๓
ลุงอิ่ม หรือจะเรียกให้ถูกคือ ตาอิ่ม เป็นคนดูแลบ้านหลังนี้มาตลอดชีวิตของแก หน้าตาเหี่ยวย่น แถมผิวคล้ำจนเกือบดำ และผมขาวโพลนสั้นติดหนังหัวนั้น ทำให้แกดูแก่เกินกว่าท่าทางที่กระฉับกระเฉงของแกเหลือเกิน พาทิศมองปราดเดียวก็เดาได้ว่าตาคนนี้ คงอายุเลยวัยเกษียณเสียแล้วแต่ยังดูคล่องแคล่วราวกับคนหนุ่มอายุไม่ถึงสามสิบ เดินตรงมารับพาทิศตั้งแต่ลงจากรถยังไม่ทันได้ก้าวเข้าบริเวณบ้านด้วยซ้ำ ในเมื่อตาอิ่มเรียกแทนตัวเองว่า ลุง แทบทุกคำ พาทิศจึงต้องเรียกแกว่าลุงอิ่ม แทนที่จะเป็น "ตาอิ่ม" อย่างที่ควรจะเป็น
"ลุงให้คนตัดต้นไม้ให้แล้วตามที่คุณ โทรมาสั่งไว้"
"ขอบคุณครับที่ช่วยเป็นธุระให้" พาทิศมองโดยรอบบริเวณบ้านก็พบว่า ต้นไม้เกือบห้าสิบเปอร์เซนต์ถูกโค่นลงหมด บางส่วนที่เหลือก็ตัดแต่งกิ่ง ใบให้ดูเขียวชอุ่ม แต่ไม่รกจนน่ากลัวเหมือนคราวที่แล้วที่เขาขับรถมาดูตอนกลางคืนหลังจากเลิกกับเป๊ก เพราะบริเวณดูร่มรื่นแล้วนั่นเอง ทำให้บ้านหลังนี้ดูน่าอยู่มากกว่าน่ากลัว พาทิศมองเห็นคลองสายเล็กๆที่ทอดตัวอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวบ้านมีศาลาท่าน้ำที่ดูเก่าโบราณ แต่ไม่ได้ถูกรื้อทิ้งไปเหมือนอย่างอื่น ตั้งอยู่ริมคลอง
"ไม่เป็นไร ลุงเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่คุณหนู สร้อย เธอย้ายออกไปน่ะครับ ก็เกือบๆ สิบปีได้แล้วละมัง แต่ไฟฟ้า และ ประปาคุณสร้อยเธอก็ให้คนจ่ายไปทุกเดือน ยังใช้ได้ตามปกติ คุณชายไม่ต้องเป็นห่วง" เขาเดินนำ พาทิศเข้าไปในบริเวณร่มรื่นของตัวบ้าน มีหลานชายอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ ช่วยถือกระเป๋า ตามมาด้านหลัง ลุงอิ่มอธิบายต่อไปว่า "บ้านของลุงอยู่อีกฟากของคลอง คราวที่คุณชายมาดูบ้านกับนายหน้าคนนั้นลุงไม่ได้ออกมาต้อนรับ ต้องขอโทษด้วย พอดียายแก่ มันไม่ค่อยสบาย"
ลุงอิ่มคงหมายถึงภรรยาของแก
"ลุงอยู่กันกี่คนครับ"
"สามคนเท่านั้นล่ะคุณ มีลุง แล้วก็ยายแก่เมียลุง แล้วก็ไอ้เอก หลานชายลุงเอง มันเป็นใบ้ พ่อแม่มันไม่เลี้ยงให้อยู่กับลุงมานานแล้ว ก็ให้ช่วยดูแลบ้านหลังนี้ละครับ"
ขนาดดูแลแล้ว พาทิศนึกในใจ ยังปล่อยให้ต้นไม้ขึ้นรกรุงรังเสียน่ากลัวจนต้องสั่งให้ตัดอีกนะ
พอมาถึงตัวบ้าน เอก หลานของลุงอิ่มก็กุลีกุจอ เปิดประตู แล้วเดินเข้ามาเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ของเขาวางไว้ข้างๆ ประตู แล้วยืนประสานมือรอคำสั่งอยู่ตรงนั้น ส่วนพาทิศก็เดินตามเข้ามา ยังคงฟังลุงอิ่มพูดอย่างไม่เว้นวรรค
"แต่ก่อนตรงนี้คือห้องโถงใหญ่ เดิมใช้รับแขกที่ไม่ค่อยสนิทกันนัก แต่ปัจจุบันนี้พอคุณสร้อยสั่งให้สร้างกำแพงแบ่งตัวบ้านเป็นสองฝั่งก็เลยกลายเป็นเพียงโถงบันไดไว้ขึ้นไปชั้นสองเท่านั้น" แกว่า พลางมองไปสะดุดเข้ากับรูปภาพของคุณหลวงพินิจราชอักษร ที่จ้องมองมาที่พาทิศอย่างดุๆ ชายหนุ่มใจเต้นโครม หวนนึกไปถึงวันนั้นที่เขาแอบมาดู เด็กหนุ่มหน้าตี๋คนนั้น แล้วเห็นหลวงพินิจจ้องมองมา... ไม่แน่ อาจมีรูปของคุณหลวงนี่ อยู่อีกฟากของบ้านก็เป็นได้ พาทิศรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้กลิ่นธูปลอยมาเตะจมูก เขาหันขวับด้วยความหวาดผวา นึกว่าวิญญาณของคุณหลวงแกมาหาเขาอย่างไม่รู้ตัว ที่ไหนได้ นายเอกหลานชายของลุงอิ่มนั่นเองเป็นคนจุดธูปขึ้นดอกหนึ่ง ยื่นไปให้กับคุณตาของตัวเองที่ยังพูดเกี่ยวกับหลวงพินิจอยู่ไม่ขาดปาก พาทิศเรียกสติตัวเองกลับมาได้ก็ได้ยินลุงอิ่มพูดอยู่กับภาพของหลวงพินิจเสียแล้ว "...คุณหลวงขอรับ คุณพาทิศเธอเพิ่งย้ายมาพึ่งบารมีคุณหลวงขอรับ โปรดจงรับเธอไว้ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทร อย่าได้เบียดเบียนหรือทำอันตรายคุณพาทิศเลยขอรับ เธอมาดีขอรับ ไม่มีเจตนาทำลายบ้านนี้แน่นอนขอรับ”
พาทิศขนลุกซู่ หยาดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก ควันธูปที่ปกติจะลอยตามลมซึ่งควรจะเป็นทางเดียวกับที่ลมนอกประตูพัดเข้ามา กลับลอยขึ้นตรงๆ เป็นเส้นต่อกันไปถึงบริเวณหน้าของหลวงพินิจพอดิบพอดี แถมยังลอยวนอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมลอยสูงไปกว่านั้นอีก
ลุงอิ่มปักธูปที่กระถางหน้ารูปของหลวงพินิจราชอักษรแล้วก็เดินนำเข้าไปที่ห้องรับแขก ทางประตูด้านซ้ายมือ
ห้องรับแขก ซึ่งขณะนี้เป็นห้องนั่งเล่นมีหนังสือมากมายตามคำบอกเล่าของชายชรา ส่วนมากเป็นบทประพันธ์ทั้งไทย ทั้งต่างประเทศ ทั้งนิทานคำกลอน บทละครนอก ละครในต่างๆ รวมไปถึงหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ พงศาวดาร และ เท็กซ์ภาษาฝรั่งเศสที่เป็น "ตำราเรียนของคุณหลวง ท่านนำกลับมาด้วยขอรับ" คุณหลวงคนนี้มีหน้าที่แปลบทประพันธ์ และเขียนหนังสือถวายราชสำนักในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ห้า คุณหลวงสนใจงานประพันธ์ และ พงศาวดารประวัติศาสตร์มากที่สุด จึงมีแต่หนังสือประเภทนี้เสียหมด ตรงกลางห้องนั่งเล่น เป็นโต๊ะเตี้ยไม้สัก ฉลุลายอ่อนล้อยสวยงาม ล้อมรับด้วยตั่งไม้ แบบโบราณ และโซฟาเบาะนุ่มสีขาวงาช้าง น่านั่ง ลุงอิ่มเดินไปถึงแจกันสีขาวสะอาด บอกว่า "เป็นของที่คุณหลวงนำกลับมาจากฝรั่งเศส" อีกเหมือนกัน
เขาเดินผ่านห้องนี้ไป ถึงอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน พาทิศมองจากหางตาก็รู้ว่า ทางขวาเป็นทางเข้าไปห้องอาหารที่เขาเคยเห็นมาแล้ว มีโต๊ะไม้สักเข้าชุดกับตู้โชว์ของที่ระลึกจากฝรั่งเศส และภาพวาดหลายภาพแขวนอยู่ แต่ในเมื่อลุงอิ่มพาเดินไปอีกห้องหนึ่ง ที่อยู่ถัดจากประตูไม้สักทอง ตรงกลางระหว่างตู้หนังสือไทย และตู้หนังสือเทศ เป็นห้องที่ลุงอิ่มแนะนำต่อไปว่าเป็น ห้องหนังสือ
ห้องรับแขก หรือห้องนั่งเล่นมีหนังสือเท่าใด ห้องหนังสือ มีหนังสือมากกว่าเกือบสองเท่า ด้านหลังของพาทิศ ซึ่งก็คือด้านที่ติดกับประตูห้องนั่งเล่น เป็นชั้นไม้สักมีบานหน้าต่างกระจกปิดไว้สนิทมีหนังสือเรียงกันอยู่มากมาย ลุงอิ่มบอกว่าเป็น หนังสือวิชาการทั้งนั้น ล้วนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย และ นานาชาติ อีกทั้งมีหนังสือไวยากรณ์ภาษาฝรั่งเศส รวมไปถึงหนังสือเรียนทั้งหมดของหลวงพินิจราชอักษร และหนังสือที่ทายาทได้ซื้อไว้ก็เอามาใส่ในห้องหนังสือนี้ "คุณทวด และ คุณปู่ของ คุณหนูสร้อยเธอก็นั่งทำงานในห้องนี้ละครับ"
ด้านซ้ายมือของพาทิศคือโต๊ะเขียนหนังสือขนาดใหญ่ วางไว้เกือบกึ่งกลางห้องพอดี บนโต๊ะ มีกระดาษ และ ปากกาขนนกวางตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ
"งานของคุณผ่านฟ้า พ่อของคุณหนูครับ เป็นทายาทรุ่นสุดท้ายที่ยังอยู่ที่บ้านหลังนี้จนสิ้นชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งครับ" พาทิศขี้เกียจซักประวัติของคนในตระกูลนี้มากนัก เพราะคิดว่าไม่ใช่ธุระอะไรของเขา จึงได้แต่เดินตามลุงอิ่มไปที่หลังโต๊ะทำงาน ... ด้านหลังโต๊ะนั้นเป็นประตูไม้สักที่ปิดล็อคอยู่... ด้วยความอยากรู้ พาทิซจึงเอื้อมมือไปบิดกลอนเบาๆ "อย่าครับคุณ"
ชายหนุ่มแทบจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงชายชราตะโกน เท่าที่เสียงแหบๆของเขาจะทำได้ พาทิศรีบชักมือกลับมาโดยเร็ว แล้วยิ้มแหยๆ อย่างสำนึกว่าไม่ควรจะซนไปเลย
"ฟากนั้นของบ้าน ไม่ใช่ที่ที่ควรเข้าไป คุณไม่ควรแม้แต่จะพยายามเข้าไปยุ่งคุณพาทิศ"
ชายหนุ่มเกือบหลุดปากว่าทำไม แต่จากอาการขมวดคิ้วอย่างสงสัย ชายชราจึงไขข้อข้องใจออกมาโดยไม่ต้องออกปากถาม
"ห้องฝั่งนั้น คือห้องลายคราม ใช้เก็บเครื่องลายครามที่เป็นสมบัติที่รักมากของคุณหลวง ... เข้าไปยุ่งด้วย เดี๋ยวคุณหลวงจะโมโหเสียเปล่าๆ"
ไม่รู้ว่าที่ลุงอิ่มพูดมันจริงหรือไม่ แต่เท่านั้นก็ได้ผล พาทิศ ไม่กล้าซนกับอะไรอีกเลย
"ลุงจะให้คุณดูโคลง บทนี้"
พาทิศเห็นแผ่นกระดาษ ติดไว้กับแท่นคริสตัลใสๆ วางอยู่ที่มุมขวาบนของโต๊ะอักษร เป็นโคลงที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ แบบคนโบราณ
ทรัพย์สินมีมากล้น ถึงฟ้า
มีค่าเหลือคณา นับได้
หากพินิจดูนา ปรากฏ เห็นแฮ
มิอาจเทียบรักไซร้ ห่อนล้างหมดลง
"แปลว่าอะไรหรือครับ" พาทิศเอ่ยถามอย่างสงสัย เขาแปลความหมายไม่ออก หากแต่รู้ว่าคนเขียนคงเป็นผู้ชำนาญในการใช้ภาษาในการประพันธ์อย่างดี เพราะนอกจากฉันทลักษณ์ถูกต้อง ตามที่เขาเรียนมาในชั้นมัธยม ยังมีสัมผัสอักษร และ สัมผัสสระระหว่างวรรค อย่างชาญฉลาด แถมยังมีสัมผัสอักษรในวรรคเดียวกัน แทบทุกวรรคด้วย
"เด็กสมัยนี้ อาไร้ แค่โคลงง่ายๆนี้แปลไม่ออกหรือ" ลุงอิ่มส่งสายตาดุแกมขันอยู่ในทีมาให้ ก่อนจะแปลให้เข้าฟังว่า "ก็ประมาณว่าแม้จะมีทรัพย์สินมากจนล้นไปถึงฟ้ามีค่ามากมหาศาลขนาดไหน แต่ถ้าพินิจพิจารณาให้ดีละก็ จะเห็นว่าไม่สามารถเปรียบเทียบกับรักที่ไม่อาจลบล้างให้หมดลงได้ แสดงถึงความรักมหาศาลที่ท่านมีต่อคุณหยาด ภรรยาของท่านนะซี"
พาทิศ ห่อปากคล้ายจะร้อง อ้อ ออกมา แต่ก็เดินตามชายชราเงียบๆ ไปยังห้องถัดไป ผ่านตู้หนังสืออีกสองใบ และ หน้าต่างบานใหญ่กลางห้องที่ลุงอิ่มเปรยเบาๆว่า "เสียดาย แต่ก่อนมองไปเห็นสระบัว ล้อมด้วยดอกไม้ในวรรณคดี และศาลาแปดเลี่ยมฉลุลายขนมปังขิง สมัยนี้รึ มีแต่ตึกแถว และโรงแรม"
มิน่าเล่า คนสวนถึงไม่ตัดต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บริเวณหน้าต่างออกไปเขาคงจงใจทิ้งไว้อย่างนั้น บังทัศนียภาพที่เป็นเพียงด้านหลังของตึกแถวที่เรียงตัวกันอยู่หลังบ้านเป็นแน่
ทะลุออกห้องถัดไปทางขวามือคือห้องครัว ตกแต่งแบบฝรั่ง กลางห้องเป็นโต๊ะไม้ ยกระดับพอถึงเอว ไว้เตรียมอาหาร รายล้อมด้วยอุปกรณ์ทำครัวต่างๆ มากมาย มีเตาอบ และ อุปกรณ์ทำอาหารแบบฝรั่ง
"คุณผ่านฟ้าเล่าว่า ในสมัยก่อนคุณหลวงโปรดอาหารฝรั่งมาก จึงมีห้องครัวเล็กๆนี้ไว้ทำอาหารแบบฝรั่งรับ เวลาที่ท่านอยากขึ้นมา ทั้งๆที่มีโรงครัว และเรือนบ่าวอยู่หลังบ้านแล้วด้วยแท้ๆ"
"ปัจจุบันยังมีอยู่ไหมครับ"
"ทุบทิ้งไปแล้วคุณ กลายเป็นโรงแรม เกต ออฟ พาราไดส์ไปแล้วไง" แกเดินผ่านห้องครัว วนไปทะลุห้องอาหารที่มองไปทางขวาจะเห็นห้องนั่งเล่น และมองตรงไปก็จะกลับไปที่ห้องโถงเป็นจุดเริ่มต้น "คุณพาทิศรับอาหารได้ที่ห้องนี้ หากต้องการแม่ครัวละก็ คงต้องรอเมียลุงหายป่วยก่อน แต่ใช้ไอ้เอกมันแก้ขัดไปก่อนได้ลุงจะให้มันมาทำกับข้าวให้สามมื้อ"
"ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ ผมทำกับข้าวเองได้ แล้วก็อาจจะซื้ออาหารปรุงสำเร็จมาทานเองก็ได้ครับ"
"ถ้าอย่างนั้นละก็ดีแล้ว กลัวไอ้เอกมันทำอาหารไม่ถูกใจคุณชายเสียเปล่า"
พูดถึงเอก พอโผล่หน้าออกมาที่ห้องโถง พาทิศก็เห็นนายเอกยืนอยู่ข้างๆ เสา ตามเดิม ที่เท้ามีกระเป๋าเสื้อผ้าสีน้ำเงินใบใหญ่ของเขาวางอยู่ พอเห็นพาทิศเข้า ก็ก้มลงหยิบกระเป๋าอย่างรู้งาน
"เดี๋ยวลุงให้เอกมันยกกระเป๋าขึ้นไปไว้ที่ห้องให้นะ"
"ครับ ขอบคุณนะครับลุง"
แล้วพาทิศก็เดินขึ้นชั้นบน มีนายเอกเดินตาม และลุงอิ่มเดินนำ พาทิศพอจะเข้าใจการจัดบ้านของหลวงพินิจฯ ดีเมื่อลองเดินจนครบหนึ่งรอบแล้ว สมัยก่อนตรงกลางเป็นห้องโถงใหญ่ ซ้ายขวาเท่ากันคือเป็นบันได พาดขึ้นชั้นบน ห้องขวาสุดของบ้านเป็นห้องอาหาร ถัดเข้าไปเป็นห้องครัว วนซ้ายเป็นห้องหนังสือ และสุดท้ายเป็นห้องนั่งเล่น มีประตูเชื่อมห้องหนังสือ และห้องลายคราม หากเขาเดาไม่ผิด อีกฟากหนึ่งก็คงจัดอยู่ในลักษณะนี้ คือ เข้าห้องหนึ่ง วนไปทะลุได้อีกสามห้อง แล้วกลับมาที่เดิม ในเมื่อฝั่งนี้มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องหนังสือ ห้องอาหาร ห้องครัวแล้ว ฝั่งนั้น ก็คงมีห้องจัดโชว์ของต่างๆ อาจมีห้องนั่งเล่นอีกห้องก็ได้ไว้คอยรับแขกสำคัญ หรืออาจมีห้องดนตรี ตามแบบของบ้านโบราณหน่อย พาทิศอยากรู้ แต่ไม่อยากถาม จึงได้แต่คิดในใจอย่างนั้น แล้วเดินตามลุงอิ่มขึ้นไปยังชั้นสอง
"แต่ก่อนตรงชั้นสองเป็นเฉลียงยาว" ลุงอิ่มอธิบาย "ตอนนี้กั้นไว้เป็นสองฝั่งเลยเล็กหน่อย" ตรงกลางมีห้องนอนสองห้องชิดกัน ทางขวาเป็นห้องพระ ทางซ้ายเป็นห้องหนังสืออีกห้อง ไว้ใช้ทำงานในเวลากลางคืน แต่ในเมื่อถูกปิดกั้นไว้ด้วยกำแพงสีขาวที่สร้างขึ้นใหม่ จึงทำให้พาทิศเห็นเพียง ห้องนอนห้องเดียวที่ปูพรมสีแดงตามที่พาทิศเคยได้เข้าไปแล้ว และ ทางขวามือของเขาที่เป็นห้องพระเท่านั้น
"กระเป๋าวางไว้ข้างๆ ประตูห้องนอนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการเอาเสื้อผ้าออกมาใส่ตู้เองครับ"
เอกวางกระเป๋าตามคำสั่ง พอหมดธุระของลุงอิ่มแล้ว แกก็เดินลงบันไดไปพร้อมจะกลับบ้าน พาทิศตัดสินใจเดินตามไปส่งแกที่ท่าน้ำ จะได้รู้ด้วยว่าบ้านแกอยู่ไหน จะไปหาแกได้ยังไง ลุงอิ่มเดินออกทางหลังบ้าน โดยผ่านห้องครัวไปออกประตูหลัง ป่าตรงนั้น ไม่มีหญ้ารกอีกต่อไป แต่ยังมีต้นไม้อยู่ มีระยะซัก สองสามวา จากตัวบ้านไปถึงกำแพงที่กั้นอาณาเขตของบ้านออกจากบรรดาตึกแถวที่เบียดเสียดกันอยู่ตรงนั้น พาทิศสังเกตเห็นเครื่องซักผ้าที่ทายาทรุ่นหลังๆ คงซื้อมาไว้ใช้ให้สะดวกวางอยู่ที่กำแพงหลังบ้าน มีราวตากผ้าอยู่ใกล้ๆกัน พอให้รู้ได้ว่าวันเสาร์นี้เขาจะซักผ้าที่ไหนดี
นี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของคุณนายเพลงพิณ แม่ของพาทิศ คือลูกชายของเธอซักผ้ารีดผ้า ทำกับข้าวเองเป็น ไม่เหมือนลูกคนรวยคนอื่นๆ เพราะเขาย้ายบ้านบ่อยเหลือเกิน บางบ้านไม่มีคนใช้ก็ต้องหัดทำเอง จนทำเป็นในที่สุดน่ะสิ
ตรงทิศตะวันตกเฉียงใต้มีคลองเล็กๆ ไหลผ่านอยู่ตรงนั้น ให้รู้ว่าแต่ก่อนเคยมีคลอง แม้ถูกถมไปบ้างแล้ว ก็ยังดูรู้ว่า แต่ก่อนคงเป็นคลองใหญ่ไม่น้อย
"ถึงสมัยนั้นจะมีถนนแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมมาก เพราะรถราคาแพง คุณหลวงเองแกไม่มีรถ แต่พ่อแก เจ้าคุณไพรัชกิจจา น่ะมี แต่ก็ไม่เคยเห็นมากนักหรอก ส่วนใหญ่ใครไปใครมาแถวนี้ ก็นั่งเรือจ้าง เรือแจวแถวนี้ทั้งนั้น ยังมีท่าให้เห็นอยู่เลย"
ตรงหลังบ้านเฉียงมาทางตะวันตกเฉียงใต้มีท่าไม้เล็กๆ ให้เห็นอยู่จริง
ลุงอิ่มเดินเลยท่าไม้ไปทางหน้าบ้าน ยังไม่ถึงดีนัก ก็มีสะพานไม้ พาดอยู่ เป็นสะพานที่ไม่มีราว พาทิศจึงตัดสินใจไม่ข้ามไปด้วย ได้แต่ยืนส่งลุงอิ่มอยู่ฝั่งนี้ ให้แกและหลานชายแกข้ามไป อีกฝั่งของคลอง แม้ต้นไม้จะเยอะ แต่พาทิศก็สังเกตได้ว่า มีบ้านเล็กๆ ปลูกอยู่แถวนั้นด้วยเหมือนกัน
"มีอะไรโทรเรียกลุง เบอร์โทรลุงทิ้งไว้ข้างโทรศัพท์แล้ว"
"ขอบคุณมากครับ หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะครับ"
พาทิศยกมือไว้ลุงอิ่ม เจ้าเอกก็ยกมือไหว้พาทิศ พอลุงอิ่มรับไหว้พาทิศ พาทิศก็ยกมือขึ้นรับไหว้นายเอกพอดี พอลาตากับหลานเดินลับตาไปแล้ว พาทิศก็เดินอ้อมไปเข้าบ้านทางข้างหน้า เพื่อมองขึ้นไปหาเด็กหนุ่มที่เขาหมายปอง ... กระจกยังปิดสนิท ประตูบ้านก็ปิดสนิทพอๆกัน ทำให้พาทิศอดสงสัยไม่ได้ว่า อีกฟากของบ้านนั้น มีคนอยู่จริงหรือ
พอเดินเข้าตัวบ้านได้ไม่กี่ก้าวพาทิศก็นึกขึ้นได้ เขายังไม่ได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุดที่เข้าตั้งใจจะถามลุงอิ่มเลย ... ว่าอีกฟากของบ้านมีใครอาศัยอยู่หรือใหม่ หากใช่ จะใช่ชายหนุ่มคนนั้นที่เขาสนใจหรือเปล่า ไม่น่าลืมเลยนะ จริงๆเชียว
***************************************************************************
มาต่อให้แล้วล่ะครับ ช่วงนี้ผมเปิดเทอมแล้ว
อาจจะเข้ามาไม่ได้ บ่อยๆ ยังไงก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะค้าบบบ