ตอนที่ 44
เวลาเป็นแค่คำปลอบ เวลาเป็นแค่คำหลอก ก็มีแต่เข็มหมุนวนเรื่อยไป
เวลาไม่เคยรู้หรอก ยิ่งนานยิ่งตอกย้ำหัวใจ ยิ่งช้ำยิ่งทรมาน คลื่นวิทยุช่างรู้ใจ เปิดเพลงนี้ในช่วง หัวอกที่มันกำลังกลัดหนองแทบจะปะทุขึ้นมา
เวลาแห่งความสุขที่ใครๆต่างก็บอกว่าผ่านไปเร็วแค่ไหน ก็ยังพอทำใจได้
แต่ไอ้เวลาแห่งความทุกข์ที่มันใกล้เข้ามา ไม่ต่างอะไรกับรถไฟชินคันเซ็นที่มุ่งตรงจากโตเกียวสู่โอซาก้าใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจ
ทำไมมันถึงได้วิ่งเข้าหาผมแบบไม่เหลือเวลาให้ได้ทำใจอะไรแบบนี้
ไอ้หน่าเคยตราหน้าผมไว้ว่า.....กระล่อนตัวพ่อ มารยาตัวแม่ เห็นทีเจอมันครั้งหน้า ผมคงต้องเอาทำแหน่งนี้ปาหน้าไอ้คนที่มอบให้ด้วยความเต็มใจเสียละมั้ง
ที่สุดของความจริงมีอยู่ว่า....ผมทอปฟอร์มกระล่อนมารยา........กับไอ้ฉานแค่คนเดียวแหงนหน้าไปมองนาฬิการาวกับว่า เข็มนาฬิกามันจะหมุนทวนเข็มได้ยังไงยังงั้น สะบัดตัวลุกขึ้นจากที่นอน พร้อมหน้าโทรมๆเหี่ยวๆไปที่ตู้เสื้อผ้า ซอกหนึ่งของตู้ที่เป็นเสมือนคลังเสื้อผ้าเก่าเก็บ ถูกผมคุ้ยหาอย่างบ้าคลั่ง การแต่งตัวเพื่อไปตามนัดสำหรับใครหลายๆคน อาจจะต้องพิถีพิถันให้ตัวเองออกมาดูดีที่สุด ผมเองก็เป็นแบบนั้น
แต่นั่นต้องไม่ใช่กับนัดครั้งนี้
ในเมื่อไอ้อาทมันอยากเจอผมนัก ผมเองก็ควรจะทำให้มันประทับใจจนลืมกันไม่ลงเลยทีเดียว
เสื้อยืดที่ครั้งนึงคาดว่า มันเคยเป็นสีดำ ตอนนี้สภาพที่เห็นตรงหน้าแทบแยกแยะไม่ออกว่าดีกว่าผ้าขี้ริ้วตรงไหน ลายสกรีนที่ผมมั่นใจว่าครั้งหนึ่งมันต้องเท่ห์แสนเท่ห์ ตอนนี้เหลือเพียงร่องรอยจางๆลางเลือน บางส่วนมีรูระบายอากาศที่แยกแยะไม่ได้ว่ามาจากสัตว์หรือแมลง กางเกงขาสามส่วนลายทหาร ที่ซีดจนชายขาหลุดรุ่ยโดนเลือกมาทาบกับลำตัวแบบเข้าชุดกัน หมุนซ้ายขวาหน้ากระจกเพื่อให้มั่นใจว่า ในชีวิตนี้ ไม่มีครั้งไหนที่พี่เมฆดูไม่ได้เท่ากับครั้งนี้มาก่อน ดีที่ว่าหน้าตายังช่วยให้ดูห่างไกลจากคำว่าคำบ้าหรือว่าพวกเร่ร่อนอยู่บ้าง ไรหนวดที่เริ่มครึ้มเขียวที่บ่งบอกว่าผมเลิกสนใจตัวเองไปนานแค่ไหน ก็เอามือลูบให้สากมือเล่นๆสองสามทีแล้วปล่อยเอาไว้อย่างเดิม
สายน้ำที่ไหลรดตัวทำให้สมองสดชื่นขึ้นมาบ้าง การดูแลฟื้นฟูจิตใจอันดาเป็นเรื่องที่ผมทดเอาไว้ ว่าจะต้องทำต่อไปหลังจากจัดการกับไอ้ตัวปัญหาที่ควงสาวเปลี่ยนแต่ละวันไม่ซ้ำหน้าอยู่ดีๆ ดันนึกสนุกอยากจะควงผู้ชายเพศเดียวกันออกเดทขึ้นมา
ผมร้องหึ ในลำคอประชดชะตาชีวิตตัวเอง สองมือยกขึ้นมาปาดไล่น้ำที่ไหลลู่หน้า ปากบอกว่าจัดการไอ้อาท แต่ก็ยังมืดมนจนไม่รู้ว่าจะจัดการมันยังไง เรื่องใช้กำลังแน่นอนว่าผมไม่ถนัดอยู่แล้ว ผมไม่เคยเป็นทัพหน้า เป็นได้แค่กองเชียร์อยู่เบื้องหลัง จะว่าไปไอ้ฉานมันไม่เคยให้ผมได้ใช้ชีวิตเยี่ยงเด็กผู้ชายทั่วไปเลยเถอะ ไปหาเรื่องต่อยกับใคร ก็ไม่เคยได้ใช้กำลังขาตัวเอง นี่คงเป็นเรื่องเดียวที่กัดกินหัวใจผมมาตลอด ถึงแม้การปกป้องที่ดูจะเกินความพอดีในบางครั้งของไอ้ฉานจะทำให้ผมรู้สึกดี แต่บางทีก็อดที่จะอดสูตัวเองไม่ได้ว่า นี่กูเกิดมาให้เสียชาติความเป็นชายทำไม อ่อนแอก็เท่านั้นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่ติดที่เครื่องบ่งบอกเพศชายมันชูหราแทบจะตะบันหน้าใครต่อใคร ผมคงเอากระโปรงผู้หญิงมาใส่แล้วนั่งเล่นตุ๊กตากระดาษไปนานแล้ว
ผมไม่เคยโทษโชคชะตาที่กำหนดให้มีคนรักเป็นผู้ชาย และผมไม่เคยเสียใจที่ตกอยู่ในสถานะที่ไอ้ฉานมันเรียกได้เต็มปากว่าเมีย ถึงแม้จุดเปลี่ยนครั้งแรกเกิดจากการขืนใจ แต่มันก็พูดได้ไม่เต็มปาก ในเมื่อส่วนลึกสุดของใจมันตอบออกมาว่ารู้สึกดีกับสัมผัสแปลกใหม่ที่อีกฝ่ายนึงมอบให้แค่ไหน ที่ขัดขืนในตอนแรกไม่ใช่เพราะโดนขืนใจ แต่เกิดจากตกใจมากกว่า ทุกครั้งที่มีไอ้ฉานอยู่ใกล้ๆ ผมพูดได้เต็มปากว่าอุ่นใจและไม่รู้สึกตื่นกลัวอะไร ผมกล้าที่จะเดินไปข้างหน้าแม้จะมองเห็นว่ามีเศษแก้วหล่นอยู่เกลื่อนกลาด แค่เพียงไอ้ฉานมันส่งยิ้มและพนักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร” ผมก็พร้อมจะเดินต่อไปแบบไม่กลัวอะไรเหมือนกัน
ในเมื่อมันเลือกที่จะมีคนรักเป็นผู้ชาย ไอ้ฉานมันก็น่าจะเข้าใจไม่ใช่เหรอ ว่าต่อให้ผมอ่อนแอควรจะต้องได้รับการปกป้องสักแค่ไหน แต่สัญชาติญาณของบุรุษเพศชาย การดูแลตัวเองและช่วยเหลือคนที่รักได้ คือความภูมิใจของลูกผู้ชายทุกคน
ความรักในแบบของมันคือการดูแลและปกป้องผม แต่ความรักในแบบของผมแค่เพียงอยากให้มันรู้ว่า ผมเข็มแข็งพอที่จะเดินไปข้างหน้าพร้อมกันกับมัน ไม่ใช่ไอ้เมฆที่คอยที่จะอยู่ข้างหลังแล้วรั้งชายเสื้อไอ้ฉานไว้เหมือนที่ผ่านมา ผมพร้อมที่จะเป็นฝ่ายที่ต้องอ่อนหวานถ้าตอนนั้นเราอยู่ในห้องกันสองคน แล้วผมก็พร้อมที่จะบู้ล้างผลาญไม่ว่าผมหรือมันต้องเจอกับปัญหา ก็แค่นั้น ก็แค่ไม่อยากเป็นภาระตลอดไป ก็แค่อยากเป็นคนรักให้ได้สมกับที่มันแหกกฎธรรมชาติมารักผู้ชายบ้าๆอย่างผม
ครั้งสุดท้ายที่เราสองคนโกรธกันข้ามวัน
ผมจำได้ว่าเมื่อตอนที่จะสอบเข้าม.ปลาย ผมอยากเรียนสายศิลป์ที่คิดเองเออเองว่าเรียนสบายๆ จะได้มีเวลาวาดรูปอย่างที่ตัวเองชอบ
ผมเป็นคนที่มองอะไรใกล้ๆ แต่ไอ้ฉานมันมองไปไกลกว่านั้น มันมีจุดยืนชัดเจนว่าจะต้องเป็นสถาปนิกสร้างชาติในอนาคต ผมจำได้ว่าเถียงกับมันจนกลายเป็นสงครามย่อยๆ ด้วยอารมณ์และช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ทำให้ผมต่อต้านที่จะเรียนสายวิทย์เหมือนอย่างมัน ทั้งๆที่คะแนนผมผ่านฉลุย (ก็เพราะมันคอยเคี่ยวเข็ญ)
ก็ในเมื่อผมเกลียดการคำนวณ เกลียดการทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งหลาย เกลียดที่จะต้องมาซาบซึ้งกับใครสักคนที่นอนๆอยู่แอปเปิ้ลก็เสือกตกใส่กบาลจนเกิดตำนานกฏแรงโน้มถ่วงของโลก
เหตุผลไอ้ฉานในตอนนั้นก็บัดซบจนผมอยากจะประเคนหน้าแข้งหวานๆไปให้ เหตุผลที่มันยกอ้างกับผู้ใหญ่ผมไม่รู้ว่าเป็นยังไงเพราะไม่สนใจที่จะฟัง แต่ที่มันอ้างกับผมก็มีแค่ ถาปัตย์ต้องเรียนวิทย์-คณิต และผมต้องอยู่ข้างมัน ก็แค่นั้น เราทนที่จะไม่พูดและเล่นสงครามประสาทกันได้แค่เพียงข้ามวันก็กลายเป็นผมที่ต้องไปเกาะขอบเตียงแล้วบอกมันว่า ผมเรียนอย่างมันก็ได้ ถ้ามันช่วยผมทำงานส่งอาจารย์ ทำการบ้าน และติวตอนสอบ แล้วก็แทบจะตีกันตายอีกครั้งเมื่อผมแหกกฎจะเรียนคณะที่ต่างจากมัน ดีที่ว่าคณะที่ผมต้องการอยู่ติดกับคณะมัน ตอนนั้นผมเลยรอดตายไปอย่างหวุดหวิด
ครั้งนี้ผมก็บอกกับตัวเองว่า ขอแค่ให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองว่ายังมีความเป็นผู้ชาย ช่วยเหลือตัวเองและปกป้องคนที่รักได้ ผมเต็มใจที่จะเดินไปง้อมัน ต่อให้มันโกรธสักแค่ไหน แต่เจ้าพ่อแห่งวงการมารยา อย่างที่ไอ้หน่ามันตั้งให้ ก็จะงัดมันออกมาไม่ว่าจะต้องใช้สักกี่กระบวนท่า แต่ถ้าผลสุดท้ายคือการที่ผมได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ข้างๆมันเหมือนเดิม ผมคิดว่าผมทำได้......ไม่ใช่สิ ผมต้องทำมันให้ได้ต่างหาก
เสียทองเท่าหัว แต่ไม่ยอมเสีย......ให้ใคร พี่เมฆก็ขอยืมมาใช้ก่อนแล้วกัน
ท่าทางลับๆล่อๆ เหมือนผู้ร้ายแอบลักลอบส่งกัญชา
ให้ตายเถอะ !!!!!
ผมไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง เคยนั่งรถผ่านไปแถวอนุสาวรีย์ชัย ตอนที่เกิดปัญหาเผาบ้านเผาเมืองกันในตอนนั้น ผมยังเคยสงสัยตรรกะของทหารไทย ที่เอาเถาวัลย์ใบไม้ปลอมมาพันรอบป้อมตำรวจ แล้วติ๊ต่างว่ามันคือฐานทัพ ไอ้ใบไม้ที่ดูก็รู้มาแต่ไกลว่าปลอมได้ห่างไกลจากธรรมชาติมันจะช่วยลวงตาข้าศึกได้จากตรงไหน นี่พวกเขากำลังคิดว่า กำลังต่อสู้กันอยู่ในป่า ทั้งๆที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ตึกราบ้านช่องถ้ามันจะเป็นป่าให้ทำสงครามได้ ก็คงจะเป็นป่าคอนกรีตละนะ แล้วทำไมพี่ทหารถึงไม่ผสมปูนทรายโบกหน้าตัวเอง ก็ยังสงสัยและแปลกใจ แต่มันก็ต้องมาสิ้นสุดลงก็วันนี้
วันที่ผมที่กลั้นใจแต่งตัวจนเรียกได้ว่าคัฟเวอร์มาจากวณิพกพเนจรก็ว่าได้ ผมไม่หวี หนวดไม่โกน อะไรที่ดูดีก็ทำให้มันดูไม่ดีให้ได้ แล้วก็ต้องมากลุ้มใจว่ากูจะออกจากบ้านไปที่มุมรั้วโดยไม่ให้ใครสนใจได้ยังไง กิ่งไผ่ที่ปลิวลู่ลมเป็นแนวรั้วให้บ้าน ผมยังคิดจะเอามันมาใช้อำพรางใบหน้า จะเดินปกติธรรมดาก็ดูไม่มั่นใจ จะต้องเดินไปหลบมุมเกาะตามแนวรั้วไป จะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณก็ละอายปาก ถ้ามันสื่อออกมาได้ในทีท่าที่น่าอับอายแบบนี้
แอบลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่อีกไม่เกินสามก้าวก็จะพ้นมุมรั้ว ไปถึงจุดที่นัดแนะกับไอ้อาทเอาไว้ เริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของการลักลอบคบชู้ก็วันนี้ ความตื่นเต้นที่วัดจากแรงสั่นสะเทือนของอัตราการเต้นของหัวใจที่กระแรกกระดูกซี่โครงจนปวดร้าวไปทั้งหน้าอกข้างซ้าย แล้วก็เหงื่อที่ผุดพรายเต็มหน้าแล้วควบแน่นกันจนไหลไม่ต่างอะไรกับฝนก็พอจะบอกได้ ผมยืดตัวเองให้ดูมั่นใจเต็มที่
1 2 3…………ที่ท่องไว้ในใจต้องสะดุดลงเมื่อสายตาที่ก้มต่ำนับแผ่นหินปูทางเดิน มาเจอกับรองเท้าที่คุ้นเคย เวลาไล่เลี่ยกันก็มีรองเท้าอีกคู่ก้าวเข้ามาอยู่เคียงข้างกัน คำขอโทษจะไม่จุกอยู่แค่ลำคอถ้าผมไม่รู้ว่ารองเท้าผู้ชายที่คุ้นตาตรงหน้าเป็นของใคร
พระเจ้ามักจะไม่เข้าข้างคนดีที่มีความผิด......เห็นจะจริงจนเถียงไม่ได้
คนที่ไม่อยากให้เจอในสภาพตอนนี้ที่สุด.......ก็ต้องมาพบเจอกัน
ถ้ามุดลงในดินได้ผมคงไม่รอช้า แต่การหนีปัญหาก็ไม่ใช่ผมเหมือนกัน
ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของรองเท้าทั้งสี่ข้าง หลังจากที่จ้องมันมาสักพัก แล้วดูเหมือนว่าเจ้าของรองเท้าจะจงใจให้ผมจ้องมองโดยไม่หลบสายตาผมเหมือนกัน
ปวดหนึบไปทั้งใจ!!!!!!
เจ้าของรองเท้าผู้ชาย คือ ไอ้ฉาน ไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยผมก็จำมันได้ ในเมื่อผมเลือกให้มันด้วยตัวเอง แต่เจ้าของรองเท้าที่ยืนอยู่ข้างกันทำให้ผมต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ตอนที่ผมกลับมาพร้อมกับอันดาก็เห็นว่าน้าชาติออกมาส่งแขกที่หน้าบ้านแล้ว แต่ทำไม หนึ่งในแขกที่น่าจะกลับไปด้วยกันถึงได้ยังอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าเดินกันมาจากไหน ไอ้ฉานอาจจะพาเธอออกไปเดินเล่น ตามประสาสุภาพบุรุษที่มีน้ำใจ ใบหน้าหวานถึงได้โปรยยิ้มแบบไม่กลัวว่ามันจะจืดลงไปเลยให้ตายเถอะ
เสียงบีบแตรรถอย่างไร้มารยาท ดังกลบระบบประสาทให้หยุดการรับรู้ชั่วขณะ
“รถเพื่อนพี่หรือเปล่าค่ะ นัดกันไว้มั้ย เห็นเค้ามาจอดรออยู่นานแล้ว” เสียงหวานๆที่ซักถามอย่างคนที่ต้องการผูกมิตรไมตรี
ทำให้ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรมากไปกว่า ก้มหัวน้อยๆทักทายตามมารยาทของคนบ้านใกล้เรือนเคียง แอบเหลือบมองหมาบ้าที่ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันจะอาละวาดที่เห็นผมในสภาพนี้ และออกมาเหมือนคนมีพิรุธแบบนี้ แต่ปล่าวเลย มันมองมาที่ผมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่หลบตา แต่ว่าเดาไม่ได้ว่ามันคิดอะไรอยู่ในใจ
เสียงบีบแตรถี่รัวขึ้นกว่าเดิม เร่งให้ผมต้องรีบถอยห่างจากสถานการณ์ตึงเครียด
ที่ไม่รู้ว่าจะไปเจอเครียดกว่ารึเปล่า
“ชักช้า รู้มั้ย อาทมารอตั้งนาน แล้วมื่อกี้หยุดคุยกับใคร” ตอแหลไม่แนบเนียนเลยเหอะ ไอ้เชี่ย!! ถ้ามึงบอกว่ามึงซุ่มรออยุ่นาน แล้วจะให้เชื่อหรือไงว่า ไอ้ที่ยืนจ้องตาอยู่กะกูเมื่อกี้ มึงไม่รู้ว่าใคร
“คนข้างบ้าน” ในเมื่อมึงหน้าด้านชงมุกมา กูก็ยินดีตอบให้แบบหน้ามึนๆนั่นหละ เพราะตอนนี้ในสมองผมก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย สมองส่วนดีกับส่วนร้ายแทบจะยกพวกตีกันไม่ต่างอะไรจากอุเทนถวายกับเทคโนปทุมวัน ผมแน่ใจว่าไอ้ฉานมันรู้ว่าคนที่มาดักรอผมเป็นใคร มันจะคิดยังไงถ้ารู้ว่าผมขึ้นรถมากับคนที่ควรต้องอยู่ห่างให้มากที่สุด สิ่งที่มันทำกับไอ้ไม้ยังไม่เคยเลือนออกไปจากใจ แต่แผนการที่วางเอาไว้มันบีบบังคับ และบางทีไอ้ฉานอาจจะไม่คิดอะไรเลยก็ได้ อาจจะแกล้งทำเป็นลืมไปว่าผมเป็นอะไรกับมัน...................สุดท้ายก็คิดเอาเองแล้วก็ปวดใจเอง จะมีอะไรที่บัดซบไปกว่านี้อีกมั้ย
ที่ผ่านมาคงนั่งแต่มินิคูเปอร์จนเคยชินถึงได้รู้สึกว่าไอ้ บีเอ็มซีรี่ย์ห้ามันถึงได้กว้างใหญ่ขนาดนี้ ผมบีบตัวลีบติดกับประตู ถ้าเข้าไปสิงสู่ได้ ผมคงทำไปแล้ว ดูไอ้อาทจะไม่ตกใจกับสภาพการแต่งกายของผม การแต่งตัวของไอ้อาทดูดีเสียจนอดเสียวสันหลังไม่ได้ว่า มันจะพาไปกินอาหารในโรงแรม เสื้อเชิ้ตรีดจนเรียบกริบ ทำให้ผมกลืนน้ำลายยากลำบาก สแลคพอดีตัวโชว์หัวเข็มขัดบ่งบอกฐานะคนใส่ ตัววีกระแทกเบ้าตาซ้าย ตัวแอลลอยตามมากระเทกเบ้าตาขวา กลิ่นน้ำหอมที่มากไปจนฉุนกึก ทำให้ต้องรีบเบือนหน้าหนี แอบคิดในใจว่าพี่ชายออกจะรสนิยมดี แต่ทำไมอันดาถึงได้ชอบผู้ชายแบบนี้เข้าไปได้วะ
ทุกอย่างในตัวไอ้อาทดูเยอะจนล้น มันปรุงแต่งจนผมรู้สึกว่าเคมีของเราไม่มีวันที่จะเข้ากันได้ ต่อให้ผมเป็นเกย์แบบบอร์นทูบี ก็แน่ใจว่าไม่มีวันชอบคนที่พรีเซ็นต์ตัวเองออกมาแบบนี้แน่ ยิ่งเจอคนมากหน้าหลายตาที่แวะเวียนเข้ามาจีบทำให้ผมแน่เสียยิ่งกว่าแน่ใจว่าผมเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ไม่ว่ามนุษย์ผู้ชายคนไหนถ้าไม่ใช่ไอ้ฉาน ผมคงไม่มีวันหลับตาพริ้มเผยอริมฝีปากรับจูบเร่าร้อนได้เป็นอันขาด........แค่คิดว่าไม่ใช่ทำไมรู้สึกขยะแขยง
ถ้าเป็นริมฝีปากไอ้ฉานเมื่อไหร่ มันแค่ส่งลิ้นเข้ามา ยังไม่ทันจะลุกไล่ ผมก็ส่งลิ้นตัวเองออกไปเกี่ยวพันแล้วเถอะ มันดูดกลืนลิ้นผมไปเท่าไหร่ ผมโต้ตอบได้เร่าร้อนไม่แพ้กัน นี่ถ้ามีเครื่องวัดว่าใครส่งเสียงร้องครางได้ดังกว่าใคร ผมจะไปเปิดบิลเป็นคนแรก ซื้อสดไม่ผ่อนไม่ดาวน์กันเลย....
“น่ารักจัง” วลีที่ไม่น่าจะได้ยินลอยมาเข้าหูให้ต้องสะดุ้งตกใจ
“ กะ กะ กู เหรอ” เอานิ้วชี้จิ้มเข้าหาตัวเองว่าไม่ได้หูฝาด
“อึ้ม อยากแกล้งอาทถึงได้แต่งตัวแบบนี้สินะ เมฆก็แปลกแบบนี้แหละอาทถึงได้สนใจ ไม่เสียแรงที่คิดว่าจะชอบผู้ชายสักที แล้วคนคนนี้เป็นเมฆนะ ตอนที่อันดาพูดถึงพี่ชายก็คิดเอาไว้ว่าต้องน่ารักแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าน่ารักขนาดนี้”
สาบานได้ว่าคาปูชิโน่ที่กินเข้าไปเพียงแก้วเดียวในวันนี้ ไม่ได้ย่อยสลายไปตามกาลเวลา เพราะรู้สึกว่าทั้งกาแฟทั้งวิปครีมได้ตีขึ้นมาจุกที่คอหอยเรียบร้อยแล้ว ถ้ามันบอกว่าผมเป็นผู้ชายคนแรกที่มันสนใจ ประโยคกระชากอ๊วกเมื่อกี้ก็คงเป็นความเคยชินที่มันเคยเอาไว้ล่อเหยื่อผู้หญิงสินะ
“กูเป็นผู้ชาย แล้วคำว่าน่ารักมันควรใช้กับกูหรือไง” ให้ตายเหอะ ผมโครตเกลียดรอยยิ้มระรื่นมุมปากของมันจริงๆ จิตใจมันทำด้วยอะไรกันวะ ตอนเช้าเพิ่งจะทำให้ผู้หญิงที่มันเรียกว่าแฟนเสียน้ำตามา ตกเย็นมันกลับมานั่งม่อผู้ชายได้หน้าตาเฉย
มือผมกำแน่นรู้สึกโกรธแค้นแทนอันดา แต่สมองฝ่ายดีมันกดสติเอาไว้ว่า ดีแล้วที่กันอันดาออกมาจากมันได้
“เมฆอยู่ในข่ายที่เรียกว่าน่ารักจริงๆ” แม่ง ยืนยันด้วยคำพูดไม่พอ ยังจะหันมายิ้มทำตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มใส่หน้ากูอีก
ผมไม่ตอบโต้อะไรนอกจากยึดวิวข้างทางไว้เป็นเพื่อนตาย ถ้อยคำที่คิดว่าจะเกลี้ยกล่อมมันให้เลิกแล้วต่อกันสงสัยต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นคำขู่ หรือจะลงทุนให้มันเสียบตูดดูสักครั้ง อันหลังนี่คงจะไม่ไหว ถ้ามันเล็กกว่าของไอ้ฉานผมคงจะให้อภัยได้ แต่ถ้าใหญ่กว่าขึ้นมาใครจะกล้าเสี่ยงหละ ก็พอจะรู้ว่าการร่วมรักผิดทางธรรมชาติแล้วเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา ปล่อยไปสักพักเดี๊ยวก็ร้องอื้ออ้าออกมาแบบไม่มีใครอายใคร
แต่นั่นมันควรต้องใช้กับคนที่รักกัน เซ็กส์ที่เกิดจากความรักและการยินยอมพร้อมใจ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายมีความสุข แต่นี่มันไม่ใช่ จะให้ผมเป็นหนูทดลองให้เด็กพ่อแม่ตามใจจนเสียนิสัยพิสูจน์ว่าการร่วมรักที่เกิดขึ้นระหว่างหญิงชายกับผู้ชายผู้ชายแตกต่างกันยังไง ต้องไม่ใช่ผมแน่ๆ แค่จะให้เอาปากแตะปากลิปคิสแบบวัยรุ่นเริ่มรักยังจะไม่ไหว
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
“เสือก” ผมแค่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไป แค่ปลายตาไปมองให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่มันจะต้องรู้
ร้านอาหารที่ไอ้อาทพามาไม่ใช่โรงแรมหรูอย่างที่คิด เป้าหมายคงเปลี่ยนไปตั้งแต่มันเห็นสภาพการแต่งกายของผมนั่นแหละ แต่ผมจะสนใจอะไร เรื่องประทับใจแรกพบไม่ใช่ความตั้งใจของผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
สุดท้ายร้านอาหารที่ไอ้อาทพามาถึงแม้ไม่หรูเหมือนโรงแรมที่ไหนแต่ก็จัดได้ว่าไม่แย่ ร้านดูเรียบๆและน่านั่งกว่าโรงแรมที่คิดว่ามันตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกเป็นไหนๆ ผมเลือกอาหารสองสามอย่าง ถึงร้านจะดูไม่ออกว่าหรูหรายังไง แต่ราคาที่โชว์หราบนเมนูบอกได้ว่าที่นี่ไม่ธรรมดา อาหารมาเร็วทันใจไม่ต้องให้รอนาน ไอ้อาทตักนู่นผสมนี่ จนเต็มจานผมไปหมด คำพูดแว่วหวานที่ชวนคุยถ้าผมไม่ใช่ผู้ชายก็คงเคลิ้มไปไม่น้อย ไม่แปลกใจว่าทำไมสาวๆถึงหลงคารมไอ้อาทกันนัก เพราะมันพูดเพราะแถมยังเอาอกเอาใจจนมากเกินความพอดี ความเคยชินที่เคยปฎิบัติต่อผู้หญิงเมื่อถูกเอามาใช้ในจุดประสงค์เดียวกัน แต่ทาร์เก็ตเปลี่ยนไป ความแตกต่างเกิดขึ้นในใจผมทันที ผมเป็นผู้ชายการถูกเอาใจเยี่ยงสตรีไม่ได้ทำให้ผมประทับใจอะไร
ผมเริ่มรู้ว่าทำไมผมกับไอ้ฉานเราถึงคบกันได้โดยที่เพื่อนๆไม่ได้อึดอัดใจอะไร เพราะไอ้ฉานมันค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่รุกคืบให้ผมต้องหนักใจแบบที่ไอ้อาทหรือแบบที่พี่เต้ทำ ไอ้ฉานไม่เคยเอาใจผมจนรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นผู้หญิงเหมือนกับที่ไอ้อาททำอยู่ตอนนี้ มันปฎิบัติกับผมแบบเพื่อนปกติธรรมดาเค้าทำกัน อาจจะเยอะกว่าเพื่อนธรรมดาตรงที่มันเอาใจใส่มากกว่าใครๆ แต่ไม่เคยหวานใส่กันจนเลี่ยน ถ้าไม่ใช่เพราะมันอยากกวนตีนผม