ว ไม่มีใครว่าง” พี่โจ้ตอบ
   “ก็ได้ครับพี่ แต่เก่งดื่มเบียร์ไม่เก่งนะ” เราตอบโดยที่ไม่ได้คิดอะไร
   “โอเค งั้นเดี๋ยวพี่โทรหาคืนนี้” พี่โจ้พูด
   “ครับ” เราตอบรับ
   มาถึงตอนนี้ เราเองในวัยที่เพิ่งจะ 21 เรารู้สึกได้ว่าเรามีความต้องการบางอย่าง ความต้องการที่มากกว่าการนั่งรอคอยความรักจากใครสักคน ความต้องการทางกายที่เราว่าหลาย ๆ คนอาจจะได้รับการตอบสนองความต้องการในส่วนนั้นไปแล้ว แต่เราเองยังต้องกดและเก็บมันเอาไว้กับความรู้สึก เก็บเอาไว้กับความเป็นส่วนตัวของเรา เพราะเรายังคงมีความหวังที่จะเก็บความต้องการในส่วนนี้ไว้ให้กับคนที่เรารักเหลือเกิน และเราพร้อมที่จะอดทน และรอต่อไป
   ในช่วงหลังนี้เราสนิทกับเพื่อนร่วมงานในแผนกเดียวกัน อย่างน้อย 4 – 5 คน กลุ่มเพื่อนที่เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเรา นั่นก็คือ จากการที่เราเลิกงานกลับบ้าน เราเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน ๆ มากยิ่งขึ้น ออกไปกินข้าว ออกไปนั่งดื่มน้ำชา ซึ่งในเมืองหาดใหญ่นี่ถือว่ามีอยู่เยอะมาก ไปนั่งดื่มน้ำชา กินขนมปังกันชิว ๆ แต่เราก็ใช้เวลานั่งกันได้นาน ๆ นั่งฟังเพลงที่ร้านน้ำชามักจะเปิด เราได้สนุกกับเพื่อน ทำให้ชีวิตเราเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี เราว่าชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เรากล้าเปิดเผยกับเพื่อนกลุ่มนั้นว่าเราไม่ได้เป็นผู้ชายเต็มตัว แต่โอกาสที่ได้รับจากเพื่อน ๆ นั้นเป็นโอกาสที่แสนจะยิ่งใหญ่ ไม่มีใครคิดรังเกียจเรา กลับให้ความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น สุดสัปดาห์ของการทำงาน พวกเรามักจะเข้าใจกันว่าเลิกงานแล้วไม่ต้องมีใครกลับเข้าบ้าน เราไปรวมกันที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่ง หลังจากนั้นจัดแจงเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องกันใหม่ เมื่อเริ่มมืดค่ำ พวกเราจะพากันไปนั่งทานข้าว หลังจากนั้นเปลี่ยนไปนั่งดื่มน้ำชากัน เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมที่จะไปยังจุดหมายต่อไป นั่นคือผับ ที่ที่ทำให้พวกเราได้ปลดปล่อย ได้ร้องเพลงเสียงดัง ๆ และได้เต้นสุดเหวี่ยง ซึ่งอย่างหลังนี่เราชอบมาก หลายคนที่เห็นอาจจะคิดว่าเราและเพื่อน ๆ คงจะเมากันไม่น้อย แต่เปล่าเลย เราและเพื่อน ๆ มักจะสั่งน้ำอัดลมมาดื่มกัน แต่การแสดงออกดูเหมือนจะเมากว่าที่จะดื่มน้ำอัดลม แต่จะว่าไปแล้ว การไปเที่ยวในสถานที่อย่างนี้ มันยิ่งทำให้ความรู้สึกทางกายของเรานั้นยิ่งมีมากเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะในบางครั้งเราได้ไปเจอ ไปพบเห็นการกระทำของคู่รักที่เป็นเกย์ที่ไม่แคร์ต่อสายตาใครต่อใคร พวกเขาจับมือ โอบกอด หรือแม้กระทั้งจูบกัน หรือที่จะเห็นจนชินตาก็คือกลุ่มหญิงชายที่เป็นแฟน เป็นกิ๊กกัน กับการแสดงออกถึงความลึกซึ้งของกันและกัน เท่านั้นยังไม่พอ เรายังได้รับการกระตุ้นจากหลายคนที่เข้ามาพูดคุย หรือแอบจับมือเราในขณะที่เดินผ่าน ถึงขั้นที่มีคนเข้ามาพูดคุยด้วยทั้ง ๆ ที่เราอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ
   “เกินไปแล้วเก่ง พวกเราสาว ๆ ทั้งนั้น ยังไม่มีใครมาชวนไปเต้นเลย” พี่ลิคหนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่อายุมากกว่าเราพูดขึ้นมา เมื่อมีคนมาลากมือเราไปเต้นด้วย
   “นั่นสิ แกเล่นขายออกอยู่คนเดียวเลยนะเก่ง” กิ่งหนึ่งสาวในกลุ่มเพื่อนพูดเสริมขึ้นมา
   “ของอย่างนี้ใครดีใครได้” เป็นคำพูดที่ออกจากปากเราไป แต่เราไม่ได้คิดอะไรไปไกลมากมาย และรู้ดีว่าเพื่อน ๆ เองก็แค่แซวเล่น เพราะยังไง พวกเราทั้งกลุ่มถือคติมาด้วยกัน กลับด้วยกัน ไม่มีใครที่จะได้แยกไปไหน กับใคร
   “สวัสดีครับ” เราสลึมสลือรับสายโทรศัพท์ในตอนสายของวันเสาร์ หลังจากที่ไปเที่ยวมาจนเกือบจะเช้าในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
   “ไปเที่ยวมาอีกละสิเมื่อคืน” เสียงอันคุ้นชินของตุ่นดังขึ้น
   “อืมมมม” เราลากเสียงยาว เพราะยังไม่อยากตื่น
   “ตุ่นสอบเสร็จแล้วนะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะกลับไปหาดใหญ่แล้ว” ตุ่นพูด
   “จริงเหรอ ดี ดี มาเพื่อไหร่ โทรมาหาด้วยนะ”เราพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นขึ้น
   “แน่นอน แล้วอย่าหนีหายไปไหนซะละ” ตุ่นพูดกลับมา
   “อยู่แล้ว จะหายไปไหนได้ละ” เราพูด พร้อมกับคิดต่อว่า “ก็ในเมื่อนี่คือวันที่รอคอยมาเป็นปี ฟ้าจะถล่มดินจะทลาย เราก็จะเจอกับตุ่นให้ได้”
   “งั้นเก่งนอนต่อเถอะ” ตุ่นพูดก่อนตัดสายไปทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้ล่ำลาอะไร และแล้วเราก็หลับต่อไปจริง ๆ
   วันเวลาแค่เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่เรารอคอย เราช่างรู้สึกว่ามันผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกับเต่าคลาน ทำไมเวลาเป็นปี ๆ ในขณะที่เรามีความสุขมันดูจะผ่านไปเร็วกว่าซะอีก เราตั้งหน้าตั้งตารอโทรศัพท์อยู่เสมอ ไม่ออกไปไหนกับเพื่อนบ่อยนัก เพราะกลัวว่าตุ่นโทรมาแล้วจะไม่ได้รับสาย
   “คืนนี้ไปเที่ยวกับพี่ไหมเก่ง” พี่โจ้คนเดิมเอ่ยชวน
   “ไม่ได้ละครับพี่ เก่งไม่ว่างครับ” เราตอบกลับไป
   “ไปเที่ยวกับกลุ่มสาว ๆ อีกเหรอ” พี่โจ้เอ่ยถาม
   “เปล่าครับ เก่งมีธุระจริง  ๆ ครับพี่โจ้” เราตอบปฏิเสธพี่โจ้กลับไปเพราะต้องการกลับไปรอโทรศัพท์ที่ห้อง เพราะเห็นว่าเป็นปลายสัปดาห์ของการทนรอของเราแล้ว ตุ่นอาจจะโทรมาได้ทุกวินาที
   “ไม่เป็นไร ไว้เมื่อไหร่เก่งว่า เราไปเที่ยวด้วยกันนะครับ” พี่โจ้พูดปิดท้าย
   “ครับพี่” เราตอบ
   และแล้ววันเวลาแห่งการรอคอยของเราก็จบลงในเย็นวันหนึ่งเมื่อเราได้รับโทรศัพท์จากคนที่เรารอคอยมานานแสนนาน
   “เก่ง คืนนี้ว่างไหม” ตุ่นพูดผ่านสายโทรศัพท์มา
   “ว่างสิ” เราตอบไปโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มากนัก
   “เดี๋ยวจะไปรับนะ” ตุ่นบอก
   “ได้ เก่งจะรอที่ห้องนะ” เราตอบตุ่นกลับไป พร้อมกับอธิบายให้ตุ่นได้รู้ว่าเราพักอยู่ตรงส่วนไหนของหาดใหญ่ เราเชื่อเขาเป็นคนในพื้นที่มานาน เขาคงจะมาหาเราได้ถูกต้องแน่นอน หลังจากนั้นเราก็กระวนกระวายอยู่กับตั้งหน้าตั้งตารอให้ตุ่นมารับ เราคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าเมื่อได้เจอกันแล้วเราจะทักทายตุ่นว่าอะไร จะแค่ทักทาย หรือจะจับมือ จะโอบไหล่ หรือจะโอบกอด แต่เมื่อตุ่นมาถึงและเจอหน้ากันจริง ๆ สิ่งที่เราทำได้ก็แค่เพียงยิ้มออกมากว้าง ๆ จนหน้าแทบจะฉีกพร้อมกับทักทายไต่ถามทุกข์สุข ไม่มีการจับมือ การโอบไหล่หรือแม้แต่การโอบกอดแต่อย่างใด
   ตุ่นเป็นคนเลือกร้านเองว่าเราทั้งสองจะไปนั่งกัน หนึ่งในหลาย ๆ อย่างบนโต๊ะอาหารที่พนักงานนำมาเสิร์ฟนั่นคือเหล้า ในคราวนี้ตุ่นเป็นคนบอกให้พนักงานชงเหล้าให้กับเราเอง ไม่ได้ห้ามปรามเราแต่อย่างใด การดื่มดำเนินไปพร้อม ๆ กับการพูดคุยกัน ตุ่นเล่าเรื่องของเขาที่ไปเรียนให้เราฟัง เราเองก็เล่าเรื่องของเราให้เขาฟังเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ที่ผ่านมาเวลาที่เราคุยกันทางโทรศัพท์เราก็ต่างได้เล่าให้ต่างคนได้ฟังไปแล้ว เวลาล่วงเลยผ่านไปจนใกล้ถึงเวลาร้านปิด ตุ่นเองเมาพอดูถ้าเทียบจากปริมาณของเหล้าที่หมดไป ส่วนเราเองนั้นไม่ได้เมามากนัก เพราะมัวแต่นั่งมองหน้าตุ่นอยู่ ทุกครั้งที่ตุ่นไม่ได้มองหน้าเรา เราจะใช้สายตาสำรวจ มองดูเขาในทุกอิริยาบถ เราอยากเห็น อยากมองเขาจริง ๆ แต่เมื่อรู้สึกว่าตุ่นจะหันมาพูดด้วย หันมามองหน้าเรา เรากลับเบนสายตาไปมองอย่างอื่นแทน แทนที่จะมองนัยน์ตาของเขา
   “กลับกันเถอะ” ตุ่นพูด
   “ไปสิ” เราตอบ เราซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ของตุ่นอีกครั้ง แต่เส้นทางที่ตุ่นขับรถไปนั้น ไม่ได้ไปตามเส้นทางที่จะกลับไปยังห้องพักของเรา
   “ตุ่นไม่ไปส่งเก่งก่อนเหรอ” เราถาม แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมาจากปากของตุ่น เราเองก็ไม่ถามซ้ำ เพราะเรารู้ดีว่า ยังไงถ้าไปกับตุ่น เราก็จะปลอดภัยอย่างแน่นอน ตุ่นขับรถไปจอดที่บ้านหลังหนึ่งใจกลางเมืองหาดใหญ่ ที่ด้านล่างเป็นร้านขายน้ำชายามค่ำคืน
   “ลงมาก่อนสิ” ตุ่นพูดพร้อมกับก้าวลงและเดินนำหน้าเราไปที่บ้านหลังดังกล่าว
   “จะมากินน้ำชาต่อเหรอ” เราถาม
   “เปล่า จะมาบ้านไง นี่บ้านของตุ่น” ตุ่นพูดพร้อมกับนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่าง
   “เหรอ” เราพูดไปแค่นั้น พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ เขา
   “นี่น้องชายตุ่น” ตุ่นพูดพร้อมกับชี้ไปทางน้องชายของเขาที่เป็นคนดูแลร้าน เราคิดในใจอย่างติดตลกว่า แนะนำอย่างนี้ จะให้เรายกมือไหว้น้องเขาไหมเนี่ย ตามหลักแล้วน่าจะแนะนำคนที่อายุน้อยให้รู้จักคนที่อายุเยอะกว่าสิ แต่ตุ่นกลับทำตรงกันข้าม แต่ในขณะที่เรากำลังคิดอยู่นั้น ตุ่นเรียกให้น้องชายของเขาเข้ามาหา
   “นี่พี่เก่งนะ” ตุ่นพูดสั้น ๆ พร้อมชี้มือมาที่เรา น้องชายของตุ่นยกมือไหว้เรา เรารับไหว้แทบไม่ทัน
   “จะกินอะไรไหมพี่” น้องชายของตุ่นถาม
   “ไม่ละ อิ่มมากแล้ว” เราตอบไป
   “งั้นไป” ตุ่นพูดขึ้นมาดื้อ ๆ
   “ไปส่งเก่งเหรอ” เราถาม
   “ไม่ไปส่งแล้ว ง่วงแล้ว” ตุ่นพูด
   “อ้าว แล้วไม่ไปส่งแล้วจะเรียกให้มาซ้อนมอเตอร์ไซค์ทำไมกันละ” เราสงสัย เพราะถ้าตุ่นไม่ไปส่งเราก็กลับมอเตอร์ไซค์รับจ้างแถวนั้นได้
   “ก็ไปนอนที่บ้านไง” ตุ่นพูด
   “อ้าว ก็บ้านอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ” เราถามพร้อมกับชี้กลับไปที่บ้านหลังที่เพิ่งจากมา
   “บ้านอีกหลัง” ตุ่นพูดสั้น ๆ พร้อมกับขับรถไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ได้ถามอะไรอีก แต่เรากลับตื่นเต้น ดีใจ ที่จะได้ใกล้ชิดกับตุ่นอีกครั้ง ตุ่นขับรถไปไกลพอใช้ จนไปจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านที่สวยงามมากในสายตาของชีวิตคนจน ๆ อย่างเรา
   “ถึงแล้ว ลงสิ” ตุ่นพูด เราก้าวลงจากรถ ตุ่นเข็นรถเข้าไปจอดในบ้าน
   “แล้วนี่บ้านใครอีก” เราถาม
   “ก็บ้านของครอบครัวตุ่นนี่แหละ” ตุ่นตอบ
   เมื่อเข้าไปในบ้านตุ่นเดินนำหน้าเราไปยังห้องนอนที่อยู่ชั้นล่างของบ้าน ซึ่งตัวบ้านจะเป็นบ้านสองชั้น เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ตุ่นจัดการหยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้เรา พร้อมกับบอกให้เราไปอาบน้ำ เราถือผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำด้วยหัวใจที่แสนจะตื่นเต้น
   “ชุดนอนวางอยู่บนที่นอนนะ” ตุ่นตะโกนบอกเรา
   “ครับ” เราตอบไปสั้น ๆ
   เมื่อเราอาบน้ำเสร็จ เรานุ่งผ้าเช็ดตัวออกไป เห็นตุ่นนั่งอยู่บนเตียงนอนในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว เราเองในตอนนั้นทั้งตื่นเต้น ทั้งสับสนกับความคิดของเราที่คิดอะไรต่อมิอะไรไปอย่างมากมาย ไหนจะอายตุ่นที่เรานุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เราจึงแก้เก้อด้วยการถามตุ่นออกไปว่า แล้วเขาอาบน้ำที่ไหน
   “ขึ้นไปอาบห้องน้ำข้างบน” ตุ่นตอบ
   “รีบใส่ชุด มานอนได้แล้ว พรุ่งนี้เก่งทำงานไม่ใช่เหรอ” ตุ่นพูด
   “ใช่ครับ” เราตอบ
   คืนนั้นเราสองคนได้นอนบนเตียงนอนเดียวกัน นอนใกล้กัน ถึงแม้สภาพจะต่างกับตอนที่เรานอนเฝ้าตอนที่ตุ่นเมา หรือตอนที่ตุ่นประสบอุบัติเหตุก็ตาม แต่เราได้นอนใกล้กันอีกครั้ง ในใจของเรามันเต้นไม่เป็นจังหวะนัก เรารู้สึกถึงความตื่นเต้นของตัวเราเองได้ดี ยิ่งเราสองคนนอนห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน เรากลับยิ่งเตลิดไปไกล ทุกครั้งที่แขนของเราทั้งสองคนมาโดนกัน เรารู้สึกตื่นเต้นมาก มากกว่าครั้งที่เรียนด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่มันน่าจะเป็นเรื่องที่ธรรมดา คุ้นชินไปแล้ว แต่เรากลับรู้สึกถึงบางอย่างในร่างกายเรา ที่หลับใหลรอวันตื่นขึ้นมา อารมณ์ทางกายของเราที่ไม่เคยรู้สึกอะไรมาก่อน แต่คราวนี้มันรุนแรงยิ่งนัก ในที่สุดไม่ว่าอารมณ์เราจะปั่นป่วนสักแค่ไหนเราก็หลับไปด้วยฤทธิ์ของเหล้าในที่สุด
   “เก่ง เก่ง ตื่นได้แล้ว” ตุ่นเรียกพร้อมกับเขย่าแขนเรา
   “ครับ ตื่นแล้วครับ” เราตอบทั้ง ๆ ที่ตายังไม่เปิด
   “เดี๋ยวเก่งต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอ” ตุ่นพูด
   “ครับ ใช่” เราตอบ
   “งั้น ตื่นและไปอาบน้ำได้แล้ว” ตุ่นหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเดิมโยนมาปิดหน้าเรา เราลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่งตัวด้วยชุดเดิมที่ใส่เมื่อคืนอีกครั้ง พร้อมกับเดินตามตุ่นออกมาจากห้อง ตุ่นแวะไปที่ตู้เย็นหยิบเอานมเปรี้ยวออกมาหนึ่งกล่อง ส่งมาให้เรา เรารับมาถือเอาไว้ในมือ เมื่อตุ่นออกรถเราจึงทำหน้าที่เอาหลอดเจาะลงไปในกล่องนมเปรี้ยวและส่งให้ตุ่น
   “จะส่งมาให้ตุ่นทำไมละ” ตุ่นพูด
   “อ้าวก็คิดว่าตุ่นจะดื่มเลย” เราตอบกลับไป
   “ตุ่นหยิบออกมาให้เก่งนั้นแหละ” ตุ่นพูดประโยคที่ทำให้เราปลื้มได้อีกครั้ง
   “แต่เก่งยังไม่หิวนะ” เราตอบไปเพราะเกรงใจตุ่น เห็นว่านมมีเพียงหนึ่งกล่อง
   “กินก่อนเถอะ นี่ก็ไปทำงานจะสายแล้ว ข้าวเช้าคงไม่ได้กินหรอก” ตุ่นพูด ทำให้เราคิดได้ว่า เราเองคงไม่ทันได้กินข้าวเช้าแล้วเพราะไปทำงานก็เกือบจะสายอยู่แล้ว สิ่งที่ตุ่นทำในครั้งนี้ มันยิ่งตอกย้ำถึงการที่เขาเอาใจใส่เรา ดูแลเรา ทำให้เรายิ่งประทับใจในตัวเขามากอยากยากยิ่งที่จะบรรยาย
   ช่วงวันเวลาที่ตุ่นอยู่หาดใหญ่ในช่วงปิดเทอม เรายังไปกินข้าว ดื่มเหล้ากันอีกครั้ง สองครั้ง ซึ่งเป็นหลาย ๆ ครั้งที่เราปฏิเสธพี่โจ้ที่คอยชวนเราไปเที่ยว ไปดื่มอยู่ตลอดเหมือนกัน จนตุ่นต้องกลับไปเรียนในปีต่อไป ชีวิตของเราจึงกลับเข้าสู่โหมดของการรอคอยอีกครั้ง แต่ในขณะที่รอ เราก็เริ่มสนุกสนานกับการเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ๆ ผู้หญิงของเรา และบางครั้งที่ออกไปดื่มกับพี่โจ้บ้าง
   หลังจากที่ได้พบกับตุ่นในครั้งนี้ คำตอบที่เราตอบตัวเราเองได้ดี คือ เรายังคงรักตุ่นอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าวันเวลามันจะผันผ่านไปมากน้อยแค่ไหน และเรายังคงยินดีที่จะรอให้เขากลับมาหาเรา...อีกครั้ง
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"อีกครั้ง"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 01-07-2010 02:18:22
หนึ่งคอมเม้นต์เป็นสุดยอดกำลังใจให้กับ duckhero ครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"อีกครั้ง"
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 01-07-2010 07:27:04
ได้เจอกันแล้ว :impress2:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"อีกครั้ง"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 01-07-2010 22:13:32
duckhero ไม่อยากให้ link หลุดไปหน้าอื่นครับ
เลยต้องมาเม้นต์เองครับ
ฝากติดตามด้วยนะครับ
หนึ่งเม้นต์ คือหนึ่งแรงใจครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"อีกครั้ง"
เริ่มหัวข้อโดย: bvan ที่ 02-07-2010 02:14:45
 ^_^  :call:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"อีกครั้ง"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 02-07-2010 10:03:24
พาเก่งไปบ้านแบบนี้ เหมือนพาไปแนะนำหรือเปล่า ตุ่นคิดอยู่อะ มองไม่ออก  :serius2:
แต่ที่แน่ๆ อย่ามาทำให้เก่งเสียใจซ้ำอีกล่ะ ไอ้คุณตุ่น  o18
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"อีกครั้ง"
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 02-07-2010 12:47:50
รักมั่นคงจริง ๆ นะคุณเก่ง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"อีกครั้ง"
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 02-07-2010 12:54:34
น้องเก่งนายตัวตุ่นมันคิดงัยกับน้องเนี้ย อยากให้น้องเก่งลองถามนายตัวตุ่นดูซิ..
ไม่ใช่ไหร่หรอกน่ะ เราอยากรู้ว่านายตัวตุ่นมันจะตอบว่างัย
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"แหลกสลาย"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 04-07-2010 01:31:57
แหลกสลาย

   หลังจากที่ตุ่นได้กลับไปเรียนต่อในปีการศึกษาต่อไปนั้น เราและตุ่นจำต้องห่างกันอีกครั้ง แต่การห่างกันไม่ได้ทำให้เราตัดขาดจากกันและกัน บางครั้งตุ่นจะโทรมาหาเราหรือบางครั้งเราก็จะโทรไปหาตุ่นเอง และเป็นที่แน่นอนว่า ไม่ว่าเราจะว่างหรือไม่ว่าง ไม่ว่าเราจะห่างกันสักแค่ไหนเราจะต้องโทรหาตุ่นแน่นอนในวันเกิดของพวกเราทั้งสองคน ผลัดเปลี่ยนกันมอบคำอวยพรให้กันและกัน ถึงแม้วันเวลาจะผ่านมาหลายปี แต่ของขวัญชิ้นแรกที่ตุ่นได้ให้กับเรานั้น ยังคงอยู่ในสภาพที่ดี และติดตัวเราไปไหนมาไหนตลอด
   ชีวิตของตุ่นที่มหาลัยเราพอจะรู้รายละเอียดบ้างในบางเรื่องเท่าที่ตุ่นเล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ ส่วนชีวิตของเรานั้นดำเนินไปอย่างไม่มีอะไรติดขัด เรายังคงเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงอย่างมีความสุข สนุกสนานกันแทบจะทุกอาทิตย์ การออกไปดื่มหรือกินอาหารกับพี่โจ้ก็มีบ้างเป็นบางครั้ง การที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์กับเหล้าเบียร์ ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เราเริ่มที่จะเอาชนะความต้องการทางกายเพื่อที่จะรอตุ่นไม่ได้ลงทุกที
   การกลับมาของตุ่นอีกครั้งในช่วงปิดเทอม ตุ่นยังคงโทรมาหาและรับเราออกไปนั่งดื่มกันเหมือนเคย ครั้งนี้ก็เหมือนเดิม ตุ่นโทรมานัดเราในตอนบ่าย และพอตกค่ำก็มารับเราไปนั่งดื่ม บนโต๊ะของเราไม่ได้มีอาหารมากนักแต่ที่ไม่เคยขาดก็คือเหล้า วันนี้เราสังเกตว่าตุ่นจะพูดน้อยมาก ดูไม่ค่อยจะร่าเริงสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเหล้าขวดแรกหมดไป ขวดที่สองเริ่มไหลเข้าไปในปากของเขา เขาเริ่มพูดมากขึ้น และมีหนึ่งประโยคที่เขาเอ่ยถามเราออกมา ทำให้เราที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับกับแกล้มถึงกับอึ้งจนเงียบไปเลย
   “ทำไมถึงเลือกตุ่น” ตุ่นถามคำถามนี้ออกมา ทำให้เราถึงกับเงียบไปชั่วขณะ
   “เลือกอะไรเหรอ” เราถามตุ่นกลับไป ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเขาหมายความถึงอะไร
   “เก่งก็รู้อยู่แก่ใจว่าคืออะไร” ตุ่นยังคงพูดต่อเมื่อเห็นเรายังคงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจในคำถาม
   “ไม่รู้เหมือนกัน ก็ตุ่นเป็นคนดีนี่ และตุ่นก็ดีกับเก่งด้วย ดีมาก ๆ คอยช่วยเหลือ คอยดูแลเก่งทุก ๆ เรื่อง ไม่รู้ละ ก็เก่งเลือกแล้ว” เราตอบออกไป ถึงแม้จะไม่เคลียร์กับคำตอบนักแต่คำตอบดังกล่าวทำให้เราถึงกับหน้าร้อนผ่าวได้โดยไม่ต้องอาศัยฤทธิ์ของเหล้าเลย
   หลังจากเราตอบคำตอบนี้ออกไป ตุ่นเองก็ถึงกับนั่งเงียบ ไม่พูดไม่จาอะไรออกมา ส่วนเรานั้น คำตอบนั้นคงทำให้เราเหมือนกับเป็นใบ้ เราไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาอีกเลย สุดท้ายตุ่นเป็นคนที่ชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้เราทั้งสองนั้นเงียบกันจนเกินไป หลังจากที่เราเริ่มจะเมามายนิดหน่อย แต่ตุ่นเองนั้นมีอาการเมาแบบถึงกับนั่งยกหัวไม่ขึ้น
   “กลับกันเถอะ” ตุ่นเอ่ยขึ้นหลังจากที่จัดการจ่ายเงินเรียนร้อยแล้ว
   “อืม กลับก็กลับ” เรายังคงพูดน้อย
   “เดี๋ยวเก่งขับรถเองนะ” เราพูดในขณะที่รีบแย่งคว้าเอากุญแจมอเตอร์ไซค์มาถือไว้ในมือ
   “ไม่ได้เมา ขับได้นะ” ตุ่นพูดพร้อมกับแบมือยื่นมาจะรับเอากุญแจรถไปจากเรา แต่เรายังคงดื้อดึงกับเขา  เราเดินตรงไปหารถมอเตอร์ไซค์และสตาร์ทรถรอเขา ตุ่นเห็นดังนั้นจึงเดินมานั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ เราจึงค่อย ๆ ขับรถออกไปอย่างช้า ๆ เพราะไม่กล้าที่จะขับเร็วนักเพราะเห็นอาการเมาของตุ่นแล้ว กลัวว่าถ้าหากเราขับรถเร็วจนเกินไปอาจจะทำให้ตุ่นตกจากรถมอเตอร์ไซค์ได้ หลังจากเราขับรถออกไปได้ไม่นาน ตุ่นที่นั่งรถอยู่กลับปล่อยขาของเขาทั้งสองข้างให้ลากไปกับพื้นถนน
   “ตุ่น นั่งดี ๆสิ” เราห้ามปราม
   “ขับต่อไปเถอะ เลี้ยวซ้าย ๆๆ” ตุ่นพูด
   “จะไปส่งเก่งที่ห้องต้องเลี้ยวขวาสิ” เราค้าน
   “ยังไม่ไปส่ง ขับตามที่บอกไปก่อน” ตุ่นพูดออกมา
   ตุ่นบอกทางให้เราขับรถเลี้ยวไปทางนั้น เลี้ยวไปทางนี้ ตามที่เขาต้องการ จนผ่านไปยังถนนเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านใจกลางเมืองหาดใหญ่ ปกติถนนเส้นนี้ค่อนข้างจะมีรถราขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน หรือช่วงกลางคืน แต่ในขณะที่เราและตุ่นผ่านไปนั้น ไม่มีรถสักเท่าไหร่ เพราะเป็นเวลาที่ผับยังไม่ปิดให้บริการ
   “จอดตรงนี้ก่อน” ตุ่นพูด เราเลี้ยวรถลงไปจอดข้างทาง
   “ให้จอดทำไมเหรอ” เราถามตุ่น
   “ปวดฉี่” ตุ่นพูดแต่ก็ยังคงนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์เหมือนเดิม
   “พาไปฉี่หน่อยสิ” ตุ่นพูดออกมา
   “ไปเองสิ” เราตอบกลับไปสั้น ๆ
   “พาไปหน่อยนะ เดินไม่ไหวแล้ว” ตุ่นอ้อนวอน ดังนั้นเราจึงต้องลงจากมอเตอร์ไซค์พร้อมกับพยุงตุ่นโดยที่จับมือข้างหนึ่งของตุ่นมาโอบไหล่ของเราไว้ และมือเขาเราด้านที่ว่างอยู่ก็จับพยุงที่สะเอวของตุ่น ตุ่นเดินด้วยท่าทางที่โซซัดโซเซเต็มที การพยุงตุ่นไม่ถึงกับทุลักทุเลนัก เพราะว่าขนาดร่างกายของเรากับตุ่นไม่ต่างกันมากนัก เรานึกภาพไม่ออกว่าถ้าหากขนาดตัวของตุ่นใหญ่กว่าเรา มีหวังทั้งเราและตุ่นคงได้ลงไปกองอยู่กับพื้นถนนเป็นอันแน่ เมื่อเราพยุงตุ่นไปจนถึงข้างถนน ตุ่นจึงจัดการปลดซิปกางเกงลงพร้อมทั้งควักเอาความเป็นชายของตัวเองออกมา โดยที่ยังมีเราคอยพยุงร่างกายของเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป ในขั้นตอนสำคัญที่ตุ่นกำลังทำภารกิจอยู่นั้น เราไม่อยากที่จะถือโอกาสแอบมองของสงวนของเขา ทั้ง ๆ ที่อีกใจนึงนั้นอยากจะมองจนแทบขาดใจ เราจึงเบี้ยงหน้าของเราหันไปมองยังทางตรงกันข้าม
   “ทำไมไม่มองละ” ตุ่นเอ่ยถามขึ้นมาดื้อ ๆ
   “มองอะไรละ” เราถามกลับไป ทั้ง ๆ ที่รู้ความหมายของตุ่นดี
   “ก็มองอย่างที่อยากจะมองไง” ตุ่นพูด คำพูดของตุ่นในครั้งนี้ ทำร้ายเราได้ไม่น้อย แต่เราคิดว่าตุ่นอาจจะพูดเพราะความเมา เราถึงไม่ใส่ใจในคำพูดของเขามากนัก
   “ฉี่ให้เสร็จเถอะ จะได้กลับบ้านกัน” เราพูดพร้อมทั้งรู้สึกกลัวกับอารมณ์ของตุ่นขึ้นมาในทันใด แต่ตุ่นกลับไม่พูดอะไร หลังจากที่เขาฉี่เสร็จเขาจึงปลดเราออกจากการพยุงตัวของเขาและเดินปรี่ไปนอนลงบนฟุตบาทข้างทางเดิน เราเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหาตุ่นพร้อมทั้งนั่งลงข้าง ๆ และช้อนเอาหัวของตุ่นมาวางบนตักของเรา ด้วยเกรงว่าหัวของตุ่นจะไปฟาดเอาฟุตบาทได้
   “ทำสิ” ตุ่นพูดขึ้นมา
   “ทำอะไร นี่เมามากแล้วนะตุ่น กลับบ้านกันเถอะ” เราพูด
   “ไม่กลับ ถ้าเก่งไม่ทำตุ่นก็จะนอนตรงนี้ละ” ตุ่นพูด
   “ตุ่นจะให้เก่งทำอะไรละ” เราถาม แต่เมื่อเห็นพฤติกรรมของตุ่นเราถึงได้เข้าใจว่าตุ่นบอกให้เราทำอะไร เพราะในตอนนั้นเราเห็นว่าตุ่นยังไม่ได้เก็บเอาความเป็นชายของเขาเข้าไปในกางเกงอย่างที่ควรจะเป็น แต่ตุ่นกลับจับเอามันโบกไปมาอยู่ต่อหน้าเรา
   “ทำสิ” ตุ่นยังคงพูดต่อไป
   “เก็บเข้าไปซะเถอะ แล้วกลับบ้านกัน” เราพูดในขณะที่เราเริ่มจะร้องไห้ออกมา น้ำตาของเราไหลออกมาเองอย่างไม่ยอมหยุด
   “ถ้าเก่งไม่ทำตุ่นก็จะนอนอยู่ตรงนี้แหละ นอนให้มันเช้าไปเลย” ตุ่นยังคงดื้อดึง
   “ตุ่น ไม่เอานะ กลับกันเถอะ ทำไมตุ่นถึงทำอย่างนี้ละ” เราถามในขณะที่ยังคงร้องไห้ ตุ่นยังเงียบและยังคงจับเอาความเป็นชายโบกไปมาอย่างไม่ยอมหยุด เราสังเกตเห็นผับใกล้ ๆ เริ่มมีผู้คนทยอยกันออกมาแล้ว เราเริ่มสับสน เพราะถ้าเกิดยังปล่อยไว้อย่างนี้ มีหวังได้เป็นเป้าสายตาของใครต่อใครแน่นอน แล้วถ้าเราจะทำตามที่ตุ่นบอก มันก็ไม่ใช่ความต้องการของเรา ถึงแม้เราจะรักตุ่นมากสักแค่ไหน แต่การกระทำอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราต้องการให้มันเป็นไปด้วยความเต็มใจ แต่นี่เราไม่ได้เข้าใจตุ่นเลยว่าที่ตุ่นทำลงไปนั้นมันหมายความว่ายังไง ตุ่นกำลังคิดอะไรอยู่ หรือแค่เพียงตุ่นเมา ในขณะที่ความคิดของเรายังคงคิดวกไปวนมา เสียงของผู้คนเริ่มดังขึ้น อีกทั้งเริ่มมีรถมอเตอร์ไซค์ผ่านมาบ้างแล้ว ซึ่งทุกคันที่ผ่านมาต่างหันมามองกันอย่างถ้วนหน้า เราจึงตัดสินใจครอบปากของเราลงไปตรงความเป็นชายของตุ่นที่ยังคงโผล่ออกมานอกกางเกง เราแค่คอรอบปากลงไป ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อเราถอนปากกลับออกมาจากความเป็นชายของตุ่น ตุ่นจัดการเก็บเอาความเป็นชายของเขากลับเข้าที่หลังจากนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินปรี่ตรงไปหารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ โดยที่เขาเดินไปได้โดยที่ไม่มีเราพยุง เขาเดินไปเหมือนกับคนที่ไม่มีอาการเมามายแต่อย่างใด เราเองถึงกับอึ้ง เราไม่เข้าใจ เราสับสน ตุ่นคิดอะไรอยู่ หรือตุ่นจะเกลียดเราที่เราหลงรักเขา เรายังคงนั่งอยู่ที่เดิมและเริ่มร้องไห้มากขึ้น
   “ไม่กลับบ้านเหรอ” ตุ่นถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   “กลับ” เราตอบแต่น้ำตายังคงไหล
   “งั้นก็มาขึ้นรถสิ จะได้กลับบ้านกัน จะเช้าแล้วนะ” ตุ่นพูดยาวด้วยไม่มีทีท่าเหมือนคนเมาแต่อย่างใด เราจึงลุกขึ้นเดินตรงไปหาเขาและขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ ตุ่นขับรถย้อนกลับไปยังทิศทางที่จะไปยังห้องเช่าของเรา ตุ่นขับรถได้อย่างปกติ ตุ่นขับรถเหมือนกับไม่ได้มีแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดของเขาเลย ตลอดเส้นทางเราและตุ่นไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย จนตุ่นขับรถมาจอดที่หน้าบ้านอันเป็นบ้านที่เราเช่าห้องอยู่
   “เข้าบ้านไปได้แล้ว” ตุ่นพูด เราก้าวลงจากรถและเดินตรงไปยังประตูบ้าน โดยที่ไม่ลืมหันมาขอบคุณที่ตุ่นขับรถมาส่ง ในขณะที่เรากำลังจะไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้าน เรากลับได้ยินเสียงเรียกของตุ่นอีกครั้ง
   “เก่ง กลับมานี่ก่อน” ตุ่นพูด เราเดินย้อนกลับมาหาตุ่นและยืนอยู่ข้าง ๆ เขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
   “ขอตบทีได้ไหม” ตุ่นเอ่ยถาม คำถามนี้เป็นคำถามที่ทำให้เราเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ ถึงแม้ตุ่นจะตบ จะตี หรือแม้กระทั้งจะเตะเรา เราก็คิดว่ามันคงไม่เจ็บเท่ากับสิ่งที่ตุ่นขอ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตุ่นมีแต่คอยดูแลและเทคแคร์เรา แต่ทำไมวันนี้ตุ่นกลับคิดที่จะตบหน้าเรา เรารู้สึกเจ็บ เจ็บทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้โดนตุ่นตบแต่อย่างใด ในความคิดของเราตอนนั้นเราคิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่า ตุ่นคงจะโกรธเราที่เราไปหลงรักเขา และคงจะโกรธที่เราไปล่วงละเมิดน้องชายของเขา ความคิดมากมายวิ่งวนสลับไปมาในหัวเรา ตอนนั้นถ้าหัวของเราเป็นลูกโป่ง เราว่ามันคงจะแตกออกมาแล้วที่ตรงนั้น
   “เอาสิ” เราตอบพร้อมกับยื่นหน้าของตัวเองไปให้ตุ่นตบตามที่เขาเอ่ยขอ
   “เพี๊ยะ” เสียงดังไม่มากนัก เพราะตุ่นไม่ได้ตบหน้าเราแรงมากนัก แต่เรากลับรู้สึกว่าในตอนนั้นถ้าตุ่นฆ่าเราซะก็จะดีกว่า เราร้องไห้อีกครั้ง แต่ในตอนนั้นมีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา
   “กลับเข้าห้องไปได้แล้ว” ตุ่นพูด
   “ตุ่นก็กลับได้แล้วเหมือนกัน” เราพูดทั้งน้ำตา พร้อมทั้งหมุนตัวเดินตรงไปยังประตูบ้าน
   “เก่ง กลับมานี่ก่อน” ตุ่นเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่เราจะเดินไปถึงประตู เราได้ยินเสียงของตุ่นเราจึงเดินย้อนกลับมาหาเขาอีกครั้ง แต่ตอนนี้เว้นระยะห่างจากเขานิดหน่อย
   “เข้ามาใกล้ ๆ สิ” ตุ่นพูด เราจึงขยับเดินเข้าไปยืนชิดเขา และแล้วสิ่งที่เราไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตุ่นยกนิ้วโป้งของเขาทั้งสองข้างขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าของเรา
   “ขอโทษนะ หยุดร้องได้แล้ว” ตุ่นพูดในขณะที่มือยังปาดน้ำตาบนหน้าของเรา
   “ไป เข้าบ้านไปได้แล้ว” ตุ่นบอกให้เราเข้าบ้านอีกครั้ง
   “ตุ่นก็กลับได้แล้ว ขับรถดี ๆ ละ” เราบอก
   “เก่งเข้าบ้านไปก่อน แล้วเดี๋ยวตุ่นจะไปเอง” ตุ่นพูด หลังจากที่เราเดินเข้าไปในบ้านแล้ว เราจึงได้เห็นตุ่นขับรถมอเตอร์ไซค์ของเขาออกไปจากตรงจุดนั้น
   ในค่ำคืนนั้นเราน่าจะหลับได้โดยง่าย เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด แต่กลับกลายเป็นว่าแอลกอฮอล์เหล่านั้นทำอะไรเราไม่ได้เลย เรายังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เราคิดไปต่าง ๆ นานา แต่แล้วไม่ว่าจะพยายามคิดยังไง ความคิดของเราก็มาจบลงที่ ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเรากับตุ่นคงจะจบลงแล้ว ที่ผ่านมาตุ่นอาจจะเป็นแค่เพื่อน แค่พี่ที่ดีกับเรา ตุ่นคงไม่เคยที่จะคิดอะไรกับเราอย่างที่เราคิดกับตุ่นมาตลอด และในคืนนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่าหัวใจของเราสลายลงอีกครั้ง กำลังใจต่าง ๆ ที่มีมาเสมอหมดลงไปในทันใด เราเจ็บปวด เจ็บอย่างที่ไม่สามารถที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ว่าเจ็บอย่างไร เรารับรู้แค่เพียงว่าเจ็บเหลือเกิน เจ็บเหมือนใจจะขาด และแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยการที่เราหลับไปทั้งน้ำตา หลังจากวันนั้นเราไม่กล้าที่จะโทรไปหาตุ่นอีกเลย และตุ่นเองก็ไม่ได้โทรมาหาเราด้วยเช่นกัน
   วันเวลาแห่งความเจ็บปวดผ่านไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ตุ่นเคยบอกเราว่าเป็นวันที่จะเดินทางกลับไปเรียนเทอมสุดท้าย แต่ตุ่นก็ยังคงไม่โทรมาหาเรา เราเองก็ยังคงไม่กล้าที่จะโทรไปหาเขา เพราะแม้แค่เพียงคิดน้ำตาของเรามันก็ไหลออกมาซะแล้ว
   จากวันเป็นคืน จากคืนเป็นเดือน จากเดือนแล้วเดือนเล่า เราและตุ่นยังไม่ได้ติดต่อกันแต่อย่างใด เราเองทำใจได้มากขึ้น เราไม่ได้ร้องอีกต่อไปเมื่อคิดถึงเขา เพื่อนเป็นทุกสิ่งที่เรามีในขณะนั้น เพื่อนของเราทุกคนรับรู้เรื่องราวของเราและตุ่นดี หลายคนบอกให้เราตัดใจและเปิดใจให้กับคนใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตเรา ในช่วงนั้นเพื่อน ๆ ของเราชวนเราเที่ยวทุกสุดสัปดาห์ เราก็พร้อมที่จะไปสนุกกับพวกเขา และทำอย่างที่พวกเขาแนะนำนั่นคือ เปิดใจรับกับใครสักคนที่จะเข้ามาในชีวิต แต่เหมือนกับฟ้าไม่เป็นใจ เรายิ่งเปิดใจรับกลับไม่มีใครที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตของเราเลย ไม่เหมือนตอนที่เที่ยวกับเพื่อน ๆ ในครั้งแรก ๆ ตอนที่เรายังคงรักตุ่นอย่างล้นเหลือ ผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้ามาวอแวกับเราไม่เว้นแต่ละวัน แต่เราก็ปฏิเสธออกไปทั้งนั้น แต่ยังมีอยู่คนหนึ่งที่ยังคงพยายาม พี่โจ้ที่พยายามชวนเราไปทานอาหาร ไปดื่มเหล้าเบียร์ ไปนั่งฟังเพลงกับเขา เมื่อเราเปิดใจมากขึ้นเราถึงได้รับรู้ว่าที่พี่เขาพยายามนั้น ดูเหมือนพี่เขาจะพยายามจีบเราอยู่
   “เก่งคืนนี้ไปกินเบียร์กันที่บ้านพี่นะ” พี่โจ้เอ่ยชวนในตอนเย็นวันหนึ่ง
   “ได้ครับพี่” เราตอบรับไป
   เมื่อไปถึงบ้านของพี่โจ้ เรากลับรับรู้ว่าที่นั่นมีเพียงเราและพี่โจ้เพียงสองคน ไม่ได้มีหลายคนอย่างที่พี่โจ้บอกเราเอาไว้
   “พอดีไอ้พวกนั้นมันเปลี่ยนโปรแกรมไม่ยอมมากันนะ” พี่โจ้บอกเรา
   “ไม่มาก็ไม่มา เก่งกินกับพี่สองคนก็ได้” เราตอบ
   หลังจากที่เบียร์หมดไปแล้วจำนวนหนึ่ง อาการมึนตึงของเราและพี่โจ้มีไม่น้อย พี่โจ้เริ่มที่จะล้วงแคะแกะเกาเรา มากขึ้น มากขึ้น จนกลายเป็นหอมแก้มเรา ในตอนแรกเราตกใจที่พี่โจ้ทำแบบนั้นกับเราแต่เราก็ไม่พยายามปกป้องแต่อย่างใด เราจะไม่โทษว่าเป็นเพราะเราคิดว่าเราอกหักจากตุ่นแล้ว แต่เรายอมรับว่าความต้องการทางกายของเรา ที่เรารู้สึกว่ามันเรียกร้องมานานแสนนานแล้วนั้นเป็นตัวกระตุ้นเรามากกว่า จนในที่สุดสิ่งที่เราหวงแหนเอาไว้ในช่วงเวลาหลายปี ตั้งแต่เราได้เจอกับตุ่นก็สลายไปในคืนนั้น คนที่ได้รับมันไปกลับกลายเป็นคนที่เราไม่ได้รู้สึกรักเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดเราเองที่เป็นคนที่ทำเลวต่อตุ่น
   หลังจากครั้งนั้นพี่โจ้ยังคงพยายามที่จะมีครั้งต่อไป ซึ่งสุดท้ายเราเองก็ยอมเขาทุกครั้งไป บางครั้งเราคิดว่าเรากำลังประชดชีวิต แต่บางครั้งเราก็คิดว่าเราไม่ได้ประชดใครเลย แต่เรากลับต้องการตอบสนองความต้องการของตัวเราเองต่างหาก เราจึงไม่คิดแม้ที่จะโทษตุ่นที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราอดทนรอมาได้หลายปี และสุดท้ายแล้วเราและเขากลับไปไม่ถึงไหน เราไม่ได้โทษใครเลย แต่เป็นเพราะเราเอง
   นับวันนอกจากพี่โจ้ เรายังคงเลวต่อไปเรื่อย ๆ ในหลาย ๆ ครั้งที่เราไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ๆ เราได้เบอร์โทรฯ ของใครสักคนมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราไม่คิดที่จะโทรหาหรือสานสัมพันธ์อะไร แต่เดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ่มักจะจบลงด้วยการมีเซ็กซ์กันระหว่างเราและเขา
   ชีวิตของเรากลายเป็นชีวิตที่คลุกเคล้าอยู่กับเรื่องพวกนี้ได้อย่างรวดเร็ว และอย่างต่อเนื่อง จากที่ห้องเช่าของเราไม่เคยมีใครได้เหยียบย่างเข้าไป แม้กระทั่งเพื่อน ๆ ในตอนนี้กลับกลายเป็นสถานที่หาความสุขใส่ตัวของเรานับครั้งไม่ถ้วน เราไม่เคยนึกเสียใจกับการกระทำของเรา แต่เรากลับยิ่งสนุกกับมันมากยิ่งขึ้น
   ในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เราล้มตัวลงนอนหลังจากที่เราเพิ่งเปิดประตูส่งผู้ชายคนหนึ่งกลับออกไปเมื่อกิจกรรมระหว่างเราและเขาจบสิ้นลง เสียงของโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้นก่อนที่เราจะหลับลงไป เรารีบคว้าโทรศัพท์มาพูดทันที
   “ฮัลโหล” เราตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เพลียเต็มที่
   “เก่ง เก่งเหรอ” เสียงอันคุ้นเคยพูดกลับมา
   “ตุ่นเหรอ” เราถามกลับไป
   “ทำไมไม่เห็นเคยโทรหาเลยละ” ตุ่นถามกลับมาทันที คำถามของตุ่นทำให้เราอึ้งไปอีกครั้ง เพราะเราเองไม่คิดว่าตุ่นจะถามคำถามนี้กับเราหลังจากที่เราห่างหายการติดต่อกันไปนานแสนนาน เราไม่คิดว่าตุ่นกับเราจะติดต่อกันอีก เพราะเราเองที่ไม่กล้าที่จะหวัง เมื่อเมื่อตุ่นติดต่อมาและถามคำถามที่เหมือนกับบอกให้รู้ว่ารอการติดต่อจากเราอยู่นั้น ทำให้เราถึงกับตัวชา หน้าชากับสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำลงไปก่อนหน้านี้ ทุกอย่างแหลกสลายไปแล้ว
   เมื่อตุ่นกลับมาในชีวิตของเราอีกครั้ง โดยที่เรายังคงไม่รู้ว่าตุ่นคิดยังไงกับเรา คิดกับเราแค่ไหน แค่เพื่อน แค่น้อง แต่การที่ตุ่นกลับมาทำให้เรารู้สึกผิดขึ้นมาในทันที จากที่เราไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เราทำ ทำให้เรารู้สึกเกลียดตัวเราเองขึ้นมาในทันทีกับสิ่งที่เราได้ทำลงไป ชีวิตของเราแหลกสลายไปแล้ว

หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"แหลกสลาย"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 04-07-2010 01:53:03
กรี๊ดดดดดดดดด ทำไมกลายเป็นแบบนี้ ทำไมเก่งต้องทำอะไรแบบน เก่งที่น่ารักของเราหายไปแล้ว  :monkeysad:
ส่วนตุ่นนี่ช่วยไปไกลๆ เลยปะ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"แหลกสลาย"
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 04-07-2010 03:24:24
เริ่มแรกออจะน่ารักปนหวาน
แต่หลังมานี้ เศร้าไม่ไหวแล้วววววววว :o12:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"แหลกสลาย"
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 04-07-2010 07:00:59
ทำไมเป็นแบบนี้ o22
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"แหลกสลาย"
เริ่มหัวข้อโดย: nhum_Tai ที่ 04-07-2010 12:11:52
เป็นกำลังใจให้ อยากให้เป็นเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"แหลกสลาย"
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 04-07-2010 12:36:56
เราไม่เข้าใจไอ้ตัวตุ่นเลยง่ะ ไม่เข้าใจมันจริงๆช่วยมาต่อให้เราหายข้องใจที่เหอะ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"แหลกสลาย"
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 04-07-2010 20:31:26
เข้ามาเป็นกำลังใจให้เก่ง...เกลียดไอ้ตุ่น :z6:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"แหลกสลาย"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 04-07-2010 22:07:25
อย่าเกลียดตุ่นกันเลยนะครับ
ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้เก่งนะครับ
ถึงแม้ว่าเก่งจะทำตัวไม่ดีก็ตาม
แต่อย่าเพิ่งเกลียดตุ่นเลยนะครับ
แล้ว duckhero จะรีบโพสต์ตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"แหลกสลาย"
เริ่มหัวข้อโดย: vvivy ที่ 04-07-2010 23:46:26
 o22


รอติดตามๆๆค่ะ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 06-07-2010 01:14:55
หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง

   การกลับมาของตุ่นในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้เราหวังเหมือนเมื่อก่อน หวังที่ตุ่นจะมารักเรา แต่สำหรับแล้วเราขอแค่เพียงให้เราได้มีตุ่นอย่างหลายปีที่ผ่านมา แค่นี้เราก็พอใจแล้ว ถ้าถามตลอดเวลาที่ผ่านมาเรายังคงรักตุ่นหรือไม่ เราตอบได้โดยที่ไม่ต้องใช้เวลาคิดให้นานเลย เรายังคงรักตุ่นอยู่ เมื่อตอนที่เรียนด้วยกันเรารักตุ่นยังไง ถึงตอนนี้เราก็ยังรักเขาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นการกลับมาติดต่อกับตุ่นอีกครั้งทำให้เราเลิกการทำตัวที่เราเองก็ยังรู้สึกรังเกียจตัวเราเอง เราเลิกอย่างเด็ดขาด ไม่ยุ่ง ไม่ข้องเกี่ยวกับใครอีก เราขอแค่ได้เที่ยวกับกลุ่มเพื่อนของเรา และการได้ออกไปนั่งร้านน้ำชา ฟังเพลง ดูบอล จิบน้ำชา หรือแม้กระทั่งออกไปนั่งร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อได้กินข้าวในมื้อค่ำกับตุ่น เรากลับมารักและรอคอยตุ่นได้อย่างโดยง่าย ไม่ต้องใช้เวลา หรือแรงบันดาลใจอะไรเลย ถึงแม้ในตอนนี้เราจะคิดแค่ว่าตุ่นเห็นเราเป็นเพียงเพื่อน หรือน้องของเขาสักคน แค่นี้เราก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว
   “ตุ่นจะไปทำงานกับสมคิดนะเก่ง” ตุ่นเอ่ยขึ้นในขณะที่วางแก้วเบียร์ลง
   “เหรอ แล้วไปทำที่ไหนละ” เราถามกลับไป
   “สมคิดทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งอยู่ที่สตูลนะ” ตุ่นตอบ
   “อืมมม ก็ดี ไม่ได้ไกลจากบ้านมากนัก และก็ได้ไปทำงานกับเพื่อนด้วย” เราพูดพร้อมกับคิดถึงใบหน้าของเพื่อนประมงของตุ่นที่ชื่อสมคิด
   “เดี๋ยวตุ่นให้เบอร์มือของสมคิดเอาไว้แล้วกัน เผื่อเก่งอยากจะโทรไปหานะ” ตุ่นพูด
   “แล้วทำไมไม่คิดจะซื้อเองบ้างละมือถือนะ” เราถามในขณะที่นำเอามือถือเครื่องแรกของเราออกมาบันทึกเบอร์ของสมคิดไว้
   “ไม่อยากซื้อ มันไม่จำเป็น” ตุ่นตอบ
   เราและตุ่นยังคงติดต่อกันเรื่อย กินข้าวด้วยกันบ่อย ๆ จนถึงวันที่ตุ่นเดินทางไปทำงานที่จังหวัดสตูล เรากับตุ่นจึงต้องห่างกันอีกครั้ง การห่างกันในครั้งนี้เราไม่ถึงกับโหยหา หรือเหงามากนัก ไม่ใช่เพราะว่าเราจะกลับไปทำตัวไม่ดีเหมือนเดิม แต่เรายังโชคดีที่มีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่ให้เราได้ไปเที่ยวด้วย หรือไปกินข้าวด้วย ตั้งแต่ตุ่นไปทำงานเราตั้งใจว่าจะโทรไปหาตุ่นโดยโทรไปหาสมคิดตามเบอร์ที่ตุ่นให้ไว้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้โทรไปหาตุ่นสักที จนวันสำคัญของเราสองคนมาถึง นั่นก็คือวันเกิดของเรา เราจึงได้โทรไปหาเพื่ออวยพรวันเกิดให้กับตุ่นเหมือนทุก ๆ ปีที่ผ่านมา
   “ฮัลโหล” เสียงจากปลายสายตอบรับมา
   “สวัสดีครับ ใช่สมคิดรึเปล่าครับ” เราทักทายและถามย้อนกลับไป
   “ใช่ครับ ว่าแต่ใครครับ” สมคิดถามย้อนกลับมาเช่นกัน
   “จำกันไม่ได้แล้วเหรอ” เราแกล้งย้อนถาม
   “เอ่อ ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ แค่เสียงผมจำไม่ได้ครับ” สมคิดตอบ
   “เก่งเอง จำเก่งได้ไหม” เราพูด
   “เก่งเหรอ เก่งแฟนไอ้ตุ่นนะเหรอ” สมคิดพูดกลับมา ทำให้เราถึงกับอึ้งกับประโยคที่เขาพูด
   “นี่เก่งยังติดต่อกับมันอยู่อีกเหรอ” สมคิดถาม
   “ก็ติดต่อกันตลอดตั้งแต่เรียนจบนั่นแหละ” เราตอบกลับไป
   “แล้วเก่งยังรักมันอยู่อีกเหรอเนี่ย” สมคิดถามในคำถามที่เราไม่ได้คาดคิดไว้ก่อนว่าจะได้ยิน
   “เอ่อ เก่ง..” เราพูดไปได้แค่นั้น สมคิดกลับพูดสวนกลับมา
   “เก่ง เลิกรักมันได้แล้ว”
   “เอ่อ” เราพูดได้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
   “ว่าแต่เก่งสบายดีนะ อืมมมมม ได้เจอกันเมื่อไหร่ขอผมกอดทีนะเก่ง” สมคิดเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นแหย่เรากลับมา
   “แหม ได้สิ” เราตอบกลับไป หลังจากเราและสมคิดถามสารทุกข์สุขดิบกันพอประมาณ เราจังเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ทำให้เราโทรไปหาสมคิด
   “ตุ่นไม่อยู่เหรอ” เราถาม
   “อืมม ครับเก่ง ตุ่นมันออกไปที่ฟาร์ม อีกนานละกว่าจะกลับ” สมคิดตอบ
   “ว่าแต่เก่งมีอะไรจะคุยกับมันรึเปล่า ไว้เย็น ๆ โทรมาใหม่สิ” สมคิดพูดต่อ
   “ก็ว่าจะโทรมาอวยพรวันเกิดนะ ไม่มีอะไรมากหรอก” เราตอบ
   “ถ้างั้นวันนี้ก็วันเกิดเก่งด้วยนะสิ สุขสันต์วันเกิดนะเก่ง มามะ จุ๊บทีนึง” สมคิดอวยพรวันเกิดให้เราพร้อมกับแหย่เรากลับมาอีก
   “อย่ามา เรารับแค่คำอวยพรวันเกิดแล้วกัน ส่วนจุ๊บไม่ให้” เราตอบพร้อมกับเราและสมคิดต่างคนต่างหัวเราะ
   “ขอบคุณที่จำวันเกิดเก่งได้นะ แล้วเก่งจะโทรไปใหม่นะครับ” เราพูดก่อนที่จะวางสาย เราฝากสมคิดให้บอกตุ่นว่าเราโทรมาอวยพรวันเกิด เพราะเราไม่อยากจะโทรไปอีกครั้ง เกรงใจสมคิดเจ้าของโทรศัพท์
   ตุ่นกลับมาบ้านที่หาดใหญ่อีกครั้งในวันหยุดปีใหม่ หลังจากที่ไปอยู่สตูลเพื่อทำงานเกือบปี ตุ่นโทรมาหาเราในเย็นของวันสิ้นปี เพื่อชวนไปนั่งดื่มและฉลองต้อนรับปีใหม่ที่บ้านของเขา เราตอบรับไปในทันทีด้วยความเต็มใจ และตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เราจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องที่คิดว่าดูดีที่สุดในการไปร่วมฉลองกับตุ่นและญาติ ๆ ของเขาที่บ้านของเขา เราไปโดยที่ไม่ลืมที่จะถือเอาเหล้าติดมือไปด้วย เมื่อไปถึงปรากฏว่ามีหลายคนที่นั่งดื่มกินกันอยู่ก่อนแล้ว ตุ่นเรียกให้เราเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ ๆ กับเขา พร้อมทั้งแนะนำคนนั้น คนนี้ เรายกมือไหว้ไปด้วยมารยาท แต่เท่าที่รู้ เราไม่สามารถที่จะจำชื่อของใครได้เลยแม้แต่สักคนเดียว ใจเรามัวแต่จดจ่ออยู่กับตุ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เรา เราไม่ได้เห็นหน้าเขามาเกือบปีแล้ว วันนี้เราของมองใบหน้าของเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
   “วันนี้กินให้เมาเลยนะเก่ง” ตุ่นพูดพร้อมกับเอามือของเขามาตีเบา ๆ บนหน้าขาของเรา
   “เมาเป็นเมาวันนี้” เราตอบ
   “ตาหยิบแก้วมาให้พี่เก่งหน่อย” ตุ่นตะโกนเข้าไปในบ้าน เราหันไปมองตามสายตาของตุ่นเพราะเราไม่คุ้นกับชื่อของคนที่ตุ่นเอ่ยขึ้น ไม่นานนักผู้หญิงผมยาว หน้าตาดี ดูท่าทางอายุจะยังน้อยกว่าเราและตุ่นอยู่หลายปีเดินถือแก้วใบหนึ่งออกมาจากในบ้าน
   “ตานี่พี่เก่งนะ เพื่อนพี่เอง” ตุ่นแนะนำเรากับผู้หญิงคนนั้น เรารู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างที่ทำให้เรารู้สึกชาไปทั้งตัว หน้าชา มือชา เท้าชาและหัวใจเต้นแรง เรายกมือขึ้นรับไหว้ผู้หญิงคนนั้นแทบจะไม่ไหว เพราะในตอนนี้สมองของเรามันประมวลผลออกมาแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นควรจะเป็นใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับตุ่น
   “เอ้า เอ้า ว่าที่เจ้าสาวยังไม่เห็นจะเมาเลย มา มา มานั่งดื่มด้วยกัน” เสียงของญาติของตุ่นคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ประโยคนี้มันตอกย้ำความคิดของเราได้เป็นอย่างดี ในตอนนั้นเรารู้สึกว่าท้องฟ้าที่สดใสมาทั้งวัน พร้อมใจกันมืดในทันใด เราไม่รู้ว่ามีอะไรที่มันหนักมาทับอยู่บนหัวของเราหรือเปล่า เพราะในตอนนั้นเรารู้สึกว่าหัวของเราหนักมาก เราจากที่นั่งเงียบ ไม่ได้คุยอะไรกับใครมากนัก จะมีก็แค่เพียงคุยกับตุ่น ตอนนั้นถึงกับกลายเป็นใบ้ไปเลย อย่างเดียวที่เราทำได้ก็คือบอกให้มือของเรายกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วก็ดื่มมันเข้าไป จากที่เรานั่งมองหน้าของตุ่นแทบจะตลอดเวลา ตอนนั้นเรารีบหลบสายตาจากตุ่นทันทีด้วยการนั่งก้มหน้าตลอด
   “แล้วนี่เตรียมงานไปถึงไหนแล้ว” ผู้ชายคนเดิมยังคงเอ่ยถาม
   “??????????????????” เสียงว่าที่เจ้าสาวตอบกลับ แต่เราไม่รับรู้เลยว่าเขาพูดว่าอะไร
   “เก่ง” ตุ่นเรียกเราพร้อมทั้งเอามือมาเขย่าบนหน้าขาของเราแรง ๆ
   “อะไรเหรอ” เราถามกลับไปหลังจากหลุดออกมาจากภวังค์
   เราส่งยิ้มเจื่อน ๆ ไปให้ตุ่นพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีก ตุ่นเอามือมาขวางเอาไว้ไม่ให้เราดื่ม
   “เดือนหน้าตุ่นจะแต่งงานนะเก่ง” ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของตุ่นในที่สุด
   “อืมมม ยินดีด้วย” เราพูดแต่ยังคงก้มหน้าอยู่ เพราะเรารู้ดีว่าถ้าเราเงยหน้าขึ้นมา ทุกคนที่โต๊ะนั่นจะต้องเห็นอาการตาแดง น้ำตาเอ่อของเราเป็นแน่นอน
   “แล้วเตรียมงานไปถึงไหนแล้วละ” เราถามต่อทั้ง ๆ ที่ยังก้มหน้า มือของตุ่นถูกเจ้าของนำมาตีลงบนหน้าขาของเราอีกครั้งเบา ๆ เหมือนตุ่นรู้ดีว่าความรู้สึกของเราในตอนนั้นเป็นยังไง
   “เตรียมการ์ดเชิญเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้แจกเพราะยังเขียนหน้าซองยังไม่เสร็จ” ตุ่นพูด
   “เอางี้สิ เอาซองของการ์ดเชิญมา เดี๋ยวเก่งเอาไปปริ๊นท์กับคอมฯ ให้ แป๊บเดียวก็เสร็จ” เราพูดไปตามความคิดของเรา ถึงแม้ตุ่นจะทำให้เราอึ้ง เจ็บปวด ทรมานหัวใจอย่างสุดกำลัง แต่นั่นคือสิ่งที่เราพูดออกมาด้วยความเต็มใจ เรายินดีที่จะทำทุกอย่างให้ตุ่นเพื่อที่จะให้เขาได้ก้าวไปมีครอบครัว มีอนาคตที่ดี เราเองที่เอาตัวเรามาผูกพันกับเขา ตุ่นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะตุ่นไม่เคยที่จะบอกว่าชอบ หรือรักเรา เราเองต่างหากที่เอาตัวเราไปผูกมัดกับเขาไว้
   “พรุ่งนี้เก่งมาเอารายชื่อและซองแล้วกันนะตุ่น วันนี้เก่งกลับแล้วนะ เดี๋ยวจะไปฉลองต่อกับเพื่อน ๆ นะ” เราพูดไป ทั้ง ๆ ที่เรายกเลิกนัดกับเพื่อน ๆ ไปแล้วเมื่อตุ่นโทรมาชวนในตอนแรก เราโดนเพื่อน ๆ บ่นนิดหน่อย แต่สุดท้ายเพื่อน ๆ ก็ลงความเห็นกันว่า ให้เราได้ไปฉลองกับคนที่เรารักนั่นแหละดีแล้ว เราไม่รู้ว่าถ้าพวกเขารู้ว่าการมาฉลองของเราครั้งนี้ ทำให้เราเจ็บจนแทบจะล้มทั้งยืนนั้น พวกเขาจะว่ายังไง แต่ในตอนนี้นั้นเราไม่สามารถที่จะทนนั่งอยู่ที่บ้านของตุ่นได้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะเราจะโกรธ หรือเกลียดตุ่น แต่เพราะถ้าเรานั่งต่อไปอีกซักนาทีเดียว ทุกคนคงจะได้เห็นน้ำตาของเราเป็นแน่ เรารีบเดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์ของเรา โดยที่เราไม่ได้กล่าวลา หรือยกมื้อไหว้ใครเลย ในขณะที่เราสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ตุ่นเดินเข้ามาหาเราที่รถ พร้อมทั้งยื่นมือของเขามาจับมือของเราไว้
   “เก่ง” ตุ่นพูดได้เพียงแค่นั้น แล้วเราทั้งสองก็ต่างคนต่างเงียบ จนเราขับรถออกไปจากตรงนั้น ตลอดเส้นทางที่เราขับรถมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าไปหาเพื่อน ๆ ที่กำลังเลี้ยงฉลองกันอยู่ เรารู้สึกว่าเส้นทางมันช่างไกลเหลือเกินทั้ง ๆ ที่จริงแล้วมันไม่ได้ไกลเลย ขณะที่ขับรถไปนั้นน้ำตาของเราไหลออกมาตลอด ยิ่งโดนลมพัดมาโดนใบหน้าน้ำตาของเรายิ่งไหลอย่างไม่หยุดหย่อน
   ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านของเพื่อนของเราคนหนึ่งซึ่งเป็นจุดรวมตัวกัน ดื่มกันเล็กน้อยก่อนที่จะออกไปฉลองปีใหม่กันในผับที่ได้นัดกันเอาไว้ เมื่อเราจอดรถเราเดินปรี่ไปหาเพื่อน น้ำตายังคงไหล
   “เก่งเป็นอะไร” พี่ลิค เพื่อนที่มีอายุมากกว่าใครในกลุ่มของเราเอ่ยถามเรา เราไม่ได้ตอบอะไร เดินเลี่ยงไปนั่งบนโซฟาพร้อมทั้งก้มหน้าร้องไห้
   “เฮ้ย แกเป็นไรวะ” ยาเพื่อนที่เราสนิทมากกว่าใครในกลุ่มเดินมานั่งพร้อมทั้งโอบไหล่เรา เราโผเข้าไปกอดยาและเริ่มต้นปลดปล่อยน้ำตา และความเศร้าออกมา โดยที่เพื่อน ๆ ทุกคนไม่มีใครเอ่ยถามอะไรเราอีกเลย ปล่อยให้เราได้ร้องไห้ได้อย่างเต็มที่ จนเมื่อเรารู้สึกว่าน้ำตามันคงจะหมดแล้ว เราจึงได้หันมาคุยกับเพื่อน ๆ เราบอกสาเหตุที่ทำให้เราร้องไห้ได้อย่างหนัก เมื่อเพื่อนทุกคนได้ยิน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไป โดยส่วนใหญ่จะเน้นที่ด่าไปที่ตุ่นมากกว่า
   “อย่าไปด่าเขาเลย เก่งไปชอบเขาเอง เขาไม่เคยบอกว่าเขาชอบเก่งเลยนะ” เราพูดไปเพื่อไม่ให้เพื่อน ๆ ของเราด่าว่าตุ่นมากนัก
   “ไป งั้นเราไปฉลองความช้ำของแกพร้อม ๆ กับฉลองรับปีใหม่ดีกว่า เมาให้อ้วกแตกกันไปเลย” แอ๋วเพื่อนอีกคนในกลุ่มพูดขึ้น และแล้วคืนนั้นเราก็ได้เมาจนได้อ้วกจริง ๆ หลังจากที่กลับจากฉลองกัน ทุกคนมานอนรวมกันที่บ้านที่รวมกลุ่มกันในตอนค่ำโดยที่เราไม่รู้ว่าเรากลับมาถึงบ้านนั้นได้ยังไง
   จนถึงวันก่อนที่เขาจะต้องยกขบวนขันหมากไปบ้านของเจ้าสาวเพื่อทำพิธีของการแต่งงาน เราไม่ได้โทรไปหาเขาเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเขาอยู่บ้านที่หาดใหญ่ตลอด ตุ่นโทรมาหาเราในเย็นวันนั้นพร้อมทั้งบอกให้เราเข้าไปที่บ้านหลังใหญ่ของเขา หลังจากที่รับปากเขาแล้ว เราจึงแต่งตัวและขับรถมอเตอร์ไซค์ของเราไปหาเขาที่บ้านของเขา ซึ่งในตอนนี้กำลังคึกคักกันน่าดู มีผู้คนมากมายมาช่วยกันเตรียมงาน เราไปถึงที่นั่นเราจึงได้มีอาการหน้าชา มือชาขึ้นมาอีกครั้ง แต่เราคิดว่าเราจะยินดีกับตุ่นให้ได้ กับอนาคตที่เขาเลือก กับสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตของเขา เราจึงได้ก้าวเข้าไป หลายคนที่ไม่รู้จักเราแต่พอจะเดาออกว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าวเพราะเราดูรุ่นราวคราวเดียวกันกับตุ่นอยู่แล้ว ในที่สุดว่าที่เจ้าบ่าวก็ออกมาจากบ้านตามเสียงเรียกของใครคนหนึ่งที่เราเองก็ไม่รู้จักเหมือนเดิม ตุ่นเดินออกมาเมื่อเห็นเราตุ่นเดินเข้ามากอดเรา เราตั้งตัวไม่ทันในตอนนั้น จึงเอามือของเราดันที่หน้าอกของตุ่นออกไปเบา ๆ
   “ทำอะไรอะ อายคน” เราพูด
   “ก็ตุ่นดีใจที่เก่งมา” ตุ่นพูด
   “ตุ่น พาเพื่อนไปกินข้าวก่อนสิลูก” แม่ของตุ่นที่อยู่ไม่ไกลนักเอ่ยขึ้น เราจึงได้ยกมือขึ้นไหว้ ตุ่นพาเราไปนั่ง พร้อมกับหาอาหารมาให้กิน ทั้ง ๆ ที่เราบอกว่าเราไม่กิน ก็ใครมันจะไปกินลง แต่โดนตุ่นขู่ว่าถ้าไม่กินตุ่นจะโกรธ เราจึงต้องกินไปตามระเบียบ ในขณะที่เรานั่งกินข้าวตุ่นนั่งพูดคุยกับเราตลอด เราไม่รู้ว่าเขาตื่นเต้นหรือมีอาการดีใจมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่เราเห็นดูเขาจะเฉย ๆ
   “ตุ่น มานั่งทำอะไรตรงนี้ เข็มขัดกับรองเท้าหาได้แล้วเหรอ” พี่สาวของตุ่นเป็นคนเอ่ยขึ้น เรายกมือไหว้พี่เขา พร้อมทั้งหันไปมองหน้าตุ่น
   “อะไรกัน นี่ยังเตรียมตัวไม่พร้อมอีกเหรอ” เราถามตุ่นด้วยน้ำเสียงเข้ม
   “ดูสิน้อง พรุ่งนี้มันจะไปขอเมียแล้ว มันยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน” พี่สาวของตุ่นบ่นตุ่นให้เราฟัง
   “เอางี้ เดี๋ยวเก่งขับรถกลับเข้าไปในเมืองไปหาซื้อเข็มขัดกับรองเท้ามาให้” เราพูด
   “ไม่เอาหรอกเก่ง เดี๋ยวตุ่นจัดการเองได้ เข็มขัดไม่ต้องใส่ก็ได้ ใส่สูทมันก็มองไม่เห็นแล้ว” ตุ่นพูด
   “จะบ้าเหรอ ไม่เรียบร้อยได้ไงกัน วันสำคัญนะตุ่น” เราพูดพร้อมกับรู้สีกเหมือนกับว่ามีอะไรมาอุดตันที่ลำคอของเรา เราพูดต่อไปไม่ได้ เราจึงลุกขึ้นและบอกให้ตุ่นรอ เราจะกลับมาในอีกไม่ช้า เราขับรถย้อนกลับเข้าไปในตัวเมืองหาดใหญ่ที่ห่างกับบ้านหลังนี้ของตุ่นอยู่หลายกิโล เรามุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุด เลือกซื้อเข็มขัดและรองเท้าให้ตุ่น เมื่อเราได้ของที่ต้องการแล้วเราจึงขับรถกลับไปหาตุ่นอีกครั้ง ในตอนนั้นถามว่าเราเจ็บไหม เราเจ็บปวดมาก แต่อีกใจหนึ่งเราก็รู้สึกยินดีกับคนที่เรารักมาก ถ้าหากเขาจะมีอนาคตที่สดใสได้ในที่สุด เราเอาของทั้งสองอย่างส่งให้ตุ่น ตุ่นรับพร้อมกับเอามือมาขยี้ผมของเรา เราเบี่ยงหลบทันทีโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนว่าสมองของเรามันจะสั่งให้เราเลี่ยงเอง อาจจะกลัวที่จะต้องเจ็บปวดอีกก็เป็นไปได้
   “พรุ่งนี้เก่งไปกับตุ่นด้วยนะ” ตุ่นพูด
   “เก่งไปไม่ได้หรอก ต้องทำงาน” เราตอบ
   “เก่งก็ลาสักวันสิ” ตุ่นยังคงยื้อ
   “ไม่ได้จริง ๆ ถ้าลางานได้เก่งลาแล้วละ” เราตอบ
   “งั้นคืนวันงานฉลอง เก่งต้องไปให้ได้นะ” ตุ่นพูด
   “แน่นอนครับ” เราพูด พร้อมกับบอกลาตุ่นและอวยพรให้เขาโชคดี เราขับรถมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักของเรา ขับไปได้ไม่นานนัก น้ำตาเราไหลออกมาอีกแล้ว แต่เรารู้สึกว่าคราวนี้น้ำตาที่ไหลออกมามันไม่ได้ทำให้เราเจ็บปวดใจเหมือนกับครั้งก่อน ๆ แต่มันไหลออกมาเหมือนกับว่าเรากำลังอิ่มเอม และเป็นสุข เป็นปลื้มกับอนาคตที่ดีของคนที่เรารักมาก และแล้วในวันรุ่งขึ้น วันที่ตุ่นต้องไปบ้านเจ้าสาว เรากลับลางาน นอนอยู่ที่ห้อง เพราะเราไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปพบหน้าใครได้เลยในตอนนั้น เรารู้สึกเหนื่อยเกินที่จะทำอะไรทั้งสิ้น วันทั้งวันเราจึงได้แต่นอนอยู่บนที่นอนของเราไปเรื่อย ๆ เหมือนกับนอนรอให้เวลามันผ่านไป หรือรอให้เราได้ตายไปเสียที
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 06-07-2010 12:39:14
ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า   :monkeysad: สงสารเก่ง
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 06-07-2010 20:15:57


เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ พยายามเขียนต่อไป ฝึกฝีมือไปเรื่อยๆ
เม้นท์อาจจะไม่เยอะก็จริง แต่ถ้าเป็นเม้นท์ที่ดี ที่เป็นประโยชน์
มันน่าดีใจกว่าเป็นไหนๆ สู้ต่อนะจ๊ะ  :L2:


ปล. การขึ้นย่อหน้าใหม่ กับบางประโยค โดยการเว้นให้แต่ละบทชัดเจนขึ้น
จะช่วยส่งให้ ประโยคนั้นๆ ดูมีความสำคัญและน่าสนใจมากขึ้นนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 06-07-2010 20:28:22
โห เก่ง เสียน้ำตลอดเลย เมื่อไรจะได้ยิ้มได้มีความสุขสักทีนะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: vvivy ที่ 06-07-2010 20:35:01
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: Na_RimKLonG ที่ 06-07-2010 22:03:11
ยิ่งอ่านยิ่งเศร้าวุ้ย
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 06-07-2010 22:31:39

 o13
ไม่ได้อ่านเรื่องแนวนี้มานานล่ะ

เพราะเดี๋ยวนี้หาเรื่องเศร้าอ่าน..ยากมาก


จริงๆแล้ว ที่เข้ามาวนเวียนในเล้าเป็ดแห่งนี้

แล้วติดแง่ก ไปไหนไม่รอด ซักกะที

ก็เพราะชอบบริโภคเรื่องอ่านแนวนี้..นี่แหละ

เอิ้ก..เอิ้ก


 :L2:
เป็นกำลังใจให้มีแรงเล่าต่อไปเรื่อยๆ นะครับ

อย่าทิ้งกัน..กลางคัน  ก็แล้วกัน

 :pig4:ขอบคุณคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 06-07-2010 23:26:19
ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับ
ขอบคุณทุกเม้นต์ครับ
สัญญาว่าจะนำไปปรับปรุงครับ
คืนนี้ duckhero ขอไม่โพสต์นะครับ
เป็นไข้หวัด ไม่มีแรงจะมานั่งเรียบเรียงนะครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 07-07-2010 09:54:37
ขอให้หายป่วยไว ๆ สุขภาพแข็งแรงนะค่ะ .... :L2:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 07-07-2010 10:40:25
แล้วก็แต่งงานไปจนได้ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 07-07-2010 12:46:32
เก่งจะแสนดีไปถึงไหน ตุ่นนี่ รู้ หรือ ไม่รู้ความในใจเก่ง แต่น่าจะรู้นะ แต่ก็ยัง ไม่รู้สิ เป็นเราเราคงทนไม่ได้อ่ะ อวยพรได้ ให้ของขวัญได้ แต่คงไม่ไปคลุกคลี ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ เก่งช่างทนทายาด
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 07-07-2010 13:23:18
 :m15: :monkeysad:
เราขอชื่นชมในความเข้มแข็งของเก่งนะ ไม่ว่าเวลาหรือระยะทางจะไกลแค่ไหน
ใจเก่งก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยิ่งมาเจอสภาพแบบนี้ด้วยแล้ว ร้องมาเหอะร้องออกมาให้ดังๆ
แล้วขอใ้ห้ความรักที่เราเคยคาดหวังเฝ้าฝันไว้มาตลอดขอให้มันยังคงอยู่ในที่เดิมๆและขุดมันไว้
ให้ลึกสุดใจนะเก่ง ...เราต้องเดินไปข้างหน้า รักครั้งนี้ดูเหมือนว่าเราไม่สมหวังแต่เราก็ได้
ปล่อยคนที่เรารักที่สุดให้เค้าไปมีความสุขกับคนที่เค้าเลือกแล้วอ่ะนะ มันอาจจะเจ็บแต่สักวันมันจะหายเอง

ตุ่นยังคงใจร้ายไม่เปลี่ยนเลยนะ เราไม่เข้าใจอย่างนึง ไม่รักทำไมถึงต้องตบหน้ากันด้วย
ทำแล้วมีค.สุขใช่มั๊ยตุ่น  

เป็นกำลังใจให้คะ +1   
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-07-2010 16:49:33
ผู้ได้รับบาดเจ็บ

http://www.youtube.com/v/UyL2S55eOiw&hl=en_US&fs=1

แค่รู้หน้า  ไม่รู้ใจ  ไม่ใช่โง่

รักใหญ่โต  แล้วโมเม  มาเฉไฉ

เดี๋ยวถอยห่าง  เดี๋ยวใกล้ชิด  เดี๋ยวปิดใจ

จะเอาไง  จะไกลใกล้  ให้บอกมา


ให้เป็นเพื่อน  ทำเปื้อนใจ  ทำไมเล่า

ไม่คิดเอา  เป็นคนรัก  ชักห่วงหา

ไม่จริงใจ  ให้ความหวัง  ทำตรึงตรา

ทำยักท่า  ห่าเหว  ไอ่เลว..จริง


ไม่ชัดเจน  เบนบิด  สะกิดอยู่

มองตารู้  ยังเรื่อยเรื่อย  ยุ่งสุงสิง

ขอให้แน่  ว่าเลือกแล้ว  ชอบหญิงจริง

จะยอมทิ้ง  เชือดใจ  ให้แน่นอน


ขอเป็นแผล  เลือดสด  หยดติ๋งติ๋ง

มันดีจริง  หายง่าย  ไม่ตามหลอน

ที่แล้วมา  แผลเรื้อรัง  เชื้อไชชอน

ขอตัดถอน  ผ่าโคนราก  จบจากกัน

 :m15: เศร้า(ว่ะ)ครับ

ป้อล่อ +1 ครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: BlackClover ที่ 07-07-2010 17:29:09
^
^

จิ้ม คุณ โบรค  กลอนเพราะๆเข้าอารมณ์มาอีกแล้ว

แล้วก็รอไรเตอร์เอาเรื่องมาลง ^^
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 07-07-2010 19:57:57
วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่คอยรอ

   หลังจากวันที่เราได้แต่นอน ไม่ได้ทำสาระอะไรให้กับตัวเองมากนัก ซึ่งเป็นวันที่ตุ่นต้องไปทำพิธีเกี่ยวกับการแต่งงานตามประเพณี เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ก้าวสู่วันต่อมา ซึ่งเป็นอีกวันที่ทำให้เราไม่ได้มีความสุขมากนัก เพราะในค่ำคืนนี้จะมีการเลี้ยงฉลองงานมงคลสมรสของตุ่นที่โรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหาดใหญ่ ในวันนี้เราไปทำงานด้วยอาการที่ไม่ปกติมากนัก ส่วนใหญ่จะเหม่อลอย จนเพื่อนร่วมงานถึงกับแซวว่าเราเหม่อลอยไปหาใคร เพื่อนร่วมงานหยอกล้อเราหวังให้เรามีรอยยิ้ม แต่วันนี้เราเป็นเสือยิ้มยากไปซะแล้ว เราไม่สามารถที่จะยิ้มออกมาได้ แต่สิ่งที่พร้อมจะออกมาได้ทุกขณะลมหายใจนั่นคือ น้ำตา มากกว่า จนถึงเวลาเลิกงาน เรากลับไปยังที่พัก ซึ่งตอนนี้เราพักอยู่บ้านของน้าของเราที่ซื้อบ้านที่หาดใหญ่ สมาชิกในบ้านมีเพียงน้าสาวของเรา เราและลูกพี่ลูกน้องของเราอีกคน วันนี้เรายกหน้าที่ที่ต้องไปรับน้าสาวจากที่ทำงานที่เลิกงานในช่วงสี่ทุ่มให้กับลูกพี่ลูกน้องของเราแทน เพราะเราจะต้องไปร่วมฉลองงานมงคลสมรสของตุ่น
   ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่เราไม่ได้มีความสุขมากนัก เป็นวันที่เราไม่เคยหวังว่าจะมี แต่เรายังคงต้องพิถีพิถันในการแต่งตัว เพื่อเป็นการให้เกียรติกับการไปร่วมงานของคนที่เรารักที่สุด และจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่ไปร่วมงาน อย่างที่เพื่อนหญิงในกลุ่มของเราบางคนได้แนะนำเรา
   “ก็ไม่ต้องไปสิ จะไปทำไม มันไม่เห็นจะสนใจแกเลยเก่ง” กิ่งเพื่อนของเราพูด เมื่อเราเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พวกเขาฟัง
   “ไม่ไปคงไม่ได้หรอก เราทำไม่ได้จริง ๆ” เราตอบ
   “ก็มันไม่เห็นจะแคร์แกเลย แกจะแคร์แล้วกลับมาเสียใจทำไม” แอ๋วเพื่อนอีกคนเสริม
   “ไม่ได้หรอก ถึงเขาจะไม่แคร์เรา แต่เราแคร์เขามาตลอดชีวิตนะแอ๋ว” เราตอบเพื่อนของเรา
   “งั้นแกก็ไปเถอะ ยังไงพวกเราก็รอแกอยู่ที่บ้านไอ้แอ๋วนะ” พี่ลิคเป็นคนเสริม
   “โอเค” เราตอบสั้น ๆ
   หลังจากเราแต่งตัวเสร็จ เราขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจมุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่จะมีงานฉลอง ในงานนี้เราไม่รู้จัก ไม่สนิทกับใครเลยนอกจากเจ้าบ่าว เรายังคงสงสัยว่าเราจะไปนั่งร่วมโต๊ะกับใครเขาได้ แต่พอนึกถึงคำพูดของตุ่นที่บอกว่า เพื่อนกลุ่มที่เรียนประมงหลายคนมาร่วมงาน ทำให้เราใจชื้นขึ้นมาได้หน่อย แต่เนื่องจากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ พักอาศัยกันอยู่ที่จังหวัดอื่นทั้งนั้น เราจึงเป็นคนแรกที่ไปถึงยังงานเลี้ยง เราเดินวกไปวนมาอยู่ที่ล๊อบบี้ของโรงแรมหลายเที่ยวกว่าที่เราจะกล้าก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังห้องที่จัดงานเลี้ยงฉลอง เมื่อเราไปถึงตุ่นรีบก้าวเข้ามาหาทันที
   “เก่ง ขอบคุณนะที่มาได้” ตุ่นพูดพร้อมกับจับมือของเราไว้ทั้งสองข้าง เรารู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะเราไม่อยากที่จะให้ตุ่นจับมือเรา แต่เพราะว่าการกระทำของตุ่นนั้นอยู่ในสายตาของเจ้าสาวของเขาที่ไม่แม้แต่จะก้าวเข้ามาทักทายเรา
   “มีเพื่อน ๆ มาถึงบ้างแล้วยังละ” เราถามพร้อมกับดึงมือของเรากลับ
   “ยังไม่มีเลย เก่งเข้าไปนั่งรอก่อนสิ แล้วเดี๋ยวพวกนั้นมาตุ่นจะบอกให้เข้าไปหาเก่ง” ตุ่นพูด
   “ไม่ละ เก่งยืนรอเพื่อน ๆ อยู่แถว ๆ นี้ดีกว่า” เราพูดเสร็จเราจึงเดินเลี่ยงไปยืนอยู่ในมุมมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมที่จัดได้ว่าเหมาะสำหรับเราในตอนนั้นมาก
   ในขณะที่เรายืนรอกลุ่มเพื่อน ๆ ชาวประมง เราได้แต่ยืนแอบมองไปยังคู่บ่าว สาว ที่ต้องคอยต้อนรับแขกเหรื่อ ที่ทยอยกันเข้ามายังงานเลี้ยงฉลอง บ่อยครั้งที่เราต้องหลบสายตาที่ตุ่นเองคอยมองมายังเรา เราสังเกตว่าตุ่นจะมองมาที่เราบ่อยครั้ง น้ำตาของเราเริ่มที่จะเอ่อ เราพยายามที่จะหลบสายตาจากทุกคน เงยหน้าของเราให้สูงเพื่อกันไม่ให้น้ำตาที่เอ่อนองดวงตาของเรามันไหลออกมาได้ เราต้องพยายามเป็นอย่างหนักเพื่อไม่ให้น้ำตาสักหยดไหลออกมา
   “เก่ง ไม่เข้าไปนั่งก่อนเหรอ” ตุ่นพูดในขณะที่เดินมาหาเรา
   “ตุ่นกลับไปต้อนรับแขกเถอะ” เราพูดสั้น ๆ แต่ยังคงหลบสายตาของตุ่น ไม่ให้ตุ่นเห็นน้ำตาของเราที่เอ่อมาอย่างท่วมท้น
   “ไม่มีแขกมา ตุ่นยืนเป็นเพื่อนเก่งดีกว่า” ตุ่นพูด พร้อมกับเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ เรา เราไม่ได้หันหน้าไปมองหน้าตุ่นในตอนนั้น
   “ตุ่นกลับไปยืนกับเจ้าสาวเถอะ” เราไล่ให้ตุ่นไปยืนคู่เจ้าสาวของเขา ที่ที่เหมาะที่เขาควรจะยืนในตอนนั้น
   “เดี๋ยวค่อยไป จะมาไล่ตุ่นทำไมเนี่ย” ตุ่นพูด
   “พี่ตุ่น มานี่หน่อยค่ะ” เจ้าสาวของตุ่นเรียกตุ่นเมื่อมีแขกอีกกลุ่มก้าวเข้ามา
   “เดี๋ยวตุ่นมาใหม่นะ” ตุ่นพูด
   “ไม่ต้องหรอก เก่งยืนคนเดียวได้” เราพูด แต่ท้ายที่สุดตุ่นจะคอยวิ่งสลับไปมาระหว่างระหว่างยืนคู่กับเจ้าสาว และมายืนอยู่กับเรา
   เมื่อเพื่อน ๆ มาถึง เราใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพื่อน ๆ เข้ามาทักทายเรา หลังจากที่ทักทายบ่าวสาวและถ่ายรูปกันเสร็จ หลายคนเรียกเราไปถ่ายรูปด้วย แต่เราได้แต่ปฏิเสธ
   “มึงมันเลวไอ้ตุ่น มึงทำอย่างนี้ได้ยังไง” โตพูดขึ้นมาในตอนที่ตุ่นเดินเข้ามาหาพวกเราที่ยืนกันอยู่
   “พูดอะไรนะโต” เราพูด
   “มึงนะ ทำให้เก่งต้องร้องไห้ได้ตลอดละ มึงมันบ้า” สมเกียรติเพื่อนอีกคนพูดขึ้น
   “พูดอะไรกันเนี่ย ถ้ายังพูดอีกเดี๋ยวเก่งจะกลับเลยนะ” เราพูดเพื่อขัดเพื่อน ๆ ในขณะที่ตุ่นได้แต่เพียงยืนเงียบ เราไม่รู้ว่าตุ่นกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงเราจะเสียใจ เราจะร้องไห้สักกี่ครั้ง เราก็ไม่อยากให้เพื่อน ๆ ไปต่อว่าตุ่น
   “พวกเราเข้าไปนั่งกันเถอะ เก่งยืนรอตั้งนานออกจะเมื่อยแล้วละ” เราพูดพร้อมกับลากมือเพื่อน ๆ เข้าไปหาโต๊ะนั่งกัน
   พิธีการต่าง ๆ ดำเนินไปเรื่อย ๆ เจ้าสาวเจ้าบ่าวอยู่บนเวที อาหารถูกเสิร์ฟออกมาตามลำดับ เราและเพื่อน ๆ ต่างดื่มกินกัน โดยเฉพาะเราได้แต่เพียงดื่มเหล้าโดยส่วนใหญ่
   “อ้าวทุกคน มาถึงกันนานแล้วยัง” สมคิดเพื่อนและเจ้านายของตุ่นที่มาถึงหลังเพื่อน ๆ เอ่ยทักทาย
   “มาทำไมป่านนี้ละ” สมเกียรติพูด
   “ก็มัวแต่รอ ว่าที่เจ้าสาวคนต่อไปอยู่นะสิ” สมคิดชี้ไปยังแฟนสาวของตัวเอง
   “อ้าว เก่ง มาด้วยเหรอ แล้วทำใจมาได้ยังไงกันเนี่ย” สมคิดพูด
   “พูดไรกัน” เราเลี่ยงคำตอบ
   “เก่งนี่เก่งจริง ๆ ถ้าเป็นเรา เราคงจะได้มาร้องไห้ที่งานเป็นแน่” สมคิดพูด
   เรายังคงทำสีหน้าให้สดใสเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ทุกคนควรจะสดใส และมีความสุข แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าในใจของเรานั้นกำลังร้องไห้อยู่อย่างหนัก ถ้าน้ำตามันจะสามารถไหลออกมาจากหัวใจของเราได้ เราว่าน้ำตาคงท่วมหัวใจของเราแล้วในตอนนั้น จนเมื่อเจ้าบ่าว เจ้าสาวลงจากเวทีเพื่อเดินขอบคุณแขกเหรื่อไปตามโต๊ะต่าง ๆ เรารู้สึกว่าเราเริ่มกระสับกระส่าย ในใจมันร้อนรน เราไม่รู้ว่าเราจะสามารถทนไม่ให้น้ำตาของเราไหลออกมาได้อีกรึเปล่าเมื่อตุ่นและเจ้าสาวของเขาก้าวมาถึงที่โต๊ะของพวกเรา
   “ทุกคนเก่งกลับก่อนนะ” เราพูดบอกเพื่อน ๆ
   “กลับได้ไงกันละเก่ง ยังไม่เมากันเลย” สมคิดพูดขึ้น
   “เก่งต้องกลับแล้วละครับ” เราตอบไปโดยที่ไม่ได้ให้เหตุผล
   “ไม่รอตุ่นมันก่อนเหรอเก่ง” สมเกียรติพูดขึ้นบ้าง
   “ฝากบอกตุ่นด้วยแล้วกันว่าเก่งกลับแล้ว” เราตอบ
   “ให้เก่งมันกลับเถอะ ถ้าเป็นผม ผมไม่มาหรอก นี่เก่งมันเก่งขนาดไหนที่มันกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ตั้งนานนะ” โตพูดเหมือนกับเข้าใจความรู้สึกเราเป็นอย่างดี
   ตุ่นและเจ้าสาวของเขาเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของพวกเราเต็มที่ เห็นดังนั้น เราจึงรีบลุกเดินออกไปจากงาน โดยที่ไม่ได้เหลียวหลังกลับมามอง ว่าตุ่นจะเห็นเรารึเปล่า
   เป็นอีกครั้งที่เราขับมอเตอร์ไซค์ไปพร้อม ๆ กับน้ำตาที่ไหลออกมา เราขับรถไปถึงบ้านของแอ๋วที่มีกลุ่มเพื่อน ๆ ของเรารอเราอยู่ที่นั่น ทุกคนไม่พูดจาอะไรกับเรา ทุกคนทำเหมือนกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ไม่ไต่ถามอะไรทั้งสิ้น
   “พร้อมกันแล้ว พวกเราก็ไปสนุกกันเถอะ” พี่ลิคเพื่อนของเราพูดขึ้น พวกเราทุกคนพากันออกไปเที่ยวที่ผับแห่งหนึ่ง คืนนั้นเราไม่ได้เมามากนัก เพราะเรารู้ดีว่าต่อให้เราเมาหลับไป ตื่นขึ้นมาความจริงก็ยังคงเป็นความจริง ตุ่นแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว เราจึงไม่ได้ยึดเอาเหล้าเป็นที่พึ่งของเรา
   หลังจากวันนั้นเราแทบจะไม่ได้ติดต่อไปหาตุ่นเลย ตุ่นเองก็คงจะยุ่งเกี่ยวกับการขอบคุณแขกเหรื่อ ญาติมิตรของเขา เรากับตุ่นจึงห่างกันอีกครั้งในตอนนั้น จนเราได้ข่าวว่าตุ่นกลับไปทำงานเหมือนเดิม และเป็นที่แน่นอนว่าภรรยาของเขาต้องไปกับเขาด้วย เราและตุ่นห่างหายกันไปอีกครั้ง นับเป็นช่วงเวลาหลายเดือนที่ไม่ได้มีการติดต่อกันเลย เรายังคงอาศัยเพื่อนและงานของเราเพื่อให้เราได้ลืมคิดถึงเรื่องราวของเราและตุ่นได้ แต่ถ้าให้เราถามตัวเราเองว่า ถึงตอนนี้แล้วเรารู้สึกเกลียดหรือโกรธตุ่นสักเพียงนิดหรือไม่นั่น คำตอบของเราเราตอบออกมาได้อย่างทันทีว่าเราไม่เคยคิดแบบนั้นเลย เรายังคงรักตุ่นเสมอมา เพียงแต่ว่าเรารับรู้ได้แล้วว่าเราเองไม่มีทางที่จะสมหวังได้  เพราะฉะนั้นการที่เราจะยินดีกับคนที่เรารักที่เขาได้เลือกทางเดินของเขาไปแล้วนั้น ทางเดินที่เขาเห็นว่าดี เราทำได้เพียงแค่นั้นจริง ๆ
   หกเดือนผ่านไป เราคิดถึงตุ่นน้อยลง เราไม่มีน้ำตาแล้วตลอดเวลาหกเดือนที่ผ่านมา เราพร้อมที่จะยิ้มสู้กับชีวิตของเรา เพราะเรารู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เราจะไปโทษตุ่น โทษโชคชะตาของเราไม่ได้เลย ในเมื่อเรายินดีที่จะเลือกมันมาเอง แต่แล้วชีวิตของเราที่กลับมาเป็นปกติสุขนั้น กลับไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดไว้ เมื่อในตอนเย็นของวันหนึ่งเราได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของเสียงที่เราคุ้นเคยนัก
   “เก่ง วันนี้ว่างไหม ไปกินข้าวกัน” เสียงตุ่นพูดมาทางโทรศัพท์
   “เก่งยังไม่แน่ใจนะ ขอดูก่อน” เราตอบออกไปเพราะไม่กล้าที่จะไปพบตุ่น การพบกับตุ่นนั้นมันไม่ยากเย็นอะไรสำหรับเราเลย ถึงแม้เราจะต้องเสียน้ำตามามากมายสำหรับเขา แต่เราก็ยังพร้อมที่จะพบเขาอยู่ดี แต่ในเมื่อคิดว่าการไปเจอตุ่นในครั้งนี้ จะไม่ได้เจอเพียงตุ่นแต่เราต้องเจอกับภรรยาของเขาด้วยนั้น เราทำใจไม่ได้เลยจริง ๆ
   “เก่งมาให้ได้นะ ตุ่นจะรอ” ตุ่นพูดย้ำก่อนที่จะวางสายไป
   และแล้วก็เหมือนทุกครั้ง เราไม่เคยปฏิเสธตุ่นได้เลย พลบค่ำในวันนั้นเราจึงไปหาตุ่นที่ร้านอาหารที่ตุ่นได้บอกเอาไว้ เราไปถึงก่อนตุ่นแค่เพียงไม่กี่วินาที เราจอดรถมอเตอร์ไซค์ของเราเสร็จเราจึงเห็นตุ่นขี่มอเตอร์ไซค์ของเขาเข้ามาจอดที่หน้าร้าน เราเลยเดินเข้าไปหาเขา
   “เป็นไงบ้าง” ตุ่นกล่าวทักทายด้วยการเอามือมาขยี้ผมของเรา มันเป็นสัมผัสที่เราเคยได้รับในตอนที่เรียนด้วยกัน สัมผัสที่เราเคยมีความสุขมาตลอดทุกครั้งที่ได้รับ แต่ครั้งนี้เรารู้สึกเหมือนเราโดนมีดบาดไปที่หัวใจของเรา เราเจ็บแปล๊บอยู่ในอก
   “อ้าว มาคนเดียวเหรอ” เราถามเมื่อเห็นตุ่นมาแค่เพียงลำพัง
   “เข้าไปหาที่นั่งกันก่อนเถอะ” ตุ่นพูดพร้อมกับเดินนำเราเข้าไปเลือกนั่งโต๊ะที่เขาพอใจ
   “สั่งอะไรมากินกันดี สั่งเบียร์ก่อนเลยแล้วกัน” ตุ่นพูดในขณะที่เรานั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับเขา
   “แล้วน้องเขาไม่มาด้วยเหรอ” เราถาม
   “เก่งจะกินอะไรสั่งได้เลย เดี๋ยววันนี้ตุ่นเลี้ยงเอง” ตุ่นพูด แต่มันกลับไม่ใช่คำตอบจากคำถามที่เราถามไป เราเห็นว่าตุ่นเลี่ยงที่จะไม่ตอบเราก็เลยไม่ถามอีก จนเบียร์และอาหารที่สั่งถูกบริกรนำมาวางไว้บนโต๊ะ เราลงมือกินส่วนตุ่นนั้นก็ลงมือดื่ม เราทั้งสองดื่มกินและพูดคุยกันพักใหญ่ เราทนไม่ได้ที่จะไม่ได้คำตอบ เราจึงได้ถามตุ่นไปอีกครั้ง
   “น้องตาไม่มาด้วยเหรอ” เราถามในขณะที่กำลังยกเบียร์เข้าปาก
   “ไม่มาแล้วละ” ตุ่นตอบสั้น ๆ
   “ทำไม ทำไมถึงพูดแบบนั้นละ” เราย้อนถามกลับไป เราวางมือจากแก้วเบียร์และทุกอย่าง เรารู้สึกว่าตัวของเราเริ่มเย็น มือของเราเริ่มเย็น เพราะคิดว่าคำตอบที่ตุ่นจะตอบ คงจะไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก
   “เลิกกันแล้วละ” ตุ่นตอบ
   “อะไรกันแต่งกันได้ไม่นานเองนะ” เราพูด
   “ก็ไม่รู้จะอยู่กันไปทำไม ในเมื่อทะเลาะกันทุกวัน” ตุ่นพูดเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลิกกันออกมา
   “คิดดีแล้วเหรอ” เราถาม
   “คิดดีแล้วน่า นี่ชวนออกมากินข้าวนะ ไม่ได้ชวนมาให้สัมภาษณ์” ตุ่นพูด
   “งั้นก็ไม่ถามแล้วก็ได้” เราตอบ
   “ขอเพลงให้ฟังหน่อยสิ” ตุ่นพูดออกมาพร้อมกับบอกชื่อเพลงที่อยากจะฟัง เราสังเกตดูมันไม่ใช่เพลงที่คนอกหักเขาฟังกัน แต่มันกลับเป็นเพลงเก่า ๆ เพลงที่ดังสมัยที่พวกเราเรียนกันอยู่ด้วยกันต่างหาก
   ตุ่นออกจากงาน มาอยู่ที่บ้านที่หาดใหญ่ ทำให้เราและตุ่นไปมาหาสู่กันอีกครั้ง บ่อยครั้งที่ออกไปกินข้าวด้วยกัน บ่อยครั้งที่เราต้องขนเอาซีดีเพลง ซีดีหนังของเราไปให้ตุ่นยืม และทุกครั้งตุ่นจะเลี้ยงข้าวเราเป็นการตอบแทน
   “เฮ้ย เก่ง แกจะกลับไปหามันอีกเหรอ” แอ๋ว เพื่อนของเราคัดค้านเมื่อรู้ข่าว
   “ไม่ได้กลับไปหาแบบนั้น ก็ให้กำลังใจเขานะ” เราตอบ
   “แกให้กำลังใจเขาแต่แกต้องกลับมานั่งร้องไห้อีกนะเหรอ” กิ่งพูดบ้าง
   “พวกแกจะไปขัดใจเก่งมันทำไม ให้มันทำที่มันอยากจะทำเถอะ” ยาเพื่อนที่เข้าใจเราเอ่ยออกมา
   ในที่สุดบรรดาเพื่อนก็คือเพื่อน เมื่อเห็นเรามีความสุขกับอะไร ก็เลยไม่มีใครคัดค้าน อีกทั้งยังบอกให้เราชวนตุ่นออกมาเที่ยวด้วยกันในคืนที่กลุ่มของพวกเราไปเที่ยว และตุ่นเองก็ไม่ปฏิเสธ ออกมาเที่ยวกับกลุ่มพวกเราและถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มเพื่อนของเราได้รู้จักกับตุ่นอย่างเป็นทางการ
   ทุกครั้งที่ออกมาเที่ยวกัน เราจะเป็นคนที่นั่งติดกับตุ่นเสมอ และทุกครั้งที่ดื่มเหล้ากัน เราจะสามารถเอามือของเราไปวางไว้บนหน้าขาของตุ่นได้อย่างที่ไม่ขัดเขิน ตุ่นเองก็ไม่เคยที่จะว่ากล่าวอะไรหรือแม้จะเอาขาของเขาออกไป กลับปล่อยให้เราวางมือไว้อย่างนั้น มันทำให้เรามีความสุขอีกครั้ง ถึงแม้ว่าสุขในครั้งนี้นั้นเราจะไม่ได้หวังอะไรจากตุ่น แต่แค่การได้พบ ได้พูดคุย แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว
   “จะกลับไปเฉย ๆ เลยเหรอ” เราพูดกับตุ่นเมื่อค่ำคืนของการออกเที่ยวจบลง ตุ่นเดินย้อนกลับมาหาเราพร้อมกับเอามือขยี้ผมเราเหมือนที่เคยทำเมื่อครั้งก่อน ๆ
   “กลับแล้ว เก่งกลับดี ๆ ละ และก็เป็นที่รักของทุก ๆ คนนะ” ตุ่นพูดทิ้งทายก่อนจากไป
   ไม่เพียงแค่ตุ่นจะมาเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ๆ ของเรา ตุ่นกลับชวนเราออกไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ๆ ของเราเช่นกัน โดยที่ทุกครั้งเราจะไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก แค่รับรู้ว่าจะออกไปเที่ยวด้วยกัน แต่คราวนี้ตุ่นให้เราเอารถเราไปจอดที่บ้านที่เป็นร้านน้ำชาของเขา และให้เราซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เขาไปแทน เมื่อเราไปพบกับเพื่อน ๆ ของตุ่น ที่เราดูแล้วแต่ละคนจะอายุมากกว่าเรา เราจึงทักทายด้วยการยกมือไหว้
   “ไหนมึงบอกมึงจะพาเด็กมึงมาไงละไอ้ตุ่น” พี่คนนึงพูดขึ้น
   “ก็นี่ไงเด็กผม” ตุ่นพูดพร้อมทั้งชี้มาที่เรา พี่ ๆ เหล่านั้นต่างทำสีหน้างุนงง เพราะคำว่าเด็กน่าจะหมายถึงแฟน หรือคนที่กำลังคบกัน ซึ่งถ้าเป็นแฟนของตุ่นก็น่าจะเป็นผู้หญิง แต่กลับกลายเป็นเราแทน ตุ่นเห็นหลายคนมีสีหน้างุนงง จึงได้อฺธิบายให้ทุกคนได้ฟัง
   “ก็เก่งมันอายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี เพราะฉะนั้นมันถึงเด็กกว่าผม ก็นี่ไงผมพาเด็กมาเที่ยวด้วย” ตุ่นพูดพร้อมกับดึงเราเข้าไปกอดไหล่
   “เออ ตามใจมึงแล้วกัน ไอ้บ้า” พี่คนเดิมพูด
   และแล้วเรา ตุ่นและบรรดาเพื่อน ๆ ของเขาก็พากันเดินเข้าไปในร้าน โดยหลังจากที่เลือกโต๊ะได้แล้ว เพื่อนของตุ่นทั้งสามคนนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน เราและตุ่นนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน เหมือนทุกครั้งที่ตุ่นดื่มเหล้า เขามักจะชอบนั่งยกเท้า ชันเข่าขึ้นมา เราจึงได้โอกาส นั่งจับหลังเท้าของเขาเล่นทั่งคืน โดยที่ตุ่นก็ไม่ขัดแต่อย่างใด และก็เหมือนเดิม ตุ่นให้เราขอเพลงเดิม ๆ ที่เคยให้เราขอให้ทุกครั้งที่ไปนั่งกินอาหารหรือดื่มด้วยกัน เป็นเพลงดังสมัยที่เรายังเรียนอยู่ด้วยกัน
   เรากลับมาใกล้ชิดกับตุ่นอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่หลายคนบอกว่าเราควรจะเจ็บ และจำ แต่ใจของเรามันกลับตอบมาสวนทางเสมอว่า ถึงแม้จะเจ็บสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเราได้อยู่ใกล้ ได้ใกล้ชิดกับเขา หัวใจเราก็จะยอม เรารู้ดีว่าเราไม่สามารถหวังให้ตุ่นมารักเรา แต่กับการที่เป็นอยู่ หัวใจของเราพองโต ความสุขของเราล้นปรี่ เราจึงยอม ยอมอีกครั้งถึงแม้ว่าหลังจากนี้เราอาจจะต้องเสียน้ำตาอีก เราอาจจะต้องเจ็บอีกครั้ง แต่เราก็ยังยอม ขอให้เราได้อยู่ใกล้ ๆ เขา ขอให้เราได้เห็นใบหน้า ดวงตา และรอยยิ้มของเขา เราก็พอใจแล้ว สิ่งเหล้านี้ล่วนเป็นสิ่งที่เราเฝ้ารอคอยจากคนคนนี้
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง&
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 07-07-2010 20:11:39
รัก เจ็บ รอ และน้ำตา อันนี้สำหรับเก่งนะ ไอ้ตัวตุ่นเอ้ยสงสัยมันจะสมชื่อมันแล้วล่ะนะ
เก่งตัดใจเหอะว่ะ เราชักจะรำคาญไอ้ตุ่นมันแล้วนิ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 07-07-2010 20:27:22
ดูเหมือนลมจะพัดหวนคือ แต่กลัวลมจะโกหกหนะสิ
คนที่เคยได้อะไรๆหลายๆสิ่งหลายๆอย่างจากเราแล้วพอวันนึงเราห่างหาย
อยู่ในที่ๆเราควรอยู่ คนๆนั้นมันก็กลับโหยหาอยากเข้ามาใกล้ชิดเราเหมือนเดิมอีกครั้ง
 :z3: :z3: คนหนอคน ช่างเห็นแต่ตัวยิ่งนัก

เก่ง   เก่งนะที่มา่งานแต่งคนที่ตัวเองรักได้ทั้งๆที่การปฏิบัติตัวของเค้ายังคงเหมือนเดิม
ยิ่งทำยิ่งปวดใจแล้วไหนจะบรรดาปากเพื่อนๆอีกล่ะ แต่ละคนที่พ่นมาฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่า

แต่พอเวลาผ่านไป ครึ่งปีเชียวนะ ก็กลับมาเป็นแบบเก่า คราวนี้จะน้ำลมร้อนๆอะไรมาให้
คนๆนี้ช้ำใจอีกนะ ความสุขจะอยู่ได้นานแค่ไหนนะ
 o13 o13
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-07-2010 21:44:19

เพราะรัก..จึงยอม


คำนี้..คำเดียว




สุขอยู่ที่เขา

เศร้าอยู่ที่เรา

สุขเศร้าคละเคล้า

ตัวเราเลือกเอง


 :L2: ขอบคุณครับ..เก่ง
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 07-07-2010 23:17:52
เก่งจะเล่นกับไฟอีกหรือเปล่า ไม่อยากเห็นเก่งร้องไห้อีกรอบเลย  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 08-07-2010 10:20:11
เป็นกำลังใจให้ค่ะ ....ก็คนมันรักนี่เนอะ .... :L2::รักจริง เจ็บจริง  o13
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 09-07-2010 00:09:28
เหลืออีกสองตอนก็จะจบแล้วครับ
ใครที่เป็นกำลังใจให้เก่งอยู่
ฝากด้วยนะครับ ติดตามกันจนจบนะครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 09-07-2010 01:02:24
อย่าให้เก่งเศร้าเลยนะๆๆๆ
  :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 09-07-2010 09:48:35
มารอดูบทสรุป อย่าเศร้าเลยนะสงสารเก่ง  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"วันที่รอคอย กับวันที่ได้แต่
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 09-07-2010 13:21:34
ดูเหมือนตุ่นจะสับสนในตัวเองนะ
เหมือนจะรักเก่ง แต่คบคนอื่นเพื่อปิดบังความต้องการแท้จริง
สุดท้ายแล้วก้อต้องกลับมาหาเก่งเสมอ
นี่แหละนะความรัก
สำหรับเก่ง ขอแค่ได้รัก ได้อยู่ใกล้ ก้อเพียงพอแล้ว
ไม่เคยต้องการครอบครอง ไม่เรียกร้อง
นับถือเก่งอ่ะ ทำได้ไง เก่งสมชื่อจริงๆ
เป็นกำลังใจให้นะ สู้สู้
 o13 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 10-07-2010 03:21:46
เต็มใจพูด เต็มใจฟัง

   เราและตุ่นกลับมาสนิทและใกล้ชิดกันอีกครั้ง ไปกินข้าวด้วยกัน ไปดื่มด้วยกัน หรือแม้แต่กระทั่งเรามักจะขนเอาซีดีหนังและซีดีเพลงของเราไปให้ตุ่นได้หยิบยืม  การที่ต้องไปนั่งทานข้าวหรือไปนั่งดื่มด้วยกัน เราทั้งสองคนมักจะเป็นเป้าสายตาของโต๊ะอื่น ๆ เพราะว่าหลายคนน่าจะมองท่าทีของเราออก ว่าเราคงจะไม่ได้ไปเพราะเป็นเพียงแค่เพื่อนกับตุ่น เพราะถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นเกย์ที่แสดงออกมากมายนัก แต่เมื่อมีตุ่นเป็นตัวเปรียบเทียบแล้วนั้น เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะรู้ในทันทีที่เห็นว่าเรานั้นเป็นเกย์ ประกอบกับการหยอกล้อของตุ่นที่คอยหยอกล้อเรานั้น มันผิดวิสัยที่เพื่อนหรือผู้ชายสองคนจะทำกัน อย่างเช่น ขยี้ผม กอด หรือแม้แต่จะนั่งมองตา ซึ่งโดยเฉพาะเราจะเป็นคนที่มองตาตุ่นซะมากกว่า
   หลังจากที่เราได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ของตุ่นแล้ว มีครั้งหนึ่งที่ตุ่นไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนของเรา โดยที่วันนั้นเราไม่ได้ตั้งใจที่จะชวนตุ่น แต่เราต้องเอาซีดีหนังไปให้ตุ่น โดยที่เราไปในขณะที่เราแต่งตัวพร้อมสำหรับไปเที่ยว ซึ่งตุ่นก็คงจะดูออกว่าการแต่งตัวของเราคงจะไม่ใช่สำหรับเอาซีดีหนังมาให้เขาแค่นั้น
   “ไปเที่ยวต่อเหรอ” ตุ่นเอ่ยถาม
   “ใช่ เก่งนัดเพื่อน ๆ ไว้แล้ว” เราตอบ
   “ไปที่ไหนละ” ตุ่นถาม
   “ไปด้วยกันไหม” เราชวนตุ่นหลังจากที่เราบอกจุดหมายที่เรานัดกับเพื่อนเอาไว้
   “ไม่ไปละ นั่งกินเหล้าที่บ้านดีกว่า” ตุ่นตอบ
   “โอเค งั้นเก่งไปนะ ไว้เจอกัน” เราพูดก่อนที่จะจากไป
   หลังจากที่กลับจากบ้านตุ่น เราขับรถมอเตอร์ไซค์ของเรามุ่งตรงไปยังบ้านของแอ๋ว ซึ่งเป็นจุดนัดหมายของกลุ่มเพื่อนของเรา เรารวมกลุ่มกันที่นั่นเพื่อที่จะขึ้นรถของพี่ลิคกันไปแค่เพียงคันเดียว โดยเป้าหมายแรกของพวกเรานั้นคือไปหาอาหารค่ำกินกันก่อน เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้ว เป้าหมายต่อไปของพวกเราจะเป็นร้านน้ำชา ซึ่งจะไม่เป็นอะไรที่ทานหนักกันแล้ว เพราะต่างคนต่างอิ่ม แค่ไปนั่งดื่มน้ำชา ชาเย็น ชามะนาว กาแฟ แล้วแต่ใครจะสั่ง ไปนั่งฟังเพลงเพื่อฆ่าเวลาในการไปสนุกกันต่อที่เป้าหมายอันเป็นเป้าหมายหลัก หลังจากเวลาล่วงเลยสี่ทุ่มไปแล้ว พวกเราจึงยกขบวนย้ายจากร้านน้ำชา มุ่งไปสู่ร้านเป้าหมายของเรา เมื่อเราและเพื่อน ๆ เข้าไปถึงที่ร้าน สิ่งที่เราเห็นคือตุ่นและกลุ่มเพื่อน ๆ ของเขาได้นั่งกันอยู่ก่อนแล้วและนั่งโต๊ะที่ติดกับโต๊ะของพวกเราที่ได้จองเอาไว้ก่อนแล้ว
   “อ้าวมาได้ไง ไหนบอกว่าไม่มา” เราทักทายตุ่นหลังจากที่นั่งลงที่โต๊ะของพวกเรา โดยที่พรรคพวกของเราแอบแซวเราเล็กน้อย
   “ก็ตั้งแต่เก่งออกมาจากที่บ้าน ตุ่นก็โทรไปชวนเพื่อน ๆ มานี่แหละ” ตุ่นตอบ
   “แล้วไหนบอกว่าจะไม่มาไงละ” เราย้อนถาม
   “ถ้าบอกว่ามาแล้วจะเซอร์ไพรส์ไหมละ” ตุ่นตอบเราแบบยิ้ม ๆ
   “แล้วมานั่งโต๊ะใกล้กับที่เก่งจองไว้ได้ไงเนี่ย” เราถามตุ่น
   “ก็บุพเพอาละวาทมั้ง” ตุ่นตอบ
   “เอาแค่บุพเพได้เปล่า ไม่ชอบอาละวาท” เราตอบ
   หลังจากนั้นเราจึงต้องนั่งดื่มแบบหันไปหันมา ระหว่างโต๊ะของพวกเราและโต๊ะของตุ่น ถ้าหากเราหันมาพูดคุยกับเพื่อน ๆ นานนัก ตุ่นก็จะสะกิดเพื่อขอชนแก้วกับเรา เราจึงต้องหันไปที่โต๊ะของเขาและนั่งดื่มกับเขา ดนตรีในวันนั้นเล่นโดยที่เริ่มด้วยเพลงช้าสลับกับเพลงตามคำขอ แต่เมื่อถึงช่วงของเพลงเร็วเพื่อน ๆ เราต่างลุกขึ้นเต้นกันอย่างถ้วนหน้า จะมีก็เพียงแต่เราที่นั่งคุยกับตุ่นต่อไป
   “เฮ้ย เก่งมาเต้นกัน” กิ่งเอ่ยชวน
   “เดี๋ยวก่อน” เราตอบปฏิเสธ
   “ไปเต้นสิ” ตุ่นพูด
   “ยังไม่พร้อม รอก่อน” เราตอบ
   “เมื่อก่อนไม่เห็นต้องรออะไรเลยนี่” ตุ่นพูด
   “ก็เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนนี่” เราตอบ
   “แก่แล้วละสิ” ตุ่นพูด
   “ถ้าเก่งแก่ตุ่นก็แก่กว่าละ” เราตอบย้อนกลับไป และโดนตุ่นตบเบา ๆ บนหัวหนึ่งครั้ง
   “นี่แนะ ยอกย้อน” ตุ่นพูด
   หลังจากที่เพลงเร็วเล่นไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง เราจึงบอกตุ่นว่าเราจะไปเต้นกับเพื่อน ๆ ตุ่นเองบอกให้เราไปสนุกกับเพื่อน โดยที่พูดต่อไปว่าเขาจะนั่งดื่มรออยู่ตรงที่เขานั่งอยู่ เราปลีกตัวไปจากเขาไปร่วมสนุกกับเพื่อน ๆ จนผ่านไปหลายเพลง เราเต้นสลับกับแวะไปนั่งดื่มกับตุ่น แต่จะนั่งไม่นานนัก จะออกไปเต้นกับเพื่อนซะส่วนใหญ่ และแล้วในขณะที่เราเต้นอยู่นั้น มีผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านเราไปแล้วเขาก็หยุดชะงักเดินถอยกลับมาหาเรา มายืนประจันหน้ากับเรา เราเองรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะมองดูใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแล้วนั้น เราไม่คุ้นว่าเป็นคนที่เราเคยรู้จัก
   “ขอเต้นด้วยคนได้ไหมครับ” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยขึ้น
   “ตามสบายเลยครับ” เราตอบ เขายืนเต้นอยู่ตรงหน้าเรา โดยที่มีเพื่อน ๆ ของเราโห่เบา ๆ เป็นการแซวเรา ในตอนนั้นเราตื่นเต้นมาก ที่ตื่นเต้นไม่ใช่เพราะว่ามีผู้ชายมาเต้นด้วย แต่ที่ตื่นเต้นเพราะเราเต้นอยู่กับผู้ชายที่เราไม่รู้จักต่อหน้าตุ่น ดังนั้นเมื่อเราเต้นไปได้สักพักเราจึงหันไปมองตุ่นที่นั่งอยู่ด้านหลังของเรา เราเห็นตุ่นกวักมือเรียกเรา
   “ขอตัวก่อนนะครับ” เราเอ่ยบอกชายหนุ่มคนนั้นและกำลังจะปลีกตัวไปหาตุ่น แต่แล้วผู้ชายคนนั้นกลับดึงมือของเราเอาไว้
   “จะรีบไปไหนละครับ เต้นด้วยกันก่อน” ผู้ชายคนนั้นพูดในขณะที่เต้นต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ยอมปล่อยมือของเรา เราเห็นดังนั้นจึงเต้นกับเขาต่อไป แต่ก็ยังหันไปมองตุ่นไปด้วย ซึ่งเราเห็นตุ่นกวักมือเรียกเราอีกครั้ง แต่ทำยังไงเราก็ปลีกตัวออกไปไม่ได้ เพราะมือเรายังโดนจับเอาไว้โดยชายหนุ่มคนนั้น เราจึงเต้นกับเขาต่อไปอีกสักพัก เรารู้สึกว่ามีใครมาสะกิดที่ไหล่ของเราทางด้านหลัง เราหันไปดูจึงได้เห็นว่าตุ่นได้ลุกขึ้นมาจากที่นั่งของเขามายืนอยู่ชิดด้านหลังของเราแล้ว ตุ่นจับไหล่เราทั้งสองข้างพร้อมกับหมุนเอาตัวเราหันมาหาเขา มือของเราหลุดจากการจับเอาไว้ของหนุ่มลึกลับคนนั้นทันที
   “มาเต้นกับตุ่นนี่” ตุ่นพูด
   “เต้นเหรอ ตุ่นจะเต้นเหรอ” เราพูด
   “ทำไมละ” ตุ่นพูดสั้น ๆ
   “ก็ไม่เห็นจะเคยเต้นมาก่อน” เราพูด
   “ไม่เคยเต้นก็ใช่ว่าจะเต้นไม่เป็นนะ” ตุ่นตอบ
   และแล้วตุ่นก็เต้นกับเราได้ไม่นาน เขาก็กลับไปนั่งดื่มเหมือนเดิม ส่วนผู้ชายลึกลับที่เข้ามานั้น หายไปไม่ปรากฏเงาอีกเลย เรา ตุ่นและเพื่อน ๆ ของเราต่างสนุกไม่แพ้กัน จนถึงเวลาที่ต้องกลับ ตุ่นเดินมาส่งเราที่รถพี่ลิค โดยที่ไม่ลืมที่จะเอามือขยี้ผมเรา พร้อมทั้งบอกให้เราโชคดี ซึ่งเรียกเอาเสียงโห่จากเพื่อน ๆ เราได้อีกครั้ง
   หลังจากที่เรากลับมาสนิท ใกล้ชิดกับตุ่นอีกครั้ง เรายับยั้งใจของเราไม่ได้อีกแล้ว ยิ่งนานวันเข้าเรายิ่งอยากที่จะบอกความในใจของเขา ยิ่งหลายครั้งที่ได้พูดคุยกัน เราถามตุ่นบ่อยครั้งว่าเขาจะมีความรักใหม่อีกหรือไม่ เขาจะมีชีวิตครอบครัวใหม่อีกหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้รับมาจากตุ่น คือ ไม่ อยู่คนเดียวดีกว่า  ยิ่งทำให้เรามั่นใจที่เอ่ยปากบอกความในใจของเขา  ถึงแม้ว่าคำตอบที่เราจะได้รับนั้นจะเป็นคำปฏิเสธก็ตาม เราคิดว่าเราพร้อมแล้วสำหรับการรอคอยที่ผ่านมานานแสนนาน ถ้าเราไม่ได้บอกออกไป เราคงต้องอึดอัดตายแน่ ๆ ดังนั้นเมื่อเรารวบรวมเอาความกล้าของเราได้แล้ว เราจึงนัดกับตุ่นที่จะไปดื่มด้วยกันในค่ำคืนวันหนึ่ง เราบรรจงแต่งตัวในชุดที่คิดว่าตุ่นเห็นแล้วตุ่นจะต้องประทับใจ เราคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง โดยที่ใจหนึ่งบอกเราให้เราคิดแค่เพียงว่าการเป็นอยู่ในทุกวันนี้ทำให้เรามีความสุขดีอยู่แล้ว แต่อีกใจหนึ่งบอกให้เราบอกความรู้สึกของเราไป เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสได้บอกหากเกิดอะไรขึ้น เมื่อเรามั่นใจแล้วว่าเราตัดสินใจถูกต้องแล้ว เราจึงได้ขี่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพของเราไปยังจุดหมายที่ได้นัดกับตุ่นเอาไว้ เราคิดไว้ว่าถ้าความกล้าของเราไม่เต็มร้อย เราคงต้องพึ่งเอาฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เข้าช่วย เราขับรถไปได้ครึ่งทางทันใดนั้นเรารู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ ตัวสั่น มือไม้สั่น เราไม่สามารถขับรถมอเตอร์ไซค์ของเราอีกต่อไปได้ เราจึงแวะเอารถของเราเข้าไปจอดที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
   “พี่เกศ มารับเก่งหน่อย” เราพูดผ่านโทรศัพท์เมื่อปลายสายที่เราโทรหารับสาย
   “เป็นอะไรเหรอเก่ง” พี่เกศลูกพี่ลูกน้องที่พักอยู่ด้วยกันกับเราพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
   “ไม่รู้ เก่งรู้สึกหนาวมาก สั่นไปทั้งตัวแล้ว ขับรถไม่ไหวแล้ว” เราพูดไปด้วยน้ำเสียงสั่น เราพยายามบอกสถานที่ที่เรารอให้ลูกพี่ลูกน้องของเรามารับ เพื่อพาเราไปส่งโรงพยาบาล เรารู้สึกได้ว่าเป็นสิ่งผิดปกติที่ไม่ควรจะปล่อยเอาไว้ เมื่อพี่เกศมารับเราไปส่งที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลแจ้งทันทีว่าต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการต่อไป เราไม่มีโอกาสได้ถามกับพยาบาลว่าเราป่วยเป็นอะไร ทำไมมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันนัก พยาบาลก็ได้ขอตัวออกไปจากห้องตรวจ พี่เกศโทรไปบอกแม่ของเรา แม่มาถึงโรงพยาบาลในคืนวันนั้น โดยที่ไม่รีรออะไร เรานอนอยู่บนเตียงในขณะที่แม่ของเรามาถึง
   “แม่มาแล้ว ไม่เป็นไรนะ แม่มาแล้ว” ประโยคแรกที่แม่พูดขึ้นเมื่อมาถึงเตียงที่เรานอนอยู่ โดยที่แม่ยกมือขึ้นลูบหัวเราเบา ๆ ไปด้วย เรายกมือขึ้นไหว้แม่
   “พ่อไม่มาเหรอแม่” เราถาม
   “พ่อไม่มาหรอกลูก แค่พ่อรู้ว่าเก่งเข้าโรงพยาบาลพ่อก็น้ำตาตกแล้วลูก” แม่บอก
   “ครับแม่ เก่งเข้าใจ” เราตอบแม่กลับไป
   เราจะดูเหมือนเป็นปกติดีทุกอย่างถ้าอาการไข้ไม่กำเริบขึ้นมา เราสามารถพูดคุยหรือทำอะไรต่อมิอะไรได้ทุกอย่าง แต่เมื่ออาการกำเริบขึ้นมา เราแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราจะเกิดอาการหนาวสั่น หนาวจากภายในร่างกาย หนาวจนปวดกระดูก สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดอกของเราให้แน่นที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพียงเพื่อหวังว่าจะช่วยลดอาการหนาวนั้นได้ แต่แค่นั้นไม่สามารถที่จะทุเลาอาการหนาวสั่นของเราได้ เราหนาวสั่นจนเตียงที่นอนอยู่นั้นสั่นตามไปด้วย ในเมื่อเราช่วยเหลือตัวเราเองไม่ได้เลย หน้าที่นั้นจึงตกเป็นของหญิงชราที่ต้องมานั่งเฝ้าเราอยู่ข้างเตียง แม่เอาผ้าห่มที่ทางโรงพยาบาลให้มาห่มให้เรา แต่ผ้าแค่ผืนเดียวไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย แม่จึงต้องเดินตรงไปหาเคาน์เตอร์ของพยาบาลเพื่อขอผ้าห่มมาห่มให้ลูกของแม่ที่กำลังหนาวสั่น แต่ผ้าห่มที่ได้มาแค่นั้นไม่สามารถที่จะช่วยเราได้เลย สิ่งที่แม่เราทำให้กับเรานั้นเป็นสิ่งที่เราไม่คาดคิด เพราะแม่ซึ่งเป็นหญิงวัยชราที่ลำพังเดินเองก็แทบจะไม่ไหวแล้วนั้น แม่กลับค่อย ๆ ปีนขึ้นมาบนเตียงของเรา ขึ้นมานอนกกกอดเราเอาไว้เหมือนแม่ไก่กำลังกกไข่ แม่ขึ้นมานอนและกอดเราเอาไว้แน่น ปากก็คอยพูดปลอบเราตลอดเวลาว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร สิ่งที่แม่ทำนั้นอยู่ในสายตาของเราตลอด เรายังมีสติดี แต่เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเราได้แค่นั้นเอง และเมื่ออาการของเราดีขึ้น แม่จึงค่อย ๆ ปีนลงไปจากเตียงและนั่งเฝ้าดูอาการของเราอยู่ข้าง ๆ เตียงเหมือนเดิม แม่จะทำอย่างนี้ทุกครั้งที่อาการของเรากำเริบขึ้น สิ่งที่เราทำได้คือนอนร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของแม่ แม่คอยนั่งเฝ้าเราอยู่ไม่ห่าง แม้จะหลับแม่ก็ทำได้ดีที่สุดแค่การขดตัวหลับอยู่ใกล้ ๆ เตียงของเรา ไม่ได้นอนยืดตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้าน เรารู้สึกสงสารแม่จับใจ ทุกครั้งที่เรารู้สึกท้อ เรามักจะร้องไห้ออกมาเบา ๆ แต่เมื่อแม่เห็นแม่จะคอยเอามือของแม่มาจับมือของเราเอาไว้ มือที่หยาบกร้านเพราะต้องทำงานเลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัวมาทั้งชีวิต มือเหี่ยว ๆ ของหญิงชราที่ไม่เคยเจอโลชั่นบำรุงต่าง ๆ แต่มันกลับเป็นมือที่เราโหยหาที่สุดในตอนนั้น กำลังใจดี ๆ ได้มาจากมือคู่นี้นี่เอง ทุกครั้งที่เรามองดวงตาของแม่ ถึงแม้เราจะเห็นแววตาที่แข็งแกร่งของแม่ แต่เรารู้ดีว่าแม่กำลังเจ็บปวดไม่น้อย มันยิ่งทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก อีกอย่างที่แม่ทำให้เราต้องร้องไห้ออกมา นั่นคือทุกครั้งที่พยาบาลนำเอาอาหารมาส่ง แม่จะคอยป้อนให้เราเสมอ
   “อีกคำนะลูก” แม่คอยคะยั้นคะยอ
   “อีกคำนะ ไม่อยากกินก็ต้องกินนะ”
   “ไม่อยากจะเคี้ยวก็ต้องพยายามนะ ไม่กินข้าวเดี๋ยวจะไม่มีแรงนะ”
   “กินอีกคำนะลูก” เป็นประโยคที่แม่พูดทุกครั้งเมื่อป้อนข้าวให้กับเรา ตัวเราเองนั้นแทบไม่อยากที่จะกินข้าวด้วยเพราะพิษไข้ แต่เราเองก็ยังฝืนกินเข้าไปเพื่อเป็นกำลังใจให้กับแม่ที่คอยนั่งป้อนข้าวให้กับเรา
   เราต้องนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน โดยที่ทุกวันเราต้องนอนให้น้ำเกลือไปด้วยและทุก ๆ วันจะต้องมีการฉีดยาให้กับเราวันละสองเข็มเป็นอย่างน้อย ตั้งแต่วันเข้าโรงพยาบาลจนถึงวันออกโรงพยาบาลเราไม่สามารถนับได้ว่าต้องรับน้ำเกลือไปกี่ขวด โดนฉีดยาไปกี่เข็ม แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงเราไม่เคยรู้สึกท้อ เพราะทุกครั้งที่มองไปยังหญิงชราที่คอยนั่งสัปหงกอยู่ข้างเตียงของเราไม่เคยห่างหายไปไหน เรามีกำลังใจสู้ขึ้นมาก เพราะถ้าเราเองรู้สึกท้อ ไม่สู้ แล้วกำลังใจของแม่จะมีเหลือได้ยังไง
   ตลอดเวลาที่เราเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเราไม่รู้ว่าตุ่นโทรหาเราเพราะเราผิดนัดในวันนั้นหรือเปล่า เพราะว่าพี่สะใภ้ของเราที่มาเฝ้าเราพร้อมกับแม่ เอาซิมโทรศัพท์ของเขาที่แบตเตอร์รี่หมดมาใส่โทรศัพท์เราแทน แต่ในตอนนั้นเราเองไม่ได้คิดถึงตุ่นมากนักเพราะเรากำลังมีความสุขอยู่กับความรักของแม่ที่แม่ให้เราตลอดเวลาที่เราอยู่โรงพยาบาล ความรักที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่ที่เราแทบจะไม่เคยได้คิดถึง ความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่ที่เราแทบจะไม่เคยเห็นค่า จนเมื่อเราต้องตกอยู่ในสภาพที่หมดหนทาง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เราจึงได้เห็นค่า
   จนอาการป่วยของเราดีขึ้น เรารู้จากหมอมาตลอดว่าที่เราป่วยนั้นเป็นเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด ก่อนวันที่เราจะออกจากโรงพยาบาล พยาบาลได้มาบอกให้เราไปพบคุณหมอที่ห้องทำงาน
   “ทำไมต้องไปพบคุณหมอก่อนละครับ” เราถามพยาบาลที่มาบอกให้เราไปพบหมอเจ้าของไข้ของเรา
   “เชิญเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณหมอจะเป็นคนบอกเองค่ะ” พยาบาลคนดังกล่าวพูด แต่เมื่อเราไปถึงห้องที่พยาบาลบอก กลับไม่ใช่หมอเจ้าของไข้ของเรา กลับกลายเป็นเราได้ไปพบกับจิตแพทย์แทน
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 10-07-2010 14:56:07
เก่งจะเป็นอะไรมากไปกว่านี้หรือเปล่า  แล้วตุ่นอะ คนนอนโรงพยาบาลตั้งหลายวันไม่รู้เรื่องเลยเหรอ น่าผิดหวังจริงๆ
อีกอย่างอ่านตอนนี้แล้ว คิดถึงแม่จับใจเลย
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 10-07-2010 17:53:11
ทำไมต้องพบจิตแพทย์หละ ...รอตอนต่อๆไปหวังว่าเก่งคงไม่เป็นอะไรนะ เป็นกำลังใจให้จ้า...
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 10-07-2010 23:48:47
ใกล้จบแล้วครับ
บทสรุปของความรักของเก่ง
บทสรุปของชีวิตของเก่ง
เก่งและ duckhero มาขอกำลังใจครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 10-07-2010 23:58:31
ใกล้จบแล้วครับ
บทสรุปของความรักของเก่ง
บทสรุปของชีวิตของเก่ง
เก่งและ duckhero มาขอกำลังใจครับ

 :L2: :L2: :L2:

กำลังใจครับ
เก่ง และ duckhero


แอบมีความหวังในตอนจบ ว่า...
เรื่องราวที่ผ่านมาของคนสองคนตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย
อย่างน้อย เก่งน่าจะได้รับคำตอบจากตุ่น
และจะไม่สนใจเลยว่า yes หรือ no
ขอแค่ชัดเจนในความรู้สึกที่มีต่อกัน

-- เท่านั้น..ก็พอ --
 :pig4:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 11-07-2010 00:07:43
ลุ้นกับตอนจบน่าดูเลยว่าเรื่องจะจบในแนวไหน จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

เอาใจช่วยค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 11-07-2010 04:13:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: StillLoveThem ที่ 11-07-2010 15:41:16
...พึ่งเข้ามาอ่านก็จะจบซะแล้ว ไม่ว่าจะจบสวยไม่สวย เก่งก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตให้ดีต่อไป
...จริงๆๆน่าเห็นใจทั้งสองคน ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก แต่ละคนมีเหตุผลของตัวเอง
...ตุ่น  รักเก่ง นะ แต่..แคร์สังคม แคร์คนรอบข้าง พยายามปกปิด ซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเอง
...พยายามจะทำให้เหมือนกับผู้ชายปกติตามมาตรฐานของสังคมที่ต้องรักผู้หญิง แต่งงานกับผู้หญิง
...จนลืมไปว่าจิตใจจริงๆๆต้องการอะไร...ทำให้ชีวิตรัก กับผู้หญิง ไม่สมหวังสักครั้ง
...เก่ง รักแท้ รักจริง มีความอดทนสูงมากๆ แต่มันก็ทำให้เก่งมีความสุข ที่ได้ทำ อย่างน้อยสุขก็น่าจะมากกว่าทุกข์
...สุดท้ายพี่ก็ไม่รู้ว่ารักครั้งนี้ของเก่งสมหวังหรือเปล่านะ แต่อยากบอกว่าอย่าเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำให้กับตุ่นในทุกๆๆเรื่อง
...+1เป็นกำลังใจให้ รออ่านตอนต่อๆไปอยู่นะ :L2:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 12-07-2010 10:31:22
 :z13:รอจ้า
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 12-07-2010 12:44:45
เก่งหายแล้วสู้ๆนะ ไม่เข้าใจว่าทำมัยต้องให้เก่งไปพบจิตแพทย์ด้วยเราว่าอย่างนี้มันต้องมีเรื่องร้ายๆหรือเปล่า อย่าเลยนะสงสารเก่งง่ะ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 13-07-2010 20:06:34
เพิ่งได้เข้ามาอ่านครับ ปรากฏว่าอ่านรวดเดียวจบ อยากบอกว่าชอบมากๆๆๆๆ ได้บวกให้แล้วครับ เฮ้อออออย่าจบเศร้าเลยนะครับมันบาดหัวใจ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 13-07-2010 20:26:08
เก่งสู้ๆ น๊าาาา
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง" ตอน"เต็มใจพูด เต็มใจฟัง"
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 15-07-2010 02:40:03
ต้องขอโทษนักอ่านหลายคนที่รออ่านนะครับ
duckhero เรียบเรียงหลายรอบมาก
ไม่รู้จะบอกคนอ่านว่ายังไงดี
เพราะเห็นหลายคนเป็นกำลังใจให้เก่งกัน
แต่ duckhero ต้องซื่อสัตย์กับคนอ่านครับ
จึงได้บทส่งท้ายออกมาแบบนี้ครับ
ฝากติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนจบครับ
 :L1:  :L2:
เปิดปาก (บทสรุปส่งท้าย)
   หลังจากออกจากโรงพยาบาล เราไม่ได้กลับไปพักฟื้นอยู่ที่บ้าน เพราะอาการเราดีขึ้นมาก เราพักฟื้นอยู่ที่บ้านของน้าที่หาดใหญ่ บ้านที่เราพักอยู่ด้วยในตอนนั้น เมื่อกลับมาถึงบ้าน เรารีบเปิดโทรศัพท์และโทรไปหาตุ่นในทันที
   “เก่งหายไปไหนมา โทรศัพท์เป็นอะไรทำไมโทรไม่ติดเลย” ตุ่นพูด
   “เก่งไม่สบายนะ อยู่โรงพยาบาล” เราตอบ
   “แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า” ตุ่นถาม
   “ไม่เป็นอะไรแล้วละ” เราตอบ
   “แล้วนี่อยู่ไหน” ตุ่นถามเราต่อ
   “อยู่ที่บ้านแล้วละ” เราตอบ
   “งั้นเดี๋ยวตุ่นไปเยี่ยมนะ” ตุ่นพูด
   “ไม่เป็นไรหรอก เก่งสบายดีขึ้นมากแล้วครับ” เราตอบ
   เราพักฟื้นอยู่ที่บ้านโดยที่ไม่ต้องไปทำงาน เพราะทางเจ้านายอนุญาตให้เราได้ลางานได้ยาวตามที่ต้องการ หรือจนกว่าเราจะแข็งแรงโดยที่เรายังคงได้รับเงินเดือนครบทุกบาท ทุกสตางค์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเป็นปลื้มมากในหลาย ๆ อย่างตั้งแต่เราได้ทำงานอยู่ที่นี่ เรารู้สึกดีขึ้นทั้งร่างกายและสภาพจิตใจ แต่สิ่งที่ยังคงรบกวนใจของเราอยู่ไม่เป็นเพียงเรื่องของตุ่น แต่กลับเป็นเรื่องที่เราคุยกับจิตแพทย์ เรารู้ดีว่าตอนนั้นหมอเขาไม่ได้พูดรายละเอียดอะไรมากนัก แต่สังเกตว่าหมอจะพูดวนอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เราฟังแล้วรู้สึกว่าเราเป็นกังวลยิ่งนัก แต่เรายังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมากนัก เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เราต้องเข้าโรงพยาบาลไปอีกครั้ง ด้วยอาการปวดท้องอย่างกะทันหัน เราปวดท้องมาก จนต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง เมื่อไปถึงโรงพยาบาลหมอตรวจดูอาการ และบอกเราว่าเราอาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งถ้ารุนแรงก็ต้องทำการผ่าตัด แต่ในขณะนั้นเราเป็น ๆ หาย ๆ หมอเลยตรวจปัสสาวะ และเจาะเลือดไปตรวจ แต่หมอบอกว่าผลที่ได้ไม่บ่งบอกว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ จึงต้องเป็นอีกครั้งที่เราต้องนอนเฝ้าสังเกตอาการอยู่ในโรงพยาบาล และเป็นอีกครั้งที่แม่และพี่สะใภ้ของเราต้องมาเฝ้าเราที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้ง ในระยะเวลาที่ห่างกันไม่เกินสองอาทิตย์  เรานอนปวดท้องอยู่ตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงเที่ยงคืน หมอตรวจเราไปหลายรอบ แต่ยังคงพูดเป็นประโยคเดิมว่า ผลที่ได้ไม่ได้บอกว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ในตอนนั้นเราปวดมากจนแทบจะทนไม่ได้ ปวดจนแทบจะขาดใจ เราจึงบอกหมอให้ทำอะไรสักอย่าง จะผ่าตัดก็ผ่า หมอหายไปจากเตียงของเราพักใหญ่ จึงมีนางพยาบาลเดินมาแจ้งให้เรารู้ว่าหมอสรุปว่าให้เราผ่าตัดทันที เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงที่เราเข้าไปสลบอยู่ในห้องผ่าตัด แม่ของเรายังคงนั่งเฝ้าเราอยู่ที่หน้าห้องโดยที่ไม่ได้ลุกไปไหน ที่เรารู้เพราะมีนางพยาบาลมากล่าวชมแม่ของเราให้เราฟังหลังจากที่เราผ่าตัดเสร็จแล้ว เราผ่าตัดไส้ติ่งไปโดยที่หมอเองยังไม่ได้สรุปว่าเราเป็นไส้ติ่งด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายในขณะที่ผ่าตัดอยู่นั้นไส้ติ่งเราแตกพอดี หลังจากที่เราพักฟื้นจากการผ่าตัดไปได้เพียงสองวัน เราได้คุยกับคุณหมอคนเดิมอีกครั้ง และในการได้เจอกันในครั้งนี้เป็นการเจอที่ทำให้ชีวิตของเราจบสิ้นลงในทันที
   เราไม่ได้พูดคุยกับตุ่นมากนักหลังจากออกมาพักฟื้นหลังจากผ่าตัด ไม่เพียงแต่กับตุ่น แทบกับทุกคนที่เราไม่ได้คุยด้วย เพราะเรามีสิ่งที่เราจะต้องคิด น้าของเราที่เราอยู่ด้วยเป็นคนที่สังเกตเห็นสิ่งเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเรา น้าพยายามที่จะซักถาม พูดคุยกับเรา แต่เรายังคงไม่ปริปากบอกในสิ่งที่เราคิดและเป็นกังวลอยู่ให้น้าของเราได้รับรู้ เพราะเกรงว่าน้าของเราจะต้องเป็นทุกข์ไปด้วยอีกคน แต่สุดท้ายน้าของเราได้โทรไปคุยกับพี่ชายของเราเพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรามากในตอนนั้น พี่ชายของเราที่เราแทบจะไม่สนิทกันเลย จึงเป็นคนที่ทำให้เราได้เปิดปากพูดคุยออกมา เรารู้ว่าพี่ชายของเราตกใจและเจ็บปวดไม่แพ้เรา แต่สิ่งที่พี่ชายของเราทำให้เราในตอนนั้นคือให้กำลังใจเรา และทำให้พ่อ แม่ และน้าของเราได้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกคนเข้าใจเราเป็นอย่างดี ไม่มีใครรังเกียจเรา มีแต่ให้กำลังใจเรา
   ในตอนนั้นเรารู้ดีว่าเราแย่ทั้งสุขภาพจิต และสุขภาพกาย เราทำได้ดีที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงผู้คน ไม่ยอมเจอหน้าใคร เราได้แต่นอนร้องไห้ให้เวลาหมดไปวัน ๆ จนเรามีโอกาสได้เห็นน้ำตาของน้าของเราที่เป็นทุกข์ไปกับเราด้วย น้ำตาของน้าทำให้เราคิดได้ว่าถ้าเรายังคงเป็นแบบนี้อยู่ เราอยู่ในสภาพที่เหมือนคนตาย ไม่มีรอยยิ้ม มีแต่คราบน้ำตา คนรอบข้างของเราก็จะเป็นอย่างเราเช่นกัน แต่ถ้าเราทำให้พวกเขาเห็นว่าเราสู้ พวกเขาก็จะได้สบายใจและสู้ไปกับเราด้วย ดังนั้นเราจึงเลิกที่จะร้องไห้ หลบหลีกสายตาผู้คน เลิกที่จะนอนอยู่แต่ในห้อง ก้าวเท้าออกมาสู้ และเรื่องแรกที่เราอยากจะทำในตอนนั้นคือสิ่งที่เราได้ทำค้างเอาไว้ตั้งแต่การเข้าโรงพยาบาลครั้งก่อน
   เราขับรถมอเตอร์ไซค์ของเราไปหาตุ่นในตอนเย็นวันหนึ่ง เราไปเจอตุ่นตามที่เราคาดหมายเอาไว้ว่าเขาจะต้องมานั่งอยู่ที่บ้านที่อยู่ใจกลางเมืองของเขาแน่ เราเห็นตุ่นนั่งดื่มเบียร์อยู่เพียงคนเดียวที่หน้าบ้านของเขา
   “ไม่เหงาเหรอ นั่งดื่มคนเดียวนะ” เราทักทาย
   “อ้าวเก่ง เป็นไงบ้าง ทำไมหายไปเลยละ เงียบไม่ส่งข่าวกันเลย” ตุ่นพูดออกมายาวเหยียด
   “จะให้เก่งตอบคำถามไหนก่อนละ” เราแหย่ไป
   “ไม่ต้องตอบแล้ว เจอตัวแล้วนี่” ตุ่นพูดพร้อมกับยกแก้วเบียร์ชูขึ้นเหมือนกับต้องการชวนเราให้ดื่ม
   “เก่งไม่ดื่มแล้วละ” เราตอบ
   “เออ ว่าแต่ทำไมเก่งผอมอย่างนี้ละ ผอมมากเลยนะ” ตุ่นเอ่ยถาม เรายังไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ตุ่นกลับพูดขึ้นมาอีกว่า
   “หรือกินยาลดความอ้วนรึเปล่าเนี่ย”
   “จะบ้าเหรอ เก่งไม่ได้อ้วนซักหน่อย แล้วจะกินยาลดความอ้วนให้ผอมทำไมกันละ” เราตอบ
   “มา มา มานั่งกินอะไรกันตรงนี้ดีกว่า” ตุ่นพูดพร้อมกับชี้ไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ให้เรานั่ง เรานั่งลงมองหน้าและแอบมองสายตาของตุ่น ทันใดนั้นน้ำตาของเราเอ่อออกมา เราจึงต้องหลบสายตามองไปทางด้านอื่นก่อนที่ตุ่นจะสังเกตเห็น
   “แล้วนี่ไม่สบายมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ขอโทษที่ตุ่นไม่เคยได้ไปเยี่ยมนะ” ตุ่นพูด
   “ไม่เป็นไรหรอก จะไปทำไมโรงพยาบาล ไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์สักหน่อย” เราตอบ
   เราพูดคุยกับตุ่นอีกไม่นาน มันทำให้เราได้กำลังใจกลับมาไม่น้อย แต่เราต้องตัดใจเพื่อที่จะขอตัวกลับบ้าน เพราะถ้าเราอยู่ต่อไป เราคงต้องร้องไห้ออกมาต่อหน้าตุ่นแน่ และที่สำคัญเรารู้ว่าสิ่งที่เราตั้งใจจะมาบอกตุ่นนั้น เราพูดมันออกไปไม่ได้ โดยที่เราไม่ลืมที่จะบอกตุ่นว่าช่วงนี้เราอาจจะไม่ได้ออกไปไหนกับเขาบ่อยนัก เพราะว่าเราต้องพักรักษาตัวเราให้ดีขึ้นก่อน ตุ่นเองไม่ได้ว่าอะไร แค่เพียงบอกว่า ถ้าอยากได้อะไรให้บอก ถ้าไม่หนักหนาจนเกินไปเขาจะหาไปให้ที่บ้านของเรา
   เราขาดการติดต่อกับเพื่อน กับตุ่น แต่เราไม่ได้หายไปจากชีวิตของพวกเขา ไม่พวกเขาก็จะเป็นเราที่คอยโทรฯ พูดคุยกัน แต่เราจะออกไปพบพวกเขานั้นน้อยนัก เพราะเราอยากที่จะพักผ่อน ดูแลสุขภาพของตัวเราเองให้ดีขึ้นให้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วความรู้สึกที่เรามีต่อตุ่นมาหลายปีนัก กับกระตุ้นให้เราอยากจะออกไปหาเขา ออกไปบอกกับเขา ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสที่จะได้ทำมัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นอีกครั้งที่เรานัดกับตุ่น คราวนี้เราโทรไปชวนตุ่นให้ออกไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารที่เราไปด้วยกันบ่อย ๆ ตุ่นเองตอบตกลงในทันใด เราไปพบกับตุ่นที่หน้าร้านที่เรานัดกันเอาไว้ ตุ่นเดินเข้ามาทักทายเราด้วยการเอามือมาขยี้ผมของเรา เราไม่รู้ว่าตุ่นจะเอะใจบ้างหรือไม่ว่าวันนี้จะเป็นวันที่เราจะสารภาพทุกอย่างกับเขา แต่เมื่อดูจากอาการที่เขามาทักทายเรา อีกทั้งเดินกอดไหล่เราเข้าไปหาโต๊ะนั่งในร้านอาหาร เราคิดว่าเขาคงไม่เอะใจอะไรอย่างแน่นอน
   “ไหนบอกมีเรื่องสำคัญอะไรเหรอ” ตุ่นถามเมื่อเราสั่งอาหารกันเสร็จ
   “จะรีบไปไหนละ คุยกันไปเรื่อย ๆ ก็ได้” เราตอบ
   “อ้าว ก็เห็นว่าเรื่องสำคัญ” ตุ่นแย้ง
   “เรื่องสำคัญ เดี๋ยวเอาไว้คุยตอนหลัง” เราตอบ
   เราพูดคุยกับตุ่นไปเรื่อย ๆ โดยจะเลี่ยงเรื่องสำคัญที่เราอยากเก็บเอาไว้พูดตอนหลังสุด เพราะเราเกรงว่าถ้าเราพูดออกไป เราอาจจะหมดโอกาสที่จะได้เก็บเอาความสุขในวันนี้กลับไปมีความสุขต่อได้ เพราะฉะนั้นเราจึงอยากเก็บเกี่ยวเอาความสุขตรงหน้าให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ จนถึงเวลาสำคัญ เวลาที่เราต้องเปิดปากพูดสิ่งที่เราอยากพูดออกมา
   “ตุ่น” เราเรียกในขณะที่ตุ่นยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม
   “อะไรเหรอ” ตุ่นถาม
   “ไม่เจอกันนาน มีแฟนแล้วยังละ” เราถาม
   “ไม่มี ก็บอกแล้วว่าไม่หาแล้ว” ตุ่นตอบ
   “ไม่คิดจะแต่งงานแล้วเหรอ” เราถาม
   “ไม่แล้วละ อยู่อย่างนี้ดีกว่า” ตุ่นตอบ
   “แล้วแก่ตัวไปใครจะดูแลละ” เราถาม
   “ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่คิด” ตุ่นตอบ
   “ตุ่น” เราเรียกแล้วก็เงียบ
   “ว่ามา” ตุ่นพูด
   “ถึงเรื่องสำคัญแล้วละ” เราบอก
   “อ้าว คิดว่าจะไม่พูดซะแล้ว” ตุ่นพูด
   “พูดสิ ว่าแต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง เก่งขอให้ตุ่นฟังเก่งให้จบได้ไหม” เราเอ่ย
   “เก่งจะพูดอะไรกันแน่” ตุ่นถาม
   “รับปากเก่งไหมละ” เราถามย้ำ
   “ได้สิ ทำไมตุ่นถึงจะฟังให้จบไม่ได้” ตุ่นตอบมีสีหน้าจริงจังมากขึ้น เราเงียบไปนานเพราะเรากำลังรวบรวมเอาความกล้าที่เรามี เราคิดว่าในตอนนั้นเราคงรวบรวมเอาความกล้าที่เรามีทั้งหมดในชีวิตมาใช้ก็ว่าได้
   “ตุ่นรู้ใช่ไหมว่าที่ผ่านมาเก่งคิดยังไงกับตุ่น” นี่คือประโยคที่เราเริ่มพูดออกไปได้ เราทำได้ดีที่สุดแค่เพียงนี้
   “อืมม รู้สิ” ตุ่นตอบหน้าตาเฉย
   “รู้ว่าอะไร” เราถาม
   “เก่งก็พูดมาสิ” ตุ่นพูด เรารู้สึกใจหายนิดหน่อย แต่เรายังคงพูดต่อ
   “เก่งยอมรับว่าที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกัน เก่งชอบตุ่น เก่งรักตุ่นมาตลอด” ทันทีที่เราพูดประโยคนี้จบเรารู้สึกว่าเราโล่งมาก รู้สึกว่าตัวของเราเบาหวิวเหมือนกับไม่มีมวลใด ๆ ในร่างกายของเรา เราพร้อมที่จะฟังคำตอบของตุ่น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ขอแค่ตุ่นอย่าเงียบ ขอให้เขาได้พูดออกมา
   “แต่เก่งไม่ได้หวังว่าตุ่นจะคิดแบบเดียวกับเก่งหรอกนะ” เรารีบออกตัว ในตอนนั้นไม่เพียงตุ่นจะเงียบแต่กลับมองหน้าของเรา ทำให้เรารู้สึกใจหายเพิ่มมากขึ้น เริ่มชั่งใจที่จะกล้าพูดออกไปต่อไปหรือไม่ แต่ในเมื่อเราเริ่มแล้ว เราควรจะต่อให้มันจบ ถึงแม้ว่ามันจะจบไม่สวยก็ตาม
   “เก่งไม่ถามนะว่าตุ่นคิดยังไง แต่ขอให้เก่งได้บอกตุ่นก็พอแล้ว” เรายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ขาด ๆ หาย ๆ
   “หลังจากเก่งไม่สบาย เก่งคิดหนักว่าถ้าเกิดเก่งไม่มีโอกาสได้พูด เก่งคงจะไม่มีความสุข เก่งเลยขอที่จะได้พูดออกไป ตุ่นคงไม่ว่าอะไรเก่งนะ” เราพูดเป็นการปิดท้ายพร้อมกับก้มลงมองมือของเราเองที่ตอนนั้นมือทั้งสองข้างบิดกันไปบิดกันมาจนมือของเราเริ่มจะแดง
   “ในตอนแรกเก่งไม่ได้คิดที่จะบอกกับตุ่นหรอก เพราะเก่งพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เก่งกับตุ่นยังคงได้เจอกัน กินข้าวด้วยกัน ดื่มด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน แค่นี้เก่งก็มีความสุขมากแล้ว แต่เก่งกลัวว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันจะไม่มีอีกหลังจากที่เก่งไม่สบาย เก่งจึงตัดสินใจที่จะบอกกับตุ่น” เราพูดยาว แต่ตุ่นยังคงเงียบเฉย ความเงียบเข้าปกคลุมที่โต๊ะของเราทั้งสองคน ทั้ง ๆ ที่ทางร้านดีเจยังคงเปิดเพลงดังกระหึ่ม ในสมองของเรากำลังคิดว่าเราจะนั่งต่อไปอย่างเงียบ ๆ หรือชวนตุ่นคุยเรื่องอื่นดี หรือเราควรจะลุกออกไปจากตรงนั้น แต่ในขณะที่เรากำลังคิด ตุ่นกลับพูดออกมาว่า
   “ตุ่นเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกของตุ่นมันคืออะไรนะเก่ง ตุ่นรู้สึกได้ว่าตุ่นมีความรู้สึกอะไรบางอย่างกับเก่ง ความรู้สึกที่มากกว่าเพื่อน แต่จะใช่ความรู้สึกรักแบบที่หนุ่มสาวรักกันหรือไม่ ตุ่นไม่รู้ แต่ตุ่นรู้แค่เพียงว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนที่ตุ่นรู้สึกกับไอ้โต ไอ้สมเกียรติ ไอ้สมคิด กับเก่งมันพิเศษกว่านั้น” ตุ่นหยุดพูดและเงียบ เราเองจากที่นั่งก้มหน้าถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองหน้าตุ่นด้วยน้ำตาที่เอ่อท้น
   “เก่งคงจำได้ว่าตุ่นเคยมีแฟนสมัยเรียน และตุ่นเคยแต่งงาน ตุ่นคิดว่ามันจะทำให้ตุ่นลบเอาความรู้สึกของตุ่นไปได้ แต่สุดท้ายเก่งก็เห็นผลของมันแล้วว่าตุ่นทำไม่ได้ และกับเก่งเองก็เช่นกัน เก่งจำได้ไหม คืนที่เราเมาด้วยกันตุ่นลองดูว่าถ้าให้เก่งทำอย่างนั้น ตุ่นจะรู้สึกอะไรรึเปล่า แต่ตุ่นก็ไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าที่รู้สึกอยู่คือเป็นห่วงเก่ง รักเก่ง แต่ความรู้สึกแบบนั้น เรื่องพวกนั้นมันไม่มี ตุ่นเองไม่รู้ว่าตุ่นเป็นอะไรกันแน่” ตุ่นพูดด้วยสีหน้าที่สลดลงไป เราเองยังคงเงียบต่อไป หลังจากที่ตุ่นยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มแบบรวดเดียวหมด ตุ่นจึงได้พูดต่อว่า
   “คืนนั้นที่ตุ่นตบหน้าเก่ง ตุ่นหวังอะไรเก่งรู้ไหม ตุ่นหวังให้เก่งเกลียดตุ่น เลิกรักตุ่นเสียที เพราะตุ่นคิดว่าหลังจากที่ตุ่นลองให้เก่งทำแบบนั้นแล้วนั้น ตุ่นคงจะมีความรู้สึกกับเก่งอย่างแฟนไม่ได้ ถ้าตุ่นทำให้เก่งโกรธ เกลียด เก่งอาจจะเลิกรักตุ่นไปได้ แต่ท้ายที่สุดเก่งไม่เคยที่จะโกรธตุ่นเลย” ตุ่นพูดจบโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าน้ำตาของเราได้ไหลออกมาตั้งแต่ตอนไหน
   “แต่เก่งรู้ไหม ตุ่นว่าเราอยู่อย่างทุกวันนี้ก็ดีนะ ถ้าแก่ตัวกันไปแล้วเรายังคบกันเหมือนทุกวันนี้ ตุ่นว่าเราคงจะดูแลกันและกันได้นะ” ตุ่นพูดประโยคนี้ทำให้เราถึงกับน้ำตาที่ไหลออกมาอยู่แล้วนั้นกลับไหลออกมาเพิ่มอีกอย่างไม่ขาดสาย
   ถ้าเราได้รับฟังสิ่งที่ตุ่นพูดออกมานี้ก่อนที่เราจะไม่สบาย เราคงจะดีใจเป็นอย่างมาก และมันคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้มากที่สุด ถึงแม้เรากับตุ่นจะไม่ได้คอยดูแลกันเหมือนคู่ชีวิตอื่น แต่มีโอกาสได้ดูแลกันและกัน ไปมาหาสู่กัน มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว แต่เรากลับมาได้รับฟังคำตอบนี้จากตุ่นในตอนนี้ เราดีใจมากก็จริงอยู่แต่มันกลับทำให้เราเศร้ามากด้วยเหมือนกัน
   “ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิตุ่น” เราพูดและเริ่มร้องโดยที่ไม่อายสายตาผู้คน
   “เก่ง อย่าร้องไห้สิ ทำไมมันจะไม่ได้ละ” ตุ่นพูด
   “เก่งกลัวเก่งจะอยู่ดูแลตุ่นไม่ได้นานอย่างนั้นนะสิ” เราพูด
   “ทำไมละเก่ง เกิดอะไรขึ้น” ตุ่นถาม
   เราทำได้แค่นั่งร้องไห้เงียบ ๆ เราไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้ง่ายนัก คราวนี้เราต้องเค้นเอาความกล้าที่เรามีมากกว่าตอนที่จะบอกรักตุ่นออกไป
   “ตุ่นรู้ไหมว่าเก่งเข้าโรงพยาบาลบ่อยเพราะอะไร” เราพูดพร้อมกับยังคงร้องไห้
   “เก่ง เก่งเป็นอะไร เก่งอย่าทำให้ตุ่นใจเสียสิ” ตุ่นพูด
   “เก่งเป็นเอดส์นะตุ่น” เราพูดสิ่งที่เราอยากพูดออกไปอย่างยากเย็น แต่สุดท้ายมันก็หลุดออกมาจากปากของเราจนได้ ในตอนนั้นเรากลัวมาก กลัวว่าตุ่นจะรังเกียจเราแต่เรากลับได้รับการสวมกอดจากตุ่นอย่างแนบแน่น ตุ่นเดินมาหาเราและกอดเราโดยที่ไม่อายสายตาผู้คน เรายังคงร้องไห้แต่เมื่อตุ่นกอดเราเรากลับร้องไห้หนักขึ้นไปอีก ทั้งเราและตุ่นไม่พูดอะไรกันอีก เราต่างฝ่ายต่างเงียบ สิ่งที่เราได้รับมันมีทั้งความสุขและความเจ็บปวด หัวใจของเราในตอนนั้นมันแทบจะระเบิด อกของเราแทบจะแตก เรามีความสุขเป็นอย่างมากแต่ความสุขของเรากลับมาพร้อมความทุกข์ ความเจ็บปวดเป็นที่สุด
หลังจากวันนั้นรู้สึกว่าตุ่นจะเอาใจใส่เรามากขึ้น แต่เรากลับรู้สึกว่าแทนที่เราจะมีความสุข เรากลับรู้สึกเจ็บปวด ทุกครั้งที่เราได้เห็นหน้าตุ่น ได้ยินเสียงตุ่น เรารู้สึกว่าเราผิดต่อตุ่นมากนัก เราจึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะก้าวออกมาจากชีวิตของตุ่น
“ตุ่นเก่งลาออกจากงานแล้วนะ” เราพูดกับตุ่นในวันหนึ่ง
“ลาออก ทำไมเหรอที่ทำงานมีปัญหากับสิ่งที่เก่งเป็นอยู่เหรอ” ตุ่นพูด
“เปล่า ไม่มีหรอก เจ้านายของเก่งใจดีมาก ให้โอกาสเก่งด้วยดีมาตลอด” เราตอบ
“แล้วเก่งลาออกทำไม” ตุ่นถาม
“เก่งอยากที่จะเปลี่ยนอะไร ๆ ในชีวิตของเก่ง เปลี่ยนไปจากจุดนี้ จุดที่เป็นอยู่” เราตอบ
“แล้วเก่งจะทำอะไร” ตุ่นถามต่อ
“เก่งว่าเก่งจะไปหางานทำที่กรุงเทพฯ” เราตอบ
“เก่งจะไปได้ยังไง เก่งไม่สบายนะ” ตุ่นพูด
“เก่งไปได้ เก่งสบายดีแล้ว” เราตอบ
“ตอนที่ตุ่นไม่ได้อยู่หาดใหญ่ เก่งกลับมาอยู่หาดใหญ่ พอตอนนี้ตุ่นอยู่หาดใหญ่แล้ว ทำไมเก่งต้องไปอยู่ที่อื่นด้วยละ” ตุ่นพูด
“เก่งต้องไปนะตุ่น ตุ่นเข้าใจเก่งนะ” เราพูด
และแล้วในท้ายที่สุดเราได้จากมา จากหัวใจของเรามา แต่เรากลับรู้สึกมีความสุข เราดีใจที่เราได้นำเอาคำว่า รัก ของเราออกมาใช้ ถึงแม้ว่าคำว่ารักของเราจะไม่ได้จบอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ดีใจที่เราได้ใช้และได้ให้กับตุ่นไป เราดีใจในสิ่งที่เราได้รับกลับมาจากตุ่น ถึงแม้เราและตุ่นจะไม่ได้อยู่ดูแลกันและกันในบั้นปลายของชีวิต แต่แค่ประโยคที่ตุ่นพูดออกมาก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว และนอกจากความรู้สึกที่เราได้รับกลับมาจากตุ่นแล้วนั้น ตอนนี้เราได้รู้จักค่าของคำว่ารักจากคนในครอบครัว สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเราเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดให้เราได้ต่อสู้กับชะตาชีวิตของเราได้อย่างง่ายดาย
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 15-07-2010 05:10:37
แหงะ เพิ่งเข้ามาตามอ่านก้อจบซะแระ แถมจบแบบนี้อีก ฆ่ารันเรยดีกว่ามะ สงสารเก่งงงงงงงงงงงงงงงง
ทำไมนะ คนดีๆอย่างเก่งถึงต้องเจอกับอะไรอย่างนี้
เชื่อแล้วว่า ความประมาทในชีวิตเพียงไม่กี่คราว อาจเปลี่ยนชีวิตคนเราได้จริงๆ
แต่ในความโชคร้าย ก้อยังพอจะมีสิ่งดีๆให้เห็น
ความรัก ความห่วงใยของคนในครอบครัวตลอดจน"เขาคนนั้น"
ยังทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเก่งมีกำลังใจพอที่จะยืนหยัด และเผชิญหน้ากับอนาคตที่กำลังจะมาถึงได้
สำหรับเก่ง นั่นคงเป็นความสวยงามของ"ความรัก"
ที่แม้หลายครั้งจะนำความผิดหวัง เจ็บปวด ทุกข์ใจมาให้
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในความปวดร้าวขมขื่น ยังคงแทรกซึมไปด้วยความสุข ความหวัง
ความรักจึงมีคุณค่าอยู่ในตัวมันเองเสมอ

เราเองในฐานะคนที่ได้รับการถ่ายทอดถึงเรื่องราวนี้ก็เช่นกัน
แม้จะปวดใจไปกับชะตาชีวิตของเก่ง แต่ก็ยังมีความอบอุ่นที่รับรู้ได้ในยามที่ได้อ่าน
ขอขอบคุณ คุณ DUCKHERO ที่ช่วยทำให้ได้รับรู้ถึงอีกหนึ่งความสวยงามของความรัก
ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 15-07-2010 11:34:59
ดูแลรักษาสุขภาพ...ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับเก่งค่ะ...นับถือในความรักของเก่งที่มีให้ตุ่นจริง ๆ  o13
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 15-07-2010 12:10:07
ใ้ห้กำลังใจนะคะ ไม่ว่าเราจะอยู่ณ จุดสูงสุดของชีวิตหรือจุดตกต่ำที่สุดในชีิวิต
คนที่รักเรามากที่สุดและยอมรับทุกสิ่งที่เราเป็นก็คือ ครอบครัว เก่งโชคดีมากๆนะคะ
ที่มีครอบครัวที่อบอุ่นขนาดนี้ เป็นกำลังใจเป็นทุกสิ่งที่อย่างยามที่เก่งท้อใจ
ถึงจะไม่สบายแต่ยังไงเราก็ต้องมีกำลังใจในการรักษาตัวนะคะอย่าพึ่งท้อนะคะ

สู้ๆคะ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 15-07-2010 12:27:06
เหงาๆ เศร้าๆ กับเรื่องรักที่รอคอยของเก่ง
รู้ว่าบทสรุปคงออกมาแบบเศร้า  แต่ก็ตามอ่านมาตลอด
มากกว่าเพื่อน  แต่ไม่ใช่คนรัก และไม่ใช่กิ๊ก
เป็นคนที่ผูกพันลึกซึ้งมากกว่านั้น  คือคำนิยามของตุ่นมั้ง

อีกหนึ่งเรื่องรัก ที่อ่านแล้วรู้สึกอินได้กับมันคะ

หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 15-07-2010 13:35:32
ขอบคุณสำหรับเรื่องสวยงามที่มอบให้ แม้จะจบแบบรัญทดแต่ก็ไม่สิ้นหวัง มาเยี่ยมเยือนบ่อยๆนะครับ
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 15-07-2010 15:08:42
บทสรุปของเรื่องทำเราอึ้งเลย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 15-07-2010 15:23:30
ถึงแม้จะจบลงด้วยความเศร้า แต่ก็ยังดีที่เก่งและตุ่นต่างมีโอกาสได้บอกความในใจให้กันและกันได้รับรู้
และจะอย่างไรก็ตาม ความรักก็เป็นสิ่งสวยงาม และทรงคุณค่าอยู่ในตัวเองเสมอ
และต้องโทษว่าสมัยโน้นยังไม่มีการตระหนักเรื่อง safe sex จึงทำให้เก่งโชคร้ายอ่ะนะ
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 15-07-2010 16:23:27
อ่านรวดเดียวจบ
และก็เจ็บปวดไปกับเก่ง
ตุ่น.............เห็นแก่ตัววะ
ไม่รู้ว่าเก่งทนรัก ไปได้ไง รักด้วยน้ำตาโดยแท้
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 15-07-2010 21:24:03
ตุ่นก็ยังไม่รู้ใจตัวเองอยู่ดีน่าจะบอกกันตั้งนานแล้วเก่งจะได้ตัดใจ สงสารเก่งเพราะมาเสียเวลากับคนที่ตัวเองรักและรักเขาข้างเดียวเจ็บอยู่คนเดียว
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-07-2010 21:50:42

 :L1:

รักที่บริสุทธิ์

มีความสวยงาม

อยู่ในตัวเอง..เสมอ


 :กอด1: ขอบคุณครับ +1 duckhero
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 15-07-2010 22:08:02
สุดท้าย คนที่เข้มแข็งกว่าใครๆ ก็คือ เก่ง
เก่งสมชื่อจริงๆ

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหงาแล้วก็เศร้าจริงๆ

ขอบคุณคนแต่งมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 16-07-2010 00:20:27
 :sad11:

 :monkeysad:

 :m15:

ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ duckhero ที่เป็นไรเตอร์
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กับเก่งครับ
แหะ แหะ duckhero เห็นแล้วอดเป็นปลื้มแทนเก่งไม่ได้เลยนะครับ
ขอบคุณทุกคนครับ
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: teen001 ที่ 16-07-2010 02:19:20
 :L2:
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 20-07-2010 21:52:29
จบแล้วนะครับ
คิดเห็นยังไง
มาเม้นต์กันนะครับ
อยากทราบความคิดเห็นครับ
ขอบคุณที่ติดตามกันตลอดครับ
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 20-07-2010 22:23:10
 :sad4:อ่านตอนจบแล้วหดหู่อะ สงสารเก่งที่ต้องโชคร้ายแบบนี้ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่ตุ่นรักเก่งจากใจจริงๆ โดยที่เป็นรักที่ไม่มีเรื่อง Sex มาเกี่ยวข้อง :sad4:

 :L2:มอบช่อดอกไม้ให้คนแต่ง ที่เขียนเรื่องได้โดนใจมากๆ เพราะการที่เราจะรักใครสักคนไม่จำเป็นที่ต้องได้รับรักตอบแทนหรือว่าต้องได้ครอบครองคนที่เรารัก:L2:
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 20-08-2010 19:35:00
ไม่อยากให้หลุดโผครับ
ผู้อ่านถึง 2 พันเมื่อไหร่
duckhero จะนำตอนพิเศษมาให้อ่านกันครับ
แต่ตอนนี้ขออุบไว้ก่อนนะครับ
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: StillLoveThem ที่ 21-08-2010 00:01:27
...อยากอ่านตอนพิเศษษษษษษ
...จริงๆถ้าปั้นปลายชีวิตได้อยู่ด้วยกันดูแลกันมันก็เป็น ความสุข ที่ทั้งสองคนได้รับ
...แต่เก่งก็เลือกที่จะ..หนี..แล้วไม่รู้ว่าเก่งมีความสุขหรือเปล่า
..ตุ่นก็รักเก่งนะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้รักแบบคนรัก แต่รักแบบเพื่อนมันก็นิรันดรได้นะ :L2:
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 21-08-2010 00:04:04
ห๊าาาาาาาาาาาา 2 พันเลยเหรอ  :z3:
แล้วอีกกี่วันละเนี่ย อยากอ่านตอนพิเศษด้วยคน  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหนูไฉไล ที่ 25-08-2010 16:18:03
อ่านเพลิน ๆ จนจบเลย

... เฮ้อ ความรักมันก็คือความรักล่ะเนอะ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแต่ความรักมันจะยังคงอยู่หากจิตใจของคน ๆ นั้นยังคงรับรู้ รู้สึก และสัมผัสได้

ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ความรักยังมีอีกหลายรูปแบบ ร่างกายที่ครบ 32 กับสิ่งมีชีวิตอีกหลายสิบล้านตัวที่มาขออาศัยร่างกายอยู่ก็ช่าง ๆ มันเหอะ กินยาอย่าได้ขาดยังไงก็ตายยากกว่ามะเร็งอีกนะ

/ คิด +
หัวข้อ: Re: บทสรุปส่งท้ายครับกับ "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง (จบแล้วครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: taem2love ที่ 25-08-2010 21:29:03
เศร้า...............คนดีๆอย่างหนูเก่งไม่น่าจะเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้เลย

ทามมายหนูไม่ป้องกันค่ะเนี่ย เฮ้อ........เจ้สงสารหนูจิงๆ

รักเขามาตั้งหลายปี เขาก็รู้สึกดีด้วย แต่ก็มาเจอเรื่องร้ายๆอีก

เป็นกำลังใจให้หนูเก่งค่ะ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 30-06-2012 00:22:56

อ๊าาากกกสสสสส์


ชอบมาก~


ทำไมเรื่องนี้ไม่ติดโผเรื่องดังบ้าง


ตุ่นคิดเหมือนเราเลย "รัก แต่ไม่ได้อยากมีเซ็กส์"


ใช่เลย เราอยากมีเพื่อนที่จะอยู่กับเราตลอดไป แต่ไม่อยากมีเซ็กส์อ่ะ


แต่ตอนจบมันไม่เคลียนะ


จะจบแบบออทั่มอินมายฮาร์ทก็ไม่ใช่




เหมือนมันยังหักมุมได้อยู่ หรือมันจบแล้ว หรือมันยังไม่จบ 


โอ้ยยยยยย~~~~


หักมุมกลับมาให้ดำได้ยิ้มทีจิ นะ นะ นะ นะ


---------------------------------------------------------------


ผมอ่านออฟไลน์นะ,  แต่นึกว่าจะมีอะไรมาหักมุมเพิ่มเติม เลยมาตามดู


แต่ก็ไม่มีอ่ะ... แงๆ :o12:




มันเกิน 2000 มาจะ 4 เท่าแล้วนะเฟ้ยยยยย ครับ~~~
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 04-11-2012 19:17:10
ต้องขอโทษที่ผิดคำสัญญาครับ ตอนนี้ว่างแล้ว ตอนพิเศษเสร็จแล้วคับ ขอกำลังใจด้วยครับ คงยังไม่ลืมเรื่องราวของเก่งนะคับ

ตอนพิเศษ ความรัก ความหวัง ความจริง

     "เก่ง มากินข้าวได้แล้ว" เสียงของชายหนุ่มร้องเรียกให้เก่งเดินตรงไปยังห้องครัวเล็กๆ สีขาว ที่ใจกลางของห้องมีโต๊ะเล็กๆ และเก้าอี้ 2 ตัววางอยู่ตรงกันข้ามกัน บนโต๊ะมีกับข้าวเพียง 2 อย่างที่กำลังส่งกลิ่นหอมและไอร้อนกำลังลอยขึ้นสู่เบื้องบน
     "คิดยังไงถึงทำกับข้าวให้เก่งทานละวันนี้" เก่งถามชายหนุ่มที่กำลังวุ่นอยู่กับการเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องครัวให้เข้าที่เข้าทาง
     "นั่งลง ไม่ต้องถามอะไรมากเลย" ชายหนุ่มวางทุกอย่างและเดินมานั่งตรงข้ามกับเก่ง
     "อยากไปไหนมั้ยวันนี้" ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับตักกับข้าวใส่จานให้เก่ง
     "ไปสวนสาธารณะกันมั้ย เก่งอยากไปนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ใต้เงาไม้" เก่งตอบ
     "ได้สิครับ แต่ก่อนอื่น เก่งจะต้องทานข้าวเยอะๆ นะครับ ไม่งั้นจะไม่พาไป" ชายหนุ่มยื่นข้อแม้ในการตอบรับคำขอของเก่ง
     "กับข้าวอร่อยอย่างนี้ เก่งจะทานให้หมดเลยครับ" เก่งตอบพร้อมกับตักอาหารทานอย่างฝืดคอเต็มที่ แต่ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายหมดกำลังใจที่ลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้ทาน เก่งจึงต้องฝืนทานต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ในการกลืนแต่ละครั้งมันทำให้เก่งแทบจะสำลักเอาอาหารออกมาก็ตาม

     อากาศยามสายในสวนสาธารณะเป็นอากาศที่ช่างสดใส สดชื่น ความโปร่ง โล่ง ทำให้เก่งหายใจได้อย่างเต็มปอด เก่งนั่งมองอีกฝ่ายกำลังจัดแจงปูผ้าใต้ต้นไม้ จัดแจงของกินเล่นที่จัดเตรียมกันมา เก่งมองภาพตรงหน้าด้วยน้ำตาที่เอ่อออกมาเพราะเป็นปลื้มกับสิ่งต่างๆ ที่ชายหนุ่มคนดังกล่าวคอยจัดเตรียม คอยดูแล ซึ่งเป็นสิ่งที่เก่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับ
     "เอ้า เรียบร้อยแล้วเก่ง เก่งมานั่งได้เลย" ชายหนุ่มร้องเรียกหลังจากจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
     "ขอบคุณคับ" เก่งเอ่ยในขณะที่นั่งลงข้างชายหนุ่มคนดังกล่าว
     "อยากทานอะไรมั้ย เดี๋ยวจัดให้" ชายหนุ่มเอ่ยถาม
     "ขอแค่น้ำเปล่าดีกว่าครับ" เก่งตอบในขณะที่หันมองบรรยากาศโดยรอบ
     "เหนื่อยไหม" เก่งเอ่ยถามอีกฝ่ายขณะที่รับเอาแก้วน้ำมา
     "ไม่เหนื่อยหรอกครับ" ชายหนุ่มตอบ
     "เก่งเหนื่อยรึเปล่า ถ้าเหนื่อยมานั่งพิงตุ่นดีกว่านะ"
     "เก่งขอนอนได้ไหม" เก่งถามออกไปสั้นๆ
     "มาสิ มานอนหนุนตักของตุ่นมา จะได้ไม่เมื่อย" ตุ่นตอบ
     "เดี๋ยวตุ่นก็เมื่อยหรอก" เก่งย้อน
     "แค่นี้เอง ตุ่นไม่เมื่อยหรอกครับ" ตุ่นตอบพร้อมกับเคาะเบาๆ ตรงตักตัวเอง
     เก่งค่อยๆ ล้มตัวลงนอนบนตักอันแสนจะอบอุ่น โดยที่เอามือมาวางไว้บนขาอีกข้างของตุ่น ตุ่นเองก็เอามือลูบผมของเก่งเบาๆ เก่งเงยหน้าขึ้นมองตุ่นที่กำลังมองมาที่เก่งเช่นกัน ความสุขใจทำให้เก่งหลับไปโดยไม่รู้ตัว


     "เก่ง เย็นนี้มากินข้าวด้วยกันนะ"
     "เก่ง เตรียมตัวพร้อมแล้วยัง เดี๋ยวไปเที่ยวกัน"
     "เก่ง อย่าดื่มมากสิ เดี๋ยวก็เมาแย่"
     "เก่ง กอดเอวไว้แน่นๆ นะ ถ้าไม่ไหวก็เอาหัวพิงไว้บนหลัง"
     "เก่ง สุขสันต์วันเกิดนะ เอ้า นี่ของขวัญ"
     เสียงที่ก้องดังอยู่ในจิตสำนึกของเก่ง เก่งรู้ดีว่าเป็นเสียงของใคร ทุกครั้งที่เก่งรับรู้ถึงเสียงนี้มันทำให้ใจของเก่งสดชื่นขึ้นมาได้เสมอ แต่เก่งกลับมองไม่เห็นเจ้าของของเสียง ไม่ว่าเก่งจะพยายามมองไปทุกที่ ทุกที่ที่เก่งมองไปกลับเห็นแต่ความมืดมิด อ้างว้าง และว่างเปล่า จะมีก็เพียงสัมผัสจากมือสองมือที่กุมมือของเก่งเอาไว้ ถึงแม้เก่งจะสัมผัสได้ว่ามือนั้นเป็นมือที่หยาบ แข็งและเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่ทุกครั้งที่มือนี้จับมามันทำให้เก่งรู้สึกอบอุ่น มีหวังและกำลังใจ
     เก่งไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเก่ง เก่งรู้แต่เพียงว่าเก่งไม่มีแรงที่จะขยับตัว ไม่มีเสียงที่จะพูด ไม่มีแรงแม้จะลืมตาขึ้นมา ทุกส่วนของร่างกายมันรู้สึกอ่อนแรง เจ็บปวดและแสนจะทรมาน เก่งรับรู้แต่เพียงว่าเก่งนอนอยู่บนเตียงเล็กๆ โดยที่มีแม่ พ่อ คนในครอบครัว รายร้อมอยู่
     "ที่นี่ที่ไหน เก่งมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" เก่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่มีเล็ดลอดออกมาจากปาก
     "โรงพยาบาลลูก ไม่ต้องกลัวนะ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวเก่งก็จะดีขึ้นแล้ว" เสียงอันสั่นเครือของแม่ที่เอ่ยปลอบใจเก่ง ทำให้เก่งรู้สึกงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
     "เก่งมาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วตุ่นหายไปไหน" เก่งถามแม่
     "ตุ่นไหนละลูก ใครคือตุ่น เก่งจำไม่ได้เหรอว่าเก่งไม่สบายมาก เก่งถึงกลับมาบ้าน" แม่ตอบ
     คำตอบของแม่ทำให้เก่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังดิ่งวูบเหมือนตกลงเหว แล้วความรู้สึกก่อนหน้านี้ ความสุข ความอบอุ่นที่ได้รับจากตุ่น มันคืออะไร เก่งยิ่งงงและสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เก่งเริ่มย้อนคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา ความจริงต่างๆ ค่อยปรากฏขึ้น ยิ่งความจริงยิ่งปรากฏขึ้นมันยิ่งเหมือนตัวเก่งกำลังลอยคว้างอยู่ในห้วงอวกาศที่แสนจะหนาวเหน็บ ความหนาวเหน็บรอบกายมันคอยกรีดรอยแผลที่แสนเจ็บปวดให้เก่ง เก่งถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เมื่อรับรู้ว่า ความสุข ความอบอุ่น ที่ได้รับจากตุ่น มันไม่ใช่ความจริง ร่างกายเก่งแทบจะไม่มีแรงที่จะขยับ สิ่งเดียวที่เก่งทำได้คือปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา เพื่อยอมรับกับความเป็นจริง ถึงแม้คนรอบข้างจะคอยกล่าวปลอบโยน แต่เก่งไม่สามารถรับรู้ได้ ความจริงที่เก่งรับรู้ว่ามันคงเป็นเพียงความฝัน มันทำให้เก่งเจ็บปวดมากกว่าความจริงที่ว่าเก่งกำลังจะตายหลายเท่านัก
     ถึงตอนนี้เก่งรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้น เก่งพร้อมที่จะสู้ แต่ร่างกายของเก่งเองเหมือนกำลังต่อต้าน เก่งไม่คาดหวังสิ่งใดอีกต่อไป เก่งพร้อมแล้วสำหรับทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เก่งยังคงชั่งใจว่าสิ่งสุดท้ายที่หวังไว้ว่าจะได้เจอหน้าตุ่นอีกครั้งนั้น เก่งควรจะเจอกับตุ่นอีกรึเปล่า เพราะในการเจอกันมันจะทำให้มีแต่ความเจ็บปวด ซึ่งไม่เพียงแค่ตัวเก่งเอง เก่งเชื่อว่าตุ่นเองก็จะต้องพบกับความเจ็บปวดเช่นกัน เพราะมันเป็นการพบกันที่ต้องจากกันไปตลอดกาล แต่ครั้นจะให้เก่งจากไปตลอดกาลโดยที่ไม่ได้เจอหน้าตุ่น เก่งเองก็คงจะเสียใจมากที่สุดในชีวิต ดังนั้นเก่งจึงขอให้พี่ชายของเก่งเป็นคนติดต่อไปหาตุ่นเพื่อแจ้งข่าวที่เกิดขึ้น ส่วนตุ่นจะมาหรือไม่มานั้นเก่งเองก็ต้องทำใจเผื่อเอาไว้
     "ติดต่อไม่ได้" คำตอบของพี่ชายทำให้เก่งอยากจะจากไปในตอนนั้นเลย
     "เดี๋ยวพี่จะลองโทรเรื่อยๆ แล้วกัน" พี่ชายให้กำลังใจเก่งด้วยการรับปากว่าจะทำให้ฝันของเก่งเป็นจริง
     นานวันร่างกายของเก่งแทบจะไม่มีแรงต่อสู้ ตอนนี้มีเพียงกำลังใจที่จะได้พบเจอหน้าตุ่นเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นที่ทำให้เก่งยังมีลมหายใจอยู่ต่อได้ แต่คำตอบที่เก่งได้จากพี่ชายคือยังติดต่อไม่ได้ เก่งจึงลองเอาเบอร์บ้านของตุ่นที่ทำให้เก่งได้เจอกับตุ่นอีกครั้งหลังจากเรียนจบ ซึ่งเก่งหวังว่าเบอร์นี้จะทำให้เก่งได้เจอกับตุ่นครั้งสุดท้ายของชีวิต

     เก่งเริ่มหมดหวัง หมดกำลังใจ ร่างกายก็หมดแรงสู้ เก่งโคม่าต้องเข้าไอซียูด้วยอาการปอดไม่ทำงาน จนถึงกับจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ญาติทุกคนทำใจยอมรับได้แล้ว มีเพียงเก่งที่ยังรอความฝันอันสุดท้าย หลังจากที่เก่งหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ เก่งรู้สึกถึงสัมผัสที่มาเกาะกุมมือของเก่ง ไม่ใช่มือที่หยาบและเหี่ยวย่นของแม่ เก่งพยายามที่จะลืมตาขึ้นมาดู แต่เหมือนดวงตามันหนักมาก มากจนเก่งเปิดตาไม่ได้ ทันใดนั้น เสียงที่เก่งได้ยิน ทำให้เก่งมีแรงเฮือกสุดท้าย เสียงของตุ่นทำให้เก่งลืมตาขึ้น ใบหน้ากลมๆ ของตุ่น มีรอยเหี่ยวย่นไม่เหมือนเมื่อก่อน สีหน้าอมทุกข์ กับผมทรงเดิมที่ไม่เปลี่ยน ภายใต้กรอบของแว่นตาทรงเดิมที่ตุ่นใส่มาตลอด มีน้ำตาไหล ปากก็เรียกชื่อเก่งอยู่ตลอด เก่งบีบมือตุ่นเบาๆ เท่าที่จะมีแรงทำได้ พร้อมกับรอยยิ้มแรกบนใบหน้า ตุ่นโน้มตัวลงไปกอดเก่งในทันใด ต่างฝ่ายต่างสวมกอดกัน ไม่มีใครพูดอะไร มีแต่เสียงร้องไห้
     "ลูกป้อนข้าวให้เก่งด้วยนะ เดี๋ยวแม่ออกไปข้างนอกก่อน" แม่พูดกับตุ่น ตุ่นรับข้าวมาจากแม่พร้อมกับหันมองมาทางเก่ง
     "เก่งทานข้าวนะ" ตุ่นพูด
     หลังจากทานข้าวเก่ง เก่งรู้สึกได้ถึงความอิ่ม แต่เป็นความอิ่มเอิบ ความฝันที่เก่งรอคอย ตุ่นจัดแจงให้เก่งนอน ตุ่นกอดเก่งอีกครั้ง พร้อมทั้งจูบเบาๆ ที่หน้าผากของเก่ง
     "หลับซะนะครับ" นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เก่งได้ยินและทำให้เก่งมีความสุข สิ่งสุดท้ายที่เก่งรอได้เกิดขึ้นจริงแล้ว หลังจากนั้น เก่งไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่สามารถรับรู้ถึงน้ำตา เสียงร้องไห้ ความทุกข์ของทุกคนที่อยู่เบื้องหลัง พ่อ แม่ พี่ น้อง ของเก่งจะเป็นเช่นไร ตุ่นเองจะเป็นยังไง แต่เก่งเองได้จากไปพร้อมกับความหวังที่รอคอย จากไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 04-11-2012 19:29:05
ฮว๊าก... ฮากกกก.... ฮั้กกกก....ฮัก...ฮึกกกก...ฮึก.....

อึก...งึกกกกก...งึก~


กาซิก...กาซิก~


ไม่ยอมหักให้...เค้าเลยอ่ะ...

----------------------

ป.ล. ผ่านไป 2 ปีเต็มๆ นะฮับ !!!
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 05-11-2012 09:27:24
ตอนพิเศษที่ค้างคาไว้นาน (มาก) มาแล้วนะครับ มาให้กำลังใจเก่งกันต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 05-11-2012 17:46:13
สงสัยผู้อ่านเลิกรอตอนพิเศษกันซะแล้ว ถ้ายังไม่ลืมกันมาเม้นต์ให้กำลังใจกันหน่อยนะค้าบ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 05-11-2012 18:39:30
^

โหยพี่เกือบ 2 ปีเลยอ่ะ

ไม่ลืมก็แย่แล้ว

แจ้งในบอร์ดสนทนาดิฮับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 05-11-2012 19:55:03
5555 ขอบคุณที่แนะนำครับ เดี๋ยวไปโพสต์เลยครับ 2 ปีที่ห่างหายไป เครียดเรื่องงานครับ เปลี่ยนงานด้วย เลยไม่สามารถขีดเขียนได้ครับ ตอนนี้ลงตัวหน่อยแล้ว น่าจะมีเรื่องสั้นออกมาให้ได้อ่านกันครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 06-11-2012 19:47:16
ขอกำลังใจกันด้วยนะครับ ถ้ายังไม่ลืมกัน เม้นต์ ติ ชม ให้ด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 07-11-2012 19:36:51
ได้อ่านรวดเดียวตั้งต้นจนจบสงสารเก่งมากๆ
คุณคนเขียนเก่งมากเลยค่ะ เขียนได้อย่างลื่นไหล อ่านแล้วไม่มีสะดุดตรงไหนเลย
เป็นอีกเรื่องที่น่าประทับใจจริงๆ

เดี๋ยวจะตามไปอ่านงานเขียนเรื่องอื่นๆ นะคะ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆ ให้ข้อคิดดีๆ ได้อ่านกัน ขอบคุณค่ะ
จะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 07-11-2012 19:58:49
ขอบคุณมากๆ สำหรับกำลังใจครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 09-11-2012 23:33:45
ดึงโพสต์กลับอันดับต้นๆ ครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 10-11-2012 14:20:36
โอ้ยยยย น้ำตาจะไหล  ทำไมมันเศร้าอย่างนี้อ่าาาาาา   แต่ก็ขอบคุณคนเขียนน่ะครับ เป็นกำลังใจให้  ผมชอบโครงเรื่องแนวๆนี้น่ะ เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ค่อยๆซึมซับความรู้สึก เพลินกับการอ่านดีครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 10-11-2012 15:52:24
ขอบคุณมากครับสำหรับกำลังใจดีๆ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 10-11-2012 16:44:10
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ นะฮ๊าฟฟฟ
อ่านแล้วได้ข้อคิดดี ๆ เยอะเลย เสียน้ำตาไปเยอะเลย
นับถือความรักของเก่งจริง ๆ
เป็นกำลังใจให้นะฮ๊าฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 10-11-2012 22:23:49
ขอบคุณสำหรับคำติชมครับ และขอบคุณสำหรับน้ำตาที่เสียให้ ผู้เขียนดีใจมากเลยนะครับที่ผู้อ่านอ่านแล้วอินขนาดนี้
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 11-11-2012 02:36:33
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะครับ เครียดเลย อาจจะนอนไม่หลับแล้วคืนนี้
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 11-11-2012 12:35:42
อ้าว เครียดทำไมเหรอครับ อ่านสนุกๆ ครับผม หรือเขียนอะไรไม่ดีรึเปล่าครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 11-11-2012 13:48:13
เขียนดีครับแต่อ่านแล้วสะเทือนใจ เขียนดีมากๆแต่เครียด
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 11-11-2012 20:00:41
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 14-11-2012 19:40:55
ดันขึ้นมา เผื่อสมาชิกยังไม่ได้อ่านครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-11-2012 00:24:03
บีบหัวใจเหลือเกิน ร้องไห้ไปกับเก่ง
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 15-11-2012 09:50:34
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: duckhero ที่ 05-12-2012 03:27:24
ดันกลับมาครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 19-01-2018 17:03:15
เคยอ่านเมื่นานมาแล้ว เปิดมาเจออีกที รู้สึกเศร้า
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: running1312 ที่ 08-02-2018 15:59:41
Duckhero กลับมาอีกครั้ง หายไปนานแสนนาน เข้าบัญชีเดิมไม่ได้เลยต้องสมัครใหม่ เห็นยอดคนอ่านแล้วปลื้มเลยครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: running1312 ที่ 16-02-2018 14:09:19
อยากมีผลงานกะใครเขาบ้าง เลยเอาผลงานตัวเองมารวมเล่มเก็บไว้
นักเขียนคนไหน ทำแบบนี้บ้างครับ
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 03-06-2021 14:14:37
 :o12:
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 25-03-2024 19:56:55
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 42บ./1วัน กด *104*68*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)
หัวข้อ: Re: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 26-03-2024 20:42:59
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)