คลานมาอัพให้ สองสามวันนี้เหนื่อนจากค่ายที่คณะมากกกก
วันนี้เลยใจดีอัพให้เยอะหน่อย เพราะอาจหายตัวไปได้ ฮ่าๆๆๆ
__________________________________________
ตอนที่ 19
เช้าวันรุ่งขึ้นผมรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำเรื่องย้ายออกจากหอพัก ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้มือถือผมเต็มไปด้วยมิสคอลล์ที่เม็มโมรี่ว่า “ยอร์ช” มากมายจนใครหลายๆ คนอาจตกใจ...... แต่มันไม่ใช่สำหรับผม ทุกครั้งที่โทรศัพท์ดังผมก็จะปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้นจนมันเงียบเองในที่สุด และในครั้งที่เกือบจะสามสิบ ภีมก็เป็นคนเดินมากดปิดมือถือให้ผมเสียเอง
ไม่เฉพาะนายยอร์ชเท่านั้นที่กระหน่ำโทรหาผมแบบเอาเป็นเอาตาย เพราะในจำนวนรายชื่อทั้งหมดที่ผมไม่ได้รับสายนั้นถูกคั่นไปมาระหว่างนายยอร์ช พี่ป้อง พี่พัทและพี่โจ.... โทรมาจนครบทุกคนแบบนี้นึกว่าผมจะไม่รู้หรือว่าจะคุยเรื่องอะไร....แต่มันจะมีประโยชน์อะไร...ในเมื่อสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผมจะพูดยังไง ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือนายยอร์ชต้องเข้าพิธีหมั้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้……………
อีกสองวันให้หลัง พ่อส่งคนงานที่บ้านมาช่วยขนของเพื่อย้ายหอโดยมีภีมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการคุมการขนย้ายทั้งหมด ภีมกลัวผมตากแดดมากแล้วจะหน้ามืดไปอีก เพราะสองสามวันที่ผ่านมาผมยังรู้สึกวูบอีกหลายครั้ง และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เป็นลมล้มในห้องน้ำ………
“.........คุณภาม...”
“...คุณภาม...”
“คุณภามครับ!”เสียงเรียกของชายหนุ่มทำให้ผมสะดุ้งออกจากภวังค์ เมื่อหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นน้าเปี๊ยกยืนถือกรอบรูปกระจกอันหนึ่งอยู่
“คุณภามดูเหม่อๆ นะครับ”น้าเปี๊ยกว่า
“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอก น้าเปี๊ยกมีอะไรหรือ?”
“ของอย่างอื่นยกไปเกือบหมดแล้ว แต่ผมยังไม่เห็นว่าคุณภามจะเก็บกรอบรูปอันนี้ใส่ลัง จะให้จัดการยังไงดีครับ”น้าเปี๊ยกพูดพลางยกกรอบรูปกระจกที่เคยวางอยู่บนโต๊ะคอมให้ดู ผมมองรูปที่อยู่ภายในกรอบนั้นพลันน้ำตาก็เริ่มคลอหน่วยขึ้นมาอีกครั้ง นิ่งไปครู่หนึ่งจึงบอกออกไป
“ภามไม่เอาแล้ว ฝากทิ้งให้ด้วย...”ผมเสมองไปทางอื่น หากว่าผมยังคงมองสิ่งที่อยู่ในมือของน้าเปี๊ยกต่อไป บางทีผมอาจจะได้ร้องไห้จริงๆ....
“ได้ครับ”เขาตอบรับ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินไปไหน ผมหันกลับไปมองน้าเปี๊ยกด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“สิ่งที่ไม่ใช่ของๆ เรา ไม่ว่าเราจะไขว่คว้าเท่าไหร่มันก็ไม่สามารถที่จะมาเป็นของๆ เราได้...”น้าเปี๊ยกลดกรอบรูปในมือลงแล้วพูดกับผมด้วยร้อยยิ้มอ่อนโยนแบบผู้ใหญ่กำลังสอนเด็ก
“...........แต่ถ้าหากว่าสิ่งนั้นถูกลิขิตไว้ให้เป็นของๆ เราแล้ว ถึงเราจะหนีไปไกลสุดขอบฟ้า...มันก็ยังจะตามไปเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ”ผมมองหน้าน้าเปี๊ยกงงๆ กับคำพูดที่ไม่มีที่มาที่ไปของเขา แต่น้าเปี๊ยกก็ไม่ปล่อยให้ผมยืนเอ๋ออยู่นาน
“จำคำของผมไว้ให้ดีนะครับคุณภาม”น้าเปี๊ยกขยิบตาให้ก่อนที่จะออกจากห้องไปพร้อมกับกรอบรูปในมือ
ผมเปิดกล่องกระดาษสีเทาใบเล็กอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งปิดมันไปเมื่อคืนเพื่อทำบางสิ่งที่จะเป็นขั้นตอนสุดท้าย กระดาษใบหนึ่งถูกพับและวางอยู่ที่ก้นกล่อง มันถูกบันทึกไปด้วยตัวหนังสือที่ผมนั่งเขียนเมื่อคืน เพื่อที่จะส่งไปให้ใครอีกคน...
ผมวางรูปถ่ายใบหนึ่งที่เพิ่งจะได้มาในเวลาไม่นานลงไปในกล่อง รูปสีซีเปียใบนั้นเป็นรูปของคนสองคน...ผมที่กอดคอของอีกคนไว้แน่นแล้วยิ้มจนแก้มบุ๋ม...และยอร์ชที่แบกผมไว้บนหลังด้วยใบหน้าที่มีความสุข.... รูปถ่ายที่พี่แม็คเป็นคนถ่ายให้เราที่หน้าหอประชุมของคณะ น้ำตาของผมไหลออกมาอีกครั้งอย่างหยุดไม่อยู่เมื่อรูปถ่ายใบนั้นถูกวางลงไปในกล่อง... ท่ามกลางม่านน้ำตา...ผมถอดแหวนทองคำขาวที่ใส่ติดตัวมาตลอดตั้งแต่วันนั้นออก ในตอนนี้...แม้แต่ความแวววาวของมันก็ไม่อาจฝ่าม่านน้ำตาของผมเข้ามาได้ ผมวางมันลงบนรูปถ่ายอย่างแผ่วเบา คงถึงเวลาที่ผมจะคืนมันให้กับเจ้าของเสียที.....
ฝากล่องถูกปิดลงเป็นลำดับสุดท้าย บนฝากล่องสีฟ้ามีที่อยู่ของพี่ป้องที่ผมได้รับมาเมื่อหลายวันก่อนเขียนไว้ครบถ้วน ผมปาดน้ำตาทิ้งและพยายามเรียกความรู้สึกที่ดีให้กลับมาอีกครั้งแม้ว่ามันจะทำได้ยากเต็มทีก่อนจะเดินออกไปสบทบกับคนอื่นๆ ที่รออยู่ที่รถ
“อะไรครับ?”น้าเปี๊ยกที่นั่งจับของอยู่หลังรถกระบะถามงงๆ เมื่อผมยื่นกล่องใบนั้นให้
“ฝากเอาไปส่งให้ผมที....”ผมบอก น้าเปี๊ยกรับกล่องใบนั้นไปแล้วมองมันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรอีกภีมก็รีบมาดึงผมให้เข้าไปนั่งหน้ารถเพราะกลัวว่าผมจะตากแดดนานจนเกินไป ผมถอนหายใจช้าๆ ก่อนที่จะเดินตามภีมไปโดยดี....ลาก่อนนะ...ยอร์ช…
เมื่อจัดการธุระเรื่องการย้ายหอพักเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็กลับมาพักผ่อนที่บ้านในต่างจังหวัด หลังจากวันนั้นน้าเปี๊ยกคนงานของพ่อก็ไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ ให้ผมฟังอีก ภีมยังคงหาเรื่องพาผมไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่อยู่ไม่ได้ขาด และสายที่ไม่ได้รับในมือถือของผมก็ยังคงเป็นชื่อเดิม.....
เมื่อผมกลับมาอยู่ที่บ้าน นายยอร์ชก็ยังคงโทรมาไม่ยอมหยุด บางครั้งก็ฝากข้อความไว้ให้ผมโทรไปหาหรือยอมรับโทรศัพท์บ้างก็ยังดี ภีมเคยถามผมว่าทำไมผมจึงไม่เปลี่ยนเบอร์หนีนายยอร์ชไปซะ แต่คำตอบของผมที่มีให้ภีมก็คือพี่ป้อง....เพราะถ้าหากว่าเปลี่ยนเบอร์ ผมก็จะไม่สามารถติดต่อพี่ป้องได้อีก และถ้าหากต้องเปลี่ยนจริงๆ ผมก็ต้องบอกพี่ป้องอยู่ดี....และแน่นอนว่าคนที่ผมไม่อยากให้รู้เบอร์ของผมก็จะรู้ไปด้วย เปลี่ยนยังไงก็หนีไม่พ้น....
สามวันต่อมาข้อความของนายยอร์ชถูกส่งมาถึงผม มันเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ที่มีเพียงคำไม่กี่คำ
“อย่านึกว่าจะหนีพ้น”นี่คือตัวอักษรทั้งหมดที่เขาส่งมา ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป และหลังจากข้อความนี้ถูกส่งมาถึงผม มิสคอลล์ที่เป็นชื่อของเขาก็ไม่เคยปรากฏอยู่บนโทรศัพท์ของผมอีกเลย...
เปิดเทอมใหม่ของผมมาถึงในอีกสองเดือนให้หลัง ชีวิตการเรียนของผมยังเป็นไปในแบบเดิมๆ แต่ที่จะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็คือการที่ผมย้ายหอพักใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการพบหน้าคนที่ไม่อยากเจอ และแน่นอนว่าทุกเย็นหลังจากเลิกเรียนแล้วผมมักจะหลีกเลี่ยงการเดินกลับหอทางประตูใหญ่เสมอ...
ในช่วงแรกๆ ของการเปิดเทอม ผมมักจะเห็นเฮียยอร์คมายืนดักรอผมที่หน้าคณะอยู่เสมอ แต่ผมก็สามารถที่จะหลบเลี่ยงการพบหน้ากันไปได้ทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเฮียยอร์คจะดีกับผมมาก....แต่ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะทำตัวให้เหมือนปกติได้ในตอนนี้.........บางทีเมื่อเวลาที่ผมทำใจได้มาถึง ผมอาจจะได้กลับไปเป็นน้องชายของเฮียยอร์คเหมือนเก่า...........
หลังจากเรื่องราวหน้าผับเมื่อสองเดือนก่อน นันและเพื่อนๆ ดูเหมือนจะเอาใจใส่ผมมากขึ้นเป็นพิเศษ และยิ่งเมื่อเวลาผ่านพ้นไปเรื่อยๆ ส่วนที่ผมคิดว่ามันหายไปก็ค่อยๆ ถูกทำให้กลับมาเต็มเหมือนก่อนด้วยทุกคนที่อยู่รายล้อมผม ไม่ว่าจะเป็นภีม ยายภา นัน และบรรดาเพื่อนๆ คนอื่นๆ แน่นอนว่าตอนนี้พี่ป้องไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว.........
แต่ถึงแม้ว่าผมจะต้องอยู่ห่างจากพี่ชายคนสำคัญในตอนนี้ แต่ผมก็ได้พี่ชายอีกคนมาคอยดูแลแทน........พี่อิน หรือคุณหมอองค์อินทร์ คุณหมอที่บังเอิญอยู่เวรและคอยรักษาผมในวันนั้นมักจะซื้อขนมมาฝากผมที่คณะบ่อยๆ บางทีก็มาชวนไปกินข้าว หรือแม้แต่ทุกครั้งที่ผมไม่สบาย....พี่อินก็จะมาเป็นหมอส่วนตัวให้ผมทุกครั้ง เพราะพี่อินเป็นคนใจดีเหมือนพี่ป้องนั่นเอง จึงทำให้เราสองพี่น้องสนิทกันได้ในไม่ช้า.....
...............
......................
....................................
.........................
................
...........
......
....
..
.
ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา....ผมได้รู้จักคนเยอะขึ้น ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานมากขึ้น ทำให้หัวใจที่โดนแบ่งแยกของผมกลับมาเป็นดวงเต็มสมบูรณ์อีกครั้ง...
แน่นอนว่าเมื่อมีพบ...ก็ต้องมีการลาจาก......ในวันหนึ่งของการเรียนในปีที่สี่ พี่อินเข้ามาบอกลาผมเพื่อที่จะย้ายเข้าไปประจำที่โรงพยาบาลในตัวกรุงเทพ เขาบอกว่าหน้าที่ของเขาที่นี่ในตอนนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงานใกล้ๆ บ้านเสียที........
ถึงแม้ว่าพี่อินจะย้ายไปแล้ว แต่เขาก็ยังทำหน้าที่พี่ชายได้ดีเหมือนเก่า เรายังคงติดต่อกันเหมือนเดิม และทุกครั้งที่พี่อินมาทำธุระแถวคณะของผม เราก็มักจะได้ไปทานอาหารด้วยกันเสมอๆ และสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขได้ในระหว่างเรียนอยู่ที่นี่ก็คือ.....การที่ผมได้แอบติดต่อกับพี่ป้อง ไม่กี่เดือนหลังจากที่เกิดเรื่อง....ผมโทรคุยกับพี่ป้องและเล่าเรื่องราวและเหตุผลของผมทั้งหมดให้ฟัง พี่ป้องไม่ได้คัดค้านอะไรและยังตกลงที่จะช่วยปกปิดที่อยู่ของผมให้เป็นความลับต่อนายยอร์ช......ซึ่งถือว่าเป็นการดีสำหรับผมที่สุด...
ผมยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ต่างก็มาที่นี่ในวันนี้เพื่อผม...ยายเดินเข้ามากอดผมแล้วยิ้มทั้งน้ำตา....น้ำตาที่เกิดจากความสุขอย่างเหลือล้น พ่อยืนกอดแม่และยิ้มให้ผมอยู่ไม่ห่าง มีภีมและภายืนคุยอยู่กับพี่หมออินอยู่ข้างๆ รอบข้างของเราเต็มไปด้วยเพื่อนๆ ของผมกับครอบครัว เพื่อนๆ ของผมทุกคนอยู่ในชุดแบบเดียวกันรวมทั้งผม ชุดสีขาวที่ถูกคลุมทับด้วยครุยสีแดงขลิบทอง.........ชุดที่พวกเราใฝ่ฝันที่จะได้ใส่มากที่สุดในวันรับปริญญา…..
หลังจากออกมาจากหอประชุมใหญ่อีกครั้ง ผมนำสมุดผ้าไหมที่อยู่ในมือมาให้พ่อกับแม่ ท่านทั้งสองยิ้มอย่างอ่อนโยนและเข้ามากอดผมทั้งน้ำตา และในไม่ช้า ทุกคนในบ้านก็เข้ามากอดกันกลมเป็นจุดเดียว! เมื่อคุยกันได้สักพักผมก็ขอตัวไปร่ำลาเพื่อนๆ.....ห้าปีที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้เราล้วนแต่เป็นคนสำคัญของกันและกัน .....และแม้ว่าวันนี้จะต้องมาถึง เราต่างก็ได้สัญญากันอย่างมั่นคงว่าจะต้องไม่ทิ้งกันไปไหน..........
เมื่อเสร็จสิ้นธุระทั้งหมดทุกคนก็แยกย้ายกันเพื่อกลับไปฉลองกับครอบครัว ครอบครัวของเราเดินมาที่รถโดยมีพี่อินเดินมาส่งผมด้วย ผมเดินคุยกับพี่อินรั้งท้ายมาด้านหลังแต่ก็ต้องหยุดเมื่อมีคนมายืนขวางหน้า...
........ผู้ชายตัวโตๆ ในชุดสูทสีดำที่ดูเหมือนบอดี้การ์ดในภาพยนตร์สามคนยืนอยู่ตรงหน้าผม คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดถือช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่อยู่ในมือ เขาหันไปโค้งให้พี่อินอย่างสุภาพ สีหน้าดูเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย ซึ่งพี่อินก็พยักหน้าให้เบาๆ แต่ไม่ว่าอะไร... ผมชักจะงงๆ กับภาพที่เห็น
“นายให้เอามาให้ครับคุณภาม”ผู้ชายที่ถือดอกไม้ส่งช่อดอกไม้ในมือมาให้ผม เขารู้จักผมได้ยังไงกัน? ผมหันไปหาพี่อินที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าเขาพยักหน้าให้จึงรับมาแบบงงๆ
“คุณรู้จักผมด้วยหรือครับ?”ผมถามคนที่ส่งดอกไม้มาให้
“คุณภามชื่อจริงว่าภาคิไนย เจริญโอภาศตระการชัย มีพี่น้องสองคน เป็นผู้ชายหนึ่งคนผู้หญิงอีกหนึ่งคน เกิดวันที่........”
“แฮ่ม...”เขาหยุดพูดไปเมื่อพี่อินทำเสียงกระแอมไอก่อนจะโค้งให้ผม
“ขออภัยครับ”ผมโค้งกลับให้เขาอย่างงงๆ ทำไมถึงได้รู้อะไรเกี่ยวกับผมมากมายนัก!
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมต้องขอตัวก่อน”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรชายสามคนนั้นก็โค้งให้พี่อินก่อนจะทำแบบเดียวกันกับผมแล้วหายลับไปในฝูงชน
ผมก้มลงอ่านการ์ดสีขาวขลิบทองที่ห้อยติดไว้กับช่อดอกไม้.....ในนั้นมีเพียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ที่ถูกเขียนด้วยลายมืออยู่ไม่กี่ตัว....
“GAME!!!”
ช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนหลังจากรับปริญญา พ่อกับแม่บังคับให้ผมพักอยู่บ้านเฉยๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร ภีมทำเรื่องย้ายที่ทำงานจากในกรุงเทพมาเป็นวิศวกรประจำเขื่อนของจังหวัดอย่างรวดเร็วทันใจเมื่อผมเรียนจบ ถึงแม้ว่าภีมจะให้เหตุผลว่าอยากกลับมาดูแลพ่อกับแม่ แต่ท่าทางที่ยังติดน้องไม่หายจึงทำให้ไม่ค่อยมีใครเชื่อเท่าไหร่....
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ผมมีความสุขมาก ระหว่างที่พ่อแม่ไปทำงานยายจะให้แป้น เด็กรับใช้ในบ้านมาตามผมไปอยู่เป็นเพื่อน ยายอยู่บ้านหลังเก่าที่เป็นเรือนไทยภาคกลางที่ปลูกอยู่ห่างจากบ้านของผมไม่กี่สิบเมตร บางวันยายก็สอนผมทำอาหาร บางวันก็สอนร้อยมาลัย หลายๆ อย่างดูแล้วเป็นงานของแม่ศรีเรือนทั้งนั้น!!! เหตุผลของยายก็คือ....ถึงจะเป็นผู้ชายก็ควรมีความอ่อนโยน เป็นผู้ชายที่ไม่แข็งกระด้าง ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่คนรัก...ผมเพลิดเพลินกับการทำโน่นทำนี่โดยมียายเป็นอาจารย์และแป้นเป็นลูกมือ เวลาที่ภีมว่างจากงานก็จะพาผมไปนั่งรถเล่นดูโน่นดูนี่ ส่วนยายภาก็จะมานัวเนียผมทุกครั้งที่กลับบ้านในวันหยุด ตอนนี้น้องสาวผมกำลังจะเรียนจบปีสามแล้ว...
ระหว่างที่พักผ่อนไป ผมก็เข้าไปหางานทำในกรุงเทพบ้างเป็นระยะๆ วางแผนชีวิตไว้ว่าจะทำงานหาประสบการณ์ในกรุงเทพไปก่อน ไว้มีทุนมากพอก็ค่อยร่วมหุ้นเปิดบริษัทเล็กๆ กับเพื่อนๆ แล้วคอยช่วยกันบริหาร ถ้าเป็นแบบนั้นเมื่อไหร่ เวลาที่ผมจะได้กลับมาอยู่บ้านก็มีมากขึ้น.... จดหมายเรียกตัวไปสัมภาษณ์เข้าทำงานถูกส่งมาให้ที่บ้านหลายฉบับ ถึงแม้ว่าจะมีพี่ๆ ที่จบไปแล้วชวนผมไปทำงานด้วยเป็นระยะๆ แต่ผมอยากลองใช้ความสามารถของตัวเองหางานทำดูก่อน การสัมภาษณ์ของหลายๆ บริษัททำให้ผมพลาดเข้าทำงานหลายครั้งจนผมเริ่มท้อ ทุกๆ บริษัทที่เรียกตัวผมไปสัมภาษณ์จะทำท่าทางอยากรับผมเข้าทำงานเต็มที่ แต่พอเอาเข้าจริงก็ถูกปฏิเสธหมด บริษัทล่าสุดนี่ก็เช่นกัน
“ผมเชื่อว่าคุณจะเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่จะนำการพัฒนามาสู่บริษัทของเราได้”กรรมการฝ่ายบุคคลยิ้มให้ผมอย่างใจดี เขากำลังตั้งท่าจะเซ็นอนุมัติรับผมเข้าทำงานในวันนี้ ถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นก่อน
“ว่ายังไง”เขากดสปีคเกอร์ของโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วกรอกเสียงถาม
“มีสายตรงจากท่านประธานลงมาค่ะ”เสียงผู้หญิงที่คาดว่าจะเป็นเลขาตอบกลับมา
“ขอตัวสักครู่นะ”เขาบอกผมยิ้มๆ แล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับคนในสาย พูดครับๆ อยู่ไม่กี่ครั้งก็วางแล้วทำสีหน้าลำบากใจ
เขาหันหน้ามามองผมอย่างเห็นใจก่อนจะพูดสิ่งที่ผมได้ยินมาแล้วหลายครั้งในช่วงนี้
“คุณเป็นคนที่เก่งและน่าสนใจมากภาคิไนย....แต่ต้องขอโทษด้วยที่ตอนนี้เราไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานได้แล้ว”เขาเงียบไปสักครู่ แต่สีหน้ายังไม่ดีขึ้นก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นผมนิ่งฟังอย่างสงบ...
“ตอนนี้ท่านประธานได้คนที่จะเข้าทำงานในตำแหน่งนี้แล้ว ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยจริงๆ หวังว่าคุณจะได้ตำแหน่งที่ดีกว่านี้ในบริษัทอื่น....”ผมรู้สึกท้อใจอีกครั้งเมื่อได้ฟังประโยคนี้ แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าแสดงความเป็นห่วงอย่างจริงใจของคนตรงหน้าทำให้ผมฝืนยิ้มออกไปจนได้ ผมยกมือไหว้ลาเขาก่อนที่จะเตรียมตัวกลับบ้าน ผมเหนื่อยกับการหางานทำแล้ว ตอนนี้ขอพักสักเดือนแล้วค่อยหางานทำต่อแล้วกัน....
“คุณภามคะ มีจดหมายส่งถึงคุณภามค่ะ”แป้นเดินถือซองจดหมายสีขาวยาวๆ มาส่งให้ผมในขณะที่กำลังนอนเล่นอยู่ในเปลญวนใต้ถุนบ้านทรงไทยของยายในวันหนึ่ง ผมรับจดหมายนั้นมาดูก่อนที่จะเบิกตากว้าง ใจเต้นอย่างที่เป็นบ่อยๆ เวลาดีใจ ผมรีบแกะซองออกอ่านจดหมายด้านใน และนั่นก็ทำให้ผมดีใจจนอยากร้องตะโกน แต่ก็ยังทำไม่ได้ในตอนนี้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่แน่นอน...
“ว่ายังไงคะ?”แป้นที่ยังยืนรอไม่ยอมไปไหนถามเมื่อเห็นผมอ่านจดหมายในมือจบ
“จดหมายเรียกตัวไปสัมภาษณ์งานน่ะแป้น บริษัทใหญ่เชียวแหละบริษัทนี้น่ะ ดังเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเลย”ผมบอกแป้นด้วยความดีใจ ไม่น่าเชื่อว่าบริษัทดังๆ แบบนี้จะส่งจดหมายมาเรียกตัวผม
“โอ้โห! อย่างนี้ก็ดีเลยสิคะคุณภาม อย่างนี้แป้นต้องไปบอกคุณยายให้เลี้ยงฉลอง!”ว่าแล้วยายแป้นก็รีบวิ่งตับๆ ขึ้นบันไดเรือนไป ผมได้แต่นอนอมยิ้มอยู่ในเปล รอเวลาที่ทุกคนในบ้านกลับมา จะได้ไปบอกข่าวดีนี้
ว่าแต่..........ผมเคยไปยื่นใบสมัครที่บริษัทนี้ด้วยหรือ???
“คุณโชคชัย เชิญเข้าไปสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ”เสียงเลขาหน้าห้องเรียกคนที่อยู่คิวก่อนผมเกือบสิบคิวเข้าไปสัมภาษณ์ ผมเดินทางเข้ามาพักในกรุงเทพตั้งแต่เมื่อวานและรีบมารอที่บริษัทนี้ตั้งแต่เช้า....... ผมไม่แปลกใจเลยที่ในวันนี้มีคนมาสัมภาษณ์เข้าทำงานมากมาย ด้วยชื่อเสียงที่มีมานานของบริษัทนี้ทำให้ใครๆ ก็อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกิจการใหญ่โตนี้ แล้วยิ่งวันนี้มีการสัมภาษณ์หลายตำแหน่งด้วย จึงไม่แปลกเลยที่ผมซึ่งมาแต่เช้าต้องนั่งรอจนถึงบ่าย....
“คุณภาคิไนยอยู่แถวนี้ไหมคะ?”เลขาคนเดิมเดินมาถามแถวๆ ที่ผมนั่งอยู่ในอีกเกือบๆ สองชั่วโมงต่อมา
“ครับ”ผมรีบลุกขึ้นขานรับ ใจเต้นรัวเร็ว....นี่ผมจะได้สัมภาษณ์แล้วใช่ไหม? ถ้าได้เข้าทำงานในบริษัทนี้ต้องเป็นการเริ่มต้นทำงานที่ดีมากแน่ๆ!
“เอ่อ....ต้องขอโทษด้วยนะคะ”เลขาสาวยิ้มให้ผมอย่างสุภาพ คำพูดของเธอทำให้ผมหน้าซีดอีกครั้ง...นี่ผมกำลังจะโดนปฏิเสธอีกแล้วหรือ? ไม่เอาแล้วนะ....
“คือทางเรามีการเปลี่ยนห้องสัมภาษณ์เนื่องจากมีปัญหาเล็กน้อยน่ะค่ะ ยังไงเดี๋ยวตามดิฉันมาเลยนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะนำคุณไปเองค่ะ”หญิงสาวชี้แจงรายละเอียดก่อนค่อยๆ เดินนำให้ผมตามไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก....อย่างน้อยผมก็จะได้เข้าสัมภาษณ์ ถึงไม่ได้ก็ดีกว่าไม่ได้พยายามอะไรเลย...
ผมเดินตามคนข้างหน้าอยู่พักหนึ่ง มีการขึ้นลิฟท์มาอีกหลายชั้นก่อนที่เธอจะพาผมมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องๆ หนึ่ง มันถูกติดป้ายของกรรมการบริหาร หญิงสาวเคาะประตูสองสามทีก่อนที่จะเปิดให้ผมเดินเข้าไปคนเดียวโดยที่ไม่บอกกล่าวเจ้าของห้อง นี่บริษัทนี้เขาใช้คนใหญ่คนโตแบบนี้สัมภาษณ์พนักงานใหม่เลยหรือนี่?
ผมเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่กลางห้อง ห้องนี้เป็นห้องทำงานที่ดูเรียบแต่ทันสมัย เจ้าของห้องคงยังอายุไม่ค่อยเยอะ
“มาแล้วหรือคุณภาคิไนย?”เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานกลางห้องที่ตอนนี้นั่งหันหลังให้ผมอยู่
“ครับ...สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้พนักเก้าอี้...ก็คนสัมภาษณ์นี่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ จะหันมาหน่อยไม่ได้เลยหรือไงนะ!
“ผมได้อ่านประวัติของคุณมาบ้างแล้ว น่าสนใจทีเดียว...”เขาพูด แต่ยังคงนั่งหันหลังอยู่เหมือนเดิม
“ผมไม่มีอะไรจะถามคุณมาก ถ้าคุณตอบคำถามได้ถูกใจผมคุณก็ได้งานนี้ไปทำง่ายๆ แต่ถ้าไม่ก็คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วย”
“อ่า...ครับ”อะไรเนี่ย ตั้งแต่ไปสัมภาษณ์มากี่บริษัทๆ ผมไม่เคยเจออะไรที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย
“ข้อแรก....คุณคิดว่าสิ่งที่ตาเห็นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไปหรือไม่?”คำถามแรกที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งานถูกเอ่ยออกมาจากปากของผู้ชายที่นั่งหันหลังให้ผม
“ถึงสิ่งที่เห็นจะตอบอะไรได้หลายๆ อย่าง แต่มันก็ไม่ถูกต้องเสมอไปครับ ถ้าเรารับฟังเหตุผล บางทีสิ่งที่เห็นก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป”ผมตอบอย่างมั่นใจ ในคู่มือการสัมภาษณ์ทำงานเขียนไว้ว่าห้ามอึกอัก!
“ดี...ข้อสอง.....คุณคิดว่าคนที่เอาแต่หนีโดยไม่ฟังเหตุผลเป็นคนแบบไหน”เป็นอีกข้อหนึ่งซึ่งผมคิดว่าไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งการทำงานของผมเลย
“ผมคิดว่าเป็นคนที่มีโลกทัศน์ที่แคบเพราะไม่ยอมเปิดใจรับฟังคนอื่นครับ ถ้าเขายอมฟังเหตุผลของคนอื่นบ้าง...การหนีก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น สู้เผชิญหน้ากับปัญหาไปเลยดีกว่า”ผมตอบในสิ่งที่คิด ซึ่งก็ถูกตอบกลับมาด้วยเสียงที่แสดงความพึงพอใจ
“คำถามสุดท้าย....สมมติว่าคุณมีคนๆ หนึ่งที่ไว้ใจมาก คุณทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับคนๆ นั้นจนหมด แต่เขากลับทิ้งคุณไปโดยไม่ไยดี....ในวันหนึ่งที่เขากลับมา คุณจะทำยังไงกับเขา? คุณจะยอมปล่อยเขาไปอีกหรือไม่?”อะไรเนี่ย!นึกอยู่ว่ามันแปลกพิสดาร แต่นี่มันจะมากไปหน่อยไหม! ทำไมถามอะไรไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งที่จะรับเลย!
ผมเริ่มงุนงงกับคำถามในการสัมภาษณ์แล้ว บริษัทใหญ่ๆ แบบนี้เขามีวิธีรับคนที่แปลกๆ แบบนี้น่ะหรือ? แต่ในขณะที่ผมกำลังคิดหาคำตอบ เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ก็หมุนกลับมา....
“ว่ายังไง?....ภาม.........”ชายหนุ่มที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานถามผม เขาอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างดี ใบหน้านั้นเรียบเฉย....ใบหน้าที่ผมรู้จักดี.....ยอร์ช!!!
To be continued
________________________________
แหม รู้นะแอบเสียดายคู่ภีมยอร์คล่ะสิๆๆๆ อิตายอร์ชมันทำเสียเรื่องจริงเลย
ด่ามันๆ
ช่วงนี้ต้องทำค่ายติวเด็กๆจ้า แหม่ น้องผู้ชายหน้าตาน่าแทะโลมจริงๆเลยปีนี้
มีรุ่นพี่(เกย์&กระเทย)ในคณะฝากให้เอาขนมไปให้เยอะมากมาย จนน้องเค้าต้องหิ้วเดินไปมาทั้งวัน 5555
เม้าพอละ พบกันใหม่ตอนหน้าจ้า
นัท