Wish U Were Here
พอถึงวันงานโรงเรียนเป็นประเพณีอยู่แล้วที่ต้องเชิญนักเรียนจากโรงเรียนบีกับซีมาร่วมงานแต่ไม่เยอะเท่างานแข่งขันกีฬาครั้งที่แล้ว เพราะงานนั้นจะมีขึ้นตอนเกือบปลายปี งานโรงเรียนจัดขึ้นทุกปีมีทั้งศิษย์เก่าศิษย์เก่ามากมาร่วมงานกัน ตั้งแต่ทางเข้าโรงเรียนก็จะมีซุ้มต่างๆของนักเรียนแต่ละชมรมเพื่อจัดนิทรรศการให้เพื่อนๆพี่ๆได้เยี่ยมชมกัน ส่วนตอนเย็นจะเป็นการแสดงปีนี้ตัดให้เหลือเพียงการแสดงเพียงสองชุดคือชุดหนึ่งจากชมรมการแสดงเองและจากชมรมเชียร์ วันนี้นักเรียนทุกคนตื่นแต่เช้าเพื่อมาประจำจุดของแต่ละคนด้วยความตื่นเต้น ไม่มีใครว่างเว้นเลยแม้แต่สักคนเดียว ซุ้มแต่ละซุ้มก็มีการเรียกร้องเชิญชวนให้เพื่อนๆพี่ๆที่มาร่วมงานได้เข้าแวะชมเพราะจะมีการจดสถิติ ชมรมไหนที่มียอดสูงกว่าใครเหมือนจะเป็นชื่อเสียงประมาณนั้น โดยแต่ละชมรมจะสั่งสติ๊กเกอร์สีสันส่วนตัวของแต่ละชมรมเพื่อมาแปะเสื้อให้กับผู้เยี่ยมชม รูปร่างก็แล้วแต่จะจัดทำกันมา ชมรมกีฬาเองไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักเพียงแต่มาจัดซุ้มให้พอเป็นพิธีกับเขาเท่านั้นเอง
“ตื่นเต้นจังเลยอ่ะลุฟท์ ไม่เคยอยู่ในงานโรงเรียนที่ใหญ่แบบนี้มาก่อนเลยอ่ะ”
เม้งพูดขึ้นตอนเดินเข้ามาในโรงเรียน ลุฟท์เองสีหน้าหงอยเหงาลงมากเพราะจากวันนั้นยังไม่ได้เจอกับตัวใหญ่เลย เพราะโฟคเองก็ยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาพอมาเจอที่หอก็หลับไปแล้วเพราะช่วงนี้ลุฟท์งดอ่านหนังสือทุกประเภทเนื่องด้วยร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป สองทุ่มก็หลับเป็นตายใครมาเคาะห้องดังเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น เม้งเองก็เช่นกันเพราะตอนซ้อมเต้นก็ซ้อมกันเอาจริงเอาจัง เพราะมีการเปลี่ยนแผนแค่สามวันล่วงหน้า
“เราก็ตื่นเต้น แวะกินอะไรกันก่อนไหมเม้ง”
“อืมเอาดิ กินน้ำเต้าหู้ไหมลุฟท์ จะได้สบายท้อง”
ลุฟท์พยักหน้าแล้วเดินตามเม้งไปยังร้านขายปาท่องโก๋หน้าโรงเรียน
“อ๊ะ พี่โฟคนี่”
เม้งหันไปหน้าโรงเรียนเห็นโฟคหอบม้วนกระดาษแผ่นใหญ่ตามหลังมาติดๆมีโด่งรูมเมท
“พี่โฟ”
“เม้ง ไม่ต้องเรียก เหมือนพี่เขารีบนะ”
ลุฟท์ห้ามเอาไว้ เม้งอ้าปากค้างเปล่งเสียงออกไปไม่สุด
“อ่าทำไมอ่ะ ไม่อยากเจอตัวใหญ่เหรอ อิอิ”
“ไม่เอาอ่ะ ก็เขาคงยุ่ง”
“อ่านะ ยังงอนไม่หายเหรอลุฟท์”
“เราไม่ได้งอนนะเม้ง กินเถอะจะได้รีบเข้าไปดูซุ้ม”
“เออๆ ไม่งอนก็ไม่งอนแต่ยิ้มบ้างก็ได้นะลุฟท์ หน้าบูดตลอดเลยอ่ะ”
เม้งแซวลุฟท์เองก็ก้มหน้าอย่างเดียวจิบน้ำเต้าหู้ไปเรื่อยๆ
“พี่โฟคๆ ให้โฟนช่วยนะ”
ด้านโฟคหอบกระดาษชาร์ตเพื่อมาแปะบอร์ดของชมรมเป็นการแนะนำตัวนักกีฬาของทางชมรมนั่นเอง เขาวานให้โด่งช่วยเพราะชมรมบาสฯของโด่งไม่มีอะไรทำ
“หือ ไม่เป็นไรน้อง มาช่วยพี่ก็ได้มา”
โด่งพูดแทนเพราะพอโฟครู้ว่าใครก็หน้าเริ่มแดงขึ้นมา ที่แดงเพราะเคืองใจอยู่นั่นเอง
“เออ น้องถามหน่อยสิ วันนั้นเราไปพูดว่าพี่ทำอะไรเราเหรอครับ หือ”
ทิ้งม้วนกระดาษลงจากมือทันที โฟนเองผงะไป
“อ่า โฟนไม่ได้พูดอะไรซะหน่อยนะพี่โฟค”
“ไม่ได้พูด แล้วทไมแฟนพี่เขาไปได้ยินมา จคำพี่ไว้นะ ว่าพี่มีแฟนคนเดียว และไม่คิดมองหาคนอื่น และถ้าพี่จะมีคนอื่น พี่จะมองหาเองไม่ต้องมาตามพี่”
“เฮ้ย ไอ้โฟค ทำไมมึงว่าน้องมันแบบนั้นวะ”
“กูพูดเรื่องจริง อย่ามาวอแวกับพี่อีก แฟนพี่ด้วย ไม่งั้นอย่าหาว่าพี่ไม่เตือน”
โฟคก้มลงเก็บม้วนกระดาษแล้วเดินเข้าไปในโรงเรียนไม่ได้สนใจมอง โฟนเองอ้าปากค้างอยู่ โด่งเองก็อึ้งไม่เคยเห็นที่โฟคเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
“เอ่อ น้องๆ ไปทำอะไรมันเหรอครับ”
“ฟะ โฟนไม่ได้ทำอะไรนะพี่”
ร้องไห้ออกมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไมได้บีบน้ำตาแสดงละครแต่ตกใจจริงๆ เพราะสีหน้าและแววตาของโฟคมันดุดันหมายความอย่างที่พูดจริงๆ โฟนสะอึกไปถอยหลังไปจนติดกำแพงคนที่เดินเข้ามาในโรงเรียนต่างมองเป็นตาเดียว โด่งจึงรีบวิ่งตามโฟคไปเพราะเดี๋ยวมีคนหาว่ารังแกรุ่นน้อง
“อ่า มีอะไรกันแน่ๆเลยอ่ะลุฟท์”
สายตาสองคู่ก็เฝ้ามองดูอยู่ไม่วางตาเช่นกัน ลุฟท์เองใจเต้นแรงตั้งแต่เห็นโฟนวิ่งตามหลังโฟคมาจนโฟคหยุดแล้วทิ้งกระดาษลงจากมือ เฝ้ามองดูอยู่ตลอดเวลา เหมือนว่าจะไม่มีอะไรแต่ทำไมโฟนถึงร้องไห้ เขาคงพูดอะไรกับโฟนแน่ๆ ลุฟท์คิดประมวลผลเองในใจยิ่งคิดเท่าไหร่ยิ่งใจเต้นแรงขึ้นเท่านั้น
“เราไปถามให้รู้ดีกว่าอึดอัด”
เม้งทำท่าจะลุกขึ้น
“อย่าเพิ่งดิเม้ง เราต้องรีบไปเข้าชมรมก่อนไม่ใช่เหรอ”
“อ้าว ไหนนายบอกว่าจะไปดูซุ้มก่อนไง”
“เราไม่อยากไปแล้ว เราอยากไปชมรม”
“ลุฟท์ นายโอเคไหมอ่ะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“เราไม่รู้ เราทำไมใจเต้นแรงแบบนี้นะเม้ง เรารู้สึกแปลกๆ”
บอกความจริงออกมาเพราะด้วยความที่ไม่เคย
“ก็นี่ไงก็อยากให้ไปถามให้รู้เรื่องไง”
ส่ายหน้าทั้งที่อยากจะรู้ว่าเขาคุยอะไรกัน นี่มันอะไรนะ ลุฟท์คิดอยู่ในใจ
“เขาอยากบอกเขาคงมาบอกเองล่ะ”
“อ่า งอนล่ะสิแบบนี้อ่ะ”
เม้งได้แต่ครางออกมาแล้วส่ายหน้าเบาๆ พอเสร็จทั้งสองก็เดินเข้าโรงเรียนไป มีรุ่นพี่บางคนที่มาร่วมงานก่อน มาช่วยงานก็มีเพราะยังคงรักและผูกพันธ์กับชมรมของตนอยู่ กลัวว่ารุ่นน้องจะทำได้ไม่ดีเท่าประมาณนั้น
“น้องๆ อยู่ชมรมไหนครับ น่ารักจังเลย”
พอเดินเข้าไปในโรงเรียน ผู้คนก็มากหน้าหลายตาจำไม่หมดว่าใครเป็นใคร เม้งเดินเคียงข้างลุฟท์แต่สายตาก็มองหาอันนั้นอันนี้ไปเรื่อยไม่มีจุดตก ส่วนลุฟท์เดินก้มหน้าท่าเดียว
“เอ่อ ผมเหรอพี่ อิอิ”
เม้งทำท่าดีใจหันซ้ายหันขวา
“น้องก็น่ารักครับ แต่เพื่อนน้องอ่ะ น่ารักกว่ามาก”
“ฮึ ลุฟท์พี่เขาชมนายอ่ะ”
“ชื่อลุฟท์เหรอครับ น่ารักสมชื่อจริงๆเลยนะ”
“หือ เราเหรอ”
ยิ้มแห้งๆออกไปแต่ก็ไม่ได้สนใจมากรีบเดินเข้าไปในโรงเรียนตรงไปยังห้องของชมรมไม่แวะที่ซุ้มไหนเลย
“อ่า เราอยากกินหนมอ่ะลุฟท์นายเข้าไปก่อนนะเดี๋ยวเราตามไป”
“อือๆ”
ลุฟท์เดินตรงไปยังชมรมทันที พอถึงริต้ากับซาร่าก็รออยู่ก่อนแล้วเพราะยังคงเถียงกันเรื่องชุดไม่ลงตัว
“อ้าวน้องลุฟท์ขา ไม่แวะชมรมอื่นบ้างเหรอคะเนี่ย”
ริต้าเอ่ยทักมา
“ไม่อ่ะครับพี่ ผมอยากมาอยู่ในชมรมเรามากกว่า”
“หือ รีบมาจัง ตื่นเต้นเหรอคะน้องลุฟท์ขา”
ซาร่าเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วพยายามสังเกต
“ครับพี่ มีอะไรให้ผมช่วยทำไหมครับ”
“ว้ายตาย น่ารักจริงๆ พี่สองคนยังคุยกันไม่ลงเลยค่ะว่าจะเอาชุดสีไหนดีระหว่างดำกับขาว เนี่ยไม่ยอมกัน น้องลุฟท์ว่าไงคะ”
ริต้าลองถามความเห็นแต่ก็ไม่ได้หวังว่าลุฟท์จะเป้ฯทางออกหรือเสนอความคิดอะไรมากมายนัก
“เนื้อหามันเป้นเร่องเกี่ยวกับความฝันไม่ใช่เหรอครับพี่ ความฝันผมว่าน่าจะใช้ได้ทั้งสีดำและขาว เพราะภาพในความฝันผมว่ามันมีสีขาวดำนะ”
ทั้งสองสาวมองตากัน
“กรี๊ดด ที่สุดค่ะ เริ่ดมากน้องลุฟท์ขาดีมาก แหมไอ้เราก็มาเถียงกันอยู่ตั้งนานนะยะหล่อน”
ริต้ากรี๊ดออกมาทำท่าดีใจ ซาร่าเองก็ยิ้มอย่างพอใจ
“นั่นสิหล่อน ชุดของความฝันสีขาวก็เอาพวกน้องๆที่ตัวเล็กๆหน่อย ส่วนความฝันสีดำก็ให้พวกที่ตัวเขื่องๆหน่อย ท่าเต้นเราก็แบ่งเป็นสองกลุ่มอยู่แล้ว ต๊ายทำไมไม่มีใครคิดถึงกันนะ”
“แหมก็หล่อนล่ะย่ะมัวแต่เถียงคำไม่ตกฟาก เร็วๆเลยรีบมาจัดชุดแล้วน้องๆจะมากันกี่โมงเนี่ย เสื้อคลุมล่ะเอาสีไหนดี เตรียมาแต่สีดำนะหล่อน”
“ก็เอาสีดำนั่นล่ะ พอเปิดออกมาค่อยให้มันเป็นสีขาวไง”
สองสาวยังถกกันอยู่ ส่วนลุฟท์เดินไปนั่งเหม่อตรงหน้ากระจกห้องของชมรม ริต้าเหลือบมาเห็นพอดี
“น้องลุฟท์ ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าคะ มีอะไรบอกเจ๊ได้นะ”
ส่ายหน้าพยายามยิ้มออกมา
“เจ๊ว่าน้องลุฟท์ของเจ๊คิดเรื่องพี่โฟคใช่ไหมเนี่ย”
คราวนี้เม้มปากแน่น
“ผมไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นเขาอยู่กับคนอ่น ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ครับพี่ ในใจมันเต้น มันรู้สึกแปลกๆ ผม เอ่อ ไม่ชอบเลย”
“โถๆ พ่อคุณของเจ๊ ก็หนูรักพี่เขาแล้วไงคะ นี่ล่ะค่ะความรัก”
“อ่า ความรักมันรู้สึกไม่ดีขนาดนี้เลยเหรอครับพี่”
“อย่ามองมันในแง่ร้ายสิคะน้องลุฟท์ขา ก็ที่เรารู้สึกไปน่ะเป็นความรู้สึกของเราฝ่ายเดียวนี่คะ แล้วได้ถามพี่โฟคเขาหรือยังว่าเขาเองรู้สึกยังไง”
ส่ายหน้าไม่มีคำตอบ
“ไม่ได้เจอกันเลยครับ”
พูดออกมาแล้วถอนหายใจ
“ก็นั่นไงคะน้องลุฟท์ขา เจ๊ว่าน้องลุฟท์ของเจ๊อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยนะคะ พี่พอจักโฟคดีว่าเขาเป็นคนยังไง เขารักใครรักจริง อย่างคราวที่ เอ่อ ช่างมันเถอะค่ะ แต่เชื่อใจเพื่อนเจ๊ได้ว่าคนนี้จริงใจแน่นอน”
“ครับพี่”
“ยังทำสีหน้าไม่ดีอยู่เลยน้องลุฟท์ ไปหาพี่เขาสิจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง เจ๊คิดว่าไม่มีอะไรหรอกนะ”
ลุฟท์พยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องทันที ตรงไปยังซุ้มของชมรมแบดฯ
“ตัวเล็ก”
พอเดินไปยังไม่ถึงที่ดีแต่โฟคหันมาเห็นก่อนจึงร้องทักมาก่อนแล้ววางของในมือทุกอย่างลงแล้วเดินออกไปหา
“มาหาตัวใหญ่เหรอครับ”
“อือ ไม่ได้เจอกันนานนะ ตัวใหญ่”
ก้มหน้าอยู่ไม่ยอมมองหน้า เสียงของเพื่อนๆในซุ้มแซวกันดังระงมไปหมด โฟคเริ่มเขินจึงหันไปต่อว่าเพื่อนๆ
“เฮ้ย เบาๆหน่อยเว้ย น้องกูจะตกใจ”
“อ่ะๆ มีน้องกงน้องกู มีเมียจริงๆแล้วก็คราวนี้ล่ะไอ้ดำ”
“เชี่ยไม้ เงียบไปเลยมึงรีบทำ มึงเห็นไหมคนเริ่มเข้ามาในโรงเรียนแล้วนั่นน่ะ”
พอเริ่มแปดโมงโรงเรียนบีกับซีก็เริ่มทยอยกันเข้ามารุ่นพี่อีกทางเข้าเริ่มแน่นขนัดไปด้วยกลุ่มคน เสียงโฆษกประกาศดังมาจากหอกระจายเสียงของโรงเรียนก็ดังแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดอยู่
“ตัวใหญ่เป็นห่วงตัวเล้กมากนะรู้ไหม ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน ตัวใหญ่ก็วุ่นๆเรื่องงานโรงเรียน ตัวเล็กก็ซ้อมเต้นหนัก เหนื่อยไหมครับคนดี”
“เหนื่อย”
“กินอะไรหรือยังครับ ไปกินข้าวกับตัวใหญ่ไหม”
“พูดอะไรกับเขาเหรอ”
เอ่อ มันโพล่งออกมาเลยนะไม่รอให้โฟคพูดไปมากกว่านี้หรือรอให้ใจร่มลงกว่านี้
“หือ ใครครับ”
“โฟนอ่ะ พูดอะไรกันเหรอ”
พูดออกมาหน้าเริ่มแดง แววตาฉายแววแปลกๆ ที่แปลกเพราะมันเหมือนว่าไม่กล้าที่จะพูดแต่ก็เหมือนว่าพยายามพูดมันออกมา โฟคพอได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนี่ครับตัวเล้ก แค่บอกน้องเขาว่าอย่ามาวอแวกับตัวเล้กหรือตัวใหญ่อีก เพราะตัวใหญ่จะไม่ยอมให้ตัวเล้กเข้าใจตัวใหญ่ผิดอีกแล้ว”
“อ้อ แล้วทำไมโฟนร้องไห้”
“หือ นี่ตัวเล็กเห็นเหรอ อยู่ไหนกันทำไมไม่ออกมาหาตัวใหญ่”
“ก็ ก็ ไม่อยากออกมาอ่ะ ทำไมโฟนร้องไห้อ่ะ”
เหมือนเด็กที่จะเค้นเอาความจริงจากผู้ใหญ่ พอเขาถามคืนก็ตะกุกตะกักไปไม่เป็น
“ก็คงตวาดน้องเขาดังล่ะมั้ง แต่ตัวใหญ่เคยบอกน้องเขาแล้วนะว่าอย่ามายุ่งเพราะว่าตัวใหญ่มีคนที่ตัวใหญ่รักแล้ว นั่นก็คือเราไงตัวเล็ก”
“อ่า”
คราวนี้ยิ้มออกมาได้จริงๆ หน้าแดงก่ำเชียว
“โฟค เป็นไงบ้างไม่เจอซะนาน ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะ”
เสียงทักดังมาจากด้านข้าง รุ่นพี่ที่จบไปแล้วนั่นเอง
“อ้าวพี่จา สบายดีเหรอครับ”
“แหม ทักทายห่างเหินกันจริงๆเลยนะ คนเคยเป็นแฟนกันนี่เขาทักทายกันแบบนี้เหรอ ตอนนี้พี่ก็ยังไม่มีใครนะเว้ยโฟค”
“เอ่อ”
รีบหันมาทางลุฟท์ทันที รอยยิ้มที่เบิกกว้างออกมาเมื่อครู่มันค้างอยู่แบบนั้น
“เฮ้ย พูดเชี่ยไรเนี่ยพี่ เอ้ย ตัวเล็กๆ นี่รุ่นพี่นะไม่ใช่แฟนเก่า”
“อ้าวนี่เด็กมึงเหรอวะไอ้โฟค น่ารักนี่หว่า อะไรวะแหมเคยหวานกับกูแค่ไหนทำเป็นลืมนะมึง”
“เชี่ยเอ้ย พูดห่าไรวะ”
หันมาตวาดรุ่นพี่แล้วหันไปมองหน้าลุฟท์
“เอ่อ เดี๋ยวผมกลับไปซ้อมเต้นต่อนะครับพี่”
“นั่นไง ตัวเล็กๆ มันล้อเล่นนะ มันไม่จริงอย่างที่พี่เขาว่านะครับ”
“อืม”
พยักหน้ารับแล้วหันหลังไป
“ไม่จริงเชี่ยไรล่ะไอ้โฟค แหมได้กูแล้วนะมึง อิอิ”
“เชี่ยเอ้ย มึงจะหยุดไม่หยุด”
เปลี่ยนเสียงเป็นตวาดดังขึ้นมาทันที
“เฮ้ย เอาจริงเหรอวะไอ้โฟค แม่งกูล้อเล่นหน่อยไม่ได้นะมึง”
“ล้อเล่นเชี่ยไรล่ะพี่ มันเพิ่งง้อเด้กมันอยู่เนี่ย”
“อ้าว ซวยแล้วไหมล่ะ มันไม่โกรธหรอกน่า หน้าตาดูฉลาดจะตาย”
“เชี่ยอารมณ์เสีย ไปไกลๆตีนกูเลยนะไอ้พี่จา กูกว่าจะง้อได้ เมื่อกี้ยังยิ้มอยู่เลยมึงเห็นไหม”
“เอาน่ามึง ถ้ามันงอนเดี๋ยวกูไปเคลียร์ให้เอง”
ตอนแรกว่าจะตามไปบอกให้เข้าใจอีกทีแต่ด้วยคนที่เข้ามาในงานเยอะแล้วแต่ซุ้มของชมรมแบดยังไม่ไปถึงไหนจึงต้องรีบทำให้เสร็จ พองานเริ่มลุฟท์เองก็ขลุกอยู่แต่ในห้องของชมรมไม่ไปไหน โฟคเองก็วุ่นจนลืมไปเลยว่าตัวเล้กอาจจะคิดอะไรเกินเลยไปเองก็ได้ ลืมไปเลยจริงๆ พอบ่ายชมรมเชียร์ปิดห้องห้ามเข้าออกเพราะต้องแต่งหน้าแต่งตัว เด็กๆกว่า ๒๐ คนออกันอยู่ในนั้น
“หวายทาตาดำอีกแล้ว น่ากลัวไปป่ะเจ๊”
เม้งร้องออกมา
“นี่ล่ะค่าจะได้เด่น ขอบตาสีไหนก็ไม่ได้ใจเท่าสีดำ อิอิ”
“ชุดของลุฟท์ไม่เหมือนของพวกเราเลยอ่ะเจ๊”
“แหมก็น้องลุฟท์เขาเป็นตัวเอกนี่คะน้องๆขา บอกแล้วนะว่าอย่าอิจฉากัน เพราะบทนี้สร้างขึ้นมาเพื่อน้องลุฟท์โดยเฉพาะ ซาร่าเซสเสร็จยัง”
“น้องเซสไม่ต้องแต่งอะไรมาก แล้วน้องลุฟท์ของฉันล่ะยะ เสร็จยัง”
“จวนแล้วค่า ไหนลืมตาสิคะน้องลุฟท์ขา”
“อ่าลุฟท์ เหมือนไม่ใช่นายเลยอ่ะ”
เม้งร้องออกมา เพราะตาที่กรีดคมทำให้ลูกตาดูใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก
“ยังไงอ่ะเม้ง”
“ก็ดูเข้มขึ้นอ่ะ ลึกลับดี อิอิเราชอบ”
“นายก็เหมือนกันนะ”
พอถึงเวลาของการแสดงคนที่เข้าไปออกันในหอประชุมดูเหมือนจะแน่นขนัดกว่าปีที่แล้วอีก เพราะชื่อเสียงของการแสดงของปีที่แล้วทำให้ใครหลายคนกลับมาที่นี่ แม้แต่รุ่นพี่เองก็ตามที และครั้งนี้ก็นับเป็นการทิ้งทวนงานก่อนงานสุดท้ายของสองสาวและชมรมเชียร์ ผู้คนออกันแน่นจนจะขยับไม่ได้ทีเดียว การแสดงของชมรมการแสดงเริ่มขึ้นก่อนเป็นการแสดงจินตลีลาประยุกต์โดยเอาเนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากวรรณคดีไทยเรื่องลิลิตพระลอ การแสดงดำเนินไปเรื่อยๆแต่เสียงของผู้ชมก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรมากนัก
“เอาล่ะครับเพื่อนๆพี่ๆทุกคน เวลาที่เราทุกคนรอคอยมาถึงแล้ว รอกันอยู่ไหมเนี่ย”
เสียงพิธีกรบนเวทีประกาศขึ้นหลังจากการแสดงของชมรมการแสดงจบลง เสียงของผู้ชมดังสั่นหวั่นไหวขึ้นทันที
“ขอเสียงเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆของเราหน่อยครับ ชมรมเชียร์”
“กรี๊ดดดดด”
คือมันเป็นเสียงกรี๊ดจริงๆ น้องๆหลายคนที่เคยอยู่มัธยมต้นมาตอนนี้กรี๊ดกันออกหน้าออกตา คนที่เพิ่งขึ้นชั้นมัธยมปลายก็ไม่น้อยหน้ากัน
“มาค่ะลูกๆ เต็มที่ไปเลยนะคะ ปีนี้เราต้องสร้างชื่อให้เหมือนกับปีที่ผ่านมา จัดไปค่าทุกคน”
ริต้าเรียกน้องๆมารวบรวมแรงใจกันเช่นเคย จับมือกันแล้วร้องเฮขึ้น
“น้อลุฟท์ของเจ๊ขา สีหน้าไม่ดีเลย ไหวไหมคะลูก”
ซาร่าเดินมาจับบ่าของลุฟท์ไว้ ลุฟท์พยักหน้าในใจยังคิดวกไปเวียนมาอยู่ ไม่รู้ว่เป็นอะไรทำไมใจมันไม่ยอมเต้นในจังหวะที่ปกติเสียที
“มีอะไรจะบอกพี่โฟคไหมคะ”
“หือ ทำไมครับพี่”
มองหน้าซาร่าอย่างสงสัยกับสิ่งที่เธอพูดออกมา
“ก็เวลาเราแสดงก็ให้เต็มที่ไงคะ พี่เชื่อว่าโฟคเองคงจะดูอยู่และเป็นกำลังใจให้น้องลุฟท์ของเจ๊ อีกอย่างเขาน่าจะอ่านใจของน้องลุฟท์ออกนะคะ”
ลุฟท์พยักหน้า แล้วเดินไปประจำจุด เม้งเดินเข้ามาจับมือแล้วพยักหน้าให้กัน
“เอาล่ะครับ ก่อนจะเริ่มการแสดงทางทีมงานสุดสวยของเรามีอะไรจะบอกนิดหน่อยครับ เชิญคร้าบ ริต้าสุดสวย”
เสียงโห่ฮาดังขึ้นคละกันกับเสียงกรี๊ด
“ไม่ต้องโห่ค่า ทำไมคะเจอคนสวยต้องโห่ด้วยเหรอ อิอิ เอาล่ะๆ การแสดงวันนี้ของชมรมเชียร์ อยากให้เพื่อนๆพี่ๆ น้องๆทุกคนมองว่ามันเป็นแค่การแสดงนะคะ น้องๆที่แสดงก็ทำกันเต็มที่ ตีมของการแสดงชุดนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่อยากจะสื่อว่า การให้โอกาสคนคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด อย่าให้อะไรในใจมาบดบังโอกาสที่ดีเลยนะคะเพราะว่าถ้าหากเราไม่ให้โอกาสเขาแล้วเราอาจจะเป็นฝ่ายที่เสียใจเองก็ได้ และอย่ามองข้ามคนที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา คนที่มีความรักอยู่แล้วรักษามันไว้ให้ดีอย่าให้มันหลุดลอยไปเพราะมีอะไรมากระทบกระเทือน อยากให้เข้มแข็งและมั่นคงกันทุกๆคนค่ะ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการแสดงค่ะ”
To be continued