ตอน ๑๒.๒
ไตติลาคิดมาตลอด ว่าช่องว่างของเวลาร่วมห้าสิบปีนั้นเกิดขึ้นจากอะไร ทว่ามันเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้ ด้วยหลักการที่อธิบายได้ อพาร์ทเม้นต์เจในส่วนห้องนั่งเล่น สว่างด้วยแสงไฟ ทำให้ไตติลารีบก้าวขายาวๆ ไปตามทางเดินที่ทำจากกรวดก้อนเล็กๆ ด้วยความรีบร้อนนั้น จะลื่นที่บันไดขั้นบนสุดของชั้นหนึ่ง มือทั้งสองข้างที่ยันกับพื้นตามสัญชาติญาณ จึงเป็นแผลถลอก และเลือดซึมน้อยๆ ทว่าไตติลาไม่สนใจ เขารีบลุกขึ้นราวกับไม่เจ็บ ก่อนจะก้าวยาวๆต่อไปจนถึงประตูหน้าห้อง ตัวหนังสือสีทองบนบานประตู สะท้อนแสงจากไฟถนนด้านนอก ไตติลาไขประตูเปิดด้วยหัวใจระทึก
“กลับมาแล้วหรือ?” ไตติลายิ้มรับกว้างขวางกับเสียงที่มาจากหลังเคาท์เตอร์ครัว
“เช็คของเดือนนี้สอดไว้ใต้ประตูแล้วนะ” รอยยิ้มของไตติลาระเหยไปอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทักเขานั้นไม่ใช่ใครที่รอคอย แต่เป็นรูมเมตของเขาเอง
“ขอบใจมาก วิทโตลิโอ้”
“เฮ้ เสื้อเลอะแน่ะ”รูมเมตของไตติลาว่าพลางชี้มาที่เสื้อสีอ่อนที่ไตติลาใส่วันนี้ มีรอยสีแดงคล้ำเปรอะ
“อ้อ หกล้มนิดหน่อยน่ะ” ไตติลาว่า ก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้ครัวของตนเอง หยิบแก้วน้ำรองน้ำดื่ม
“ใกล้สอบไฟนอลเหมือนกันสิ?” ไตติลายิ้มรับจางๆ เมื่อรูมเมตขอตัวกลับเข้าห้อง ไตติลาจึงรั้งไว้
“วิทโตลิโอ้รู้จักผู้ชายเอเชี่ยน สูงหน่อยๆที่ชื่อกษิดิสหรือเปล่า?” รูมเมตของไตติลานิ่งคิดอยู่อึดใจ
“ไม่นะ ไม่เคยรู้จักเลย”
“อย่างนั้นหรือ” ไตติลาจ่อมจนลงสู่ห้วงคิดตัวเองอีกครั้ง
ไตติลาทิ้งกายลงนั่งที่ปลายเตียง อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาพยายามเรียบเรียงสิ่งที่รับรู้จากสมองที่เหนื่อยล้าของตนเอง เขามีกระดาษเก่าหนึ่งใบที่เก่าจนกรอบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีพยานคนที่บอกว่า ไม่เคยรู้จักกษิดิส ทั้งที่เจ้าตัวว่าเป็นเพื่อนกัน ที่สำคัญมีเอกสารระบุภาพ และปีที่เป็นอดีตนับไปจากปัจจุบันร่วมห้าสิบปี ไตติลาไม่เชื่อว่ากษิดิสจะเป็นคนขี้โกหก ไตติลายืนเต็มความสูง ตรงดิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าฝั่งที่ใช้เก็บของ วันนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรอยู่ในช่องที่เขาเคยเก็บกระดาษขึ้นมาได้ เขาออกแรงยกที่นอนเก่าขึ้น คลานไปตามผืนพรม ก่อนจะใช้มือถือส่องสว่างด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้าง ล้วงลงไปในซอกเล็กๆนั้น ไตติลาได้กระดาษปึกบางๆออกมาหนึ่งปึก ตัวกระดาษมีสภาพเดียวกับใบก่อนหน้า
“แบบบ้าน?” ไตติลาฉงน เมื่อคลี่กระดาษปึกนั้นออกมาทีละแผ่นอย่างเบามือยิ่ง ลายเส้นปากกาดำคุ้นตาคุ้นใจในกระดาษแผ่นไม่ใหญ่นักมีรายละเอียดของแบบ เหมือนอย่างที่ผู้วาดเคยพูดให้ไตติลาฟังพลางขีดเขียนลงในกระดาษ แม้ไตติลาจะอ่านแบบได้ไม่ปรุโปร่งอย่างผู้ชำนาญ แต่ก็พอเข้าใจ
ไตติลายังจำดวงตาคู่นั้นได้ ในยามพูดถึงสิ่งที่ตัวเองรัก ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายน่าหลงใหลอย่างไร กระดาษแผ่นอื่นๆในปึกก็เป็นภาพลายเส้นของอาคารต่างๆที่มีสถาปัตกรรมโดดเด่น ทว่าไม่มีแผ่นใดเลยที่พอเป็นเบาะแสได้ ไตติลาถอนหายใจ ตัดสินใจตรึงภาพแบบบ้านหลังนั้นไว้กับบอร์ดของตนเอง ด้วยเกรงว่าหากพับแล้วคลี่ออกมาอีกครั้ง กระดาษจะขาดไปเสียก่อน มือนวลนั้น รื้อบอร์ดที่ใช้หมุดยึดกระดาษหลายใบออก ภาพๆหนึ่งจึงร่วงลงมา ภาพที่เคยมีไตติลาและกษิดิส ชัดเจน กลายเป็นภาพที่เสียไปเกือบครึ่ง เนื่องจากภาพทางฝั่งกษิดิสเป็นสีขาวมาจากมุมภาพ ลามมาจนถึงดวงหน้าคมสันของกษิดิสทำให้เหลือเพียงเลือนลาง
“คุณดิส...” ไตติลากำลังรอคอย รอให้กษิดิสเป็นผู้อธิบายให้ฟังว่า ช่องว่างของเวลาที่หายไปนี้ ควรจะเติมเตมอย่างไร
จนคล้อยดึกแล้ว ไตติลายังคงรอคอยอย่างเงียบเชียบ ใจหนึ่งก็คิดเข้าข้างตนเองว่า ต่อให้ดึกแค่ไหนกษิดิสก็จะมา ทว่าอีกใจหนึ่งกลับนึกกลัวว่า เมื่อกษิดิสมาแล้ว จะเริ่มพูดกันอย่างไร ไตติลานอนขดบนเตียง พลางมองรูปภาพที่ครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีขาว ด้วยความอับจนหนทางที่จะติดต่อกษิดิส ขบคิดสิ่งต่างที่ได้พบอย่างคนหมกมุ่น ลางสังหรณ์บางอย่างเต้นเร้าอยู่ในอก ว่ามีเรื่องบางอย่างไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น ไตติลาสะดุ้ง เมื่อโทรศัพท์มือถือของตน สั่นพลางส่งเสียงเพลง
“ว่าไงแหม่ม?”
“ติลา แหม่มจะชวนไปด้วยกันหน่อยวันพรุ่งนี้” ไตติลาซุกหน้าลงกับหมอน เขาไม่อยากจะออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว
“ไปไหน จะสอบแล้วนะแหม่ม ยังจะเที่ยวอีกหรอ?”เพื่อนสาวรีบหาเห ตุผลมาตอบ แต่ในหัวไตติลากลับไม่อยากรับรู้
“แกไปเหอะ พอดีเป็นตาแดงน่ะ” ไตติลาเลือกที่จะโกหก เพื่อนสาวยังซักไซ้ต่อไปอีก จนไตติลาชักเริ่มรำคาญอย่างไม่มีสาเหตุ
“หาหมอไหม?”
“ไม่ล่ะ จะอยู่บ้านจนกว่าจะหาย” เพื่อนรักทั้งสองเงียบไป ไตติลาอึดอัดอยู่ในอก เหมือนมีความลับมากมายที่อยากจะระบายเพื่อให้คลายลงบ้าง
“แหม่ม แกว่าคนเราจะย้อนเวลาได้หรือเปล่า แบบเดินทางย้อนเวลา หรือ เดินทางไปอนาคต”
“เฮ้ย ดูหนังมากไปหรือเปล่า?”
“ไม่สิ เอาจริงๆ”
“มันมีแต่ในนิยายหรือหนังแหล่ะ”
“แล้วถ้าฉันเจอใครบางคนที่เขามาจากอดีตที่เวลาห่างกันห้าสิบปีล่ะ?”
“ติลา....แกเล่นยาหรือเปล่าเนี่ย?” แหม่มถามอย่างไม่แน่ใจ แม้ไตติลาจะเป็นเพื่อนที่ดี เป็นคนดีๆคนหนึ่งที่เธอเจอ แต่ไตติลาก็มีบางด้านที่เธอเองก็เข้าไม่ถึง
“นี่คิดได้แค่นี้หรือไง!” ไตติลาถามเสียงแข็งอย่างโกรธจัด
“ติลา ช่วงนี้เราเหมือนไม่ได้เป็นเพื่อนกันเลย” เพื่อนสาวพูดด้วยเสียงเศร้า ไตติลาไม่อยากรับรู้ แค่ชีวิตเขาคนเดียวก็วุ่นจนเกินไปแล้ว
“ถ้าเป็นเพื่อนกันหมายถึงต้องตัวติดกันตลอด ถ้างั้น...อย่าดีกว่า” ปลายสายเงียบไปหลายอึดใจ
“ติลา เราเป็นเพื่อนกันนะ ทำไมต้องพูดแบบนี้”
“แหม่ม เราอยากอยู่เงียบๆ “
“เอาเลย! อยู่เงียบๆ ให้กลายเป็นคนไม่มีสังคม เอาให้เต็มที่ไตติลา จะได้รู้เสียทีว่า ตัวเองไม่มีใครจะคบขนาดไหน!” นี่เป็นครั้งแรกที่แหม่มขึ้นเสียงใส่แบบนี้ ไตติลาเอง ก็โกรธเกินกว่าจะรับฟังและซึมซับอะไรจากใครได้อีก เพื่อนรักสองคนที่แม้จะทะเลาะกันบ้าง แต่ครั้งนี้ คือรุนแรงที่สุด จึงหมดเรื่องจะพูดกัน ไตติลากดวางสายเหมือนคนไร้เยื่อใย ก่อนจะเห็นว่ามือตนเองทั้งสองข้างมีแผลที่ยังสดใหม่
“เจ็บ”
ไตติลาพยายามรอคอยอย่างอดทน ทว่าทุกวินาทีที่เวลาเดินผ่านไป เหมือนไฟแผดเผาหัวใจไตติลา เขาเกลียดการรอคอย ยิ่งการรอคอยอย่างที่ไม่รู้ที่สุดสิ้นแล้วยิ่งเกลียดสุดบรรยาย จากวินาที เป็นนาที จากนาที เป็นชั่วโมง จนเป็นวัน จนสี่วันผ่านไปแล้ว ไตติลากำลังจะเป็นบ้า โกรธ หงุดหงิดงุ่นง่าน สับสน คิดถึงและซึมเศร้า ห้องทั้งห้องดูบีบแคบลงทุกขณะ จนไตติลาอึดอัด อยากจะหนีออกไป ทว่าอีกใจกลับเกรงว่าจะคลาดจากกษิดิส...คนที่ไตติลาคิดถึงสุดหัวใจ
“คุณดิส ติลาจะเป็นบ้าอยู่แล้ว” ไตติลาเดินไปตามผืนพรมอย่างเลื่อนลอย หลายวันมาแล้ว ไตติลากวาดสายตาที่หล่อรื้นด้วยน้ำตาไปรอบห้องที่ว่างเปล่า ก่อนน้ำตาหยดแรกจะร่วงริน น้ำตาที่ไม่มีใครมองเห็น
“ติลา ติลาใช่ไหม?” เจ้าของชื่อรีบมองไปที่เงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าต่างห้องครัว ด้วยหัวใจหวัง มือนวลรีบเช็ดน้ำตา ก่อนจะเปิดประตูด้วยความยินดียิ่งที่การรอคอยแสนทรมาน จบลงเสียที
“ติลา เป็นอะไร? ทำไมถึงเป็นแบบนี้บอกพี่สิ” รอยยิ้มบนดวงหน้าไตติลาระเหยหายราวหมอกควัน ด้วยเพราะคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่ตั้งตารอ ไตติลาปิดประตูโดยไม่ฟังเสียงใดๆทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าบานประตู หนีบแขนที่ยืนออกมาขวางไว้เต็มแรง
“เจ็บ! ไตติลาเธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย!” คริษฐ์ตวาดเสียงดังจนไตติลาตกใจแลยอมปล่อยประตู
“ทำไมครับ ผมจะเป็นบ้าแล้วใครจะทำไม”เสียงที่เปร่งออกไปนั้น ราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง มันฟังดูแหบแห้ง และเย็นชา
“กับคนที่คุณทิ้งๆขว้างๆ คุณจะมาสนใจทำไม หรือว่าคุณนิทเช ก็ทิ้งคุณเหมือนขยะมาเหมือนกัน เอ๊ะ หรือคุณนิทเชจะจืดไปเสียแล้วจนถึงเวลาต้องหาใหม่เสียที” ไตติลายิ้มมุมปาก ราวกับได้รับชัยชนะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายสีหน้าบิดเบี้ยว
“จะมากไปแล้วนะไตติลา เธอจะเป็นบ้าอะไรก็เป็นไป แต่อย่าพูดถึงนิทเชอย่างนั้น เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
“แล้วผมเกี่ยวกับพวกคุณหรือ คุณคริษฐ์เองไม่ใช่หรือที่เข้ามาทำใจดีกับผม เพียงเพราะต้องการเพื่อนแก้เหงา”
“แต่เธอก็ขี้เหงาพอให้ชั้นเล่นสนุกด้วยไม่ใช่หรือ” คำพูดนั้นทิ่มแทงเข้ากลางอกไตติลา รสชาติของมันเจ็บแสบนัก
“ยังไม่ตายเสียก็ดีแล้ว เพื่อนเธอโทรมาขอร้องให้มาดูเธอหน่อย รู้ไว้เสียด้วย” คริษย์หุนหันเดินลงส้นเท้าหนักๆออกไปพร้อมกับเหวี่ยงประตูอพาร์ทเม้นต์เจปิดตาเหลังอย่างแรง
“หึหึหึ” ไตติลาหัวเราะออกมา พลางยกมือปิดหน้า น้ำตาที่ไร้ค่าหลั่งออกมาไม่ขาดสาย
ความสับสน และการรอคอยอันไร้ที่สุดสิ้น ทำให้ไตติลาเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป
เดาว่าคนอ่านคงจะไม่ปลื้มเเน่ๆ เมศวางเเผนไว้ว่า จะจบในสิบห้าตอน ปัจจุบันที่ลงบลอคไว้ ซัดไปตอนที่15เเล้วค่ะ ซึ่งอาจจะยืดไปอีกตอน เเล้วขึ้นภาคใหม่(ดีไหมคะ) ซึ่งก็ เดาว่าคนอ่านไม่ปลื้มเเน่นอน 5555+
เเต่เอาน่า...เดี๋ยวเมศจะหาทางเเก้ให้(เเบบไหน???)นะคะ กร๊ากกกก
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค๊า