3 : รับน้อง
ผ่านจากเปิดเทอมมาครึ่งเดือนแล้วกิจกรรมค่อนข้างเยอะและสับสนมากสำหรับปีหนึ่งโดยมีกิจกรรมหลักคือซ้อมเชียร์กีฬาของมหาวิทยาลัย แม้จะไม่ค่อยชอบนักกับกิจกรรมนี้แต่วันชนะก็เข้าร่วมอยู่ทุกครั้ง ที่สำคัญยังมี General Chemistry 1 และ Calculus 1 ที่ต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือให้ดี เจ้ากิจกรรมซ้อมเชียร์นี่แหล่ะคือฉากหน้าของการการรับน้องหรือการ “ว้ากน้อง” อย่างที่ศัพท์เขาใช้กันในมหาวิทยาลัย บอกว่าเป็นประเพณี
จะว่าไป “รับน้อง” มีแบ่งเป็นของคณะ ของภาควิชา และคืนนี้จะเป็นของ “ชาวตึก” ที่เด็กหอพักไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน
เที่ยงคืนตรงหลายห้องยังมีแสงไฟส่องผ่านหน้าต่างและหลายห้องที่หลับสนิทเงียบงัน ไร้เสียงมาก่อน ทันใดที่ประตูห้องมีเสียงเคาะพร้อมกันหลายห้องราวกับได้สัญญาณ เสียงเคาะดังรัวไม่เกรงว่าดึกสงัดนี้จะไปรบกวนผู้อื่นหรือไม่
วันชนะสะดุ้งตื่นหลังจากที่เพิ่งจะเผลอหลับไปได้เพียงครู่เดียว มองอีกเตียงเห็นว่างเปล่าแต่มีร่องรอยยับย่นของผ้าห่ม วุฒิรู้สึกตัวก่อน เขาใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียว ลุกขึ้นไปที่ประตู ท่าทางหัวเสียกับเสียงรบกวน
“ใครวะ มาเล่นอะไรป่านนี้” วันชนะได้ยินเพื่อนร่วมห้องระบาย เขาเดินตามไปหยุดอยู่หลังวุฒิ เสียงรัวเหมือนจะดังขึ้น ทันทีที่เปิดประตูทั้งคู่ก็ตกใจที่มีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาในห้องอย่างเร็ว ไม่ทันได้ตั้งตัวคนกลุ่มนั้นจับพวกเขามัดมือเสียแน่น แต่พอจับเหตุการณ์ได้วันชนะก็หายตกใจได้บ้าง คนกลุ่มนั้นคือพวกรุ่นพี่ตึกนั่นเอง แต่ก็ยังไม่เบาใจเลยทีเดียว ลองเล่นกันถึงขนาดนี้คงจะมีอะไรแปลกๆ ตามมาเป็นแน่ นึกในใจไม่ทันว่าพวกเขาก็โดนเอาผ้าปิดตาเสียสนิท
“เล่นไรกันพี่” วันชนะถามหากแต่ไม่มีเสียงตอบ มือหนึ่งจับที่ไหล่ออกแรงเบาๆบังคับให้หันไปตามทิศ “เดินไป” เจ้าของมือพูดเสียงHereม “แล้วก็เงียบ” หนึ่งในกลุ่มนั้นจับมือวันชนะให้แตะหลังคนที่อยู่ข้างหน้า “ตามเขาไป”
กลางดึกสงัด ขณะที่ชาวเมืองหลับนอนแต่คนกลุ่มหนึ่งเดินเรียงแถวกันมุ่งหน้าไปยังสถานที่หนึ่งภายในมหาวิทยาลัย เหตุการณ์คืนนี้ถ้าผู้ปกครองของนิสิตได้รับรู้คงจะใจหายไม่น้อยที่มันจะเกิดในหมู่ปัญญาชนที่ฝึกฝนตัวเองให้ผ่านการคัดกรองจากเด็กทั่วประเทศเพื่อได้เข้ามาศึกษา
เสียงฝีเท้ามากมายหยุดลง
“นั่ง” คำสั่งเดียวเปี่ยมด้วยพลัง เสียงพรึบดึงขึ้นพร้อมกัน เหมือนทุกคนพอจะรู้ว่าทำไมจึงมาที่นี่
รับน้อง!
ทั่วบริเวณเงียบเชียบจากคำพูดใดๆ มีเพียงเสียงการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นรุ่นพี่ วันชนะถูกแก้ปมผ้าที่มัดปิดตาออกเหมือนกับทุกคน จึงพบว่าตัวเองอยู่ในห้องห้องโถงสักแห่งหนึ่งในมหาวิทยาลัย ไม่มีการเปิดไฟ มีเพียงแสงจันทร์นวลส่องลอดมาทำให้สลัวเท่านั้น พอมองเห็นก็เริ่มมีเสียงขยับไหวร่างกายของพวกที่นั่งอยู่
“เงียบ” เสียงเดิมที่มีพลังสะกดให้ทุกร่างนิ่งงัน วันชนะพยายามมองหาคนรู้จักผ่านความสลัวแต่ก็จำใครไม่ได้เลย
“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลย” เสียงที่ต่างจากเมื่อกี้พูดขึ้นได้ยินทั้งห้อง น้ำเสียงแหลมสูงสำเนียงบ่งบอกชัดเจนว่าคนพูดไม่ใช่ผู้ชายแท้หากเป็นกระเทย
“ชั้นชื่อเจ๊ใหญ่อยู่ตึกสี่ เป็นกรรมการในการจัดกิจกรรมรับน้องชาวตึกในครั้งนี้” คนพูดหยุดเงียบเพราะมีเสียงหัวเราะฮาดังขึ้นที่มุมหนึ่ง หล่อนรอจนพวกเขาหยุดหัวเราะจึงพูดขึ้นดังทั่วห้อง
“ขำกันนักใช่มั้ย ดี” เจ้าของเสียงหยุด
หากผู้ที่จะกล่าวต่อคือเจ้าของเสียงที่มีอำนาจก่อนหน้า
“ทุกคนลุก”
เขากล่าวด้วยเสียงอันดังราวกับปล่อยความโกรธที่สะสมมาร้อยปีโดยไม่กลัวว่าการกระทำในยามวิกาลนี้จะมีคนมาพบเห็น
“วิดพื้นสามสิบที ปฏิบัติ!” คำพูดเหมือนทหารพร้อมกับพวกรุ่นพี่ที่เดินเข้ามาล้อมวง เงาเลือนรางมองเห็นใบหน้าHereมบอกว่าเอาจริง เทียนสี่เล่มถูกจุดจากสี่มุมเพื่อมองว่าใครขัดคำสั่ง
ทีนี้รู้แล้วว่าเจ๊ใหญ่คนนั้นมีอำนาจอยู่แค่ไหน !
“เอาล่ะ เห็นพิษสงของชั้นรึยัง” หล่อนพูดติดตลกทว่าไม่มีใครกล้าแสดงออกสิ่งใด “ชั้นจะนับหนึ่งถึงสิบให้ทุกคนสลับที่กัน พอนับถึงสิบเมื่อไรให้หยุดแล้วถามสี่คนที่อยู่รอบตัวว่าชื่ออะไร อยู่ตึกไหน ห้องหมายเลขอะไร”
“หนึ่ง! ”
เทียนไขสี่มุมส่องพอมองเห็นได้ว่าขณะนี้ชุลมุนเพียงใด วันชนะเหมือนจะตั้งตัวไม่ทัน เขาไม่รู้จะวิ่งไปทางไหนดี แล้วก็มีมือจากคนหนึ่งที่จู่ๆพุ่งมาจากด้านหลังจับมือเขาไว้ เขาออกวิ่งนำหน้า วันชนะวิ่งตาม...ตอนแรกนึกว่าเป็นวุฒิ แต่ไม่ใช่...
ด้วยว่ามือที่โดนมัดทั้งสองข้างทำให้ทำอะไรก็ไม่สะดวก เวลาวิ่งตัวเขาจึงเอี้ยวเข้าหาวันชนะ ทำให้มองเห็นหน้าได้ แม้จะเลือนราง ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกที่ทำให้คนที่ถูกพาไปอุ่นใจได้ เขาคือเพื่อนข้างห้องของวันชนะนั่นเอง
“สิบ!”
สิ้นเสียงอันดังนั้น ทุกคนหยุดแทบจะพร้อมกัน แล้วรายการถามชื่อและที่อยู่ก็เริ่มขึ้นเซ็งแซ่ ภายใต้แสงสลัวบางคนมีรอยยิ้มสนุกที่ได้ทำความรู้จัก บางคนไม่เต็มใจนึกไม่ชอบกิจกรรมนี้ หากว่าทุกคนยอมทำตาม
ทั้งห้องกลับมาสงบอีกครั้งหลังจากที่เสียงกร้าวบอกให้หยุด แล้วผู้ที่ได้ชื่อว่าเจ๊ใหญ่ก็พูดขึ้น หล่อนเป็นหงส์ที่อยู่เหนือมังกรอย่างนั้นหรือ วันชนะคิดแต่หลายคนคิดว่าหล่อนเป็นห่านมากกว่า
“ไหนลองดูสักสองสามคนซิ” หล่อนเดินฝ่าแถว ไปจนถึงรุ่นน้องคนหนึ่ง “ชื่ออะไร คณะไหน อยู่ตึกอะไร ห้องอะไร?” หล่อนรัวคำถามเป็นชุด รุ่นน้องคนนั้นก็ตอบโดยดี สถานการณ์ดูเหมือนจะลดความตึงเครียดจากตอนแรกเพราะคำพูดและน้ำเสียงเจ๊ใหญ่ติดตลกแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งใดให้หล่อนขัดจิต
“คนด้านหน้านี่ชื่ออะไร คณะอะไร ตึกไหน ห้องเบอร์อะไร” เจ๊ใหญ่ยังรัวคำถามกับรุ่นน้องคนที่สามที่หล่อนเข้าประชิดตัว และเขาตอบไม่ได้ว่าเพื่อนที่อยู่ข้างหน้าชื่อเล่นว่าอะไร
“อะไรกันให้ถามแค่นี้ยังจำไม่ได้ แล้วจะเอาสมองที่ไหนไปร่ำไปเรียน ชั้นจะลงโทษพวกเธอทุกคน จำไว้คนใดคนหนึ่งผิดทุกคนต้องรับโทษเท่ากัน พวกเธอจะได้รู้ถึงคำว่ารุ่นและคำว่าเพื่อน” เธอกล่าวเสียงแหลมดัง รุ่นพี่คนอื่นๆเดินมาล้อมสมทบ เงาทะมึนๆที่ลอบล้อมดูน่าเกรงขาม
“ชั้นจะให้จับคู่กัน” หล่อนหยุดไปสามวินาที “แล้วเดินไปหาพี่ที่อยู่ด้านข้างๆ คนหนึ่งจะถูกแก้มัดแล้วมัดไพล่หลังไว้” เจ๊ใหญ่เงียบไปอีกสองวิ “ให้คู่ของตัวเองถอดกางเกงในของคนที่ถูกมัดไพล่หลังออกแล้วถือไว้ จากนั้นเดินมาโชว์ให้ชั้นดู แล้วเดินออกประตูกลับไปได้ พวกเธอจะได้เรียนรู้ถึงคำว่าเพื่อนและการเสียสละ คิดดูให้ดีล่ะว่าใครจะเป็นคนถอด ใครจะเสียสละโชว์ของดีให้เพื่อนดู” หล่อนหัวเราะเล็กๆ คิกคัก “น่าเสียดายนะในนี้มันมืดไปหน่อย”
เสียงฮือฮาดังขึ้น
“เอ้า! จะเชื่อฟังรุ่นพี่รึเปล่า” หลายเสียงตะโกนดังเหมือนโกรธเคืองเมื่อรุ่นน้องตั้งท่าไม่ยอม
วันชนะมองไม่เห็นใครอื่นนอกจากคนที่อยู่ตรงหน้า
นักขัต!