ภาคต่อ ตอนที่ 14
Mercedes Benz Coupe คันหรูจอดเทียบลานคอนกรีตกว้างอย่างสุขุม พลกฤษณ์ในชุดลำสองเรียบง่ายแต่ก็ไม่อาจพลางรัศมีความโดดเด่นจากตัวของเขาได้เลย ในมือของเขาถือช่อดอกกุหลาบสีขาวที่จัดเป็นทรงกลมอย่างสวยงาม เขามองกุหลาบสีขาวในมือนั้นอย่างเศร้า ๆ แต่ก็มีรอยยิ้มบาง ๆ ออกมาจากมุมปาก
ที่ที่เขามาอยู่นี้เป็นสุสานของคริสเตียนที่สำหรับพำนักร่างไร้วิญญาณของคริสชนทั้งหลาย เขาเดินตรงไปยังหลุมของใครคนหนึ่ง คนที่เขาตั้งใจจะนำดอกกุหลาบขาวช่อสวยนี้มาฝาก และเมื่อถึงที่หมาย เขาก็ยืนนิ่ง มองป้ายชื่อที่สลักไว้อย่างคิดถึง
“นายชีวิน.....” เขามองชื่อของเจ้าของร่างล่วงลับที่พักผ่อนอยู่ในนี้ ความทรงจำเก่า ๆ ก็พลันฉายออกมา
“เฮ้ยยยยย ไงวะตุ๊ด เอาการบ้านมาให้ลอกหน่อยดิ!!” อันธพาลในชุดนักเรียนสองสามคนกำลังรุมรังแกเด็กหนุ่มแว่นหนาร่างผอมผิวขาวซีดอยู่อย่างไม่สนใจใยดีที่มุมลับตาคนของโรงเรียนก่อนกลับบ้านวันหนึ่ง ร่างนั้นได้แต่ปัดป้อง เพราะไม่อยากให้พวกนี้แย่งกระเป๋านักเรียนไปได้ แต่ความผอมบางของเขาก็สู้แรงของคนหนึ่งในกลุ่มที่ยื้อแย่งไม่ได้
“อย่านะ! อย่าเอาไปนะ” เขาตกใจ เพราะด้วยกลัวว่าพวกนี้จะเอากระเป๋านักเรียนของเขาไปทิ้ง
อันธพาลขาสั้นไม่สนใจ และเทกระเป๋าของเขาอย่างสะใจ เด็กหนุ่มหน้าซีด หวาดกลัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ขณะที่พวกมันจะก้มหน้าลงไปเล็งว่าจะให้เท้าเหยียบทำลายอะไรดีนั้น หมัดลุ่น ๆ ก็เสยเข้าที่ปลายคางของมันอย่างไม่ปราณี
เด็กนรกตกใจ เลยหน้ามาก็พบร่างสูงใหญ่ในชุดนักเรียนเหมือนกัน มองพวกมันอยู่อย่างเอาเรื่อง
“เฮ้ยยย เสือกอะไรวะ อีตุ๊ดนี่เป็นเมียมึงเหรอฮะ”
ฝ่ายนั้นไม่ตอบ แต่กลับตะบันชกสามเกลออย่างเหนือชั้นกว่า เขากำคอเสื้อหัวโจกอย่างเป็นต่อ และประกาศกร้าวว่า
“จำไว้ ทีหลังอย่ามายุ่งกับวินอีก ไม่งั้น กูเอามึงตาย!” เขาขู่อาฆาต และทำท่าจะสั่งสอนอีก จนพวกมันยอมแพ้วิ่งหนีไป
เขาปัดมือไม้อย่างผู้ชนะ และหันมามองชีวินที่ยืนด้วยความหวาดกลัวอยู่
“วินไม่เป็นไรนะ” เขาพลางช่วยร่างผอมเก็บหนังสือและเครื่องเขียนเข้ากระเป๋านักเรียนแบบหิ้ว
“อืม ขอบคุณแจ๊คมากเลยนะ” เขายกมือไหว้ร่างสูงอย่างขอบคุณ
“เฮ้ยย ไม่ต้องไหว้แจ็คหรอก” เขากล่าวยิ้ม ๆ “นี่ ทีหลังระวังตัวด้วยนะวิน ไอ้พวกนี้มันหมา เห็นคนอ่อนแอกว่ามันเลยเข้ามาทำแบบนี้ไง”
“อืม ๆ”
“ว่าแต่ วินจะกลับบ้านเลยใช่ไหมเนี่ยะ”
“ใช่ ๆ” หนุ่มแว่นหนานั้นพยักหน้าอย่างตอบรับ
“เดี๋ยวแจ๊คไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกแจ๊ค วินกลับเองได้”
“ได้ไงอ่ะวิน ไม่เอาน่า ให้แจ๊คไปส่งเถอะนะ” เขาพลางช่วยร่างบางถือกระเป๋า
“งั้นก็ได้ ลำบากแจ๊คจริง ๆ เลย”
“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” เขายิ้ม ๆ และเดินไปขึ้นรถเมล์กับร่างบางด้วยกัน
ชีวิน เป็นเพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมของพลกฤษณ์ เขากับชีวินอยู่ห้องเดียวกันตอนม.ปลายในสายวิทย์ – คณิต ห้องคิงส์ของโรงเรียนชายล้วนชื่อดัง พลกฤษณ์เองค่อนข้างจะแตกต่างจากเด็กห้องนี้คนอื่น ก็คือ เขาไม่ใช่คนที่เนริ์ด และไม่เข้าสังคม เขาก็สนใจเรียนและมีผลการเรียนที่ดีมาก แต่ก็เป็นนักเรียนที่ครูฝ่ายปกครองส่ายหน้าไปเสียทุกครั้ง แต่เด็กหนุ่มอย่างเขาก็ยืดอกรับความผิดที่เคยทำถ้าโดนจับได้
จากเหตุการณ์ในวันนั้นที่เขาช่วยชีวินเอาไว้ในเปิดเทอมวันแรกของม.4 ทำให้เขากับชีวินกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ถึงแม้ชีวินกับเขาจะต่างกันมาก แต่ก็ไม่ทำให้ความเป็นเพื่อนของทั้งสองแย่ลง ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของกันและกัน เห็นชีวินที่ไหนก็มักจะเห็นพลกฤษณ์ที่นั่น จนหลายคนคิดว่า ชีวินกับพลกฤษณ์เป็นคู่รักกันเพราะพลกฤษณ์เองก็ขึ้นชื่อเรื่องความมีเสน่ห์ของเขา ตรงนี้ทำให้พลกฤษณ์กลัวว่าชีวินจะรับไม่ได้
“วินไม่โกรธพวกนั้นเหรอที่มาว่าวินแบบนั้น” เขาถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หรอก” ร่างบางส่ายหน้า พร้อมกับยิ้มล้อ“เค้าก็แค่นินทา แค่เค้าก็ทำอะไรวินไม่ได้หรอก เพราะเค้ากลัวแจ็คไง”
“แล้วไม่อายเหรอที่พวกนั้นมันล้อว่าเป็นแฟนแจ๊ค” เขาหมายถึงเวลาที่บรรดานักเรียนกระเทย เข้ามาล้อเลียนชีวินด้วยความอิจฉา
“ก็มีบ้างนะ แต่เราไม่ได้เป็นอย่างที่เค้าว่าหนิ เราเป็นเพื่อนกับแจ๊ค และแจ๊คก็เป็นเพื่อนกับเรา เราไม่สนใจหรอก” เขาตอบออกมาอย่างใสซื่อ พลกฤษณ์ยิ้มรับ เข้าใจ แต่ในใจก็เริ่มสั่นไหวเหมือนกัน
มิตรภาพของชีวินกับเขาเต็มไปด้วยความจริงใจและช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน พวกเขาต่างไปมาหาสู่ครอบครัวของอีกฝ่ายจนสนิทชิดเชื้อ ชีวินเองด้วยความเป็นคนอ่อนแอจากโรคภัย ทำให้พลกฤษณ์ดูแลเขาเป็นอย่างดี พลกฤษณ์จึงเริ่มตอบตัวเองได้แล้วว่า เขารักเพื่อนคนนี้มากแค่ไหน และเขาก็พร้อมที่จะดูแลชีวินในวันข้างหน้า
เมื่อเข้าสู่ฤดูสอบเข้ามหาวิทยาลัย ชีวินนั้นอยากจะสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์ ส่วนพลกฤษณ์มีเป้าหมายที่จะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ ก็เพื่อจบออกมาจะได้สามารถดูแลชีวินได้เต็มที่ แต่เหมือนว่าพระผู้เป็นเจ้าจะประทานชีวิตของชีวินมาได้แค่นี้...
หลังสอบเอ็นทรานซ์ อาการป่วยด้วยลูคีเมียของชีวินนั้นทรุดลงอย่างรวดเร็ว หมอบอกว่า ชีวินจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึง 1 เดือน และบอกให้ทุกคนทำใจได้แล้ว พ่อกับแม่ของชีวินและพลกฤษณ์เองก็พยายามทำใจ จนผลสอบเอ็นทรานซ์ออกมา พลกฤษณ์เองก็เข้ามาเยี่ยมเพื่อนตามปกติ พร้อมจดหมายสีเขียวอ่อน 2 ซอง
“วิน เรามาลุ้นผลเอนท์กันดีกว่า” เขาพยายามพูดอย่างร่าเริงกับชีวินที่สีหน้าซีดเซียวลงไปมาก
“อืม ๆๆ” ชีวินมีสีหน้าดีขึ้นมานิดหน่อย
“อ่ะนี่” เขายื่นซองสีเขียวนั้นให้ชีวิน ให้ชีวินแกะลุ้นของตัวเอง ส่วนเขาก็แกะซองของเขาเหมือนกัน
ชีวินปรากฏสีหน้าดีใจออกมา เขาเองก็ยิ้มออก แสดงว่าชีวินสมหวังแล้ว ส่วนเขาก็ก้มลงดูผลสอบของตัวเขาเองเช่นกัน
“วิน หายป่วยเร็ว ๆ แล้วมาเรียนด้วยกันนะ” เขาพูดอย่างดีใจ เพราะตัวเขาเองก็ได้สอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ตามที่หวังไว้ได้เช่นกัน โดยเขากับชีวินนั้นเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน
ชีวินยิ้มรับ และพยักหน้าเบา ๆ แต่ก็ฉายแววกังวลเล็กน้อย..
แต่ไม่กี่วันต่อมา อาการของชีวินก็ทรุดหนักลงจนแพทย์เจ้าของไข้ต้องเรียกครอบครัวและคนใกล้ชิดมาอยู่ให้พร้อมหน้า เหมือนจะเป็นการดูใจครั้งสุดท้าย...
และชีวินก็จากเขาไปอย่างสงบ.....
วันนี้ที่เขาเป็นชายหนุ่มเต็มตัว ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว วันเวลาได้กล่อมเกลาให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่เขาก็ยังไม่ลืมชีวินผู้เป็นรักแรกของเขาได้ลง เขาปาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาในยามนี้ พร้อมกับวางช่อกุหลาบขาวลงบนป้ายชื่อนั้น เขาลูบเบา ๆ ที่ป้ายชื่ออย่างคิดถึงคนจากไปเหลือเกิน
เมื่อชีวินจากเขาไปแล้วนั้น เขาตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อในคณะแพทย์อีกต่อไป เขาผันตัวเองไปเรียนวิศวะกรรมที่ต่างประเทศ ตอนนั้นเขาไม่อยากอยู่เมืองไทย ไม่อยากเจอบรรยากาศที่ทำให้เขาต้องคิดถึงเพื่อนรักของเขา เขาทนไม่ได้จริง ๆ
การเรียนอย่างหนัก,ความต่างที่ทาง.เพื่อนฝูงทั้งหลายและงานที่ได้ทำหลังเรียนจบที่เมืองนอกนั่นหล่ะ ทำให้เขาหายเศร้าไปได้มาก ถึงแม้เขาจะพบเจอความรักความสัมพันธ์กับคนมากมายใน หลากหลายรูปแบบ แต่เขาก็ยังไม่เคยพบเจอความรู้สึกที่เคยมีเหมือนตอนที่เขาอยู่กับชีวินเลย
เขายังคิดถึงชีวินอยู่เสมอ
“วิน แจ๊คกลับก่อนนะ” เขากล่าวเบา ๆ พร้อมกับหันหลังเดินออกไปด้วยความรู้สึกเป็นสุขที่ได้มาเยี่ยมเพื่อนรักของเขา
“พีครับ งานที่ทำอยู่เป็นยังไงมั่ง” นายโจ้ ที่เคยแอดเมลล์ผิดถามพีร์ขณะที่คุยกันตามปกติ
“ก็ดีอ่ะครับ” พีร์ตอบได้แค่นี้เพราะว่าเขาเพิ่งเริ่มทำงานได้ ไม่ถึงสองเดือนดี
“แล้วงานของพี่โจ้เป็นไงมั่งคับ” พีร์ถามไปบ้าง
“ก็เรื่อย ๆ เหมือนกันอ่ะ” เขาตอบกลับ “งานของผมจะก็ต้องดูและเครื่องจักรในโรงงาน และก็ตรวจสภาพส่วนประกอบเสมอ ๆ”
“อ่อ คับ”
“พีคับ ผมมีเรื่องจะปรึกษาหน่อย รบกวนช่วยฟังหน่อยนะครับ”
“อะไรเหรอครับ ว่ามาเลย” พีร์เริ่มสนใจ
“คือ ผมมีปัญหานิดหน่อยอ่ะคับ” เขาเริ่มเล่า
“อ่า...”
“คือ ผมเพิ่งเลิกกับแฟนอ่ะคับ”
“คับ เสียใจด้วยนะครับ”
“คับ แต่ผมรู้สึกผิดมากที่ทำให้ผมกับเค้าเลิกกัน”
“ยังไงคับ”
“คือ ผมกับแฟนอายุห่างกันมากไงคับ แฟนผมเป็นแค่เด็กปี 2 เอง ตอนที่คบกัน”
“คับ แล้วเลิกกันนานหรือยัง”
“ยังคับ ไม่กี่เดือนเอง” เขาเล่าต่อ “ตอนนี้น้องเขาก็มีแฟนใหม่แล้วด้วย”
พีร์ไม่ได้ตอบอะไรต่อไป ได้แต่นั่งรับฟังอย่างเดียว
“แถมแฟนใหม่น้องเขายังหล่อกว่า เด็กกว่าผมอีก”
“แล้วพี่รู้สึกผิดยังไงอ่ะคับ”
“ก็ตอนที่ผมกับน้องเขาคบกัน ผมรู้สึกว่าน้องเขามีคนอื่นหน่ะครับ ผมเลยตามไปอาละวาดน้องเขา”
“เราทะเลาะกันแรงมาก จนผมบันดาลโทสะ ตบหน้าเขา”
“ทั้ง ๆ ที่ตอนคบกัน ผมไม่เคยทำอะไรรุนแรงน้องเขาเลย น้องเขาคงเสียใจมากหน่ะครับ เลยเลิกกับผมเลย”
“แต่ความจริงแล้ว ผมมารู้ที่หลังว่าผมเข้าใจผิดไปทั้งนั้น”
“และที่สำคัญ ผมก็ยังรักเค้ามากอยู่”
“อ่าคับ”
“ผมไม่อยากให้น้องเขาไปเป็นของคนอื่นเลย ผมผิดใช่ไหมครับที่ทำแบบนี้”
“อย่าคิดมากเลยครับพี่โจ้” พีร์ตอบกลับ “พี่ก็ทำใจซะเถอะครับ”
“มันสายไปใช่ไหมครับพีที่ผมจะขอโทษเขา”
“ผมก็ไม่รู้ครับพี่ มันเป็นเรื่องของพี่สองคน แต่ผมว่าถ้าพี่ลองคุยดี ๆ เขาอาจจะฟังพี่บ้างก็ได้”
“แล้วพีว่าผมจะมีโอกาสกลับมาคบกันไหม”
“ผมว่าคงไม่แล้วล่ะครับ” พีร์ตอบไป เพราะด้วยที่ว่าฝ่ายนั้นเล่าให้ฟังว่าแฟนเขามีแฟนใหม่แล้ว
“คับ ขอบคุณพีมากเลยนะครับ ผมจะลองดู”
“คับ”
ศิลามองหน้าจออย่างเคร่งคิดกับบทสนทนาที่ผ่านมา จากท่าทีของพีร์ที่เหมือนให้เขาในคราบโจ้ยอมรับสิ่งที่ทำลงไปและทำใจให้ได้
หรือว่าเขามาผิดทาง เพราะพีร์อาจจะไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากตามนิสัยของเขาก็ได้
ศิลาจึงถามต่อไป
“พีคับ แล้วนี่อายุขนาดนี้ มีแฟนหรือยังล่ะ” เขาถามไป เพราะเขากับพีร์ก็คุยกันมาได้สักพักแล้ว
“ก็มีดู ๆ กันอยู่คับ” เขาตอบมา ศิลาที่สวมรอยโจ้อยู่ก็แทบชะงักไปเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าพีร์จะตอบให้เห็นภาพว่าก็มีอยู่
“เหรอคับ น่ารักไหม”
เขาหันไปมองศิริพจน์ที่นั่งหันหลังดูข่าวให้อยู่ “เอ่อ ตอบยากครับ”
“เค้าไม่สวยเหรอครับ”
“ก็ คงงั้นมั๊งครับ” จะสวยได้ไงล่ะ ก็เป็นผู้ชาย พีร์คิดอย่างนั้น
“ก็ดีแล้วคับ มีใครสักคนมาอยู่ใกล้ ๆ ดูแลเค้าให้ดี ๆ ล่ะ” ศิลาฝืนใจพิมพ์ออกไป
“คับ ผมก็ว่ายังงั้น”
“พี่โจ้คับ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะคับ”
“คับ ๆ บาย ๆๆ”
“คับ” พีร์ออฟไลน์ออกไป ทิ้งให้ศิลาที่อยู่หน้าจออีกฝ่ายรู้สึกค้าง ๆ เพราะไม่ได้ถามอะไรมากมายเลย
พีร์เองรู้สึกคุ้น ๆ กับคนชื่อโจ้แปลก ๆ เหมือนเขาเคยรู้จักกับผู้ชายคนนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น
แต่ทำไมเขารู้สึกว่า ศิลาที่เหมือนจะหายไป กลับอยู่ใกล้ตัวเขามากขึ้น เขาก็แปลกใจเหมือนกัน
“พี พรุ่งนี้ตอนเย็นไปสวัสดีพ่อแม่ผมกันไหม” ศิริพจน์บอกขณะคุยกับพีร์ก่อนนอน
“หะ ...อะไรนะ..”
“อืม ไปไหว้พ่อแม่ผมกัน”
“นี่คุณจะไปแกรนด์โอกับพ่อแม่เลยเหรอ” เขาถามกลัว ๆ เพราะศิริพจน์เคยพูดเล่น ๆ ไว้นานแล้วว่าจะพาพีร์ไปให้พ่อแม่รู้จักในฐานะลูกสะใภ้
“เปล่า แหม ก็พาไปให้รู้จักเฉย ๆ ไม่ได้เหรอ” เขากอดร่างอวบอ้อน ๆ
“ก็ได้สิ” พีร์ตอบยิ้ม ๆแต่ก็แฝงความกังวล
“อย่ากลัวไปเลย พ่อแม่ผมใจดีนะ”
“อืม งั้นเดี๋ยวผมไปบอกเลยว่าคุณเป็นเกย์ ฮ่ะ ๆๆๆ”
“ได้เลย และผมก็จะบอกว่าคุณก็เป็นแฟนผมไง” เขาพูดพร้อมกับหอมแก้มพีร์ “ราตรีสวัสครับ”
“คับ” พีร์รับคำพร้อมกับหอมแก้มอีกฝ่าย ก่อนจะซุกตัวลงบนอ้อมกอดของศิริพจน์สู่ห้วงนิทรา