.
.
คงเพราะความอ่อนเพลียของร่างกายที่ต้องนั่งตากแดดตากลมทั้งยังอดอาหารไปนานร่วมวันทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีหนุ่มร่างสูงก็แผ่หลาหลับสนิทอยู่กลางเตียงหลังกว้างอย่างหมดสภาพ เปลือกตาบางที่ปกคลุมดวงตากลมปิดสนิทโชว์แพขนตาหนายาวเรียงเส้นชัดเจน ริมฝีปากหนาย้อยๆนั้นเปิดเผยออกเล็กน้อยส่งผ่านลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ..
พีมค่อยๆทิ้งน้ำหนักนั่งลงข้างๆกลัวว่าจะไปทำให้คนที่หลับสนิทอยู่ตื่นขึ้นมา ดวงตาเรียวรีหลุบมองดูเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกที่อ่อนระโหยโรยแรง.. คนอย่างเขา เคยมั่นใจว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ สามารถควบคุมและจัดการได้ทุกอย่างทุกเรื่อง แม้ที่ผ่านมาจะเคยมีคนที่ทำให้เขาเจ็บช้ำใจแต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่มันจะยากจนเกินควบคุม .. แต่ คราวนี้กลับไม่ใช่ ดวงตาเรียวกวาดต้องไปตามไรผมที่มีคราบชื้นเหงื่อที่เริ่มแห้งสนิท แถบคิ้วดกดำเรียงเส้นหนา สันจมูกโด่งรับกับรอยหยักน้อยๆที่ริมฝีปากบน ลำคอยาวรับกับบ่ากว้างกำยำ และท่อนแขนที่หนั่นไปด้วยมัดกล้าม..
พีมคนนั้นคงถูกเจ้าเด็กบ้องตื้นตรงหน้าร่ายคาถาหลอมละลายจนหัวใจที่เคยแข็งแกร่ง แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนแอ บอบบางจนยากเกินการควบคุมไปเสียแล้ว
..น้ำเชี่ยวครับ อย่าทำให้พี่เจ็บอย่างวันนั้นอีกนะ ขอร้องล่ะ ไม่อย่างนั้นพี่คงเป็นบ้าแน่ๆ
มือบางไล้ไปตามลำแขนแกร่งจนถึงปลายสุดของนิ้วมือ ปลายนิ้วสากๆของคนที่เห็นเครื่องดนตรีนานาชนิดเป็นเหมือนเพื่อน ปลสยเล็บขาวที่ยื่นออกมาบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงไม่ได้สนใจดูแลตัวเองสักเท่าไหร่ หรือไม่ คุณแม่คงลืมโทรมาเตือนให้น้ำเชี่ยวตัดเล็บแน่ๆ ..ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปที่โต๊ะเล็กข้างเตียงเพื่อเปิดลิ้นชักหากรรไกรตัดเล็บ แต่กลับต้องชะงักค้างเพราะกล่องประหลาดสีเข้มสดวางตระหง่านอยู่ท้าสายตา
มันมาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ? .. พีมหันควับกลับมาที่เจ้าเด็กตัวโตจอมตื้อที่นอนสลบอยู่ข้างๆทันที คงเป็นฝีมือเจ้านี่แน่ๆ กล่องสีเข้มสวยดีไซน์เรียบแต่ดูดี
‘พี่พีม.. น้ำเชี่ยวขอโทษ’ ข้อความสั้นๆลายมือบูดๆเบี้ยวที่ดูเหมือนจะพยามบรรจงเขียนให้สวยที่สุดในชีวิตบนกระดาษโน้ตเล็กๆ ที่วางทับบนแหวนสีเงินวาววงเกลี้ยงมีลายกลมๆล้อมรอบห่างๆ เหมือนกับลายบนนาฬิกาสองเรือนที่เขาเคยได้เป็นของขวัญตอนไปเที่ยวที่ฮ่องกง
.. หึๆ นายไปเป็นลูกค้าแบรนด์นี้บ่อยๆอย่างนี้ ทำไมไม่เสนอตัวไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้เค้าซะเลยล่ะ ชิ
ถึงแม้ในใจจะคิดจิกกัดคนที่หลับอยู่ ราวกับไม่ได้เห็นของขวัญตรงหน้ามีค่ามากมายสักเท่าไหร่ แต่มือเรียวบางกลับคอยแต่ลูบคลำแหวนวงน้อย สองตาพิศมองไม่วาง จนไม่ทันสังเกตุเห็นอีกคนที่แอบนอนลืมตาแป๋วเฝ้าจับจ้องปฏิกิริยาของตนอยู่
..นึกไปถึงไอ้เจ้าตุ๊กตาเคโระตัวบิ๊กเบิ้มที่นอนเท้งเต้งอยู่บนโซฟาข้างนอกแล้วมองดูแหวนวงนี้ ก็ยังนับว่านายยังพอจะมีรสนิยมในการง้อคนอื่นเขาอยู่บ้างอ่ะนะ ชายหนุ่มจัดแจงลองไล่ใส่โลหะสีเงินวาวลงบนนิ้วตัวเองจนเกือบครบทุกนิ้ว กระทั่งมาหยุดสุดท้ายที่นิ้วกลางข้างซ้าย พลิกมือไปมาดูแล้วดูว่านิ้วนี้คงเหมาะสุดก่อนจะปิดกล่องสวยลงวางไว้ในลิ้นชักปิดไว้อย่างดีแล้วค่อยๆทิ้งตัวลงนอน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับตัวเอง
เฮ้อออ..เสร็จมันอีกแล้วเรา สุดท้ายก็ยอมใจอ่อนให้กับไอ้ตัวดีที่นอนหลับใหลไม่รู้เรื่องราวอยนู่ข้างหลังนี้จนได้ ทำไมนะ? ถ้าเกิดเปลี่ยนสถานการณ์กันบ้าง ถ้าคนที่เป็นฝ่ายทำผิดก่อนเป็นเขาบ้าง น้ำเชี่ยวจะมีอาการอย่างที่เราเป็นอยู่นี่มั้ยนะ หรือบางทีน้ำเชี่ยวอาจจะไม่แยแส ไล่ตะเพิดเลิกขาดกับเราอย่างไม่มีวันยอมใจอ่อนก็เป็นได้ ..เฮ้อออออ~
.
.
นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้ไม่นาน พีมก็รู้สึกเหมือนพื้นที่ข้างตัวอ่อนยวบลงด้วยน้ำหนักของใครบางคน และไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆก็มีไออุ่นจากท่อนแขนสองข้างของคนข้างหลังสอดเข้ามารัดลำตัวของเขาไว้ช้าๆ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดแผ่วอยู่ที่ต้นคอ ก่อนที่สองมือบางจะถูกฝ่ามือหนารวบมากุมไว้แนบกับอกตัวเอง
.. ห้องที่อุณหภูมิเย็นเฉียบ บวกกับอากาศข้างนอกที่เป็นเวลาพลบค่ำ แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปจวนจะหมด แต่สองกายสองหัวใจที่ปราศจากผ้าห่มใดๆ กลับซุกตัวอยู่ได้ไม่สะทกสะท้าน หรือเพราะไออุ่นที่กำลังแผ่ซ่านแทรกผ่านกายที่กำลังกอดเกี่ยวแนบชิดก็เพียงพอแล้ว
“พี่พีม น้ำขอโทษ ต่อไปน้ำเชี่ยวจะปรับปรุงตัว จะไม่ทำให้พี่เสียใจอีก จะไม่ทำให้พี่เจ็บตัวอีก ขอโทษนะครับ ที่รัก” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาช้าๆแต่ชัดถ่อยชัดคำ ก่อนที่เจ้าตัวจะจรดริมฝีปากอิ่มลงบนกลุ่มผมนุ่มของคนในอ้อมกอด
..ทว่าไม่มีเสียงขานรับใดๆตอบกลับมา พีมได้แต่นอนคุดคู้นิ่งให้เขากอดไว้อย่างนั้น แต่ความเงียบภายในห้องกลับทำให้เขาได้ยินเสียงสูดจมูกฟึดฟัดเบาๆจากคนในอ้อมกอดได้
“พี่ร้องไห้เหรอ? ร้องทำไม หรือว่ายังไม่หายโกรธน้ำ” ออกจะตกใจและลังเลในการกระทำของตนขึ้นมา ที่คิดไปว่าคนที่นอนข้างๆอยู่นี่คงจะยอมอ่อนข้อคลายความโกรธเขาลงบ้างแล้ว จึงยอมให้เขามานอนสบายอยู่อย่างนี้ และคงไม่ยอมรับแหวนวงนั้นไปใส่ไว้ที่นิ้วอย่างง่ายๆถ้ายังโกรธกันอยู่ แต่ไหงเวลานี้กลับเป็นอีกอย่าง ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน และยังท่าทีที่เหมือนจะร้องไห้ออกมาอย่างนี้อีก แล้วอย่างนี้เขาควรจะทำอย่างไรดี ที่จะไม่ไปสะกิดใจให้พี่พีมเจ็บอีกครั้ง หรือไม่ไปทำให้พี่พีมโกรธเขาขึ้นมาอีก
“พี่พีม.. อยากให้น้ำทำยังไง? น้ำเชี่ยวต้องทำยังไง พี่ถึงจะหายโกรธน้ำเชี่ยว น้ำจะยอมทำทุกอย่าง แค่พี่หายโกรธ บอกน้ำสิครับ”
“........”
เงียบ.. เงียบ.. แม้เขาจะพร่ำพูดอะไรออกไป อีกคนก็เอาแต่เงียบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ มีแต่เสียงสูดจมูกหายใจแรงขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับพยามกลั้นสะอื้นไว้
นี่เราพูดอะไรไม่ถูกหูพี่พีมอีกหรือเปล่านะ?
“เลิกกันเหรอ?.. พี่อยากจะเลิกกับน้ำเชี่ยวใช่ไหม? แบบไหน?.. ที่พี่ต้องการ ที่มันจะทำให้พี่สบายใจขึ้นได้”
“.........” แล้วก็เงียบเหมือนเดิม..
“น้ำเชี่ยว ต้องเลิกกับพี่จริงๆใช่มั้ย? ต้องเลิกกัน อย่างนั้นเหรอพี่” ที่พูดออกไปไม่ใช่เพราะด้วยอารมณ์หรือโมโหที่อุตส่าห์ทนง้อมานานแต่ก็ไม่ได้ผล.. แต่เพราะเขาทำทุกทาง ทำทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังไม่ช่วยให้พีมหายจากอาการที่เป็นอยู่ได้เลย แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการเลิกกับพีม แต่หากการที่เขายังอยู่ตรงนี้แล้วต้องทำให้พีมเจ็บปวดและร้องไห้ แน่นอนเขาก็ไม่ต้องการมันเช่นกัน
“ก็ได้ น้ำยอมแล้ว ถ้า..ถ้าหากว่าพี่ต้องการอย่างนั้นจริงๆ ..น้ำเชี่ยวเลิกก็ด..ะ --
อึก!?-- ” กว่าจะเปล่งคำพูดอย่างจำนนในหัวใจออกมาได้ แต่ละประโยคช่างยากเย็นราวกับใครเอาก้อนแข็งๆมาง้างขากรรไกรไว้ กว่าจะพูดคำว่าเลิกออกมาได้เจ็บแทบขาดใจ
ทว่าเหลือเชื่อ..
แม้จะเจ็บสุดๆที่พูดไป แต่ผลของมันก็เกินคาดอยู่ไม่น้อย เมื่ออยู่ๆร่างบางของคนขี้โมโหก็หันควับมาสวมกอดเขาเอาไว้แน่นจนแทบจุก..
“ม..
ไม่! ไม่นะ
ไม่ ฮึก” ราวกับวินาทีที่เขากำลังรู้สึกสิ้นหวังหมดกำลัง ตัดสินใจจะสละชีวิตเดินไปทิ้งร่างตัวเองยังหุบเหวลึก.. ไปๆมาๆกลายเป็นว่า ลืมตาขึ้นอีกทีก็พบว่าร่างกายตัวเองยังห้อยต่องแต่งอยู่เพราะชายเสื้อดันไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ไว้อย่างไรอย่างนั้น
“ไม่.. ไม่นะ ไม่ใช่ พี่โกหกเอง พี่ไม่ได้ต้องการแบบนั้น ฮึกๆ.. ไม่ ไม่เลิก..พี่ขอโทษ ขอโทษ ไม่เลิก พี่โกหกเอง พี่ไม่อยากเลิก.. ฮึกๆ พี่รักน้ำเชี่ยว ฮืออออ”
โห.. พอ.. พอแล้วพี่พีม ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว แค่นี้น้ำก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว น้ำรู้ น้ำเข้าใจทุกอย่าง พี่ไม่ต้องบอกว่ารักน้ำ น้ำก็จะยอมอยู่เป็นหมูเป็นหมาคอยรับใช้พี่ไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว แค่พี่อภัยให้น้ำเชี่ยวแค่นั้นก็พอ.. ยังมีคำพูดอีกเป็นหมื่นเป็นพันคำที่เขาอยากจะพูดออกมาเพื่อบอกกับคนที่กำลังซุกตัวอยู่กับอกของเขาว่า เขารักพี่พีมมากแค่ไหน แต่ถ้าให้พูดออกมาตอนนี้คงไม่เป็นประโยคเพราะหัวสมองกลวงๆนี้ มันตื้อประมวลผลอะไรออกมาไม่ถูกเอาเสียเลย ได้แต่รวบเอาร่างสั่นไหวเข้าไว้ ลูบหัวลูบไหล่ที่กำลังสะอื้นน้อยๆนั้นให้คลาย ไล่หอมวนเวียนอยู่ที่หน้าผากเนียนและเส้นผมหอมนุ่มให้เต็มปอด
“น้ำยังไม่เบื่อพี่ใช่มั้ย ฮึก.. น้ำเชี่ยวยังรักพี่อยู่รึเปล่า ฮึก..” ตั้งแต่วินาทีที่เขาวิ่งออกไปอุ้มเอาร่างไร้เรี่ยวแรงของน้ำเชี่ยวตอนที่เป็นลม พีมก็รู้แล้วว่า การที่น้ำเชี่ยวทำร้ายเขาให้เจ็บทั้งตัวทั้งหัวใจ แม้จะมากแค่ไหน แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นช่างเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เขาไม่มีน้ำเชี่ยวอยู่ข้างกาย.. เวลานี้ก็เช่นกัน ไม่ใช่เขาไม่ใยดีกับสองแขนที่สวมกอดเขาไว้อย่างอบอุ่น ไม่ใช่ไม่สนใจกับคำขอโทษและคำว่ารักของเด็กหนุ่ม หากแต่ที่เขานิ่งเงียบและมีน้ำตาอยู่นี้ เพราะเขาเองก็รู้สึกผิดและละอายใจกับอาการแสนงอนเอาแต่ใจของตัวเองเหมือนกัน ที่เป็นเหตุให้น้ำเชี่ยวต้องมานอนป่วยอยู่อย่างนี้
..กระทั่งได้มายินว่าน้ำเชี่ยวจะเลิกกับเขาแล้วจริงๆ ถึงทำให้กล้าไล่ไอ้ตัวงี่เง่าออกไปจากหัวได้ หันกลับมาสวมกอดเง้างอดเอาหน้าซุกอกคนที่ตัวเองรักอย่างน่าสงสารได้ในที่สุด
“รักสิ.. รักที่สุด ใครว่าน้ำเชี่ยวอยากเลิกอยากหนีพี่ไป น้ำเชี่ยวรักพี่จะตาย น้ำเชี่ยวไม่เลิกกับพี่ง่ายๆหรอก ฮึก.. พี่พีม น้ำเชี่ยวขอโทษนะครับ ต่อไปน้ำเชี่ยวจะไม่ทำให้พี่เจ็บอีกแล้ว น้ำเชี่ยวขอโทษ น้ำเชี่ยวรักพี่พีมนะ อย่าร้องไห้สิพี่ ฮึกๆ.. น้ำเชี่ยวขอโทษ น้ำขอโทษ ยกโทษให้น้ำนะพี่นะ เราดีกันเหมือนเดิมนะ ที่รักนะ ร้องไห้ตาปูดหมดแล้ว”
แม้จะดีใจทั้งตื้นตันที่ได้รับรู้ว่าในที่สุดเขาก็ได้คนรักคนเดิมกลับมา แต่ก็เมื่อมองคนน่ารักที่ยังคงร้องไห้น้ำตาเปียกเสื้อเขาจนชุ่ม หูตาจมูกแดงไปหมด ก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ จนเขาเองก็อดไม่ได้ต้องปล่อยโฮออกมาเป็นเพื่อนกันอีกคน ..อย่างที่หนูมาลีเคยว่าไว้จริงๆ คนรักของเขาคนนี้แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งเก่งไปเสียหมด แต่ลึกๆนั้นพี่พีมก็โหยหาความอบอุ่นจากใครสักคนที่จะมาดูแลกันอยู่ดี มือหนาได้แต่ลูบหน้าลูบหลัง พิศมองดูรอยแผลของคนตัวเล็กที่ไกล้จะเลือนหายอย่างถี่ถ้วน ยิ่งมองหยาดน้ำใสๆที่ไหลนองแก้มใส ช่างทำให้รู้สึกสะท้านไหวเข้าไปข้างในจนแทบร้าว กี่ครั้งแล้วนะที่เขาทำให้คนนิ่งๆอย่างพี่พีมต้องร้องไห้เสียน้ำตา ลูกผู้ชายไม่ได้หลั่งน้ำตากันง่ายๆ พี่พีมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่กับคนโง่เง่าอย่างเขากลับทำให้คนที่ตัวเองรักต้องร้องไห้ ไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ.. นับแต่บัดนี้ไป มันจะต้องไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก จากนี้ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไร จะเลวร้ายแค่ไหน นายจะต้องไม่ทำให้พี่พีมเจ็บตัวอีก ต้องไม่ทำอีก!
.
.
.
ใก้ลรุ่งของวันใหม่ หนุ่มร่างบางในชุดกางเกงวอร์มเสื้อกล้ามทับด้วยเสื้อวอร์มหลวมๆ ผมเผ้ายุ่งฟูเพราะเพิ่งตื่น เดินไปพลางเหล่ตามองเจ้าสนู๊ปปี้ที่วิ่งกระดิกหางดุ๊กดิกเลียน้ำค้างบนยอดหญ้าเล่นสลับกับคอยหันมามองเขาที่กำลังเดินไปตามทางอิฐเล็กๆที่ปูไว้ลัดกับสนามหญ้าแห่งนี้
พีมกระชับเสื้อวอร์มมีฮู้ดสีฟ้าอ่อนตัวเก่งแน่นเพราะอากาศยามเช้ายังหนาวอยู่ คิดเรื่อยเปื่อยไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาและน้ำเชี่ยวในช่วง2-3วันที่ผ่านมา หลายอย่างมันทำให้เขามองเห็นตัวตนของน้ำเชี่ยวชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่การได้เหลียวกลับมามองนิสัยแย่ๆของตนเองด้วย ว่าที่ผ่านมาหลายครั้งหลายหนเหลือเกินที่เขาเองก็เอาแต่ใจ เกี้ยวกราด ปากร้าย ชอบใช้อารมณ์ ซ้ำยังแทบจะไม่เคยจะทำอะไรดีๆเพื่อเอาอกเอาใจคนรักของเขาบ้างเลย มีแต่น้ำเชี่ยวซะอีกที่ยอมปรับเปลี่ยนตัวเองมาคอยเอาอกเอาใจเขาอยู่ตลอด หลายครั้งหลายหนน้ำเชี่ยวจะมีของขวัญน่ารักๆมาให้เขาทั้งที่เขาเองไม่เคยจะปริปากขอเลยสักครั้ง ซูเปอร์สตาร์หนุ่มยกมือเรียวที่มีแหวนวงเล็กประดับบนเรียวนิ้วของตนขึ้นดูแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
..คราวนี้ คงถึงเวลาที่เขาจะทำอะไรเล็กๆน้อยๆเพื่อน้ำเชี่ยวบ้าง ทำอย่างที่คู่รักคนอื่นๆเขาทำกัน
“ก็อกๆๆ ก๊อก!” ..
“หนูมาลี.. หนูมาลี ” เมื่อมาถึงที่หมาย มือบางก็ค่อยเคาะลงที่ขอบหน้าต่างห้องขนาดกลางด้านหลังคฤหาสน์หลังใหญ่ เอ่ยเรียกเจ้าของห้องด้านในเบาราวกับกระซิบ .. ไม่นานไฟข้างในก็สว่างขึ้นเป็นสัญญาณว่าคนข้างในคงรู้สึกตัวบ้างแล้ว
“ หนูมาลี..เราพีมเอง เปิดประตูหลังบ้านให้หน่อยสิ” ป้องกันอาการแตกตื่นซึ่งเป็นนิสัยติดตัวสาวใช้ตัวแสบอยู่แล้ว ว่าเธอคงจะไม่เพ้อละเมอว่าเขาเป็นผีญี่ปุ่นลอยมาหลอนเอาตอนเช้ามืด จึงต้องเอ่ยทักทายไปก่อน ที่จะเห็นหน้าต่างจากห้องข้างหน้าแง้มออกมาเผยสภาพยุ่งเหยิงผมเผ้ารุงรังของเด็กกระเหรี่ยงที่เพิ่งลุกจากที่นอนมาหมาดๆ
“
เฮ้ยยย! หนูมาลี! เป็นอะไร? แต่งตัวอะไรแบบนี้ ตกกะใจหมด” จนเมื่อประตูหลังบ้านหลังใหญ่เปิดออกมาพร้อมกับหนูมาลีที่แต่งองค์ด้วยเสื้อผ้ามิดชิดราวกับมัมมี่เด็ก ก็ทำเอาพีมตกใจอย่างประหลาด
“ก..ก็ คุณพีมนั่นแหละ เป็นอะไร ถึงแอบย่องมาหาหนูมาลีมืดๆแบบนี้
ฮึอ! นี่..นี่คุณพีมคงไม่ใช่ว่าโดนน้องน้ำเชี่ยวหักอกจนเพี้ยน คิดจะมา..มาเปลี่ยนรสนิยม มาเป็นสมพานกินไก่วัด มาลงกับเด็กน้อยน่ารักตาดำๆในบ้านหรอกนะคะ” เออ.. เอากะมันสิ ว่าแล้ว เพี้ยนไม่เลิกราจริงๆ
“
ยัยบ้า! .ใครกันแน่เพี้ยน ถ่างตาดูซะบ้าง มันจะสว่างแล้ว อีกอย่างเราไม่ใช่สมพาน ไก่วัดไม่กิน
กระเหรี่ยงไม่ใช่สเป็คเว้ยยย เข้าจั้ย!.. ไปเลย ไปนู้น ไปล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวไปบ้านนู้นกับเรา เร็วๆด้วย!”
“ฮื้ออ.. รู้หรอกคะ น่ารักอย่างหนูมาลีมันไม่ใช่ ต้องสเป็คหนุ่มๆ หล่อๆ ถึงจะถูกใจ ใช่มั้ยล่า ฮิ อิอิ”
หุหุ
“
เน่! พอได้แล้ว พูดมากจริงๆ
ไปเร็ว! ไปช่วยเราทำกับข้าว” หึหึ ยัยเพี้ยนเอ้ย.. เล่นกะหมา หมาเลียปากจริงๆ
“
ห๊าาาาา..?? ทำอะไรนะคะ ใครจะทำอะไร?” สิ้นประโยคจากปากนายหนุ่มสุดหล่อ ก็ทำเอาหนูมาลีตาเบิกโพงด้วยความงุนงง ก็ร้อยวันพันปีคุณชายเจ้าสำอางของเขาแทบไม่เคยเข้าครัว อย่าว่าแต่จับกระทะหรือทัพพีเลย จะตอกไข่ออกมาไม่ให้แตกหรือจะแยกเนื้อหมูกับเนื้อวัวได้หรือเปล่า เธอก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาจะทำได้หรือเปล่า
“ทำไม ก็ได้ยินถูกแล้ว ไม่ต้องเว่อร์ขนาดนั้นหรอก เราจะทำอาหารเช้ากินมั่งมันแปลกตรงไหนอ่ะ.. เร็วๆเซ่ ยืนเอ๋ออยู่ได้”
ฮึ้ยยย รมเสีย~
“
คร่าาา ทราบแล้วค่าาา ใจร้อนจริงๆ ฟ้ายังไม่สว่างดีเลยเนี่ย ว่าแต่ทำไรกินล่ะคะคุณผู้ชายยย”
“ก.. ก็ อะไรที่มันไม่ต้องทำยากมาอ่ะ ย..ะ อย่างพวก แกงจืดเต้าหู้ เอ่อๆ..เต้าหู้หมูสับน่ะ ไก่ทอด แล้วก็ผัดผักใส่กุ้งไรงี้อ่ะ” แกล้งตีหน้านิ่งทำตาใสตอบไปเหมือนไม่ใส่ใจอะไรให้เจ้าเด็กดอยมันจับไม่ได้ว่า ไอ้แต่ล่ะอย่างที่พูดออกมานั่นน่ะมันเป็นอาหารจานโปรดของเจ้ากบตัวโตที่ยังคงนอนคุยกับพระอินทร์จนเพลินอยู่ในห้องของที่บ้านของเขานู้น
“แหมะ.
.แหม๊มมม แต่ละอย่างของโปรดใครน๊า?
คริ คริ แล้วจะทำเป็นเหรอค๊า จับตะหลิว ไม่ง่ายเหมือนจับไมค์ร้องเพลงนะค๊าาา”
“นี่แนะ…
โป๊กกกกก!!!”
“โอ้ยยยย” มะเหงกหลุนๆพุ่งใส่หัวกลมๆ ของสาวใช้ตัวเล็กซักที ไม่งั้นคงได้โดนล้อเลียนอีกหลายดอกเป็นแน่
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี ไปเอาของมา เดี๋ยวเราจะไปเตรียมรอไว้ที่บ้านนู้น แล้วรีบล้างหน้าล้างตา แล้วตามไปด้วย เร็วๆ” ..ยัยบ้า ทำมาเป็นรู้ดี ไม่รู้สักเรื่องได้มั้ยเนี่ย!
“
คร่าาาา”
.
.
.
“เอ๋า! ... นี่จะยืนจ้องให้ผักมันสุกเองรึไงค่ะ เอาใส่ลงไปซะทีสิคะ เดี๋ยวก็ไหม้กันพอดี
ฮึ้ย!”
“ก็น้ำมันมันกระเด็นอ่ะ
โอ้ย! โอ้ย!”
“แค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่ตายหรอกคะ
เร็ว! ใส่ลงไปซะที กระทะมันจะไหม้แล้ว!”
“โอ้ย!
โอ้ย! ทำไมมันยุ่งยากอย่างงี้ว่ะ
โอ้ย!”
“ฮึ้ย! เอาตะหลิวมานี่! นู้น คุณพีมเอาน้ำตาล น้ำปลามา รีบปรุงลงไปเลย
เร็วๆ จะกินได้มั้ยเนี่ย!”
“โคล้งๆ! เคล้งๆ!”“อะ .. แล้วจะใส่ไรก่อนอ่ะ น้ำปลา หรือน้ำตาล”
“
โอ้ยยย พ่อคู้นนนน จะใส่อะไรก็ใส่ๆมาเถอะค๊า ให้มันอร่อยเหอะ ผักมันสุกจะเละแล้ว เร็ววว”
“เอ้า! นู้นน แกงจืดเดือดจะล้นหม้อแล้ว
เร็วคะ รีบไปเบาไฟเร็ววว!”
ด้วยเสียงอีโล้งโช้งเช้ง และกลิ่นอาหารตลบอบอวนไปทั่วห้องครัวจนล้นออกมาข้างนอก ทำให้น้ำเชี่ยวที่สลึมสลืออยู่รุ้สึกตัวตื่นได้ไม่ยากในยามเช้า อดแปลกใจไม่ได้ว่าคนน่ารักที่นอนกอดกันแน่นเมื่อคืนหายไปไหนในเวลาเช้าเช่นนี้
และที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวก็คือ ไม่มีทางที่คนอย่างพีมจะไปยืนใส่ผ้ากันเปื้อนหน้ามันถือตะหลิว จับทัพพีอยู่ในครัวเป็นแน่...
.
.
.
ทว่า.. กับเรื่องของความรัก ความรู้สึกและใจของคนแล้ว อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ เพราะตอนนี้กับข้าวทุกอย่างที่ซูปเปอร์สตาร์หนุ่มบรรจงทำขึ้นมาด้วยความทุลักทุเล ก็ได้มาวางหราอยู่บนโต๊ะจนครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผัดผักใส่กุ้งที่ดูเหมือนจะผัดนานไปนิดจนมันออกมาเหี่ยวๆหน่อย หรือไก่ชุบแป้งทอดที่ออกเกรียมไปบางชิ้น และใข่เจียวหมูสับที่ดูเหมือนจะมีน้ำมันเยิ้มไปนิด แต่ก็พอจะกู้หน้ากลับมาได้บ้างกับแกงจืดเต้าหู้ที่หน้าตาดูดีน่าซด แต่ก็ไม่รู้ว่ารสจะจืดเหมือนชื่อมั้ย..
‘เฮ้อออ ทำไมมันยากเย็นอย่างงี้ว่ะเนี่ย ทำก็ตั้งนาน กินแล้วเดี๋ยวก็อึออกมาเนี่ย เฮ้อ~’
หนุ่มหน้าใสยืนมองอาหารตรงหน้า ก็ได้แต่ถอนหายใจดังๆ แล้วก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน ที่เขาเข้าไปเจอนายเอ็มที่ห้องของน้ำเชี่ยว เขาจำได้ว่าไอ้นั่นมันทำอาหารหลายอย่างได้หน้าตาน่าพิสมัยกว่าทุกจานที่วางอยู่ตรงนี้มากนัก.. หึหึ แต่แล้วไง สมน้ำหน้า สุดท้ายไอ้กบก็ไม่ได้แม้แต่จะแตะมันด้วยซ้ำ เชอะ! อย่างนายนั่นต่อให้มันทำอาหารขั้นเทพแค่ไหน แฟนเราก็ต้องกินของที่เราทำเฟร้ยยยย ฮ่าๆๆ
“ไมอ่ะ?.. ไม่หิว หรือว่า มันไม่น่ากินเหรอ?” พีมเห็นน้ำเชี่ยวนั่งนิ่งจ้องจานอาหารต่างๆที่วางบนโต๊ะ ก็อดรู้สึกเสียความมั่นใจจนหน้าเจื่อนออกมาไม่ได้
“มือพี่หายเจ็บแล้วหรือครับ?” ไม่ใช่เพราะกลัวว่าอาหารตรงหน้าจะไม่อร่อยหรอก แต่เพราะเรื่องนี้เหมือนเป็นสิ่งมหัศจรรยที่เขาไม่คาดคิดว่าคนอย่างพีมจะทำให้เขาได้ถึงขนาดนี้ น้ำเชี่ยวอึ้งไปจนกระทั่งเหลือบไปเห็นมือขาวๆของคนตรงหน้าที่มีพลาสเตอร์เล็กๆพันไว้อยู่ก่อน แล้วยังต้องมาทำอาหารอีกทั้งที่มือก็ยังไม่หายเจ็บแท้ๆ
“ไม่เป็นไรแล้ว.. คือ..พี่แค่อยากลองทำเล่นๆนะ.. เอ่อ เออ หรือว่าเราออกไปหาอะไรข้างนอกกินดีมั้ย?” นอกจากจะเสียความมั่นใจไปแล้ว ตอนนี้ยังเพิ่มความน้อยใจเข้าไปอีกเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่แตะต้องอาหารที่เขาทำไว้ซักที แล้วไอ้คำพูดที่โพล่งออกมานี่อีก ปัญญาอ่อนซะจริงๆ อยากตบกะโหลกตัวเองสักป้าบจริงๆ อุส่าห์ตื่นมาทำตั้งนานยังจะปากดีบอกให้ไปกินข้างนอกอีก เกิดมันจะไปขึ้นมาจริงล่ะ ฮึ้ยย!
ขณะที่เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นซากประหลักหักพัง กองจาน กระทะ ตะหลิว ที่วางกระจัดกระจายเหมือนเพิ่งผ่านสงครามศึกมาหมาดๆ ก็พอทำเนาได้ว่า พีมคงจะต้องใช้ความลำบากและอดทนอยู่มากโขในการฝืนทำอะไรที่ไม่ถนัดเพื่อเขา เพียงแค่นี้.. แค่นี้เขาก็ไม่รู้สึกต้องการอะไรอีกแล้ว แค่ที่เขาได้รับก็มากพอแล้วจริงๆ
“พี่พีม น้ำเชี่ยวรักพี่นะ ต่อให้พี่ต้มน้ำเกลือให้น้ำกินแทนข้าวน้ำก็รักพี่มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะน้ำให้พี่หมดแล้ว ความรักของน้ำเชี่ยวให้พี่ไปหมดตั้งนานแล้ว น้ำเชี่ยวรักพี่ ได้ยินมั้ย น้ำเชี่ยวรักพี่ รักพี่” มือหนาเอื้อมคว้าเอาไหล่บางของคนขี้ใจน้อยที่ทำท่าจะลุกหนีไปเอาไว้ แล้วสวมกอดซุกหน้าลงแผ่นหลังที่คุ้นเคย
“น้ำเชี่ยวสัญญานะพี่ ว่าจะไม่ทำให้พี่เจ็บอีก จะไม่มีวันนั้น น้ำเชี่ยวสัญญา ขอให้พี่มั่นใจ เชื่อใจน้ำเชี่ยวนะนะครับ” น้ำเสียงนุ่มทว่าหนักแน่นเอ่ยไปพร้อมกับริมฝีปากอิ่มที่ไล้ไปตามใบหูและกดจูบเบาๆที่ข้างแก้มใส เรียกเอารอยยิ้มและน้ำตาแห่งความสุขใจของพีมออกมาได้..
พีมเองก็ขอสัญญาเหมือนกัน ต่อไปจากนี้เขาจะพยามปรับตัว ไม่เอาอารมณ์มาเหนือเหตุผล จะตอบแทนความรักทั้งหมดของน้ำเชี่ยวที่มีให้มา
“ครับ พีมก็รักน้ำนะ” รัก รัก รักจริงๆ..
**************************************
เจอกันตอนหน้าค้าบบบบบบบบบบ .... อ้อ!! อ่านแล้วช่วยเม้นกันซะหน่อยเน้ออออออ
ขอบคุณคับ B a l l o o n