ตอน ๑๖
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว คริษฐ์คิด เมื่อมองท้องฟ้าผ่านกระจกหน้ารถยนต์ ขณะรถติดอยู่บนถนนในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางขยับคลายเนคไท และกระดุมเสื้อให้สบายขึ้น หลายเดือนมานี้ เขาเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยใจกับสภาพแวดล้อม เหนื่อยใจกับเรื่องของหัวใจ เหนื่อยใจกับคนรอบกายที่รายล้อม แต่ไม่มีใครเลยที่จะเข้าใจ หรือเห็นใจเขาจริงสักคน ราวกับคนเหล่านั้นเสียสติกันไปหมด....หรือไม่ อาจจะตัวเขาเสียเองที่เสียสติ
คริษฐ์รู้สึกตัวว่า ตนเองกำลังหลงทาง หลงทางในเขาวงกตของความสัมพันธ์ที่ตัวเองเป็นคนทำเงื่อนปมขึ้นโดยไม่รู้ทางแก้ และพันเกี่ยวเข้ารัดคอตนเองแน่นเข้าทุกที ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นจากเบาะข้างกาย เมื่อเขาพลิกมือลงวางโทรศัพท์ลงบนอีกมือหนึ่ง จึงได้เห็นแหวนเงินที่นิ้วนางข้างขวาที่ตนสวมไว้ แหวนที่นิทเชทำให้ ด้วยความตั้งใจ ในทุกรายละเอียดอ่อน เอาใจใส่ แหวนทีมีเพียงชิ้นเดียวในโลก ทำมาด้วยหัวใจรักของใครอีกคน....ทว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
คริษฐ์เริ่มใช้ชีวิตอย่างคนบ้างาน เพราะงานเป็นอย่างเดียวที่ทำให้เขาดับความว้าวุ่นของหัวใจตัวเองได้ เขาจึงทุ่มเทกับมันจนก้าวหน้าเกินกว่าที่คาดหวัง เขาใช้งานเป็นเกราะซ่อนตัวจากข่าวคราวใดๆจากเมืองไทย เขาไม่อยากรับรู้รับฟังอะไร หากการไม่รับสารใดจะช่วยให้เขาตัดใจจากนิทเชได้เร็วขึ้นอีกนิด ให้ตัวตนที่เสียศูนย์ของเขาหายลับไปเสียที คริษฐ์เริ่มเช็คสายที่ไม่ได้รับ ก่อนจะเช็คข้อความเสียงที่ถูกฝากไว้ มีเพียงข้อความเดียวเท่านั้นสำหรับวันนี้
“ไอ้คริษฐ์ กูไม่แน่ใจว่าจะบอกมึงดีไหม.....”เสียงเพื่อนสนิทของเขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ คริษฐ์รอฟังเงียบๆ
“นิทเชรถคว่ำ อาการสาหัส กูรู้ข่าวนี้เมื่อเย็นนี้เอง....” คริษฐ์จำไม่ได้ ว่าเพื่อนของเขาฝากข้อความใดๆไว้อีก ได้ยินเพียงเสียงหัวใจตนเองถูกฉีกกระชากออกจากอกนี้ โดยไม่ทันแม้แต่จะตั้งตัว
คริษฐ์พยายามติดต่อเพื่อนที่เมืองไทย แต่ด้วยเวลาที่ห่างกันร่วมสิบชั่วโมง จริงไม่ได้ความคืบหน้าอะไร ชายหนุ่มเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง กระวนกระวาย ว้าวุ่น บางคราวก็นึกโทษตนเองทื่ไม่อยู่กับนิทเชในเวลาแบบนี้ แต่แล้วกลับเกิดคำถามอื่นขึ้นกับตนเองอีกเช่นกัน
‘อยู่กับนิทเชในถานะอะไร?’ เพื่อนหรือ? ครั้งสุดท้ายที่เป็นเพื่อนกันเมื่อไหร่หนอ..สิบปีที่แล้ว?
‘คนรักเก่าหรือ?’ แล้วถ้านิทเชพบใครใหม่แล้ว เขายังจะสนใจเราอีกทำไม? คริษฐ์คิดด้วยความว้าวุ่น เขานั่งลงที่ปลายเตียงของตัวเอง ทอดมองเหล่าภาพใหญ่น้อยที่ตั้งไว้ที่โต๊ะหัวเตียง
มือแข็งแรงนั้นเอื้อมไปคว้ากรอบรูปนั้นขึ้นมา ภาพตัวเขาเองที่ก้มลงผูกเชือกรองเท้า ดวงหน้าก้มเล็กน้อยๆ พร้อมกับดวงตาราวกับคนกำลังครุ่นคิด คริษฐ์แกะรูปนั้นออกจากกรอบ ไล้มือแผ่วเบาลงรูปนั้นด้วยเพราะคิดถึงคนที่ถ่ายรูปใบนี้ ก่อนจะพลิกดูด้านหลัง คำห้าคำที่เขียนด้วยลายมือคุ้นตา ทำให้คริษฐ์ยิ้มจางกับตัวเอง ‘ใช่ว่าไม่รักกัน’ เขาจ้องมองตัวอักษรนั้น คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอย่างเงียบๆ
‘คริษฐ์ชอบเราตรงไหนกัน?’ นิทเชในความทรงจำ ทำตาโตถาม ในอดีตที่เคยมีร่วมกันมา ในวันที่เขารวบรวมความกล้าเข้าไปบอกรัก
‘เชน่ารักดี เป็นคนมองโลกในแง่ดี ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจ’
‘ทั้งที่เราหน้าจืดๆเหมือนเต้าหู้ขาวอย่างนี้นะหรือ?’ เจ้าตัวพูดพลางหัวเราะร่า
‘เต้าหู้ขาวใช่ว่าไม่อร่อยนิ จริงไหม?’ ดวงหน้าขาวๆนั้นซับสีเลือด ตัดกับเสื้อสีขาวสะอาดของชุดนักศึกษาที่อีกฝ่ายสวมใส่
คริษฐ์ไม่เคยวาดฝัน ว่าอายุขัยความรักของตนจะยืนยาว เขารู้เพียงว่านิทเชยังเป็นที่รักเสมอ ยิ่งนานวันเข้าความผูกพัน กลับพันผูกให้คนสองคนเหนียวแน่นยึดติดต่อกัน ความรักที่มีมากเกินไปทำให้ตัวตนของทั้งคริษฐ์และนิทเชกลับจางหาย และพวกเขาแสร้งเป็นมองไม่เห็นมาหลายปี เก็บกักความอึดอัดเอาไว้กับอก สุดท้าย ความรักที่ต้องจบ ทั้งที่ยังรัก คริษฐ์ยังจำรอยยิ้มสดใสของนิทเชได้ จำสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายในยามที่ทำสิ่งที่รัก จำสัมผัสผิวเนื้อ กลิ่นเฉพาะตัวของอีกฝ่ายได้แม่นยำนัก ชายหนุ่มหลับตาลง...ขบคิด และตัดสินใจ
๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖
นิทเชจำได้ว่าตนเองตื่นขึ้นพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้า สองตามองเห็นแต่เพียงฝ้าเพดานขาวสะอาดราวกับโลกทั้งใบมีเพียงสีขาวและดำ ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตระหนก เสียงฝีเท้าเร่งร้อน ไม่กี่อึดใจต่อมา นิทเชได้ยินเสียงเรียก เสียงเรียกชื่อของเขาเอง นิทเชทำได้แต่เพียงเบือนหน้าไปมอง คนกลุ่มหนึ่งทอดสายตาเป็นห่วงระคนโล่งอก นิทเชเพียงแต่มองดูเงียบๆ มองหาบางอย่างจากคนกลุ่มนั้น ทว่าไม่เจอ
ร่วมอาทิตย์ถัดมา นิทเชออกจากโรงพยาบาลได้ อาจเพราะนิทเชยังต้องชดใช้กรรมอีกมากมาย เขาจึงยังมีเวลาบนโลกใบนี้ต่อไปราวกับปาฏิหาริย์ ด้วยดวงหน้าบวมช้ำ เนื้อตัวเป็นจ้ำเขียวเคล็ดทั้งตัว และกระดูกมือขวาที่แตกแทบละเอียด เพียงเพราะชั่วระยะที่เกิดอุบัติเหตุ เขากลับคว้ากล้องตัวหนึ่งกอดไว้แน่น...นับเป็นโชคดีของนิทเชที่กล้องตัวนี้ปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน นอนนิ่งในกระเป๋าให้เขาลูบคลำเล่น ในขณะที่รถทั้งคันแทบกลายสภาพเป็นเศษเหล็กหลังอุบัติเหตุ มือบางลูบคลำกล้องในกระเป๋าเล่นเบาๆ สัมผัสเป็นตามผิวขรุขระของตัวกล้องอย่างถนอมยิ่ง แม้อายุใช้งานของมันจะนานมากแล้วก็ตาม
‘มันแพง!’ นิทเชยังจำเสียงอุทานของตัวเองได้
‘แต่เชชอบมันไม่ใช่หรอ ผมรู้ว่าเชมาลูบๆคลำๆมันมาหลายทีแล้ว....แทบจะทุกครั้งที่เราแวะมาที่นี่’ นิทเชยังจำได้ว่าอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างไร
‘เชจะเก็บเงินซื้อเอง อีกไม่กี่เดือนก็ได้แล้ว’
‘ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันครบรอบปีที่สี่ ให้ผมได้คืนอะไรกลับให้เชบ้าง....ได้ไหม?’ นิทเชคิดแล้วก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ทุกครั้งที่คริษฐ์ทำสายตาอ้อนวอน ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะขัดขืนได้
แล้วในตอนนี้นิทเชเหลืออะไรบ้าง?....เจ้าตัวพยายามคิดหาคำตอบให้ตัวเอง งานของนิทเชหยุดชะงักเพราะบาดเจ็บเช่นนี้ ทำงานไม่สะดวกเท่าใดนัก หากโชคร้าย มือข้างถนัดนี้อาจใช้ได้ไม่เหมือนเดิม นิทเชอาจมีเพื่อนฝูงรายล้อมรอบกาย แต่จะมีใครบ้างเข้าใจเขาอย่างที่ใครคนหนึ่งเคยเข้าใจ แต่น่าเสียดาย.....ความรักครั้งหนึ่งทำให้ทั้งคู่ต่างสายตามืดบอด ลบเลือนตัวตนของกันและกันอย่างช้าๆ จนสุดท้าย จึงจากกันทั้งที่รัก ทำให้คริษฐ์ที่นิทเชรู้จัก หายลับไปอย่างน่าใจหาย นิทเชตักอาหารค่ำของตนเข้าปากอย่างทุลักทุเล สำหรับมือข้างที่ไม่ถนัด พลางทอดสายตามองแมวหลงตัวหนึ่งที่ลักลอบเข้ามาในบ้านเขา ด้วยสภาพผอมโซ นิทเชจึงใจอ่อนแบ่งอาหารให้ ทั้งที่รู้แมวจร ประเดี๋ยวก็จากไป
นิทเชเงี่ยหูฟังเสียงรอบกายทั้งบ้านเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงน้ำที่ไหลจากก๊อก กระทบลงบนจานเซรามิก เสียงใบไม้เสียดสีกัน ในยามที่สายลมอ่อนเบาของฤดูฝนพัดผ่าน นิทเชกำลังใช้ความคิดอย่างเงียบๆ ว่าจะจัดการกับจานชามที่เคยสะอาด แต่บัดนี้มีคราบติดแน่นด้วยมือเพียงข้างเดียวอย่างไร นิทเชสะดุ้ง เมื่อมือคู่หนึ่งยื่นเข้ามารับหน้าที่ต่อจากเขา มือแข็งแรงนั้น ขัดล้างจานใบนั้นเบาๆ โดยไม่มีเสียงใดดังไปกว่าเสียงของน้ำ เพียงไม่นาน จานใบนั้นก็กลับไปสะอาดดังเก่า ราวกับไม่เคยถูกใช้งานใดๆ
“กลับมาทำไม?” นิทเชถามขึ้น หลังจากคนทั้งสอง ไม่ได้ปริปากแม้แต่ทักทาย
“กลับมาหานิทเช” สายตาที่มองกลับมายังนิทเชนั้น มองมาด้วยสายตารวดร้าว ห่วงหา ขณะที่มือแข็งแรงนั้น คล้ายจะแตะลงบนรอยบอบช้ำที่ใบหน้า ทว่าไม่มีแม้ปลายก้อยที่สัมผัสลงไป
“เชอยู่ได้”
“ผมรู้” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นกล่าวเพียงแผ่วเบา
“ผมรู้ว่าเชอยู่ได้ .....แต่ผมอยู่ไม่ได้” นิทเชมองตามชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าตนนี้ ก้มกายลงอุ้มเจ้าแมวจรเอาไว้ โดยไม่นึกรักเกียจเนื้อตัวสกปรกของมัน
“เช...ขอโทษที่เคยว่าคริษฐ์ว่าเป็นคนไร้หัวใจ” นิทเชพูดพลางยิ้มเจือจางอยาในหน้า
“เพียงแต่เวลา...ทำให้คริษฐ์เป็นคนแข็งกระด้างต่างหาก”
“ก็อาจจะใช่ เวลาที่ห่างกันของเรา ไม่ใช่แค่ให้เราตามหาตัวตนของเรากลับมาเท่านั้น แต่กลับทรมานหัวใจเราด้วย จริงไหม?”
ทั้งคู่เงียบไปนาน รอบกายพลันเงียบสงัด มีเพียงเสียงใบไม้ ที่ถูกลมพัด คราวนี้ไม่ใช่เป็นเพียงสายลมอ่อนๆ ทว่าบางคราวกรรโชกพัดบางคราวแผ่วผ่าน
“งานที่ทำสนุกไหม?”
“สนุก! บางทีวันนี้ถ่ายรูปกรุงเทพ พรุ่งนี้ถ่ายรูปงานวัด มะรืนไปถ่ายรูปที่ชายแดนไม่ก็เข้าป่าเป็นเดือนๆ!”
“ ผมก็สนุก! วันนี้ทำผิด พรุ่งนี้ทำผิด มะรืนนี้ก็ยังผิด ทำตัวผิดๆมาเป็นปีๆ!”
คนกล่าวแย้มรอยยิ้มอ่อนจาง รอยยิ้มที่หัวใจนิทเชโหยหามาแสนนาน อีกครั้งที่คนทั้งคู่เงียบงัน ทำเพียงทอดสายตามองเงาของตนเองและอีกฝ่ายโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ จะเอ่ย ด้วยเพราะความรู้สึกในหัวใจดวงนี้ ซับซ้อนเกินกว่าจะหาคำใดบรรยายออกมาได้ ปล่อยให้เงาของทั้งสองคนที่ตามติดเจ้าตัวไปทุกหนแห่ง บอกเล่าบางอย่างโดยไร้สุ้มเสียง เงาร่างสูงใหญ่ที่ทอดยาวกว่าเงาอีกเงาหนึ่งนั้น เอื้อมมือมาคว้ามือข้างดีของอีกเงากอบกุมไว้เงียบๆ สัมผัสของมือนั้นเย็นชื้น แค่เพียงมือข้างนั้นสัมผัส ร่างของนิทเชกลับสั่นสะท้าน
“ความผิดของผม คิดว่าคนอื่นจะยกโทษให้หรือเปล่า?” เงาของนิทเชกำลังส่ายหน้าเบาๆ
“แล้วความผิดของผม เชจะยกโทษให้หรือเปล่า?” นิทเชไม่ได้ตอบ เพียงแต่ทอดมองเงาของมือสองข้างที่กลับมากอบกุมกันไว้อีกครั้ง ก่อนที่เขาจะบีบกระชับเบาๆ ปล่อยให้เงาของคนสองคนสื่อสารกันในความเงียบต่อไป
คริษฐ์กำลังคิด ว่าวันเวลาให้พิสูจน์แล้ว ว่าเขามีความผิด ผิดที่ตัดสินใจผิดพลาด ผิดที่ไม่อาจทานทนความเหงา ผิดที่ไม่อาจรักใครได้มากกว่าไปเจ้าของเงาเล็กๆนี้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ราวกับจะรวบรวมความกล้า นับแต่นี้ ความผิดใดๆที่เขาได้ก่อไว้ เขายินดีจะรับผลของมันอย่างเต็มใจ...ขอเพียงสิ่งเดียว อย่างให้มีสิ่งใดพรากพลัด คนที่เป็นดั่งเนื้อหัวใจของเขาไป
“คริษฐ์ชอบเชตรงไหน?” คนถูกถามหัวเราะกับคำถามนั้น ทั้งที่ใครฟังอาจจะไม่เห็นขัน
“ เต้าหู้ขาวสำหรับผม อร่อยเสมอแหล่ะ”
นิทเชหัวเราะ มือที่กอบกุมกันไว้ ถ่ายเทความอบอุ่นอ่อนโยนสู่หัวใจอีกฝ่ายดังเก่าก่อน อาจเพราะอายุขัยความรักของคนทั้งคู่ยังไม่สิ้น นิทเชนึกสงสัย ว่าอายุขัยความรักของตนเองนั้น จะดำรงอยู่อีกนานเท่าใด ทว่าคริษฐ์กลับมั่นใจนัก ว่าความรักจะอยู่กับตน ตราบจนสิ้นลมหายใจ
“ผมกำลังคิดว่า จะย้ายกลับมาประจำสาขาเดิม”
“งานก็ก้าวหน้าดีไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ ก้าวหน้าดีมากเชียวล่ะ แต่ผมจะเลือกอยู่ที่นี่” นิทเชมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ที่บ่งบอกถึงการตัดสินใจอย่างแน่นหนัก
“แต่เชไม่ออกจากงานง่ายๆหรอกนะ” น่าแปลก...นิทเชที่เคยเอาแต่โอนอ่อนผ่อนตามกลับยืนกรานหนักแน่นเช่นกัน เพราะนิทเชรู้ ขอบเขตของการรักตนเองก่อนใครๆนั้น ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เพื่อทำร้ายใคร แท้จริงแล้วเพื่อตนเองทั้งนั้น
“เอาไว้เชอยากได้คนช่วยหิ้วกระเป๋ากล้องเมื่อไหร่ คริษฐ์ว่างเสมอ ดีไหม?”
“แหม ค่อยคุยกันง่ายหน่อย”ทั้งคู่หัวเราะ เมื่อนิทเชทำเสียงโล่งใจ
นิทเชมองดวงหน้าคมสันที่มีเค้าอิดโรยนั้น เขามองริมฝีปากหยักสวยนั้นที่เคย ยกยิ้ม หรือแม้แต่กล่าววาจาเชือดเฉือนนั้น มองดวงตาที่เหน็ดเหนื่อยนั้น ฉายประกายต่างๆหลากหลาย รัก หลงใหล หนักแน่น หรือแม้แต่ ‘เป็นสุข’ นอทเชหลับตาลง เมื่อริมฝีปากนั้น สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน รู้สึกถึงร่างกายที่สั่นสะท้านของตนเองในอ้อมแขนใครอีกคน
เวลาร่วมปีที่ผ่านพ้นไปอย่างยากลำบากนั้น ได้พิสูจน์แล้ว ว่าทุกการกระทำ ทั้งที่สร้างรอยสุข ทั้งที่ทิ้งรอยทุกข์ ล้วนแล้วแต่มาจากสาเหตุเดียว อาจเพราะหัวใจของทั้งคู่ ระลึกได้เสมอ ความรักของพวกเขาจึงยืนหยัดผ่านกาลเวลา ทั้งเป็นสุข นิ่งเฉย หรือเป็นทุกข์มาได้ ด้วยสองหัวใจนึกรู้ ทำการกระทำนั้น ทำลงไปด้วยเพียงสาเหตุเดียว
‘มิใช่ไม่รักกัน’
โปรดติตามบทส่งท้าย
ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์~
จากตอนนี้ หลายคนอาจจะอ่านเเล้วไม่อิน อ่านเเล้วนอยด์ๆ ให้กลับไปรับยาเเก้นอยด์ที่ตอนสอง ถ้ายังนอยด์อยู่ให้ตีลังกาอ่าน (ไม่ใช่ละ)
เอาน่า อีกหน่อยเขาก็ไปจากติลาเเล้ว เห็นไหม เมศไม่ใจร้ายน๊า
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น
ตอนหน้าส่งท้ายรักไร้การเเน่นอนเเล้วนะคะ