Talk : เรื่องนี้เป็นภาคต่ออีกภาคนะครับ มีการนำตัวละคร และเรื่องต่างๆ จากเรื่อง
La situation de l'amour มาใช้ด้วยครับ
ถือโอกาสโปรโมต (อีกละ ฮ่าๆ)
โทรมาว่ารัก“อิ๊ค เสิร์ฟโต๊ะห้า”
เสียงพี่พัทที่เรียกอยู่หน้าร้านทำให้ผมต้องกุลีกุจอรีบวิ่งออกมาจากห้องเก็บอุปกรณ์ที่อยู่ภายในร้าน โดยมีแก้วกาแฟสามสี่ใบที่ล้างสะอาดเรียบร้อยแล้วอยู่ในมือ ตั้งบนเคาน์เตอร์ด้านหน้าได้ ก็รีบยกถาดที่พี่พัทเตรียมไว้ไปเสิร์ฟที่โต๊ะตามที่บอก
“กาแฟได้แล้วครับ คาปูชิโน่หนึ่ง ลาเต้หนึ่งครับ”
ผมว่าพลางยกกาแฟในถาดลงบนโต๊ะ โค้งให้ลูกค้านิดหนึ่ง ก่อนจะถอยออกมา
“เหนื่อยไหมอิ๊ค”
เสียงพี่พัทถามออกมา ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มือเป็นระวิงในการชงกาแฟ และตักไอศกรีมใส่ถ้วยใบใสอยู่ตรงหน้า ผมส่ายหน้าให้น้อยๆ ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายมองเห็นหรือเปล่า มือก็ยกถ้วยกาแฟที่เสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ถาดไว้คอยถ้วยไอศกรีม
ที่กำลังจะตามมา
“วันนี้ลูกค้าเยอะมากเลย นี่ถ้าอิ๊คไม่มาช่วย พี่คงแย่”
“ครับ ช่วงนี้อิ๊คว่างพอดี คอร์สเรียนพิเศษยังไม่เปิดน่ะ”
“อ๋อ” อีกฝ่ายลากเสียงยาวรับรู้ “ดีแล้ว...พี่คนเดียวต้องเหนื่อยตายแน่ๆ”
คนพูดว่าติดตลกเกินจริง มือก็ยกถ้วยไอศกรีมที่ตกแต่งหน้าด้วยทอปปิ้ง และแท่งช็อกโกแลตสีน้ำตาลเข้มเรียบร้อยแล้ว
วางบนถาดสแตนเลสสีเงินที่คอยอยู่
พี่ ‘ศิรภัทร’ เงยหน้าขึ้นยิ้มให้นิดหนี่งอย่างขอบใจ ก่อนหันมาบอกลูกน้องจำเป็นอย่างผมให้ทราบ
“โต๊ะหนึ่ง นะอิ๊ค”
“ครับ”
กว่าสองทุ่มแล้วที่ทั้งผมกับพี่พัทเพิ่งเก็บร้าน เช็คบัญชีกันเสร็จ ถึงได้พากันมานั่งหอบแฮ่กปาดเหงื่อซ้ายที ขวาที
อย่างเหนื่อยอ่อนบนเก้าอี้โต๊ะกลมติดเคาน์เตอร์ด้านหน้า
วันนี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะเป็นพิเศษ ขนาดพี่พัทที่ดูขยันขันแข็งยังบ่นออกมาเลยว่าวันนี้เหนื่อยมากกว่าทุกวัน
ดีที่ได้ผมมาช่วย ไม่งั้นคงไม่ไหวแน่ๆ
‘กุ๊กกิ๊ง กุ๊กกิ๊ง’
“ร้านปิดแล้วครับ”
โดยไม่ทันได้หันไปดูว่าเป็นใคร ผมก็หลุดปากพูดออกไปเสียก่อนแล้ว พอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของพี่พัทก็พบกับ
รอยยิ้มกว้างขวางอย่างดีใจ เลยอดหันไปมองคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในร้านไม่ได้
“พี่วินท์ ไหงวันนี้มาป่านนี้ล่ะ”
เสียงพี่พัทออกแนวกระเง้ากระงอดผิดจากที่จะเป็นงานเป็นการอย่างทุกครั้ง จนผมได้แต่ทำหน้างง ผู้ชายที่คุยกับพี่พัทเป็นใครเนี่ย ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ชายเสื้อหลุดรุ่ยออกมาเล็กน้อย เนคโทสีน้ำเงินเข้มที่ถูกปลดหลวมๆ
คลายความอึดอัด
“ก็พี่มีประชุมตั้งแต่บ่ายเพิ่งเลิกเองนี่ครับ”
“งั้นก็แล้วไป”
“แล้วนี่มีอะไรให้พี่กินบ้างล่ะ หิวจะแย่แล้ว ประชุมทั้งวันไม่ได้กินอะไรเลย นอกจากกาแฟ”
‘พี่วินท์’ ที่พี่ชายของผมเรียก ว่าแล้วก็ลูบท้องตัวเองป้อยๆ ทำหน้าน่าสงสารใส่คนตรงหน้า ก่อนจะเดินคู่กันมากับพี่พัท แล้วจึงนั่งอยู่ตรงข้ามผม บนโต๊ะตัวเดียวกัน
“อ้อ ลืมแนะนำ” เสียงพี่พัทดังมาจากหลังเคาน์เตอร์ใกล้ๆ กัน สงสัยจะกำลังหาอะไรให้พี่วินท์กินรองท้องแหงๆ
“พี่วินท์ นี่อิ๊ค ลูกพี่ลูกน้องพัทเอง”
ผมยิ้มให้ก่อนจะยกมือไหว้คนเป็นผู้ใหญ่ตรงหน้า ทำหน้าสงสัยใส่ จนพิ่วินท์เองนั่นแหละคงจะรู้เลยแนะนำตัวเองเสียเลย ทำเอาผมอึ้งระคนตกใจไปเลย
“พี่ชื่อวินท์นะ เป็นแฟนพี่พัท”
“...อ่ะครับ”
ผมอ้อมแอ้มตอบรับ ถือโอกาสผละสายตาจากคนตรงหน้าไปมองพี่พัทที่กำลังง่วนอยู่กับการราดช็อคโกแลตเหนียวๆ
ลงบนไอศกรีมอยู่ จนเมื่อโดนถามนั่นแหละ ผมถึงได้ละสายตากลับมามองพี่วินท์อีกครั้ง
“นี่เราเรียนมอไหนแล้วล่ะ ยังมอปลายอยู่เลยใช่ไหม”
“ปีนี้ขึ้นมอหกครับ”
“อ๋อ นี่ปิดเทอมล่ะสิ”
“ครับ แต่เดี๋ยวก็ต้องไปเรียนพิเศษแล้วครับ”
“เอ๊า ช็อคชิพ ราดช็อกโกแลตของพี่วินท์”
เสียงพี่พัทดังขึ้นมา พลางวางถ้วยไอศกรีมลงตรงหน้าแฟนหนุ่มด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงทรุดกายนั่งลงข้างๆ ผมเห็นสองคนตรงหน้ายิ้มให้กันด้วยความรักแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่ทั้งสองคนเหมาะสมกันมากๆ
หันซ้ายหันขวาไม่รู้จะอยู่เป็นกขค.ไปทำไม พอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก็รู้ว่านี่ก็ดึกแล้ว ฉะนั้นผมจึงควรจะกลับเสียที
“พี่พัท พี่วินท์ อิ๊คกลับก่อนนะ”
“อ้าวไหงรีบกลับล่ะ เดี๋ยวกลับพร้อมกันสิ ให้พี่วินท์ไปส่งก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับรถไฟฟ้าดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาช่วยแต่เช้านะพี่พัท”
ผมตัดบทด้วยความเกรงใจ เพราะผมรู้ว่าถ้าไปส่งผม พี่ๆ เขาต้องย้อนไปย้อนมาอยู่ดี ปลดผ้ากันเปื้อนที่คล้องคออยู่
ออกไปแขวนไว้ริมประตูห้องหลังร้านซึ่งพี่พัทเอาไว้สำหรับแขวนโดยเฉพาะ เดินเข้าไปคว้าเป้สีแดงใบเก่งในห้อง
ก่อนจะยกมือไหว้กล่าวลาทิ้งท้าย แล้วเปิดประตูร้านเดินออกมา
“ไปแล้วครับพี่ๆ สวัสดีครับ”
เดินไม่ไกลนักผมก็ถึงสถานีรถไฟฟ้า ย่านธุรกิจแบบนี้และในช่วงเวลานี้มักจะมีผู้โดยสารมากเป็นพิเศษ ผมเดินขึ้นมา
บนชานชาลาที่อยู่ชั้นสามอย่างเอื่อยๆ ผิดกับคนอื่นที่ดูจะเร่งรีบเสียมากมาย
จนเมื่อรถไฟฟ้าเข้าจอดเทียบชานชาลา ผู้หญิง ผู้ชายในชุดทำงานมากมายก็ทยอยเดินเข้าไปในตู้อย่างรีบร้อนเช่น
ตอนแรก ผมเลยเดินตามเข้าไปในตู้สุดท้ายบ้าง ผู้คนในตู้นี้แน่นกว่าตู้อื่นๆ อาจเพราะว่าเป็นตู้สุดท้าย คนที่รีบวิ่งมาเพราะกลัวไม่ทันขบวนนี้จึงเข้าตู้นี้เสียก่อน
‘ฉันโทรมา เพื่อจะบอกว่ารัก ถึงเวลาที่ต้องบอกสักที ไม่กลัวแล้ว จะดูไม่ดี นาทีนี้ต้องพูดไป…’ ยิ่งรถออกมาจากสถานีนั้นมาไกลแล้ว คนก็ยิ่งแน่นขึ้นไปอีก เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในความเงียบทำให้เพิ่มระดับ
ความดังให้มากขึ้นไปอีก
ผมควานหาเครื่องมือสื่อสารเครื่องจิ๋วในกระเป๋ากางเกงยีนสีซีดที่ใส่อยู่อย่างรวดเร็ว หากด้วยความยากลำบากเพราะคนเยอะเกินไปจึงไม่สามารถทำได้ง่ายนัก ยิ่งถูกกดดันด้วยสภาพแวดล้อมรอบข้างที่เงียบแบบนี้ด้วยแล้ว ผมจึงลนลานมากขึ้นไปอีก
“เมื่อไหร่จะหาเจอครับน้อง”
“เอ่อ...ครับๆ”
คนตรงหน้าที่ยืนจับราวโหนอยู่หันหน้ามาทางผมพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา หากสายตาดุๆ ที่มองมาอย่างหงุดหงิดทำให้
ผมหงออย่างไรพิกล ผมเลยตอบรับไปอย่างแกนๆ
ผู้ชายคนที่ถามผม คงรำคาญไม่มากก็น้อยที่ผมอืดอาดแบบนี้ เลยเป็นฝ่ายถามออกมาก่อนคนอื่นจะได้เอ่ยปาก เอ๊ะ
หรือคนอื่นเขาไม่คิดจะพูดหรอก แต่เอ๊ะ...ใครมั่งล่ะ จะไม่ร้อนรน ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้เข้าน่ะ
คว้าโทรศัพท์ได้ผมก็กดปุ่มเงียบเสียงอย่างรวดเร็ว ด้วยเกรงสายตาประชาชนมากมายที่แม้ไม่มองมา แต่ผมก็รู้สึก
ถึงความรำคาญที่พวกเขาส่งกระแสจิตมาทางผม ผมก้มหน้าดูที่หน้าจอ เพื่อหาต้นเหตุความอับอายนี้ นี่ถ้าเป็นไอ้พวกเพื่อนตัวดีนะ ผมจะด่าเสียให้เปิง โทษฐานทำให้อาย
“พี่อาร์ต...”
ผมกดตัดสายไปในที่สุด ไม่อยากจะติดต่อกับคนพรรค์นั้นอีก หลอกเราก็เท่านั้น ขี้โม้ว่าไม่มีแฟนก็เท่านั้น
ผมยังไม่ลืมเหตุการณ์ในร้านไอศกรีม วันที่แฟนพี่อาร์ตมาแสดงตัวหรอกนะ ความจริงวันนั้นผมก็ทำปากเก่งไปอย่าง
นั้นเอง ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ถ้าผมเจอสถานการณ์เดียวกับพี่เขา ผมก็คงทนนั่งเฉยๆ ไม่ได้หรอก
“ไอ้พี่อาร์ตบ้า แม่ง...”
คิดแล้วผมก็ได้แต่สบถออกมาเบาๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นผู้ชายคนเดิม ถลึงตาดุใส่ผมอยู่ จนผมทำหน้าอย่างงงๆ
นั่นแหละ เขาจึงหันกลับไปมองประตูที่กำลังเปิดเพราะจอดที่สถานีใดสถานีหนึ่งอยู่
‘สถานีต่อไป xxx , Next Station xxx’
เสียงประกาศที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องเตรียมตัวลง มือทั้งสองข้างกระชับเป้เข้าหาตัว พลางพยายามแทรกผู้คนที่ยืนอยู่
รายรอบมายืนอยู่ตรงประตูทางออกของตู้รถไฟฟ้าจนได้ เงาสะท้อนจากกระจกทำให้เห็นว่าผู้ชายที่ถลึงตาใส่ผมเมื่อครู่
กำลังยืนหลับตาอยู่ข้างหลังผมนี่เอง
“สงสัยจะยืนหลับ”
ผมพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะไม่สนใจอีก ไม่กี่นาทีต่อมา ก็ถึงสถานีที่ผมต้องลง พอประตูเปิดปุ๊บ ผมก็เดินออกมาทันที
ไม่ได้เหลียวกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอีก
---