shell ทุกๆคนมักจะมองหาคนที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ

VicOSe ปูเสื่อนานจนหลับยัง

ifwedo แล้วนอนกอดใคร เป็นไงบ้างหล่ะ คงจะนอนไม่หลับสินะ แถมคนโดนกอดสะดุ้ง อุ้ยไรทิ่ม

Se7olution อาจจะรู้สึกมานานหล่ะ พึ่งจะยอมรับ

akitt หง่ะ นายแก้มแดงปะ อยากหอมแก้มแดงๆ

A GE ยังๆๆ ยังไม่เห็นของดีกัน

السلام عليكم น่านมาขี่ตู่เฉย เด่วแฟนที่บ้านหยิกหูเอาหรอก

หมูพูห์ คนน่ารักมีไว้มอง

oaw_eang มาแว้ว อ่านไวดี

มูมู่น้อย บางทีน้อยคนจะรู้สึกตัวได้เร็วไง ว่าสิ่งที่ทำๆๆลงไปเพื่อหาคนที่เติมเต็ม แต่พอเดินทางไปแล้วลืมเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ เลยหลงๆๆไปเรื่อยจนสายเกินไป
eye_can_tell อันนี้คงไม่ต้องบอกนะว่าใครจะเป็นหมาป่า

เพราะเรากัดกัน (ผูกพัน) ตอน กัด
--------------------------------------------------------------------------------
"เร็วสิวะ เร็ว เร็ว โอ้ย ทำห่าอะไรของมึงอีกวะเนี่ย ไอ้เป๋เอ้ย เร็วสิวะ" เสียงตะโกนของทานตะวัน ทำให้อ้อนที่กำลังพยายามใช้ไม้ค้ำยันพยุงขา แทบอยากจะโยนไม้ใส่หน้าของคนที่เร่งรีบ
เหมือนกำลังจะรีบไปไหน แต่ที่เห็นคือไอ้ทานมันแหกปากเสียงดัง แต่มันแอบอมยิ้ม สนุกมากนักใช่มั้ย สงสัยคงสนุกมากเลยใช่มั้ยวะ ที่ได้แกล้ง ไอ้โรคจิตเอ้ย
"เดินห่าอะไรช้าชิบหาย หรือยังไง หรือจะให้อุ้ม ฝันเหรอมึง คนใช้นะ คนใช้ หัดสำนึกไว้บ้างว่าเป็นคนใช้"
อ่อ ก็ใช่ไง เป็นคนใช้ไง ขนาดกูเจ็บขนาดนี้ เมื่อคืนมึงยังให้กูนั่งนวดขาให้มึงสบายใจเฉิบเลย เลวจริง ๆ สองวัน เดินได้ กูก็เป็นเทวดาแล้ว ไอ้โง่ทานเอ้ย
อ้อนแอบด่าคนที่เดินลิ่ว ๆ หิ้วกระเป๋ายืนเรียกอยู่หน้ารถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ไอ้ทานนะไอ้ทาน แม่ง ไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมมันถึงเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอยได้มากขนาดนี้วะ
เดี๋ยวมันก็ทำตัวเศร้า เดี๋ยวมันก็บ้า เดี๋ยวมันก็ด่า เดี๋ยวมันก็ดี ทำดีด้วย แบบเว่อร์ ๆ แต่พอมันคิดอะไรได้หน่อย มันก็จะออกอาการแหกปากด่าเหมือนเดิม
คนแปลก ๆ แบบนี้ เป็นกัปตันทีมฟุตบอลมหาวิทยลัยได้ไงวะ อ๋อ รู้แล้ว ที่ได้เป็นก็เพราะว่า มันรวย มันบ้าพลัง มันด่าใครได้ แบบไม่ต้องสำนึกนี่เอง มันก็เลยเป็นกัปตันทีมได้
อ้อนคิดอะไรไปเรื่อย ขากำลังจะก้าว ก็พอดีกับมีเสียงโทรศัพท์ดังที่กระเป๋าเสื้อ ทำให้คนที่เดินโขยกเขยกต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วยืนนิ่งคิดเพียงชั่วอึดใจ กดรับสาย และกรอกเสียงลงไป
"มีอะไร ผมบอกว่าค้างบ้านเพื่อนแม่ไม่เข้าใจเหรอ รู้แล้ว เดี๋ยวอีกสามสี่วันจะกลับแล้วกัน มีอะไรอีกมั้ย แม่อย่าเซ้าซี้ได้มั้ย แค่นี้นะครับ"
อ้อนวางสายไปแล้ว และยืนมองโทรศัพท์ในมือนิ่ง ๆ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่สบายใจ แต่ก็ทำได้แค่นิ่งคิดอะไรบางอย่างนิดเดียว แล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเสื้อเหมือนเดิม
ใช้ไม้ค้ำยันช่วยพยุงร่างให้ก้าวเข้ามาหาทานตะวันได้เร็วขึ้น แต่เมื่อมาหยุดยืนตรงหน้า ฝ่ามือใหญ่โต กลับผลักให้ร่างที่เดินมาหยุดยืนนิ่ง ๆ ล้มลงกับพื้น
"ทำอะไรวะ กูเจ็บนะ" อ้อนลงไปนั่งกับพื้น พร้อมอาการเจ็บแปลบที่หัวเข่าอีกครั้ง ไม้ค้ำยันหล่นไปอีกทาง และเมื่อเอื้อมมือจะคว้า
คนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้ ก็รีบก้มลงไปคว้าไม้ค้ำยันโยนทิ้งไปอีกทาง อ้อนเงยหน้าขึ้นมองทานตะวัน ที่ยืนท้าวเอว มองหน้าอ้อน พร้อมกับพยักหน้าให้หนึ่งครั้ง
ท่าทางแบบนี้ คงกำลังโมโหอยู่แน่ ๆ หรือว่าจะทำอะไรให้ไม่พอใจอีก
"มึงมีปัญหาอะไรกับแม่นักหนา เขารักมึงขนาดนี้ มึงพูดอย่างนี้เหรอ" เป็นเสียงของคนที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ที่เอ่ยถามอ้อน
แล้วทำไม ยุ่งอะไรด้วย
เป็นคนใช้ไม่ใช่หรือไง
จะยุ่งเรื่องส่วนตัวทำไม ไม่เกี่ยวกันนี่
อ้อนนิ่งเงียบไปแล้ว และพยายามจะเอื้อมมือหยิบไม้ค้ำเพื่อพยุงร่างกายของตัวเองขึ้น
แต่เมื่อเอื้อมมือใกล้จะถึง คนที่ยืนทำหน้าไม่พอใจ กลับเตะไม้ค้ำให้กระเด็นออกไปที่กลางสนาม
เพียงเท่านี้ อ้อนก็รู้แล้ว ว่าวินาทีต่อไปจะเจอกับอะไรบ้าง พายุลุกใหญ่ พายุของคนที่ไม่มีเหตุผล คราวนี้จะทำอะไรอีก ตบหัว ด่า หรือว่า จับเหวี่ยงเล่น ให้มันเจ็บยิ่งกว่าเก่า
แผลที่กำลังจะหายดี จะยิ่งหนักขึ้นอีกแล้วใช่มั้ย
"กูถาม พูดไม่เป็นเหรอ เป็นใบ้หรือไง" นั่นไงล่ะ หาว่าเป็นใบ้ หาว่าเป็นง่อย หาว่าเป๋ แต่พอจะพูดอะไรขึ้นมา ก็ถูกด่ากลับ แล้วจะให้ทำยังไงจะให้พูดอะไรได้อีก
"ไม่มีอะไรจะพูด" อ้อนนั่งอยู่บนพื้นพูดประโยคสั้น ๆ ออกมา แล้วก็ก้มหน้านิ่ง
ไหนบอกให้เดินเร็ว ๆ รีบนักหนา แล้วเป็นบ้าอะไรถึงได้มาหาเรื่องกันอีก จะเอายังไงกันแน่ ไม่รีบแล้วหรือไง
"กูถามว่า มึงมีปัญหาอะไรกับแม่นักหนา ทำไมมึงพูดจาเหี้ย ๆ แบบนี้ใส่แม่ตัวเอง ไม่ได้ยินหรือไง" คราวนี้จากที่ยืนอยู่ ทานตะวันทรุดกายลงนั่งและกระชากคอเสื้อของอ้อน
ตะคอกถามเสียงดัง แต่อ้อนก็ยังเงียบอีกเหมือนเดิม นั่นยิ่งสร้างความหงุดหงิดโมโหให้กับทานตะวันมากขึ้นอีก
"กูบอกให้พูด พูด พูด พูด พูด พูดสิโว้ย" ทานตะวันตะโกนเสียงก้อง แล้วยิ่งเขย่าคอเสื้อของอ้อน โดยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยิ่งเจ็บมากขึ้นหรือไม่
"ก็แล้วพูดทีไร ก็โดนด่ากลับมาทุกที จะให้พูดอะไรวะ" อ้อนตะคอกกลับมา แล้วก็ทำให้ทานตะวันชะงักนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ดวงตาคมจ้องกลับที่ดวงตากลมโตที่แฝงด้วยความโกรธไม่แพ้กัน
"จะให้พูดอะไร ห้ามพูด ห้ามถาม ห้ามทุกอย่าง แล้วจะให้พูดอะไร ทีตัวเองล่ะ พอพูดอะไรไม่ถูกใจเข้าหน่อย ก็ทำแบบนี้ ทำให้เจ็บแบบนี้ แล้วจะให้พูดอะไรอีก ถ้าหาเงินมาใช้หนี้ได้ ถ้าทำให้แม่ไม่ต้องมาลำบากใจ
ถ้าไม่กลัวว่ามึงจะไปฟ้องแม่กู กูจะไม่มานั่งให้มึงแกล้งแบบนี้หรอกนะ แล้วตัวเองเป็นอะไรนักหนา เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็บ้าแหกปากโวยวาย เรื่องส่วนตัวของใครก็ของคนนั้นอย่ามายุ่งได้มั้ย
กูเป็นคนใช้ไม่ใช่เหรอ จะใช้กูทำอะไรล่ะ จะแกล้งกูแค่ไหนล่ะ เอาเลยแล้วกัน แต่อย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัว กูเป็นคนใช้ ไม่ใช่คนในครอบครัวมึง คราวนี้จะทำอะไรอีก ไม่พอใจล่ะสิ เอาเลย จะเตะเล่นจะตบหัว
หรือจะด่ากูอีก ก็เอาเลยเถอะ ยังไงกูก็เป็นขี้ข้ามึงอยู่แล้วนี่ ไม่มีทางไปอยู่แล้ว"
คำพูดยืดยาว คำพูดที่มาพร้อมกับความหงุดหงิดโมโห อ้อนตะโกนด่าอีกฝ่ายกลับไปอย่างนั้น แล้วก็ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตัวเองโดยดี คงได้เจออะไรแน่ ๆ หลังจากพูดจบ ไม่อะไรก็อะไรสักอย่าง
คนอย่างไอ้ทาน มันไม่ใช่คนดีนักหรอก ทำใจยอมรับซะก็สิ้นเรื่อง ยังไงก็หนีสภาพนี้ไม่พ้นอยู่ดี
คอเสื้อที่ถูกกระชากถูกปล่อยลงแล้ว พร้อมกับที่คนที่ตะโกนโวยวาย ลุกขึ้นยืน และเดินไปคว้าไม้ค้ำยัน ที่ถูกเตะไปคนละทิศละทาง กลับมารวมกัน และนำไปโยนไว้ที่เบาะด้านหลังรถ
พร้อมทั้งโยนกระเป๋าเสื้อชุดนักกีฬาไปไว้รวมกัน
ทานตะวันเดินกลับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของคนที่เอาแต่นั่งเงียบ และมองที่หัวเข่าของตัวเองที่มีเลือดซึมออกมา
สิ่งที่อ้อนคิดในตอนนี้ก็คือ เจ็บที่ขา แต่มันก็แค่ เจ็บ
เจ็บ
มันก็แค่เจ็บ
แล้วก็คงไม่หายไปอีกนานเลยล่ะ
คงต้องอยู่ในสภาพนี้ไปอีกนาน ถ้าขืนไอ้ทานมันยังเป็นแบบนี้อยู่ ทำอะไรไม่ได้มันก็ต้องยอมรับสภาพเท่านั้นเอง
ไม่มีคำด่า ไม่มีอารมณ์โมโหโวยวาย ไม่มีพายุพัดพาอีก มีแต่ร่างสูงใหญ่ ที่ทรุดกายลงนั่งและสอดมือเข้าไปที่ใต้หัวเข่าของอ้อน
ช้อนร่างนั้นขึ้น และอุ้มพาเดินมาหยุดที่ประตูรถด้านข้างตรงเบาะผู้โดยสาร
"เปิดประตูซิ" คำสั่งของทานตะวันทำให้อ้อนเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้กว้างขึ้น
แต่ในใจยังอดสงสัยไม่ได้ อีกแล้ว ที่จู่ ๆ ไอ้คนบ้านี่ก็กลายเป็นคนดีขึ้นมา ทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนทำเหมือนคนที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่ในนาทีถัดมา กลับกลายเป็นคนดีขึ้นมาอีก
ดวงตากลมโตเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของคนที่พามาส่งที่รถอีกครั้ง แล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ
ส่วนทานตะวันเดินอ้อมมานั่งอีกด้านของรถและขึ้นไปนั่งอยู่บนที่นั่งของคนขับแล้ว
สิ่งที่คนบ้าบอทำหลังจากนั้น คือ นั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่พูดอะไรอีกเลย เหมือนกับว่าตอนนี้คน ๆ นั้นกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
และเป็นความคิดที่อ้อนไม่กล้าถามเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้ อีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
"แผลเลือดออกอีกแล้ว ไปโรงพยาบาลกัน ไปให้หมอเขาดู ว่ามันอักเสบหรือเปล่า"
บ้าน่ะ ประสาทอะไรอีก จะเล่นอะไรอีก จะทำบ้าบออะไรของมันอีกวะเนี่ย
"อะไรนะ" อ้อนหันหน้าไปถามคนที่ผีเข้าผีออกอีกครั้ง ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ไปหาหมอเนี่ยนะ บ้าหรือเปล่าวะ
"คาดเข็มขัดด้วย ไม่อยากเสียค่าปรับ หยุดถามหยุดพูดอะไรได้แล้ว หุบปากไปเลย"
อ่อ นี่ไงไอ้ทานตัวจริง ถึงเสียงจะเบาลงแล้ว แต่ก็ยังใช้อำนาจอยู่ดี
"แล้วอีกอย่าง เห็นมั้ยว่ามีกระปุกใส่บ้วยอยู่นั่นน่ะ หยิบกินได้ อม ๆ ไปจะได้หุบปากไม่ต้องพูดอะไรอีก รำคาญ"
ถือเป็นคำสั่งหรือเปล่า ที่ให้หยิบบ๊วยหวานในกระปุกขึ้นมากิน ถ้าเป็นคำสั่ง งั้นกินก็ได้ คงไม่ใส่ยาพิษหรอกนะ
อ้อนเอื้อมมือคว้ากระปุกใส่บ๊วยหวานที่วางอยู่หน้ารถ เปิดกระปุก และหยิบเม็ดบ๊วยใส่ปาก ด้วยความไม่เข้าใจ
เออ อร่อยดี แต่มันให้กินทำไม กินเก็ได้วะ กินเข้าไปเผื่อมันจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง ถ้าจะตายห่าก็ช่างแม่งเถอะ มาถึงขนาดนี้แล้ว
"คงไม่คิดจะกินคนเดียวใช่มั้ย"
ไม่คิดจะกินคนเดียว หมายความว่าไงวะ อ้อนก้มลงมองกระปุกบ๊วยแล้วก็หันไปมองหน้าของคนถามอีกครั้ง
หมายถึงให้ป้อนเหรอ บ้า เอาจริงเหรอ ป้อนเนี่ยนะ
"ป้อนเหรอ" คำถามที่ไม่ค่อยแน่ใจกับสิ่งที่ถาม กลับไปเพิ่มความหงุดหงิดโมโหให้กับคนที่เหยียบคันเร่ง และตบมือเข้าที่พวงมาลัยรถอย่างหงุดหงิดโมโห
"โง่ของแท้ เออ ป้อน เรื่องแค่นี้ไม่น่าควายเลยนะมึง"
อ้าว ก็แล้วกระผมจะทราบเหรอครับว่าท่าน จะให้กระผมป้อน ก็พูดเหมือนกับว่าไม่พอแล้วก็กำลังโมโหขนาดนั้น เป็นใครเขาก็คาดไม่ถึงกันทั้งนั้นแหละ
เม็ดบ๊วยถูกส่งให้ที่ริมฝีปากของคนบ้า
แล้วทานตะวันก็อ้าปากรับเอาไว้ แต่ไม่เพียงแค่รับเม็ดบ๊วยเท่านั้น แต่ยังงับนิ้วของอ้อนด้วย
แล้วก็หัวเราะชอบใจ เมื่ออีกฝ่ายรีบดึงมือกลับ และสะบัดมือเพราะความเจ็บ
"โอ้ย ทำอะไรวะ ไอ้บ้าเอ้ย" เป็นเสียงของอ้อนที่อุทานออกมา และหรุบสายตาลงมองที่ปลายนิ้วของตัวเองที่เป็นรอยฟันของคนที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถวันนี้
อ้อนหันไปมองใบหน้าของทานตะวัน ด้วยความไม่พอใจ และพอดีกับที่ได้สบสายตากับดวงตาคมของอีกฝ่ายที่หันกลับมาพอดิบพอดี
ทานตะวันหันกลับไปแล้ว และสนใจกับการมองถนน
ส่วนอ้อนหันกลับมาก้มมองที่ปลายนิ้วของตัวเอง และยังคงนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
"นิ้วหวานกว่าบ๊วยอีกนี่หว่า นึกว่านิ้วจะเค็ม"
คำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของทานตะวัน ทำให้อ้อนต้องหันกลับไปมองอีกฝ่ายให้เต็มตาอีกครั้ง
พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงวะ จงใจแกล้งกันชัด ๆ เลยนี่หว่าแบบนี้น่ะ
"มองอยู่นั่น ตาจะถลนแล้วมึง อยากหอมแก้มกูอีกหรือไง"
บ้าแน่ ใครจะอยากหอมแก้มมันวะ เดี๋ยวแม่งก็ทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ใส่อีก ใครจะไปอยากทำกันล่ะ
"เออ เงียบ ๆ แบบนี้แหละดีแล้ว เป็นแฟนกูพูดมากกูรำคาญ เนอะ.........อ้อน.........."
เป็นครั้งแรก ที่ได้ยินชื่อของตัวเอง แบบไม่มีคำว่า ไอ้ หรือคำสรรพนามแทนตัวแบบที่ทานตะวันเคยใช้เรียกเวลาที่คุยกัน
"อะไรนะ" ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมไอ้ทานถึงได้ทำแบบนี้อีกแล้ว มันชอบทำให้งง กับพฤติกรรมอยู่เสมอ แล้วนี่ล่ะ อะไรของมันอีก
"อ้อนไง ชื่ออ้อนไม่ใช่เหรอเราน่ะ อ้อนก็อ้อน ก็อ้อนไง ทำไม จำชื่อของตัวเองไม่ได้หรือไง"
ชื่อน่ะจำได้ แต่ท่านล่ะ จำชื่อของกระผมได้เมื่อไหร่กัน
"ผมชื่อทานครับ ทานตะวัน ครับอ้อน คราวหลังถ้าจะเรียกชื่อผม เรียกว่า ทานเฉย ๆ ไม่ใช่มึง หรือไอ้ เข้าใจมั้ย ต่อไปผมไม่เรียกเราว่าไอ้เป๋แล้ว เก็ทมั้ย เราน่ะ"
นั่นไง นี่ไง อีกเรื่องแล้ว ที่ทำให้อ้อนตาโต เหมือนไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ฟังกับหู
"เข้าใจมั้ยครับ"
หา เข้าใจมั้ยเหรอ เออ เข้าใจ เข้าใจก็ได้
"ครับเป็นมั้ย" ต้องครับด้วยเหรอ ครับ ก็ ครับวะ
"เออ ครับ"
อ้อนตอบออกไปแล้ว และทานตะวันก็หัวเราะเบา ๆ พอใจกับคำตอบที่ได้รับ และหันไปสนใจกับการขับรถ
ไม่มีคำพูดอะไรอีก ไม่ได้ทะเลาะกัน มีเพียงสายตาที่แอบเหลือบมองกันเป็นระยะ
อ้อนมองนิ้วมือของตัวเอง ทานมองถนน แต่ในไม่ช้า บางครั้งที่เผลอ นัยน์ตาคมจะหันมามองใบหน้าเนียนขาวของอีกฝ่ายนิ่ง ๆ แล้วก็หันไปสนใจกับการขับรถต่อ
อ้อนไม่เข้าใจ
พอ ๆ กับที่ทานตะวันเองก็ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองมันคืออะไรกันแน่
หลายครั้งที่สบตากัน แต่กลับไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งที่เผลอสื่อออกมา มันคือความรู้สึกที่อยู่ลึกภายในใจ และอยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง
เพราะความรู้สึกเล็กน้อยเหล่านั้น มักจะแสดงออกมาในจังหวะที่เผลอทุกที จนแม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยรู้ตัวเลย
ว่าการที่อยู่ใกล้กันนั้นจะเป็นการสร้างสายใยเส้นเล็ก ๆ ขึ้น และพร้อมกับผูกมัดคนสองคนเอาไว้
อ้อนไม่รู้
ทานตะวันไม่รู้
ในเวลานี้ สิ่งที่รู้ คือแม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ ว่ารู้สึกยังไงกับอีกฝ่ายกันแน่
TBC....
โดย aoikyosuke