หลังจากสอบปลายภาคเรียนเสร็จ โรงเรียนก็ปิดเพื่อให้นักเรียนได้เตรียมตัวสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน และแล้วฤดูกาลสอบแข่งขันในรอบโควตาก็มาถึง โดยเป็นการรับตรงของมหาวิทยาลัยในเขตพื้นที่บริการ สนามสอบคือมหาวิทยาลัยในพื้นที่ การสอบใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ โดยสอบวันละหนึ่งถึงสองวิชา
“เป็นไงบ้างจ๊ะลูก ทำข้อสอบได้ไหม” เกศสินีถามไถ่ลูกชายเมื่อกลับมาจากสนามสอบ
“ก็พอทำได้ครับแม่” ต้นข้าวตอบมารดา
‘ทำข้อสอบได้ไหม’ เป็นคำถามที่เพื่อน ๆ ทุกคนทักทายกันเมื่อเจอหน้ากันในวันเปิดเทอมภาคเรียนที่สอง สายฟ้าและต้นข้าวเองก็เช่นกัน แต่มีบางวิชาที่สายวิทย์และสายสังคมสอบไม่เหมือนกัน
หลังจากนั้น เดือนกว่าถึงสองเดือนก็จะมีการประกาศคะแนนผลสอบเอนทรานซ์ ก่อนจะมีการประกาศ ผลโควตาของแต่ละมหาวิทยาลัยตามมา
“ฟ้า คะแนนเป็นไงมั่ง มั่นใจไหม เอาใจช่วยนะ” ต้นข้าวถามไถ่เพื่อนรัก
“ก็น่าพอใจนะ แต่เราไม่รู้ว่า คนอื่นที่เลือกเอนท์คณะเดียวกับเราคะแนนจะเป็นยังไงมั่ง ต้องรอลุ้นต่อไปแหละ นายล่ะ”
“ก็ พอใช้อ่ะ ต้องรอลุ้นเหมือนกัน”
“อืมครับ เออ... ไม่รู้ว่าไผ่จะเป็นยังไงบางนะ” สายฟ้า พูดถึงทิวไผ่อย่างเป็นห่วง
“ก็ไปถามเค้าสิ สนิทกันออกนี่” ต้นข้าวตอบกลับเสียงเรียบ จนสายฟ้าเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของต้นข้าว ว่าจะเป็นแบบนี้ทุกทีที่สายฟ้าเอ่ยถึงทิวไผ่ แต่สายฟ้าก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะชินเสียแล้ว
สองสัปดาห์ต่อมา การประกาศผลโควตาของแต่ละมหาวิทยาลัยที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ซึ่งมันจะเป็นจุดเปลี่ยนผัน และผ่อนคลายความตึงเครียดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาบางคนอาจจะสมหวังบางคนอาจจะผิดหวัง ระคนแตกต่างกันไปตามแต่ความถนัดและความสามารถของแต่ละคน
ต้นข้าว สายฟ้า และทิวไผ่ต่างก็รอคอยอย่างเช่นเพื่อน ๆ ทุกคน เมื่อถึงวันประกาศผลโควตา ต้นข้าวจดจ่ออยู่กับการเปิดเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่ตนสมัครไว้และลุ้นผลอย่างใจจดใจจ่อ โดยมีเกศสินีผู้เป็นมารดายืนให้กำลังใจลูกชายสุดที่รักของหล่อนอยู่ข้าง ๆ
“เย้! ต้นทำได้ครับแม่ ต้นทำได้ ต้นเอนท์ติดครับ” ต้นข้าวร้องออกมาอย่างดีใจและโผเข้าสวมกอดมารดา เธอกอดตอบลูกชายสุดที่รัก อย่างดีใจไปกับความสำเร็จในขั้นต้นของบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัว
“จ้า ลูกชายหม่ามี้เก่งมาก ๆ เลยค่ะ” พูดจบเกศสินีก็หอมที่ข้างแก้มลูกชายสุดที่รักคนเดียวของเธอฟอดใหญ่
“เดี๋ยว ต้นโทรหาสายฟ้าก่อนนะครับ” ต้นข้าวผละจากมารดา แล้วรีบกดโทรศัพท์หาเพื่อนรักของเขาทันที
“แม่ครับ สายฟ้าติดแพทย์ครับแม่ เย้ ! ต้นจะมีเพื่อนเป็นหมอแล้ว ดีใจจังเลย” ต้นข้าวพูดกับมารดาอย่างตื่นเต้น เมื่อคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเสร็จ
“เดี๋ยวต้น ลงไปบอกพ่อก่อนนะครับ” ต้นข้าวดีใจเหมือนกับเด็กที่ได้ในสิ่งที่ตนเองคาดหวังและถูกใจอย่างที่สุด
“พ่อค้าบ...ต้นติดโควตานิติด้วยล่ะ” ต้นข้าวพูดอย่างอารมณ์ดีเข้าไปสวมกอดบิดาที่นั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องรับแขก
“จริงเหรอ ลูก” อรรณพถามลูกชาย
“จริงครับพ่อ สายฟ้าเพื่อนผมติดแพทย์ด้วย ต้นจะได้มีเพื่อนเป็นหมอกับเค้าแล้ว” ต้นข้าวแนบหน้ากับอกของผู้เป็นบิดา
“หึหึ ลูกพ่อเก่งจัง ไอ้เจ้าเพื่อนเราก็ใช่ย่อย งั้นก็ตั้งใจเรียนด้วยกันล่ะ จะได้นำความรู้ที่ได้มาพัฒนาสังคม และประเทศของเรา” อรรณพสั่งสอนลูกชายอย่างรักใคร่ โดยที่มีสายตาของเกศสินีจ้องมองมาที่สองพ่อลูกอย่างเอ็นดู
...
วันรุ่งขึ้นต้นข้าวเดินทางไปโรงเรียนอย่างสดชื่น และเบิกบานอย่างสุดๆ ต้นข้าวเข้าสวมกอดเพื่อนรักทันทีที่เจอหน้า พร้อมแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน ซักพักต้นข้าวก็ตีหน้าเศร้า จนสายฟ้าอดสงสัยไม่ได้
“นี่นายติด เพื่อนติด แล้วเศร้าอะไรล่ะเนี่ย” สายฟ้าถามเพื่อนรักที่อารมณ์แปรปรวนจนเขากำลังปรับอารมณ์ตามไม่ถูก
“ก็ต่อไปนี้ เราก็จะไม่ได้เรียนด้วยกันแล้วสิ คิดดูแล้วมันน่าใจหายนะ เคยเรียน ด้วยกันมาตั้งหกปี อยู่ ๆ ก็จะต้องมาแยกกัน” ต้นข้าวพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“เอาน่า อย่าคิดมากสิ เราก็เรียนที่มหาวิยาลัยเดียวกันนี่นา เพียงแต่คนละคณะเท่านั้นเอง ไม่ได้ไปเรียนไกลกันที่ไหนซะหน่อย อีกอย่าง ปีหนึ่งก็เรียนวิชาพื้นฐานด้วยกันด้วย” สายฟ้าพูดปลอบเพื่อน แต่ความคิดแวบหนึ่งก็ให้ใจหายเพราะต่อไปเขาจะไม่ได้ใกล้ชิดทิวไผ่ คนที่เขาแอบชอบตั้งแต่แรกพบอีกต่อไปแล้ว
“เอ้อ มันก็จริงเนอะ จะเศร้าทำไม บ้านเราก็อยู่ในตัวเมืองเหมือนกัน เรียนก็ที่ ม. เดียวกัน ปะ งั้นเราไปฉลองกัน ดีกว่า โย่ว...” ต้นข้าวกลับมาลิงโลดอีกครั้ง จนสายฟ้าส่ายหัวอย่างปลง ๆ ในความแปรปรวนของเพื่อน
“อืม ชวนไผ่ไปฉลองด้วยกันสิ” สายฟ้าเสนอ แบบหยั่งท่าทีของต้นข้าว
“อ้าว หน้าอย่างไอ้หมอนั่นมันติดด้วยเหรอ คณะอะไรล่ะ หวังว่าไม่ใช่คณะเดียวกับเรานะ ถ้าใช่มีหวังเราสละสิทธิ์ แน่ ...แต่ถึงยังไงเราก็ไม่ไปฉลองกับนายนั่นเด็ดขาด” ต้นข้าวพูดใส่อารมณ์อย่างจริงจัง
“ไม่รู้สิ ว่าคณะอะไร แต่สายเดียวกับนายแหละ โอเค ไม่ชวนก็ไม่ชวน งั้นไปกันสองคนนี่ล่ะ”
สายฟ้าตัดสินใจไม่บอกความจริงเมื่อต้นข้าวยื่นคำขาดแบบนั้น เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้เพื่อนรักของเขาต้องสูญเสียในสิ่งที่รักและกำลังจะได้มันมาอยู่แค่เอื้อม ‘อะไรจะเกิดต่อไปค่อยว่ากันทีหลัง เฮ้อ...’ สายฟ้าปรารภกับตัวเองอย่างหนักใจ
“เอ้อต้น อาทิตย์หน้าคณะเรากับคณะนายนัดตรวจร่างกายและสัมภาษณ์วันเดียวกันนี่นา ตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลใน ม. วันเดียวกัน ส่วนสัมภาษณ์ที่คณะของตัวเองในวันถัดไปน่ะ”
สายฟ้าชวนต้นข้าวคุยระหว่างพักรับประทานอาหารกลางวัน
“อืม งั้นเราก็ไปด้วยกันเลยสิ เจอกันที่หน้าโรงเรียนละกันนะวันนั้นน่ะ ต้องนั่งรถเมล์ออกไปที่ ม. เกือบยี่สิบกิโลฯ เลย” ต้นข้าวนัดแนะกับเพื่อนรักของเขา
อีกสองอาทิตย์ต่อมา สายฟ้ามายืนรอต้นข้าวตามนัดหมายอยู่ที่ป้ายรถเมล์รอบเมืองตั้งแต่เช้าตรู่
“ฟ้ารอนานไหม เราขอโทษนะที่มาสาย” ต้นข้าวลงรถเมล์อีกสาย แล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาเพื่อน
“ไม่เป็นไรหรอก เราก็พึ่งมาถึงเมื่อกี้เองเหมือนกัน เหลือเวลาอีกตั้ง ชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงกำหนดนัดตรวจร่างกาย นั่งรถออกไป ม. ไม่เกิน 30 นาทีหรอก” สายฟ้าตอบต้นข้าว
“นั่นรถเมล์สาย 12 มาพอดี งั้นเราไปกันเถอะ ไปรอที่หน้าตึกโรงพยาบาลดีกว่า” ต้นข้าวเสนอ
“เดี๋ยวสิ รอไผ่ก่อน” สายฟ้าตอบ พลางมองหาทิวไผ่ที่ยังไม่มาตามนัดหมาย
“นี่ นายอย่าบอกนะว่านัดนายนั่นมาด้วยน่ะ ฟ้านายนัดนายนั่นโดยที่ไม่บอกเราก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วนะ ทำไมนายไม่เห็นเราเป็นเพื่อนอีกต่อไปแล้วใช่ไหม”
ต้นข้าวต่อว่าสายฟ้าอย่างขุ่นเคืองเมื่อรู้ว่าเพื่อนรักของเขานัดทิวไผ่ไว้ด้วย
“นี่ต้นมีเหตุผลหน่อยสิ ไผ่เค้าไม่ใช่คนพื้นที่เหมือนเรา เค้าพึ่งมาอยู่ใหม่ นั่งรถเมล์ออกไป ม. ไม่ถูกน่ะ” สายฟ้าตอบแบบเลี่ยง ๆ เพราะเมื่อต้นข้าวโกรธแล้วการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่เป็นผลดีแน่ ๆ ซึ่งเขารู้นิสัยเพื่อนคนนี้ดี
“โตเป็นควาย ไปไม่ถูกให้มันรู้ไปสิ อายเด็กอนุบาลรึเปล่า เด็กมันยังนั่งรถเมล์เป็นเลย” ต้นข้าวยังไม่หายหงุดหงิด เพราะรอใครไม่รอยิ่งมารอคนที่ไม่เคยพูดดีด้วยเลย ตั้งแต่รู้จักกันมา
“อ้าวนั่น ไผ่มาพอดีเลย” สายฟ้า พูดขึ้น
“แหม นายนั่นสำคัญกว่าเพื่อนคนนี้แล้วสิ” ต้นข้าวตัดพ้ออย่างไม่พอใจนัก
“ฟ้า ต้น เราขอโทษด้วยที่ให้รอนาน รถเมล์สายบ้านเราขาดคิวน่ะ เลยช้า ขอโทษนะครับ” ทิวไผ่พูดอย่างรู้สึกผิด และเหนื่อยหอบที่วิ่งลงรถมา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกตั้งชั่วโมงกว่า ยังทันน่า.... ไผ่ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” สายฟ้าพูด
“ไม่เป็นไรได้ยังไง รู้ไหม การรอนายทำให้เราตกรถเมล์ที่จะไป ม. ไปแล้ว” ต้นข้าวหันมาต่อว่าต่อขานทิวไผ่ชนิดที่ว่าได้ทีขี่แพะไล่
“ก็เราขอโทษแล้วไง ถ้ารีบนักทำไมไม่ไปก่อนล่ะ มายืนรอเราทำไม ไม่ได้จ้างให้รอซักหน่อย” ทิวไผ่สวนกลับคนปากร้ายกลับมาอย่างทันควัน
“เฮ้ย...เพลา ๆ กันหน่อยได้ไหม กัดกันอยู่นั่นแหละ ต้นก็นะ ไผ่เค้าไม่ตั้งใจมาสายหรอกนะ แล้วรถเมล์ ไป ม. ใช่ว่าจะมีคันเดียวเสียเมื่อไหร่ ไม่ถึง 30 นาที ก็มาแล้ว”
สายฟ้ายื่นตัวเข้าห้ามศึกตามเคย เมื่อสองคู่กัดมาเจอกัน จนมันกลายเป็นหน้าที่ของเขาไปโดยปริยายเสียแล้ว
“พูดแบบนี้เข้าข้างกันใช่ไหม” ต้นข้าวพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“นั่นรถมาแล้ว จะไปไหมถ้าไม่ไปคันนี้ไปไม่ทันเวลานัดตรวจร่างกายแน่ ๆ” สายฟ้าพูดขึ้นและกวักมือโบกรถให้จอดแล้วเดินขึ้นรถไป ทิวไผ่ผายมือให้ต้นข้าวเดินขึ้นรถไปก่อนอย่างสุภาพบุรุษ แต่ต้นข้าวยืนหน้าหงิกหน้างอกระเง้ากระงอดจะไม่ยอมขึ้นรถง่าย ๆ
“นี่คุณชายค้าบ จะให้ผมอุ้มขึ้นรถไหม” ทิวไผ่พูดแล้วทำท่าจะเดินเข้าไปหา ต้นข้าวจึงได้ก้าวเดินไปขึ้นรถอย่างขัดใจ
ตลอดทางทั้งสามหนุ่มไม่ได้พูดคุยกันเลย ต้นข้าวก็ได้แต่นั่งหน้างอมาตลอดทาง รถเมล์วิ่งเข้าประตูหน้า ม. มา และจอดตรงข้ามทางเข้าโรงพยาบาลภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 100 เมตร หรือต้องข้ามถนนไปนั่งรถไฟฟ้าที่วิ่งภายในมหาวิทยาลัย
ที่หน้าโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ มีรุ่นพี่ของแต่ละคณะมาคอยต้อนรับน้อง ๆ คณะตัวเองที่เดินทางมาตรวจร่างกายในวันนี้เป็นจุด ๆ
สายฟ้าขอตัวจากต้นข้าวและทิวไผ่ก่อนจะแยกไปพบรุ่นพี่คณะแพทยศาสตร์และลงชื่อก่อนเข้าไปตรวจร่างกาย ซึ่งต้องไปฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ ถึงขั้นตอนต่าง ๆ ในการตรวจร่างกายที่ห้องประชุมเอกาทศรถชั้น 4 ของโรงพยาบาล
สายชลนิสิตแพทย์ปี 2 หนุ่มหน้าตี๋สวมแว่นที่เข้ากับใบหน้าหล่อเหลากำลังง่วนอยู่กับการลงทะเบียนรายชื่อของน้อง ๆ ที่มาตรวจร่างกายในวันนี้ หนุ่มน้อยร่างเล็กหน้าหวานเดินเข้าไปหากลุ่มรุ่นพี่ที่ยืนชูป้ายเรียกน้อง ๆ สาขาแพทย์อยู่ด้านหนึ่งของลานหน้าโรงพยาบาล
“น้อง คณะแพทย์ใช่มั้ยคะ” เสียงใส ๆ ของรุ่นพี่สาวสวยคนหนึ่งกล่าวทักทายสายฟ้า
“ครับพี่ สวัสดีครับ” สายฟ้ากล่าวตอบ แล้วยกมือไหว้สวัสดีทักทายรุ่นพี่ก่อนที่รุ่นพี่สาวสวยจะแนะนำให้ไปเข้าแถวลงทะเบียนกับกลุ่มเพื่อน ๆ
“เอ่อ น้องคนต่อไปชื่ออะไรครับ” สายชลเอ่ยถามรุ่นน้องที่ยืนรอลงทะเบียนนอยู่ตรงหน้า
“เศกพิภพ สิทธินนทกานต์ ครับ”
เสียงเพราะ ๆ นุ่ม ๆของหนุ่มน้อยหน้าหวานวิ่งตรงเข้าสู่โสตประสาทของคนฟังจนจับใจ สายชลเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของต้นเสียงนุ่มลึกมีเสน่ห์นั่นทันที หนุ่มน้อยหน้าหวานส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จนคนตรงหน้าแทบละลายเหมือนกับน้ำแข็งในเตาอบก็ไม่ปาน สายชลหลงใหลหนุ่มร่างเล็กคนนี้เสียแล้ว เด็กคนนี้ชั่งน่ารักน่าทะนุถนอมเสียเหลือเกิน เขาจ้องมองสำรวจใบหน้าใส ๆ ไร้ริ้วรอยนั้นอย่างลืมตัว
หนุ่มน้อยเซ็นชื่อเสร็จ และเงยหน้าขึ้นก็ต้องหน้าแดงกร่ำเมื่อพบว่าถูกสายตาของรุ่นพี่จ้องมองอยู่
“พี่ครับ ๆ เสร็จแล้วครับ” เสียงเรียกของสายฟ้าทำให้สายชลตื่นจากภวังค์ และเอามือเกาศีรษะแก้เก้ออย่างอาย ๆ
“เอ่อ ขอโทษครับ พี่ลืมตัวเหม่อไปหน่อย เรียกพี่น้ำก็ได้ครับ น้อง.....”
“สายฟ้าครับ เรียกฟ้าเฉย ๆ ก็ได้ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับพี่” สายฟ้าพูดแนะนำตัวกับรุ่นพี่ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่โต๊ะลงทะเบียนอีกคนเขียนชื่อเล่นใส่ป้ายกระดาษสำหรับแขวนคอยื่นส่งให้หนุ่มร่างเล็ก
“เฮ้ย น้อง พี่ไม่รับประกันนะว่าฝากเนื้อฝากตัวกับไอ้น้ำนี่น้องจะเหลือครบสามสิบสองรึเปล่า เพราะเดี๋ยวจะโดนมันแทะโลมแทะเล็มไม่เหลือแม้แต่กระดูกน่ะสิ พี่ว่า ฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงเพื่อนสาวในคณะแซวสอดแทรกขึ้นระหว่างการสนทนา เล่นเอารุ่นพี่รุ่นน้องอายกันไปตาม ๆ กัน
“นี่แซวอะไร เห็นมั้ยน้องเค้าอายหมดแล้ว เอ๊อ...แกนี่” พูดปรามเพื่อนจบ สายชล ก็พูดแนะนำหนุ่มน้อยหน้าหวานโดยเทคแคร์ดีเป็นพิเศษ เพราะหนุ่มน้อยหน้าหวานผู้นี้ได้ขโมยหัวใจเขาไปซะแล้ว จนเพื่อน ๆ ต้องแซวเป็นระยะ ๆ ก่อนที่สายฟ้าจะขอตัวแยกไป ลงทะเบียนผู้มาตรวจร่างกายกับเจ้าหน้าที่ภายในอีกต่อหนึ่งและรอฟังคำอธิบายจากเจ้าหน้าที่ ที่ห้องประชุมชั้น 4 ของโรงพยาบาล
...