A's Diary 11
18 มิ.ย.
ผมนอนฟุบมองโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะ น้องๆหลายคนทยอยมาแล้ว แต่บีก็ยังไม่มา จริงๆวันนี้ผมว่าจะโทรไปหาบีนะ อยากถามน้องดูว่าวันนี้น้องจะให้ผมมารับไหม....แต่ผมคิดว่าน้องคงมีคนมาส่งแล้วล่ะ ถ้าน้องอยากให้ผมมารับคงโทรมาหาผมแล้ว....ผมกลัวที่จะทำอะไรๆ เกี่ยวกับน้อง ด้วยความที่ว่าหากผมทำอะไรผิดพลาดไปแม้เพียงนิดเดียว ผมอาจจะสูญเสียน้องไปอย่างง่ายดาย
“พี่เอ....หวัดดีครับ” อ้นเดินมาไหว้ผม ก่อนจะเดินเอากระเป๋าไปเก็บ ผมเห็นอ้นแล้วก็อดใจไม่ได้ที่จะถามถึงบี
“อ้น....แล้วบีล่ะ” ทันทีที่ผมพูดจบอ้นก็หันมามองผมแล้วทำหน้าเซ็งๆก่อนจะพูดว่า
“ไม่รู้มัน” พูดจบน้องก็เดินไปนั่งอยู่บนเบาะ แล้วก็นั่งบ่นอะไรงึมงำๆคนเดียวไม่รู้ ก่อนที่พวกต้นกล้าจะเดินเข้าไปนั่งจับกลุ่มด้วย ผมนั่งมองน้องๆนั่งคุยกันเล่นกันอย่างสนุกสนาน แล้วจู่ๆภาพที่ทำให้ผมแปลกใจก็เริ่มขึ้น เมื่อโทรศัพท์ Nokia 5800 สีดำลอยละลิ้วออกจากมือของอ้น หมุนคว้างไปตามแรงเหวี่ยง ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ค่อยๆร่วงลงมาด้วยการฉุดรั้งจากแรง G
“ตุบ!! ตุบ ตุบ ตุบ.....” เสียงโทรศัพท์กระแทกเข้ากับพื้นเบาะแล้วกลิ้งไปตามแรงส่งที่ยังมีหลงเหลืออยู่ก่อนจะหยุดแน่นิ่งกับพื้นไป อ้น นั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สายตาของเพื่อนๆที่นั่งอยู่ด้วยในขณะนั้นก็อึ้งไม่แพ้กันกับผม ผมไม่รู้ว่าน้องๆเข้าใจเหตุผลที่อ้นโยนไปหรือเปล่า แต่ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เข้าใจ ผมยังไม่ทันจะลุกไปถามถึงสาเหตุของเหตุการณ์ อ้นก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปตำแหน่งที่โทรศัพท์นอนนิ่งอยู่ก่อนจะหยิบขึ้นมา อ้นยืนพินิจอยู่พักหนึ่งก่อนจะทำแบบเดิม ผมนั่งมองแบบอึ้งๆ เพื่อนๆอ้นก็เฮโลกันเข้าไปให้กำลังใจอ้นกันใหญ่ ทีนี่ผมชักห้ามความสงสัยในใจไว้ไม่อยู่แล้ว ผมลุกเดินไปหาอ้นแล้วถามว่า
“อ้น ทำอะไร”“ปาโทรศัพท์” พูดจบอ้นก็หันกลับไปทำการปาโทรศัพท์ต่ออย่างสนุกสนาน
“เฮ่ย ไมได้หมายความว่าแบบนั้น แต่พี่หมายถึงว่า จะปาโทรศัพท์ไปทำไม” อ้นหันกลับมามองผมอีกครั้ง ก่อนยื่นโทรศัพท์มาวางไว้บนมือผม
“อยากได้เครื่องใหม่”“.....”“พี่ปาบ้างซิ” อ้นจับมือผมเหมือนจะให้ผมรีบปาเหมือนที่น้องทำ
“ทำไมต้องปาล่ะ เกี่ยวอะไรกับเครื่องใหม่”“ก็อ้นอยากได้ HTC Desire ไม่ก็ Google Nexus.....พี่ ปาๆ....” น้องพูดเร่งเร้าให้ผมปาโทรศัพท์
“แล้วทำไมต้องปาโทรศัพท์ล่ะ” ผมถามคำถามเดิมกลับไป เพราะอ้นยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย
“ก็ม๊าบอกว่าให้เครื่องนี้เสียก่อน แต่ให้มันเสียเอง ห้ามทำหาย ห้ามมีรอยกระแทก ห้ามแกะเครื่อง ห้ามโดนน้ำ”“.....” “พี่ปาๆ” อ้นจับมือผมแล้วเขย่าๆ
“ตุบ!! ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ” เสียง Nokia จูบเข้ากับพื้นเบาะจังๆ แล้วกลิ้งไปตามแรงส่งที่ผมเหวี่ยงออกไป (พี่เอแย่มากส่งเสริมน้องในทางที่ผิด: จากต้นหอม)
“อ๊า!! สุดยอด” อ้นหันมาพูดกับผมก่อนจะวิ่งไปเก็บ มือถือขึ้นมาดู แล้วก็ส่ายหน้า
“มันยังไม่ดับด้วยซ้ำขนาดปาตั้งหลายรอบแล้ว” อ้นบ่นกับเพื่อนๆ ส่วนเพื่อนๆต่างเข้ามาออกความเห็น หาแนวทางทำให้ Nokia เครื่องนี้พังโดยไม่อยู่ในเงื่อนไขของคุณแม่น้องอ้นกันอย่างหลากหลาย
ระหว่างนั้นเอง ผมก็เห็น C-Class คันที่คุ้นเคยมาจอดที่หน้ายิม ประตูรถเปิดออก ครับ...น้องสาวบีกระโดดออกมาก่อนเลย ตามด้วยบี ที่ใส่ชุดมาเรียบร้อยขาดก็แค่สายที่ยังไม่ได้คาดเหมือนเมื่อวาน แล้วก็เหมือนเคย บีมานั่งทำการบ้าน พอทำเสร็จน้องก็มาซ้อม ปล่อยให้น้องสาวนั่งชะโงกมองตามอยู่ที่โต๊ะคนเดียว ยามพักก็มีกิจกรรมใหม่จากน้องอ้นมาให้เพื่อนๆเล่นกัน แต่ไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าเล่นสักคน มีแต่เฝ้าคอยให้ความเห็นเท่านั้น ส่วนผมเหรอ...ฮ่ะๆ ก็เล่นด้วยหน่ะซิครับ แหม โทรศัพท์ราคาตั้งหมื่นกว่าบาท จะมีสักกี่คนได้เอามาปากันแบบนี้
พักหนึ่งน้องบีคงจะทนไม่ไหวอยากมาแจมด้วย น้องบีค่อยๆคืบคลานมาอย่างช้าๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ข้างๆอ้นแล้วถามอ้นว่า
“ถ้าเขาปาบ้าง เอ็งจะโกรธเขาไหม” บีพูดจบอ้นก็หันมามองหน้าบีแล้วตอบว่า
“เอาซิ ห้ามทำเครื่องเป็นรอยก็พอ” พูดจบเท่านั้นแหละ อ้นก็ยื่นโทรศัพท์ให้บี แล้วบีก็เหวี่ยงลงบนพื้นอย่างแรงจนโทรศัพท์กระดอนขึ้นจากพื้นสูงเกือบ 2 เมตร ก่อนจะลงมากลิ้งแล้วนอนแน่นิ่งเหมือนทุกครั้ง
เห็นบีท่าทางสนุกกับการปาโทรศัพท์ผมเลยฉวยโอกาสนี้เข้าไปตีสนิทกับน้องสาวของบี
“สวัสดีครับ”“.....” น้องสาวบีไม่ตอบแต่หันมามอง
“ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอ”“.....” ยังคงไม่มีคำตอบใดๆกลับมา
“.....”“......”“อยู่ ป. อะไรแล้วเราอะ”“.......”“พูดได้เปล่าเราอะ”“......”“ถ่านหมดเหรอ”“......”“......” ผมนั่งมองหน้าน้องสาวบีอย่างสงสัยว่าเด็กคนนี้จะพูดได้หรือเปล่า หรือว่าหูไม่ได้ยิน
“นี่กี่นิ้ว” ผมชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว
“.......”“รู้ป่ะนี่ตัวอะไร” ผมหยิบตุ๊กตาจระเข้ของอ้นขึ้นมา
“........”“แล้วนี่อะตัวอะไร” ผมหยิบตุ๊กตาปลาหมึกกล้วยของอ้นขึ้นมา
“.......”“เนี่ยะๆ เคยเห็นจระเข้กินปลาหมึกกล้วยเปล่า ดูๆ” ผมก็เอาปลาหมึกกล้วยเข้าปากจระเข้
“......”“แหม๋ มันเหนียวมากๆเลยนะเนี่ยะ ถ้าเป็นปลาหมึกจริงๆคงจะดี ฮ่าๆๆๆ” ผมพากษ์เป็นเสียงจระเข้ พร้อมกับทำให้ดูเหมือนกับจรเข้กำลังกินปลาหมึกกล้วยอยู่
“......”“เฮ้อ.....” ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะนั่งชันเข่า น้องเล่นไม่ขำเลย ปรกติเล่นแบบนี้นี่ฮากันทั้งยิม ไม่ใช่ว่าฮาเพราะจระเข้ กับ ปลาหมึกกล้วยนะครับ แต่ ฮา เพระาผมเล่นนี่แหละ
“อิอิอิ” เสียงหัวเราะเบาๆดังออกมา ผมว่าหูผมไม่ฟาด มันดังออกมาจากน้องสาวของบีแน่ๆ ผมหันไปมอง จริงด้วยครับ น้องเค้าหัวเราะนิ๊ดๆ เหมือนตลกที่ผมจนปัญญาจะทำให้เธอพูดได้
“พี่ก็รู้ว่าหนูอยู่ ป.5 แล้วยังถามอีก” น้องสาวบีพูดขึ้น พลางชี้ไปที่สมุดเรียนที่เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
“นั่นซินะ”“อิอิอิ พี่นี่ตลกจัง” อืมมม....ไปได้สวยแล้วน้องสาวบีก็ยอมคุยกับผม อาจจะดูเขินอายบ้างบางที แต่ก็นะ น่ารักดี.....ดวงตา กับ ร้อยยิ้มมีเสน่ห์เหมือนพี่ชายไม่มีผิด น่ารักไม่ใช่เล่นๆเลยทีเดียว โตขึ้นคงจะเป็นสาวสวยใช่ย่อยเลย แล้วประเด็นการคุยอย่างหนึ่งที่ผมอยากรู้....เรื่องทางบ้านของน้อง.....ดีไหมถ้าผมจะแอบถามเอากับน้องสาวบี.....อืมมม....
ระหว่างที่พี่ป้อมเรียกน้องๆไปเข้าแถว ผมก็ค่อยๆตะล่อมถามเรื่องทางบ้านของบีจากน้องสาวเค้าไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องเกี่ยวกับคุณพ่อ คุณแม่ ซึ่งน้องสาวบีก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง แต่ผมไม่อยากให้น้องรู้สึกว่าผมไปคาดคั้น หรือ อยากรู้มากมาย เลยถามไปแกมตลกขบขัน ซึ่งมันก็ยากอยู่พอดู ข้อมูลที่ได้มาก็ประมาณว่า คุณแม่น้องบีดูจะรักแล้วก็ดูแลน้องสาวน้องบีมากๆ ส่วนคุณพ่อก็จะรักแล้วก็ดูแลบีมากเป็นพิเศษแต่ที่ฟังๆดูเหมือนว่าคุณพ่อน้องบีจะเป็นคนโมโหร้ายใช่เล่น แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าบีถูกทางบ้านให้เงื่อนไขอะไรไว้เกี่ยวกับการมาซ้อมเทควันโดหรือเปล่า
แล้วระหว่างที่คุยกัน จู่ๆ C-Class ของบ้านน้องบีก็มาจอดอยู่หน้ายิม แล้วแม่น้องบีก็ลงมา ก่อนจะเดินเข้ามาในยิมแล้วตรงมาหาผม.....ผมยกมือไหว้ คุณแม่น้องบีรับไหว้แล้วยิ้มให้ก่อนจะพูดว่า
“พี่เอ วันนี้ให้น้องบีกลับก่อนได้ไหม” “ได้ครับ” พูดจบผมก็หันไปมองบี ซึ่งตอนนั้นผมก็เห็นบีหันมามองผมอยู่แล้ว ผมเลยกวักมือเรียกน้อง บียกมือขออนุญาตพี่ป้อม ก่อนจะวิ่งออกมาหา
“บี ม๊ามารับแล้ว” ผมพูดจบบีก็หันไปมองคุณแม่ ก่อนจะหันไปมองนาฬิกา
“18.25” บีเดินหยิบกระเป๋าก่อนจะเดินคอตกตามคุณแม่ออกไป แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าเศร้าๆ ก็กลายเป็นยิ้มแย้มหลังจากบีคุยอะไรสักอย่างกับแม่ขณะกำลังจะขึ้นรถ ผมเห็นน้องยกมือไหว้ปลกๆก่อนจะวิ่งกลับเข้ายิม ผมเดินเข้าไปถามบีก็ได้ความว่า คุณแม่น้องบีจะพาน้องบีไปทานข้าว แต่น้องบีไม่ไป แล้วก็จะให้ผมไปส่งที่บ้าน อืมม.... ในที่สุดก็ได้ไปส่งน้องอีกครั้ง แต่ท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึม
ก่อนเลิกประมาณ 10 นาที พี่ป้อม กับ คุณโค้ช ก็ให้น้องๆนั่งลงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะแจกใบประกาศ และสาย*1แล้วระหว่างเรียกให้น้องๆมารับสายก็มีปัญหาเกิดขึ้นครับ สายหายไปหนึ่งเส้น ซึ่งเป็นสายของอ้น
จากการสอบถามน้องๆว่ามีใครแปลกหน้าเข้ามาที่ยิมหรือไม่ ก็ได้ความจากว่านว่า มีรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยผมมาหาผมก่อนที่ผมจะมาถึง ว่านเห็นว่าเค้าน่าจะสนิทกับผมเลยไม่ได้ระมัดระวังอะไร แล้วช่วงหนึ่งว่านก็ให้พี่คนนั้นเฝ้ายิม ก่อนตัวเองจะวิ่งไปร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง พอกลับมาพี่เค้าก็ขอตัวกลับพอดี ครับ ของแบบนี้คนที่เล่นเทควันโดไม่มีใครเค้ามาขโมยกันแน่นอน แล้วรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยคนที่ว่านพูดถึงคือน้องเก่ง น้องที่ค่อนข้างหยิ่งคิดว่าตัวเองรู้แล้วก็เข้าใจในกีฬาเทควันโด ทั้งๆที่เล่นมานับรวมชั่วโมงได้ไม่ถึง 100 ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ด้วยการช่วยเหลืออันน่าสังเวชจากโค้ชที่ให้เก่งคาดสายในขั้นสูงๆได้โดยไม่ต้องสอบ เก่งก็ยิ่งทะนงตัวเองเข้าไปใหญ่
ครับ น้องเก่ง เค้าเก่งจริงๆ สอนอะไรก็ทำได้ บอกอะไรก็ทำได้ แต่แค่ทำได้ ใครก็ทำได้ครับ แต่ทำดีหรือเปล่านี่ต้องมาดูกันอีกที ไม่รู้ว่ายังไงในเรื่องสายที่หายไป.....แต่อย่างที่บอกว่าถ้าเราเล่นเทควันโดด้วยใจรัก มันไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องขโมย ยิ่งเป็นเด็กในยิมด้วย ยิ่งไม่น่าจะกล้าทำ ณ จุดนี้ผมสงสัยน้องเก่งทันที พี่ป้อม เองก็สงสัยว่าจะเป็นเก่ง เว้นแต่โค้ชเท่านั้นที่ไม่ออกความคิดเห็นอะไร (เพราะเก่งเป็นเด็กของโค้ช) ผมบอกกับพี่ป้อมว่า วันจันทร์ผมจะไปดูที่มหาวิทยาลัย แล้วจะถามจากตัวเก่งด้วย เย็นวันนั้นอ้นเลยหงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่ได้สาย
หลังจากเลิกผมกับอ้น บี ว่าน นั่งคุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วก็เรื่องต่างๆ อ้นนั่งตรงข้ามผม ว่านนั่งพิงไหล่ผม ส่วนบีก็มานอนพิงผมเหมือนเคย เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วน้องๆในยิมกลับกันจนหมดเหลือแค่พวกผมอยู่แค่ 4 คนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“เค้ากลับกันหมดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยะ” ผมพูดขึ้น
“พี่เอ.....บีอยากกินข้าวร้านเปิดใหม่ใกล้ๆนี่อะครับ” น้องบีพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนสุดๆ แล้วทันใดนั้นโทรศัพท์น้องบีก็ดังขึ้นครับ น้องบีรีบลุกไปรับอย่างรวดเร็ว
“ค้าบบบ”“......”“ม่ายๆ ม่ายต้องมารับเดี๋ยวพี่เอไปส่ง”“......”“ม่ายๆ เดี๋ยวพี่เอพาไปกินข้าวแล้ว”“.....”“อิ่ม”“......”“คร้าบๆ แล้วจะรีบกลับ” แล้วบีก็วิ่งมานอนพิงผมต่อ ก่อนจะพูดว่า
“ปะพี่เอ ป๊าบอกให้รีบกลับ”“พี่เอ” ว่านเรียกผม
“ว่าไงว่าน”“ร้านใหม่ตรงไหนอะ” “ก็ข้างๆร้านสะดวกซื้อร้านนั้นไงพี่” บีตอบว่านกลับไป
“ร้านนั้นขายอะไรบ้างล่ะ” ว่านถามกลับ
“ก็ขายข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ข้าวอะไรอีกก็ไม่รู้เยอะแยะ” บีตอบกลับไป
“พี่เอ...ไปกินก๋วยเตี๋ยวเหอะ ผมหิวก๋วยเตี๋ยว” ว่านหันมามองผม แล้วจับมือผมข้างหนึ่งไปกำไว้
“แต่ร้านก๋วยเตี๋ยวเค้าไม่มีข้าวนี่พี่ ผมหิวข้าวอะ” บีพูดขึ้น
“ร้านข้าวก็ไม่มีก๋วยเตี๋ยวเหมือนกัน” อ้นพูดขึ้น
“แล้วอ้นกินด้วยไหมล่ะ” ผมถามอ้น
“ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวผมกิน” อ้นตอบกลับมา
แล้วจู่ๆน้องทั้งสามก็หันมามองที่ผมคนเดียว เหมือนจะให้ผมเป็นคนตัดสินใจอย่างงั้น ครับ.....มติ ก๋วยเตี๋ยว 2 ต่อ ข้าว 1 ผมก็ต้องเลือก..........เลือก......น้องบีอยู่แล้ว หลังจากตัดสินใจเลือกเสร็จผมกับน้องๆก็เดินไปร้านข้าวเปิดใหม่ที่ว่า โดยร้านเป็นแบบตั้งอยู่บนฟุตบาทครับ จะว่ามันเป็นรถเข็นก็ไม่ใช่ เรียกว่าตู้เข็นจะดีกว่า เพราะมันเป็นตู้แล้วมีล้อเล็กๆอยู่ข้างล่าง ส่วนข้าวก็มีข้าวหลายๆอย่าง ชูโรงเลยก็ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ โต๊ะ ที่ให้นั่งทานเป็นโต๊ะพับครับ วางอยู่ 5 – 6 โต๊ะ หน้าร้านสะดวกซื้อที่มากันบ่อยๆนั่นแหละ ตอนนั้นมีลูกค้ามานั่งกินกันอยู่หลายคนเหมือนกัน น่าจะเพราะร้านใหม่มั้งครับ อะไรๆก็ดูสะอาดไปหมด หม้อต้มก็ยังไม่ทันมีรอยดำเลย เขียงก็ใหม่กริ๊บ แทบจะนับรอยมีดที่ถูกสับลงไปได้เลยทีเดียว
หลังจากเลือกโต๊ะนั่งได้แล้ว ทันทีที่ผมวางกระเป๋าบนที่นั่ง ว่านก็เสียบนั่งข้างๆผมทันที น้องบีที่กำลังจะเดินมานั่งถึงกับหยุดกึก ก่อนจะเปลี่ยนไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับผมแทน ส่วนอ้นก็นั่งตรงข้ามกับว่าน ว่านกับอ้นเลือกที่จะไม่ทาน ปล่อยให้บีนั่งทานคนเดียว เหตุผลที่ว่านไม่ทานเพราะว่านไม่ชอบทานข้าว เหตุผลที่อ้นไม่ทานเพราะไม่มั่นใจเรื่องความสะอาด แล้วก็ไม่ชอบของมัน บีทำหน้าเสียหน่อยๆ เพราะเจอทั้งพี่ว่าน เจอทั้งอ้น ทำแบบนี้ ผมเลยพยายามหาเรื่องคุยกลบแรงกดดันจากว่านกับอ้น
“อ้น HTC Desire กับ Google Nexus มันแพงไปไหมอะ” ผมถามอ้น
“ม่ายๆ ของเฮียอาร์ต ราคาตั้งเกือบ 3 หมื่น แล้วดูของอ้นดิ ราคาแค่ หมื่นสามกว่าๆเอง” อ้นบ่นๆ
“แต่อ้นยังเด็กอยู่นะ เฮียเค้า 15 แล้ว”“ม่ายๆ ของเจ๊อ้อมก็เหมือนกัน ใช้ I-Phone เหมือน ไอ้บีเลย แล้วผมอะ ผมอะ ทำไมถึงให้ใช้เครื่องนี้ ผมก็อยากได้เครื่องดีๆ แพงๆเหมือนกันนะ” เห็นอ้นรำเพยดังนั้นบรรยากาศยิ่งแย่หนักกว่าเดิมผมเลยตัดบทไปคุยเรื่องอื่นแทนเน้นเรื่องตลกฮาๆ ระหว่างที่คุยกันคุณพ่อน้องอ้นก็มารับพอดี เหลือแค่ผมว่านกับบี
พอบีทานข้าวเสร็จผมก็ตัดสินใจที่จะไปส่งว่านก่อน พอส่งว่านเสร็จก็ไปบ้านบีต่อ ระหว่างทางผมก็ถามเรื่องที่บ้านบีไปพลางเล่นบีน้อยไปพลาง บีเองก็เล่าให้ฟังถึงรายละเอียดต่างๆว่า
“ช่วงหลังๆมาการเรียนตกพอสมควร ป๊าเลยอยากให้ไปเรียนพิเศษ แต่บีไม่ไป ป๊าเกรงใจอาม่าเลยไม่บังคับ แต่ตอนหลังบีเอาน้องนานะ (น้องหมาพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์) มาเลี้ยง บีไม่ค่อยมีเวลาดูแลน้องเลย กลับจากซ้อมเทควันโดก็ค่ำ ถึงบ้านคนงานก็เอานานะเข้ากรงแล้ว จะมีเวลาดูแลนานะก็แค่วันเสาร์วันเดียว ม๊าเลยบ่นๆว่าบีไม่มีความรับผิดชอบ เอาภาระมาทิ้งให้คนอื่น” แล้วบีก็เล่าเรื่องที่ทางบ้านกดดันต่างๆนาๆมาเรื่อยๆ แล้วก็คำที่คุณแม่ชอบพูดกับบีเสมอๆว่า
“บีเป็นพี่ใหญ่นะ” เลยทำให้บีต้องพยายามฝืนอะไรหลายๆอย่างเวลาอยู่กับครอบครัว
“ส่วนเรื่องเรียนเทควันโด ป๊ากับม๊าไม่ได้ห้ามแล้ว แต่มีกฎว่าห้ามกลับบ้านเกิน 20.00 ส่วนการบ้านต้องเสร็จก่อน 21.00 แล้วต้องเข้านอนก่อน 22.00” ระหว่างที่บีเล่าจู่ๆบีก็จับมือซ้ายผมที่กำลังหยอกบีน้อยอยู่ก่อนจะพูดว่า
“พี่ผมรู้สึกเหมือนปวดฉี่ ขอลงไปฉี่ก่อนได้ไหม” น้องพูดจบผมก็จอดรถ น้องรีบลงจากรถก่อนจะพุ่งเข้าหาพงหญ้าเตี้ยๆริมทางอย่างเร็วราวกับกระต่ายป่าที่ถูกจับขังมานมนานแล้วได้รับอิสรภาพ พอได้ที่เหมาะก็แอ่นให้บีน้อยสู้ลม ท่าทางน้องตอนนั้นเหมือนจะ งงๆ เห็นคล้ายๆจะเอามือไปเขย่าๆบีน้อยด้วย แล้วน้องก็เดินกลับมาขึ้นรถ พอออกรถผมกอดเอามือซ้ายไปวนๆ รอบหัวนมน้องแทน
“บีเมื่อกี้ฉี่ออกไหม” ผมกระซิบถามบีเบาๆ ก้มลงมองเห็นกางเกงน้องเลอะ...นิดหน่อย
“พอวิ่งลงไปก็ไม่ปวดแล้วอะ แต่เหมือนมันจะเล็ดออกมานิ๊ดหน่อยตอนผมวิ่งลงไป....แต่ฉี่ผมแปลกๆ อะพี่” พูดจบบีก็ก้มมองมือผมที่กำลังเล่นนมน้องอยู่
“ฮะๆ ไม่ต้องไปบอกใครนะ”“อื่อ”บีหันมามองผมแล้วพยักหน้า ด้วยสีหน้าเขินอายหน่อยๆ
อืมมม.....อย่างน้อยๆก็สบายใจขึ้นหน่อยที่ทางบ้านน้องบีไม่ได้ให้เลิกเรียน แต่ดันมาไปกดดันน้องในทางอื่นแทนซะงั้น แบบนี้......ผมก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่น้องจะไม่มาเรียนแล้วซินะ
To Be Con
*1
สายสีในกีฬาเทควันโดจะมี ( เรียงตามขั้นต่ำจนถึงขั้นสูงสุด )
1. ขาว : ผู้ฝึกหัด
2. เหลือง : ระดับ 10 - 9
3. เขียว : ระดับ 8 - 7
4. ฟ้า : ระดับ 6 - 5
5. น้ำตาล : ระดับ 4 - 3
6. แดง : ระดับ 2 - 1
7. ดำ : ระดับ 1 Dnd - 10 Dan
ดังนั้นถ้าผู้เรียนสามารถสอบผ่านและเลื่อนสายขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น ก็ต้องใช้สายเส้นใหม่ครับ
เช่น ตอนนี้ผมอยู่สายสีเีีขียว เมื่อสอบเลื่อนขึ้นสายฟ้าได้ ผมก็ต้องใช้สายฟ้าแทนสายเขียว
ซึ่งสายส่วนใหญ่ผู้ฝึกซ้อมจะซื้อเอง ไม่ก็ขอจากรุ่นพี่ที่ตัวเองเคารพมากๆ
ดังนั้นสายของเทควันโดจึงมีความสำคัญมากๆ ไม่ใช่แค่บ่งบอกถึงระดับฝีมือที่สูงขึ้น หรือ ใส่แค่โก้เก๋
แต่มันบ่งบอกถึงความมานะ พยายาม พากเพียร อดทน อุตสาหะ ทุ่มเท จริงจัง ใส่ใจ
เพราะยิ่งขั้นสูงขึ้นเท่าไหร่ รายละเอียด และ ความยากก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นไปเท่านั้น