บทส่งท้าย
รถยนต์สีดำสนิทเป็นเงา เลี้ยวเข้าซอยหลังโรงแรมเกต ออฟ พาราไดส์ไปอย่างคุ้นทาง เพียงเลี้ยวผ่านหัวมุมก็พบว่า บริเวณนั้นเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละเรื่องกับเมื่อ 25 ปีก่อน ป่ารกชัฏตรงนั้น ถูกถอนทำลายไปหมดแล้ว กลายเป็นชุมชนขนาดย่อมมีบ้านเรือนน้อยใหญ่ ร้านรวงต่างๆ เติบโตมากมายในยุคโลกาพิวัฒน์แบบนี้ เรื่องราวความอาถรรพ์ของบ้านตรงเกือบสุดซอย แทบจะไม่หลงเหลือมาถึงผู้อาศัยรายใหม่เลยแม้เพียงเสี้ยว มันหายไปพร้อมกับบ้านหลังนั้น
รถยนต์เลี้ยวเข้าไปจอดในบริเวณวัด ที่ปลูกอยู่บนพื้นที่เดิมของเรือนเทา คนขับก้าวลงจากรถเป็นคนแรก ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้ภรรยา
ชายวัย เกือบห้าสิบ ทิ้งความหล่อเหลา เจ้าสำอางค์ไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่ความสง่างาม ดูปราดเปรียว แม้อายุมากก็ยังคล่องแคล่ว ร่างสูงนั้นดูบึกบึนขึ้นอย่างคุณพ่อทั่วไป ตากลมโตดูเป็นประกายบอกความสดใสเมื่อเห็นภรรยาของเขาก้าวลงจากรถ หล่อนดูสวยไม่ต่างจากเดิม เป็นกุลสตรี เป็นแม่บ้านแม่เรือน ไม่เคยนำเรื่องทุกข์ใจใดๆมาให้สามีต้องเครียดอย่างหลายๆคน
สองสามีภรรยาเดินนำลูกสาวและแฟนหนุ่มเข้าไปยังศาลา ทุกอิริยาบถอยู่ในสายตาของเจ้าอาวาส ผู้มองทั้งสองอย่างเฉยเมยที่สุด ไม่มีแววของความดีใจที่เก็บเอาไว้เสียข้างในให้เห็น พาทิศ รู้จักควบคุมอารมณ์ได้อย่างดี เมื่อเวลาผ่านไปนานเสียเพียงนี้ พอก้าวขึ้นมาแล้ว ทั้งคู่ก็คลานเข่านำลูกเข้ามา กราบเบญจางคประดิษฐ์ ทำความเคารพพระพุทธรูปก่อนจะปราศรัยกับภิกษุวัยกลางคน ที่เคยเป็นเพื่อน และคนรักมาก่อนอย่างสำรวม ไม่แสดงความใกล้ชิดจนเกินไป
“สวัสดีค่ะหลวงพี่ ไม่ได้มาเยี่ยมตั้งนาน อยู่สบายดีนะคะ” สร้อยฟ้ากล่าวทักด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมอย่างเคย
“ก็สบายดีตามอัตภาพนั่นละ” เขายิ้มน้อยๆ “โยมทั้งสองสบายดีนะ”
“สบายดีครับ” ณัฐเป็นคนตอบ “พอดี ลูกสาวกลับมาจากยุโรปได้สักพัก ก็เลยพามากราบหลวงพี่ ให้เป็นศิริมงคล ลูกจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนแล้วครับ”
ลูกสาวที่ว่า คลานเข่าเข้ามากราบพาทิศอย่างอ่อนช้อย พอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น พาทิศก็มีโอกาสได้เห็นดวงหน้านั้นชัดเจน ลูกสาวของณัฐและสร้อยฟ้าไม่มีอะไรเหมือนพ่อแม่เลย อันที่จริงถ้าสังเกตดีๆก็จะดูคล้ายบ้าง แต่ก็ไม่เหมือนทีเดียวหากเจอกันที่อื่นก็คงไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวของเขาสองคน แวบแรกที่เห็นพาทิศ พาลคิดไปถึงจิตราสมัยสาวๆมากกว่า
ตาโตคล้ายพ่อ แต่เข้มกว่า คมกว่า คิ้วเข้มสวย ดูหน้าดุหากไม่ได้รอยยิ้มสะอาด จริงใจแบบแม่มาก็คงดูเหมือนจะไปหาเรื่องใครอยู่ตลอดเวลาได้ จมูกโด่งสวยเข้ากันกับปากหนาอวบอิ่ม ผิวพรรณเรียบเนียนสะอาดสะอ้านเป็นสีน้ำผึ้ง ผมดำสวยตามธรรมชาติ ดัดอ่อนๆ เคลียบ่า มองผ่านๆคิดว่านางเอกละครไทยที่ไหน
พาทิศเอ่ยปากถาม
“ชื่ออะไรหรือโยม”
“ชื่อ เพชร ค่ะ หลวงพ่อ” น้ำเสียงอ่อนหวานแต่หนักแน่น ตอบอย่างมั่นใจในตัวเอง ก่อนที่หล่อนจะคลี่ปากเป็นรอยยิ้มที่งามจับใจ
“ไปเรียนที่ยุโรป เรียนทางไหนมา”
“ลูกเรียน Political Science จบมาจากฝรั่งเศสค่ะ” ผู้เป็นแม่เป็นคนตอบ “เจอกับพ่อเอสเขา ตั้งแต่ก่อนไปเรียนที่โน่นแล้ว สัญญิง สัญญาอะไรกันไว้พอกลับมาเห็นว่ายังซื่อสัตย์ดี ก็เลยตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน เราก็เห็นว่าเทคแคร์ดูแลดี เป็นคนช่างพูดช่างจา กิริยาเรียบร้อย แล้วก็รักลูกเพชรจริง ซื่อตรงไม่เคยนอกใจ ดิฉันเห็นว่าชอบพอกัน แล้วก็ยังเหมาะสมกันอีก ก็เลยไฟเขียว เขาก็ให้พ่อแม่มาสู่ขอตามธรรมเนียมแล้วจะแต่งเดือนกุมภานี้แล้วล่ะค่ะ”
‘หลวงพ่อ’ ยิ้มให้หญิงสาวแล้วก็เลยไปมองหนุ่มเอส
เขาเป็นผู้ชายหน้าตาสะอาดสะอ้าน แม้จะดูสำอางค์ก็มาดแมน ผมดำยาวอย่างหนุ่มเกาหลี ปิดหน้าไว้แต่ก็ดูออกว่าเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว ต่อให้ตัดผมสั้นก็คงจะหล่อไม่ต่างกัน มองไปคล้ายๆ ณัฐตอนเป็นหนุ่มเหมือนกัน เว้นไว้ก็แต่ดวงตา ที่แทนที่จะกลมโตอย่างพ่อตา แต่กลับเรียวเล็ก เป็นหนุ่มตี๋ที่ดูดี ไม่ใช่ตี๋ตามเยาวราชทั่วไป รูปร่างก็สูงใหญ่ดูอบอุ่นอย่างผู้ชายรักครอบครัว
“ได้ฤกษ์ยามแล้วก็ดีใจ แล้วจะไปอยู่ไหนล่ะ อยู่บ้านหนูเพชร หรือบ้านพ่อเอสกันล่ะโยม” เขาถามเรียบๆ
“ว่าจะไปอยู่กันที่เพชรบุรีค่ะ” ลูกสาวของณัฐเป็นฝ่ายตอบ พาทิศเลิกคิ้วน้อยๆอย่างฉงนก่อนจะคลายสีหน้าลงสำรวมตามเดิม “พอกลับไทยมาก็ใจตรงกันว่าอยากไปเพชรบุรี ไม่รู้ทำไมเหมือนกันค่ะ พอไปเที่ยวแล้วก็ชอบ ถูกใจบ้านเมืองเขาไปหมด ทะเลสวยแต่ไม่ค่อยเสียงดังเหมือนภูเก็ตพัทยา”
“บ้านที่ซื้อไว้เป็นเรือนหอนี่สวยทีเดียวครับ” เอสเป็นคนตอบ “เป็นบ้านโบราณสมัยรัชกาลที่ห้า อยู่ใกล้ทะเล ตอนนี้ก็ปรับปรุงให้อยู่ง่ายทันสมัย พอเราเห็นกันครั้งแรกก็ถูกใจเลย อยากได้มาอยู่มาก โชคดีทีเดียวครับเจ้าของเขาขายไม่แพง เขาว่าไม่มีใครกล้าอยู่ ใครอยู่กันก็อยู่ไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง”
“ที่มาก็จะมาปรึกษาเรื่องนี้ด้วยแหละครับ” ณัฐว่าเบาๆ “เอ้อ ไม่รู้ว่าบ้านนี้จะไม่เป็นมงคลหรือเปล่า แล้วก็ไม่อยากให้ลูกไปอยู่ไกลนักด้วย”
“ไม่หรอก โยม” พาทิศหลับตา ยิ้มนิดๆ ให้กำลังใจเพื่อนหนุ่ม “อาตมาว่า ที่ใครก็อยู่ไม่ได้ เพราะบ้านหลังนี้มันรอเจ้าของมันไปอยู่อย่างไรล่ะ”
เพชร และแฟนหนุ่มหันมามองหน้ากันอย่างฉงน ไม่เข้าใจนัก
“ไปเถอะ อาตมาสนับสนุน เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย ถ้ากลัวว่าอยู่ไกล ก็ไม่ไกลเท่าไหร่นี่ ขับรถจริงๆก็ไม่ไกลมาก อีกอย่างสองคนนี้ก็ดูเป็นเด็กดี คงดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะออกนอกลู่นอกทางหรอกนะ”
เพื่อนหนุ่มยกมือไหว้
“ขอบคุณหลวงพี่มากที่กรุณาให้คำปรึกษาครับ”
“ไม่หรอก อาตมาแนะเท่าที่จะแนะได้”
พอ เพื่อนหนุ่ม และภรรยาโล่งใจแล้วก็ถวายสังฆทานเพื่อความเป็นศิริมงคล พูดคุยกันจิปาถะแล้วก็ขอลากลับ ณัฐยิ้มให้หลวงพี่ ไม่นึกเสียดายที่เดินออกมาจากพาทิศเมื่อ ยี่สิบห้าปีก่อน ดีใจเสียอีกที่พาทิศละทางโลกได้แล้วในที่สุด ส่วนเขาเองก็มีความสุขอยู่กับสร้อยฟ้าด้วยดี จนลูกโตเป็นสาว เผลอแปบเดียวก็จะแต่งงานแล้ว คนเป็นพ่อมันปลื้มใจก็ตรงนี้แหละที่รู้ว่าลูกสาวได้สามีดี ที่จะรักและดูแลลูกของเขาไปตลอดชีวิต
จะกังวลก็ตรงเรื่องไปเพชรบุรีนี่เอง แต่พอคุยกับพาทิศแล้วก็สบายใจ เดินตัวลอยจะกลับบ้าน
พอดีลูกสาวสะกิด ก็ปล่อยตัวเองหลุดออกจากความคิด หันมาถามพ่อ
“พ่อขา เดี๋ยวหนูกับเอส ขอตัวไปปรึกษาอะไรหลวงพ่อสักนิดนะคะ” หล่อนว่าเบาๆ ณัฐก็ไม่คัดค้านอะไร พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ลูกสาวจึงยิ้มออก แล้วจูงมือแฟนหนุ่มกลับเข้าไปที่ศาลา
“เอ้า ลืมอะไรหรือโยม” พาทิศเอ่ยถามอย่างสงสัย
“หลวงพ่อคะ ดิฉันมีเรื่องจะปรึกษาอีกหน่อยน่ะค่ะ” หล่อนกระซิบแผ่วเบา “ตลอดเวลาที่ดิฉันอยู่ที่ยุโรป นอกจากจะคิดถึงเอสแล้ว ยังจะคิดถึงเรื่องหนึ่งตลอดเวลาเลยค่ะ ทั้งๆที่มันอาจจะฟังดูประหลาด หลวงพ่ออย่าหาว่าหนูพูดจาเหลวไหลนะคะ”
เจ้าอาวาสหนุ่มใหญ่พยักหน้า
“หนูฝันเห็นบ้านที่เพชรบุรี คิดอยากจะไปตลอดเวลา แล้วก็ยังฝันถึงที่นี่ด้วย ฝันว่าเคยอยู่ ที่นี่เคยมีบ้านโบราณๆ เป็นสีเทาหรือเปล่าคะ”
พาทิศยิ้ม แล้วก็เอ่ยเบาๆว่า
“เคยซี ที่ตรงนี้พอดี ตรงศาลานี่ละ”
“มิน่า ถึงคุ้นๆนะครับ เพชร” เขาว่า
“รถเลี้ยวเข้าซอยมา เพชรก็จำได้เลยว่าตรงนี้แหละที่เห็นในฝันบ่อยๆ”
แฟนหนุ่มพยักหน้า
“หลวงพ่อครับ” คราวนี้ หนุ่มตี๋เป็นคนพูดขึ้นบ้าง “ผมเคยอ่านหนังสือนิยายเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เขาจะสร้างเป็นละครโทรทัศน์ เป็นเรื่องของนักเขียนคนหนึ่งที่มาอยู่ที่บ้านโบราณ แล้ว ตัวละครบางตัวก็เหมือน น้าณัฐ กับ น้าสร้อยเลยครับ ผมลองสืบหานักเขียนดูก็พบว่าชื่อพาทิศ แล้วผมก็เคยได้ยิน น้าณัฐเรียกหลวงพ่อว่าพาทิศด้วย ผมอยากถามว่า นักเขียนคนนั้น กับตัวเอกในนิยายใช่คนเดียวกันหรือเปล่าครับ”
พาทิศพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น นักเขียนคนนั้น กับหลวงพ่อก็ ... คนเดียวกันหรือครับ”
“เรื่องนั้น อาตมาบอกไม่ได้หรอก เกรงว่าจะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม”
“แล้ว...”
“โยม” พาทิศตัดบทเสียก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้พูดอะไรอีก “เรื่องในอดีต ก็คือเรื่องในอดีต แล้วมันก็ไม่มีผลอะไรกับโยม รู้แล้วจะเป็นภัยกับตัวอย่างอาตมา โยมควรจะคิดถึงปัจจุบันและอนาคตให้มาก ก่อร่างสร้างตัว แต่งงานอยู่กินกันให้ดีแล้วก็ประพฤติตัวเป็นคนดีเถิด”
ทั้งสองกราบพาทิศ
“ขอบพระคุณหลวงพ่อค่ะ ดิฉันสบายใจแล้ว ขอลาละค่ะ” หญิงสาวคลานเข่าถอยหลังมาสองสามก้าว ก่อนจะลุกขึ้น มีชายหนุ่มคอยประคองไม่ให้เซไป
ทั้งสองคนเดินออกมานอกศาลาอย่างปิติยินดี แม้เรื่องที่ชายหนุ่มอยากรู้จะยังไม่ได้รับการคลี่คลาย แต่เขาก็วางใจได้เมื่อรู้ว่า มันไม่เกี่ยวข้องกับเขาและแฟนสาว หันมาอีกทีก็พบว่า เพชร เดินร้องไห้มาเงียบๆ น้ำตาไหลเป็นทาง แต่ไม่มีเสียงสะอื้นแต่อย่างใด
“เพชรร้องไห้ทำไม” เขาว่า “ผมใจไม่ดีเลย”
“เพชรดีใจค่ะ ที่เราจะได้แต่งงานกันเสียที ต้องรอมานานขนาดนี้ ตั้ง 6 ปีที่เพชรไปเรียน เอสก็ยังอยู่รอ เพชร... เพชรตื้นตันใจยังไงบอกไม่ถูกค่ะ”
ชายหนุ่ม ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะกระซิบเบาๆว่า
“หกปีมันไม่นานหรอกเพชร ต่อให้รออีกเป็นสิบ เป็นร้อยปี ผมก็รอคุณได้ รู้อย่างเดียวว่า ถ้าได้เจอได้อยู่ด้วยกันแล้ว ผมจะไม่รออีก จะรักคุณไปตลอดอย่างไม่ต้องรอฤกษ์ยาม ไม่ต้องรอวันเวลา เพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะไม่มีอะไรมาแยกเราจากกัน”
หญิงสาวพยักหน้าน้ำตายังไหลอยู่ไม่หยุด
“เพชรรักเอสเหลือเกินค่ะ”
“ผมก็รักเพชรมากครับ” เขายิ้มอย่างอบอุ่น “มาผมช่วยถือกระเป๋าดีกว่า เดี๋ยวปวดบ่าอีกทีนี้ต้องไปหาหมอนวดอีกนะ...”
ชายหนุ่มพูดไม่ผิด หกปีมันไม่นานเลย ไม่นานถ้าเทียบกับ ร้อยกว่าปีที่เขาเคยรอหล่อนมา คู่รักทั้งสองคนเดินไปขึ้นรถ ที่พ่อและแม่ต่างก็นั่งรออยู่แล้ว ก่อนที่รถสีดำคันนั้นจะขับจากไป สาวน้อยในเบาะหลังก็หันไปมองศาลาวัดที่หล่อนเพิ่งจากมา หญิงสาวแทบจะเห็นบ้านโบราณแบบฝรั่ง สีเทาสวยขรึม ดูสง่าตัดกับต้นไม้นานาพันธุ์ด้านหลัง เป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งตึก สมมาตร ซ้ายขวาเท่ากัน มีลายฉลุที่ขอบหลังคาที่ปูกระเบื้องสีเทาเข้ม
หล่อนแทบจะเห็นว่าตรงหน้าต่างฝั่งซ้ายมือของหล่อนนั้น มีใครคนหนึ่งยืนรอหล่อนอยู่อย่างใจจดใจจ่อ นับวันนับเดือนคอย ไม่ต่างจากแฟนหนุ่มที่อยู่ข้างๆ หล่อนหันไปหาเขาแล้วก็ยิ้มเบาๆ อุ่นใจที่มีชายหนุ่มอยู่เคียงข้าง บริเวณวัดลับตาไปแล้ว หล่อนไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาเห็นมันอีกเมื่อไหร่ แต่ก็ตื่นเต้นกับบ้านที่เพชรบุรี ที่หล่อนกำลังจะพาพ่อแม่ไปดูมากกว่า เพชร ลืมเรื่องเรือนเทาหลังนั้นไปในที่สุดแค่เพียงรถยนต์คันสวยเลี้ยวพ้นเขตวัดไป
ทุกกิริยาของทั้งคู่อยู่ในสายตาของภิกษุหนุ่มใหญ่ตลอด เขาเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็อดยิ้มอย่างสบายใจไม่ได้ว่า ในที่สุด พวกเขาก็ได้พบกันและกำลังจะไปอยู่กันที่เพชรบุรีอย่างในสัญญาที่ให้ไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน แต่คราวนี้คงไม่จบแบบเดิม ไม่จบแบบเจ็บปวด และเศร้าโศกอีก เพราะในชาตินี้ ทั้งสองเกิดมาสมบูรณ์ เหมาะกันในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะ ฐานะ การศึกษา เพศ และวัย เรียกได้ว่า กลับมาเกิดเพื่อให้ได้ครองคู่กันสมใจ ให้เรื่องราวของทั้งคู่ จบลงอย่างมีความสุข
พาทิศเห็นทั้งคู่เดินจากไปขึ้นรถก็มั่นใจแล้วว่า เขาเห็นหลวงพินิจราชอักษรเดินนำไปอย่างเชื่องช้า มีเส็งถือสัมภาระให้อย่างไม่คิดเกี่ยงงอน
เรื่องราวของทั้งคู่ในปางบรรพ์จบลงได้ด้วยดีแล้วในที่สุด
จบบริบูรณ์
อาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2553
เวลา 19.31 น.
ร้านกาแฟสตาร์บั๊คส์ สาขาสยามพารากอน